--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

เสธ.จง ชู“ทักษิณ”สัญลักษณ์ต่อสู้-เปรยคนไม่ขึ้นเวทีน่าระวัง

พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 ถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่า ขณะนี้ช่วยเป็นแรงใจให้กลุ่มนปช. ซึ่งเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยถึงเวลาที่สังคมต้องเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาผู้ที่มีอำนาจควรปล่อยให้ประชาชนมีอิสระทางความคิด ซึ่งเป็นห่วงเรื่องลัทธิคลั่งชาติ เปรียบกับญี่ปุ่นที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนกัน แต่เป็นจักรพรรดิ ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกปกครองด้วยโชกุน แต่เมื่อแม็คอาเธอร์ชนะ เขาก็ทำลายหมด และมีการจับแขวนคอหมด แต่เก็บจักรพรรดิ เพราะจักรพรรดิ และประฃาชนเป็นสถาบันที่สำคัญ ทำให้ญี่ปุ่นเจริญ

ซึ่งบ้านเมืองเราคล้ายๆกัน คิดว่า ขณะนี้เสื้อแดงชนะไปแล้ว เพราะเขาสามารถจุดประกายประชาชนในเรื่องการคิดเรื่องความครอบงำทางการเมืองได้ แต่การคุกเข่าขอประชาธิปไตยต้องใช้เวลา แต่วันนี้ถือว่า ชนะในทางยุทธศาสตร์ เพราะสามารถอธิบายประชาชนชาวรากหญ้าว่า จริงๆประชาธิปไตยเป็นรูปแบบ แต่เนื้อหาไม่ใช่ เพราะยังมีการจ้างคนไม่ยกมือไว้วางใจอยู่

"ผมอยากเห็นประชาธิปไตยบ้านเราเหมือนญี่ปุ่น โดยเฉพาะทหาร คือ จับทหารเข้าไปอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เหมือนประเทศเจริญ เพราะทุกวันนี้เรายังจัดเหมือนสมัยสงครามโลก คือ มีผู้บังคับบัญชาคนเดียวสั่งได้เป็นแสนๆ คน ซึ่งทั่วโลกเขาจัดแบบเป็นเสนาธิการทหารหมด เขาให้คุมได้เฉพาะหน่วยผู้บัญชาการระดับกองพล โดยอำนาจทั้งหมดต้องขึ้นกับฝ่ายการเมือง ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ผมจะพยายามผลักดันในเรื่องนี้ เพราะอำนาจทั้งหมดอยู่ที่อำมาตยาธิปไตยอยากคุมทหารไว้ คือ คุมตัวบุคคล คือ เขายึด ผบ.ทบ.คนเดียวทุกอย่างจบ ไม่ใช่คุมกฎหมาย ไม่อย่างนั้นเขาจะมาดูการปรับย้ายทุกสมัยทำไม หากเรามีกฎหมายให้ทหารเป็นของประชาชนจริงๆ อำมาตย์จะคุมไม่ได้ ถึงเวลาหรือยังที่จะทำให้กองทัพของเราเป็นเหมือนกองทัพที่เจริญแล้ว ในโลกนี้เหลือเพียงแค่ประเทศไทยกับกัมพูชาเท่านั้น ที่มีผู้บัญชาการทหาร"

พล.อ.จงศักดิ์ กล่าวว่า ตนให้เกียรติเขาทุกคน กลุ่มเสื้อแดงต่อสู้มา 3 - 4 ปี ตนยกย่องในความกล้าหาญของเขา คือ กล้าหาญทางความคิดที่เราไม่กล้าคิด คนไทยถูกครอบงำทางการเมืองมานาน เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่กล้าคิดต่อสู้ถือว่า น่ายกย่อง ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยขึ้นเวที นปช.นั้น ทุกอย่างเป็นตามธรรมชาติ ที่น้ำต้องไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ คนอุดมการณ์ใกล้เคียงกันจะไหลไปหากันโดยอัตโนมัติ ส่วนกรณีที่มีการมองว่า พล.อ.ชวลิตลงมา จะมีการเล่นเกมใต้ดินหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่า ท่านเป็นคนไม่ลับ ลวง พราง แต่ท่านพูดตรงๆ ไม่อย่างนั้นท่านจะไปขึ้นเวทีนปช.หรือ คนที่กล้าพูด กล้าขึ้นเวทีไม่น่ากลัว แต่คนที่ไม่ขึ้นเวทีทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ระวังให้ดี

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการระบุว่า จปร. 20 ได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากพ.ต.ท.ทักษิณ และมีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดในกรุงเทพ พล.อ.จงศักดิ์ กล่าวว่า ในเรื่องท่อน้ำเลี้ยง แม้ผมจะสนิทสนมกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ตั้งแต่รับราชการมา พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยมาโปรโมตอะไรตน ตรงกันข้ามมีแต่พี่ๆที่เชียร์ตนให้ขึ้นมา ซึ่งตนไม่มีอะไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งเรื่องเงินทองยิ่งไปกันใหญ่ ตัดไปได้เลยเรื่องผลประโยชน์ เพียงแต่ตนเห็นว่า ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของแพะในคอก

ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เปรียบเหมือนแพะภูเขาที่ไม่เคยถูกครอบงำ มีอิสระ ส่วนเราเป็นแพะในคอกที่ถูกครอบงำ ที่เราอยากเอาตัวอย่างไปเป็นแพะภูเขา ส่วนเรื่องวางระเบิดนั้น จากการที่ได้ตรวจสอบกับพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สรุปว่า เด็กในสนามพูดแสดงความคิดเห็นกับนักข่าวท่านหนึ่งแล้วเอามาพูดกับผู้ใหญ่ในกองปราบ เมื่อไม่มีการปฏิเสธทำให้เกิดเป็นข่าวขึ้น แต่ตอนนี้ตนไปที่ไหน ตนก็วางระเบิดทุกวัน คือ วางระเบิดความคิด


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
***********************************************

บทบาท"หมอ"กับการเมือง

กรณี น.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ อ้างผลตรวจเลือดที่เสื้อแดงนำไปเท พบเชื้อไว้รัสตับอักเสบ และเชื้อเอดส์
และว่า ผลตรวจดีเอ็นเอ พบเลือดมีส่วนผสมของเลือดหมูกับเลือดคน
รวมถึงการที่ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนนำนัดหมายกลุ่มสีชมพูแสดงพลัง ที่สวนลุมฯ
นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย และมีความเห็นจากเพื่อนร่วมวิชาชีพ ดังนี้



น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา
นายกแพทยสภา
การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองถือเป็นเสรี ภาพส่วนบุคคลที่แพทย์สามารถทำได้
แต่การแสดงความคิดเห็นนั้นไม่ควรนำความเป็นแพทย์มาเกี่ยวข้อง หรือใช้ว่าตัวเองเป็นนายแพทย์ แพทย์หญิง แม้ว่าจะไม่มีกฎกติกากำหนดไว้แต่เป็นเรื่องไม่เหมาะสม
ไม่ควรเอาวิชาชีพไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง อยากให้แพทย์ทุกคนยึดหลักแห่งวิชาชีพที่เป็นผู้ช่วยเหลือทุกคนโดยไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิ ความเชื่อ ศาสนา
จำเป็นต้องรักษาความเป็นกลางไว้ แต่ไม่ได้หมาย ความว่าจะมีความชอบหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไม่ได้เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพ
ขอฝากเตือนบรรดาแพทย์ทั้งหลายว่าการจะกระ ทำการใดๆ ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถกระทำได้
แต่หากไม่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์หรือการรักษาพยาบาลก็ไม่ควรใช้คำว่า "นายแพทย์" นำหน้าชื่อ และไม่ควรแต่งกายด้วยแบบฟอร์มของแพทย์
แต่หากจะใช้คำว่า "หมอ" สามารถทำได้ เพราะหมอมีตั้งแต่หมอดูและหมอนวดเต็มไปหมด
ที่ผ่านมาก็มีหมอหลายคนที่ขอลาออกจากแพทยสภาเพื่อไปเล่นการเมืองก็มี ซึ่งแพทยสภาไม่ได้ห้ามหรือบัญญัติไว้ แต่เป็นความรับผิดชอบส่วนตัว
กรณีการนำผลการตรวจเลือดมาเปิดเผยต่อสาธารณะไม่ใช่เรื่องผิดเพราะไม่มีการเปิดเผยชื่อ แต่เป็นการเตือนประชาชนให้รับทราบ
ถึงไม่ออกมาเตือนก็บอกได้ว่าเลือดมีปัจจัยเสี่ยงเป็นอันตรายอยู่แล้ว แพทย์ทุกคนรู้ดี เมื่อต้องสัมผัสเลือดก็จะใส่ถุงมืออย่างดี
แต่คนที่ไม่รู้ไม่มีการป้องกันก็อาจได้รับอันตรายได้
จากสถิติพบว่าผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไปที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบ 8-10% หรือใน 100 คน พบ 10 คน ส่วนโรคเอดส์มีคนไทยที่ติดเชื้อเอชไอวีนับล้านคน เสียชีวิต 5 แสนคน เหลืออยู่ในสังคมประมาณ 5 แสนคน หรือใน 100 คน พบ 1 คน

