วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553
เพื่อไทยปักหลักสู้ "นอกสภา" ฝ่ายนิติบัญญัติ-คณะรัฐมนตรี รุกชิง-ยึดคืนพื้นที่รัฐสภา-ทำเนียบ
ในที่สุด ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารก็ชิงพื้นที่ในการปฏิบัติงานกลับคืนจาก "เสื้อแดง"
โดยใช้เวลากว่า 13 วันของการชุมนุมของ นปช.ที่กินพื้นที่ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะรัตนโกสินทร์
การเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป ของ "ชัย ชิดชอบ" เพื่อหาทางลง-ทางออกให้ฝ่ายรัฐบาล- ฝ่ายค้านมาเจรจา-ตั้งกระทู้-ถกเถียงใน ห้องประชุมสภา แทนการตะโกนด่ากันบนท้องถนน
เหนืออื่นใด รัฐบาลต้องการแสดงสัญลักษณ์ทางการบริหาร ว่าสามารถทำให้โครงสร้างอำนาจและการบริหารบ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะ "ปกติ"
ด้วยการรุกคืบจัดประชุมคณะรัฐมนตรี และเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎร หลังจากว่างเว้น-กินเวลากว่า 15 วัน
วาระการปะทะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านจึงสร้างสีสันทางการเมืองหลากรูป-หลากแบบ
เมื่อรัฐบาลชิงลงมือสั่งการให้ "ทหาร-ตำรวจ" เข้าปฏิบัติการรุกเงียบตั้งแต่ยามวิกาล ก่อนการประชุม 12 ชั่วโมง เพื่อ วางแนวสกัดกั้นไม่ให้ "เสื้อแดง" เข้าใกล้ "ฝ่ายนิติบัญญัติ"
ทำให้ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต้องข้ามเครื่องกีดขวางไม่น้อยกว่า 7 ชั้น และเข้าสู่ถนน ที่ถูกสั่งปิดไม่น้อยกว่า 4 สาย รอบนอกสภา กว่าจะเดินเข้าห้องประชุมได้ ต้องผ่าน จุดตรวจไม่น้อยกว่า 3 จุด
ทว่ามีแต่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเท่านั้นที่สามารถ "ฝ่าด่าน" ของ "ทหาร-ตำรวจ" เข้าสู่สภาได้
ส่วน ส.ส.เพื่อไทยเกือบทั้งหมด นำโดย นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ต้องนำ "รถส่วนตัว" เป็นเครื่องกีดขวาง-ดักทาง-สกัดกั้น ไม่ให้ ส.ส.ที่เหลือเดินทางเข้าสู่สภาได้
การตั้งเวทีส่งเสียงปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงด้วยวาทะ-เหตุผล "ส.ส.ไม่มีศักดิ์ศรี หากต้องเข้าประชุมโดยผ่านแถวทหาร-ตำรวจ"
ระหว่างทางการเข้าสู่พิธีกรรม-การประชุมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ จึงมีทั้งเสียง-ภาพการทะเลาะ-โต้เถียงกันของบรรดาผู้ทรงเกียรติหลายคู่-หลายตำแหน่ง
ตั้งแต่ระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไปจนถึงระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทยกับประธานรัฐสภา
และยังมี "คู่ผสม" ระหว่างทหารที่ปฏิบัติการด้านจิตวิทยา+ส.ส.ประชาธิปัตย์ กับนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.ปากดี-เพื่อไทย ที่ตั้งวงปราศรัยย่อยท้าทายใกล้ ๆ ราชสำนัก-เขตพระราชฐานหน้าสวนจิตรลดา
ในที่สุด สัญลักษณ์-พิธีกรรมของฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎรก็บรรลุผล เมื่อ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ส.ส.พรรคร่วมสามารถเดินทางเข้าประชุมได้จนครบองค์ประชุม
ส่วน ส.ส.เพื่อไทย ที่จัดประชุม "นอกสภา" ก็สลายการชุมนุมจากหน้ารัฐสภา เคลื่อนตัวเข้าสู่เวที นปช.-เสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หากการปะทะครั้งนี้ทำให้ฝ่ายรัฐบาลได้ภาพ-ได้ความชอบธรรม
ฝ่ายค้านก็ได้ภาพความพยายามในการ "แสดง-โชว์" การต่อสู้ "นอกสภา" และโฆษณา-ชวนเชื่อว่ากำลัง "ทหาร-ตำรวจ" เข้ายึด-ปิดล้อมรัฐสภาจนไม่สามารถฝ่าด่านเข้าสู่ห้องประชุมได้
ตามที่ฝ่ายค้าน "อ้าง" ว่าการประท้วงไม่เข้าร่วมประชุม เพราะรัฐบาลใช้อำนาจฝ่ายบริหารมาดำเนินการแทรกแซงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐสภา
และการพยายามตอบโต้-ทางสัญลักษณ์-ย้อนศรอย่างรู้ทางฝ่ายรัฐบาล ด้วยคำพูดที่ต้องการกระจายเสียงไปทั่ว ทุกสื่อว่า "ทหารไม่มีสิทธินำกำลังเข้ายึดรัฐสภา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ ตามระบอบประชาธิปไตย"
ข้ออ้างของ "ฝ่ายค้าน" ถูก "ฝ่ายความมั่นคง" ตอบโต้ โดยรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
การชี้แจงขั้นตอนการรักษาความปลอดภัย ระบุต้นเรื่องมาจากประธานสภาผู้แทนราษฎรให้เลขาธิการสำนักงานทำหนังสือถึงรองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี เพื่อหามาตรการป้องกันความปลอดภัยในการประชุมสภาในระหว่างที่มีการชุมนุม
พร้อมกันนี้ ฝ่ายรัฐบาลได้โชว์-สัญลักษณ์ของความสำเร็จในพิธีกรรม การประชุม ด้วยการโหวต-ผ่านกฎหมาย 3 ฉบับ ในชั้นของสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งร่าง พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ, ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทราวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ในท้องที่เขตบางเขน เขตสายไหม และเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
และร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ถูกโหวตโดยฝ่ายรัฐบาล ผ่านฉลุย ไร้เงาฝ่ายค้าน
แผนขั้นต่อไปของฝ่ายความมั่นคงที่ผนึกกันแนบแน่นระหว่างฝ่ายรัฐบาล-ทหาร-กองทัพ คือการรุก-บุกเข้ายึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลคืนกลับมาเป็นฐานบัญชาการของฝ่ายบริหาร
การจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่าง "ปกติ" ในอีกไม่นานเกินควร จึงเป็น เป้าหมายต่อไปของฝ่ายรัฐบาล
1 ใน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า ส.ส.ควรทำหน้าที่ในสภา โดยเฉพาะวันพุธ-พฤหัสฯ ต้องเข้าประชุมสภาและพูดในสภา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา
"ผมเห็นด้วยกับมาตรการรักษาความปลอดภัย รับมือการชุมนุมรอบสภา แต่ที่ไม่เห็นด้วย คือวิธีการนำกำลังและ สิ่งกีดขวางมาวางรอบรัฐสภา เพราะรู้สึกว่าทำเกินไป เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ เหมือนประเทศไม่ได้เป็นประชาธิปไตย แต่อยู่ในภาวะสงคราม หรือกำลังรัฐประหาร" ทายาท-การเมืองของ "สมศักดิ์" กล่าว
เสียงโจษจัน-เล่าขาน การไม่เข้าร่วมสังฆกรรม-พิธีกรรม ที่แสดงสัญลักษณ์ ของฝ่ายนิติบัญญัติ จาก "ไชยันต์ ไชยพร" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า
"พรรคเพื่อไทยไม่น่าจะตีความไปถึงเรื่องศักดิ์ศรี เพราะถ้าคิดเรื่องศักดิ์ศรี ก็ต้องตอบให้ได้ว่า หากผู้ชุมนุมเดินทางมาล้อมรัฐสภาแล้วจะทำอย่างไร รวมทั้งหากลไกรัฐสภาล้มเหลว ส.ส.ไม่ทำหน้าที่ในสภา กลับมีแต่กลไกการเคลื่อนไหวบน ท้องถนน ก็จะทำให้สถานการณ์แรงขึ้น จนกระทั่งอาจเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร เช่น ในปี 2549 ที่เป็นผลจากการกดดันนอกสภาอย่างมาก"
ส่วน นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการ จากสำนักเดียวกัน ค่ายรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ไปปรากฏตัว "แดง" เห็นต่าง "ไม่ใช่การนำทหาร มาล้อมรัฐสภา แต่เป็นเรื่องความชอบธรรมในการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพราะเหมือนเป็นการประกาศศัตรูภายในประเทศ"
"พวก ส.ส.ที่ไม่เข้าประชุมสภานั้น แม้จะเข้าใจได้ถึงเหตุผลที่แสดงออกมา เช่นนั้น แต่ตัว ส.ส. ก็ต้องตอบประชาชน ให้ได้ ว่าหน้าที่ของเขาอยู่ตรงไหน เพราะการมาดูแลประชาชนของตัวเองบนถนนนั้น ทำได้อยู่แล้ว แต่หน้าที่ในสภา ส.ส.ก็ต้องตรวจสอบรัฐบาลและผลักดันกลไกรัฐสภาให้ทำงานได้ หรือหากไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ควรจะเข้าไปตั้งกระทู้ในสภา"
ความพยายามของฝ่ายรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ "ข้ามกองเลือด" เข้าประชุมสภาผู้แทนราษฎรซ้ำรอยกับ สมัย "7 ตุลา" ถูกนำไปตีความ-พลิกประเด็น-ยกระดับการต่อสู้ของฝ่ายค้านและฝ่ายเสื้อแดง
การประชุมเพื่อแสดงรูปแบบ-สัญลักษณ์โครงสร้างอำนาจของประเทศเพียงครึ่งวัน โหวตผ่านกฎหมาย 3 ฉบับ ถูกพรรคเพื่อไทยนำเรื่องขึ้นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ และร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติ และเป็นประเด็นหลักในการอภิปรายริมสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
การต่อสู้ระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล จากนี้ไปไม่จำกัดสถานที่-เวลา-กาละ-เทศะเฉพาะพื้นที่ในสภาผู้แทนราษฎรอีกแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************************
โดยใช้เวลากว่า 13 วันของการชุมนุมของ นปช.ที่กินพื้นที่ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะรัตนโกสินทร์
การเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป ของ "ชัย ชิดชอบ" เพื่อหาทางลง-ทางออกให้ฝ่ายรัฐบาล- ฝ่ายค้านมาเจรจา-ตั้งกระทู้-ถกเถียงใน ห้องประชุมสภา แทนการตะโกนด่ากันบนท้องถนน
เหนืออื่นใด รัฐบาลต้องการแสดงสัญลักษณ์ทางการบริหาร ว่าสามารถทำให้โครงสร้างอำนาจและการบริหารบ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะ "ปกติ"
ด้วยการรุกคืบจัดประชุมคณะรัฐมนตรี และเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎร หลังจากว่างเว้น-กินเวลากว่า 15 วัน
วาระการปะทะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านจึงสร้างสีสันทางการเมืองหลากรูป-หลากแบบ
เมื่อรัฐบาลชิงลงมือสั่งการให้ "ทหาร-ตำรวจ" เข้าปฏิบัติการรุกเงียบตั้งแต่ยามวิกาล ก่อนการประชุม 12 ชั่วโมง เพื่อ วางแนวสกัดกั้นไม่ให้ "เสื้อแดง" เข้าใกล้ "ฝ่ายนิติบัญญัติ"
ทำให้ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต้องข้ามเครื่องกีดขวางไม่น้อยกว่า 7 ชั้น และเข้าสู่ถนน ที่ถูกสั่งปิดไม่น้อยกว่า 4 สาย รอบนอกสภา กว่าจะเดินเข้าห้องประชุมได้ ต้องผ่าน จุดตรวจไม่น้อยกว่า 3 จุด
ทว่ามีแต่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเท่านั้นที่สามารถ "ฝ่าด่าน" ของ "ทหาร-ตำรวจ" เข้าสู่สภาได้
ส่วน ส.ส.เพื่อไทยเกือบทั้งหมด นำโดย นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ต้องนำ "รถส่วนตัว" เป็นเครื่องกีดขวาง-ดักทาง-สกัดกั้น ไม่ให้ ส.ส.ที่เหลือเดินทางเข้าสู่สภาได้
การตั้งเวทีส่งเสียงปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงด้วยวาทะ-เหตุผล "ส.ส.ไม่มีศักดิ์ศรี หากต้องเข้าประชุมโดยผ่านแถวทหาร-ตำรวจ"
ระหว่างทางการเข้าสู่พิธีกรรม-การประชุมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ จึงมีทั้งเสียง-ภาพการทะเลาะ-โต้เถียงกันของบรรดาผู้ทรงเกียรติหลายคู่-หลายตำแหน่ง
ตั้งแต่ระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไปจนถึงระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทยกับประธานรัฐสภา
และยังมี "คู่ผสม" ระหว่างทหารที่ปฏิบัติการด้านจิตวิทยา+ส.ส.ประชาธิปัตย์ กับนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.ปากดี-เพื่อไทย ที่ตั้งวงปราศรัยย่อยท้าทายใกล้ ๆ ราชสำนัก-เขตพระราชฐานหน้าสวนจิตรลดา
ในที่สุด สัญลักษณ์-พิธีกรรมของฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎรก็บรรลุผล เมื่อ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ส.ส.พรรคร่วมสามารถเดินทางเข้าประชุมได้จนครบองค์ประชุม
ส่วน ส.ส.เพื่อไทย ที่จัดประชุม "นอกสภา" ก็สลายการชุมนุมจากหน้ารัฐสภา เคลื่อนตัวเข้าสู่เวที นปช.-เสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หากการปะทะครั้งนี้ทำให้ฝ่ายรัฐบาลได้ภาพ-ได้ความชอบธรรม
ฝ่ายค้านก็ได้ภาพความพยายามในการ "แสดง-โชว์" การต่อสู้ "นอกสภา" และโฆษณา-ชวนเชื่อว่ากำลัง "ทหาร-ตำรวจ" เข้ายึด-ปิดล้อมรัฐสภาจนไม่สามารถฝ่าด่านเข้าสู่ห้องประชุมได้
ตามที่ฝ่ายค้าน "อ้าง" ว่าการประท้วงไม่เข้าร่วมประชุม เพราะรัฐบาลใช้อำนาจฝ่ายบริหารมาดำเนินการแทรกแซงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐสภา
และการพยายามตอบโต้-ทางสัญลักษณ์-ย้อนศรอย่างรู้ทางฝ่ายรัฐบาล ด้วยคำพูดที่ต้องการกระจายเสียงไปทั่ว ทุกสื่อว่า "ทหารไม่มีสิทธินำกำลังเข้ายึดรัฐสภา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ ตามระบอบประชาธิปไตย"
ข้ออ้างของ "ฝ่ายค้าน" ถูก "ฝ่ายความมั่นคง" ตอบโต้ โดยรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
การชี้แจงขั้นตอนการรักษาความปลอดภัย ระบุต้นเรื่องมาจากประธานสภาผู้แทนราษฎรให้เลขาธิการสำนักงานทำหนังสือถึงรองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี เพื่อหามาตรการป้องกันความปลอดภัยในการประชุมสภาในระหว่างที่มีการชุมนุม
พร้อมกันนี้ ฝ่ายรัฐบาลได้โชว์-สัญลักษณ์ของความสำเร็จในพิธีกรรม การประชุม ด้วยการโหวต-ผ่านกฎหมาย 3 ฉบับ ในชั้นของสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งร่าง พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ, ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทราวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ในท้องที่เขตบางเขน เขตสายไหม และเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
และร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ถูกโหวตโดยฝ่ายรัฐบาล ผ่านฉลุย ไร้เงาฝ่ายค้าน
แผนขั้นต่อไปของฝ่ายความมั่นคงที่ผนึกกันแนบแน่นระหว่างฝ่ายรัฐบาล-ทหาร-กองทัพ คือการรุก-บุกเข้ายึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลคืนกลับมาเป็นฐานบัญชาการของฝ่ายบริหาร
การจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่าง "ปกติ" ในอีกไม่นานเกินควร จึงเป็น เป้าหมายต่อไปของฝ่ายรัฐบาล
1 ใน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า ส.ส.ควรทำหน้าที่ในสภา โดยเฉพาะวันพุธ-พฤหัสฯ ต้องเข้าประชุมสภาและพูดในสภา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา
"ผมเห็นด้วยกับมาตรการรักษาความปลอดภัย รับมือการชุมนุมรอบสภา แต่ที่ไม่เห็นด้วย คือวิธีการนำกำลังและ สิ่งกีดขวางมาวางรอบรัฐสภา เพราะรู้สึกว่าทำเกินไป เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ เหมือนประเทศไม่ได้เป็นประชาธิปไตย แต่อยู่ในภาวะสงคราม หรือกำลังรัฐประหาร" ทายาท-การเมืองของ "สมศักดิ์" กล่าว
