--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

เขมรยอมถอนกำลังจากพื้นที่พิพาทหลังปะทะเดือด

ความคืบหน้าเหตุปะทะระหว่างทหารพรานกองร้อยทหารพรานที่ 2608 ฐานปฏิบัติการช้างดำ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 ฝ่ายไทย กับกองกำลังทหารและตำรวจตระเวนชายแดนที่ 402 กัมพูชา บริเวณหลักเขตแดนที่ 13-14 ช่องโชกและช่องปลิง ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ตรงข้ามหมู่บ้านจ็อมกาเจก ซึ่งเป็นหมู่บ้านกันชนชายแดนก่อตั้งใหม่ ต.โอร์เสม็ด อ.กรุงสำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ช่วงเช้าวานนี้ (17) ขณะทหารออกลาดตระเวนตามแนวชายแดน และพบกับทหารกัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทย ปลูกสร้างบ้านเรือนในพื้นที่ที่ไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน เป็นเหตุให้ปะทะกันนานเกือบชั่วโมง โดยจุดปะทะห่างจากด่านถาวรช่องจอมไปทางทิศตะวันออกเพียง 8 กิโลเมตร ต่อมาเกิดการปะทะรอบ 2 นาน 15 นาที

พ.อ.ชินกาจ รัตนจิตติ ผอ.กองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้เจรจาร่วมกับ พ.อ.จุม สะไรย์ รองหัวหน้าสำนักงานกิจการชายแดนภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา เพื่อยุติการยิงต่อสู้กันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว โดยทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมประชุมสรุปความเสียหาย พร้อมทั้งให้ถอนกำลังออกนอกพื้นที่พิพาท และไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาสร้างบ้านเรือนรุกล้ำเข้ามายังเขตแดนไทย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ฝ่ายกัมพูชายินดีปฏิบัติตามข้อตกลง ขณะที่ ผบ.กกล.สุรนารี ได้ย้ำให้ทหารในพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่าย ห้ามปะทะกันอีก

สำหรับสถานการณ์ในวันนี้ (18) ทหารทั้ง 2 ฝ่ายก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่มีความตึงเครียด เจ้าหน้าที่ทหารไทยยังลาดตระเวนตามพื้นที่ตามแนวชายแดนเช่นเคย โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิดระหว่างกัน และจากนี้ไปเมื่อทั้ง 2 ฝ่าย ทำความเข้าใจกันแล้ว บรรยากาศก็จะดีขึ้น ส่วนที่ทหารพรานกองร้อยทหารพรานที่ 2608 หายตัวไประหว่างการสู้รบกับทหารกัมพูชา 1 นาย ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทหารไทยชุดเข้าเคลียร์พื้นที่หลังการสู้รบได้พบตัวทหารพรานคนดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเดินทางหลงป่าขณะสู้รบอยู่ในเขตแดนไทย สภาพร่างกายที่ปลอดภัย

ทั้งนี้ผู้นำทางทหารในพื้นที่ชายแดนทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ได้มีการนัดเจรจาหารือและร่วมรับประทานอาหารกันอีกครั้ง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเป็นการลดความตึงเครียดตามพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวต่อกัน โดยเฉพาะบริเวณตลาดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ต่อไป


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************

ชะนีกอดคอแม่..!!!??

ต้องเรียกว่า “โคตรแผน”..“วอร์รูม” ทั้งของ รัฐบาล และ คนเสื้อแดงต่างก็งัด “แผนเด็ด” ขึ้นมาสู้กันอย่างชนิดเราๆท่านๆ ชาวบ้านร้านตลาดต้องซี๊ดปากกันลั่น!!เพราะมันทันกันทั้งคู่!!รัฐบาล โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพเทือกสุบรรณ หลังจากที่ทนดำนํ้าอึดต่อไปไม่ไหวจึงใช้แผน “ตีไก่ง่วง” เมื่อบ่ายวัน

เสาร์ที่ 10 เม.ย.แต่แทนที่ “ไก่เสื้อแดง” จะง่วง กลับสวมวิญญาณ “ไก่ชน” วิ่งใส่กลุ่มทหารที่มีอาวุธให้ตะลึงพรึงเพริดกันไปทั้งโลก!!กลับกลายเป็นว่าทหารขวัญกระเจิงเป็น “ไก่ตาแตก” ไปซะเอง??ทำให้มองเห็นว่า การเรียกร้อง ประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง จากอำมาตย์ในครั้งนี้แม้แต่“ชีวิต” ก็พลีให้ได้อย่างง่ายๆก้อ..ขนาดส่ง “อาวุธ” ที่คร่าชีวิตไปแล้วยังเอาไม่อยู่.. “อำมาตย์” จึงได้ส่งแผนใหม่กระทันหันมาให้ชิมกันดูนั่นคือแผน “อ่อยเหยื่อล่อมัสยา”ด้วยการให้

กกต. ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ที่ผ่านมา..ในเรื่อง “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” ก่อนหน้ามหาสงกรานต์เพียงหนึ่งวันโดยหวังว่าเพื่อให้ คนเสื้อแดง ดีใจแล้วเฮโลสลายกันกลับบ้าน!!เพราะที่มานั่งๆ-นอนๆ อยู่ทั้ง ผ่านฟ้าฯ และราชประสงค์ มันคือ “หอก” ที่ปักอยู่กลางใจของอำมาตย์อย่างเจ็บปวดวาทะจอมยุทธ์กล่าวว่า หนี่ เตอ จิ่ง เซิน, หว่อเตอ เสิง ฉาง.แปลว่า “บ่อของท่านลึก เชือกของข้าก็ยาว”ความหมายก็คือ รู้ทันกันนั่นเองดังนั้นแทนที่ “คนเสื้อแดง” จะเฮโลกันกลับ

บ้าน.. เพราะมี ทั้ง “คนตาย” และ ได้ของขวัญคือยุบพรรคประชาธิปัตย์ แล้วก็ตามที..แต่.. แกนนำคนเสื้อแดง กลับใช้แผน “ชะนีกอดคอแม่” คือ ไม่ยอมปล่อยมือแต่กลับยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก จะเรียกว่า “กัดไม่ปล่อย” ก็ย่อมได้ดังนั้น..คนที่เหนื่อยสุดๆ ยามนี้คือ “อภิสิทธิ์”เพราะขณะนี้ “ขา” ทั้งสองข้างหลุดเข้าไปในกรงแล้ว กับคำที่ว่า “ทรราช”!!และ..ถ้ายิ่งขืนดิ้น ต่อไปจาก “ขา” มันจะไหลไปถึง “คอ” อย่างชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!! 



Tags: ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************

‘กรรมทับบารมี’!!!

ถึงรวบยอด “กุมอำนาจประเทศไทย” ยกล็อตเอาไว้ได้หมดสิ้น....แต่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่อาจ “หนีกรรม” ที่ก่อความเลวร้าย แก่ประเทศไทยได้หรอกพี่???
๒๓ ศพ โคม่า ๑๔ คน บาดเจ็บอีก ๘๔๐ คน...เป็นแค่ “ออเดิร์ฟ” ความสูญเสีย ของประเทศไทยหาก “แดร็กคิวล่ากระหายเลือด” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังหน้าหนาตราช้างไม่ “ยุบสภา”...ยอดตายยอดเจ็บ จะยิ่งพุ่งกระฉูด บรรลัยยิ่งการทอดระยะ เข้าสลายการชุมนุม “ม็อบรักประชาธิปไตยคนเสื้อแดง” ระหว่าง วันที่ ๒๓-๒๖ เมษายน ถือว่าเป็นจุดวิกฤติ พิษร้ายแรงแก่แผ่นดินอย่างหนัก..เพราะตอนนี้การสูญเสีย จะดีดตัว เพิ่มยอดคนตาย เป็นเรือนพันหลักหมื่น กันเลยเชียว!!!แก้กรรมประเทศไม่ใช่เรื่องยาก...เพียงแค่ “มาร์ค”!... “ยุบสภาฯ” ฉากการตายก็พบเพียงแค่วูบเดียว???