ดังนั้น การที่มีผู้มาร่วมกันเจาะเลือดหลายร้อยคนก็ย่อมมีเชื้อต่างๆ ปะปนอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องตรวจเก็บตัวอย่างเลือด
การโดนเลือดตามเยื่อบุต่างๆ ก็ทำให้ติดเชื้อได้ ซึ่งสามารถกินยาป้องกันได้หากรู้ว่าได้รับความเสี่ยง แต่ถึงขณะนี้คงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้หากได้รับเชื้อจริงก็คงต้องสวดมนต์อย่างเดียว
การเจาะเลือดของคนเสื้อแดงไม่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพเวชกรรมแต่เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ ความเชื่อของบุคคล และไม่อยากยุ่งเกี่ยวเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง ไม่ใช่หลักเกณฑ์ทางวิชาการ
และขอเตือนแพทย์ว่าไม่ควรเจาะเลือดลักษณะเช่นนี้อีก เพราะส่วนใหญ่คนป่าจะทำ และคนในเมืองไม่ทำ ทำแล้วอายเขา



น.พ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ผอ.ศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก

ด้านค้นคว้าและอบรมโรคติดเชื้อไวรัสสัตว์สู่คน
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การที่แพทย์ไปเคลื่อนไหวทางการเมือง ตราบใดที่ไม่ได้เอาความคิดทางการเมืองไปแบ่งแยกการรักษาพยาบาลคนไข้ ผมไม่คิดว่ามีปัญหา
แต่เมื่อใดที่ประกาศว่าจะใช้ความคิดทางการเมืองไปแบ่งแยก ไม่รักษาคนที่มีความเชื่อทางการเมืองแตกต่างกับตัวเอง อย่างนี้ถือว่าไม่ถูก
ผมมองต่างกับพระสงฆ์ ที่ผมไม่เห็นด้วย 100% ที่พระสงฆ์จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะพระสงฆ์มีหน้าที่อบรมบ่มจิตใจคน
กรณีน.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ต้องดูวัตถุประสงค์การออกมาพูด ผมมองว่าการออกมาบอกว่าพบเลือดบวก พบเชื้อไวรัสในเลือด เพื่อเป็น การเตือน เพราะหลายฝ่ายได้ออกมาเตือนเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนมีการเจาะเลือดแล้วว่าการเจาะเลือดแบบนี้อาจสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
วันนี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าการที่เราเตือนอันตรายนั้นเกิดขึ้นจริง
การออกมาพูดก็ขึ้นกับวิธีการนำเสนอว่าบางตัว อย่างมีเชื้อโรค ตามที่เราสันนิษฐานตั้งแต่ก่อนเจาะเลือด ผมคิดว่าเป็นการพูดเพื่อให้ระวังเรื่องความปลอดภัย
ส่วนกรณี น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ความจริงก็เป็นรุ่นน้องผม แต่การออกมาพูดแบบทั้งองค์กรคงไม่ถูก เพราะองค์กรเดียวกันความคิดเห็นก็อาจแตกต่างไม่เหมือนกัน
วันนี้ผมก็ไปร่วมที่สวนลุมฯ เพราะเห็นว่าการแถลง การณ์เพื่อต้องการให้สงบ รักกัน ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ไม่ก้าวร้าวยั่วยุว่าจะปิดประตูกัน
คิดว่าหมอออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ต้องไม่เอาตำแหน่งนายแพทย์หรือแพทย์หญิงนำหน้าเพื่อโน้มนำความน่าเชื่อถือ ต้องมาด้วยความเป็นตัวเองเป็นนาย นาง นางสาว
การอ้างความเป็นหมอไม่ผิด แต่หากอ้างว่าเป็นหมอเป็นผู้มีปัญญาเลิศแล้วมาพูดว่าคนต้องเชื่อตัวเองอย่างนั้นคงไม่ถูก



น.พ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล

การเคลื่อนไหวทางการเมืองของแพทย์ถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล การเคลื่อนไหวทางการเมืองความจริงมีทุกวิชาชีพ แต่ เมื่อมีหน้าที่ตามวิชาชีพก็ต้องทำ งานก่อน
กรณีน.พ.กุศล ออกมา ผมไม่รู้เหตุผลการกระทำ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการชี้ให้เห็นอันตรายของการเจาะเลือดมากกว่า ส่วนกรณีน.พ.ตุลย์ ผมก็ไม่อยากให้เอาองค์กรวิชาชีพไปเกี่ยวข้องทางการเมือง
เรื่องแบบนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องของวิชาชีพแพทย์ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของแพทย์จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อวิชาชีพ เนื่องจากแพทย์มีหน้าที่ต้องรักษาพยาบาล ไม่ว่าฝ่ายไหน เมื่อเข้ามาอยู่ในวิชาชีพนี้แล้วไม่ว่าศัตรู ข้าศึก เราก็ต้องดูแล
ดังนั้น เรื่องการเคลื่อนไหว บทบาท ความคิดเห็นทางการเมือง จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคล
แต่ต้องไม่ทำให้กระทบต่อองค์กรและวิชาชีพการทำงาน



น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์
อดีตเลขาธิการแพทยสภา

หากจะมองในแง่ของจริยธรรมวิชาชีพ ต้องพิจาร ณาว่าแพทย์คนดังกล่าวได้ทำผิดจรรยาบรรณวิชา ชีพหรือไม่ ซึ่งมีอยู่ 3 ประเด็นที่ควรพิจารณา คือ
ประการแรก คือการทำผิดการประ กอบวิชาชีพเวชกรรม เช่น การรักษา การใช้วิชาชีพในการรักษาอย่างผิดวิธี หรือทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นหรือไม่
ประการที่สอง ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ศรีของวิชาชีพหรือไม่ เช่น การขู่อาฆาตต่อชีวิตของผู้อื่น เพราะถือว่าขัดต่อวิชาชาชีพแพทย์ที่ต้องให้การช่วยเหลือผู้อื่น
ประการที่สาม คือการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง
การชุมนุมทางการเมืองถือเป็นการแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นได้ ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง หรือใช้วิชาชีพไปในทางที่ผิด หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ศรีของวิชาชีพ
ในกรณีของน.พ.กุศล ถือว่าเป็นการบอกความจริงต่อสังคม
บอกให้สังคมได้ระวังในอันตรายที่จะเกิดขึ้น


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
***************************************************

'ตัวช่วย' ให้อยู่ลำบาก?

เรตติ้งกระฉูดทันตาเห็นเลย กับคิวที่นายแพทย์กุศล ประวิชไพบูลย์ อ้างในนามแกนนำ

กลุ่มพี่น้องมหิดล ออกมาเคลื่อนไหวยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมปูดประเด็นแฉดังๆ

เลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงที่นำไปสาดตามสถานที่ต่างๆ พบเชื้อไวรัสร้ายแรง ทั้งไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือเอดส์

อีกทั้งยังพบเลือดที่นำมาทิ้งมีส่วนผสมของเลือดหมู

ลบหลู่กันแรงๆ ตามอารมณ์ที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. จุดไฟโหมอารมณ์เดือดดาลของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ยอมไม่ได้ที่โดนดูถูกเหยียบย่ำ

"เลือดสัตว์เดรัจฉานปนกับเลือดคนเสื้อแดง"

ประกาศขึ้นป้ายนายแพทย์กุศล เป็นศัตรูของคนเสื้อแดง งัดมาตรการตอบโต้ขั้นรุนแรง ด้วยการประกาศชื่อคลินิกเสริมความงามพร้อมสถานที่ตั้งในห้างดัง 2 สาขา และเบอร์โทรศัพท์เสร็จสรรพ

ล็อกเป้าให้คนเสื้อแดงตามไล่ล่า

ในจังหวะที่หน่วยงานซึ่งโดนอ้างอิงตามข้อมูลของหมอกุศล "ไม่รับมุกด้วย"

นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภาฯ ยืนยันจะนำเรื่องของนายแพทย์กุศล เข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภา ในวันที่ 8 เมษายน เพื่อพิจารณาพฤติกรรมว่า เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์การนำวิชาชีพเวชกรรมไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่วิชาชีพแพทย์หรือไม่

ขณะที่ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน คณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงปฏิเสธกรณีที่นายแพทย์กุศลออกมาระบุว่า ได้มีการนำเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลรามาฯ และพบว่ามีเชื้อไวรัส และเชื้อเอชไอวี

ไม่เป็นความจริง และนายแพทย์กุศลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับทางโรงพยาบาล

ยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลรามาฯ พร้อมย้ำจุดยืนของโรงพยาบาลว่า ให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่เป็นประชาชนคนไทยอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้กรอบของวิชาชีพ และไม่เกี่ยวข้องกับความคิดทางการเมือง

โดยเฉพาะรองศาสตราจารย์นายแพทย์ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ย้ำอาจต้องดำเนินคดีกับนายแพทย์กุศล ที่ออกมาอ้างว่าโรงพยาบาลรามาธิบดีเกี่ยวข้องกับผลการตรวจเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง ส่งผลให้โรงพยาบาลเสียหาย

"ยืนยันว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่มีหน้าที่ หรือได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปตรวจเลือดดังกล่าวแต่อย่างใด แต่การที่นายแพทย์กุศล ออกมาระบุเช่นนี้ จะเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ก็เป็นไปได้ เนื่องจากการนำเลือดไปตรวจ อาจมีการนำไปปรุงแต่งเพิ่มเติมได้ ซึ่งควรที่จะต้องพิสูจน์ต่อไป"