เสียงโจษจัน-เล่าขาน การไม่เข้าร่วมสังฆกรรม-พิธีกรรม ที่แสดงสัญลักษณ์ ของฝ่ายนิติบัญญัติ จาก "ไชยันต์ ไชยพร" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า
"พรรคเพื่อไทยไม่น่าจะตีความไปถึงเรื่องศักดิ์ศรี เพราะถ้าคิดเรื่องศักดิ์ศรี ก็ต้องตอบให้ได้ว่า หากผู้ชุมนุมเดินทางมาล้อมรัฐสภาแล้วจะทำอย่างไร รวมทั้งหากลไกรัฐสภาล้มเหลว ส.ส.ไม่ทำหน้าที่ในสภา กลับมีแต่กลไกการเคลื่อนไหวบน ท้องถนน ก็จะทำให้สถานการณ์แรงขึ้น จนกระทั่งอาจเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร เช่น ในปี 2549 ที่เป็นผลจากการกดดันนอกสภาอย่างมาก"
ส่วน นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการ จากสำนักเดียวกัน ค่ายรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ไปปรากฏตัว "แดง" เห็นต่าง "ไม่ใช่การนำทหาร มาล้อมรัฐสภา แต่เป็นเรื่องความชอบธรรมในการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพราะเหมือนเป็นการประกาศศัตรูภายในประเทศ"
"พวก ส.ส.ที่ไม่เข้าประชุมสภานั้น แม้จะเข้าใจได้ถึงเหตุผลที่แสดงออกมา เช่นนั้น แต่ตัว ส.ส. ก็ต้องตอบประชาชน ให้ได้ ว่าหน้าที่ของเขาอยู่ตรงไหน เพราะการมาดูแลประชาชนของตัวเองบนถนนนั้น ทำได้อยู่แล้ว แต่หน้าที่ในสภา ส.ส.ก็ต้องตรวจสอบรัฐบาลและผลักดันกลไกรัฐสภาให้ทำงานได้ หรือหากไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ควรจะเข้าไปตั้งกระทู้ในสภา"
ความพยายามของฝ่ายรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ "ข้ามกองเลือด" เข้าประชุมสภาผู้แทนราษฎรซ้ำรอยกับ สมัย "7 ตุลา" ถูกนำไปตีความ-พลิกประเด็น-ยกระดับการต่อสู้ของฝ่ายค้านและฝ่ายเสื้อแดง
การประชุมเพื่อแสดงรูปแบบ-สัญลักษณ์โครงสร้างอำนาจของประเทศเพียงครึ่งวัน โหวตผ่านกฎหมาย 3 ฉบับ ถูกพรรคเพื่อไทยนำเรื่องขึ้นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ และร้องเรียนต่อองค์การสหประชาชาติ และเป็นประเด็นหลักในการอภิปรายริมสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
การต่อสู้ระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล จากนี้ไปไม่จำกัดสถานที่-เวลา-กาละ-เทศะเฉพาะพื้นที่ในสภาผู้แทนราษฎรอีกแล้ว
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************************
“ทักษิณ”ซัด”มาร์ค” ไร้จริงใจอ้างตั้งธงไม่ยุบ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงค์มายังเวทีคนเสื้อแดงว่า ตนอยู่ต่างประเทศ เห็นภาพการเจรจาแล้วก็คงนานาจิตตัง ตนได้รับโทรศัพท์มากมีความคิดหลากหลาย กลุ่มฮาร์ดคอร์ไม่อยากให้คุยอยากให้ลุยไปเลย บางคนร้องไห้ตนอยากให้ใจเย็น ๆ เรื่องบ้านเมืองเรื่องใหญ่ การออกทีวีเจรจาครั้งนี้เป็นผลกำไร เพราะการชุมนุมไม่เคยออกทีวีปกติ ไม่เคยออกข่าว ไม่เคยถ่ายทอดเพราะถูกอำมาตย์ครอบ
ขณะที่ทุกคนอธิบายความเป็นมาในการออกมาเรียกร้องให้ยุบสภา รัฐบาลขาดความชอบธรรมและให้ประเทศชาติกลับไปสู่ความปรองดอง อภิสิทธิ์พูดเก่งจริงแต่มีมุมหนึ่งที่เขารู้ว่าขาดความจริงใจ หน้าตาน้ำเสียงขาดความจริงใจ แต่ที่ไม่ได้เอามาก็คือธงที่ไม่ได้เอามาปักว่าไม่ยุบสภา ฟังชัดว่าตั้งธงว่าไม่ยุบสภา แม้พยายามรำวงแต่ก็แน่ชัดว่าไม่มีการยุบสภา ตนไม่อยากประเทศไทยหากมีอำมาตย์เช่นนี้กลับไปก็ถูกฆ่าทิ้ง แต่ตนพร้อมกลับไปในฐานะอะไรก็ได้
รัฐบาลขาดความชอบธรรมตั้งแต่ต้นอำมาตย์อยู่บ้านคนเดียวถนัดเรื่องปิด ประตูตี แมวไม่ว่าจะทำอะไรก็ใช้ความคิดแบบประตูตีแมว พวกเราต้องมอบความไว้ใจให้แกนนำเสื้อแดงไปทำงานไม่ต้องห่วงเราสามัคคีกันไว้ รวมพลังเป็นหนึ่งสู้ต่อไป อย่าหวั่นไหว อย่ายอมแพ้ เราจะสู่ด้วยกัน
การยุบสภาเป็นการเริ่มต้นความปรองดอง สานฉันท์ในชาติเพราะเราเริ่มต้นผิด รัฐบาลนี้มีอภิสิทธิ์ทุกอย่างเข้ามาโดยมีทหารและอำมาตย์ คุ้มครอง มีองค์กรอิสระทีเข้าข้างลำเอียง และคงเห็นการแทรกแซงของอำมาตย์ อภิสิทธิ์ก็ไม่เคารพกฎหมายไม่ว่าจะเรื่องการหนีกม. หรือเอาผิดพันธมิตร วันนี้เราต้องเริ่มต้นใหม่
วันนี้มีอาจารย์มหาวิทยาลัย มธ. อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เห็นตรงกับเสื้อแดงให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่และทำหนังสือออกมา ตนเป็นหนี้บุญคุณเสื้อแดงผมจะกลับไปรับใช้พี่น้องในฐานะอะไรก็ได้ขออย่าได้ กังวลเพราะแกนนำเสื้อแดงมีกลไกในการคิดร่วมกัน เขาจะคิดยาวและทำอย่างไรเพื่อให้มีสังคมเพื่อลูกหลาน วันนี้ ณัฐวุฒิจับเด็กก่อกวนที่ส่งมาอาละวาดและรับสารภาพว่าใช้มาเผาอาหารพวกเรา ใจมันดำจริง ๆ ขอให้มันอดอยากเหมือนกัน มีแผนประทุษกรรม เมื่อเดือน เม.ย.เป็นอย่างไร ก็ให้ดู นอกจากนี้มีโรงงานบอกว่ามีการซื้อเสื้อแดง นับหลายหมื่นตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวด้วยว่า พรุ่งนี้จะมีการเจรจาอีกครั้งหลังนายกฯกลับจากบรูไนก็คงไปบอกกับสุลต่านว่า อย่าต้อนรับตนเพราะตนไปบ่อยอุตส่าห์ปลีกเวลาไป ตนไปไหนก็พยายามตามไปจนเขารำคาญหมดแล้ว
ที่มา.เดลินิวส์ออนไลน์
*************************************************
ขณะที่ทุกคนอธิบายความเป็นมาในการออกมาเรียกร้องให้ยุบสภา รัฐบาลขาดความชอบธรรมและให้ประเทศชาติกลับไปสู่ความปรองดอง อภิสิทธิ์พูดเก่งจริงแต่มีมุมหนึ่งที่เขารู้ว่าขาดความจริงใจ หน้าตาน้ำเสียงขาดความจริงใจ แต่ที่ไม่ได้เอามาก็คือธงที่ไม่ได้เอามาปักว่าไม่ยุบสภา ฟังชัดว่าตั้งธงว่าไม่ยุบสภา แม้พยายามรำวงแต่ก็แน่ชัดว่าไม่มีการยุบสภา ตนไม่อยากประเทศไทยหากมีอำมาตย์เช่นนี้กลับไปก็ถูกฆ่าทิ้ง แต่ตนพร้อมกลับไปในฐานะอะไรก็ได้
รัฐบาลขาดความชอบธรรมตั้งแต่ต้นอำมาตย์อยู่บ้านคนเดียวถนัดเรื่องปิด ประตูตี แมวไม่ว่าจะทำอะไรก็ใช้ความคิดแบบประตูตีแมว พวกเราต้องมอบความไว้ใจให้แกนนำเสื้อแดงไปทำงานไม่ต้องห่วงเราสามัคคีกันไว้ รวมพลังเป็นหนึ่งสู้ต่อไป อย่าหวั่นไหว อย่ายอมแพ้ เราจะสู่ด้วยกัน
การยุบสภาเป็นการเริ่มต้นความปรองดอง สานฉันท์ในชาติเพราะเราเริ่มต้นผิด รัฐบาลนี้มีอภิสิทธิ์ทุกอย่างเข้ามาโดยมีทหารและอำมาตย์ คุ้มครอง มีองค์กรอิสระทีเข้าข้างลำเอียง และคงเห็นการแทรกแซงของอำมาตย์ อภิสิทธิ์ก็ไม่เคารพกฎหมายไม่ว่าจะเรื่องการหนีกม. หรือเอาผิดพันธมิตร วันนี้เราต้องเริ่มต้นใหม่
วันนี้มีอาจารย์มหาวิทยาลัย มธ. อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เห็นตรงกับเสื้อแดงให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่และทำหนังสือออกมา ตนเป็นหนี้บุญคุณเสื้อแดงผมจะกลับไปรับใช้พี่น้องในฐานะอะไรก็ได้ขออย่าได้ กังวลเพราะแกนนำเสื้อแดงมีกลไกในการคิดร่วมกัน เขาจะคิดยาวและทำอย่างไรเพื่อให้มีสังคมเพื่อลูกหลาน วันนี้ ณัฐวุฒิจับเด็กก่อกวนที่ส่งมาอาละวาดและรับสารภาพว่าใช้มาเผาอาหารพวกเรา ใจมันดำจริง ๆ ขอให้มันอดอยากเหมือนกัน มีแผนประทุษกรรม เมื่อเดือน เม.ย.เป็นอย่างไร ก็ให้ดู นอกจากนี้มีโรงงานบอกว่ามีการซื้อเสื้อแดง นับหลายหมื่นตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวด้วยว่า พรุ่งนี้จะมีการเจรจาอีกครั้งหลังนายกฯกลับจากบรูไนก็คงไปบอกกับสุลต่านว่า อย่าต้อนรับตนเพราะตนไปบ่อยอุตส่าห์ปลีกเวลาไป ตนไปไหนก็พยายามตามไปจนเขารำคาญหมดแล้ว
ที่มา.เดลินิวส์ออนไลน์
*************************************************
เจรจารัฐบาล-แกนนำเสื้อแดงยังไร้ข้อสรุป-คุยต่อพรุ่งนี้
กรุงเทพฯ 28 มี.ค.- ที่สถาบันพระปกเกล้า อาคารศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 16.30 น. การเจรจาระหว่างรัฐบาล นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ กับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นพ.เหวง โตจิราการ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และทั้งสองฝ่ายได้จับมือก่อนที่จะเริ่มเจรจา สำหรับบรรยากาศการเจรจาทั้งสองฝ่ายยังคงยืนตามข้อเสนอเดิม เสื้อแดงเรียกร้องยุบสภา ขณะที่รัฐบาลเห็นว่ายังไม่ใช่ทางออกที่ดี ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ประนีประนอม
“วีระ” เปิดฉากเสนอยุบสภาและค่อยเจรจาแก้ปัญหาร่วมกัน
นายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นฝ่ายเริ่มเจรจาก่อน ว่าจะเสนอให้นายกรัฐมนตรียุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ ขณะนี้ปัญหาหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ยังขัดข้องอยู่คือรัฐธรรมนูญที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ เพราะขณะนี้ยังไม่ชัดว่าจะมีการแก้ไขหรือทำประชามติอย่างไร และนายกรัฐมนตรีมาทำงานในช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหามาก แต่ไม่อาจฝ่าฟันปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงคิดว่าการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เป็นทางออกที่ดี และการมาเจรจาเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน พูดตรง ๆ หากใครชนะก็ไม่มีประโยชน์ถ้ายังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าร่วมมือกันประเทศก็จะชนะ และอยากให้เริ่มต้นทำรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นปัญหาแทงใจคน ว่ามีทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีหลายองค์กรในรัฐธรรมนูญ ที่แต่งตั้งโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ดังนั้น อย่ารอให้ครบเทอมแล้วมีการแก้ไข
นายกฯ ย้ำไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอยุบสภา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่าส่วนตัวอยากให้ประเทศชนะ ไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนยืนยันมาตลอด ว่าฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างไม่ใช่ศัตรู เพียงแต่มีความแตกต่างทางการเมือง และมีการแสดงออกที่รุนแรงมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบริหารสถานการณ์ไม่ให้มีเหตุที่ทำให้ ใครเสียใจภายหลัง ตนยืนยันไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอเรื่องยุบสภา แต่ยังมีเหตุผลหลายอย่างที่ความเห็นไม่ตรงกัน และเมื่อยุบสภาแล้ว ปัญหาจะจบจริงหรือไม่
“ที่ผมมาเจรจาในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่หัวหน้าพรรคการเมือง จึงต้องตระหนักมากกว่าการเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งก่อนจะมาพูดคุยได้ใช้เวลาสั้น ๆ หารือกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ทุกพรรคก็สนับสนุนกระบวนการพูดคุย แต่เราฟังความเห็นจากทุกฝ่ายว่าการยุบสภา จะแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ ต้องดูพื้นฐานคนทั้งประเทศ วันนี้คนกลุ่มเสื้อแดงไม่ใช่กลุ่มคนผูกขาด ยังมีหลายคนที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนใครเลย ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดก็ได้ ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน ดังนั้นจึงไม่สามารถตัดสินใจแทนใครได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
“อภิสิทธิ์” ระบุการเลือกตั้งยังไม่ใช่คำตอบขณะนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ามีหลายคนที่เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เคยได้คำตอบเพราะมีหลายประเด็นที่มีการพูด และไม่ได้ข้อสรุป และยังมีข้อสงสัยว่าถ้าหากมีการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการแก้เรื่องนิรโทษกรรมหรือไม่ อย่างไรก็ตามสรุปว่าการเลือกตั้งคงไม่ใช่คำตอบที่ตรงนัก เพราะหากมีการหาเสียง แล้วมีคนนำคลิปเสียงที่อ้างว่าตนสั่งฆ่าประชาชนไปใช้หาเสียง เกิดเป็นเรื่องร้องเรียน และถ้าคนนั้นเป็นกรรมการบริหารพรรค แล้วถูกวินิจฉัยให้ยุบพรรคอีก ปัญหาต่าง ๆ จะวนกลับมาอีกหรือไม่ ดังนั้นต้องมีการตกลงกติกาให้ชัดก่อน
“จตุพร” ย้ำให้ยุบสภา อย่ากลัวปัญหาจะวนกลับมาที่เดิม
นายจตุพร กล่าวว่ารัฐสภาชุดนี้เชื่อว่าไม่มีทางแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ ถ้าวันนี้นายกรัฐมนตรี หาทางออกด้วยการยุบสภา และทุกฝ่ายมาลงสัตยาบัน ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะไม่มีใครต่อต้าน ถ้ารัฐบาลมั่นใจ ว่าประชาชน ยอมรับแม้เป็นรัฐบาลรักษาการ ก็จะได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามา ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่ากลับมาด้วยความสง่างาม ถ้านายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าได้ 280 เสียงเหมือนที่เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ ก็ควรคืนอำนาจให้กับประชาชน ส่วนเรื่องคลิปเสียงที่นายกรัฐมนตรี กล่าวอ้างว่าจะเป็นปัญหาวนกลับมาที่เดิม เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการ ศาลจะเป็นผู้ตัดสิน ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นเหตุให้ยุบพรรคก็ว่ากันไป ถ้านายกรัฐมนตรีดำเนินการตามนี้ ต่างฝ่ายก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ใช้ชีวิตในค่ายทหาร แต่ทหารเข้าไปใช้ชีวิตในทำเนียบรัฐบาล
นายชำนิ กล่าวว่ากรณีรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย คงไม่ใช่ปัญหา เพราะตน ได้รับทราบข้อมูลจากการศึกษาปัญหาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ พบว่ามีปัญหาที่เกิดจากการใช้น้อยมาก แต่มีเรื่องของความรู้สึก ว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาจากไหน ถ้ายุบสภาแล้ว ได้คำตอบที่ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกก็คงแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด
นพ.เหวง กล่าวว่าสิ่งที่เป็นปัญหาคือโครงสร้างของประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จุดที่ทำให้แตกร้าวคือประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐอำมาตย์ หากยุบสภาแล้ว สิ่งที่จะได้ คือยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่แตกร้าว