****************************************
จับยามสามตา!!!
“แพรดดู” ยังกล่าวยืนยัน “ทุ่งสังหาร” ยังปักหลักอยู่ที่ “จุฬา”???ออกมาปักหลักต่อสู้ ของ “คุณหมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์” เป็นสิทธิ์ เลิศสะแมนแตน เลิศสะแมนเตา ที่ท่านจะยกก้น “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต่อสัมปทานเก่าแก่ สมัยท่านเป็น “ม็อบเหลือง” ก็ทำไปอย่างสะดวกโยธินแต่การแปลงกาย ลอกคราบ ไปอัด “คนเสื้อแดง” แล้วใช้ “มหาวิทยาลัยจุฬา” เป็นฐานที่มั่น...เกรงคนเขาจะติฉินท่านจะด่าทักษิณ. ..กินเลือดกินเนื้อคนเสื้อแดง ก็เป็นประชาธิปไตย แห่งการแสดงออกอย่างอิสระเสรีนิวฟรีด้อม..แต่เมื่อด่าแล้ว อย่าผุดอย่าโผล่โผบินใช้ “จุฬาจามจุรี” จะดีกว่า...เพราะตอนนี้ จนคนเหล่ตาคนมอง ว่าใช้ที่นี่เป็น “ฐานบัญชาการ”!!!!“หมอตุลย์” สู้ก็ควรสู้อย่างเสียสละ ...ไม่ควรเอา “จุฬา” มาเกี่ยวเลยนะ?.....เอะอะอ้างที่นี่อยู่ยัน???

****************************************
เชื้อไม่ถึงแถว!!!
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็อปปี้ โรเนียว ซีร็อก ถ้อยคำวจี จาก “นายหัวชวน หลีกภัย” มาอย่างคุณภาพคับแก้ว????สมัย “พฤษภาทมิฬ” ก็โพล่งเปิดโปงว่า “จำลองพาคนไปตาย”“เมษาเลือด” ก็ปั้นวจี พาที “วีระพาประชาชนมาฉิบหาย”ทั้ง ๆ ที่ คนตายทั้งเจ็บ ร่วงผล็อยเป็นใบไม้ร่วง..เกิดจาก “กระสุนจริง” และ “ยิงจริง” ด้วยแอ็คชั่นโหดเหี้ยม จากน้ำมืออำมหิตของกลุ่มคนใส่เครื่องแบบที่ได้รับการสั่งการมา!!! เลิกเหอะวิธีเรียนสไตล์.....เหยียดหยันแล้วโกหกหน้าตาย?....คนเขาจับได้ ไล่ทัน???

****************************************
ปิดหูปิดตาตัวเอง!!!
ไม่ยอมรับความจริงอย่างดุษฎี..ยิ่งทำให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตกหลุมดำ พากันหงายเก๋ง???ไปเชื่อ “บิ๊กตู่” ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. “ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด “ปณิฐาน วัฒนายากร” รักษาการโฆษกรัฐบาล เบ๊ปลายแถว จึงมองภาพไม่ชัด“นักรบประชาธิปไตยเสื้อแดง”...นับหมื่น นับแสน ที่ยึดหัวหาดอยู่ราชประสงค์ เป็น “คนกรุงเทพฯ” ที่ยัดทะนานกันมาแน่นถนัดเพื่อนพ้องน้องพี่ ชาว ตจว. เดี๋ยวนี้เป็น “กำลังเสริม” เป็น “ทัพหนุน”ไม่ใช่แกนหลัก.. “ทัพหลวง” เป็นชาวกรุงเทพฯคนเสื้อแดง ที่ออกจากบ้านมาร่วมชุมนุมตั้งแต่ ๔โมงเย็น ไล่ไปยันเช้า!!!!!!!!คนกรุงเทพร่วมผนึกกำลังแน่น......และเขาสุดที่จะแค้น.....แน่นหัวอกที่เกิดการฆ่าคนมือเปล่า ๆ ???

****************************************
เป็น ‘ซีรี่ย์’ หนังเรื่องยาว!!!
พระเอกกามโฉ่ “หัวหมู ท่าพระอาทิตย์” ที่โดนยิงเป็น “หัวตะขาบ” ที่ก่อเรื่องฉาว???กามร้อนผ่าว ที่ไปก่อนิยายรักใน “วัดบ้านตาด” เป็นนิยายปรัมปรา ที่คนฟังจนทะลุหูแต่ “คลิปม้วนใหม่” เป็นเรื่อง ที่ตำบอน น่าดูเป็นการกระหายกาม ที่นำมาซึ่งความสูญเสียของบ้านเมือง อย่างกู่ไม่กลับ..จนแผ่นดินต้องลุกเป็นไฟแดงฉาน ไปทุกหย่อมหญ้า อยู่ในขณะนี้!!!!!ความลับไม่มีในโลก....ใครก่อเรื่องลามก......จกเปรตเอาไว้ ก็ต้องโผล่ขึ้นมาอยู่ดี?????

โดย.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************

ล้างเผ่าพันธุ์

สงครามล้างเผ่าพันธ์ระหว่างรัฐบาลมาร์ค กับ คนเสื้อแดงน่าจะยืดเยื้อยาวนานเหมือน “รามเกียรติ์” มองไม่เห็นบทสรุปหรือฉากที่จะจบกลายเป็นมหาอัครสงครามระหว่างคนในชาติเดียวกันที่ตั้งหน้ารบรากันโดยยึดเอาประโยชน์และความเห็นแก่ตัวเอง “ตัวเอง” เป็นที่ตั้งการตัดสินใจ “คืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ” ให้กับฝ่ายรัฐบาลของฝ่าย “เสื้อแดง” แล้วย้ายไปรวมกันใน “ผืนที่ดินทองคำ” ย่านราชประสงค์คือการตอบโจทย์ว่า คนไทยสองฝ่ายนี้จะทำสงครามที่เล่นกันถึงตายกันอีกยาวนานมาก!!เพราะชัยภูมิในย่านราชประสงค์ที่เป็นแหล่งธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุด และมีราคาแพงที่สุด เป็นปราการแน่นหนาที่จะทำ

ให้ฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถที่จะเข้าไป “สลายม็อบ” ได้ง่ายๆหรือพูดเสียให้สุภาพอย่างที่เคยพูดว่า... “ขอคืนพื้นที่” ตอนจะเข้าไปลุยม็อบเสื้อแดงสาขาสะพานผ่านฟ้าชัยภูมิหรือแนวรบของ “กองทัพเสื้อแดง” ในวันนี้คือย่านราชประสงค์จนถึงราชดำริแยกพระพรหมทั้งสี่ด้าน ด้านหนึ่งจรดไปประตูน้ำ อีกด้านจรดไปทางสวนลุม อีกด้านจรดไปชิดลม และอีกด้านกินยาวไปจนแยกปทุมวัน หน้าพารากอน สยามแสควร์ ตอนนี้ พารากอน เกษร อัมรินทร์ บิ๊กซีประตูน้ำ โรงแรมย่าน

นั้น น่าจะกลายสภาเป็น “สนามรบ” อีกนาน แม้วันนี้ สุเทพ เทือกสุบรรณ ยังแสดงอาการแข็งกร้าวในการรุกไปข้างหน้า ไม่มีวี่แววว่าจะสนใจการยุบสภาตามที่ฝ่ายเสื้อแดงเรียกร้องเพราะสุเทพเชื่อว่า โดยอำนาจรัฐ!! เขาเองจึง “ยืนยัน” ที่จะยุบสภาในอีก 9 เดือนข้างหน้าตามข้อเสนอครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ในสถานะการณ์ “วันต่อวัน” และความเป็นจริงมันอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นปัญหามีว่า......รัฐบาลจะเอากำลังที่ใหน

มา “สลายม็อบ” ของฝ่ายเสื้อแดง?? ในเมื่อคนที่มีกำลังทางทหารมากเป็น “หมายเลข 1” ในเวลานี้คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า....รัฐบาลควรจะยุบสภา!! เพราะนั่นเป็นการใช้การเมืองแก้ปัญหาการเมือง!!แปลความในทางกลับกันว่า กองทัพก็ไม่เห็นด้วยกับใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามประชาชนที่ออกมาเรียกร้อง “ประชาธิปไตย”!!


Tags: ปัญหาโลกแตกสองคม
ที่มา . บางกอกทูเดย์
***************************************************

“กระหาย”

ความจริงใจในการรักความสงบสันติ สามัคคี และเคารพความเห็นแตกต่าง คือ “ความสวยงามของประชาธิปไตย” ที่ทั้งรัฐบาลและฝ่ายตรงกันข้าม ต้องช่วยกันลดความขัดแย้งเกลียดชังอันจะทำให้สถานการณ์แตกหักและเผชิญหน้าของคนในประเทศเดียวกันสลายลงใต้...

-หนังสือพิมพ์ บางกอกทูเดย์ฉบับใหม่วันเสาร์ที่ 17-วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2553...

-ทางออกทางประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมีองค์ประกอบครบทุกด้านถ้า “กระหาย” และ “โหยหา” สิทธิและเสรีภาพ แล้วต้องสำนึกด้วยความรับผิดชอบในการ “กระหาย” ในหน้าที่ให้ครบสมบูรณ์แบบด้วย ถึงจะพูดได้เต็มปากว่ามีตัวตนประชาธิปไตยแท้จริง...

