...เมื่อรู้ตัวว่าถึงทางตันต้องรีบหาทางออกคือปฏิกริยาปฏิบัติของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพราะภัยร้ายแรงของความขัดแย้งระหว่างคนในประเทศ ใกล้จะถึงตัวผู้ถืออำนาจรัฐบาล...
...ภาษาสำนวนลีลาโวหารแปลกไปจากแถลงการณ์ธรรมดา คือ โรดแมปสู่ความปรองดองที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ่านแถลงทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อคืนวันที่ 3 พ.ค. แล้วกลายเป็น “เซอร์ไพร์ส” ของผู้คนทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ใหญ่ใน “ประชาธิปัตย์” ควานหาต้นเหตุและที่มาของเรื่องนี้...
...เพราะถูกวิจารณ์หนักจากการสลายม็อบ 10 พ.ย.จนอาจพลิกบทเป็น ทรราช เข้าใจตรงกันถึงข้อมูลลึกและข้อมูลจริงว่า บทบาทใหม่ที่เขียนให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เล่นเพื่อให้พลิกกลับจากบทของทรราชกลับมาเป็นพระเอกอย่างเดิม ด้วยการเป็น “ต่อ” ทางการเมืองในฐานะผู้หยิบยื่นให้และฝ่ายผู้ชุมนุม “เสื้อแดง” กลายเป็นฝ่ายเลือก...ต่อจากนี้ไปอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะกลายเป็นคนถูกอย่างเดียว และคนที่เห็นตรงข้ามจะกลายเป็นคนผิดในสายตาของสังคม...
...การบ้านที่ทำยากที่สุดของประกาศไทย คือ เรียกความสงบ สันติ สามัคคีกลับคืนสู่สังคมไทยอีกครั้งจาก สามัคคีมาสู่สมานฉันท์ จนกระทั่งความปรองดองแห่งชาติ ทั้งหมดจะสำเร็จได้ด้วยกุญแจสำคัญดอกเดียวจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้นถ้ามีความจริงใจ...
...แต่ต้องไม่ลืมว่า ฉากสำคัญของการเมืองประเทศไทยอยู่ที่ 2 ฉาก...ฉากแรกตอนจบของข้อกล่าวหา “ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน” ใครคือ ผู้ชนะ...ฉากสอง คือ ตอนจบของ ผู้ต้องหาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศจะเป็นใคร?...ทั้งสองเรื่องนี้ล้วนตัดสินอนาคตวันข้างหน้าของใครบ้าง? นี่คือยุทธศาสตร์ที่ใช้เป็นเกมการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อหนีจาก ผู้แพ้มาเป็นผู้ชนะ จึงท้าทายอนาคตข้างหน้าอย่างยิ่งของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและสุเทพ เทือกสุบรรณ ก่อนที่อำนาจบริหารที่พันธนาการตัวเองไว้จะหลุดไป...
...เพราะโรดแมปสู่ความปรองดองแห่งชาติ “เสื้อเหลือง” พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถึงรับไม่ได้กับบท ผู้แพ้...พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เลยต้องออกมาเป็นแม่ทัพสู้รบทางสงครามความคิดใหม่อีกหน...
...ในขณะที่การเมืองกำลังจะปฏิรูปครั้งใหม่กองทัพก็ใช่ว่าจะหยุดนิ่งและอยู่เฉยได้ ยิ่งมีความท้าทายมากขึ้นไปอีกเพราะเรื่องทหารฆ่าทหาร ยังสะสางบัญชีไม่จบสมบูรณ์...มด คันไฟ เชื่อว่าหนักที่สุดของการทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คือ ประสานรอยร้าวลึกในกองทัพให้ได้ระหว่าง วงศ์เทวัญ กับ บูรพาพยัคฆ์บทพิสูจน์เรื่องนี้ คือระยะเวลาที่ยังเหลือในชีวิตราชการก่อน 30 ก.ย.นี้ จึงมีความหมายและสำคัญอย่างยิ่งรวมไปถึงผู้นำกองทัพอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหมด้วย...
...ส่วนการเมืองกำลังจะนำไปสู่การลงตัวของการหาตัว นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะเป็นใคร ข่าวว่าถ้าต้องเป็นตัวเลือกของ “ประชาธิปัตย์” น่าจะเป็นบัญญัติ บรรทัดฐาน มากกว่าคนอื่น แต่ถ้าเป็นคนกลางวันนี้ไม่มีใครเกินหน้า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถ้า บรรหาร ศิลปะอาชา โอเค...
...การเมืองคือความไม่แน่นอน วันก่อนได้ยินว่า เสนาะ เทียนทอง ออกรอบเล่นกอล์ฟกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หลังมีข่าว ป๋าเหนาะ จะเข้า “พรรค เพื่อไทย” อีกครั้ง...
...งาน MONEY EXPO ยังมี สันติ วิริยะรังสฤษฎิ์ บอกมาว่าที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จนถึงวันที่ 9 นี้...-/-...
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
สมบัติของประชาชน..
หน้าเห็นใจ...พันธมิตร...ทันทีที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ใช้ความเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา...โดยยึดเอาความเป็นจริงเป็นหลักไม่เอาอนาคตของชาติมาเสี่ยง
ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น...ไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อก่อนหน้าที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น...เขาคือ...นักการเมือง
หนุ่มที่มีอนาคตอันสุกใส...เขาเป็นนักการเมืองที่ไปไหนมาไหนในแผ่นดินไทยได้...ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากมวลชนในทุกภาคส่วนของประเทศ
ในประเทศนี้ เมื่อก่อนหน้า...รู้ว่านี่คือว่าที่ นายกรัฐมนตรี ในไม่วันใดก็วันหนึ่งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปไหนมาไหนกับรถไฟใต้ดินและรถไฟบนดิน...ประชาชนที่พบปะกับเขา ยิ้มให้ด้วยหัวใจที่ปีติและไมตรีที่อบอุ่น...สิ่งที่มีค่าที่สุดของคนไทยคนหนึ่ง สิ่งที่มีค่าควรแก่การรักษา...นั่นคือ การนั่งอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้ง
ชาติ...สำหรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...เมื่อก่อนหน้า...ไม่มีใครคิดว่าเขาคือประชาธิปัตย์...แต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคือ...ผู้แทนปวงชนของคนไทยทั้งผอง...ทุกๆ คนเชื่อในความเป็นนักการเมืองของเขา...เท่าๆ กับที่เคยเชื่อและศรัทธาใน ชวน หลีกภัย...ชวน หลีกภัย และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็น 2 ในจำนวนนักการเมืองนับพัน...ที่ประชาชนสามารถให้คำตอบแทนได้ว่า...เขาจะปฏิเสธในสิ่งใดเรื่องใดและจะรับในสิ่งใดเรื่องใดเพราะในทุกๆ โจทย์ในทุกๆ เรื่องราวนั้น...ความถูก
ต้องที่สมบูรณ์ที่สุดมีเพียงหนึ่งเดียวหลังนั่งบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี...ที่เหล่ามารการเมืองได้ลำเลียงมามอบให้...มันทั้งหลาย...ประเมินพลาด...ในกำมือมารนั้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่ลูกไก่...แต่มันเป็น...เหยี่ยวหนุ่ม...ที่มีปากแกร่งและกรงเล็บที่แหลมคมทรงพลัง...ประโยชน์ชาติมาก่อนประโยชน์พรรคและพวก...เก้าอี้เขาเริ่มมีปัญหา...เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ฝีมือมาร...ทำให้เขาเริ่มได้รับการปฏิเสธจากประชาชน...จากน้อยและเพิ่มพูนขึ้นทุกวี่วัน...อำนาจแบบนั้นไม่ใช่
อำนาจในฝันของ...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...แต่เมื่อมันเป็นหน้าที่...มันก็เป็นบาปกรรมจนเมื่อ 10 เมษายน 2553 สงครามระหว่าง...อำนาจกับอำนาจ...ที่ใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์...เป็นเบี้ยสู้กัน...และจะนำไปสู่การ...เข่นฆ่าที่มากกว่าและกองศพที่ใหญ่กว่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดว่า...ประชาชนต้องมาก่อน และ ถึงวันนี้...เขาทำ...ในสิ่งที่เขาพูดประเทศไทยกำลังได้...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ที่เป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมา...
คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
******************************************************
ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น...ไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อก่อนหน้าที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น...เขาคือ...นักการเมือง
หนุ่มที่มีอนาคตอันสุกใส...เขาเป็นนักการเมืองที่ไปไหนมาไหนในแผ่นดินไทยได้...ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากมวลชนในทุกภาคส่วนของประเทศ
ในประเทศนี้ เมื่อก่อนหน้า...รู้ว่านี่คือว่าที่ นายกรัฐมนตรี ในไม่วันใดก็วันหนึ่งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปไหนมาไหนกับรถไฟใต้ดินและรถไฟบนดิน...ประชาชนที่พบปะกับเขา ยิ้มให้ด้วยหัวใจที่ปีติและไมตรีที่อบอุ่น...สิ่งที่มีค่าที่สุดของคนไทยคนหนึ่ง สิ่งที่มีค่าควรแก่การรักษา...นั่นคือ การนั่งอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้ง
ชาติ...สำหรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...เมื่อก่อนหน้า...ไม่มีใครคิดว่าเขาคือประชาธิปัตย์...แต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคือ...ผู้แทนปวงชนของคนไทยทั้งผอง...ทุกๆ คนเชื่อในความเป็นนักการเมืองของเขา...เท่าๆ กับที่เคยเชื่อและศรัทธาใน ชวน หลีกภัย...ชวน หลีกภัย และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็น 2 ในจำนวนนักการเมืองนับพัน...ที่ประชาชนสามารถให้คำตอบแทนได้ว่า...เขาจะปฏิเสธในสิ่งใดเรื่องใดและจะรับในสิ่งใดเรื่องใดเพราะในทุกๆ โจทย์ในทุกๆ เรื่องราวนั้น...ความถูก
ต้องที่สมบูรณ์ที่สุดมีเพียงหนึ่งเดียวหลังนั่งบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี...ที่เหล่ามารการเมืองได้ลำเลียงมามอบให้...มันทั้งหลาย...ประเมินพลาด...ในกำมือมารนั้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่ลูกไก่...แต่มันเป็น...เหยี่ยวหนุ่ม...ที่มีปากแกร่งและกรงเล็บที่แหลมคมทรงพลัง...ประโยชน์ชาติมาก่อนประโยชน์พรรคและพวก...เก้าอี้เขาเริ่มมีปัญหา...เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ฝีมือมาร...ทำให้เขาเริ่มได้รับการปฏิเสธจากประชาชน...จากน้อยและเพิ่มพูนขึ้นทุกวี่วัน...อำนาจแบบนั้นไม่ใช่
อำนาจในฝันของ...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...แต่เมื่อมันเป็นหน้าที่...มันก็เป็นบาปกรรมจนเมื่อ 10 เมษายน 2553 สงครามระหว่าง...อำนาจกับอำนาจ...ที่ใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์...เป็นเบี้ยสู้กัน...และจะนำไปสู่การ...เข่นฆ่าที่มากกว่าและกองศพที่ใหญ่กว่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดว่า...ประชาชนต้องมาก่อน และ ถึงวันนี้...เขาทำ...ในสิ่งที่เขาพูดประเทศไทยกำลังได้...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ที่เป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมา...
คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
******************************************************
จบยาก!
ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ ที่นายกรัฐมนตรี ประกาศโรดแมป “ปรองดองเพื่อชาติ” แต่ยังไม่มีทีท่าว่า...ความปรองดองจะเกิดขึ้นจริง แม้ว่าแกนนำ นปช. จะยอมรับข้อเสนอนี้แล้วก็ตาม แต่เวลานี้เงื่อนไขและปัญหาของการขับเคลื่อนโรดแมปกลับกลายเป็นฟากฝั่งรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถเคลียร์กับคนของตนเองให้ลงตัวได้โดยเฉพาะ “พันธมิตรฯ” ดูเหมือนจะไม่แฮปปี้กับโรดแมปที่นายกฯ เสนอ เพราะพันธมิตรฯ คิดว่า “โรดแมปรองดองเพื่อชาติ” กำลังเป็น “เรดแมป” ที่เข้าทาง
คนเสื้อแดง เพราะ 1 ใน 5 ข้อรัฐบาลประกาศจะยุบสภา หากทุกฝ่ายกลับเข้าสู่ความปรองดอง รวมทั้งประกาศวันเลือกตั้งออกมาอย่างชัดเจน งานนี้ผู้เจนจัดเกมการเมืองอย่าง “พันธมิตรฯ” เลยต้องออกมาแสดงบทบาทคัดค้านรัฐบาลยุบสภา พร้อมออกแถลงการณ์ประณามไอเดียปรองดองเพื่อชาติ เท่านั้นยังไม่พอ...พันธมิตรฯ ยังระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า หากนายกฯ ไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมือง และปากท้องของประชาชนได้ ก็ขอให้ “ลาออก”เอาหล่ะซิ! คนกัน
เองเล่นกันเองแบบนี้ ก็ต้องวุ่นถึงนายกรัฐมนตรี เจ้าโปรเจ็กต์โรดแมป ต้องออกมาเคลียร์กับพันธมิตรฯ อีก เพราะปัญหายังไม่จบ แต่พันธมิตรฯ กลับไม่ให้ความสำคัญกับการพูดคุยทำความเข้าใจถึงแนวทางปรองดองที่นายกรัฐมนตรีเสนอแต่อย่างใด เพราะการหารือเมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่รัฐสภา พันธมิตรฯ ส่งนาย พิภพ ธงไชย ซึ่งเป็นแกนนำ และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกฯ มาคุยกันนายกฯ ส่วนแกนนำคนสำคัญที่สามารถตัดสินใจได้อย่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไม่ได้เดิน
ทางมาด้วย เพียงแต่ฝากข้อคิดมาให้นายกฯ เท่านั้น ภายหลังการเจรจา พันธมิตรฯ ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่า “ค้านยุบสภา” ไม่เอาโรดแมปนี้ เพราะเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มนึ่งเท่านั้น แถมเวลายุบสภาอีก 4 เดือนนั้นยังน้อยไปสำหรับการเตรียมการและแก้ปัญหาที่ค้างคา ดังนั้น พันธมิตรฯ จึงไม่เห็นด้วยกับการแผนปรองดองนี้ขณะที่นายกรัฐมนตรี ยังมองในมุมบวกนิดๆ แต่ยังแฝงความน้อยใจนิดๆ ด้วยเช่นกับท่าทีของแกนนำพันธมิตรฯ มาหารือกัน“ผมคิด
ว่าพันธมิตรฯ น่าจะมีความเข้าใจมากขึ้น เพราะบางทีก็ไปกล่าวหากันรุนแรง เช่นที่กล่าวว่าผมทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง หรือไปสมคบหรือไปตกลงกับใคร ซึ่งไม่เป็นความจริง”นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ปรองดองเพื่อชาติของรัฐบาลได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เพราะล่าสุด นิตยสารไทม์ ได้เขียนบทความถึงแนวคิดนี้ด้วยเช่นกัน ในบทความเรื่อง “Thailand PM Gains Upper Hand in Protest Crisis” นิตยสารไทม์ส โดยนายโรเบิร์ต ฮอร์น ระบุตอน
หนึ่งของบทความว่า “แม้นายอภิสิทธิ์ ยังไม่สามารถออกจากป่าได้เสียทีเดียว แต่ก็ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเขาถือไพ่เหนือกว่า จากที่เคยถูกเย้ยหยันถึงความอ่อนแอและถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการบัญชาการตำรวจและทหารของไทย ท้ายที่สุดแล้วนายอภิสิทธิ์ ก็แสดงถึงความเป็นผู้นำมากกว่าที่จะตอบโต้ผู้ประท้วง และหากกระแสเปลี่ยนไปในทิศทางตรงข้ามกับผู้ชุมนุม ไหวพริบทางการเมืองของนายรัฐมนตรีก็คงรู้ดีว่าต้องจัดการอย่างไรกับคนเสื้อแดง”ขณะเดียว
ท่าทีนายกรัฐมนตรี ต่อปัญหาการเมืองที่ไม่ได้ข้อสรุปเช่นนี้ ยังระบุด้วยว่า “ถ้ากลุ่มเสื้อแดงยังติดขัดเรื่องบริหารจัดการก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อไรมีความชัดเจนว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะร่วมกระบวนการปรองดอง ผมก็ถือว่าคำเสนอเรื่องการยุบสภาต้องเป็นอันยกเลิกไป ผมต้องทำในส่วนอื่นใน 5 ข้อนี้ และการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเดินต่อไป”งานนี้จึง “จบยาก”หากยังย้ำอยู่กับที่เช่นนี้!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.............................................................
คนเสื้อแดง เพราะ 1 ใน 5 ข้อรัฐบาลประกาศจะยุบสภา หากทุกฝ่ายกลับเข้าสู่ความปรองดอง รวมทั้งประกาศวันเลือกตั้งออกมาอย่างชัดเจน งานนี้ผู้เจนจัดเกมการเมืองอย่าง “พันธมิตรฯ” เลยต้องออกมาแสดงบทบาทคัดค้านรัฐบาลยุบสภา พร้อมออกแถลงการณ์ประณามไอเดียปรองดองเพื่อชาติ เท่านั้นยังไม่พอ...พันธมิตรฯ ยังระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า หากนายกฯ ไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมือง และปากท้องของประชาชนได้ ก็ขอให้ “ลาออก”เอาหล่ะซิ! คนกัน
เองเล่นกันเองแบบนี้ ก็ต้องวุ่นถึงนายกรัฐมนตรี เจ้าโปรเจ็กต์โรดแมป ต้องออกมาเคลียร์กับพันธมิตรฯ อีก เพราะปัญหายังไม่จบ แต่พันธมิตรฯ กลับไม่ให้ความสำคัญกับการพูดคุยทำความเข้าใจถึงแนวทางปรองดองที่นายกรัฐมนตรีเสนอแต่อย่างใด เพราะการหารือเมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่รัฐสภา พันธมิตรฯ ส่งนาย พิภพ ธงไชย ซึ่งเป็นแกนนำ และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกฯ มาคุยกันนายกฯ ส่วนแกนนำคนสำคัญที่สามารถตัดสินใจได้อย่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไม่ได้เดิน
ทางมาด้วย เพียงแต่ฝากข้อคิดมาให้นายกฯ เท่านั้น ภายหลังการเจรจา พันธมิตรฯ ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่า “ค้านยุบสภา” ไม่เอาโรดแมปนี้ เพราะเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มนึ่งเท่านั้น แถมเวลายุบสภาอีก 4 เดือนนั้นยังน้อยไปสำหรับการเตรียมการและแก้ปัญหาที่ค้างคา ดังนั้น พันธมิตรฯ จึงไม่เห็นด้วยกับการแผนปรองดองนี้ขณะที่นายกรัฐมนตรี ยังมองในมุมบวกนิดๆ แต่ยังแฝงความน้อยใจนิดๆ ด้วยเช่นกับท่าทีของแกนนำพันธมิตรฯ มาหารือกัน“ผมคิด
ว่าพันธมิตรฯ น่าจะมีความเข้าใจมากขึ้น เพราะบางทีก็ไปกล่าวหากันรุนแรง เช่นที่กล่าวว่าผมทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง หรือไปสมคบหรือไปตกลงกับใคร ซึ่งไม่เป็นความจริง”นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ปรองดองเพื่อชาติของรัฐบาลได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เพราะล่าสุด นิตยสารไทม์ ได้เขียนบทความถึงแนวคิดนี้ด้วยเช่นกัน ในบทความเรื่อง “Thailand PM Gains Upper Hand in Protest Crisis” นิตยสารไทม์ส โดยนายโรเบิร์ต ฮอร์น ระบุตอน
หนึ่งของบทความว่า “แม้นายอภิสิทธิ์ ยังไม่สามารถออกจากป่าได้เสียทีเดียว แต่ก็ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเขาถือไพ่เหนือกว่า จากที่เคยถูกเย้ยหยันถึงความอ่อนแอและถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการบัญชาการตำรวจและทหารของไทย ท้ายที่สุดแล้วนายอภิสิทธิ์ ก็แสดงถึงความเป็นผู้นำมากกว่าที่จะตอบโต้ผู้ประท้วง และหากกระแสเปลี่ยนไปในทิศทางตรงข้ามกับผู้ชุมนุม ไหวพริบทางการเมืองของนายรัฐมนตรีก็คงรู้ดีว่าต้องจัดการอย่างไรกับคนเสื้อแดง”ขณะเดียว
ท่าทีนายกรัฐมนตรี ต่อปัญหาการเมืองที่ไม่ได้ข้อสรุปเช่นนี้ ยังระบุด้วยว่า “ถ้ากลุ่มเสื้อแดงยังติดขัดเรื่องบริหารจัดการก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อไรมีความชัดเจนว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะร่วมกระบวนการปรองดอง ผมก็ถือว่าคำเสนอเรื่องการยุบสภาต้องเป็นอันยกเลิกไป ผมต้องทำในส่วนอื่นใน 5 ข้อนี้ และการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเดินต่อไป”งานนี้จึง “จบยาก”หากยังย้ำอยู่กับที่เช่นนี้!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.............................................................
‘สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ’ ฟ้องหมิ่นประมาท ศอฉ. ฐานเผยแพร่แผนผังเครือข่ายล้มสถาบัน

7 พ.ค.53 เวลาประมาณ 9.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทนายความได้ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำเลยที่1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. จำเลยที่2 และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 157, 328 กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เผยแพร่แผนผังเครือข่ายล้มเจ้า ซึ่งมีชื่อของนายสุธาชัยปรากฏอยู่ นอกจากนี้ยังได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งในข้อหาละเมิด ให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 300,554.80 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และขอให้ศาลเปิดการไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. ศาลไต่สวนฉุกเฉินโดยไต่สวนโจทก์เพียงปากเดียวพร้อมพยานเอกสารอีก 5 ชิ้น และนัดฟังคำสั่งในวันจันทร์ที่ 10 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ เนื้อหาในคำฟ้องฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาระบุว่า สืบเนื่องจากที่นายอภิสิทธิ์ (จำเลยที่ 1) ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมอบหมายให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (จำเลยที่ 2) เป็นประธานกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ในฐานะ ผอ.ศอฉ. โดยมี พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ทำหน้าที่เป็นโฆษก ศอฉ.