นายกฯ เสนอจัดทำโรดแม็ปให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เชื่อว่าการยุบสภาไม่สามารถทำให้ประชาชน เปลี่ยนแปลงอารมณ์ที่ตกค้างจากความขัดแย้ง จึงควรให้เวลากับการคลายความรู้สึก แล้วหันมาช่วยกันทำกติกาให้ดีขึ้น ดังนั้นทางออกจึงไม่ควรมีทางเลือกเดียวคือการยุบสภา แต่ควรจะสร้างโรดแม็ป เพื่อทำให้บ้านเมืองและความรู้สึกของประชาชนกลับคืนสู่ความเป็นปกติ หากใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการแก้ปัญหาบ้านเมือง จากนั้นจึงค่อยคืนอำนาจให้ประชาชนก็ได้ ตนยังเชื่อว่าการยุบสภาเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่ทางออกของสังคม และขอย้ำว่าตนมีจุดยืนที่ชัดเจน ที่จะรับฟังข้อเรียกร้องที่มีเหตุผล และจะให้เกียรติกับทุกฝ่าย
นายจตุพร กล่าวว่าสิ่งที่ยืนยันคือการยุบสภา เพราะการอยู่ของนายกรัฐมนตรีขณะนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ควรให้เจ้าของประเทศช่วยกันตัดสินใจ ไม่ควรตัดโอกาสสังคม และได้สอบถามนายกรัฐมนตรีว่ามีแนวทางอย่างไร
“อภิสิทธิ์” เสนอกรอบเวลาเพื่อให้แก้ปัญหาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยบอกว่าจะอยู่จนครบวาระ แต่บอกแล้วว่า ถ้าหากใครมีข้อเสนอที่มีเหตุผลก็ต้องรับฟัง ที่ผ่านมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีความพยายาม สรุปออกมาได้ 6 ประเด็นแต่พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วย ดังนั้นหากเดินหน้าไปก็ไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาของประเทศ ต้องค่อย ๆ คุยกัน ซึ่งตนอยากเสนอว่าให้กำหนดกรอบเวลา และมีเหตุมีผล ให้เชื่อได้ ว่าจะสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งคนเสื้อแดง อาจจะกลับไปหารือกับผู้ชุมนุมก่อนก็ได้
นายวีระ กล่าวว่าระหว่างทางเลือกว่าจะยุบสภา และทำกติกาใหม่ หรือกติกาแล้วค่อยยุบสภา ตนเห็นว่ามีความแตกต่างกัน คนเสื้อแดงเคยรอกติกาใหม่ แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง ดังนั้นจึงเห็นว่าควรยุบสภาก่อน ค่อยทำกติกาใหม่ภายหลัง นายกรัฐมนตรีควรพูดให้ชัดว่าเลือกแบบไหน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีความพยายามเลือกตั้งแล้วทำกติกาใหม่ แต่ก็ทำไม่ได้ ในวันนี้จึงควรกำหนดตารางเวลาให้ชัดเจน โดยการแก้ไขปัญหาหรือทำกติกา จากนั้นค่อยมาทำประชามติก็ได้
“จตุพร” ชี้กติกาใหม่ทำได้ยาก เสนอไปตายดาบหน้า
นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องการทำกติกาใหม่เป็นเรื่องยาก คนเสื้อแดงเห็นว่าสามารถไปตายเอาดาบหน้าได้ ขณะนี้อยู่ที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่จะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าจะได้เสียงข้างมาก ก็ควรยุบสภา และไปเลือกตั้งใหม่ ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ตนเห็นว่านายกรัฐมนตรีต้องตกผลึกว่าจะตัดสินใจอย่างไร วันนี้คงคุยกันได้ยาก เพราะมีความเห็นไม่ตรงกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยกังวลว่ายุบสภาแล้วใครจะแพ้หรือชนะ อยู่ที่ว่าแม้มีการเลือกตั้งใหม่ คนก็ยังกลัว ดังนั้นควรมาแก้ปัญหา ถ้าทุกฝ่ายจริงใจปัญหาก็สงบลงได้ “ผมไม่มีสิทธิ์ให้สังคมไปตายดาบหน้า แต่ต้องหาคำตอบให้สังคม”
แต่นายจตุพร ยืนกรานให้รัฐบาลยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ เพราะเมื่อยุบสภาเมื่อถึงขั้นตอนการเลือกตั้งทุกฝ่ายจะกลับไปอยู่ในจุดที่ เท่าเทียมกันเพื่อให้ประชาชนตัดสิน
และเมื่อเวลา 19.00 น. ซึ่งการเจรจาผ่านไป 2.30 ชม. นายวีระ ขอหยุดพักการเจรจาเพื่อทำภารกิจส่วนตัว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เพื่อหารือเป็นการส่วนตัวในห้องรับรองฝั่งตรงข้ามกับห้องเจรจา และการเจรจาเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเวลา 19.15 น. และคุยต่ออีกประมาณไม่ถึง 20 นาทีก่อนจะจบการเจรจาในวันนี้เมื่อเวลาประมาณ 19.25 น. และนัดคุยต่อพรุ่งนี้ .
ที่มา.สำนักข่าวไทย
“วีระ” เปิดฉากเสนอยุบสภาและค่อยเจรจาแก้ปัญหาร่วมกัน
นายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นฝ่ายเริ่มเจรจาก่อน ว่าจะเสนอให้นายกรัฐมนตรียุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ ขณะนี้ปัญหาหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ยังขัดข้องอยู่คือรัฐธรรมนูญที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ เพราะขณะนี้ยังไม่ชัดว่าจะมีการแก้ไขหรือทำประชามติอย่างไร และนายกรัฐมนตรีมาทำงานในช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหามาก แต่ไม่อาจฝ่าฟันปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงคิดว่าการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เป็นทางออกที่ดี และการมาเจรจาเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน พูดตรง ๆ หากใครชนะก็ไม่มีประโยชน์ถ้ายังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าร่วมมือกันประเทศก็จะชนะ และอยากให้เริ่มต้นทำรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นปัญหาแทงใจคน ว่ามีทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีหลายองค์กรในรัฐธรรมนูญ ที่แต่งตั้งโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ดังนั้น อย่ารอให้ครบเทอมแล้วมีการแก้ไข
นายกฯ ย้ำไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอยุบสภา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่าส่วนตัวอยากให้ประเทศชนะ ไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนยืนยันมาตลอด ว่าฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างไม่ใช่ศัตรู เพียงแต่มีความแตกต่างทางการเมือง และมีการแสดงออกที่รุนแรงมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบริหารสถานการณ์ไม่ให้มีเหตุที่ทำให้ ใครเสียใจภายหลัง ตนยืนยันไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอเรื่องยุบสภา แต่ยังมีเหตุผลหลายอย่างที่ความเห็นไม่ตรงกัน และเมื่อยุบสภาแล้ว ปัญหาจะจบจริงหรือไม่
“ที่ผมมาเจรจาในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่หัวหน้าพรรคการเมือง จึงต้องตระหนักมากกว่าการเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งก่อนจะมาพูดคุยได้ใช้เวลาสั้น ๆ หารือกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ทุกพรรคก็สนับสนุนกระบวนการพูดคุย แต่เราฟังความเห็นจากทุกฝ่ายว่าการยุบสภา จะแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ ต้องดูพื้นฐานคนทั้งประเทศ วันนี้คนกลุ่มเสื้อแดงไม่ใช่กลุ่มคนผูกขาด ยังมีหลายคนที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนใครเลย ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดก็ได้ ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน ดังนั้นจึงไม่สามารถตัดสินใจแทนใครได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
“อภิสิทธิ์” ระบุการเลือกตั้งยังไม่ใช่คำตอบขณะนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ามีหลายคนที่เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เคยได้คำตอบเพราะมีหลายประเด็นที่มีการพูด และไม่ได้ข้อสรุป และยังมีข้อสงสัยว่าถ้าหากมีการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการแก้เรื่องนิรโทษกรรมหรือไม่ อย่างไรก็ตามสรุปว่าการเลือกตั้งคงไม่ใช่คำตอบที่ตรงนัก เพราะหากมีการหาเสียง แล้วมีคนนำคลิปเสียงที่อ้างว่าตนสั่งฆ่าประชาชนไปใช้หาเสียง เกิดเป็นเรื่องร้องเรียน และถ้าคนนั้นเป็นกรรมการบริหารพรรค แล้วถูกวินิจฉัยให้ยุบพรรคอีก ปัญหาต่าง ๆ จะวนกลับมาอีกหรือไม่ ดังนั้นต้องมีการตกลงกติกาให้ชัดก่อน
“จตุพร” ย้ำให้ยุบสภา อย่ากลัวปัญหาจะวนกลับมาที่เดิม
นายจตุพร กล่าวว่ารัฐสภาชุดนี้เชื่อว่าไม่มีทางแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ ถ้าวันนี้นายกรัฐมนตรี หาทางออกด้วยการยุบสภา และทุกฝ่ายมาลงสัตยาบัน ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะไม่มีใครต่อต้าน ถ้ารัฐบาลมั่นใจ ว่าประชาชน ยอมรับแม้เป็นรัฐบาลรักษาการ ก็จะได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามา ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่ากลับมาด้วยความสง่างาม ถ้านายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าได้ 280 เสียงเหมือนที่เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ ก็ควรคืนอำนาจให้กับประชาชน ส่วนเรื่องคลิปเสียงที่นายกรัฐมนตรี กล่าวอ้างว่าจะเป็นปัญหาวนกลับมาที่เดิม เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการ ศาลจะเป็นผู้ตัดสิน ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นเหตุให้ยุบพรรคก็ว่ากันไป ถ้านายกรัฐมนตรีดำเนินการตามนี้ ต่างฝ่ายก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ใช้ชีวิตในค่ายทหาร แต่ทหารเข้าไปใช้ชีวิตในทำเนียบรัฐบาล
นายชำนิ กล่าวว่ากรณีรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย คงไม่ใช่ปัญหา เพราะตน ได้รับทราบข้อมูลจากการศึกษาปัญหาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ พบว่ามีปัญหาที่เกิดจากการใช้น้อยมาก แต่มีเรื่องของความรู้สึก ว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาจากไหน ถ้ายุบสภาแล้ว ได้คำตอบที่ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกก็คงแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด
นพ.เหวง กล่าวว่าสิ่งที่เป็นปัญหาคือโครงสร้างของประเทศ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จุดที่ทำให้แตกร้าวคือประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐอำมาตย์ หากยุบสภาแล้ว สิ่งที่จะได้ คือยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่แตกร้าว
นายกฯ เสนอจัดทำโรดแม็ปให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เชื่อว่าการยุบสภาไม่สามารถทำให้ประชาชน เปลี่ยนแปลงอารมณ์ที่ตกค้างจากความขัดแย้ง จึงควรให้เวลากับการคลายความรู้สึก แล้วหันมาช่วยกันทำกติกาให้ดีขึ้น ดังนั้นทางออกจึงไม่ควรมีทางเลือกเดียวคือการยุบสภา แต่ควรจะสร้างโรดแม็ป เพื่อทำให้บ้านเมืองและความรู้สึกของประชาชนกลับคืนสู่ความเป็นปกติ หากใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการแก้ปัญหาบ้านเมือง จากนั้นจึงค่อยคืนอำนาจให้ประชาชนก็ได้ ตนยังเชื่อว่าการยุบสภาเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่ทางออกของสังคม และขอย้ำว่าตนมีจุดยืนที่ชัดเจน ที่จะรับฟังข้อเรียกร้องที่มีเหตุผล และจะให้เกียรติกับทุกฝ่าย
นายจตุพร กล่าวว่าสิ่งที่ยืนยันคือการยุบสภา เพราะการอยู่ของนายกรัฐมนตรีขณะนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ควรให้เจ้าของประเทศช่วยกันตัดสินใจ ไม่ควรตัดโอกาสสังคม และได้สอบถามนายกรัฐมนตรีว่ามีแนวทางอย่างไร
“อภิสิทธิ์” เสนอกรอบเวลาเพื่อให้แก้ปัญหาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยบอกว่าจะอยู่จนครบวาระ แต่บอกแล้วว่า ถ้าหากใครมีข้อเสนอที่มีเหตุผลก็ต้องรับฟัง ที่ผ่านมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีความพยายาม สรุปออกมาได้ 6 ประเด็นแต่พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วย ดังนั้นหากเดินหน้าไปก็ไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาของประเทศ ต้องค่อย ๆ คุยกัน ซึ่งตนอยากเสนอว่าให้กำหนดกรอบเวลา และมีเหตุมีผล ให้เชื่อได้ ว่าจะสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งคนเสื้อแดง อาจจะกลับไปหารือกับผู้ชุมนุมก่อนก็ได้
นายวีระ กล่าวว่าระหว่างทางเลือกว่าจะยุบสภา และทำกติกาใหม่ หรือกติกาแล้วค่อยยุบสภา ตนเห็นว่ามีความแตกต่างกัน คนเสื้อแดงเคยรอกติกาใหม่ แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง ดังนั้นจึงเห็นว่าควรยุบสภาก่อน ค่อยทำกติกาใหม่ภายหลัง นายกรัฐมนตรีควรพูดให้ชัดว่าเลือกแบบไหน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีความพยายามเลือกตั้งแล้วทำกติกาใหม่ แต่ก็ทำไม่ได้ ในวันนี้จึงควรกำหนดตารางเวลาให้ชัดเจน โดยการแก้ไขปัญหาหรือทำกติกา จากนั้นค่อยมาทำประชามติก็ได้
“จตุพร” ชี้กติกาใหม่ทำได้ยาก เสนอไปตายดาบหน้า
นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องการทำกติกาใหม่เป็นเรื่องยาก คนเสื้อแดงเห็นว่าสามารถไปตายเอาดาบหน้าได้ ขณะนี้อยู่ที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่จะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าจะได้เสียงข้างมาก ก็ควรยุบสภา และไปเลือกตั้งใหม่ ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง ตนเห็นว่านายกรัฐมนตรีต้องตกผลึกว่าจะตัดสินใจอย่างไร วันนี้คงคุยกันได้ยาก เพราะมีความเห็นไม่ตรงกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยกังวลว่ายุบสภาแล้วใครจะแพ้หรือชนะ อยู่ที่ว่าแม้มีการเลือกตั้งใหม่ คนก็ยังกลัว ดังนั้นควรมาแก้ปัญหา ถ้าทุกฝ่ายจริงใจปัญหาก็สงบลงได้ “ผมไม่มีสิทธิ์ให้สังคมไปตายดาบหน้า แต่ต้องหาคำตอบให้สังคม”
แต่นายจตุพร ยืนกรานให้รัฐบาลยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ เพราะเมื่อยุบสภาเมื่อถึงขั้นตอนการเลือกตั้งทุกฝ่ายจะกลับไปอยู่ในจุดที่ เท่าเทียมกันเพื่อให้ประชาชนตัดสิน
และเมื่อเวลา 19.00 น. ซึ่งการเจรจาผ่านไป 2.30 ชม. นายวีระ ขอหยุดพักการเจรจาเพื่อทำภารกิจส่วนตัว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เพื่อหารือเป็นการส่วนตัวในห้องรับรองฝั่งตรงข้ามกับห้องเจรจา และการเจรจาเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเวลา 19.15 น. และคุยต่ออีกประมาณไม่ถึง 20 นาทีก่อนจะจบการเจรจาในวันนี้เมื่อเวลาประมาณ 19.25 น. และนัดคุยต่อพรุ่งนี้ .