-มด คันไฟ หมายเหตุประเทศไทยว่า การอ้างที่จะได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาธิปไตยจากใครก็ตาม นั่นหมายความว่าคนอ้างต้องปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงครบถ้วนสมบูรณ์แบบด้วย...ทั้งหมดคือองค์ประกอบครบถ้วนของการเรียกร้องระบบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบไม่ใช่แค่ครึ่งๆ กลางๆ ที่ต่างฝ่ายต่างเรียกร้องและอยากได้เพียงฝ่ายเดียว...

-ในที่สุดสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็เกิดจนได้ คือ โศกนาฎกรรมประชาธิปไตย หลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ได้ชื่อว่าเมษา 53 คนไทยฆ่าคนไทย ภายใต้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็น “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” จนได้จากเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ...

-เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเรื่องนี้ยังกลายเป็นเรื่องคาใจของคนไทยทั้งประเทศที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับกองทัพภาคใต้การกำกับของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต้องรีบหาข้อเท็จจริงเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ถูกขานชื่อ “ผู้ก่อการร้าย” จากรัฐบาลและกองทัพและต้องจับตัวออกมาดำเนินคดีให้ได้ว่า...พลเรือนและทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมายด้วย “น้ำมือ” ใครกันแน่?!! ที่อาจหาญออกมาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง...เรื่องอย่างนี้จะปล่อยให้ผ่านเลยโดยไม่มีผู้ได้รับผิดชอบไม่ได้เป็นอันขาดรวมถึงทั้งฝ่ายรัฐบาล กองทัพ กับคนเสื้อแดง ต้องออกมาช่วยกันพิสูจน์เพื่อความบริสุทธิใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และคนไทยต้องได้รู้และได้เห็นว่า ผู้ก่อการร้ายที่ถูกกล่าวหาคือใครกันแน่?...

-และฝ่าย รัฐบาล กับ กองทัพ ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ระเบิดแก๊สน้ำตาที่ถูกโยนลงจาก เฮลิคอปเตอร์นั้นเป็นวิธีสลายการชุมนุมที่ถูกต้องชอบธรมแล้วหรือ ฝีมือใครทำ ฝีมือใครสั่งการ?...

-มด คันไฟ เรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนทุกฝ่ายช่วยกันออกมาพิสูจน์ความจริงใจให้คนไทยทุกคนและคนทั้งโลกรับรู้และรับโทษทัณฑ์จากความเสียหายที่ไม่มีใครเรียกกลับคืนมาได้...

-แล้วสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กองทัพภายใต้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กลุ่มผุ้ชุมนุมเสื้อแดง ต้องออกมาช่วยกันหาทางออกของเรื่องนี้ให้เกิดการเยียวยาประชาธิปไตยให้กลับคืนมาพร้อมความสงบ สันติ และสามัคคีกลับมาสู่สังคมไทยอีกครั้งโดยเร็ว มด คันไฟ ยืนยันอีกครั้งว่า ทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบและทำให้ทางออกของเรื่องนี้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะสาเหตุของโศกนาฏกรรมประชาธิปไตยเกิดขึ้นเพราะพวกท่าน...

-เหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงได้อย่างไม่มีข้อสงสัยแอบแฝงต้องทำให้กฎหมายเอาตัวคนผิด มาลงโทษให้ได้ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอันเป็นมาตรฐานเดียวกันและเท่าเทียมกันทุกคนทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม โดยสื่อทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำความจริงให้ปรากฏออกมาเบื้องหน้าให้จงได้


ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.บางกอกกอสซิบมด คันไฟ
***********************************************

ศอฉ.รอกำลังพลฟื้น-อาวุธพร้อมหาจังหวะขอพท.คืน"สุเทพ"เปรยรู้ตัวกลุ่มป่วน 10เม.ย. เล็งจับแกนนำอีกรอบ

"สรรเสริญ"ปัดนายกฯปลด"สุเทพ"ตั้ง"อนุพงษ์"คุมแทน เตรียมรอเวลายึดราชประสงค์คืนฟื้นฟูกำลังพล -อาวุธยุทโธปกรณ์ ทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม "สุเทพ"เปรยเล็งจับแกนนำอีกรอบคุยรู้กลุ่มป่วนคืน10เม.ย. ยอมรับเกินจะรับมือ พล.อ.อนุพงษ์มามีส่วนรับผิดชอบร่วมกับฝ่ายการเมืองเต็มตัว

"สรรเสริญ"ปัดนายกฯปลด"สุเทพ"

หลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อคืนวันที่ 16 เมษายนว่า มีคำสั่งเปลี่ยนให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มารับผิดชอบศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุนเฉิน (ศอฉ.) แทนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั้น ปรากฏว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 17 เมษายน ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร. 11 รอ.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.ออกมาแถลงหลังประชุม ศอฉ.ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.เป็นประธานว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน

โดย พ.อ.สรรเสริญแถลงว่า ขณะนี้มีการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่พิเศษ 93/2553 ลงวันที่ 16 เมษายน จึงขอชี้แจงว่า นายสุเทพคือผู้รับผิดชอบภาพรวมของ ศอฉ. ในฐานะผู้อำนวยการ (ผอ.) ศอฉ. และผู้กำกับการปฏิบัติ เพียงแต่เปลี่ยนหัวหน้าผู้รับผิดชอบซึ่งทำหน้าที่สั่งการเรื่องการใช้กำลัง จากนายสุเทพเป็น พล.อ.อนุพงษ์เพื่อกระชับสายบังคับบัญชาให้สั้นลง ไม่ได้เป็นคำสั่งมัดมือ ผบ.ทบ.เพราะใส่เกียร์ว่างแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากเกิดปัญหาขึ้น กำลังพลทุกนายมีส่วนต้องรับผิดชอบ เพียงแต่สถานะของการรับผิดชอบแตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าใครต้องเป็นหลัก หรือเป็นรอง

ยัน"พงษ์ศักดิ์"ต้องรายงานตัว

พ.อ.สรรเสริญยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเข้ารายงานตัวต่อ ศอฉ.ของบุคคลที่อยู่ในข่ายสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงรวม 51 คน ว่า บุคคลที่เดินทางมารายงานตัวต่อ ศอฉ.จะถูกตำรวจและฝ่ายกฎหมายซักถามคำถามต่างๆ โดยเบื้องต้นตำรวจยืนยันว่าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามกฎหมายในอนาคต เมื่อถามว่า ในส่วนของนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่อยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศอังกฤษ ศอฉ.จะให้เวลารายงานตัวถึงเมื่อไหร่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า คงติดต่อกัน เพราะไม่ใช่การพำนักที่ต่างประเทศ แต่เป็นไปทำธุระบางอย่าง หากกลับมาเมื่อไรต้องมาให้ข้อมูล แต่ทั้งนี้คงจะต่อรองเงื่อนไขเรื่องเวลากัน และต้องมีเหตุผลชี้แจงได้ว่ามีความจำเป็นอะไรถึงติดภารกิจในต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 1 ใน 51 บุคคลที่ถูกออกหมายเรียกระบุว่า ศอฉ.เตรียมใช้กองบัญชาการทหารช่วยรบใน จ.ชลบุรี เป็นสถานที่ควบคุมตัวบุคคลที่ถูกออกหมายเรียก ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า คงไม่ใช่ การออกหมายเรียกบุคคลต่างๆ เป็นเพราะมีข้อมูลว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือสนับสนุนการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงต้องเรียกมาให้ข้อมูล ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดมาให้ข้อมูลแล้วกลับบ้านไป แต่ถ้าออกหมายจับ ต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่กำหนดไว้ แต่ไม่ใช่ทัณฑถาน

เมื่อถามว่า ศอฉ.พร้อมการันตีความปลอดภัยให้แก่บุคคลทั้ง 51 ที่จะมาให้ข้อมูลรือไม่ โฆษก ศอฉ.กล่าวว่า มีความปลอดภัยอยู่แล้ว กลับบ้านไปก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีเฉพาะพวกกุ้งฝอยมาให้ข้อมูล แต่ไม่มีปลากะพง พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า "ธรรมดา ปลาใหญ่มายากหน่อย เพราะน้ำมันตื้น"

วอนเสื้อแดงให้ส่งอาวุธคืน

พ.อ.สรรเสริญกล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้กำชับการสั่งการและทำความเข้าใจกับกำลังพล เพราะขณะนี้มีข่าวลือออกมาในทำนองว่าเจ้าหน้าที่ทหารรู้สึกเจ็บแค้นต่อผู้ชุมนุม จึงอยากชี้แจงว่าข้าราชการทุกคนทั้งตำรวจ ทหาร พลเรือนมีหัวใจ และรู้สึกเสียใจต่อกรณีที่ผู้ร่วมอาชีพต้องได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ยืนยันว่าไม่ได้เจ็บแค้น เราจะเจ็บแค้นกับประชาชนไม่ได้