จำเลยทั้งสามที่มีอำนาจหน้าที่ใน ศอฉ.ได้กระทำผิดกฎหมาย โดยการร่วมกันจัดทำแผ่นปลิวโฆษณาระบุว่า แผ่นปลิวดังกล่าวเป็นแผนผังของ ศอฉ. ซึ่งแสดงเครือข่ายที่มีพฤติการณ์ส่อล้มสถาบัน โดยมีรายชื่อของโจทก์ปรากฏอยู่ในเครือข่ายนั้นด้วย ทั้งที่จำเลยทั้งสามก็ทราบดีอยู่แล้วว่า โจทก์มิได้เป็นเครือข่ายขบวนการดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริต ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และปฏิบัติโดยทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ จำเลยทั้งสามยังได้ทำการโฆษณาแจกจ่ายแผ่นปลิวดังกล่าวให้กับผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อมวลชนทั่วไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ซึ่งตามความจริงแล้ว โจทก์ไม่ได้เป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์ต้องการจาบจ้วง และล้มล้างสถาบันแต่อย่างใด ทั้งนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสาม ไม่ได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับ หรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย แต่เป็นการทุจริต เลือกปฏิบัติเกินสมควรแก่เหตุ และไม่ใช่กรณีที่จำเป็น ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงไม่ควรได้รับความคุ้มครองใดๆ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายสุธาชัย ให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นฟ้องร้องต่อศาลในครั้งนี้ว่า จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง เนื่องจากไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหาตามแผนผังของ ศอฉ. และโดยส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่าจะ มีขบวนการนี้อยู่จริง เป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสีระหว่างที่รัฐพยายามจะสลายการชุมนุม อีกทั้ง เพื่อเป็นการระงับการกระทำดังกล่าวของรัฐซึ่งอาจเกิดขึ้นได้อีก
ส่วนการโยงใยว่าเป็นเครือข่ายฯ โดยอ้างหลักฐานเรื่องการเป็นนาย ประกันให้ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโดนั้น นายสุธาชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องไม่มีเหตุผล เพราะในขณะนั้นดารณีเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ ซึ่งจะต้องให้ศาลตัดสินว่าผิดจริง หรือไม่ และไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่ามีกระบวนการล้มเจ้าอยู่จริง ทั้งนี้ การเป็นนายประกันไม่ได้หมายความว่า ต้องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย เพียงแต่ตนไม่เห็นด้วยกับการนำข้อหาดังกล่าวมาทำลายกัน ในประเด็นทางการเมือง อีกทั้ง เห็นว่าดารณีควรมีสิทธิที่จะออกมานอกคุกเพื่อต่อสู้คดีเหมือนคนทั่วไป สำหรับกรณีที่เป็นที่ปรึกษาหนังสือพิมพ์ Thai Red News และ Voice of Taksin นั้นก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ปรึกษาของสื่อมวลชนอย่างที่หลายคนเป็นและตนก็ได้ส่งบทความไปลงบ้างเพียงเท่านั้น
นายสุธาชัยกล่าวแสดงความคิดเห็นด้วยว่า ส่วนตัวคิดว่า ศอฉ.ถูกตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ในการการระงับ หรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมายใน การชุมนุมของคนเสื้อแดง ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ดังนั้น การทำแผนผังเครือข่ายขบวนการล้มเจ้าและเผยแพร่ต่อสื่อต่างๆ น่าจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าอำนาจหน้าที่ของ ศอฉ.
ที่มา.ประชาไท
............................................................
ศาลอาญา ระหว่างประเทศ
สัปดาห์ที่ผ่านมา "ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชีย" (เอซีเอชอาร์) ออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า
แม้รัฐบาลไทยยังไม่ได้ให้ "สัตยาบัน" ใน "ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยการจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ" (ไอซีซี)
แต่กลไกสิทธิมนุษยชนทั้งระดับในประเทศและนานาชาติสามารถยื่นเรื่องต่อไอซีซี ขอให้เปิดการพิจารณาคดีรัฐบาลใช้กำลังทหารยิงปราบปรามประชาชนได้เช่นกัน
ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ "ไอซีซี" (International Criminal Court) มีสถานะเป็น "องค์การระหว่างประเทศ" ที่ถือกำเนิดขึ้นโดยธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ตั้งอยู่ ณ นครเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
โดยมีเจตนารมณ์ตั้งขึ้นเพื่อจะนำตัว "ผู้กระทำความผิดทางอาญาระหว่างประเทศมาลงโทษ" ด้วยความร่วมมือกันของประชาคมระหว่างประเทศ
ซึ่งไทยได้ลงนามรับรองธรรมนูญกรุงโรมฯ ดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้ "สัตยาบัน" เพื่อผูกพันเป็นภาคีอย่างเป็นทางการ
เกรียงศักดิ์ แจ้งสว่าง นบ.นม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขากฎหมายระหว่างประเทศ อธิบายถึงหลักการสำคัญของไอซีซี ว่า
ไอซีซีมีอำนาจพิจารณาคดีเฉพาะปัจเจกบุคคลกระทำความผิด ซึ่งไม่ใช่การกระทำของรัฐ ได้แก่ อาชญากรรมร้ายแรงที่สุดที่สังคมระหว่างประเทศได้กำหนดห้ามไว้ และเกิดขึ้นภายหลังวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2545 เป็นต้นไป อันได้แก่
- การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หมายถึง การกระทำที่มีเจตนาทำ ลายล้างทั้งหมด หรือบางส่วนของกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือกลุ่มทางศาสนา
- อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ หมายถึง การกระทำใดๆ ที่เป็นการโจมตีอย่างกว้างขวาง หรือเป็นระบบที่มีเป้าหมายโดยตรงต่อประชาชนพลเรือน เช่น การฆาตกรรม การทำลายล้าง การเนรเทศ หรือการบังคับพลเรือนให้โยกย้าย การทรมาน ข่มขืนกระชำเรา ฯลฯ
- อาชญากรรมสงคราม ได้แก่ ทั้งสงครามระหว่างประเทศและสงครามกลางเมือง รวมถึงการดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนร่วมในการวางแผน หรือการกระทำที่ส่งผลต่อทหารและพลเรือนจำนวนมาก เช่น การปฏิบัติอย่างไร้มนุษย ธรรมต่อเชลยศึก การใช้แก๊สพิษ การโจมตีเป้าหมายพลเรือน เป็นต้น
- ความผิดฐานการรุกราน ซึ่งหลายประเทศคัดค้าน รวมถึงรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพราะเกรงว่าจะไปผูกโยงกับปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศของตน
อำนาจของไอซีซีข้างต้นต้องตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 3 ประการคือ
1.ไม่มีผลย้อนหลังของความผิด
2.ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล เพราะหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ผู้กระทำความผิดต่อมวลมนุษยชาติไม่ได้รับการลงโทษ เช่น กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา หรือการเข่นฆ่าประชาชนในภาวะความขัดแย้งทางการเมือง
3.การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
ธรรมนูญกรุงโรมฯ กำหนดเงื่อนไขในการที่ไอซีซีจะพิจารณาคดีเบื้องต้น คือ รัฐนั้นๆ ต้องให้สัตยาบันแก่ธรรมนูญศาล นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่น คู่กรณีที่เกี่ยวข้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐคู่สัญญา ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้มีสัญชาติของรัฐคู่สัญญา อาชญากรรมได้กระทำบนดินแดนของรัฐคู่สัญญา เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐที่ไม่ใช่รัฐคู่สัญญา อาจตกลงยอมรับเขตอำนาจศาลในคดีอาชญากรรมที่กระทำบนดินแดนของตน หรือโดยคนสัญชาติตนก็ได้
รัฐบาลไทยเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายกับหลักเกณฑ์ใดบ้าง?
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
*****************************************************
แม้รัฐบาลไทยยังไม่ได้ให้ "สัตยาบัน" ใน "ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยการจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ" (ไอซีซี)
แต่กลไกสิทธิมนุษยชนทั้งระดับในประเทศและนานาชาติสามารถยื่นเรื่องต่อไอซีซี ขอให้เปิดการพิจารณาคดีรัฐบาลใช้กำลังทหารยิงปราบปรามประชาชนได้เช่นกัน
ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ "ไอซีซี" (International Criminal Court) มีสถานะเป็น "องค์การระหว่างประเทศ" ที่ถือกำเนิดขึ้นโดยธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ตั้งอยู่ ณ นครเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
โดยมีเจตนารมณ์ตั้งขึ้นเพื่อจะนำตัว "ผู้กระทำความผิดทางอาญาระหว่างประเทศมาลงโทษ" ด้วยความร่วมมือกันของประชาคมระหว่างประเทศ
ซึ่งไทยได้ลงนามรับรองธรรมนูญกรุงโรมฯ ดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้ "สัตยาบัน" เพื่อผูกพันเป็นภาคีอย่างเป็นทางการ
เกรียงศักดิ์ แจ้งสว่าง นบ.นม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขากฎหมายระหว่างประเทศ อธิบายถึงหลักการสำคัญของไอซีซี ว่า
ไอซีซีมีอำนาจพิจารณาคดีเฉพาะปัจเจกบุคคลกระทำความผิด ซึ่งไม่ใช่การกระทำของรัฐ ได้แก่ อาชญากรรมร้ายแรงที่สุดที่สังคมระหว่างประเทศได้กำหนดห้ามไว้ และเกิดขึ้นภายหลังวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2545 เป็นต้นไป อันได้แก่
- การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หมายถึง การกระทำที่มีเจตนาทำ ลายล้างทั้งหมด หรือบางส่วนของกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือกลุ่มทางศาสนา
- อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ หมายถึง การกระทำใดๆ ที่เป็นการโจมตีอย่างกว้างขวาง หรือเป็นระบบที่มีเป้าหมายโดยตรงต่อประชาชนพลเรือน เช่น การฆาตกรรม การทำลายล้าง การเนรเทศ หรือการบังคับพลเรือนให้โยกย้าย การทรมาน ข่มขืนกระชำเรา ฯลฯ
- อาชญากรรมสงคราม ได้แก่ ทั้งสงครามระหว่างประเทศและสงครามกลางเมือง รวมถึงการดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนร่วมในการวางแผน หรือการกระทำที่ส่งผลต่อทหารและพลเรือนจำนวนมาก เช่น การปฏิบัติอย่างไร้มนุษย ธรรมต่อเชลยศึก การใช้แก๊สพิษ การโจมตีเป้าหมายพลเรือน เป็นต้น
- ความผิดฐานการรุกราน ซึ่งหลายประเทศคัดค้าน รวมถึงรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพราะเกรงว่าจะไปผูกโยงกับปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศของตน
อำนาจของไอซีซีข้างต้นต้องตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 3 ประการคือ
1.ไม่มีผลย้อนหลังของความผิด
2.ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล เพราะหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ผู้กระทำความผิดต่อมวลมนุษยชาติไม่ได้รับการลงโทษ เช่น กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา หรือการเข่นฆ่าประชาชนในภาวะความขัดแย้งทางการเมือง
3.การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
ธรรมนูญกรุงโรมฯ กำหนดเงื่อนไขในการที่ไอซีซีจะพิจารณาคดีเบื้องต้น คือ รัฐนั้นๆ ต้องให้สัตยาบันแก่ธรรมนูญศาล นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่น คู่กรณีที่เกี่ยวข้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐคู่สัญญา ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้มีสัญชาติของรัฐคู่สัญญา อาชญากรรมได้กระทำบนดินแดนของรัฐคู่สัญญา เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐที่ไม่ใช่รัฐคู่สัญญา อาจตกลงยอมรับเขตอำนาจศาลในคดีอาชญากรรมที่กระทำบนดินแดนของตน หรือโดยคนสัญชาติตนก็ได้
รัฐบาลไทยเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายกับหลักเกณฑ์ใดบ้าง?