"หมออาชีพ" ไม่สนุกด้วยกับมุกแฝงการเมือง

รู้ทาง เบื้องหลังของนายแพทย์กุศล เป็นแนวร่วมพันธมิตรฯที่เคลื่อนไหวต่อต้านเครือข่ายอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร มาอย่างต่อเนื่องในระดับเข้มข้น

อย่างที่เวทีคนเสื้อแดงเอาข้อมูลข่าวเก่ามาย้อนหลังแฉเป็นฉากๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันต้องตามแกะรอย โดยปฏิบัติการของเครือข่าย ม็อบพันธมิตรฯที่ตั้งท่าบู๊กับกองทัพคนเสื้อแดง

วันเดียวกันกับคิวของ "หมอกุศล" ทางกลุ่ม 40 ส.ว. นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน นายประสาร มฤคพิทักษฺ์ พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร ส.ว.สรรหา และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ก็เปิดแถลงที่รัฐสภา ปูดข่าว "ไม่ได้กรอง" การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในวันที่ 3 เมษายน

มีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรง โดยสร้างสถานการณ์ด้วยการยิงระเบิดใส่ผู้ชุมนุมให้มีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ จากนั้นศพและคนเจ็บจะกลายเป็นเครื่องมือปลุกให้เกิดความเคียดแค้น นำไปสู่การก่อจลาจล

แต่พอโดนนักข่าวสภาไล่บี้ถามที่มาข่าวกรองเชื่อได้แค่ไหน ก็อึกๆอักๆ สลัดก้นลุกหนีกันดื้อๆ

ออกแนว "ปล่อยของ" กันทื่อๆ

แล้วอีกด้านก็เป็นนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยขึ้นแสดงตัวแสดงตนบน

เวทีเสื้อเหลือง ก็ออกหน้านัดอาจารย์ อดีตอาจารย์ บุคลาจารย์จุฬาฯ รวมพลคนเสื้อชมพู จี้ให้รัฐบาลจัดการกับกลุ่มคนเสื้อแดง

แท็กทีมกันเล่นเป็นแพ็กเกจ ตามปรากฏการณ์คนเสื้อเหลืองพาเหรดออกมาช่วยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระดมแนวร่วมฟัดกับกองทัพแดง

โดย "ตัวช่วย" เหมือนนายกฯอภิสิทธิ์จะได้เปรียบ

แต่ถ้าเมื่อไหร่สถานการณ์ไหลไปถึงจุดที่ม็อบชนม็อบ โดยความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาลที่ไม่สามารถตีกรรเชียงหนี

"อภิสิทธิ์" นั่นแหละที่จะอยู่ไม่ได้.



ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการเมือง
************************************************

ตัวตลก

เห็นต้องย้ำอีกทีว่า ขอสนับสนุนแนวคิดสร้างอนุสาวรีย์สมเพียร เอกสมญา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ห้องประธานก.ต.ช. ห้องประธานก.ตร. ไปจนถึงหน้าที่ทำการพรรคการเมืองบางพรรค

อนุสาวรีย์ของจ่าเพียร ไม่จำเป็นต้องสร้างที่บันนังสตา

เพราะกรณีของพล.ต.อ.สมเพียร เป็นปมปัญหาความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์

เนื่องจากเป็นยุคที่ไม่มีการแต่งตั้งผบ.ตร.ทำให้องค์กรตำรวจอ่อนแอ ทำให้การเมืองเข้ามาล้วงโผโยกย้ายอย่างสนุกมือ

ระบบการแต่งตั้งของตำรวจถูกละเมิดอย่างเลวร้ายมากที่สุด

แล้วมาเกิดเรื่องตลกร้ายอย่างที่สุดขึ้นไปอีก เมื่อคณะกรรมมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร สรุปผลการสอบสวนกรณีปัญหาพล.ต.อ.สมเพียรไม่ได้รับการโยกย้ายไปลงในจังหวัดตรัง

ไม่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง!

ถ้าไปแถลงต่อหน้าประชาชนคนดูต้องโดนโห่กันระงม

เลยทำให้ต้องนึกถึงบทเพลงของ "ชุมพล เอกสมญา"

ลูกชายคนโตของพล.ต.อ.สมเพียร ซึ่งเป็นศิลปิน นักเพลง นักกวี ที่ชอบเดินทางไปในโลกกว้าง

ชอบอยู่บนดอยทำไร่ไถนาร่วมกับคนชนเผ่า

ชอบร้องเพลงเล่นกีตาร์บนเวทีดนตรีทางเลือก

เมื่อไม่กี่วันก่อน เพิ่งขึ้นแสดงในคอนเสิร์ต "พันแสงรุ้ง" ที่หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหิดล ร่วมกับ "ชิ"สุวิชาน ศิลปินเตหน่า ชาวปกาเกอญอ เพื่อนสนิท

นอกจากเพลงบันนังสตาที่โหยหวนไปทั่วบ้านทั่วเมืองหลังความตายของจ่าเพียร

โดยเฉพาะท่อนสำคัญที่สะท้อนปัญหาภาคใต้แม่นยำ "โลกที่เราล้างไฟด้วยไฟ" และหวังว่า "เราจะเป็นน้ำดับไฟ"

อีกเพลงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งชุมพล เอกสมญา แต่งขึ้นเมื่อครั้งเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของสมัชชาคนจน

ชื่อเพลงตัวตลก

ประชาชนก็เป็นแค่ของเล่น ของผู้มีอำนาจของนักการเมืองเท่านั้น

ยิ่งเมื่อฟังคำแถลงผลสอบของกรรมาธิการ ได้ยินบทสรุปการสอบสวนของคณะกรรมการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกชุด

ฟอกนักการเมืองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโผโยกย้าย จนทำให้ชื่อสมเพียรหายไป

ยิ่งต้องอยากให้ฟังเพลงตัวตลก

เพลงจากลูกชายสมเพียร!


ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
***********************************************

ตกลงใครดึงสถาบันลงมาเป็นเครื่องมือการเมืองข้างถนนนี่....

ตอนที่มีการถวายพระพรและรณรงค์ให้คนไทยใส่เสื้อเหลืองเพื่อแสดงความจงรักภักดี สนธิ ลิ้มฯ ก็ออกมาจัดตั้ง พธม. และอาศัยเสื้อเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ เพื่อดึงมวลชนมาร่วม ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อความจงรักภักดี ฝ่ายตรงข้ามกับเสื้อเหลืองเป็นฝ่ายที่ไม่จงรักภักดี จ้องล้มสถาบันฯทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อว่าการเข้าร่วมกับ พธม.เป็นการแสดงออกถึงความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้ได้เพื่อความดำรงค์อยู่ของสถาบันที่ตนรัก

มาเมื่อวาน มีการนำเสื้อสีชมพูมาเป็นสัญลักษณ์ในการจัดตั้งมวลชนเพื่อต่อต้านเสื้อแดง โดยตามข่าวบอกว่าเป็นความร่วมมือของ "ภาครัฐ" "ประชาชน" "อาจารย์" และ 40 สว. ที่เรียกร้องให้ยุติความรุนแรง และให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไป (ก็แน่ล่ะสิ เพราะ "ภาครัฐ" เป็นหน่วยจัดตั้งนี่นา) โดยก่อนหน้านี้เสื้อสีชมพูได้เป็นสัญลักษณ์ในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีหลังจากที่ พธม.นำเสื้อสีเหลืองลงไปละเลงกับการเมืองข้างถนนมาแล้วจึงได้เลือกสีชมพูมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทน

มาวันนี้มีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่อาศัยความเคารพรักศรัทธาของประชาชนในสถาบันพระมหากษัตริย์มาจัดตั้งเป็นม็อบเสื้อชมพูที่แสดงออกว่าตัวเองคือพวกที่ต่อต้านความรุนแรง มีความเป็นกลางทางการเมือง(เป็นกลางมากๆ พธม.แปลงกายมาทั้งนั้น) และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ แล้วไงต่อครับ คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสีชมพูในสายตาของคนเสื้อชมพูก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ทำลายชาติ อย่างนั้นหรือ

หยุดดึงฟ้าต่ำเถอะครับ ท่านอยู่ของท่านดีๆอยู่แล้ว อย่าเอาท่านลงมาแปดเปื้อนกับการเมืองข้างถนนอีกเลยครับ ปากพวกท่านก็บอกว่าจงรักภักดี แต่สิ่งที่ท่านทำอยู่มันตรงกันข้ามครับ ต่อไปพอเสื้อสีชมพูกลายเป็นสีที่เลวร้ายอย่างเสื้อเหลืองใครจะกล้าใส่เพื่อแสดงความจงรักภักดีกันเล่าครับ คงต้องหาสีใหม่ไปเรื่อยๆ พวกท่านก็นำไปแอบอ้างเรื่อยๆใช่ไหมครับ เราคนไทยทุกคนรักในหลวงครับ ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อขาว เสื้อแดง เสื้อชมพู ต่างก็มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯทั้งนั้น อย่ามายัดเยียดความเกลียดชังกันในชาติเลยครับ


ที่มา.พันทิป
********************************************

"จาตุรนต์"บอกการเจรจายกฐานะเสื้อแดงไม่ใช่ แก๊งข้างถนน บอก"มาร์ค"คิดผิดว่าเป็นนายกฯคนแรกที่ตั้งโต๊ะคุย