"ในที่ประชุม ศอฉ.ทุกคนยังรู้สึกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นคนไทย ไม่ใช่ศัตรูของตำรวจ ทหาร และข้าราชการพลเรือนทุกนาย เรามองว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ เป็นคนไทย และอยากให้เขามองเราในลักษณะเดียวกัน แม้เราจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นเรื่องของสถานการณ์หนักเบา แต่โดยภาพรวมเราต้องรู้สึกกันอย่างนี้ เพราะเราคือคนไทย" พ.อ.สรรเสริญกล่าว

พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า จนขณะนี้อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงยึดไป ยังไม่ได้รับคืนเลย เราเป็นห่วงว่าผู้ไม่หวังดี ผู้หวังสร้างสถานการณ์ความรุนแรงจะหยิบฉวยอาวุธเหล่านี้ไปใช้สร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง และให้กลุ่มคนเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่ง จึงอยากวิงวอนให้นำอาวุธทั้งหมดส่งคืนเจ้าหน้าที่โดยด่วน

เตรียมรอเวลายึดราชประสงค์คืน

ส่วนความคืบหน้าในการขอคืนพื้นที่ราชประสงค์จากกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า การขอคืนพื้นที่ราชประสงค์เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับใช้กฎหมาย หลายคนถามว่าการขอคืนพื้นที่ คือจะเข้าไปการสลายการชุมนุมใช่หรือไม่ เอาเป็นว่า ศอฉ.จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย เพียงแต่เมื่อไรจะพร้อมเท่านั้น ขณะนี้เรากำลังเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูกำลังพล ฟื้นฟูอาวุธยุทโธปกรณ์ ไปพร้อมๆ กับการทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า วางแนวทางอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุชุลมุนขึ้นอีก พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ความชุลมุนที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนเป็นเพราะมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงเข้ามา หากไม่ต้องการให้เกิดความชุลมุน ประชาชนทั่วไปต้องถอนออกมาจากการชุมนุม ถ้าออกเร็วก็จัดการกลุ่มก่อการร้ายได้เร็ว บ้านเมืองก็จบได้เร็ว แต่ถ้าออกช้ายิ่งมีความเสียหาย ดังนั้น ตัวแปรจึงอยู่ที่ประชาชนทั่วไปที่เข้าไปร่วมชุมนุม

เมื่อถามว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ.ออกมาระบุว่า การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายนไม่เป็นไปตามหลักสากล เพราะเริ่มปฏิบัติการในเวลา 18.00 น. พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ เพราะเจ้าหน้าที่เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงกลางวัน และแจ้งกันตลอดว่ายามค่ำจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติการ จึงยุติปฏิบัติการทั้งหมดในเวลา 18.15 น. แต่กลุ่มผู้ชุมนมเป็นฝ่ายผลักดันเจ้าหน้าที่เข้ามาเอง

"สุเทพ"เปรยเล็งจับแกนนำอีกรอบ

เมื่อเวลา 19.45 น. สโมสรกองทัพบก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงให้ พล.อ.อนุพงษ์เข้ามาเพราะต้องการให้การทำงานกระชับขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เมื่อมีปัญหาการก่อการร้ายต้องขอให้ ผบ.ทบ.มาช่วยแก้ไขสถานการณ์จะเข้ามาทำงานเต็มตัว ในการปฏิบัติงานและการจับกุมตัวแกนนำ เมื่อถามว่า การดึง พล.อ.อนุพงษ์เข้ามาเพราะห่วงว่าทหารปฏิวัติ นายสุเทพกล่าวว่า อย่ามองอะไรแง่ร้าย มองแง่ดี เอามืออาชีพเข้ามาดูแลสถานการณ์ เมื่อถามว่า ก่อนจะถึงวันเปิดทำงานในวันที่ 19 เมษายน รัฐบาลจะทำอย่างไรกับการชุมนุม นายสุเทพกล่าวว่า "พยายามดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม รัฐบาลเห็นใจประชาชนจริงๆ จะทำทุกอย่างเพื่อคืนความสงบ แต่เป็นคนไทยด้วยกัน ต้องดูความเหมาะสม"

เมื่อถามว่า มีแนวโน้มว่าจะจับตัวแกนนำและสลายการชุมนุม นายสุเทพกล่าวว่า "การจับแกนนำต้องทำเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่นเดียวกับการบุกค้นสถานที่ต่างก็ต้องทำ ผมยืนยันว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีอะไรขัดแย้ง ผมนอนที่ราบ 11 ทุกคืน"

คุยรู้กลุ่มป่วนคืน10เม.ย.

รายงานข่าวจาก ศอฉ.แจ้งว่า ก่อนที่นายอภิสิทธิ์จะตัดสินใจลงนามคำสั่งนายกฯ เมื่อวันที่ 16 เมษายน มอบให้ พล.อ.อนุพงษ์เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบแทนนายสุเทพเกี่ยวกับการใช้กำลังนั้น นายอภิสิทธิ์ได้หารือกับแกนนำรัฐบาลเพื่อสรุปบทเรียนจากการปฏิบัติที่ไม่บรรลุผลสำเร็จที่ผ่านมาทั้งการเข้าขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากไม่คาดการณ์มาก่อนว่าจะมีกองกำลังติดอาวุธใช้อาวุธสงครามร้ายแรงตอบโต้กำลังเจ้าหน้าที่จนเกิดการสูญเสีย และเจ้าหน้าที่เองก็เสียเปรียบเนื่องจากรับสั่งภารกิจแค่ไปขอคืนพื้นที่ จึงไม่มีการเตรียมการรับมือการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงหารือเห็นตรงกันที่กำหนดนิยามการก่อการร้าย เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจชัดเจน เข้าฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา โดยมีการใช้อาวุธสงครามและมีการเคลื่อนไหวตลอดจนชี้เป้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งในทางการข่าวพอทราบแล้วว่าเป็นกลุ่มใด เนื่องจากผู้ที่เชี่ยวชาญการรบเต็มรูปแบบเช่นนี้มีเพียงไม่กี่กลุ่ม

เผย"สุเทพ"ยอมรับเกินจะรับมือ

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากบทเรียนที่ได้เมื่อวันที่ 10 เมษายน ตลอดจนการคว้าน้ำเหลวในการเข้าจับกุมตัวแกนนำเมื่อวันที่ 16 เมษายน เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นายอภิสิทธิ์เรียกประชุมหน่วยงานประจำเมื่อช่วงเวลา 18.00 น. วันที่ 16 เมษายน ประกอบด้วย สมช. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เพื่อหารือแนวทางการกระชับอำนาจการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่นายสุเทพได้ยอมรับกับนายอภิสิทธิ์และแกนนำรัฐบาลว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าเกินกำลังตัวเอง เพราะมีกลุ่มติดอาวุธเป็นคู่ต่อสู้ปะปนในหมู่ประชาชน อีกทั้งความไม่สำเร็จของปฏิบัติการที่ผ่านมา โดยเฉพาะปฏิบัติการเมื่อวันที่ 10 เมษายน เป็นเครื่องบ่งบอกว่าตัวเองไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและเป็นสายบังคับบัญชาสายตรงชัดเจนต่อกำลังเจ้าหน้าที่ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตทำให้การสั่งการไม่เป็นเอกภาพและเกิดการสูญเสีย

ทั้งนี้ หน่วยงานกฎหมายรัฐบาลได้เสนอแนวทางกระชับอำนาจสั่งการใช้กำลัง โดยขอให้นายอภิสิทธิ์ตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นการปลดนายสุเทพ เพราะนายสุเทพยังคงรั้งตำแหน่ง ผอ.ศอฉ.เช่นเดิม แต่มีการกำหนดพิเศษให้ พล.อ.อนุพงษ์เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการใช้กำลังโดยเฉพาะในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง การกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายโดยเฉพาะ


ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************

เสื้อแดงนัด 18 เม.ย. เปิดศึกยกใหม่ ศอฉ.เพิ่มมาตรการเข้ม

เมื่อ 17 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพื้นที่การชุมนุมนปช. บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ว่า ในเวลา 23.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. ปราศรัยบนเวที ย้ำว่า วันที่ 18 เม.ย. คนเสื้อแดงประกาศนัดหมายชุมนุมคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินครั้งยิ่งใหญ่ กำหนดท่าทีการเคลื่อนขบวนไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ หลังจากพี่น้องประชาชนกลับบ้านช่วงสงกรานต์ ขณะนี้ทุกคนมีความพร้อมร่วมยุทธการครั้งยิ่งใหญ่