ที่มา.สำนักข่าวไทย
วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553
"อภิวันท์"ซัด"ป๋า"อย่าคิดว่ารักชาติมากกว่าคนอื่น ชี้ทุกคนรักสถาบันเหมือนกัน เมินถูกยื่นถอดรองปธ.สภาฯ

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 2 และส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เตรียมล่าชื่อถอดถอนจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ หลังขึ้นเวทีคนเสื้อแดงว่า จากการตรวจสอบย้อนหลัง พบว่าตนไม่ได้พูดถ้อยคำหยาบคายโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ แค่พูดว่าว่านายกฯหลีกเหลี่ยงการเกณฑ์ทหารและยืนยันกับคนเสื้อแดงว่าเป็นรองประธานสภาฯ ที่ขึ้นเวทีคนเสื้อแดงเพื่อปกป้องเกียรติของรัฐสภา เพราะที่สภาฯมีกองกำลังทหารจำนวนมากปิดล้อมอยู่ อีกทั้งยังเข้าไปกินนอนในสภาฯ ซึ่งถือว่าเป็นเป็นการละเมิดฝ่ายนิติบัญญัติ
"ผมในฐานะที่เป็นศิษย์จปร.เป็นรุ่นน้องพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ท่านร่ำเรียนมาอย่างไร ผมก็เรียนมาแบบนั้นเหมือนกัน ซึ่งท่านคงคิดว่าท่านรักชาติมากกว่าคนอื่น แต่ผมไม่เชื่อ เพราะทุกคนรักชาติและสถาบันเหมือนกัน" รองประธานสภาฯ กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มนปช ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ในช่วงค่ำเป็นไปอย่างคึกคักขณะที่บนเวทีปราศัย เเกนนำได้ปลุกระดมให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปสมทบที่ทำเน
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ในช่วงค่ำเป็นไปอย่างคึกคัก ขณะที่บนเวทีปราศัย เเกนนำได้ปลุกระดมให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปสมทบที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันให้ทหารออกจากทำเนียบ
บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ในช่วงหัวค่ำเป็นไปด้วยความคึกคัก ภายหลังที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางกลับมาที่บริเวณเวทีปราศัย โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เเกนนำกล่ม นปช.ได้ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะ หลังจากที่ได้เดินทางไปกดดันให้มีการถอนกำลังทหารที่ประจำการอยู่ในสถานที่สำคัญ นอกจากนี้ยังได้ขอฉันทามติจากผู้ชุมนุม เดินทางไปกดดันให้มีการถอนกำลังทหารที่ดูเเลความเรียบร้อยออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เเละนายพายัพ ปั้นเกตุ เเกนนำกลุ่ม นปช.ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากยังคงปักหลักฟังการปราศัยอยู่หน้าเวทีการปราศัย
ส่วนบนเวทีการปราศัยเเกนนำกลุ่ม นปช.ได้ประกาศระดมกลุ่มผู้ชุมนุม ให้เดินทางไปสมทบที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นระยะ หลังจากทราบข่าวว่า ทหารไม่ยอมถอนกำลังออก โดยเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เเกนนำกลุ่มนปช.ได้ขึ้นเวทีปราศัย ระดมผู้ชุมนุมทั้งชายเเละหญิง ขึ้นรถเเทร็กเตอร์เพื่อไปนำสิ่งกีดขวางออกจากบริเวณโดยรอบ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นการกดดันให้ถอนกำลังทหารออก ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นเวทีปราศัยไม่ให้มีการไปสมทบที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมให้ความมั่นใจผู้ชุมนุมว่า จะจบลงด้วยความสงบเเละสันติ
ผู้สื่อข่าว : ลีลีญา อุปพงค์
rewriter : คณิต จินดาวรรณ
***********************************************
บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ในช่วงหัวค่ำเป็นไปด้วยความคึกคัก ภายหลังที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางกลับมาที่บริเวณเวทีปราศัย โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เเกนนำกล่ม นปช.ได้ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะ หลังจากที่ได้เดินทางไปกดดันให้มีการถอนกำลังทหารที่ประจำการอยู่ในสถานที่สำคัญ นอกจากนี้ยังได้ขอฉันทามติจากผู้ชุมนุม เดินทางไปกดดันให้มีการถอนกำลังทหารที่ดูเเลความเรียบร้อยออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เเละนายพายัพ ปั้นเกตุ เเกนนำกลุ่ม นปช.ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากยังคงปักหลักฟังการปราศัยอยู่หน้าเวทีการปราศัย
ส่วนบนเวทีการปราศัยเเกนนำกลุ่ม นปช.ได้ประกาศระดมกลุ่มผู้ชุมนุม ให้เดินทางไปสมทบที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นระยะ หลังจากทราบข่าวว่า ทหารไม่ยอมถอนกำลังออก โดยเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เเกนนำกลุ่มนปช.ได้ขึ้นเวทีปราศัย ระดมผู้ชุมนุมทั้งชายเเละหญิง ขึ้นรถเเทร็กเตอร์เพื่อไปนำสิ่งกีดขวางออกจากบริเวณโดยรอบ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นการกดดันให้ถอนกำลังทหารออก ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นเวทีปราศัยไม่ให้มีการไปสมทบที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมให้ความมั่นใจผู้ชุมนุมว่า จะจบลงด้วยความสงบเเละสันติ
ผู้สื่อข่าว : ลีลีญา อุปพงค์
rewriter : คณิต จินดาวรรณ
***********************************************
“วีระ”จี้มาร์คอย่าบิดพลิ้วพบแดง หวังเรื่องจบพรุ่งนี้
นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มนปช.แดงทั้งแผ่นดิน คาดหวังว่า พรุ่งนี้ (27 มี.ค.) จะเป็นจุดสิ้นสุดของความวุ่นวายทางการเมือง หลังจากคนเสื้อแดงเตรียมจะรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ เดินขบวนไปยังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เพื่อเจรจากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรื่องยุบสภา ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวของนปช.
นายวีระ กล่าวว่า คนเสื้อแดงนัดรวมพลพรุ่งนี้ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ คาดว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยเมื่อถึงกรมทหารราบที่ 11 ประมาณ 10.30 – 11.00 น. จะตั้งตัวแทนไปเจรจา หวังว่า นายอภิสิทธิ์จะไม่บิดพลิ้ว ทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ซึ่งหากนปช.ไม่ได้เข้าพบ นายอภิสิทธิ์ก็ควรลาออกจากตำแหน่ง ไม่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
ที่มา.โลกวันนี้ ออนไลน์
นายวีระ กล่าวว่า คนเสื้อแดงนัดรวมพลพรุ่งนี้ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ คาดว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยเมื่อถึงกรมทหารราบที่ 11 ประมาณ 10.30 – 11.00 น. จะตั้งตัวแทนไปเจรจา หวังว่า นายอภิสิทธิ์จะไม่บิดพลิ้ว ทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ซึ่งหากนปช.ไม่ได้เข้าพบ นายอภิสิทธิ์ก็ควรลาออกจากตำแหน่ง ไม่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
ที่มา.โลกวันนี้ ออนไลน์
วันเดียวแก๊งป่วนเมืองวาง-ยิงบึ้ม 4 จุด "ช่อง11-ททบ. 5" โดนระเบิดถล่ม ทหาร -รปภ.-ปชช.บาดเจ็บ
วันเดียวยิง-ปาบึ้ม 4 จุดในกรุงเทพ-เชียงใหม่ ถล่มช่อง11 ททบ.5 ช่วงค่ำ กรมศุลฯโดนแต่เช้ามืด ธนาคารกรุงเทพ สาขาดอกคำใต้เจอทั้งเอ็ม 79 อาก้าเชื่อทุกจุดโยงกัน ทหาร รภป.เจ็บ ชาวบ้านโดนลูกหลงด้วย
บึ้มอีกช่อง 11 ทหาร-รปภ.บาดเจ็บแรงระเบิกเกิดหลุมลึก
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 27 มีนาคม เกิดเหตุระเบิดภายในสวนหย่อมหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 หรือเอ็นบีที ถ.วิภาวดีรังสิต แรงระเบิดทำให้สนามหญ้าเป็นหลุมลึกแรงระเบิดทำให้ทหารที่เข้าเวรรักษาการณ์ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของช่อง 11 ได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นระเบิดชนิดใด
คนร้ายขว้างระเบิดใส่ช่อง 5 ทหาร-ปชช.บาดเจ็บ
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 19.00น. มีรายงานข่าวแจ้งว่าเกิดเหตุคนร้ายพยายามขว้างระเบิดไม่ทราบชนิดเข้าไปภายใน สถานีโทรทัศน์ ช่อง 5 สนามเป้า ถนนพหลโยธิน เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน เป็นพลทหารเจ็บ 2 นาย และประชาชนอีก 2 คน
รายงานข่าวแจ้งว่า คนร้าย 2 คนขี่จักรยานยนต์ คนแรกสวมหมวกกันน็อคสีขาว คนซ้อนท้ายสวมหมวกกันน็อคสีดำ ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตสีดำทั้งคู่ โดยคนซ้อนท้ายขว้างระเบิดเข้าใส่ ททบ.5 แต่ติดตาข่ายที่ขึงไว้ด้านหน้าทำให้ระเบิดสะท้อนกลับมาตกที่ฟุธบาทที่เกิดเหตุ พยานในที่เกิดเกิดเหตุระบุว่ามีการขว้างระเบิดเข้ามาในเวลา 18.50 น.