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีดรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า ลีลาศ เมื่อวันที่ 2 เมษายนถึงการเจรจาระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงกับรัฐบาลว่า การเจรจาครั้งนี้ทำให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงไม่ใช่เรื่องของแก๊ง ข้างถนน หรือคนคิดร้ายต่อบ้านเมือง แต่เป็นคนที่มีศักยภาพจนต้องให้ฐานะมานั่งเจรจากับนายกฯ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ในการเจรจาครั้งนี้พบเรื่องเล็กๆว่านายกฯเข้าใจผิดในบ้างเรื่องว่า ตัวเองเป็นนายกฯคนแรกที่ลงมาเจรจากับผู้ชุมนุม ย้อนไปเมื่อปี 2540 สมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีเคยนั่งโต๊ะเจรจากับม็อบสมัชชาคนจน สมัยเขื่อนปากมูล มีนายกฯลงนั่งเจรจากับม็อบทำกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น ในการเจรจาครั้งนี้พบว่า


"การเจรจาครั้งนี้พบว่านายกฯไม่อยู่กับร่องกับรอยยกคำพูดตอนที่ท่าน สมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี) สมัยที่นายอภิสิทธิ์นั่งฝ่ายค้านบอกว่าถ้าเป็นผมยุบสภาไปแล้ว ซึ่งนายกฯบอกว่าเพราะพันธมิตรมาเรียกร้องให้นายกฯลาออกจึงไปเสนอให้รัฐบาล สมัครยุบสภา ถ้าวันนี้เสื้อแดงให้นายกลาออกจะยอมยุบสภาไหม" นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ระหว่างการเจรจานายกฯแสดงสีหน้าท่าทางเหมือนอยู่ในสภาไม่ได้ตั้งใจจะแก้ วิกฤต แต่พูดเพื่อหาทางเอาชนะทางการเมืองแก้ปัญหาให้ตัวเองเท่านั้นทำให้คนเห็นว่า นายกฯพูดดีกว่า แล้วยังอ้างว่าต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ฟื้นก่อนถึงจะยุบสภา ตอนนี้รัฐบาลบอกทุกวันว่าตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่เห็นยุบสภา ทำไมต้องรอสิ้นปีงบประมาณ

ที่มา.พิทักษ์ไทย
**************************************************

ฝ่ายมั่นคงปูดแผน"แดง"ล้อมสถานที่สำคัญ-บ้านวีไอพี ใช้รถก่อกวน-ปิดแยก "สุเทพ"ซ้อมใช้พรก.ฉุกเฉิน

คาด"เสื้อแดง"ใช้รถก่อกวน-ปิดแยกล้อมสถานที่สำคัญ-บ้านวีไอพี "ประวิตร"ห่วงมือที่3 "สุเทพ"ซักซ้อมใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากสถานการณ์ 1-2 วันนี้วุ่นวาย นายกฯมั่นใจบริหารจัดการม็อบชุมนุมใหญ่ได้ ชี้มวลชนที่ใช้ความรุนแรงสุดท้ายจะเสียหายเอง รับปากดูแลไม่ให้กลุ่มหนุน-ต้านออกมาปะทะกัน

"สุเทพ” เรียกประชุมฝ่ายกม.ด่วน หาช่องประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้เดินทางมายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ กระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยใช้เวลาการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง

รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมวันนี้ เพื่อหารือถึงความรอบคอบในการบังคับใช้กฎหมายและการซักซ้อมทำความเข้าใจในเรื่องการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อเตรียมการหากมีความจำเป็นที่ต้องประกาศใช้ในช่วงวันที่ 3 และ 4 เม.ย.นี้ เพราะหากการชุมนุมของคนเสื้อแดงเกิดความวุ่นวาย รุนแรง และจลาจล ก็จะสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

ภายหลังการประชุมนายสุเทพกล่าวถึงการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 2-5 เม.ย.นี้ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า “อาจจะไปไม่ได้ เพราะงานยุ่งจริงๆ แต่ถ้ามีเวลาก็อยากจะไป เพราะจะไปคุยกับฮุนเซนซะหน่อย ให้เบาๆๆบ้าง เพราะผมคิดว่าผมคุยได้”

ตร.ประเมินม็อบป่วน3รูปแบบ

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) กล่าวว่า เป็นห่วงสถานการณ์การชุมนุม เพราะกลุ่มที่มีความเห็นต่างกันอาจเผชิญหน้ากัน โดยพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา (สบ 10) แจ้ง บช.น. ให้แจ้งความประสงค์หากต้องการกำลังสนับสนุน ซึ่งพร้อมเข้าสมทบภายใน 3 ชั่วโมง โดยตำรวจใช้กำลัง 42 กองร้อย พร้อมทั้งร้องขอกำลังทหารไปแล้วเพื่อสนับสนุนตามสถานการณ์ด้วย

พล.ต.ต.ปิยะกล่าว ผู้มาร่วมชุมนุม มาจากต่างจังหวัดโดยเฉพาะแถบภาคเหนือ กรุงเทพฯและปริมณฑล

น่าจะเคลื่อนไหว 3 ลักษณะ คือ

1.ปิดล้อมสถานที่สำคัญ หรือบ้านพักบุคคลสำคัญ

2.ใช้รถจักรยานยนต์ รถยนต์วิ่งไปก่อกวนตามสถานที่ต่างๆ และ

3.ปิดทางร่วม ทางแยกต่างๆ

เตรียมพร้อมรับสถานการณ์รุนแรงสุด

พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ 3 เมษายน ว่ามีโอกาสเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้มาชุมนุม คำประกาศของแกนนำที่บอกว่าจะยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งได้เตรียมกำลังตำรวจร่วมกับทหารไว้พร้อมแล้ว และจะมีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 3 เมษายน ตอนนี้ก็บอกไม่ได้ว่าจำนวนผู้ชุมนุมจะมากแค่ไหนต้องดูสถานการณ์ในวันชุมนุมก่อน

"เราเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่บนสมมติฐานที่ว่าสถานการณ์ความรุนแรงสูงสุด แต่ไม่ได้บอกว่าสถานการณ์รุนแรง การเตรียมการป้องกันต้องเตรียมให้พร้อมที่สุดต้องประเมินสูงสุดไว้ก่อนเพื่อจะรับสถานการณ์ที่อาจจะรุนแรงได้ แต่หากไม่มีความรุนแรงก็ลดระดับการดูแลลง เป็นการเตรียมความพร้อมตามหลักการรักษาความปลอดภัย ส่วนมือที่ 3 นั้นยังมีโอกาสเข้ามาสร้างสถานการณ์วุ่นวายตลอด เราก็ดูอยู่ตลอด" รรท.ผบ.ตร.กล่าว

"ประวิตร"เผยศอ.รส.ห่วงมือที่ 3

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ระหว่าง เป็นประธานในพิธีงานวันสถาปนาโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ครบรอบ 101 ปี โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ร่วมพิธีถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 3 เมษายน ว่า ศอ.รส.มีความเป็นห่วงมือที่สาม เพราะมีเหตุการณ์ที่ไม่เรียบร้อยเกิดขึ้นเป็นประจำ

นายกฯมั่นใจคุม"ชุมนุมใหญ่"ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะบริหารจัดการ การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือมวลชนเสื้อแดง ในวันที่ 3 เมษายน ไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้ ในการให้สัมภาษณ์เมื่อบ่ายวันที่ 2 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เท่าที่คุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้รับการยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพยายามไม่ให้เกิดความรุนแรง คิดว่าทุกฝ่ายทราบดีว่าความรุนแรงไม่ช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะเกิดความวุ่นวาย ความสูญเสีย รัฐบาลแสดงออกชัดเจนว่าจะไม่ให้เกิดความรุนแรง จึงเชื่อว่าจะบริหารจัดการได้ เพราะมวลชนที่ใช้ความรุนแรงสุดท้ายจะเสียหายเอง จึงเชื่อว่าทุกฝ่ายจะช่วยดูไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น

นายกฯกล่าววว่า เรื่องการก่อเหตุต่างๆ เจ้าหน้าที่พยายามดูแลไม่ให้เกิดเหตุอยู่ ส่วนเหตุที่จับคนร้ายลอบวางระเบิดรายวันตามสถานที่ต่างๆ ไม่ได้สักทีนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ความจริงมีทั้งคนที่ถูกจับได้ คนที่ถูกออกหมายจับ และคนที่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ทางตำรวจยืนยันว่าไม่มีตอ

จะดูไม่ให้กลุ่มต้าน-หนุนปะทะกัน

กรณีที่เริ่มมีบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน นปช. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าหากทุกฝ่ายเคารพสิทธิของฝ่ายอื่น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อยากให้สังคมช่วยกันบอกว่า ถ้ามีใจเป็นประชาธิปไตย ต้องยอมรับการแสดงความเห็นจากฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกัน เมื่อถามว่าห่วงกรณีดังกล่าวหรือไม่ อย่างกรณีคนเสื้อชมพูที่ออกมาคัดค้าน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าแสดงออกอย่างสันติ มีสิทธิแสดงออก รัฐบาลจะพยายามดูแลไม่ให้เกิดการปะทะกันของประชาชน สำหรับท่าทีแกนนำ นปช.ที่ดูเหมือนออกมาข่มขู่ทุกกลุ่มที่ออกมาคัดค้านนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยากให้สังคมได้มองเห็นว่า หากเป็นประชาธิปไตยจริง ต้องไม่มีลักษณะการข่มขู่คุกคาม เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะชุมนุมเช่นกัน ส่วนตัวอยากให้ผู้ชุมนุมทุกกลุ่มได้แจ้งมาก่อน รัฐบาลจะได้ส่งคนไปดูแล