ก่อนหน้านี้ เวลา 21.30 น. ที่หน้าเวทีปราศรัย การ์ดนปช. ติดตั้งเครื่องฉายสปอตไลต์แรงสูง 3 เครื่องที่ยอดอาคารสูง อาทิ อาคารเกษรพลาซ่า อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ เนื่องจากเกรงว่าจะมีการนำสไนเปอร์มาซุ่มยิง เพื่อลอบสังหารแกนนำนปช.ในระหว่างการปราศรัย และยังมีการ์ดนปช.จำนวนหนึ่ง ใช้กล้องส่องทางไกลส่องตรวจสังเกตการณ์บนยอดอาคารในช่วงที่แกนนำนปช.ปราศรัยด้วย

สำหรับความเคลื่อนไหว ในช่วงเช้า เวลาประมาณ 05.00 น. เกิดฝนตกโปรยปรายมาตลอดช่วงเช้า จนกระทั่งเวลา 10.00 น. ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ผู้ชุมนุมต่างวิ่งหลบฝนเข้าไปอยู่ตามที่พัก ใต้อาคาร บางส่วนขึ้นไปหลบฝนบริเวณสกายวอล์ก หรือทางเดินใต้รถไฟฟ้า บีทีเอส ขณะที่ผู้ชุมนุมบางส่วนนั่งปักหลักการร่มรับฟังการปราศรัยของแกนนำบนเวที ด้วยอากาศที่ไม่ร้อนอบอ้าวทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงปักหลักอยู่ต่อไปได้

เวลา 10.00 น.นายณัฐวุฒิ แถลงข่าวบริเวณด้านหลังเวทีว่า ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. เป็นต้นไป นปช.จะมีการเชิญครอบครัวผู้เสียชีวิตมาร่วมแถลงข่าวเพื่อเรียกร้องจิตสำนึกในการรับผิดชอบทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยครั้งนี้เชิญครอบครัว นายจรูญ ฉายแม้น อายุ 46 ปี มีอาชีพเป็นคนขับรถแท็กซี่ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยในการดูแลมูลนิธิไทยคมจะให้ทุนการศึกษาแก่ลูกของผู้เสียชีวิตจนจบปริญญาตรี

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนกังวลว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะยิ่งกว่า 10 เม.ย. เพราะรัฐบาลใช้พิมพ์เขียว 6 ตุลาฯ 2519 มีวาทกรรมเรื่องผู้ก่อการร้าย ปลุกระดมคนจำนวนหนึ่ง จัดสรรปรับเปลี่ยนกำลังเพื่อหาคนที่จะสนองคำสั่งในการสลายการชุมนุม หากยังดึงดันใส่ร้ายป้ายสีอยู่ เราจะกลับบ้านได้อย่างไร ในเมื่อมีร่างไร้วิญญาณอีกว่า 20 คนที่นอนรอนายอภิสิทธิ์อยู่ นายอภิสิทธิ์จะไม่เสียอะไรหากยุบสภา จึงขอให้คืนอำนาจประชาชน

แกนนำนปช. ตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่มีการดำเนินการใดๆ กับกลุ่มคนเสื้อสีชมพู ซึ่งเป็นการชุมนุมเกิน 5 คนเหมือนกัน ดังนั้นเห็นได้เลยว่าบ้านเมืองนี้ไม่เป็นนิติรัฐ ไม่มีการพูดเรื่องกฎหมาย มีแต่การกดหัว ใครอยู่ตรงข้ามรัฐบาลก็จะถูกเล่นงานทางกฎหมาย การที่คนเสื้อสีชมพูที่ออกมาต่อต้านนปช.และคัดค้านการยุบสภาของรัฐบาล เราเห็นว่าเป็นเกมการเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง ที่นายอภิสิทธิ์ไม่ต้องการแพ้คนเสื้อแดง จึงสร้างสถานการณ์ให้เกิดคน 2 กลุ่ม ออกมาเผชิญหน้ากัน กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะนัดชุมนุมในวันพรุ่งนี้ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้ากลุ่มพันธมิตรมีการสร้างสถานการณ์ด้วยวิธีการนำแดงเทียมเข้ามาก่อกวนการชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะไม่รับผิดชอบ ทางรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบเสียเอง และขอยืนยันว่าจะไม่นำกลุ่มคนเสื้อแดงไปก่อกวนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรโดยเด็ดขาด

สำหรับเรื่องหมายจับ 24 แกนนำ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า หมายที่ออกก่อนจะประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทางแกนนำได้ลงนามมอบอำนาจให้ทนายความไปยื่นเรื่องของบช.น. เพื่อขอกำหนดวันเข้ามอบตัวในวันที่ 15 พ.ค.ที่จะถึงนี้ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐใช้เป็นข้ออ้างจับกุมแกนนำโดยใช้วิธีรุนแรง ซึ่งเราดำเนินการตามแบบของพันธมิตรฯ และเมื่อแสดงเจตนาโดยเปิดเผยเช่นนี้เชื่อว่าจะได้รับความยุติธรรมเหมือนกับแกนนำพันธมิตรฯ

ส่วนความเคลื่อนไหวฝั่งรัฐบาล เมื่อเวลา 20.30 น. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด แถลงผลการประชุมรอบค่ำว่า ทุกคนเห็นพ้องตรงกันในเรื่องด่านตรวจเวลานี้ที่มีประสิทธิภาพไม่พอ จะเพิ่มความเข้มข้นการปฏิบัติงาน หากมีหลักฐานชัดเจน รถจักรยานยนต์ รถปิกอัพ หรือกลุ่มบุคคลที่จะเข้าไปร่วมชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด หากฝ่าฝืนจะจับกุมทันที ส่วนการที่แกนนำ นปช.ที่ถูกออกหมายจับไปแล้ว ได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าจะเดินทางมามอบตัวในวันที่ 15 พ.ค. ขอย้ำว่าหมายจับออกโดยศาล หากเจ้าหน้าที่เจอหรือมีโอกาสก็ต้องจับกุมทันที

สำหรับข้อมูลที่ ศอฉ.รับทราบว่าทางกลุ่มคนเสื้อแดงจะเปิดเวทีแห่งใหม่ในพื้นที่บริเวณสีลม พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ก็คงต้องสกัดกั้นไม่ให้เดินทางไป เพราะเวทีที่ราชประสงค์แห่งเดียวก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ดังนั้นเวทีไหนๆ ก็มีไม่ได้เด็ดขาด หากเหตุการณ์เมื่อจะต้องเกิดการปะทะ ก็ต้องทำ แต่จะต้องอยู่ใขอบเขตของกฎหมายที่เหมาะสม ทางเจ้าหน้าที่พยายามใช้กฎหมายอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย วันนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

"สดศรี"เผยเสียง"อภิชาต"ลงคะแนนไม่ยุบ"ปชป" ฐานะกกต.ไม่ใช่นายทะเบียน ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ลงมติสั่งยุบ

สดศรีžเผยมติยุบ ปชป.เป็นไปตามขั้นตอน กม. เสียงโหวต 4:1 อภิชาตžลงคะแนนเสียงข้างน้อยในฐานะ กกต. ไม่ใช่นายทะเบียนพรรคการเมือง เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่คณะทำงานให้ยุบ จึงเท่ากับเป็นเสียงนายทะเบียนไปแล้ว คณะทำงานด้านกฎหมายประชาธิปัตย์ระบุห่วงเรื่องเทคนิคทางบัญชีกรณี 29 ล้าน มากกว่าปม 258 ล้าน

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับผิดชอบงานด้านกิจการพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 เมษายน กรณีมติกกต. เสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 เสียง เห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีอาจมีพฤติกรรมอำพรางเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน) และให้ส่งเรื่องดังกล่าวให้อัยการสูงสุด ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป ทั้งที่นายทะเบียนพรรคการเมือง คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. เป็นเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เรื่องนี้จะต้องแยกแยะออกเป็น 2 เรื่อง เนื่องจากว่านายอภิชาต สวมหมวก 2 ใบ คืน ประธานกกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง ก่อนหน้านี้นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเป็นตัวแทนของนายทะเบียน 9 คน เพื่อพิจารณารวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อสอบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งในวันที่ 12 เมษายน ในช่วงเช้า กกต. ได้ถามไปยังนายทะเบียนว่าคดีดังกล่าวพิจารณาแล้วเสร็จหรือไม่ นายทะเบียนได้ตอบมาว่าคณะทำงานของนายทะเบียนได้ประชุมและพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งคณะทำงานนายทะเบียนได้มีมติ 7 ต่อ 2 ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถือเป็นมติของนายทะเบียน