ทราบชื่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บประกอบด้วย พลทหารชัยสิทธิ์ ชาวโพธิเอน, พลทหารนฤพงษ์ อุเทนสุด ทหารสังกัด พล.ม.2 กำลังเข้าเวรยามที่รั้วรอบนอก ททบ.5 นำตัวส่งโรงพยาบาลพระมงกุฏ โดยมีพลเรือน 2 คนคือ นายวีระวัฒน์ สว่างทวีวงศ์ และนายวันชัย ฉัตรชัยชนวัฒน์ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นำตัวส่งโรงพยาบาลพญาไท 2
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอ.รส.กล่าว เมื่อเวลา 20.30 น. ว่า ได้รับรายงานในเบื้องต้น ทราบว่ามีรถปิคอัพที่จะมุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้ขว้างระเบิดเข้ามาใน ททบ.5 แต่ติดตาข่าย ขณะนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ระเบิดชนิดไหน เพราะชิ้นส่วนแตกกระจาย คิดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ เพราะ ททบ.5 เป็นสัญลักษณ์ของส่วนราชการ และวันนี้กลุ่มผู้ชุมนุมเน้นกดดันทหารเป็นหลัก จึงไม่แน่ใจว่าการที่กลุ่มผู้ชุมนุมเน้นกดดันทหาร เกี่ยวพันกับกรณีนี้หรือไม่ ถือเป็นหน้าที่ตำรวจที่ต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป
"สุเทพ"โต้ข่าวยิงระเบิดถล่มราบ 11
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ผอ.ศอ.รส.)ให้สัมภาษณ์ ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร. 11รอ.)สถานที่ตั้งศอ.รส. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นว่า ได้ระมัดระวังเต็มที่ เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคม ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร แม้แต่ตนก็พยายามที่จะไปให้กำลังใจบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านตรวจสกัด ตามที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และทุกคนทุกหน่วยตื่นตัว ทำให้โอกาสที่คนร้ายจะมาก่อเหตุลดน้อยลงมาก "แต่ยังมีพลาดจนได้ ที่เกิดเหตุคนร้ายลอบปาระเบิด เค 75 ที่อาคาร 120 กรมศุลลากร ตรงนั้นเราไม่คิดว่าจะเป็นจุดที่จะเป็นไปได้ เดิมคิดว่าจะเป็นที่อื่น ๆ ก็ต้องแก้ไขปรับปรุงต่อไป เพราะเป้าหมายการก่อเหตุวินาศกรรมนั้น เดิมนึกว่าเป็นสถานที่ราชการหากเขาทำได้แล้วจะทำให้รัฐบาลเสียหน้า หรือทำให้ ตำรวจ ทหารรู้สึกโกรธ เป็นการยั่วยุให้มีอารมณ์ เราได้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเราอยู่ตลอด"นายสุเทพกล่าว
ส่วนเหตุ ระเบิดตามสถานที่ต่างๆ มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า "ขณะนี้เป็นอย่างนั้น ยกเว้นกรณีที่ใช้ปืนอาก้ายิงใส่บ้านคนที่ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิทจะไม่เกี่ยวข้อง แต่การสอบสวนยังไมได้ระบุถึงตัวบุคคล ต้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนไป"
รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า เกิดระเบิดที่กรมศุลฯนั้น ได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้แล้ว ตอนนี้พยายามที่จะถอดดูอยู่ เรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่คงต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย
นายสุเทพยังกล่าวตอบคำถาม ถึงกระแสข่าว มีการยิงอาร์พีจีและเอ็ม 79 เข้ามาในพื้นที่ ร.11 รอ. เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคมว่า "ไม่มี เขาแกล้งปล่อยข่าวกันไป ข้อเท็จจริงคือเมื่อช่วงใกล้ 21.00 น. มีการจุดพลุที่วัดลาดปลาเค้าซึ่งห่างจาก ร. 11 รอ. ไปประมาณ 3 กิโลเมตร คนที่อยู่ใกล้จะเห็นพลุชัดเจน แต่ปล่อยข่าวกันอ้างว่าเราปิดข่าว "
"กษิต"บอกมีการยิงระเบิดอยู่ตูมๆ
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวตอบคำถาม เรื่องการก่อเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในไทย ต่างประเทศมีคำถามถึงเรื่องนี้หรือไม่ว่า " รู้สึกจะมี คำถามที่มีเข้ามายังรัฐบาล ก็มีอยู่ 3-4 ประเด็น มีคำถาม ไม่ว่าจะเป็น สังคมประชาธิปไตย การประท้วงก็ต้องอยู่ในกรอบประชาธิปไตย ไม่มีใครทั้งในและต่างประเทศอยากให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเราได้เห็นความรุนแรงมาแล้ว มีการยิงระเบิดตูมๆ กันอยู่"
โฆษกบช.น.ไม่ฟันธงบึ้ม"กรมศุลฯ"เกี่ยวการเมือง
พล.ต.ต. ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณีระเบิดหน้าอาคาร 120 ปี กรมศุลกากร ว่า จากเหตุระเบิดหลายครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด มีทั้งประเด็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง และความขัดแย้งส่วนตัว ซึ่งในบริเวณกรมศุลกากร ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นประเด็นใด เพราะกรมศุลกากร ไม่ใช่สัญลักษณ์ทางการเมือง จึงต้องพิจารณาประเด็นความขัดแย้งอื่นร่วมกันด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนหาพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เบื้องต้น พบว่า กลางดึกที่ผ่านมา คนร้ายขับจักรยานยนต์มาจากแยกกรมศุลกากร จอดห่างริมรั้วติดถนนใหญ่ประมาณ 30 เมตร จากนั้นขว้างระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดขว้าง K-75 ใส่ตัวอาคาร จากนั้นขับรถจักรยานยนต์หนีไปทางท่าเรือคลองเตย
ยิงถล่มธนาคารกรุงเทพ สาขา อ.ดอกคำใต้
ขณะที่อีกเหตุการณ์หนึ่งนั้น เมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ต.จรินทร์ อินทร์สุวรรณโณ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.)พะเยา เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.อ.สว่างวิทย์ สุทธหลวง ผกก.สภ.ดอกคำใต้ เกิดเหตุยิงถล่มธนาคารกรุงเทพ สาขา อ.ดอกคำใต้ ตั้งอยู่ติดถนนสายดอกคำใต้-พะเยา ใกล้กับตลาดในเขตชุมชน ภายในเขตเทศบาลเมืองดอกคำใต้ ห่างจาก สภ.ดอกคำใต้ ประมาณ 100 เมตร เมื่อออกไปตรวจสอบพบบริเวณสัญญลักษณ์ตราครุฑของธนาคาร บริเวณป้ายและกระจกหน้าธนาคาร ถูกยิงด้วยอาวุธชนิดเอ็ม 79 จำนวน 2 นัด เศษกระจก เศษปูน ตกกระเด็นใส่บ้านเรือนประชาชนในระแวกใกล้เคียง เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานได้เบื้องต้น ประกอบด้วย ปลอกกระสุนปืนอาก้า จำนวน 20 ปลอก เอ็ม 15 อีก10 กว่าปลอก
พล.ต.ต.จรินทร์กล่าวว่า นายมนัส ปินใจ ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพสาขา อ.ดอกคำใต้ ให้การว่าทางธนาคารติดกล้องวงจรปิดเฉพาะภายในธนาคารเท่านั้น ไม่ได้ติดตั้งด้านนอก เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ จากการสอบสวนชาวบ้านย่านใหล้เคียงระบุว่า เหตุเกิดเวลาประมาณ 02.15น.วันเดียวกันนี้ ชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายประทัดยักษ์ พอเปิดหน้าต่างบ้านออกไปดู เห็นรถปิคอัพแคปสีครีม ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เป็นพาหนะนำคนร้ายหลบหนีไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อม อ.จุน อ.ปง และอ.เชียงม่วน
"ได้ตั้งทีมงานออกสืบสวนอย่างเร่งด่วนแล้ว เพราะจากหลักฐานในที่เกิดเหตุ พอจะจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้ เบื้องต้นตั้งประเด็นสาเหตุน่าจะมาจากการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง เพราะพะเยาอยู่ในพื้นที่สีแดง"พล.ต.ต.จรินทร์กล่าว
บึ้มกรมศุลฯแต่เช้ามืด กระจกแตกรถตู้เสียหาย
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 03.50 น. วันที่ 27 มีนาคม ร.ต.ท.อำนาจ ศรีสุวรรณโน ร้อยเวรสอบสวน สน.ท่าเรือ ได้รับแจ้งเหตุระเบิดบริเวณด้านหน้าอาคาร 120 ปี กรมศุลกากร ถนนสุนทรโกษา แขวงและเขตคลองเตย กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา รองผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.บก.น.5 พ.ต.อ.ธนิต เหรียญเจริญ ผกก.สน.ท่าเรือ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด บก.ตปพ.บช.น. และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ที่เกิดเหตุเป็นสวนหย่อมด้านหน้าตัวอาคาร อยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 30 เมตร พบหลุมเป็นวงกว้าง 10 ซม. ลึก 5 ซม. ระแนงอลูมิเนียมบนเพดานพังถล่มลงมา กระจกของตัวอาคารแตก 1 บาน และเกิดรอยร้าวอีก 4 บาน โคมไฟส่องส่วางบนฟุตปาธแตก 1 ดวง และยังมีรถตู้ ยี่ห้อนิสสัน สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ฮค 5990 กทม. ของกรมศุลกากร ถูกแรงระเบิดกระจกด้านหลังแตกได้รับความเสียหายเล็กน้อย นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบกระเดื่องระเบิดตกอยู่ที่พื้นถนนหน้าอาคารห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 20 เมตร
พล.ต.ต.บุญส่ง เปิดเผยว่า สอบสวนทราบว่าช่วงที่เกิดเหตุมี รปภ.ของกรมศุลกากร ได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดจากนั้นจึงรีบวิ่งมาดู เมื่อพบว่าเป็นระเบิดก็รีบโทรแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ ซึ่งในที่เกิดเหตุพบว่าบริเวณด้านหน้าอาคารดังกล่าวมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ ส่วนระเบิดที่ใช้ก่อเหตุนั้นจากการตรวจสอบกระเดื่องและสะเก็ดระเบิดพบว่า เป็นระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดขว้าง K-75 ซึ่งตนได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนำภาพจากกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบเพื่อหาเบาะแสของคนร้าย เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะขว้างระเบิดมาจากริมรั้วที่ติดกับถนนใหญ่ เพราะเป็นมุมที่โล่งและมีระยะห่างจากตัวอาคารไม่มากนัก ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสืบสวน ส่วนจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายในขณะนี้หรือไม่นั้น ไม่ขอออกความเห็น อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มกำลังในการรักษาความปลอดภัยบริเวรโดยรอบกรมศุลกากร พร้อมทั้งเร่งสอบปากคำพยานและรวบรวมหลักฐานทั้งหมด เพื่อติดตามตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
บึ้มอีกช่อง 11 ทหาร-รปภ.บาดเจ็บแรงระเบิกเกิดหลุมลึก
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 27 มีนาคม เกิดเหตุระเบิดภายในสวนหย่อมหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 หรือเอ็นบีที ถ.วิภาวดีรังสิต แรงระเบิดทำให้สนามหญ้าเป็นหลุมลึกแรงระเบิดทำให้ทหารที่เข้าเวรรักษาการณ์ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของช่อง 11 ได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นระเบิดชนิดใด
คนร้ายขว้างระเบิดใส่ช่อง 5 ทหาร-ปชช.บาดเจ็บ
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 19.00น. มีรายงานข่าวแจ้งว่าเกิดเหตุคนร้ายพยายามขว้างระเบิดไม่ทราบชนิดเข้าไปภายใน สถานีโทรทัศน์ ช่อง 5 สนามเป้า ถนนพหลโยธิน เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน เป็นพลทหารเจ็บ 2 นาย และประชาชนอีก 2 คน
รายงานข่าวแจ้งว่า คนร้าย 2 คนขี่จักรยานยนต์ คนแรกสวมหมวกกันน็อคสีขาว คนซ้อนท้ายสวมหมวกกันน็อคสีดำ ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตสีดำทั้งคู่ โดยคนซ้อนท้ายขว้างระเบิดเข้าใส่ ททบ.5 แต่ติดตาข่ายที่ขึงไว้ด้านหน้าทำให้ระเบิดสะท้อนกลับมาตกที่ฟุธบาทที่เกิดเหตุ พยานในที่เกิดเกิดเหตุระบุว่ามีการขว้างระเบิดเข้ามาในเวลา 18.50 น.
ทราบชื่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บประกอบด้วย พลทหารชัยสิทธิ์ ชาวโพธิเอน, พลทหารนฤพงษ์ อุเทนสุด ทหารสังกัด พล.ม.2 กำลังเข้าเวรยามที่รั้วรอบนอก ททบ.5 นำตัวส่งโรงพยาบาลพระมงกุฏ โดยมีพลเรือน 2 คนคือ นายวีระวัฒน์ สว่างทวีวงศ์ และนายวันชัย ฉัตรชัยชนวัฒน์ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นำตัวส่งโรงพยาบาลพญาไท 2
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอ.รส.กล่าว เมื่อเวลา 20.30 น. ว่า ได้รับรายงานในเบื้องต้น ทราบว่ามีรถปิคอัพที่จะมุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้ขว้างระเบิดเข้ามาใน ททบ.5 แต่ติดตาข่าย ขณะนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ระเบิดชนิดไหน เพราะชิ้นส่วนแตกกระจาย คิดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ เพราะ ททบ.5 เป็นสัญลักษณ์ของส่วนราชการ และวันนี้กลุ่มผู้ชุมนุมเน้นกดดันทหารเป็นหลัก จึงไม่แน่ใจว่าการที่กลุ่มผู้ชุมนุมเน้นกดดันทหาร เกี่ยวพันกับกรณีนี้หรือไม่ ถือเป็นหน้าที่ตำรวจที่ต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป
"สุเทพ"โต้ข่าวยิงระเบิดถล่มราบ 11
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ผอ.ศอ.รส.)ให้สัมภาษณ์ ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร. 11รอ.)สถานที่ตั้งศอ.รส. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นว่า ได้ระมัดระวังเต็มที่ เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคม ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร แม้แต่ตนก็พยายามที่จะไปให้กำลังใจบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านตรวจสกัด ตามที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และทุกคนทุกหน่วยตื่นตัว ทำให้โอกาสที่คนร้ายจะมาก่อเหตุลดน้อยลงมาก "แต่ยังมีพลาดจนได้ ที่เกิดเหตุคนร้ายลอบปาระเบิด เค 75 ที่อาคาร 120 กรมศุลลากร ตรงนั้นเราไม่คิดว่าจะเป็นจุดที่จะเป็นไปได้ เดิมคิดว่าจะเป็นที่อื่น ๆ ก็ต้องแก้ไขปรับปรุงต่อไป เพราะเป้าหมายการก่อเหตุวินาศกรรมนั้น เดิมนึกว่าเป็นสถานที่ราชการหากเขาทำได้แล้วจะทำให้รัฐบาลเสียหน้า หรือทำให้ ตำรวจ ทหารรู้สึกโกรธ เป็นการยั่วยุให้มีอารมณ์ เราได้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเราอยู่ตลอด"นายสุเทพกล่าว
ส่วนเหตุ ระเบิดตามสถานที่ต่างๆ มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า "ขณะนี้เป็นอย่างนั้น ยกเว้นกรณีที่ใช้ปืนอาก้ายิงใส่บ้านคนที่ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิทจะไม่เกี่ยวข้อง แต่การสอบสวนยังไมได้ระบุถึงตัวบุคคล ต้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนไป"
รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า เกิดระเบิดที่กรมศุลฯนั้น ได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้แล้ว ตอนนี้พยายามที่จะถอดดูอยู่ เรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่คงต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย
นายสุเทพยังกล่าวตอบคำถาม ถึงกระแสข่าว มีการยิงอาร์พีจีและเอ็ม 79 เข้ามาในพื้นที่ ร.11 รอ. เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคมว่า "ไม่มี เขาแกล้งปล่อยข่าวกันไป ข้อเท็จจริงคือเมื่อช่วงใกล้ 21.00 น. มีการจุดพลุที่วัดลาดปลาเค้าซึ่งห่างจาก ร. 11 รอ. ไปประมาณ 3 กิโลเมตร คนที่อยู่ใกล้จะเห็นพลุชัดเจน แต่ปล่อยข่าวกันอ้างว่าเราปิดข่าว "
"กษิต"บอกมีการยิงระเบิดอยู่ตูมๆ
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวตอบคำถาม เรื่องการก่อเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในไทย ต่างประเทศมีคำถามถึงเรื่องนี้หรือไม่ว่า " รู้สึกจะมี คำถามที่มีเข้ามายังรัฐบาล ก็มีอยู่ 3-4 ประเด็น มีคำถาม ไม่ว่าจะเป็น สังคมประชาธิปไตย การประท้วงก็ต้องอยู่ในกรอบประชาธิปไตย ไม่มีใครทั้งในและต่างประเทศอยากให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเราได้เห็นความรุนแรงมาแล้ว มีการยิงระเบิดตูมๆ กันอยู่"
โฆษกบช.น.ไม่ฟันธงบึ้ม"กรมศุลฯ"เกี่ยวการเมือง
พล.ต.ต. ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณีระเบิดหน้าอาคาร 120 ปี กรมศุลกากร ว่า จากเหตุระเบิดหลายครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด มีทั้งประเด็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง และความขัดแย้งส่วนตัว ซึ่งในบริเวณกรมศุลกากร ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นประเด็นใด เพราะกรมศุลกากร ไม่ใช่สัญลักษณ์ทางการเมือง จึงต้องพิจารณาประเด็นความขัดแย้งอื่นร่วมกันด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนหาพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เบื้องต้น พบว่า กลางดึกที่ผ่านมา คนร้ายขับจักรยานยนต์มาจากแยกกรมศุลกากร จอดห่างริมรั้วติดถนนใหญ่ประมาณ 30 เมตร จากนั้นขว้างระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดขว้าง K-75 ใส่ตัวอาคาร จากนั้นขับรถจักรยานยนต์หนีไปทางท่าเรือคลองเตย
ยิงถล่มธนาคารกรุงเทพ สาขา อ.ดอกคำใต้
ขณะที่อีกเหตุการณ์หนึ่งนั้น เมื่อเวลา 09.00 น. พล.ต.ต.จรินทร์ อินทร์สุวรรณโณ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.)พะเยา เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.อ.สว่างวิทย์ สุทธหลวง ผกก.สภ.ดอกคำใต้ เกิดเหตุยิงถล่มธนาคารกรุงเทพ สาขา อ.ดอกคำใต้ ตั้งอยู่ติดถนนสายดอกคำใต้-พะเยา ใกล้กับตลาดในเขตชุมชน ภายในเขตเทศบาลเมืองดอกคำใต้ ห่างจาก สภ.ดอกคำใต้ ประมาณ 100 เมตร เมื่อออกไปตรวจสอบพบบริเวณสัญญลักษณ์ตราครุฑของธนาคาร บริเวณป้ายและกระจกหน้าธนาคาร ถูกยิงด้วยอาวุธชนิดเอ็ม 79 จำนวน 2 นัด เศษกระจก เศษปูน ตกกระเด็นใส่บ้านเรือนประชาชนในระแวกใกล้เคียง เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานได้เบื้องต้น ประกอบด้วย ปลอกกระสุนปืนอาก้า จำนวน 20 ปลอก เอ็ม 15 อีก10 กว่าปลอก
พล.ต.ต.จรินทร์กล่าวว่า นายมนัส ปินใจ ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพสาขา อ.ดอกคำใต้ ให้การว่าทางธนาคารติดกล้องวงจรปิดเฉพาะภายในธนาคารเท่านั้น ไม่ได้ติดตั้งด้านนอก เพราะคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ จากการสอบสวนชาวบ้านย่านใหล้เคียงระบุว่า เหตุเกิดเวลาประมาณ 02.15น.วันเดียวกันนี้ ชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายประทัดยักษ์ พอเปิดหน้าต่างบ้านออกไปดู เห็นรถปิคอัพแคปสีครีม ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เป็นพาหนะนำคนร้ายหลบหนีไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อม อ.จุน อ.ปง และอ.เชียงม่วน
"ได้ตั้งทีมงานออกสืบสวนอย่างเร่งด่วนแล้ว เพราะจากหลักฐานในที่เกิดเหตุ พอจะจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้ เบื้องต้นตั้งประเด็นสาเหตุน่าจะมาจากการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง เพราะพะเยาอยู่ในพื้นที่สีแดง"พล.ต.ต.จรินทร์กล่าว
บึ้มกรมศุลฯแต่เช้ามืด กระจกแตกรถตู้เสียหาย
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 03.50 น. วันที่ 27 มีนาคม ร.ต.ท.อำนาจ ศรีสุวรรณโน ร้อยเวรสอบสวน สน.ท่าเรือ ได้รับแจ้งเหตุระเบิดบริเวณด้านหน้าอาคาร 120 ปี กรมศุลกากร ถนนสุนทรโกษา แขวงและเขตคลองเตย กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พล.ต.ต.บุญส่ง พานิชอัตรา รองผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.บก.น.5 พ.ต.อ.ธนิต เหรียญเจริญ ผกก.สน.ท่าเรือ หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด บก.ตปพ.บช.น. และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ที่เกิดเหตุเป็นสวนหย่อมด้านหน้าตัวอาคาร อยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 30 เมตร พบหลุมเป็นวงกว้าง 10 ซม. ลึก 5 ซม. ระแนงอลูมิเนียมบนเพดานพังถล่มลงมา กระจกของตัวอาคารแตก 1 บาน และเกิดรอยร้าวอีก 4 บาน โคมไฟส่องส่วางบนฟุตปาธแตก 1 ดวง และยังมีรถตู้ ยี่ห้อนิสสัน สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ฮค 5990 กทม. ของกรมศุลกากร ถูกแรงระเบิดกระจกด้านหลังแตกได้รับความเสียหายเล็กน้อย นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบกระเดื่องระเบิดตกอยู่ที่พื้นถนนหน้าอาคารห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 20 เมตร
พล.ต.ต.บุญส่ง เปิดเผยว่า สอบสวนทราบว่าช่วงที่เกิดเหตุมี รปภ.ของกรมศุลกากร ได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดจากนั้นจึงรีบวิ่งมาดู เมื่อพบว่าเป็นระเบิดก็รีบโทรแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ ซึ่งในที่เกิดเหตุพบว่าบริเวณด้านหน้าอาคารดังกล่าวมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ ส่วนระเบิดที่ใช้ก่อเหตุนั้นจากการตรวจสอบกระเดื่องและสะเก็ดระเบิดพบว่า เป็นระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดขว้าง K-75 ซึ่งตนได้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนนำภาพจากกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบเพื่อหาเบาะแสของคนร้าย เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะขว้างระเบิดมาจากริมรั้วที่ติดกับถนนใหญ่ เพราะเป็นมุมที่โล่งและมีระยะห่างจากตัวอาคารไม่มากนัก ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสืบสวน ส่วนจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายในขณะนี้หรือไม่นั้น ไม่ขอออกความเห็น อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มกำลังในการรักษาความปลอดภัยบริเวรโดยรอบกรมศุลกากร พร้อมทั้งเร่งสอบปากคำพยานและรวบรวมหลักฐานทั้งหมด เพื่อติดตามตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
"แม้ว"ยันจงรักภักดี บอกเจรจากับนายกฯ พรุ่งนี้ ไม่ต้องเอาตัวเองมาคำนึง เรียกร้องทหารกลับกรมกอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 27 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงค์มายังเวทีหลักของคนเสื้อแดงว่า วันนี้พี่น้องมากันเยอะๆ จริง ผมขอคารวะน้ำใจแห่งความเสียสละของพี่น้องที่ออกมาร่วมกันในวันนี้ เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยและความยุติธรรม เพื่อสร้างอนาคตให้ลูกหลาน พี่น้องถึงแม้ว่าส่วนตัวผมจะเจ็บปวดอย่างไร แต่การที่เห้นพี่น้องมาอย่างนี้ มันเป้นการเยี่ยวยาความเจ็บปวดที่ดีที่สุด ผมขอกราบคารวะงามๆ ครั้งหนึ่ง
วันนี้มีสิ่งที่เกืดขึ้น ถือว่าเป็นความสวยงามของประเพณีไทย เราไปขอร้องให้ทหารออกจากที่ตั้งไป ทหารก็เต็มใจออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนคนไทยที่มีสายเลือดไทยจริงๆ เขาคือทหารแต่งโม แต่เขาถูกให้มาทำหน้าที่ และได้ข่าวว่า ระหว่างที่พวกเราเดินทางไปนี้ ตอนแรกได้เจอกับขบวนเสด็จพระราชดำเนินของของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พวกเราก็หลบให้และเปล่งเสียงทรงพระเจริญ ซึ่งเป็นความน่ารักมาก
ขณะที่เราไปกันที่วชิราวุธวิทยาลัย ก็มีขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พวกเราไม่ทราบ เพราะทรงมีขบวนไม่ยาวเท่าไหร่ แต่เมื่อทรงเสด็จผ่าน ก็ทำให้พวกเราดีใจกันใหญ่ นี่แหละพวกที่กล่าวหาว่าพวกเราไม่จรงรักภักดี แต่ทำไมทัศนคติของเรา จึงจงรักภักดีแบบนี้
พวกเชลียและพวกแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ คงจะเข้าใจแล้วว่าเสื้อแดงเป็นอย่างไร พวกเรามาแสวงหาเสรีภาพและเสมอภาค ในโอกาสในการดำเนินชีวิต และความยุติธรรมต่างหาก เรายอมเหนื่อยเพื่อนลูกหลานในอนาคตของเรา
คุณอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) บอกว่าประชาชนต้องมาก่อน หวังว่าพรุ่งนี้ (28 มีนาคม) คงจะรอพบประชาชนนะครับ และต้องบอกด้วยว่า ไอ้เงิน 3 หมื่นล้านนั่นน่ะ พี่น้องแกนนำที่จะไปเจรจาพรุ่งนี้ ไม่ต้องเจรจาเผื่อถึงผม ขอให้เป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองแท้ๆ เรื่องผมเรื่องเล็ก ไม่ต้องมาห่วงผม และไม่ต้องตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับผมใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้เป็นเรื่องของประชาธิปไตยและความเป็นธรรมเท่านั้น
พี่น้องที่เคารพ คุณอภิสิทธิ์บอกว่า ไม่รู้ว่าการเจรจาเราต้องการอะไร ความจริงมันง่ายจะตาย แค่ยุบสภาอย่างเดียว อย่าแกล้งทำเป้นงงสิ อย่าซื่อบื้ออยู่ได้ พี่น้องที่เคารพ วันนี้พี่น้องคงเข้าใจแล้วว่า พวกเราและตัวผมได้พิสูจน์ตลอดเวลาว่า จงรักภักดี แต่การถูกใส่ร้ายจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีจะพยายามที่ใช้เรื่องความจงรักภักดีมาทำลายจนบ้านเมืองเสียหาย
"พี่น้องทหารทั้งหลายวันนี้ สิงที่ปรากฎมัน เป็นภาพที่น่ารักมาก แต่ทหารที่ถอยไป ก็ยังไม่กลับกรมกอง แต่มาอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพบกและสโมสรกองทัพบก แม้จะเป็นสัญลักษณ์ที่ดี แต่ทหารครับกลับไปอยู่กรมกองเถอะ เพราะทหารเป็นรั้วของชาติ ต้องไปอยู่ชายแดน หากรั้วมาอยู่กลางบ้าน มันไม่ใช่รั้วแล้ว จะทำให้คนยืมไปตีหัวกัน อย่าให้ใครยืมรั้วไปตีหัวชาวบ้านที่เป็นผู้เสียภาษี พวกทหารน้องๆ ทั้งหลาย ผมคือนักเรียนเตรียมทหารที่รู้จักระบบทหาร อยากบอกว่าขณะนี้ทุกองค์กรของเรามี 2 มาตรฐาน ของทหารก็เป็น 2 มาตรฐานที่แย่กว่าพลเรือนด้วยซ้ำ เราจึงมีทหารแตงโม ทหารอย่ามายุ่งกับการเมืองเลย
อย่ามัวเอาทหารมายุ่งการเมือ งสถาบันทหารจะเสื่อม การเมืองเดี๋ยวมาก็ไป แต่กองทัพต้องอยู่คู่บัลลังก์ต่อไป ตอนนั้นผมตั้งใจจะให้กองทัพเป็นที่เคารพศรัทธาประชาชนงบประมาณไปถึงทหารชั้นล่างก่อน นักการเมืองไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยต้องไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ หลายคนทำธุรกิจมาไม่รวยแต่มาเล่นการเมืองรวยกว่า มีนักการเมืองบางคนเซ้งทั้งกระทรวง ดึงพวกอำมาตย์ที่เป็นกาดำเรียกตัวเองว่ากาขาวมาช่วย"
"ถึงเวลาแล้วที่จะรีเซ็ทประเทศไทยใหม่เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนใหม่ทำสัญญากับประชาคมเพื่อเริ่มต้นใหม่ เราพูดภาษาเดียวกัน อย่าพูดภาษาใบ้ แยกเขี้ยวใส่กัน ขั้นต่อไปปล่อยหมัด ยิงปืนใส่กัน เริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างโอกาสให้ทุกคน สร้างความเจริญไปทุกภาคให้คนไทยทุกคนได้มีเสรีภาพมีอิสระจากความไม่กลัว สนองความต้องการของตัวเองได้"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายวีระ มุกสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดงที่ยกคำพูดของ โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งสหรัฐอเมริกา ที่บอกว่า ถ้าประเทศไหนรัฐบาลกลัวประชาชนแสดงว่าประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าประเทศไหนประชาชนกลัวรัฐบาลมีการข่มขู่ประชาชนเขาเรียกว่าเป็นประเทศเผด็จการ ต้องเอาคำพูดที่ตัวเองพูดในสมัยที่เป็นฝ่ายค้านมาดูบ้างจะได้อาย ยุบสภาเสียที ไม่ต้องอายแล้ว ยังหนุ่มยังแน่น
"ได้ข่าวว่าวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ จะเดินทางไปต่างประเทศ ไปเพื่อบอกต่างประเทศว่า อย่าต้อนรับผม ไม่มีประโยชน์หรอกครับนั่งแก้ปัญญาให้ประชาชนดีกว่า คุยกับพี่น้องแล้วยุบสภาเสีย ไม่ต้องสกัดผมหรอกโลกยุคใหม่พูดที่ไหนก็พูดได้ นายบินลาเดนพูดในถ้ำยังพูดได้ ยุคนี้การสื่อสารยอดเยี่ยมจะตาย พฤติกรรมของผู้ปกครองที่ไม่มีความสามารถ ทุจริต โกหก พูดอย่างทำอย่าง แล้วใครจะนับถือ ไปไหนคนก็ไล่ ต่างประเทศต้อนรับเพราะความเป็นสถาบันชาติ ไม่ใช่เพราะเป็นนายอภิสิทธิ์
วันนี้อยากจะบอกกัขบรัฐบาลว่ามากันเยอะขนาดนี้ ได้ข่าวว่าที่เสื้อแดงอุดรฯ พันกว่าคนไม่มีรถ รถไม่มีก็ไม่ยอมกลับ ยังรอรถยังไงก็จะขอมา น่ารักจริงๆ มาไม่ได้มาตัวเปล่า เตรียมข้าวเหนียว ปลาร้ามาหุง มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม น่าขอบคุณที่สุด พรุ่งนี้พร้อมใจกันไปดูว่านายอภิสิทธิ์จะให้ประชาชนมาก่อนหรือไม่ บอกนายอภิสิทธิ์ไว้เลยว่าการเจรจาไม่มีรายละเอียดอะไรนอกจากยุบสภาอย่างเดียว อย่ามาพูดเรื่องของผม ของผมก็อยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ที่ขอให้ศาลพิจารณาใหม่ ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาพูดยุบสภาอย่างเดียว คืนอำนาจให้ประชาชน เผื่อจะได้ 240 เสียง ตามที่ได้คุยไว้ ไม่เคยเห็นการชุมนุมครั้งไหนที่จะเห็นคนเยอะเป็นประวัติการณ์ในครั้งนี้ วันนี้เห็นคนที่มาแล้วน้ำตาไหลไม่ได้ เห็นพี่น้องรักชาติ รักประชาธิปไตบ เกลียดความยุติธรรม พูดไปก็คอตันไป ซาบซึ้งใจจริงๆ ก็ขออนุญาตกราบงามๆ ผมพูดไม่ออก " พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