ตั้ง2เงื่อนไขเปิดเจรจานปช.รอบ3

นายกฯกล่าวย้ำอีกครั้ง ถึงการเปิดเจรจารอบ 3 กับแกนนำ นปช.ว่า คงต้องให้การชุมนุม ไม่มีการเคลื่อนไหวและมีปัญหากับใคร เพราะนั่นคือเงื่อนไขการเจรจา ขณะนี้ยังไม่มีการเจรจารอบ 3 เงื่อนไข 9 เดือนยุบสภาที่เสนอไปนั้น สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่เวลา แต่อยู่ที่ว่าจะทำอะไร

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเจรจารอบ 3 จะมีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 1.การเคลื่อนไหวผู้ชุมนุมเป็นอย่างไร หากยังเคลื่อนไหวในกรอบ รัฐบาลก็ไม่ได้ปิดทาง 2.การยุบสภาจะเป็นไปได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อความต้องการหรือไม่ต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้ายอมรับจุดนี้ก็มาคุยกันได้ ถ้ายังไม่ยอมรับก็ไม่มีทาง

เมื่อถามว่า นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ ยังคงประสานงานอยู่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกอร์ปศักดิ์รายงานว่ามีคนเสนอตัวเป็นคนกลาง และมีคนติดต่อมาแต่ยืนยันเงื่อนไขตรงนั้นไป

เผยศอ.รส.กำลังหาทางเปิดพื้นที่

ผลกระทบหลัง นปช.ชุมนุมต่อเนื่องมากว่า 20 วัน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 1.ความรู้สึกที่เกิดความตึงเครียด จึงอยากให้ดูแลให้ดีที่สุด 2.การท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงการเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ว่าพยายามจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติให้มากที่สุด เมื่อถามว่า สงกรานต์นี้ประชาชนมีโอกาสฉลองอย่างมีความสุขหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พยายามอย่างเต็มที่ ทุกกลุ่มไม่ว่าใส่เสื้อสีอะไร อยากให้คนไทยทุกคนได้ฉลองสงกรานต์ เมื่อถามว่า นปช.ประกาศหากยังล้มรัฐบาลไม่ได้จะชุมนุมยืดเยื้อถึงสงกรานต์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อยู่ที่ผู้ชุมนุม แต่ผมว่าน่าจะกลับไปฉลองสงกรานต์กันมากกว่าŽ เมื่อถามว่า สถานที่ราชการอยู่ใกล้ที่ชุมนุมได้รับความเดือดร้อน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ ศอ.รส.กำลังดูข้อกฎหมายต่างๆ ควบคู่กับการพูดคุยเพื่อหาทางเปิดพื้นที่ ส่วนจะฟ้องต่อศาลขอให้ออกคำสั่งเปิดพื้นที่หรือไม่ กำลังคุยกันอยู่เพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน

ปราม"แดง"ใจกว้างต่อกลุ่มอื่น

นายสุเทพกล่าว ระหว่างเข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลว่า รัฐบาลตั้งใจที่จะให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ปกติโดยเร็วที่สุด นายกฯกำชับตลอดให้หาทางให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ และอยากเข้ามาทำงานในทำเนียบรัฐบาลหลายวันแล้ว ตนพยายามดูแลให้สถานการณ์คลี่คลาย ไม่อยากเห็นการเผชิญหน้าใดๆ และขณะนี้ในส่วนของข้าราชการก็เริ่มทยอยกลับมาทำงานในทำเนียบแล้ว ส่วนการประชุม ครม. วันที่ 7 เมษายน ที่กำหนดสถานที่ไว้ที่รัฐสภา จะกลับมาที่ทำเนียบรัฐบาลเหมือนเดิมได้หรือไม่นั้น นายสุเทพกล่าวว่า คงต้องดูก่อน ถ้าไม่มีอะไรอาจกลับมาประชุม ครม.ที่ทำเนียบรัฐบาล

เมื่อถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศจะเคลื่อนขบวนไปสอบถามการรวมตัวของคณะอาจารย์และนักวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายสุเทพกล่าวว่า คนเสื้อแดงควรใจกว้าง เพราะที่ผ่านมาชุมนุมมาเป็นเดือนๆ อยู่กลางถนนทำให้ประชาชนคนกรุงเทพฯเดือดร้อนในการสัญจรไปมา ซึ่งได้แสดงความเห็นของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อจะมีคนกลุ่มอื่นอยากจะแสดงความเห็นในบ้านเมืองบ้าง ไม่ทราบว่าจะไปโกรธเคืองทำไม ซึ่งที่ผ่านมาคนเสื้อแดงบอกว่าตัวเองเป็นพวกนิยมประชาธิปไตย ดังนั้น จึงควรมีความอดทนที่จะฟังความคิดที่แตกต่าง และไม่ควรไปรังควานคนอื่น ตั้งแต่ทราบว่าคนเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนไปได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลเข้าไประวังเหตุ ซึ่ง พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผช.ผบ.ตร. ได้ไปประชุมร่วมกับตำรวจนครบาลและหน่วยต่างๆ พร้อมแล้ว

ประเมินม็อบแผ่วเหตุใกล้สงกรานต์

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลประเมินว่าการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 3 เมษายน น่าจะมีผู้มาร่วมชุมนุมใกล้เคียงกับการชุมนุมที่ผ่านๆ มา แต่มีความเป็นไปได้ที่จะมีประชาชนมาร่วมน้อยกว่าการชุมนุมใหญ่ครั้งที่แล้ว เนื่องจากใกล้เทศกาลสงกรานต์ ประชาชนน่าจะอยากเดินทางออกจาก กทม. มากกว่าอยากเดินทางเข้ามา รัฐบาลกังวลเรื่องผลกระทบด้านการจราจร และความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นคู่ขนาน เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ไม่หวังดีใช้อาวุธสงครามสร้างสถานการณ์ในยามวิกาล แต่ในระยะหลังมานี้ได้เปลี่ยนเป้ามาก่อเหตุในที่ชุมชน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการคุกคามชีวิตประชาชน ดังนั้น จะมีการปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยต่อไป

นายกฯเลื่อนเดินทางถกสุดยอดผู้นำ

นายปณิธานกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ได้ตัดสินใจเลื่อนกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ที่ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 7-9 เมษายน จากเดิมมีกำหนดออกเดินทางในวันที่ 7 เมษายนนี้ เป็นเดินทางในวันที่ 8 เมษายนแทน เนื่องจากนายกฯต้องการอยู่ร่วมประชุม ครม.ในวันที่ 7 เมษายน เพราะจะมีการพิจารณาว่าจะต่ออายุการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลหรือไม่ อีกทั้งในวันที่ 10-15 เมษายน นายกฯยังมีกำหนดเดินทางไปประชุมสุดยอดนิวเคลียร์ที่ประเทศสหรัฐด้วย

กลุ่ม40ส.ว.จี้รบ.เข้มชุมนุมใหญ่

กลุ่ม 40 ส.ว.อาทิ ทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย นางตรึงใจ บูรณสมภพ พล.อ.อ.วีรวิทย์ คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา นางสาวสุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี นายสาย กังกะเวคิน ส.ว.ระยอง ลุกขึ้นอภิปรายระหว่างการประชุมวุฒิสภาวันเดียวกัน ในช่วงเปิดให้หารือ โดยแสดงความวิตกอาจเกิดความรุนแรงขึ้นกับการชุมนุมใหญ่ของมวลชนเสื้อแดง พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมการชุมนุมให้เข้มแข็งเข้มงวดกว่านี้

นอกจากนี้ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ยังกล่าวในทำนองเดียวกัน ไม่เห็นด้วยกับการที่กลุ่ม นปช.ออกมาพูดในลักษณะข่มขู่ จะเคลื่อนพลไปขัดขวางการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนเสื้อสีชมพู เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิผู้ออกมาแสดงจุดยืน

ขู่ยื่นถอดถอน"ตู่"พ้นเก้าอี้ส.ส.