นางสดศรี กล่าวว่า จากนั้นเมื่อนายทะเบียนมีมติให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้มีการเรียกประชุมกกต. ชุดใหญ่ ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญ นายทะเบียนจึงได้ขอให้มีการพิจารณาร่วมกัน และในการประชุมของ กกต. ได้มีการเปิดโอกาสให้คณะทำงานของนายทะเบียน นำเสนอขอมูลรายละเอียดเป็นรายบุคคล จนครบทั้ง 9 คน จากนั้น กกต.ทั้งหมดจึงนำข้อมูลที่ได้รับมาพิจารณาก่อนที่จะลงมติ ซึ่งในการประชุม กกต. นายอภิชาตลงมติในฐานะ กกต.คนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะนายทะเบียน เพราะถือว่าหน้าที่ของนายทะเบียนได้แล้วเสร็จ และมีมติเห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น การที่นายอภิชาตมีมติไม่เห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงถือเป็นมติของ กกต. ไม่ใช่มติของนายทะเบียน ทั้งนี้ หากคณะทำงานของนายทะเบียนมีความเห็นเสียงข้างมากไม่สมควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต.ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณาอีก ดังนั้น ทุกอย่างถือว่าได้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด

ส่วนเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงถือเป็นการกดดันให้ กกต. มีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น นางสดศรีกล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงไม่มีผลกดดันใดๆ ต่อ กกต. เพราะที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงได้มาชุมนุมที่อาคาร กกต.ถึง 3 ครั้ง หากเป็นเพราะการกดดันคงจะต้องรีบพิจารณาให้เสร็จตั้งแต่ในครั้งแรกที่กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมา อย่างไรก็ตาม คดีการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับและอาจดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ประชุม กกต.มีมติเป็นเเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 เสียง ให้ยุบพรรค และเชื่อว่าในสัปดาห์หน้านายทะเบียนจะยื่นเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป ซึ่งจะใช้เวลาเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับศาล เพราะถือว่า กกต.ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว

ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไปพบนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ที่ จ.ตรัง เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา นายชวนได้กล่าวถึงข้อเสนอให้มาเป็นหัวหน้าทีมสู้คดียุบพรรค ว่า เมื่อพรรคมีปัญหา ก็ต้องช่วยเหลือกัน จึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหา ทั้งนี้ ในการประชุมคณะทำงานด้านกฎหมาย วันที่ 20 เมษายน เบื้องต้นจะทำความเข้าใจประเด็นข้อกฎหมายก่อน และเชิญฝ่ายเหรัญญิกและนายทะเบียนพรรคสมัยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรคมาให้ข้อมูล สำหรับนายบัญญัติ และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรค และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการพรรคในช่วงนั้น จะให้มาชี้แจงในการประชุมครั้งต่อไป

นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า จะหารือเรื่องการทำหนังสือยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งนายทะเบียนไปยังศาลปกครอง โดยจะขอให้ระงับการส่งฟ้อง และขอให้ศาลไต่สวนว่ามติ กกต.ดังกล่าวมิชอบ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการสืบพยาน ถือเป็นการต่อสู้ยกแรกก่อนไปว่ากันในศาลรัฐธรรมนูญ โดยจะสอบถามว่านายทะเบียนพรรคมีหลักฐานอะไรจึงได้ตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าการคำสั่งนายทะเบียนพรรคถือเป็นคำสั่งทางปกครอง เพราะศาลปกครองเองก็เคยยกเลิกการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2548 เพราะหันคูหาผิดด้านมาแล้ว ส่วนตัวไม่ห่วงกรณีเงิน 258 ล้านบาท เท่ากรณีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท

กรณีเงิน 29 ล้านบาท เป็นเรื่องทางเทคนิคในการทำบัญชี ที่อาจต้องไปว่ากันในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม พรรคมีอายุ 64 ปี ไม่มีเหตุผลที่จะถูกยุบด้วยเรื่องทำบัญชีผิดพลาด ที่ผ่านมา ผมยังไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใหญ่ๆ ถูกยุบด้วยเรื่องนี้มาก่อน อย่างพรรคไทยรักไทย พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็ถูกยุบด้วยข้อหาทุจริตการเลือกตั้ง ขณะที่พรรคเล็กส่วนใหญ่ ถูกยุบด้วยข้อหาหาสมาชิกได้ไม่ครบ

50,000 คน ไม่จัดตั้งสาขาพรรค 4 ภาค หรือไม่ประชุมใหญ่สามัญพรรคตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เคยเห็นพรรคไหนถูกยุบเพราะทำบัญชีผิดมาก่อนŽ นายนิพิฏฐ์กล่าว


ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************

หน่วยพยาบาลภาคสนาม







ขณะนี้ หน่วยพยาบาลภาคสนาม มีความต้องการ ยาพาราเซตามอน ยาแก้เจ็บคอ และเวชภัณฑ์จำนวนมาก
จึงขอความอนุเคราะห์ จากผู้มีจิตศรัทธาในประชาธิปไตย ร่วมช่วยเหลือผู้ชุมนุมด้วย นะครับ..
เต้นท์พยาบาลภาคสนาม อยู่ติดหลังเวทีปราศรัยใหญ่ราชประสงค์
หรือติดต่อ คุณ สุรีพร บุญช่วย (ปุ๊ก) 089-2001237,085-1187680
หรือ คุณ หญิง 081-2547343

ผู้ก่อการร้าย! ทำลายการทูต

เห็นการทูตไทยวันนี้แล้ว...ทำให้คิดถึง “พระยาโกษาปาน” ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการทูตไทยได้อย่างดีและยอดเยี่ยม...จนได้รับคำยกย่องจากฝรั่งเศสและพระนารายณ์มหาราช เพราะหน้าที่การทูตมีมากมายเกินกว่าที่เราจะคิดและรู้จัก...แต่วันนี้ประเทศไทยกลับมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ด้อยคุณค่าในสายตาประชาคมโลก เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาประเทศที่แสดงท่าทีต่อเจ้ากระทรวงการฑูต “กษิต ภิรมย์” แล้วเหนื่อยแทนคนไทยทั้งชาติเพราะไม่ว่าเขา

จะไปที่ใดในโลกก็มักจะไปพูดเจรจาไล่ล่าไล่บี้เขาในเรื่อง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ล่าสุด...เวทีโลกที่นิวยอร์ก เขาว่ากันด้วยเรื่องของ “นิวเคลียร์” แต่เจ้ากระทรวงบัวแก้วของเราดันผ่าไปตำหนิประเทศต่างๆ ว่า ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาในการไล่ล่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อยากถามดังๆ ตรงๆ ว่า นายกษิต คุณไม่สบายหรือเปล่า?... จู่ๆ ก็ไปพล่ามกลางเวทีโลกว่าตำรวจสากลไม่ให้ความร่วมมือทั้งประเทศรัฐเซีย ประเทศในเขตอาหรับ และ

ประเทศอื่นๆ เพียงแค่ประเด็นเขาเชิญคุณไปพูดกับสิ่งที่คุณพูดมันคนละเรื่องเป็นหนังคนละม้วน หรือว่าภารกิจหลักที่คุณโม้เอาไว้ตั้งแต่ต้นก่อนรับตำแหน่ง คือ “ไล่บี้ทักษิณ” ต่อให้เถียงหัวชนฝาสร้างความ “ร้าวฉาน” ต่อนานาอารยประเทศคุณต้องยอมทำถึงขนาดนั้นเลยหรือ?!ในเมื่อรัฐบาลนี้ไม่ฟังเสียงนานาชาติที่เขามองเห็น...อีกไม่นานประเทศไทยจะต้องปิดประเทศไปเสีย...เพราะสิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริงเพียงแต่คนในรัฐบาล “ตามืดบอด” เพราะอำนาจที่มัน

ครอบงำอยู่นั่นเอง...แล้วก็ทำเป็นคนปากดีเอาแต่ใจไม่สนใจต่างประเทศ อย่าลืมว่า...แผนที่ในโลกนี้ประเทศไทยมีเพียงแค่หยิบมือเดียว การที่จะไปแข็งขืนต่อต้านเขาไม่ใช่เรื่องง่าย...และต้องถามต่อว่าประเทศของเราในวันนี้มี “ศักยภาพ” อะไรที่ทำให้ประชาคมโลกเขาน่าปีติชื่นชมบ้างเพราะแม้แต่เรื่องในประเทศของตัวเองยังเอาไม่รอด...นักการเมืองคิดแต่จะแสวงหาอำนาจ...แล้วก็ใช้อำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตา...จนกระทั่งประเทศชาติจะล่มจมด้วยน้ำมือของคนเพียงไม่