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
*****************************************************
อาถรรพ์ ณ ป้อมเพชร
ไม่น่าเชื่อ ว่า สามสตรีหลังบ้านผู้นำประเทศไทย 3 คน จะเกี่ยวดองหนองยุ่ง(สำนวนคุณหมู นิติภูมิ) กันได้ แถมบุคลิกใกล้เคียงกันเสียอีก ต่างกันที่ว่า 2 คนแรกนั้น หนักแน่นมั่นคงในระบอบประชาธิปไตย ส่วนคนล่าสุดกลับหนักแน่นมั่นคงในระบอบอำมาตย์ทราราชย์แผ่นดิน
***********************
สตรีแกร่งแห่ง 'ณ ป้อมเพชร'
เปิดหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในทำเนียบภริยานายกรัฐมนตรี มี “หลังบ้านผู้นำ” และ “อดีตหลังบ้านผู้นำ” ผู้ซึ่งเดินเคียงข้างและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมาถึง 3 ยุค 3 สมัย ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันทางเชื้อสายสกุลนั่นคือ สกุล “ณ ป้อมเพชร”
ท่านแรกคือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (สกุลเดิม ณ ป้อมเพชร) ภริยา ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐบุรุษอาวุโสและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของประเทศไทย ในช่วงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
ท่านผู้หญิงพูนศุข เกิดเมื่อวันที่ 2 ม.ค. พ.ศ. 2455 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นธิดาคนที่ 5 ในบรรดาบุตร-ธิดา 12 คน ของ มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (พระสมุทบุรานุรักษ์ หรือ ขำ ณ ป้อมเพชร) อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของประเทศ และ คุณหญิงชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (เพ็ง สุวรรณศร) และหนึ่งในจำนวนน้องสาวคนถัดมาของท่านผู้หญิงพูนศุข คือ นางอัมพา สุวรรณศร (สมรสกับ ศ.ประมูล สุวรรณศร) มีสถานภาพเป็นยายแท้ ๆ ของ ผศ.ดร. พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั่นเอง
ชีวิตสมรสระหว่างท่านผู้หญิงพูนศุขและศ.ดร. ปรีดี เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2471 หลังจากสมรสได้ 4 ปี ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มรสุมทางการเมืองจึงทำให้ทั้งสองถูกพลัดพรากออกจากกัน ศ.ดร.ปรีดีลี้ภัยทางการเมืองไปพำนักอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง ทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ไปพร้อม ๆ กัน เมื่อ ศ.ดร.ปรีดีเดินทางกลับมาได้ทำหน้าที่เคียงบ่าเคียงไหล่สามีจนเกิดมรสุมครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2490 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศ.ดร.ปรีดีหนีตายไปต่างประเทศจากพิษการเมือง กระทั่งปี พ.ศ. 2495 ท่านผู้หญิงพูนศุขและบุตรชาย (ปาล พนมยงค์) ถูกจับคุมขังในฐานะกบฏอยู่นาน 84 วัน
เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมา ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ตามสามีไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีน จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสและใช้ชีวิตที่บ้านอองโตนีเป็นบ้านหลังสุดท้ายสำหรับชีวิตคู่ร่วมกัน ท่านผู้หญิงพูนศุขใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายเคียงข้างสามีอันเป็นที่รักยิ่ง ที่ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในปี พ.ศ. 2526 ท่านผู้หญิงพูนศุขเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอีกครั้งพร้อมด้วยอัฐิของสามีในปี พ.ศ. 2530 และได้ใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลาย สุดท้ายที่บ้านเกิดเมืองนอน กระทั่งวันที่ 12 พ.ค. พ.ศ. 2550 ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบสิริอายุรวม 95 ปี 4 เดือน 9 วัน
ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ท่านผู้หญิงพูนศุขชื่นชอบการทำอาหารฝรั่ง ทำเค้ก ขณะเดียวกันมีคุณงามความดีที่ลือลั่นว่าเป็นสตรีที่รักประชาธิปไตย รักความสมถะและเรียบง่าย เป็นศรีภรรยาที่เสียสละทุกอย่างเพื่อสามี เรียนรู้เรื่องการเมืองจากสามีจนกลายเป็นสตรีที่รักประชาธิปไตย และต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเคียงบ่าเคียงไหล่สามี แม้ได้รับมรสุมทางการเมืองพัดกระหน่ำอยู่หลายต่อหลายครั้ง
หนึ่งในสาย ณ ป้อมเพชร ที่มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในเวลาต่อมาคือ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร หรือ “คุณหญิงอ้อ” สมรสกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย มีบุตร-ธิดา 3 คน คือ นายพานทองแท้-น.ส.แพทองธาร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ปัจจุบันคุณหญิงพจมานเลือกกลับมาใช้นามสกุล “ณ ป้อมเพชร” ของมารดา (นางพจนีย์ ณ ป้อมเพชร) แทนการใช้นามสกุล “ดามาพงศ์” ของฝ่ายบิดา (พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์) หลังจากหย่าขาดจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ในปี พ.ศ. 2551
เมื่อครั้งเดินเคียงข้าง (อดีต) สามี คุณหญิงพจมานไม่เพียงแค่เป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่ออดีตผู้นำประเทศเท่านั้น นับตั้งแต่การวางรากฐานทางการเมืองให้แก่ (อดีต) สามีตั้งแต่เริ่มสร้าง พรรคไทยรักไทย แต่ยังเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตั้งแต่สมัยก่อร่างสร้างธุรกิจด้วยกันมา จึงเรียกได้ว่าทรงอิทธิพลในแง่ธุรกิจของครอบครัวตระกูล ชินวัตรเป็นอย่างมาก
บุคลิกลักษณะอันโดดเด่นของคุณหญิงพจมานเป็นที่รู้กันดีในเรื่องของความเงียบขรึม ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดหรืออาจมีเพียงคำตอบชนิดถามคำตอบครึ่งคำ พร้อมรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้ายามที่ถูกสัมภาษณ์ เป็นคนมีระเบียบ ใจกว้าง ใจนักเลง และเป็นนักวางแผนที่ลึกล้ำที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ของผู้เป็นแม่ได้อย่างไม่มีที่ติในการเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งสามคน
และหนึ่งในสตรีเชื้อสายสกุล ณ ป้อมเพชร ที่เป็นหลังบ้านนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทยในปัจจุบันคือ ผศ.ดร.ทพญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ (ศกุนตาภัย) หรือ “คุณแตง” ที่เรียกสั้น ๆ มาจาก“แตงโม” เป็นบุตรสาวของ ศ.(พิเศษ)พงศ์เพ็ญ-นางประพาพิมพ์ ศกุนตาภัย (สุวรรณศร) อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ความเกี่ยวโยงกับสายสกุล ณ ป้อมเพชร สืบเนื่องจากคุณยายของคุณแตงโมคือน้องสาวแท้ ๆ ของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (ณ ป้อมเพชร)
สตรีหมายเลข 1 คนปัจจุบันของประเทศไทย มีบทบาทแนวหน้าและโดดเด่นในฐานะนักวิชาการ ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาคณิตศาสตร์ ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ แต่ใจรักวิชาคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก จึงเข้าศึกษาต่อปริญญาโทและเอกจากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ จากจุฬาฯ สถาบัน ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาสถาบันเดิม ภายหลังสมรสแล้วมีธิดาและบุตร 2 คน คือ น.ส.ปราง และ นายปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ในฐานะภริยาของ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณแตงโมเป็นหลังบ้านที่สุขุม จริงจัง ตามลักษณะอาจารย์นักวิชาการ ไม่ใช่ผู้หญิงหวาน ไม่นิยมออกสื่อใด ๆ หากไม่จำเป็น เพราะต้องการใช้ชีวิตครอบครัวด้วยความเป็นส่วนตัว แต่เป็นที่รู้กันว่านายกฯ อภิสิทธิ์ รักและเคารพศรีภริยามาก ขณะเดียวกันคุณแตงโมคอยเป็นกำลังใจให้แก่สามีอยู่ไม่ห่างอย่างเงียบ ๆ และเป็นศรีภริยาคู่คิดที่มีแนวคิดและมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน
นอกจากมาจากสายสกุลเดียวกัน สิ่งที่เหมือนกันของนางพญาทั้งสามคน คือ ความเยือกเย็น สุขุม และอยู่ข้างหลังบัลลังก์ผู้นำ ซึ่งเป็นจุดเด่นสายสกุลนี้มาเนิ่นนาน.
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม สกุล “ณ ป้อมเพชร” ให้แก่ พระสมุทบุรานุรักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสมุทรปราการ ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา”( ขำ ณ ป้อมเพชร) โดยสกุล ณ ป้อมเพชร นับว่าได้สร้างสตรีหมายเลข 1 ที่เปรียบเสมือนหลังบ้านผู้ซึ่งเดินเคียงข้างอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีไทยถึง 3 คน ใน 3 ยุค 3 สมัย ซึ่งแต่ละยุคสมัยเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของการเมืองไทย
**************************************************
***********************
สตรีแกร่งแห่ง 'ณ ป้อมเพชร'
เปิดหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในทำเนียบภริยานายกรัฐมนตรี มี “หลังบ้านผู้นำ” และ “อดีตหลังบ้านผู้นำ” ผู้ซึ่งเดินเคียงข้างและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมาถึง 3 ยุค 3 สมัย ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันทางเชื้อสายสกุลนั่นคือ สกุล “ณ ป้อมเพชร”
ท่านแรกคือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (สกุลเดิม ณ ป้อมเพชร) ภริยา ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐบุรุษอาวุโสและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของประเทศไทย ในช่วงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
ท่านผู้หญิงพูนศุข เกิดเมื่อวันที่ 2 ม.ค. พ.ศ. 2455 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นธิดาคนที่ 5 ในบรรดาบุตร-ธิดา 12 คน ของ มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (พระสมุทบุรานุรักษ์ หรือ ขำ ณ ป้อมเพชร) อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของประเทศ และ คุณหญิงชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (เพ็ง สุวรรณศร) และหนึ่งในจำนวนน้องสาวคนถัดมาของท่านผู้หญิงพูนศุข คือ นางอัมพา สุวรรณศร (สมรสกับ ศ.ประมูล สุวรรณศร) มีสถานภาพเป็นยายแท้ ๆ ของ ผศ.ดร. พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั่นเอง
ชีวิตสมรสระหว่างท่านผู้หญิงพูนศุขและศ.ดร. ปรีดี เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2471 หลังจากสมรสได้ 4 ปี ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มรสุมทางการเมืองจึงทำให้ทั้งสองถูกพลัดพรากออกจากกัน ศ.ดร.ปรีดีลี้ภัยทางการเมืองไปพำนักอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง ทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ไปพร้อม ๆ กัน เมื่อ ศ.ดร.ปรีดีเดินทางกลับมาได้ทำหน้าที่เคียงบ่าเคียงไหล่สามีจนเกิดมรสุมครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2490 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศ.ดร.ปรีดีหนีตายไปต่างประเทศจากพิษการเมือง กระทั่งปี พ.ศ. 2495 ท่านผู้หญิงพูนศุขและบุตรชาย (ปาล พนมยงค์) ถูกจับคุมขังในฐานะกบฏอยู่นาน 84 วัน
เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมา ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ตามสามีไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีน จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสและใช้ชีวิตที่บ้านอองโตนีเป็นบ้านหลังสุดท้ายสำหรับชีวิตคู่ร่วมกัน ท่านผู้หญิงพูนศุขใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายเคียงข้างสามีอันเป็นที่รักยิ่ง ที่ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในปี พ.ศ. 2526 ท่านผู้หญิงพูนศุขเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอีกครั้งพร้อมด้วยอัฐิของสามีในปี พ.ศ. 2530 และได้ใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลาย สุดท้ายที่บ้านเกิดเมืองนอน กระทั่งวันที่ 12 พ.ค. พ.ศ. 2550 ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบสิริอายุรวม 95 ปี 4 เดือน 9 วัน
ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ท่านผู้หญิงพูนศุขชื่นชอบการทำอาหารฝรั่ง ทำเค้ก ขณะเดียวกันมีคุณงามความดีที่ลือลั่นว่าเป็นสตรีที่รักประชาธิปไตย รักความสมถะและเรียบง่าย เป็นศรีภรรยาที่เสียสละทุกอย่างเพื่อสามี เรียนรู้เรื่องการเมืองจากสามีจนกลายเป็นสตรีที่รักประชาธิปไตย และต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเคียงบ่าเคียงไหล่สามี แม้ได้รับมรสุมทางการเมืองพัดกระหน่ำอยู่หลายต่อหลายครั้ง
หนึ่งในสาย ณ ป้อมเพชร ที่มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในเวลาต่อมาคือ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร หรือ “คุณหญิงอ้อ” สมรสกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย มีบุตร-ธิดา 3 คน คือ นายพานทองแท้-น.ส.แพทองธาร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ปัจจุบันคุณหญิงพจมานเลือกกลับมาใช้นามสกุล “ณ ป้อมเพชร” ของมารดา (นางพจนีย์ ณ ป้อมเพชร) แทนการใช้นามสกุล “ดามาพงศ์” ของฝ่ายบิดา (พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์) หลังจากหย่าขาดจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ในปี พ.ศ. 2551
เมื่อครั้งเดินเคียงข้าง (อดีต) สามี คุณหญิงพจมานไม่เพียงแค่เป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่ออดีตผู้นำประเทศเท่านั้น นับตั้งแต่การวางรากฐานทางการเมืองให้แก่ (อดีต) สามีตั้งแต่เริ่มสร้าง พรรคไทยรักไทย แต่ยังเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตั้งแต่สมัยก่อร่างสร้างธุรกิจด้วยกันมา จึงเรียกได้ว่าทรงอิทธิพลในแง่ธุรกิจของครอบครัวตระกูล ชินวัตรเป็นอย่างมาก
บุคลิกลักษณะอันโดดเด่นของคุณหญิงพจมานเป็นที่รู้กันดีในเรื่องของความเงียบขรึม ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดหรืออาจมีเพียงคำตอบชนิดถามคำตอบครึ่งคำ พร้อมรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้ายามที่ถูกสัมภาษณ์ เป็นคนมีระเบียบ ใจกว้าง ใจนักเลง และเป็นนักวางแผนที่ลึกล้ำที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ของผู้เป็นแม่ได้อย่างไม่มีที่ติในการเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งสามคน
และหนึ่งในสตรีเชื้อสายสกุล ณ ป้อมเพชร ที่เป็นหลังบ้านนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทยในปัจจุบันคือ ผศ.ดร.ทพญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ (ศกุนตาภัย) หรือ “คุณแตง” ที่เรียกสั้น ๆ มาจาก“แตงโม” เป็นบุตรสาวของ ศ.(พิเศษ)พงศ์เพ็ญ-นางประพาพิมพ์ ศกุนตาภัย (สุวรรณศร) อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ความเกี่ยวโยงกับสายสกุล ณ ป้อมเพชร สืบเนื่องจากคุณยายของคุณแตงโมคือน้องสาวแท้ ๆ ของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (ณ ป้อมเพชร)
สตรีหมายเลข 1 คนปัจจุบันของประเทศไทย มีบทบาทแนวหน้าและโดดเด่นในฐานะนักวิชาการ ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาคณิตศาสตร์ ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ แต่ใจรักวิชาคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก จึงเข้าศึกษาต่อปริญญาโทและเอกจากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ จากจุฬาฯ สถาบัน ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาสถาบันเดิม ภายหลังสมรสแล้วมีธิดาและบุตร 2 คน คือ น.ส.ปราง และ นายปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ในฐานะภริยาของ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณแตงโมเป็นหลังบ้านที่สุขุม จริงจัง ตามลักษณะอาจารย์นักวิชาการ ไม่ใช่ผู้หญิงหวาน ไม่นิยมออกสื่อใด ๆ หากไม่จำเป็น เพราะต้องการใช้ชีวิตครอบครัวด้วยความเป็นส่วนตัว แต่เป็นที่รู้กันว่านายกฯ อภิสิทธิ์ รักและเคารพศรีภริยามาก ขณะเดียวกันคุณแตงโมคอยเป็นกำลังใจให้แก่สามีอยู่ไม่ห่างอย่างเงียบ ๆ และเป็นศรีภริยาคู่คิดที่มีแนวคิดและมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน
นอกจากมาจากสายสกุลเดียวกัน สิ่งที่เหมือนกันของนางพญาทั้งสามคน คือ ความเยือกเย็น สุขุม และอยู่ข้างหลังบัลลังก์ผู้นำ ซึ่งเป็นจุดเด่นสายสกุลนี้มาเนิ่นนาน.
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม สกุล “ณ ป้อมเพชร” ให้แก่ พระสมุทบุรานุรักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสมุทรปราการ ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา”( ขำ ณ ป้อมเพชร) โดยสกุล ณ ป้อมเพชร นับว่าได้สร้างสตรีหมายเลข 1 ที่เปรียบเสมือนหลังบ้านผู้ซึ่งเดินเคียงข้างอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีไทยถึง 3 คน ใน 3 ยุค 3 สมัย ซึ่งแต่ละยุคสมัยเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของการเมืองไทย
**************************************************
กาชาดวันนี้เป็นสีดำ
เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ น่าจะถูกจำจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองของไทยใหม่ เพราะนอกจากเหตุการณ์ที่มีลักษณะพิเศษ ณ สี่แยกคอกวัวเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ และเหตุยิงระเบิดที่แยกศาลาแดงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนแล้ว ยังมีละครโรงใหญ่เรื่องโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ให้ชมกันทั่วประเทศอีกด้วย
สองเหตุการณ์แรกมีคนตายและบาดเจ็บ จึงไม่ใช่เหตุแห่งความปีติอย่างใดทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐในระบอบเผด็จการไทยเดิมตระหนักรู้เป็นครั้งแรกว่าฝ่ายตนมิได้เป็นผู้ผูกขาดการใช้กำลังอาวุธอย่างที่เป็นมาหลายสิบปีอีกต่อไป และฝ่ายต่อต้านอำนาจเผด็จการที่ซ่อนรูปอยู่หลังรัฐบาล “ประชาธิปไตย” เริ่มจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรมและขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เพราะสังคมไทยที่ขาดแคลนความยุติธรรมและอยู่ในภาวะสองมาตรฐานจนถึงขนาด
ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันที่ ๑๐ และ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ คงจะปราบปรามประชาชนทั้งที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์จนเลือดท่วมท้องช้างไปเสียนานแล้ว การสาดกระสุนจริงและใช้อาวุธสงครามเพื่อกำจัดประชาชนที่ไม่มีอาวุธใดๆ ในมือ เว้นแต่ข้าวของที่คว้าได้จากแถวนั้นเพื่อป้องกันตัว เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าความเมตตาปรานีไม่มีอยู่ในระบบความคิดของอ้ายอีที่สั่งการ ชีวิตผู้บริสุทธิ์จะถูกคร่าไปอีกกี่ศพก็ไม่อาจรู้ได้ หากฝ่ายเขาไม่โดน “หยุด” ด้วยการต่อต้านอันเป็นประวัติศาสตร์นั้น
แต่สองเหตุนั้นบวกกันก็ยังไม่เท่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะชี้อะไรได้ชัดเจนกว่า
กรณีนี้เริ่มต้นด้วยการถกเถียงกันมานานหลายสัปดาห์ว่า บนตึกสูงหลายหลังของโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ถูกใช้เป็นที่ซุ่มซ่อนตัวของมือปืนในและนอกเครื่องแบบที่ฝ่ายตรงข้ามกับเวทีประชาธิปไตยหรือไม่ จนในที่สุดก็มีการแสดงหลักฐานสาธารณะว่ามีผู้ถืออาวุธสงครามอยู่จริง โดยซ่อนตัวอยู่ในที่จอดรถของตึก สื่อมวลชนทั่วไปก็ตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นกันอย่างแพร่หลาย
แกนนำเสื้อแดงโดยอดีต ส.ส.พายัพ ปั้นเกตุ ก็นำกำลังจำนวนหนึ่งไปยังโรงพยาบาลจุฬาฯ จุดประสงค์คือต้องการข้อเท็จจริงว่าคนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธสงครามเหล่านี้มีอยู่จริงหรือไม่
ก็เข้าทางเขา สื่อมวลชนและกลไกโฆษณาชวนเชื่อที่เตรียมไว้แล้วก็ออกข่าวอย่างครึกโครมในทันทีว่าโรงพยาบาลถูกบุกจู่โจมโดยแกนนำ นปช.ฯ เข้าแล้ว
ผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์อดิศร ภัทราดูลย์ เปิดแถลงข่าวเรื่องย้ายผู้ป่วยออกจากตึกทุกตึกที่อยู่ใกล้ชิดที่ชุมนุม โดยแสดงสุ้มเสียงประหนึ่งว่าคนเสื้อแดงจะยกพวกเข้ามาถล่มโรงพยาบาลเหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
ประกาศหยุดบริการทั้งหมดของโรงพยาบาล โดยบอกเสียด้วยว่า ตั้งมาเก้าสิบปีไม่เคยหยุดให้บริการจนมาคราวนี้ ตามด้วยรายงานข่าวยาวๆ เกี่ยวกับเกียรติคุณของโรงพยาบาลจุฬาฯ และความรันทดใจที่ต้องหยุดให้บริการประชาชน ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเข้าไปคนเสื้อแดงในวันนั้น
ต่อมาก็แถลงว่าได้เชิญเสด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ประทับรักษาพระองค์อยู่ที่นั่นไปยังโรงพยาบาลศิริราชแทน โทรทัศน์ของรัฐก็แสดงภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรถเข็นทรงและรถพระประเทียบที่นำพระองค์ออกไป อย่างโกลาหลเหมือนระเบิดลง โดยที่เราไม่ได้เห็นพระพักตร์แม้แต่เพียงแวบเดียวของประมุขสงฆ์ เพราะกลัวว่าเห็นแล้วจะรู้ว่าโดยพระสังขารนั้นก็ชัดเจนว่าไม่รู้พระองค์อีกต่อไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ตามด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พ่อของอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ตอกย้ำหัวตะปูว่า เหตุการณ์นี้เสียหายร้ายแรงมาก
ท้ายที่สุดคือการเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพยาบาลจุฬาฯ ของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ซึ่งตามข่าวแล้วเสด็จฯ แบบมีหมายกำหนดการและแบบส่วนพระองค์หลายครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โทรทัศน์ก็อัญเชิญพระราชกระแสมาว่าทรงห่วงใยคณะแพทย์ พยาบาล บุคลากร และผู้ป่วยของโรงพยาบาล ซึ่งได้กลายเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ของรัฐเป็นปริมาณมากและยาวนานหลายวัน
แล้วนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ ศอฉ. ก็ให้สัมภาษณ์ในท่อนท้ายของฉากแรกนี้ว่า จากนี้ไปจะปราบปรามอย่างเต็มที่ ถ้าแกนนำหรือผู้ชุมนุมจะต้องล้มตายกันบ้างในกระบวนการนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ชัดเจน เป็นระบบ ได้อารมณ์
หากเป็นบทละครหรือบทภาพยนตร์ก็ควรได้รับรางวัลจากผู้มีวิชาชีพนี้ โดยกรรมการตัดสินคงจะเห็นเป็นเอกฉันท์
ลำดับความมาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกนิดเดียวล่ะครับว่า กาชาดไทยซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดอยู่กับโรงพยาบาลจุฬาฯ นั้น ควรเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่วางตัวเหนือความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ และไม่ควรอย่างเด็ดขาดที่จะให้ใครเขาค่อนได้ว่าเล่นการเมือง
การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นอยู่แนบข้างโรงพยาบาลจุฬาฯ มานานหลายสัปดาห์ และการเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลเพื่อขอทราบความจริงว่ามีอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อคนที่มาชุมนุมโดยสงบบ้างหรือไม่นั้นก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เหตุไฉนจึงถือโอกาสนี้ส่งเสียงร้องกรีดดังและไม่ยอมหยุดส่งเสียงจนกว่ามือปืนประจำตัวจะมาถึง
ละครเรื่องนี้มีความจำเป็นขึ้นมา เพราะข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ที่ระดมใส่ขบวนประชาธิปไตยกันตลอดมาสองสามสัปดาห์นี้ล้มเหลวในการโน้มน้าวมติมหาชนและไม่อาจเร้าความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศได้ใช่ไหม?