ส่วนนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา เรียกร้องให้รัฐบาลขยายผลการจับกุมนายพันธวุฒิ หรือหนุ่ม ผู้จัดทำเว็บไซต์ นปช.USA และ นปช.USA2.com ที่มีเนื้อหาหมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบัน อยากให้กลุ่ม นปช.แถลงให้ชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ นปช.ยูเอสเอมีส่วนเกี่ยวพันกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่Ž นายคำนูณกล่าว

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. ยังแถลงว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำ นปช. - ข่มขู่คุกคามการใช้สิทธิประชาชนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ลานอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี เป็นการขัดขวางการใช้สิทธิของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 การกระทำนายจตุพรส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ โดยภายในสัปดาห์จะมีกลุ่มประชาชนเข้าชื่อ 20,000 รายชื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการถอดถอนนายจตุพรออกจาก ส.ส.ตามมาตรา 270 และมาตรา 271 ของรัฐธรรมนูญ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

เครือข่ายนักวิชาการแถลงการณ์10ข้อ วอนทุกฝ่ายคลี่คลายสถานการณ์

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (Scholars’ Network for a Just Society) ประกอบด้วยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันการศึกษาต่างๆ ตลอดจนนักวิชาการอิสระ และประชาชนทั่วไปที่สนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันคลี่คลายสถานการณ์มิให้เข้าสู่จุดวิกฤติ 10 ข้อ ดังนี้

1.รัฐบาลควรทบทวนการประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เป็นมาตรการที่เกินกว่าความจำเป็นในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุม และไม่สามารถป้องกันการก่อเหตุร้ายจากการฉกฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ของผู้ไม่หวังดี ทั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ และทำให้ประชาชนบางส่วนเกิดความรู้สึกว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในสถานการณ์เดียวกันนี้ในอดีต

2.รัฐบาลควรแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงความอดทนอดกลั้นและวุฒิภาวะที่ยิ่งกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพยายามแก้ปัญหาโดยยึดหลักความยุติธรรมและสันติ ไม่ยอมให้กลไกของรัฐเข้าขัดขวางหรือ แทรกแซง การแสดงออกของประชาชนตามวิถีทางประชาธิปไตย ทั้งควรระมัดระวังมิให้บุคคลในสังกัดวิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมที่ยังชอบด้วยสันติวิธี หรือให้ข่าวในลักษณะที่เป็นการตอบโต้ ท้าทาย ยั่วยุ ดุถูก ดูหมิ่นกลุ่มผู้ชุมนุม ใส่ร้ายหรือตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพฤติการณ์ของผู้ชุมนุมที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดเพราะจะยิ่งเป็นการทวีความแตกแยกขัดแย้งและทำให้สังคมตื่นตระหนก


3.นายกรัฐมนตรีควรกลับเข้าไปปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นปกติในทำเนียบรัฐบาลเพื่อมิให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจสถานการณ์เลวร้ายเกินจริง และเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับสังคมและนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น

4.แกนนำผู้ชุมนุมควรแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมให้ชัดเจนเป็นระยะ ๆ

5.แกนนำผู้ชุมนุมไม่ควรละทิ้งกระบวนการเจรจาแม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับการสนองตอบตามข้อเรียกร้องเพื่อลดทอนความวิตกกังวลของสาธารณชน ทั้งควรลดเงื่อนไขในการเจรจาที่เป็นไปได้ยาก และควรรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มพลังต่าง ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์

6.แกนนำผู้ชุมนุมจะต้องยืนหยัดต่อหลักการสันติอหิงสาตามที่ได้ประกาศไว้โดยเคร่งครัด และจะไม่แสดงท่าทีขัดขวางใดๆ หากนายกรัฐมนตรีจะกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล

7.สื่อกระแสหลักควรตระหนักถึงสิทธิของสาธารณชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงธรรม ประชาชนควรมีโอกาสรับรู้ข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างครบถ้วนรอบด้าน เช่นการรายงานจำนวนที่แท้จริงของกลุ่มผู้มาชุมนุม เป็นต้น และควรเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันโดยเท่าเทียมกัน

8.สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยต่างๆ ควรเดินหน้าในการศึกษาวิจัยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอันมีความสลับซับซ้อนในหลายมิติอย่างจริงจัง ทั้งนี้เพื่อเสนอองค์ความรู้ต่อสาธารณะอันนำมาซึ่งการเสนอแนวทางและการถกเถียงอย่างมีเหตุมีผลอันนำไปสู่ข้อยุติร่วมกัน

9.ประชาชนทั่วไปควรติดตามและพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ด้วยความไตร่ตรองระมัดระวังไม่ตกหลุมพรางการบิดเบือน ปิดบังข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนการเสนอหรือเปิดเผยข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน โดยเปรียบเทียบตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งและควรรู้ว่าแหล่งข้อมูลหรือสื่อนั้นๆมีที่มาและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่อย่างไร มีความโน้มเอียงหรือมีความเป็นกลางมากน้อยเพียงใด

10.ประชาชนทั่วไปควรต่อต้านและประณามการสร้างสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะกระทำต่อฝ่ายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำต่อสื่อมวลชนโทรทัศน์ทั้งสองแห่งและหน่วยงานแห่งอื่นที่ทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมที่เป็นธรรมที่ร่วมลงชื่อจำนวน 25 คน ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา นักธุรกิจ นักศึกษา และภาคประชาสังคม อาทิ นายชวลิต หมื่นนุช รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ นายเสถียรภาพ นาหลวง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ นายสุรพล จรรยากูล ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มศว.ประสานมิตร นางสิริเพ็ญ พิริยจิตรกรกิจ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางเดือนฉาย อรุณกิจ มหาวิทยาลัยพายัพ นายพกุล พัฒน์ดิลก แองเกอร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
***********************************************

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

"วีระ"อัดวสิษฐมัวนั่งสมาธิ-จวกชมพูสมุนโจรยึดทำเนียบ

นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช.กล่าวว่า การปราศรัยของนายจาตุรนต์ตนคงไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มก็คงเอาตามนั้นเพราะเข้าประเด็นและตรง ตนดูจากบัญชีที่มีคนบริจาคคิดว่าคงไม่ต้องขึ้นเวทีเพราะมีคนสนับสนุน มีพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มเห็นด้วยกับคนเสื้อแดงที่ได้ต่อสู้มาตลอด ไม่มีกลุ่มไหนที่หลงเหลือไว้นอกจากเล็ก ๆ น้อยพอเป็นกษัยยาแก้หอบหืดให้รัฐบาลก็คือคนเสื้อชมพู เสื้อชมพูก็เหมือนกับเสื้อแดงรักสงบ สามัคคี ต่างกันตรงไหน ไปชุมนุมหน้าเวทนามากแต่มีการออกข่าวว่ามาเป็นจำนวนมาก การแถลงก็คงไม่ต่างจากเสื้อแดงแต่ที่ต่างก็คือไม่ทนแดด วิ่งเข้าดุสิตธานี สู้แม่ยกหน้าเวทีแดงไม่ได้ พวกเราเป็นอมตะ ไปแล้ว เสื้อชมพูทำเป็นเก่งหัวใจต่างกันจิตต่อสู้ต่างกันเราผ่านการหล่อหลอมมาไม่น้อย ตั้งแต่สนามหลวงจนถึงขณะนี้ซึ่งยาวนานมาก ตนไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้น 3 ปีที่ผ่านมาไปอยู่ที่ไหน โดยพล.ต.อ.วิศิษฐ เดชกุญชร เป็นตำรวจน้ำดี ไม่มีปัญหาอะไรกับตนแต่สงสัยว่ามะงุมมะงาหราอย่างไรจึงมาเป็นผู้นำเสื้อชมพูสุดท้ายก็แตกเพราะถูกพระอาทิตย์โจมตี

การยุบสภาเลวทรามและผิดวิถีรัฐสภาตรงไหน เคยศึกษาในอดีตหรือไม่ยุบสภาเพราะอะไร นายควง อภัยวงศ์หน.พรรคประชาธิไตย์ได้ทำรธน. และยุบสภา เพราะเข้าบริหารประเทศตามรธน.เก่าแต่เห็นควรให้ประชาชนตัดสินใจตามรธน.ใหม่ คนปชป.ลืมไปหมดแล้ว พล.ต.อ.วิศิษฐ ควรจำก็ไม่จำการเลือกตั้งครั้งนั้นปชป.แพ้พรรคที่เขาถึงประชาชนมากกว่าคือพรรคที่สนับสนุนคุณหลวงประดิษฐมนูธรรม และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ในโอกาสต่อมากี่รัฐบาลแล้วก็ไม่เห็นว่าการยุบสภาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดที่ต้องออกมาตั้งกลุ่มคัดค้าน แต่เป็นเรื่องการเมือง เป็นการเริ่มต้นอย่างสันติวิธี สีชมพูเห็นว่าการยุบสภาเป็นเรื่องร้ายแรง เมื่อมีการปฏิวัติก็เต้นแร้งเต้นกาเอาดอกไม้ไปให้ ตาบอดตาใสทำท่าเป็นผู้ดีที่แท้ก็สมุนโจร สีชมพูเมื่อวันที่วายร้ายไปยึดทำเนียบหลบหูหลบหางไปอยู่รูไหนหรือดอดไปอยู่กับเขา ผู้ดีอย่างพวกคุณต้องสำนึกหากจะถามคงไม่มีใครเห็นดีเห็นงามกับการไปยึดทำเนียบ ทำไมไม่ใส่เสื้อสีชมพูไปบอกพันธมิตรเสื้อเหลือง ต้องรอให้เสื้อแดงออกมาและมาต่อต้าน เหตุการณ์ 7 ตค. ทำไมไม่ออกมา