วันนี้มีสิ่งที่เกืดขึ้น ถือว่าเป็นความสวยงามของประเพณีไทย เราไปขอร้องให้ทหารออกจากที่ตั้งไป ทหารก็เต็มใจออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนคนไทยที่มีสายเลือดไทยจริงๆ เขาคือทหารแต่งโม แต่เขาถูกให้มาทำหน้าที่ และได้ข่าวว่า ระหว่างที่พวกเราเดินทางไปนี้ ตอนแรกได้เจอกับขบวนเสด็จพระราชดำเนินของของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พวกเราก็หลบให้และเปล่งเสียงทรงพระเจริญ ซึ่งเป็นความน่ารักมาก
ขณะที่เราไปกันที่วชิราวุธวิทยาลัย ก็มีขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พวกเราไม่ทราบ เพราะทรงมีขบวนไม่ยาวเท่าไหร่ แต่เมื่อทรงเสด็จผ่าน ก็ทำให้พวกเราดีใจกันใหญ่ นี่แหละพวกที่กล่าวหาว่าพวกเราไม่จรงรักภักดี แต่ทำไมทัศนคติของเรา จึงจงรักภักดีแบบนี้
พวกเชลียและพวกแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ คงจะเข้าใจแล้วว่าเสื้อแดงเป็นอย่างไร พวกเรามาแสวงหาเสรีภาพและเสมอภาค ในโอกาสในการดำเนินชีวิต และความยุติธรรมต่างหาก เรายอมเหนื่อยเพื่อนลูกหลานในอนาคตของเรา
คุณอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) บอกว่าประชาชนต้องมาก่อน หวังว่าพรุ่งนี้ (28 มีนาคม) คงจะรอพบประชาชนนะครับ และต้องบอกด้วยว่า ไอ้เงิน 3 หมื่นล้านนั่นน่ะ พี่น้องแกนนำที่จะไปเจรจาพรุ่งนี้ ไม่ต้องเจรจาเผื่อถึงผม ขอให้เป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองแท้ๆ เรื่องผมเรื่องเล็ก ไม่ต้องมาห่วงผม และไม่ต้องตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับผมใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้เป็นเรื่องของประชาธิปไตยและความเป็นธรรมเท่านั้น
พี่น้องที่เคารพ คุณอภิสิทธิ์บอกว่า ไม่รู้ว่าการเจรจาเราต้องการอะไร ความจริงมันง่ายจะตาย แค่ยุบสภาอย่างเดียว อย่าแกล้งทำเป้นงงสิ อย่าซื่อบื้ออยู่ได้ พี่น้องที่เคารพ วันนี้พี่น้องคงเข้าใจแล้วว่า พวกเราและตัวผมได้พิสูจน์ตลอดเวลาว่า จงรักภักดี แต่การถูกใส่ร้ายจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีจะพยายามที่ใช้เรื่องความจงรักภักดีมาทำลายจนบ้านเมืองเสียหาย
"พี่น้องทหารทั้งหลายวันนี้ สิงที่ปรากฎมัน เป็นภาพที่น่ารักมาก แต่ทหารที่ถอยไป ก็ยังไม่กลับกรมกอง แต่มาอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพบกและสโมสรกองทัพบก แม้จะเป็นสัญลักษณ์ที่ดี แต่ทหารครับกลับไปอยู่กรมกองเถอะ เพราะทหารเป็นรั้วของชาติ ต้องไปอยู่ชายแดน หากรั้วมาอยู่กลางบ้าน มันไม่ใช่รั้วแล้ว จะทำให้คนยืมไปตีหัวกัน อย่าให้ใครยืมรั้วไปตีหัวชาวบ้านที่เป็นผู้เสียภาษี พวกทหารน้องๆ ทั้งหลาย ผมคือนักเรียนเตรียมทหารที่รู้จักระบบทหาร อยากบอกว่าขณะนี้ทุกองค์กรของเรามี 2 มาตรฐาน ของทหารก็เป็น 2 มาตรฐานที่แย่กว่าพลเรือนด้วยซ้ำ เราจึงมีทหารแตงโม ทหารอย่ามายุ่งกับการเมืองเลย
อย่ามัวเอาทหารมายุ่งการเมือ งสถาบันทหารจะเสื่อม การเมืองเดี๋ยวมาก็ไป แต่กองทัพต้องอยู่คู่บัลลังก์ต่อไป ตอนนั้นผมตั้งใจจะให้กองทัพเป็นที่เคารพศรัทธาประชาชนงบประมาณไปถึงทหารชั้นล่างก่อน นักการเมืองไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยต้องไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ หลายคนทำธุรกิจมาไม่รวยแต่มาเล่นการเมืองรวยกว่า มีนักการเมืองบางคนเซ้งทั้งกระทรวง ดึงพวกอำมาตย์ที่เป็นกาดำเรียกตัวเองว่ากาขาวมาช่วย"
"ถึงเวลาแล้วที่จะรีเซ็ทประเทศไทยใหม่เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายอภิสิทธิ์ จะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนใหม่ทำสัญญากับประชาคมเพื่อเริ่มต้นใหม่ เราพูดภาษาเดียวกัน อย่าพูดภาษาใบ้ แยกเขี้ยวใส่กัน ขั้นต่อไปปล่อยหมัด ยิงปืนใส่กัน เริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างโอกาสให้ทุกคน สร้างความเจริญไปทุกภาคให้คนไทยทุกคนได้มีเสรีภาพมีอิสระจากความไม่กลัว สนองความต้องการของตัวเองได้"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายวีระ มุกสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดงที่ยกคำพูดของ โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งสหรัฐอเมริกา ที่บอกว่า ถ้าประเทศไหนรัฐบาลกลัวประชาชนแสดงว่าประเทศนั้นเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าประเทศไหนประชาชนกลัวรัฐบาลมีการข่มขู่ประชาชนเขาเรียกว่าเป็นประเทศเผด็จการ ต้องเอาคำพูดที่ตัวเองพูดในสมัยที่เป็นฝ่ายค้านมาดูบ้างจะได้อาย ยุบสภาเสียที ไม่ต้องอายแล้ว ยังหนุ่มยังแน่น
"ได้ข่าวว่าวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ จะเดินทางไปต่างประเทศ ไปเพื่อบอกต่างประเทศว่า อย่าต้อนรับผม ไม่มีประโยชน์หรอกครับนั่งแก้ปัญญาให้ประชาชนดีกว่า คุยกับพี่น้องแล้วยุบสภาเสีย ไม่ต้องสกัดผมหรอกโลกยุคใหม่พูดที่ไหนก็พูดได้ นายบินลาเดนพูดในถ้ำยังพูดได้ ยุคนี้การสื่อสารยอดเยี่ยมจะตาย พฤติกรรมของผู้ปกครองที่ไม่มีความสามารถ ทุจริต โกหก พูดอย่างทำอย่าง แล้วใครจะนับถือ ไปไหนคนก็ไล่ ต่างประเทศต้อนรับเพราะความเป็นสถาบันชาติ ไม่ใช่เพราะเป็นนายอภิสิทธิ์
วันนี้อยากจะบอกกัขบรัฐบาลว่ามากันเยอะขนาดนี้ ได้ข่าวว่าที่เสื้อแดงอุดรฯ พันกว่าคนไม่มีรถ รถไม่มีก็ไม่ยอมกลับ ยังรอรถยังไงก็จะขอมา น่ารักจริงๆ มาไม่ได้มาตัวเปล่า เตรียมข้าวเหนียว ปลาร้ามาหุง มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม น่าขอบคุณที่สุด พรุ่งนี้พร้อมใจกันไปดูว่านายอภิสิทธิ์จะให้ประชาชนมาก่อนหรือไม่ บอกนายอภิสิทธิ์ไว้เลยว่าการเจรจาไม่มีรายละเอียดอะไรนอกจากยุบสภาอย่างเดียว อย่ามาพูดเรื่องของผม ของผมก็อยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ที่ขอให้ศาลพิจารณาใหม่ ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาพูดยุบสภาอย่างเดียว คืนอำนาจให้ประชาชน เผื่อจะได้ 240 เสียง ตามที่ได้คุยไว้ ไม่เคยเห็นการชุมนุมครั้งไหนที่จะเห็นคนเยอะเป็นประวัติการณ์ในครั้งนี้ วันนี้เห็นคนที่มาแล้วน้ำตาไหลไม่ได้ เห็นพี่น้องรักชาติ รักประชาธิปไตบ เกลียดความยุติธรรม พูดไปก็คอตันไป ซาบซึ้งใจจริงๆ ก็ขออนุญาตกราบงามๆ ผมพูดไม่ออก " พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
ยุติสงคราม บนโต๊ะเจรจา
ข้อเสนอจำนวน 5 ข้อที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีชุมนุมเสื้อแดงสะพานผ่านฟ้าฯ ประกอบไปด้วย
1.ยืนยันให้ยุบสภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน
2.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดตามที่มีการกล่าวอ้าง
3.ยินดีให้มีการเจรจา โดยผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ซึ่งฝ่ายรัฐบาลคือนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจในการยุบสภา
4.หากมีการยุบสภาแล้ว ให้ทุกฝ่ายสลายตัวและทุกฝ่ายจะทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้ทุกพื้นที่โดยไม่มีการกีดกัน
5.ให้การเลือกตั้งโดยสุจริตเป็นเครื่องตัดสิน ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไรให้ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับและสงบ เพราะเป็นการตัดสินใจของประชาชน
น่าจะเป็นข้อเสนอที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลควรรับไปพิจารณาอย่างจริงจัง
เนื่องจากท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 5 ปี จนนำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.เป็นต้นมา
ซึ่งทางแกนนำเสื้อแดงประกาศให้การ "ยุบสภา" คือเป้าหมายสูงสุดที่ต้องไปให้ถึงให้ได้
ไม่ว่าการชุมนุมจะดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนานเพียงใดก็ตาม
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเองก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่าไม่พร้อมตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าวของคนเสื้อแดง
การตรึงกำลังยื้อกันไปมาโดยไม่มีใครอ่อนข้อให้ใคร
ทำให้คนในสังคมจำนวนมากเป็นห่วงว่าอาจเกิดปัญหาความรุนแรง แทรก ซ้อนซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมืองให้ทรุดหนักลงไปอีก
อย่างเช่นเหตุระเบิดรายวันที่สร้างความตื่นกลัวให้กับประชาชน
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์โดยใคร หรือไม่ก็ตามแต่ทั้ง 2 ฝ่าย คือกลุ่มเสื้อแดงและรัฐบาล
ย่อมหลีกหนีความรับผิดชอบตรงนี้ไปไม่ได้
ถึงสถานการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
จะยังหาอะไรมาวัดไม่ได้ว่าระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับรัฐบาล ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน
ถ้าถามรัฐบาลก็จะบอกว่าฝ่ายตนเองยังคงกุมความได้เปรียบ เพราะได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากพรรคร่วมรัฐบาล กองทัพ กลุ่มนักธุรกิจคนชั้นสูง
รวมถึงกลุ่มอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป
นอกจากนี้ ฝ่ายมันสมองของรัฐบาลยังได้พยายามทำอะไรหลายอย่าง
เพื่อให้เห็นว่าการทำงานของรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปได้เหมือนในเวลาปกติ ไม่ว่างานในหน้าที่ฝ่ายบริหารหรืองานในสภาก็ตาม
แม้ผลที่ออกมาจะไปด้วยกันไม่ได้กับภาพที่นายกฯอภิสิทธิ์ยังต้องซุ่มหลบอยู่แต่ในค่ายทหาร คอยฆ่าเวลาด้วยการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจภัยแล้ง
การประชุมครม.ก็ยังต้องเปลี่ยนไปใช้สถานที่อื่นที่ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาล
และที่โดนวิพากษ์วิจารณ์เละเทะมากที่สุดคือการที่นายกฯ และส.ส.รัฐบาลต้องเข้าประชุมสภาท่าม กลางวงล้อมรั้วลวดหนาม บังเกอร์คอนกรีต และกองกำลังทหารหลายพันนาย
ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเองก็ได้แรงฮึกเหิม
จากความสำเร็จในการเคลื่อนขบวนไปรอบกรุงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม
เพราะเห็นได้ชัดจากการที่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ออกมายืนโบกไม้โบกมือต้อนรับ บางส่วนก็เข้าขบวนติดตามมาร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ
เป็นแรงผลักดันนำมาสู่การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวในรูปแบบคล้ายคลึงกันอีกครั้งในสัปดาห์ต่อมา จุดมุ่งหมายเพื่อระดมมวลชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพื่อกดดันให้รัฐบาลยอมจำนน
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังปักหลักคุมเชิงกันอยู่อย่างนี้
ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าแล้วประชา ชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเห็นสนับสนุนฝ่ายใดกันแน่
แต่ที่เสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันจากการสำรวจโพลของหลายสำนัก นั่นก็คือประชาชนเฉลี่ยร้อยละ 80
ต้องการให้รัฐบาลและคนเสื้อแดง
ยุติปัญหาด้วยการเจรจา
สําหรับการเจรจาจะเกิดขึ้นได้หรือไม่
อยู่ที่สองฝ่ายต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน
ว่าในการเจรจากันนั้นต้องไม่มีฝ่ายใดที่ได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด
จริงอยู่ที่ข้อเรียกร้องต้องการให้นายกฯ "ยุบสภา" เป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่โตไม่ธรรมดา
แต่เวลานี้โอกาสยังเปิดให้มีการต่อรองกันได้
การเจรจาเพื่อหาข้อยุติเบื้องต้นในเรื่องกรอบเวลาว่าจะยุบสภาเมื่อไหร่
น่าจะเป็นกุญแจดอกแรกที่จะปลดล็อกให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้
จากนั้นค่อยไปตกลงกันในรายละเอียด อย่างเช่นว่าก่อนยุบสภาจะต้องแก้ไขกฎกติกาเลือกตั้งหรือไม่
โดยเฉพาะประเด็นการ "แบ่งเขตเลือกตั้ง" ที่พรรคร่วมรัฐบาลต่างเรียกร้องมาตลอดว่าควรแก้ไขให้ได้ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่
แทนที่จะมัวยุ่งอยู่แต่กับการเตรียมกลยุทธ์ในการต่อสู้ เช่น กลุ่มเสื้อแดงก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการวางแผนระดมคนมาร่วมชุมนุม ฝ่ายรัฐบาลก็มุ่งอยู่แต่กับการวางมาตรการรับมือ
ทั้งสองฝ่ายควรเริ่มนับหนึ่งการเจรจากันได้แล้ว
เพราะถึงแม้ช่วงที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ ต่างฝ่ายต่างแสดงออกถึงความยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี
แต่หากสถานการณ์ยังจ่อคอหอยกันอยู่อย่างนี้
ความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงหรือความเข้าใจผิดจนนำไปสู่การปะทะสูญเสียก็จะยังมีอยู่
อย่าว่าแต่ข้อเสนอ 5 ข้อที่กลุ่มเสื้อแดงโยนออกมา
ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ถึงขนาดยอมรับไม่ได้
โดยเฉพาะเงื่อนไขการสลายสี เปิดพื้นที่ให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้โดยไม่มีการกีดกันขัดขวาง
นอกจากจะตรงกับเงื่อนไขของนายอภิสิทธิ์ ที่เคยตั้งไว้เองก่อนหน้านี้แล้ว
ยังเป็นบรรยากาศที่ประชาชนต้องการและอยากเห็นมากที่สุดอีกด้วย
ทีมา.ข่าวสดรายวัน
1.ยืนยันให้ยุบสภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน
2.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดตามที่มีการกล่าวอ้าง
3.ยินดีให้มีการเจรจา โดยผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ซึ่งฝ่ายรัฐบาลคือนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจในการยุบสภา
4.หากมีการยุบสภาแล้ว ให้ทุกฝ่ายสลายตัวและทุกฝ่ายจะทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้ทุกพื้นที่โดยไม่มีการกีดกัน
5.ให้การเลือกตั้งโดยสุจริตเป็นเครื่องตัดสิน ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไรให้ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับและสงบ เพราะเป็นการตัดสินใจของประชาชน
น่าจะเป็นข้อเสนอที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลควรรับไปพิจารณาอย่างจริงจัง