นี่ยังไม่รวมข้อสงสัยที่ไม่เคยมีใครแถลงตอบเป็นทางการว่า รถของกาชาดไทยถูกใช้เป็นพาหนะย้ายทหารและอาวุธสงครามในระหว่างการปราบปรามประชาชนก่อนหน้านี้ แม้ปลอกแขนกาชาดไทยยังถูกนำมาใช้คล้องแขนทหารที่เข้าปราบปรามประชาชนมือเปล่าใช่ไหม?
ครับ คำถามเหล่านี้ควรจะมีคนตอบ แต่เมื่อเห็นชัดว่าไม่ตอบ มวลชนที่ก้าวหน้าเขาก็แสวงหาคำตอบของเขากันเอง
จะเป็นกาชาด หรือกาทมิฬ เขาตอบของเขาอยู่ในใจได้ครับ.
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
-------------------------------
สองเหตุการณ์แรกมีคนตายและบาดเจ็บ จึงไม่ใช่เหตุแห่งความปีติอย่างใดทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐในระบอบเผด็จการไทยเดิมตระหนักรู้เป็นครั้งแรกว่าฝ่ายตนมิได้เป็นผู้ผูกขาดการใช้กำลังอาวุธอย่างที่เป็นมาหลายสิบปีอีกต่อไป และฝ่ายต่อต้านอำนาจเผด็จการที่ซ่อนรูปอยู่หลังรัฐบาล “ประชาธิปไตย” เริ่มจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรมและขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เพราะสังคมไทยที่ขาดแคลนความยุติธรรมและอยู่ในภาวะสองมาตรฐานจนถึงขนาด
ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันที่ ๑๐ และ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ คงจะปราบปรามประชาชนทั้งที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์จนเลือดท่วมท้องช้างไปเสียนานแล้ว การสาดกระสุนจริงและใช้อาวุธสงครามเพื่อกำจัดประชาชนที่ไม่มีอาวุธใดๆ ในมือ เว้นแต่ข้าวของที่คว้าได้จากแถวนั้นเพื่อป้องกันตัว เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าความเมตตาปรานีไม่มีอยู่ในระบบความคิดของอ้ายอีที่สั่งการ ชีวิตผู้บริสุทธิ์จะถูกคร่าไปอีกกี่ศพก็ไม่อาจรู้ได้ หากฝ่ายเขาไม่โดน “หยุด” ด้วยการต่อต้านอันเป็นประวัติศาสตร์นั้น
แต่สองเหตุนั้นบวกกันก็ยังไม่เท่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะชี้อะไรได้ชัดเจนกว่า
กรณีนี้เริ่มต้นด้วยการถกเถียงกันมานานหลายสัปดาห์ว่า บนตึกสูงหลายหลังของโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ถูกใช้เป็นที่ซุ่มซ่อนตัวของมือปืนในและนอกเครื่องแบบที่ฝ่ายตรงข้ามกับเวทีประชาธิปไตยหรือไม่ จนในที่สุดก็มีการแสดงหลักฐานสาธารณะว่ามีผู้ถืออาวุธสงครามอยู่จริง โดยซ่อนตัวอยู่ในที่จอดรถของตึก สื่อมวลชนทั่วไปก็ตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นกันอย่างแพร่หลาย
แกนนำเสื้อแดงโดยอดีต ส.ส.พายัพ ปั้นเกตุ ก็นำกำลังจำนวนหนึ่งไปยังโรงพยาบาลจุฬาฯ จุดประสงค์คือต้องการข้อเท็จจริงว่าคนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธสงครามเหล่านี้มีอยู่จริงหรือไม่
ก็เข้าทางเขา สื่อมวลชนและกลไกโฆษณาชวนเชื่อที่เตรียมไว้แล้วก็ออกข่าวอย่างครึกโครมในทันทีว่าโรงพยาบาลถูกบุกจู่โจมโดยแกนนำ นปช.ฯ เข้าแล้ว
ผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์อดิศร ภัทราดูลย์ เปิดแถลงข่าวเรื่องย้ายผู้ป่วยออกจากตึกทุกตึกที่อยู่ใกล้ชิดที่ชุมนุม โดยแสดงสุ้มเสียงประหนึ่งว่าคนเสื้อแดงจะยกพวกเข้ามาถล่มโรงพยาบาลเหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
ประกาศหยุดบริการทั้งหมดของโรงพยาบาล โดยบอกเสียด้วยว่า ตั้งมาเก้าสิบปีไม่เคยหยุดให้บริการจนมาคราวนี้ ตามด้วยรายงานข่าวยาวๆ เกี่ยวกับเกียรติคุณของโรงพยาบาลจุฬาฯ และความรันทดใจที่ต้องหยุดให้บริการประชาชน ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเข้าไปคนเสื้อแดงในวันนั้น
ต่อมาก็แถลงว่าได้เชิญเสด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ประทับรักษาพระองค์อยู่ที่นั่นไปยังโรงพยาบาลศิริราชแทน โทรทัศน์ของรัฐก็แสดงภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรถเข็นทรงและรถพระประเทียบที่นำพระองค์ออกไป อย่างโกลาหลเหมือนระเบิดลง โดยที่เราไม่ได้เห็นพระพักตร์แม้แต่เพียงแวบเดียวของประมุขสงฆ์ เพราะกลัวว่าเห็นแล้วจะรู้ว่าโดยพระสังขารนั้นก็ชัดเจนว่าไม่รู้พระองค์อีกต่อไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ตามด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พ่อของอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ตอกย้ำหัวตะปูว่า เหตุการณ์นี้เสียหายร้ายแรงมาก
ท้ายที่สุดคือการเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพยาบาลจุฬาฯ ของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ซึ่งตามข่าวแล้วเสด็จฯ แบบมีหมายกำหนดการและแบบส่วนพระองค์หลายครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โทรทัศน์ก็อัญเชิญพระราชกระแสมาว่าทรงห่วงใยคณะแพทย์ พยาบาล บุคลากร และผู้ป่วยของโรงพยาบาล ซึ่งได้กลายเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ของรัฐเป็นปริมาณมากและยาวนานหลายวัน
แล้วนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ ศอฉ. ก็ให้สัมภาษณ์ในท่อนท้ายของฉากแรกนี้ว่า จากนี้ไปจะปราบปรามอย่างเต็มที่ ถ้าแกนนำหรือผู้ชุมนุมจะต้องล้มตายกันบ้างในกระบวนการนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ชัดเจน เป็นระบบ ได้อารมณ์
หากเป็นบทละครหรือบทภาพยนตร์ก็ควรได้รับรางวัลจากผู้มีวิชาชีพนี้ โดยกรรมการตัดสินคงจะเห็นเป็นเอกฉันท์
ลำดับความมาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกนิดเดียวล่ะครับว่า กาชาดไทยซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดอยู่กับโรงพยาบาลจุฬาฯ นั้น ควรเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่วางตัวเหนือความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ และไม่ควรอย่างเด็ดขาดที่จะให้ใครเขาค่อนได้ว่าเล่นการเมือง
การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นอยู่แนบข้างโรงพยาบาลจุฬาฯ มานานหลายสัปดาห์ และการเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลเพื่อขอทราบความจริงว่ามีอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อคนที่มาชุมนุมโดยสงบบ้างหรือไม่นั้นก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เหตุไฉนจึงถือโอกาสนี้ส่งเสียงร้องกรีดดังและไม่ยอมหยุดส่งเสียงจนกว่ามือปืนประจำตัวจะมาถึง
ละครเรื่องนี้มีความจำเป็นขึ้นมา เพราะข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ที่ระดมใส่ขบวนประชาธิปไตยกันตลอดมาสองสามสัปดาห์นี้ล้มเหลวในการโน้มน้าวมติมหาชนและไม่อาจเร้าความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศได้ใช่ไหม?
นี่ยังไม่รวมข้อสงสัยที่ไม่เคยมีใครแถลงตอบเป็นทางการว่า รถของกาชาดไทยถูกใช้เป็นพาหนะย้ายทหารและอาวุธสงครามในระหว่างการปราบปรามประชาชนก่อนหน้านี้ แม้ปลอกแขนกาชาดไทยยังถูกนำมาใช้คล้องแขนทหารที่เข้าปราบปรามประชาชนมือเปล่าใช่ไหม?
ครับ คำถามเหล่านี้ควรจะมีคนตอบ แต่เมื่อเห็นชัดว่าไม่ตอบ มวลชนที่ก้าวหน้าเขาก็แสวงหาคำตอบของเขากันเอง
จะเป็นกาชาด หรือกาทมิฬ เขาตอบของเขาอยู่ในใจได้ครับ.
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
-------------------------------
เอ็นจีโอแถลงประณามรัฐ สอดไส้กฎหมายห้ามชุมนุม
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนา เอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ประเทศไทย ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ(ศสส.) อีสาน กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา โครงการทามมูน และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ ระบุตีสองหน้า ทางหนึ่งบอกปฏิรูปสังคม อีกทางออกกฎหมายห้ามชุมนุม กระทบสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรองรับ โดยในแถลงการณ์มีรายละเอียด ดังนี้
******
แถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์
หยุดปฏิรูปประเทศไทยด้วยการสอดไส้ผลักดันร่างกฎหมายห้ามการชุมนุม
ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศวาระทำการปฏิรูปสังคมและการเมืองของประเทศชาติเพื่อกอบกู้ประเทศ จากวิกฤติความขัดแย้งทางด้านการเมืองและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม แต่อีกด้านหนึ่งกลับให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำเสนอร่างกฎหมายห้ามการชุมนุมเพื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี จึงเสมือนเป็นการตีสองหน้า และเล่นละครตบตาประชาชนทั้งประเทศ เรียกคะแนนนิยมด้วยการแสดงท่าทีที่จริงใจว่า จะร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมทำการปฏิรูปสังคมและการเมืองร่วมกัน
จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบผ่าน ‘ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ....’ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญกำหนดให้การชุมนุมสาธารณะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ และต้องไม่กีดขวางทางเข้า-ออกสถานที่ที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระรัชทายาท และสถานที่พำนักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ศาล และหน่วยงานของรัฐ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟหรือสถานีขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน ตลอดจนสถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ ทางเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนจึงมีข้อเสนอดังนี้
๑.รัฐบาลต้องยุติการออกพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... เนื่องจากร่าง พรบ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.... ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๓ และเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ
๒.ร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวเป็นการห้ามการชุมนุมเพื่อหวังปิดกั้น เสรีภาพการชุมนุมฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่ทำลายเสถียรภาพความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลซึ่งรัฐบาลมีกฎหมายหลาย ฉบับที่สามารถใช้ควบคุมการชุมนุมอยู่แล้ว การออกกฎหมายคุมการชุมนุมเช่นนี้ กลับเป็นการปิดกั้นสิทฺธิ เสรีภาพและจะไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมทางสังคมได้ รัฐบาลต้องสร้างการมีส่วนร่วมและเปิดการรับฟังความคิดเห็น กับประชาชนในวงกว้างให้เข้าไปมีส่วนร่วมต่อการร่าง พรบ.การชุมนุมสาธารณะพ.ศ...... ดังกล่าว
๓.เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องภาคประชาสังคม นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรประชาชน องค์กรอิสระ สื่อมวลชน และกลุ่มเสื้อสีใดก็ตามประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่พยายามผลักดันร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ....
เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน มีความเห็นว่ารัฐบาลต้องสร้างความจริงใจในการสร้างความปรองดองและลดช่องว่าง ทางอำนาจของภาครัฐลงเพื่อเป็นการสร้างโอกาสของกลุ่มผู้ที่เข้าไม่ถึงการใช้ ทรัพยากรให้มีสิทธิ มีเสียงบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยและยึดมั่นการมีส่วนร่วมในทุกระดับ
ด้วยจิตคารวะ
๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓
๑.คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)ภาคอีสาน
๒.เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ประเทศไทย
๓.ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ(ศสส.) อีสาน
๔.กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
๕.โครงการทามมูน
๖.กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี
ที่มา.ประชาไท
**************************************************
******
แถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์
หยุดปฏิรูปประเทศไทยด้วยการสอดไส้ผลักดันร่างกฎหมายห้ามการชุมนุม
ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศวาระทำการปฏิรูปสังคมและการเมืองของประเทศชาติเพื่อกอบกู้ประเทศ จากวิกฤติความขัดแย้งทางด้านการเมืองและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม แต่อีกด้านหนึ่งกลับให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำเสนอร่างกฎหมายห้ามการชุมนุมเพื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี จึงเสมือนเป็นการตีสองหน้า และเล่นละครตบตาประชาชนทั้งประเทศ เรียกคะแนนนิยมด้วยการแสดงท่าทีที่จริงใจว่า จะร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมทำการปฏิรูปสังคมและการเมืองร่วมกัน
จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบผ่าน ‘ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ....’ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญกำหนดให้การชุมนุมสาธารณะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ และต้องไม่กีดขวางทางเข้า-ออกสถานที่ที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระรัชทายาท และสถานที่พำนักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ศาล และหน่วยงานของรัฐ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟหรือสถานีขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน ตลอดจนสถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ ทางเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนจึงมีข้อเสนอดังนี้
๑.รัฐบาลต้องยุติการออกพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... เนื่องจากร่าง พรบ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.... ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๓ และเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ
๒.ร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวเป็นการห้ามการชุมนุมเพื่อหวังปิดกั้น เสรีภาพการชุมนุมฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่ทำลายเสถียรภาพความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลซึ่งรัฐบาลมีกฎหมายหลาย ฉบับที่สามารถใช้ควบคุมการชุมนุมอยู่แล้ว การออกกฎหมายคุมการชุมนุมเช่นนี้ กลับเป็นการปิดกั้นสิทฺธิ เสรีภาพและจะไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมทางสังคมได้ รัฐบาลต้องสร้างการมีส่วนร่วมและเปิดการรับฟังความคิดเห็น กับประชาชนในวงกว้างให้เข้าไปมีส่วนร่วมต่อการร่าง พรบ.การชุมนุมสาธารณะพ.ศ...... ดังกล่าว
๓.เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องภาคประชาสังคม นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรประชาชน องค์กรอิสระ สื่อมวลชน และกลุ่มเสื้อสีใดก็ตามประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่พยายามผลักดันร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ....
เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน มีความเห็นว่ารัฐบาลต้องสร้างความจริงใจในการสร้างความปรองดองและลดช่องว่าง ทางอำนาจของภาครัฐลงเพื่อเป็นการสร้างโอกาสของกลุ่มผู้ที่เข้าไม่ถึงการใช้ ทรัพยากรให้มีสิทธิ มีเสียงบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยและยึดมั่นการมีส่วนร่วมในทุกระดับ
ด้วยจิตคารวะ
๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓
๑.คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)ภาคอีสาน
๒.เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ประเทศไทย
๓.ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ(ศสส.) อีสาน
๔.กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
๕.โครงการทามมูน
๖.กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี
ที่มา.ประชาไท
**************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
30 องค์กรขอนายกฯเอาให้ชัด แนะเปิดทางศาลโลกตรวจสอบเหตุนองเลือด
30 องค์กรชาวบ้าน-ภาคประชาสังคม ออกแถลงการณ์เรียกร้องความปรองดองจริงจังและจริงใจจากรัฐบาล ให้ประกาศวันยุบสภาให้ชัดเจน ให้รัฐเปิดทางศาลอาญาโลก ตรวจสอบเหตุการณ์วิปโยคที่เกิดขึ้น โดยแถลงการณ์ มีรายละเอียด ดังนี้
....
แถลงการณ์
ประกาศวันยุบสภาให้ชัดเจน
แนวทางปรองดองรัฐบาลอภิสิทธิ์เริ่มได้ในทันที
สืบเนื่องมาจาก นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสนอแนวทางปรองดองแห่งชาติ ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์การเมืองขณะนี้
เราในนาม กลุ่ม องค์กร เครือข่ายประชาชน ที่มีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตย มีความคิดเห็นและข้อเรียกร้องดังนี้
1 ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ แสดงความจริงใจในการปรองดอง โดยการมีคำสั่งบัญชาการให้ศูนย์อำนายการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศฮฉ.) ยุติการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่คุกคามว่าจะปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยทันที มิเช่นนั้นถือว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์กระทำการตีสองหน้ามากกว่าต้องการปรองดองอย่างแท้จริง
2. เรามีความคิดเห็นว่า ข้อเสนอโรดแม็พของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้สื่อมีเสรีภาพในสังคมข้อมูลข่าวสาร สามารถทำให้ประจักษ์เป็นรูปธรรมได้ทันทีโดยการที่รัฐยุติการปิดกั้นสื่อทั้งเว็บไซต์ วิทยุชุมชน และทีวีพีเพิลชาแนล เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจต่อการปรองดองตามโรดแม็ป ที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้เสนอ ขณะเดียวกันรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องยุติการใช้สื่อ NBT และวิทยุของรัฐในการสร้างภาพให้คนเสื้อแดง เป็น “ผู้ก่อการ้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อคนเสื้อแดง เหมือนคนเสื้อแดงมิใช่ “คนไทย” มิใช่ “คนรักชาติรักประเทศรักสถาบัน” เพื่อทำลายความชอบธรรมในการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงด้วยแนวทางสันติวิธี อสิงหา ปราศจากอาวุธ
3. เรามีความคิดเห็นว่า ต่อกรณีการสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์วิปโยค เมื่อวันที่ 10 เมษายน กรณีเหตุการณ์ที่สีลม 22 เมษายน และกรณีที่อนุสรณ์สถาน 28 เมษายน ที่ผ่านมานั้น ควรให้ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศดำเนินกระบวนการสอบสวน เพื่อความเป็นกลาง อิสระ โปร่งใส และเที่ยงธรรม
4. เราเห็นด้วยกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ว่า การปฏิรูปประเทศไทยนั้นต้องมีภาคส่วนอื่นๆ เข้าร่วมด้วย เพียงแต่ต้องมิใช่เพียงภาคส่วนอื่นๆที่สนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างที่เห็นและเป็นอยู่เข้าร่วมเท่านั้น จำเป็นต้องให้พรรคการเมืองต่างๆ ในฐานะสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา เข้าร่วม ตลอดทั้งต้องเปิดให้องค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาล องค์กรบริหารส่วนตำบล ผู้ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนระดับท้องถิ่นเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้แล้วภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ที่ไม่ได้สังกัดรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องเข้าร่วมด้วยเช่นกัน
5. อย่างไรก็ตาม เรามีความคิดเห็นว่า การปรองดองเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ขณะเดียวกันเราเชื่อว่าความเห็นต่าง ความคิดไม่เหมือนกันของคนในสังคมเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมประชาธิปไตยไม่ว่าเรื่องปฏิรูปประเทศ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพียงแต่เราต้องยอมรับกติกาประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ประชาชนต้องมีอำนาจในการเลือกผู้บริหารผู้ปกครองประเทศที่มีวาระแน่นอน เสียงส่วนใหญ่เคารพเสียงส่วนน้อย ประชาชนมีเสรีภาพในการรวมกลุ่ม สื่อสารมวลชนต้องไม่ถูกกดขี่ปิดกั้นเสรีภาพจากรัฐ และประชาธิปไตยต้องไม่ถูกแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบเป็นสำคัญ
6. ท้ายสุด เราขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ประกาศวันยุบสภาต่อสาธารณชนด้วยตัวนายกรัฐมนตรีเองให้ชัดเจน เพื่อความกระจ่างไม่ให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์จะมีเล่ห์สนกลในอย่างไร? อีกหรือไม่?
1. เครือข่ายองค์กรชุมชนแก้ปัญหาที่ดินภาคอีสาน (คอป.อ.)
2. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์น้ำเซิน (คอซ.)
3. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านลุ่มน้ำปาว (คอป.)
4. เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูค้อ-ภูกระแต จังหวัดเลย
5. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คอส.)
6. แนวร่วมเกษตรกรภาคอีสาน (นกส.)
7. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี
8. กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)
9. กลุ่มดงมูลเพื่อการพัฒนา จังหวัดกาฬสินธุ์
10. เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก จังหวัดอุดรธานี
11. กลุ่มภูพานเพื่อการพัฒนา จังหวัดสกลนคร
12. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน จังหวัดชัยภูมิ
13. กลุ่มประชาชนไทยแวงน้อย-แวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
14. กลุ่มเยาวชนมิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น
15. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์น้ำพรมตอนต้น จังหวัดชัยภูมิ
16. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ลุ่มน้ำบัง จังหวัดนครพนม
17. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ยโสธร จังหวัดยโสธร
18. สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)
19. แนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.)
20. ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง
21. เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู จังหวัดพิษณุโลก
22. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจัดการทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง (คสปล.)
23. สหพันธ์เยาวชนคลองเตย (สยค.)
24. เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย
25. เครือข่ายชุมชนเมืองบ่อนไก่ กทม.
26. กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ
27. เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนเขลาโคก จังหวัดร้อยเอ็ด
28. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
29.กลุ่มคนรุ่นใหม่ภาคใต้
30กลุ่มนักศึกษาภาคเหนือเพื่อประชาธิปไตย
ที่มา.ประชาไท
......................................................
....
แถลงการณ์
ประกาศวันยุบสภาให้ชัดเจน
แนวทางปรองดองรัฐบาลอภิสิทธิ์เริ่มได้ในทันที
สืบเนื่องมาจาก นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสนอแนวทางปรองดองแห่งชาติ ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์การเมืองขณะนี้
เราในนาม กลุ่ม องค์กร เครือข่ายประชาชน ที่มีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตย มีความคิดเห็นและข้อเรียกร้องดังนี้
1 ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ แสดงความจริงใจในการปรองดอง โดยการมีคำสั่งบัญชาการให้ศูนย์อำนายการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศฮฉ.) ยุติการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่คุกคามว่าจะปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยทันที มิเช่นนั้นถือว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์กระทำการตีสองหน้ามากกว่าต้องการปรองดองอย่างแท้จริง
2. เรามีความคิดเห็นว่า ข้อเสนอโรดแม็พของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้สื่อมีเสรีภาพในสังคมข้อมูลข่าวสาร สามารถทำให้ประจักษ์เป็นรูปธรรมได้ทันทีโดยการที่รัฐยุติการปิดกั้นสื่อทั้งเว็บไซต์ วิทยุชุมชน และทีวีพีเพิลชาแนล เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจต่อการปรองดองตามโรดแม็ป ที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้เสนอ ขณะเดียวกันรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องยุติการใช้สื่อ NBT และวิทยุของรัฐในการสร้างภาพให้คนเสื้อแดง เป็น “ผู้ก่อการ้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อคนเสื้อแดง เหมือนคนเสื้อแดงมิใช่ “คนไทย” มิใช่ “คนรักชาติรักประเทศรักสถาบัน” เพื่อทำลายความชอบธรรมในการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงด้วยแนวทางสันติวิธี อสิงหา ปราศจากอาวุธ
3. เรามีความคิดเห็นว่า ต่อกรณีการสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์วิปโยค เมื่อวันที่ 10 เมษายน กรณีเหตุการณ์ที่สีลม 22 เมษายน และกรณีที่อนุสรณ์สถาน 28 เมษายน ที่ผ่านมานั้น ควรให้ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศดำเนินกระบวนการสอบสวน เพื่อความเป็นกลาง อิสระ โปร่งใส และเที่ยงธรรม
4. เราเห็นด้วยกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ว่า การปฏิรูปประเทศไทยนั้นต้องมีภาคส่วนอื่นๆ เข้าร่วมด้วย เพียงแต่ต้องมิใช่เพียงภาคส่วนอื่นๆที่สนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างที่เห็นและเป็นอยู่เข้าร่วมเท่านั้น จำเป็นต้องให้พรรคการเมืองต่างๆ ในฐานะสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา เข้าร่วม ตลอดทั้งต้องเปิดให้องค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาล องค์กรบริหารส่วนตำบล ผู้ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนระดับท้องถิ่นเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้แล้วภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ที่ไม่ได้สังกัดรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องเข้าร่วมด้วยเช่นกัน
5. อย่างไรก็ตาม เรามีความคิดเห็นว่า การปรองดองเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ขณะเดียวกันเราเชื่อว่าความเห็นต่าง ความคิดไม่เหมือนกันของคนในสังคมเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมประชาธิปไตยไม่ว่าเรื่องปฏิรูปประเทศ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพียงแต่เราต้องยอมรับกติกาประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ประชาชนต้องมีอำนาจในการเลือกผู้บริหารผู้ปกครองประเทศที่มีวาระแน่นอน เสียงส่วนใหญ่เคารพเสียงส่วนน้อย ประชาชนมีเสรีภาพในการรวมกลุ่ม สื่อสารมวลชนต้องไม่ถูกกดขี่ปิดกั้นเสรีภาพจากรัฐ และประชาธิปไตยต้องไม่ถูกแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบเป็นสำคัญ
6. ท้ายสุด เราขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ประกาศวันยุบสภาต่อสาธารณชนด้วยตัวนายกรัฐมนตรีเองให้ชัดเจน เพื่อความกระจ่างไม่ให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์จะมีเล่ห์สนกลในอย่างไร? อีกหรือไม่?