พล.ต.อ.วิศิษฐ ไปนั่งสมาธิที่ไหน ตอนไปยึดสนามบินเสียหายไป 3 แสนล้านทำไมอยู่ได้ทำไมไม่ปริปากว่าอะไร ทำไมเสื้อแดงใช้สิทธิ์อย่างสันติจึงต้องมานัดชุมนุมหรืออยากท้าทายมือตีนพวกไพร่ที่หนักเอาการแค่ไหน อยากตั้งคำถามว่าคนใช้ความรุนแรงไม่ออกมาแต่เสื้อแดงมาทำไมจึงมาต่อต้าน อย่าท้าทายขอให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงว่าความรู้สึกนึกคิดว่า ลงถึงรากหญ้าคนทั้งประเทศอย่าคิดว่าคนไม่รู้หรือคนมาเพราะถูกหลอก หากยังดูถูกเขาอย่างนั้นคนบ้านนอกจะมาเปิดโรงเรียนแดงทั้งแผ่นดินสอนผู้ดีตีนแดง ปชป.บริหารจนเกิดปรส. มีความเสียหาย 8 แสน แต่รัฐเอาขายไป 1 ล้าน 6 แสน ซึ่ง พวกตนไปฟ้องและดีเอสไอเห็นว่ามีมูลก็ส่งให้ปปช.แต่ก็เก็บเรื่องไว้ อยากขอยืมคำพูดอริสมันต์ที่ดุเดือดว่า"ไอ้ปปช.ถ้ามึงปล่อยให้คดีความเรื่องปรส.ขาดอายุความกูจะปล่อยให้เสื้อแดงเผาสำนักงานมึงเสีย " ทำเรื่องแบบนี้ขาดอายุความไปกี่เรื่อง หน้าด้าน มีการตั้งปปช.ขึ้นมาเพราะให้พวกพ้องพ้นผิด ปปช.ตั้งโดยพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ไม่ได้รับการโปรดเกล้า

พล.ต.อ.วิศิษฐ มาชวนกันปลุกระดมต้านเสื้อแดง ที่พวกนั้นทำกับบ้านเมืองคบคิดทำลายชาติ บ้านเมือง ตัวการอยู่ที่สี่เสาร์ เป็นองคมนตรนีต้องถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตย์ และต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ต้องยึดรธน.หากไม่ทำตามเรียกว่าตระบัดสัตย์ แต่เสื้อชมพูไม่ติ หรือเป็นการสมรู้ร่วมคิดกัน พล.อ.เปรมมีสิทธิ์อะไรมาใช้บ้านหลวง คนไม่เสียภาษีมาใช้สิทธิการเมืองมาเหยียบย่ำได้อย่างไร เสื้อแดงจะไม่เสียภาษีกันอีกต่อไป ทราบว่านายสนธิมีการเลื่อนแสดงตัวต่อศาลคดีหมิ่นอีก เพราะต้องการสืบพยานเพิ่มซึ่งคือนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทำไมไม่ไปก่อนหน้านี้เพราะออกทีวีทุกวัน

นายสนธิพยายามพูดว่าพยายามพูดซ้ำกับดาเพื่อให้ตร.ดำเนินการแล้วไม่รู้หรือว่ากรพูดเช่นนั้นก็เหมือนเป็นคนพูดเองทำไมไม่รู้กฏหมาย ไอ้หัวหมูท่าพระอาทิตย์ แม้อ้างว่า เป็นการพูดเพื่อเตือนตำรวจก็ไม่พ้นผิด แต่คิดว่าตำรวจเขารู้หากไม่ดำเนินการตร.ก็ผิดสำนักงานอัยการสูงสุดก็เสื่อมเสียไปด้วย ตรงนี้ถือเป็นสองมาตรฐานข้อเรียกร้องให้ยุบสภาเป็นแบบสันติวิธี ไพร่จะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของไพร่ด้วยเอง จะสู้จนกว่าพวกไพร่จะได้ชัยชนะบนเส้นทางนี้ ขอให้พี่น้องมาร่วมชุมนุมสร้างรัฐไทยใหม่ที่ความเสมอภาครับที่กม.ต้องเป็นกม.



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
******************************************************

"นปช."อุบไต๋เคลื่อนใหญ่พรุ่งนี้ยันสันติวิธี

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการและโฆษกนปช. แถลงว่าตั้งแต่ช่วงค่ำของวันนี้ไปจนถึงช่วงดึกจะมีขบวนของคนเสื้อแดงจากทุกภาคเข้ามาสมทบอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน เพื่อร่วมชุมนุมใหญในวันที่ 3 เม.ย.นี้ ซึ่งในกำหนดการการเคลื่อนไหวจะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป โดยแกนนำจะประกาศบนเวที ยืนยันว่าจะไม่ล้ำเส้นจากกรอบสันติวิธี แต่ยังไม่อยากเปิดเผยก่อนเพราะต้องการให้ศอ.รส.ไปทำการบ้านกันบ้าง โดยการชุมนุมครั้งนี้จะเป็นการชุมนุมที่มีคนเสื้อแดงมามากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ยุบภา

การที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าจะยุบสภาภายในอีก 9 เดือนข้างหน้านั้น เพราะต้องการให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา รองผบ.ทบ.เป็นผบ.ทบ.ต่อจากพล.อ. อนุพงษ์ ด้วยนั้นถ้านายอภิสิทธิ์ จะอยู่เพื่อตั้งพล.อ.ประยุทธ เป็นผบ.ทบ.ก็ควรปลดพล.อ.อนุพงษ์ไปเลยไม่ต้องรอ 9 เดือน ซึ่งคนเสื้อแดงรับได้ถ้าจะตั้งตอนนี้ หรือถ้าจะอยู่เพื่อบริโภคงบประมาณ ก็ขอให้มีหิริโอตะปะ ละอายกันบ้าง ถ้ายังดื้อดึงอยู่ก็จะยืดเยื้อไปถึงสงกรานต์ รวมทั้งหากนายอภิสิทธิ์ยังแวะเวียนเข้าทำเนียบฯเราก็จะแวะไปทักทายที่ทำเนียบ ส่วนการเจรจาที่รัฐบาลอ้างว่าถ้าเสื้อแดงดาวกระจายจะไม่เจรจา ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลก็ใช้ช่อง11 ใส่ร้ายเสื้อแดงทุกวัน ดังนั้นเมื่อรัฐบาลไม่มีความจริงใจก็จะไม่มีการเจรจา

นายณัฐวุฒิ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวถึงกลุ่มคนที่จะเข้ามาก่อกวนในกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 3 เม.ย. ว่า ตนทราบมาว่ากลุ่มคนดังกล่าวได้เตรียมน็อตเหล็กของจักรยานยนต์ พร้อมหนังสติ๊ก เพื่อลักลอบทำร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงก็ขอเตือนว่าถ้ารับเงินมาแล้วก็อยากให้ทุกฝ่ายสบายใจก็ให้นอนอยู่บ้านเฉย ๆ แต่ถ้าจะทำก็ต้องรอดูว่าพรุ่งนี้นปช.จะมีแผนรับมืออย่างไร

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีความพยายามที่จะนำผลการตรวจเลือดของนพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ มาขยายความใส่ร้ายคนเสื้อแดงอีกโดยเฉพาะพญ.มาลินี รองผู้ว่ากทม. และผู้บริหารโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้มีนพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดานายกฯสามารถส่งเสียงดังได้ยาวนาน ซึ่งการใส่ร้ายทั้งหมดถือเป็นความพยายามหักล้างทำลายความน่าเชื่อถือ เอาเลือดของประชาชนที่มีค่าไปเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉาน ถือว่าไม่มีความหมาะสม นอกจากนี้ยังทราบมาว่า คลีนิคของนพ.กุศล ทั้ง 2 แห่ง ซึ่งเป็นคลีนิคเสริมความงามได้ปิดทำการชั่วคราวไปแล้วเชื่อน่าจะปิดอย่างถาวรไปเลย

นายจตุพร กล่าวอีกว่า กรณีพล.ต.อ.วิศิษฐ์ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ไปเป็นประธานให้คนเสื้อสีชมพูที่ลานพระบรมรูปรัฐกาลที่ 6 บริเวณสวนลุมฯ โดยตนมีภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงการนำหุ่นฟางใส่เสื้อแดงและทำการแขวนคอไว้ใต้ต้นไม้ ขอเตือนว่าการดำเนินการแขวนคอซึ่งเหมือนกับเหตุการณ์ 16 ตุลา 19 จึงอยากถามว่า อยากให้มีการปะทะกันระหว่างประชาชนใช่หรือไม่ และอยากถามนายอภิสิทธิ์ว่าต้องการสงครามกลางเมืองใช่หรือไม่ อย่างนี้ชักจะอยู่กันยากแล้ว

ตนได้ติดตามการประชุมของศอ.รส.เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 2 เม.ย.มีทหารแต่งโมมาบอกกับตน ซึ่งเป็นในการดำเนินการกับคนเสื้อแดงหากมีการล้อมราบ 11 ขอเรียนว่าเรื่องนี้ไม่ถือเป็นความลับ ถ้าพวกตนไปราบ 11 จะไปเมื่อไหร่ก็ได้หรือไม่ ใช่ว่าเราไม่กล้า ถ้าจะไปพร้อมทุกเมื่อทราบว่ามีการนำกองกำลังของทหารกองทัพภาคที่ 2 กองพันทหารม้า รวมถึงพล.1 รอ.มาวางกำลังไว้ตามถนนโดยรอบบริเวณราบ 11 นอกจากนี้ยังการเตรียมฮ.ไว้ 10 ลำ พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าหากถูกล้อมจะอยู่ได้ถึง 3 วัน นอกจากนี้ยังให้ทุกหน่วยเบิกแก๊สน้ำตาในบ่ายวันนี้ไว้เพื่อเตรียมสลายเสื้อแดง


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************

วอร์รูมเพื่อไทยคาดสถานการณ์ชุมนุมแดงช่วงนี้"วิกฤติที่สุด"