กี่คนสุดท้ายยังไปทำตัว “อหังการ์” ให้คนอื่นดูหมิ่นดูแคลนประเทศเราอีกอย่างนั้นหรือการที่อาศัยเวทีโลกไปพูดจาสามหาวอย่างนั้นยิ่งทำให้ “กษิต ภิรมย์” มีแต่เสียกับเสีย เว้นเสียแต่จะปิดประเทศไม่สนใจใคร หากคุณคิดอย่างนั้น...ประเทศไทยของเราจะกลับมาอยู่กันแบบกดขี่ไม่ให้โงหัวลองพิจารณาดูด้วยหน้าที่ของการเป็น “นักการทูต” ว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา มาเลเซีย วันนี้ความสัมพันธ์ของเรากับของเขายังดีอยู่หรือไม่ หรืออยากจะให้บานปลายไปถึง

ประเทศจีน...เพราะอย่าลืมว่ารัฐเซีย จีน เวียดนาม กัมพูชา ล้วนต่างก็เป็นพันธมิตรที่ดีซึ่งกันและกัน ไม่ทราบว่า “กษิต ภิรมย์” เคยย้อนถามตัวเองด้วยจิตสำนึกแล้วหรือยังว่าทำไมนานาชาติยังอ้าแขนต้อนรับคนไทยที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” และไม่ให้ความร่วมมือกับทางการไทยเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะเขาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและเขามองออกว่า...สิ่งที่คุณไล่ล่าอยู่นี้มันคือ การเมืองของประเทศไทย แต่คุณก็พยายามไปยัดเยียดว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เป็น

ผู้ก่อการร้าย...ซึ่งเขาฟังแล้วต่างก็ได้แต่แอบขำในลำคอ ใครกันคือ “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งวันหนึ่งเคยร่วมกันปิดสนามบิน...แต่ถูกยกย่องจากผู้มีอำนาจในประเทศยกย่องให้เป็น “ผู้ก่อการดี”เมื่อเป็นเช่นนี้...ต่างประเทศซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวเข้าสู่ความเป็น “อารยะ” จะมีใครบ้างอยากให้ความร่วมมือกับ “ผู้ก่อการร้าย” ที่ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีตอบว่าคงไม่มี...ชัดไหม “กษิต ภิรมย์”


ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************

การลิดรอนสิทธิในการสื่อสารคือเผด็จการ

โดย ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รัฐบาลอาจจะมีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการปิดเว็บไซต์ 36 แห่งตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553 และออกประกาศของกระทรวง ICT เมื่อ 12 เมษายน 2553 ห้ามเผยแพร่ภาพและวิจารณ์การใช้กำลังทหารติดอาวุธสงครามสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน 2553 แต่สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็นรัฐบาลเผด็จการ โดยมิได้ตระหนักว่าผลของการใช้อำนาจเผด็จการนี้จะยิ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ขยายวงกว้าง และฝักรากลึกยืดเยื้อในสังคมไทยไปอีกนาน กล่าวคือ

ประการแรก การที่รัฐบาลเน้นปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ต ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโลกอินเทอร์เน็ตต่อสังคมปัจจุบัน ที่อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวัน คนใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ เพื่อการแสดงออกทางความคิด เพื่อการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร โดยสรุปแล้วคือคนใช้อินเทอร์เน็ตสร้างสรรค์สังคม ทั้งสังคมในชีวิตประจำวันและสังคมในอุดมคติ

ในระบอบประชาธิปไตย หากรัฐบาลเห็นว่ากิจกรรมใดๆ ที่เว็บไซต์เหล่านั้นกระทำเป็นการละเมิดกฎหมาย รัฐบาลก็สามารถใช้กระบวนการยุติธรรม เพื่ออาศัยอำนาจศาลในการปิดเว็บไซต์เหล่านั้น การอาศัยอำนาจศาลนับได้ว่าเป็นวิธีควบคุมการละเมิดกฎหมายอย่างถูกต้องและชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย

แต่การปิดกั้นการสื่อสารด้วยอำนาจทางการบริหาร ด้วยการอ้าง พรก. ฉุกเฉินซึ่งให้อำนาจรัฐบาลอย่างล้นพ้นเกินการตรวจสอบได้เพื่อการปิดกั้นข่าวสาร ไม่แตกต่างจากการเอากระบอกปืนมาจ่อหัวไม่ให้คนพูดคุยถกเถียง การปิดเว็บไซต์ของรัฐบาลเป็นการละเมิดสิทธิการติดต่อสื่อสารและการสร้างสรรค์สังคมของประชาชนอย่างร้ายแรง รัฐบาลกำลังวิสามัญฆาตกรรมการสื่อสารของผู้คนในสังคมโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม

ประการที่สอง รัฐบาลอาจมองว่าการปิดเว็บไซต์เป็นวิธีการที่ถูกต้องในการระงับความขัดแย้งในปัจจุบัน แต่รัฐบาลต้องศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ผังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานกว่าการชุมนุมที่เพิ่งผ่านมาเพียงเดือนหนึ่งนี้

ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มิใช่ความขัดแย้งทางการเมืองในระยะสั้น รัฐบาลควรศึกษาให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อมาเป็นทศวรรษแล้ว การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันเป็นผลมาจากการที่ประชาชนส่วนหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสองต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนกลายมาเป็นสำนวนเรียกตนเองว่า "ไพร่" ส่วนปัญหาระยะยาวยิ่งกว่านั้น รัฐบาลนี้คงพอรู้อยู่บ้างว่าผู้คนในสังคมไทยตกอยู่ในภาวะของความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมายาวนานและฝังรากลึกเพียงใด

การปิดกั้นข่าวสาร ปิดกั้นการสื่อสารในสื่อทางเลือก จะยิ่งทำให้กลุ่มคนที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยช่องทางการสื่อสารทั่วไป รู้สึกถึงการถูกกดทับให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ตอกย้ำความไม่เท่าเทียมกันในสังคมมากยิ่งขึ้น

ประการที่สาม การปิดกั้นการสื่อสารนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีกรอบความเข้าใจเรื่องการสื่อสารอย่างคับแคบและดูถูกประชาชน ในขณะนี้รัฐบาลกำลังมุ่งสื่อสารกับประชาชนเพียงด้านเดียว สื่อหลักที่รัฐบาลใช้คือ "ฟรีทีวี" ซึ่งอยู่ในการควบคุมของรัฐทั้งหมด รัฐบาลอาจคิดว่าการสื่อสารผ่านทีวีเหล่านี้มีต้นทุนต่ำและได้ผลสูง รัฐบาลมีความเชื่อว่า ประชาชนจะเชื่อฟังข่าวสารที่รัฐบาลนำเสนอด้านเดียวอย่างเชื่องๆ

แต่รัฐบาลหารู้ไม่ว่าพฤติกรรมการบริโภคสื่อในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ฟรีทีวีเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในหลายๆทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นเคเบิลทีวีหรือจานดาวเทียม ตลอดจนหนังสือพิมพ์และสื่อทางเลือกต่างๆในอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงมีเพียงคนที่สนับสนุนรัฐบาลหยิบมือเดียว ที่พร้อมจะเชื่อและรับรู้ข่าวสารผ่านทางฟรีทีวี ส่วนประชาชนผู้ตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมากจะหันไปหาสื่อทางเลือกอื่นๆเพื่อรับรู้ข่าวสารมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ไม่เพียงรัฐบาลจะไม่สามารถโน้มน้าวให้คนเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลนำเสนอผ่านฟรีทีวีเท่านั้น แต่สื่อทางเลือกอื่นๆจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำเสนอข่าวสารที่ให้แง่มุมที่แตกต่างจากที่รัฐบาลเสนอ

ประการสุดท้าย การปิดกั้นข่าวสารไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับจะขยายวงของความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางๆ หรือไม่ได้ "เป็นแดง" กลับถูกผลักหรือต้องเดิน "เส้นทางสายแดง" มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับ "การเข้าป่า" เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งการเข้าป่าเป็นเส้นทางที่นักศึกษาหลายคนเลือกเดินโดยมิได้มีใจเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน

หนทางในการ "ลงใต้ดิน" ของชุมชนในอินเทอร์เน็ตนั้นมีได้หลายทาง คนในโลกอินเทอร์เน็ตเห็นการปิดกั้นข่าวสารในโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องน่าขัน เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะสามารถสร้างทางลัดทางลอด ก้าวข้ามการปิดกั้นควบคุมของรัฐได้เสมอ การที่เว็บไซต์บางเว็บมิได้หลีกลี้จากอำนาจรัฐแต่ต้น มิได้หมายความว่าเว็บไซต์เหล่านั้นไม่รู้ทางเลี่ยง หากแต่พวกเขาต้องการดำเนินการอย่างโปร่งใส อยู่ภายใต้กฎหมายของรัฐไทยและพร้อมรับการตรวจสอบการละเมิด

แต่หากรัฐบาลผลักไสให้เว็บไซต์เหล่านี้ลงใต้ดินเสียแล้ว กฎหมายของรัฐไทยก็จะไร้ความหมาย และการละเมิดและผลของการละเมิดกฎหมายก็จะรุนแรงยิ่งกว่า ในอนาคตอันใกล้ เชื่อได้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะไม่สามารถรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการต่อต้านของชุมชนอินเทอร์เน็ตได้

กล่าวโดยสรุป หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ตระหนักถึงประเด็นต่างๆ ข้างต้น แต่กระทำการใดๆ เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตนและพวกพ้อง นายอภิสิทธิ์และพวกพ้องก็จะยังคงดำรงอำนาจอยู่ได้ด้วยข้ออ้างทางกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ทว่า นายอภิสิทธิ์จะได้รับการตีตราว่าเป็นเผด็จการผู้สร้างความขัดแย้งยืดเยื้อในสังคมไทยตลอดไป




ที่มา. มติชนออนไลน์
********************************************

ยกสุดท้าย นายกฯอภิสิทธิ์

เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

เป็นความผิดพลาดในระดับยุทธ ศาสตร์ในระดับเดินหมากผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน

หมากตาเดียวนั้นคือ ปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางทหาร

กลายเป็นเงื่อนไขให้ปัญหาต่างๆ ที่ปะทุคุกรุ่นมาก่อนแล้ว ระเบิดออกอย่างรุนแรงบนถนนราชดำเนิน ต่อหน้าต่อตาคนทั้งประเทศ

แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. ที่ระดมคนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 12-14 มีนา คม และทดสอบความอดทนอดกลั้นของรัฐบาลหลายครั้งหลายหน

แม้จะมีความโน้มเอียงในการใช้ "การทหาร" แก้ปัญหาการเมือง เนื่องจากรัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากกองทัพในยุคของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อย่างเต็มที่

แต่กระแสสังคมก็กดดันจนนายอภิสิทธิ์ ยอมเดินเข้าโต๊ะเจรจากับนปช.ก่อนจะลงเอยด้วยความล้มเหลว

สถานการณ์พัฒนาไปอีกขั้น โดย ผู้ชุมนุมขยายเวทีไปยังสี่แยกราชประสงค์ ทำให้ธุรกิจ เศรษฐกิจบริเวณนั้นเป็นอัมพาตอย่างสิ้นเชิง

ก่อนการปะทะในวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลได้สั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีทีวีของชาวเสื้อแดง และเว็บไซต์ของเสื้อแดงอีกกว่า 30 เว็บ

เพื่อตัดเครือข่ายการประสานงานและแจ้งข่าวสารของเสื้อแดง

และกลายเป็นชนวนปะทะ ระหว่างคนเสื้อแดงกับทหารที่รักษาการสถานีบริการภาคพื้นดินของไทยคมที่อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ในวันที่ 9 เมษายน

ทหารยอมล่าถอย หลังจากใช้น้ำฉีด ใช้แก๊ส น้ำตาแล้วไม่ได้ผล

เช้ารุ่งขึ้น 10 เมษายน จึงเกิดเหตุการณ์คนเสื้อแดงบุกกองทัพภาค 1

ตามมาด้วยปฏิบัติการขอพื้นที่ถนนราชดำเนิน และสะพานผ่านฟ้าคืน ในช่วงเที่ยงของวันที่ 10 เมษายน

ผลของคำสั่งขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุม ทำให้ มีกองกำลังทหาร อาวุธครบมือ พร้อมรถเกราะ รถสายพานลำเลียง เดินทางเข้าไปที่บริเวณใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ผู้ชุมนุมที่บางตาในตอนแรก เสริมกำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นการเผชิญหน้าในเวลาย่ำค่ำที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

เป็นเงื่อนไขที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับความรุนแรง

อุณหภูมิของความเกลียดชังที่บ่มไว้อย่างเป็นระบบ และความขัดแย้งต่างๆ ที่สั่งสมมาจากยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และความเคียดแค้นจากเดือนเมษายน 2552 ฯลฯ ได้จังหวะระเบิดออกอย่างฉับพลัน

มีกลุ่มฉวยโอกาสออกมาใช้อาวุธสงครามยิงใส่ ทหาร จนสูญเสียนายทหารระดับพันเอก ผู้บังคับ บัญชาระดับพลตรีบาดเจ็บ และกำลังพลเสียชีวิต อีกหลายนาย

รถหุ้มเกราะ รถสายพานลำเลียง รถฮัมวี อาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากถูกทำลายและถูกยึด

เป็นอีกครั้งที่กองทัพไทยโดนฉีกหน้าเสียหายยับเยิน

โดยมีกระแสข่าวระบุว่า เบื้องหลัง เกิดความขัด แย้งและการชิงอำนาจในกองทัพ ที่แตกออกเป็นสายอำนาจปัจจุบันและสายอำนาจเก่า

ส่วนฝ่ายประชาชนเสื้อแดง เอาชีวิตมาสังเวยถนนราชดำเนินอีกร่วม 20 คน เป็นการเสียชีวิตปริศนา เพราะฝ่ายทหารยืนยันว่าไม่ได้ใช้กระสุนจริงยิงใส่ประชาชน

ขณะที่เสื้อแดงระบุว่า ฝ่ายทหารใช้สไนเปอร์ หรือพลแม่นปืนซุ่มบนตึกสูง ยิงเด็ดหัวทีละคน

จนบัดนี้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า ชีวิตเหล่านี้เป็นผลงานของใครกันแน่

สภาพมิคสัญญีที่เกิดใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติมาชุมนุมกัน คือถนนข้าวสาร และย่านสนามหลวง ทำให้ภาพเหตุ การณ์ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก

แต่เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้

กลุ่มผู้ชุมนุมยุบเวทีผ่านฟ้า ย้ายไปรวมเป็นเวทีเดียวที่ราชประสงค์ ขยายพื้นที่ชุมนุมไปในถนนธุรกิจรอบๆ และเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่อีกระลอก

ยิ่งสร้างผลกระทบและแรงกดดันต่อนายอภิสิทธิ์และรัฐบาล

แต่รัฐบาลยังเดินหน้าต่อ นอก จากยืนยันไม่ยุบสภา ไม่ลาออกแล้ว ยังผลักดันให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ. ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมและผู้สนับ สนุน

โดยจะเรียกนักธุรกิจ นักการเมือง ที่สนับสนุนการชุมนุมเข้าราบ 11

และยังส่งตำรวจไปจับกุมแกนนำเสื้อแดงที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค ในเช้าวันที่ 16 เมษายน แต่คว้าน้ำเหลว

ผลจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน แม้รัฐบาลจะพยายามเดินหน้า

แต่เป็นการเดินหน้าที่อ่อนเปลี้ย และมีแนวโน้มว่าอาจจะไม่ได้รับ ความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่

เนื่องจากเป็นการใช้มาตรการแข็งกร้าวแบบการทหาร เข้าจัด การกับความขัดแย้งทางการเมือง

ผลจากวันที่ 10 เมษายน ทำ ให้สถานะของนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนแปลง อย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ประการหนึ่ง กองทัพ โดยพล.อ. อนุพงษ์ ได้กล่าวในการแถลงข่าวว่า ปัญหาการเมืองจะต้องยุติด้วยการ เมือง และอาจจะต้องมีการยุบสภา

ซึ่งเท่ากับบีบให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา ขณะที่ข่าวเบื้องลึกระบุว่า ฝ่ายทหารจะไม่รับนโยบายขอพื้นที่คืนอีกต่อไป

ประการหนึ่ง พรรคร่วมรัฐบาลได้เปลี่ยนท่าที ยุติการสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดยจะใช้การเจรจาภายใน บีบให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ ลดการเผชิญหน้ากับเสื้อแดง

และยังมีปัจจัยสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องคือการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติเห็นควรยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากความผิดในเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านบาทและเงินอุดหนุนพรรคการ เมือง 29 ล้านบาท รอการตัดสินของศาลรัฐ ธรรมนูญต่อไป

เท่ากับลดอำนาจต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์ลงไปอีก

ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง

รอเวลา"ร่วง"!?


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
*****************************************************