1. เครือข่ายองค์กรชุมชนแก้ปัญหาที่ดินภาคอีสาน (คอป.อ.)
2. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์น้ำเซิน (คอซ.)
3. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านลุ่มน้ำปาว (คอป.)
4. เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูค้อ-ภูกระแต จังหวัดเลย
5. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คอส.)
6. แนวร่วมเกษตรกรภาคอีสาน (นกส.)
7. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี
8. กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)
9. กลุ่มดงมูลเพื่อการพัฒนา จังหวัดกาฬสินธุ์
10. เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก จังหวัดอุดรธานี
11. กลุ่มภูพานเพื่อการพัฒนา จังหวัดสกลนคร
12. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน จังหวัดชัยภูมิ
13. กลุ่มประชาชนไทยแวงน้อย-แวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
14. กลุ่มเยาวชนมิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น
15. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์น้ำพรมตอนต้น จังหวัดชัยภูมิ
16. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ลุ่มน้ำบัง จังหวัดนครพนม
17. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ยโสธร จังหวัดยโสธร
18. สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)
19. แนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.)
20. ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง
21. เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู จังหวัดพิษณุโลก
22. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจัดการทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง (คสปล.)
23. สหพันธ์เยาวชนคลองเตย (สยค.)
24. เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย
25. เครือข่ายชุมชนเมืองบ่อนไก่ กทม.
26. กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ
27. เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนเขลาโคก จังหวัดร้อยเอ็ด
28. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
29.กลุ่มคนรุ่นใหม่ภาคใต้
30กลุ่มนักศึกษาภาคเหนือเพื่อประชาธิปไตย
ที่มา.ประชาไท
......................................................
หลุดจากวิกฤต
น่ายินดีที่ในที่สุดสังคมไทยก็สามารถตั้งสติและหาทางออกจากวิกฤตได้ โดยไม่ผ่านการเสียเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนไปมากกว่าที่เป็นอยู่
และแม้จะมีผู้เห็นด้วยจำนวนมากกับข้อตกลงเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ ระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับตัวแทนของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ก็อาจจะมีประชาชนอีกบางส่วนไม่เห็นด้วยหรือมีจุดยืนที่ต่างออกไป
กระนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า ไม่ว่าจะมีความเห็นแตกต่างกันขนาดไหน วิธีการที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหาหรือความแตกต่าง ก็คือการหันหน้าเจรจา
เพราะไม่เคยมีปัญหาไหนจบสิ้นลงได้จริงด้วยการใช้กำลังบังคับ
แม้จะสามารถผ่อนคลายวิกฤตลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีการบ้านที่สังคมจะต้องร่วมกันพิจารณาในอีกหลายประการ
ไม่ว่าจะเป็นหนทางหรือแนวทางในการเดินไปสู่อนาคตข้างหน้า ว่าทำอย่างไรจะป้องกันมิให้เกิดปัญหาจนถึงขั้นเสียเลือดเนื้อและชีวิตของเพื่อนร่วมชาติอีก
ในจำนวนนี้ย่อมรวมถึงการสะสางข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาในอดีต ตั้งแต่เริ่มต้นวิกฤตมาจนกระทั่งถึงเหตุการณ์ปะทะกันจนกระทั่งมีประชา ชนเสียชีวิตหลายครั้งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
มีแต่การสะสางอดีตอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ
จึงจะป้องกันมิให้เกิดการทำผิดซ้ำ ซากในอนาคต
นอกจากการหาทางแก้ไขและป้องกันวิกฤตการเมืองที่เป็นภาระร่วมกันของคนส่วนใหญ่ในสังคมแล้ว
ภาระสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งของรัฐบาลในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ก็คือจะชดเชยหรือให้ความช่วยเหลือกับผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ตั้งแต่ในแง่มนุษยธรรมไปจนถึงด้านเศรษฐกิจให้ครบถ้วนและทั่วถึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สังคมไทยอ่อนแอลงมากเพราะความแตกแยกที่ไม่ใช้เหตุผลเข้าจับ และความขัดแย้งที่เบียด เบียนและทำลาย ตั้งแต่เวลาไปจนกระทั่งถึงทรัพยากรอื่นๆ
เมื่อถึงเวลาจะฟื้นจากวิกฤต จะต้องช่วยกันคิด แก้ไข และลงมือแก้ไขกันให้ครบถ้วนรอบด้าน
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
***********************************************************
และแม้จะมีผู้เห็นด้วยจำนวนมากกับข้อตกลงเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ ระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับตัวแทนของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ก็อาจจะมีประชาชนอีกบางส่วนไม่เห็นด้วยหรือมีจุดยืนที่ต่างออกไป
กระนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า ไม่ว่าจะมีความเห็นแตกต่างกันขนาดไหน วิธีการที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหาหรือความแตกต่าง ก็คือการหันหน้าเจรจา
เพราะไม่เคยมีปัญหาไหนจบสิ้นลงได้จริงด้วยการใช้กำลังบังคับ
แม้จะสามารถผ่อนคลายวิกฤตลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีการบ้านที่สังคมจะต้องร่วมกันพิจารณาในอีกหลายประการ
ไม่ว่าจะเป็นหนทางหรือแนวทางในการเดินไปสู่อนาคตข้างหน้า ว่าทำอย่างไรจะป้องกันมิให้เกิดปัญหาจนถึงขั้นเสียเลือดเนื้อและชีวิตของเพื่อนร่วมชาติอีก
ในจำนวนนี้ย่อมรวมถึงการสะสางข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาในอดีต ตั้งแต่เริ่มต้นวิกฤตมาจนกระทั่งถึงเหตุการณ์ปะทะกันจนกระทั่งมีประชา ชนเสียชีวิตหลายครั้งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
มีแต่การสะสางอดีตอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ
จึงจะป้องกันมิให้เกิดการทำผิดซ้ำ ซากในอนาคต
นอกจากการหาทางแก้ไขและป้องกันวิกฤตการเมืองที่เป็นภาระร่วมกันของคนส่วนใหญ่ในสังคมแล้ว
ภาระสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งของรัฐบาลในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ก็คือจะชดเชยหรือให้ความช่วยเหลือกับผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ตั้งแต่ในแง่มนุษยธรรมไปจนถึงด้านเศรษฐกิจให้ครบถ้วนและทั่วถึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สังคมไทยอ่อนแอลงมากเพราะความแตกแยกที่ไม่ใช้เหตุผลเข้าจับ และความขัดแย้งที่เบียด เบียนและทำลาย ตั้งแต่เวลาไปจนกระทั่งถึงทรัพยากรอื่นๆ
เมื่อถึงเวลาจะฟื้นจากวิกฤต จะต้องช่วยกันคิด แก้ไข และลงมือแก้ไขกันให้ครบถ้วนรอบด้าน
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
***********************************************************
"อดิศร เพียงเกษ" นักแต่งเพลงเพื่อประชาธิปไตย
นอกจาก "อดิศร เพียงเกษ" จะเป็นนักกฎหมายและนักการเมืองที่มากความสามารถแล้ว เค้ายังเป็น "นักแต่งเพลง" ฝีมือดีอีกคนหนึ่งด้วย
ที่มา.VoiceTV
-----------------------------------------------------
ที่มา.VoiceTV
-----------------------------------------------------
"จตุพร"ลั่นม็อบไม่เลิกไม่มอบตัว
นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. กล่าวถึงกรณี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า หากแกนนำ นปช.ไม่มอบตัวในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ตามที่เคยระบุ ดีเอสไอจะดำเนินการตามแนวทางที่เตรียมไว้ว่า ที่แกนนำเคยประกาศว่าจะเข้ามอบตัวในวันที่ 15 พฤษภาคม เพราะคิดว่าการชุมนุมน่าจะจบลงก่อน แต่หากการชุมนุมยังไม่จบลงก็จะยังไม่ไปมอบตัว หากจบก็จะไปมอบตัวตามที่เคยนัด อย่างไรก็ตามที่แกนนำระบุว่าจะมอบตัวในวันดังกล่าวเป็นเรื่องคดีผิด พ.ร.ก. ไม่ใช่คดีก่อการร้าย เพราะวันนี้คดีก่อการร้ายก็ยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ตนเองทราบมาว่าก่อนจะไปขอหมายจับ นายธาริตไปปิดห้องคุยกับอธิบดีศาลอาญา แต่เมื่อคดีไม่มีหลักฐานก็เลยออกมาให้ใช้ตามหมายจับเดิม ซึ่งไม่มีในกระบวนการยุติธรรมที่แต่ละความผิดจะมีหมายจับเดียวกัน ดังนั้นหากเราไปมอบตัวตามหมายจับความผิด พ.ร.ก. เขาก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องก่อการร้ายเพิ่ม
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า การดำเนินการของนายธาริตเองก็ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยการสืบสวนสอบสวน เท่าที่ตนเองทราบมา กรณีการจับชายสองคนและหญิงหนึ่งคนที่ย่านอ่อนนุชก็มีการซ้อมผู้ต้องสงสัยให้รับสารภาพและใส่ร้ายคนเสื้อแดง นอกจากนี้นายธาริตก็ถือเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียและมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเหตุการณ์ เนื่องจากเป็นหนึ่งใน ศอฉ.ที่เคยสั่งปราบปรามประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นายธาริตจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ที่มา.เนชั่น
**************************************************
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า การดำเนินการของนายธาริตเองก็ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยการสืบสวนสอบสวน เท่าที่ตนเองทราบมา กรณีการจับชายสองคนและหญิงหนึ่งคนที่ย่านอ่อนนุชก็มีการซ้อมผู้ต้องสงสัยให้รับสารภาพและใส่ร้ายคนเสื้อแดง นอกจากนี้นายธาริตก็ถือเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียและมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเหตุการณ์ เนื่องจากเป็นหนึ่งใน ศอฉ.ที่เคยสั่งปราบปรามประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นายธาริตจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ที่มา.เนชั่น
**************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)