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. คณะทำงานติดตามสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ของพรรคเพื่อไทย (วอร์รูม) นำโดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยร่วมแถลงผลการวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า การร้องเรียนของเสื้อแดงเป็นสัปดาห์ที่ 2 แล้ว ขณะนี้ทางศูนย์ปฎิบัติการของพรรคถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤตมากที่สุด โดยพรรคเพื่อไทยมีความเห็นต่อสถานการณ์ 7 ประเด็นดังนี้ 1 .พรรคตั้งข้อสังเกตุว่าประเทศไทยเป็นรัฐทหาร 2.การดำเนินการในทุกเรื่องเป็นการดำเนินการของฝ่ายทหารหมดทั้งสิ้น โดยรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเป็นกลไกของการปฎิวัติเงียบเท่านั้น 3.การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงพรรคเห็นว่าเป็นการซื้อเวลาเพื่อประโยชน์ของทหาร ที่จะนำเอางบประมาณที่ได้มาไปซื้ออาวุธ 4.ขณะนี้ชัดเจนว่ารัฐบาล กองทัพ กระทรวงมหาดไทย และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดำเนินการทางมวลชนเพื่อลดความกดดันจากกลุ่มมคนเสื้อแดง


5.กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคประชาธิปัตย์ใช้ข้อเสนอการแก้รัฐธรรมนูญพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลในช่วงวิกฤติทางการเมือง 6.พรรคเพื่อไทยและส.ส.ของพรรคทุกคนขอประนามการกล่าวหาว่าเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นเลือดของสัตว์เดรัจฉาน เพราะการกล่าวหาแบบนี้เป็นเท็จดูถูกเหยีดหยามความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง มีนัยยะว่าเลือดคนไม่ต่างเลือดสัตว์ ไม่ต่างจากการด่านปช. ว่า ไอ้สัตว์ ซึ่งหากนปช.มีปฎิกริยาตอบโต้ก็อย่าไปโกรธเขาไม่ได้ และ 7.พรรคขอประนามการใช้มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศมาเป็นเครื่องเมือทางการเมือง เพราะเป็นการแยกสังคมให้ปริขึ้นไปอีก

ที่มา.เพื่อไทย
*************************************************

"เหวง"คุยยื่นหนังสือสถานทูตมะกันอ้าง"คลินตัน"หนุนเสื้อแดง ระหว่างทางหวิดปะทะเสื้อชมพูหน้าสวนลุม

"หมอเหวง"ยื่นหนังสือสถานทูตสหรัฐฯแล้ว คุยได้รับความร่วมมืออย่างดี เผยระหว่างทางปะทะคารมกับเสื้อชมพูหน้าสวนลุมฯ นชป.ลั่นไม่บุกจุฬาฯ-ลุยเผชิญหน้าเสื้อชมพู มีงานใหญ่รออยู่พรุ่งนี้

"เหวง"ยื่นหนังสือสถานทูตฯมะกันแล้ว คุยได้รับความร่วมมืออย่างดี

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย แนวร่วมนปช. และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เข้าไปยื่นหนังสือถึงนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ เพื่อขอบคุณที่ให้การสนับสนุนคนเสื้อแดงและแสดงจุดยืนการชุมนุมโดยสันติ ในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย

นพ.เหวงกล่าวว่า การยื่นหนังสือเป็นไปได้ด้วยดี และนายมาร์ค โทนเนอร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สอบถามถึงสถานการณ์การชุมนุมด้วย

จากนั้น เมื่อเวลา 13.40 น. กลุ่มเสื้อแดงได้เดินทางออกจากสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เพื่อมุ่งหน้าสู่เวทีสะพานผ่านฟ้าต่อไป

แดงเคลื่อนพลสถานทูตมะกันผ่านสวนลุมพินีปะทะคารมเสื้อชมพู

ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างทางที่กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนขบวนมายังสถานทูตนั้น ได้ผ่านเส้นทางบริเวณด้านหน้าสวนลุมพินี เป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อชมพูที่เริ่มเดินทางรอการชุมนุมคัดค้านการยุบสภาที่จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วง 14.00 น. โดยมีการปะทะคารมกันเล็กน้อยแต่ไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารจำนวน 8 กองร้อย พร้อมอุปกรณ์ควบคุมการชุมนุมได้ตรึงกำลังบริเวณพื้นที่โดยรอบจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย รวมทั้งบริเวณลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ด้านหน้าสวนลุมพินีเพื่อดูแลความเรียบร้อย

นปช.แจงไม่คิดบุกจุฬาฯ-สวนลุมฯแค่ทางผ่านไปสถานทูตมะกัน

นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงที่เวทีชุมนุมคนเสื้อแดงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ วันที่ 2 เมษายนว่า คนเสื้อแดงจะยกพลไปสถานทูตสหรัฐเพื่อยื่นหนังสือถึงนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐเพื่อขอบคุณที่ให้การสนับสนุนคนเสื้อแดงและแสดงจุดยืนการชุมนุมโดยสันติพร้อมกับแจ้งให้ทราบถึงการกระทำของรัฐบาลช่วงเมษาเลือดปีกลาย

โดยการเดินทางไปจะไปกันกลุ่มเล็กๆนำโดยหมอเหวงและนายสุพร ผ่านจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัยและสวนลุมพินีที่จะมีการชุมต่อต้านคนเสื้อแดง ออกเดินทางช่วง 12.00 น.วันที่ 2 เมษายน ไม่ได้คิดจะบุกจุฬาฯหรือไปเผชิญหน้ากับผู้ชุมชุมคนเสื้อชมพูที่ออกมารวมตัวเพื่อต่อต้านคนเสื้อแดงที่สวนลุมพินีแต่อย่าง เพียงแต่เป็นทางผ่านไป เราจะทำอย่างนั้นทำไมในเมื่อมีงานใหญ่รออยู่วันที่ 3 เมษายน

ทางด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.อีกคน กล่าวว่า พวกเราไม่ได้คิดจะไปทะเลาะกับพวกเหลือแปลงร่างหรือรัฐบาลแปลงร่างเพราะจะไปตอนเที่ยงคนละเวลากันที่จะมีการชุมชุมที่สวนลุมพินี

"จตุพร"ประกาศท้ารัฐบาลนำมวลชนเผชิญหน้าคนเสื้อแดง กร้าวเล่นสกปรกต้องตอบโต้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการห่งชาติ(นปช.) แถลงข่าวที่เวทีชุมนุมนชป.สะพานผ่านฟ้าลีลาศ วันที่ 2 เมษายนว่า เคเบิลทีทีกรมทหารราบที่ 1 และเสียงตามสาย ในกรมทหารราบที่ 1 ได้ประกาศเชิญชวนให้ทหารใส่เสื้อสีชมพูไปสวนลุมพินี อยากถามพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกมีนโยบายอะไรกันแน่สรุปความว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯต้องการให้ประชาชนเผชิญหน้ากับใช่ไหม คิดว่าถ้าปะทะกันจะอยู่ในตำแหน่งได้หรือไม่

นอกจากวิธีเชิญชวนที่กรมทหารราบที่ 1 แล้ว กระทรวงมหาดไทยยังได้มีการเกณฑ์คนเข้ากรุงเทพมุ่งเป้าที่สนามหลวง ตนขอท้าให้อย่าเปลี่ยนสถานที่ กลไกที่ออกมาจับได้หมดไม่ว่าจะเป็นพระ,องค์กรกลาง,ส.ว.40และนักวิชาการจุฬาล้วนแต่เป็นชุดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

"จะเอากันแบบนี้ไช่ไหม ถ้าเล่นสกปรกก็จะต้องตอบโต้ไม่มีปัญหาอะไร ขอเตือนรัฐบาลและรวมไปถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย ถ้ารัฐบาลคิดว่าจะประสบความสำเร็จเหมือน 19 กันยายนก็เชิญ"

"เหวง"นำทีมเสื้อแดงบุกสถานทูตมะกัน ยื่นหนังสือถึง"ฮิลลารี"ประจาน"มาร์ค"สั่งยิงประชาชนเมษาเลือด

นายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงข่าวที่เวทีการชุมนุมคนเสื้อแดงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ วันที่ 2 เมษายนว่า ในช่วงเวลาประมาณ 12.00 น.วันที่ 2 เมษายนตนจะนำกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปสถานทูตสหรัฐยื่นหนังสือผ่านไปยังนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศขอคุณที่ให้เกียรติการต่อสู้ของคนเสื้อแดงว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

พร้อมกันนั้นถือโอกาสประจานรัฐบาลไทยให้ทั่วโลกรับทราบโดยเริ่มที่สถานทูตสหรัฐมีทั้งซีดี,ภาพถ่ายและตัวบุคคลไปแสดงว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนปีกลายว่ามีการใช้ปืนยิงจริงไม่ได้เป็นกระสุนยางแต่อย่างใด

ยืนยันการชุมนุมของคนเสื้อแดงดำเนินไปด้วยสันติวิธีไม่เคยใช้กำลังรุนแรงหรือคิดใช้กำลังรุงแรงในการต่อสู้อย่างใดเลย แต่เป็นรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดงจากเหตุการณ์เมษาเลือด 6 ครั้งที่ผ่านมาของการชุมนุมไม่เคยใช้ความรุนแรง แต่ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมากลับถูกรัฐบาลคุกคามโดยทหารภายใต้คำสั่งของนายอภิสิทธิ์


ที่มา. มติชนออนไลน์
***************************************************