เนื่องจากท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 5 ปี จนนำมาสู่การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.เป็นต้นมา
ซึ่งทางแกนนำเสื้อแดงประกาศให้การ "ยุบสภา" คือเป้าหมายสูงสุดที่ต้องไปให้ถึงให้ได้
ไม่ว่าการชุมนุมจะดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนานเพียงใดก็ตาม
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเองก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่าไม่พร้อมตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าวของคนเสื้อแดง
การตรึงกำลังยื้อกันไปมาโดยไม่มีใครอ่อนข้อให้ใคร
ทำให้คนในสังคมจำนวนมากเป็นห่วงว่าอาจเกิดปัญหาความรุนแรง แทรก ซ้อนซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมืองให้ทรุดหนักลงไปอีก
อย่างเช่นเหตุระเบิดรายวันที่สร้างความตื่นกลัวให้กับประชาชน
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์โดยใคร หรือไม่ก็ตามแต่ทั้ง 2 ฝ่าย คือกลุ่มเสื้อแดงและรัฐบาล
ย่อมหลีกหนีความรับผิดชอบตรงนี้ไปไม่ได้
ถึงสถานการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
จะยังหาอะไรมาวัดไม่ได้ว่าระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับรัฐบาล ใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน
ถ้าถามรัฐบาลก็จะบอกว่าฝ่ายตนเองยังคงกุมความได้เปรียบ เพราะได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากพรรคร่วมรัฐบาล กองทัพ กลุ่มนักธุรกิจคนชั้นสูง
รวมถึงกลุ่มอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป
นอกจากนี้ ฝ่ายมันสมองของรัฐบาลยังได้พยายามทำอะไรหลายอย่าง
เพื่อให้เห็นว่าการทำงานของรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปได้เหมือนในเวลาปกติ ไม่ว่างานในหน้าที่ฝ่ายบริหารหรืองานในสภาก็ตาม
แม้ผลที่ออกมาจะไปด้วยกันไม่ได้กับภาพที่นายกฯอภิสิทธิ์ยังต้องซุ่มหลบอยู่แต่ในค่ายทหาร คอยฆ่าเวลาด้วยการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจภัยแล้ง
การประชุมครม.ก็ยังต้องเปลี่ยนไปใช้สถานที่อื่นที่ไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาล
และที่โดนวิพากษ์วิจารณ์เละเทะมากที่สุดคือการที่นายกฯ และส.ส.รัฐบาลต้องเข้าประชุมสภาท่าม กลางวงล้อมรั้วลวดหนาม บังเกอร์คอนกรีต และกองกำลังทหารหลายพันนาย
ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเองก็ได้แรงฮึกเหิม
จากความสำเร็จในการเคลื่อนขบวนไปรอบกรุงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม
เพราะเห็นได้ชัดจากการที่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ออกมายืนโบกไม้โบกมือต้อนรับ บางส่วนก็เข้าขบวนติดตามมาร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ
เป็นแรงผลักดันนำมาสู่การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวในรูปแบบคล้ายคลึงกันอีกครั้งในสัปดาห์ต่อมา จุดมุ่งหมายเพื่อระดมมวลชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพื่อกดดันให้รัฐบาลยอมจำนน
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังปักหลักคุมเชิงกันอยู่อย่างนี้
ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าแล้วประชา ชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเห็นสนับสนุนฝ่ายใดกันแน่
แต่ที่เสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันจากการสำรวจโพลของหลายสำนัก นั่นก็คือประชาชนเฉลี่ยร้อยละ 80
ต้องการให้รัฐบาลและคนเสื้อแดง
ยุติปัญหาด้วยการเจรจา
สําหรับการเจรจาจะเกิดขึ้นได้หรือไม่
อยู่ที่สองฝ่ายต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน
ว่าในการเจรจากันนั้นต้องไม่มีฝ่ายใดที่ได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด
จริงอยู่ที่ข้อเรียกร้องต้องการให้นายกฯ "ยุบสภา" เป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่โตไม่ธรรมดา
แต่เวลานี้โอกาสยังเปิดให้มีการต่อรองกันได้
การเจรจาเพื่อหาข้อยุติเบื้องต้นในเรื่องกรอบเวลาว่าจะยุบสภาเมื่อไหร่
น่าจะเป็นกุญแจดอกแรกที่จะปลดล็อกให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้
จากนั้นค่อยไปตกลงกันในรายละเอียด อย่างเช่นว่าก่อนยุบสภาจะต้องแก้ไขกฎกติกาเลือกตั้งหรือไม่
โดยเฉพาะประเด็นการ "แบ่งเขตเลือกตั้ง" ที่พรรคร่วมรัฐบาลต่างเรียกร้องมาตลอดว่าควรแก้ไขให้ได้ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่
แทนที่จะมัวยุ่งอยู่แต่กับการเตรียมกลยุทธ์ในการต่อสู้ เช่น กลุ่มเสื้อแดงก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการวางแผนระดมคนมาร่วมชุมนุม ฝ่ายรัฐบาลก็มุ่งอยู่แต่กับการวางมาตรการรับมือ
ทั้งสองฝ่ายควรเริ่มนับหนึ่งการเจรจากันได้แล้ว
เพราะถึงแม้ช่วงที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ ต่างฝ่ายต่างแสดงออกถึงความยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี
แต่หากสถานการณ์ยังจ่อคอหอยกันอยู่อย่างนี้
ความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงหรือความเข้าใจผิดจนนำไปสู่การปะทะสูญเสียก็จะยังมีอยู่
อย่าว่าแต่ข้อเสนอ 5 ข้อที่กลุ่มเสื้อแดงโยนออกมา
ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ถึงขนาดยอมรับไม่ได้
โดยเฉพาะเงื่อนไขการสลายสี เปิดพื้นที่ให้ทุกพรรคการเมืองหาเสียงได้โดยไม่มีการกีดกันขัดขวาง
นอกจากจะตรงกับเงื่อนไขของนายอภิสิทธิ์ ที่เคยตั้งไว้เองก่อนหน้านี้แล้ว
ยังเป็นบรรยากาศที่ประชาชนต้องการและอยากเห็นมากที่สุดอีกด้วย
ทีมา.ข่าวสดรายวัน
วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553
"สรรเสริญ"เตือนผู้ชุมนุมอย่าบุกเข้า ร.11
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนขบวนไปกดดันทหารให้ถอนออกจากทำเนียบรัฐบาลว่า ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดิน และเป็นสถานที่ราชการตามประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง จะไม่ถอนกำลังทหารออกจากทำเนียบเด็ดขาด เราต้องดูแลทำเนียบฯให้ได้ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านได้ปรับลดกำลังทหารตามสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง เราเฝ้าระวังตามจุดชุมชนที่มีการเคลื่อนขบวน เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์รุนแรงเราสามารถเข้าไปควบคุมดูแลประชาชนได้ทันที
ขณะนี้ดูสถานการณ์บานปลาย หากมีการบุกเข้าไปในทำเนียบฯ โฆษก ศอ.รส.กล่าวว่า สังคม ประชาชน และสื่อมวลชนจะเป็นผู้พิจารณาว่าสิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภากับให้ทหารออกจากพื้นที่ต่างกันอย่างไร ทหารและตำรวจต้องมาช่วยดูแลความสงบให้บ้านเมือง มาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัย เราไม่ได้ไปก้าวล่วงการชุมนุม ทหารไม่เคยเคลื่อนไปหาผู้ชุมนุม ถ้าพวกท่านบุกเข้ามาภายในทำเนียบรัฐบาล เรามีความชอบธรรมตามขั้นตอนรักษาความปลอดภัยทั้ง 7 ขั้นตอน ถ้าจำเป็นต้องทำ ที่ผ่านมาก็มีความพยายามกดดันในทุกจุด ทั้งทหาร ตำรวจ มีความพร้อมดูแลทำเนียบรัฐบาลให้ได้ และกำลังในทำเนียบรัฐบาลบมีเพียงพอที่จะดูแลทำเนียบฯ ไม่ต้องเติมจากที่อื่น ทั้งนี้รัฐบาลและ ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์มาก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ เราตั้งสมมุติฐานไว้หลายรูปแบบ
ส่วนที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนไปที่ราบ 11 ในวันพรุ่งนี้ โฆษก ศอ.รส. กล่าวว่าไม่มีปัญหาอะไร เราอยู่ในพื้นที่ตั้งของเรา ท่านก็อย่าเข้ามา เรามีความจำเป็นต้องดูแลพื้นที่ในราบ 11 เพราะมีศูนย์บัญชาการศอ.รส. และมีหน่วยงานย่อยๆ ทหารอยู่ในราบ 11 อาทิ คลังอาวุธ ถ้าท่านบุกเข้ามาทำให้วุ่นวาย เราก็จำเป็นต้องรักษาสถานการณ์และสถานที่ให้ได้
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
ขณะนี้ดูสถานการณ์บานปลาย หากมีการบุกเข้าไปในทำเนียบฯ โฆษก ศอ.รส.กล่าวว่า สังคม ประชาชน และสื่อมวลชนจะเป็นผู้พิจารณาว่าสิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภากับให้ทหารออกจากพื้นที่ต่างกันอย่างไร ทหารและตำรวจต้องมาช่วยดูแลความสงบให้บ้านเมือง มาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัย เราไม่ได้ไปก้าวล่วงการชุมนุม ทหารไม่เคยเคลื่อนไปหาผู้ชุมนุม ถ้าพวกท่านบุกเข้ามาภายในทำเนียบรัฐบาล เรามีความชอบธรรมตามขั้นตอนรักษาความปลอดภัยทั้ง 7 ขั้นตอน ถ้าจำเป็นต้องทำ ที่ผ่านมาก็มีความพยายามกดดันในทุกจุด ทั้งทหาร ตำรวจ มีความพร้อมดูแลทำเนียบรัฐบาลให้ได้ และกำลังในทำเนียบรัฐบาลบมีเพียงพอที่จะดูแลทำเนียบฯ ไม่ต้องเติมจากที่อื่น ทั้งนี้รัฐบาลและ ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์มาก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ เราตั้งสมมุติฐานไว้หลายรูปแบบ
ส่วนที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนไปที่ราบ 11 ในวันพรุ่งนี้ โฆษก ศอ.รส. กล่าวว่าไม่มีปัญหาอะไร เราอยู่ในพื้นที่ตั้งของเรา ท่านก็อย่าเข้ามา เรามีความจำเป็นต้องดูแลพื้นที่ในราบ 11 เพราะมีศูนย์บัญชาการศอ.รส. และมีหน่วยงานย่อยๆ ทหารอยู่ในราบ 11 อาทิ คลังอาวุธ ถ้าท่านบุกเข้ามาทำให้วุ่นวาย เราก็จำเป็นต้องรักษาสถานการณ์และสถานที่ให้ได้
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
ทีมทนาย"ทักษิณ"อ้าง 5 ประเด็นหลักฐานใหม่ ยื่นอุทธรณ์ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสู้ "ยึดทรัพย์4.6หมื่นล."
หมายเหตุ - เป็นใจความสำคัญคำยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) อดีตภริยา นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว เมื่อวันที่ 26 มีนาคม หลังศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาให้ทรัพย์สินจำนวน 46,373 ล้านบาทเศษ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว รวม 5 คน ตกเป็นของแผ่นดิน
คำอุทธรณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวทั้งหมด ยื่นต่อศาลฎีกาฯสรุปประเด็นได้ดังนี้ พยานหลักฐานใหม่ที่ใช้ในการยื่นอุทธรณ์ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 278 ประกอบด้วย
1.หนังสือของการไปรษณีย์และการสื่อสารของประเทศพม่า ยืนยันว่า นโยบายการปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซ์ซิมแบงก์ให้กับรัฐบาลพม่าจำนวน 4,000 ล้านบาท เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และการเอื้อประโยชน์ตามที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัย
2.หนังสือของบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ยืนยันว่า ตามสัญญาสัมปทานให้สิทธิกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ใช้สัญญาณความถี่ซีแบนด์ ทั้งหมดเพียงหนึ่งช่องทางจากดาวเทียมทุกดวง ไม่ใช่ดวงละหนึ่งช่องทางตามที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัย ดังนั้นแม้ดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่มีซีแบนด์ ก็ไม่กระทบกระเทือนสัญญาสัมปทาน จึงไม่ใช่ดาวเทียมสำรอง
3.กฎบัตรสหประชาชาติ ปฏิญญาสากล กติการะหว่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าการที่ศาลฎีกาฯ ยอมรับประกาศ คปค. (คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) มาใช้บังคับและให้มีผลเหนือกว่ารัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ ที่ออกโดยกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการผิดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
4.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยประเด็นการออก พ.ร.ก. (พระราชกำหนด) สรรพสามิต แสดงให้เห็นว่าศาลฎีกาฯ ต้องผูกพัน จะพิพากษาขัดแย้งไม่ได้
5.บทความและบทวิเคราะห์ทางวิชาการที่มีความเห็นแตกต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เช่น บทวิเคราะห์ของ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า มาตรการทั้ง 5 ข้อตามข้อกล่าวหาของอัยการสูงสุด รัฐไม่ได้เสียหาย
ซึ่งประเด็นข้างต้นดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) ประสงค์จะนำพยานหลายปากที่เกี่ยวข้องในประเด็นดังกล่าวเข้าไต่สวน แต่ศาลฎีกาฯไม่อนุญาต จึงถือว่าเป็นพยานที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาวินิจฉัยจากศาลฎีกามาก่อน จึงเข้าเงื่อนไขเป็นพยานหลักฐานใหม่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 278
ในอุทธรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ยังอ้างพยานหลักฐานใหม่อีกส่วนหนึ่งถึงกรณีศาลฎีกาวินิจฉัยไม่ครบถ้วน คือคำเบิกความของพยานที่มีจำนวนหลายสิบปาก เช่น คำเบิกความของนายทะเบียนหลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ ปลัดกระทรวงและอธิบดี คณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น โดยอ้างว่าศาลฎีกาฯไม่ได้หยิบยกคำเบิกความของพยานเหล่านั้น ซึ่งเบิกความสอดคล้องกันมาวินิจฉัย และไม่ได้วินิจฉัยให้เหตุผลว่า พยานเหล่านั้นไม่ควรเชื่อถือหรือเบิกความไม่ถูกต้องไม่เป็นความจริงอย่างไร
และอ้างถึงพยานเอกสารจำนวนมากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว นำเสนอต่อศาลในชั้นไต่สวนที่แสดงที่มาที่ไปในประเด็นต่างๆ และสามารถหักล้างข้อกล่าวหาของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) และอัยการได้ แต่ศาลฎีกาฯไม่ได้หยิบยกพยานหลักฐานเหล่านั้นขึ้นมาวินิจฉัยในคำพิพากษา
เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการตรา พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต และการมีมติคณะรัฐมนตรีให้นำภาษีสรรพสามิต มาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้เป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องผูกพันศาลฎีกาฯ แต่ปรากฏว่าในคำพิพากษา กลับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างอื่นที่ขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ยังมีใบหุ้น ทะเบียนหุ้น เอกสารแสดงการชำระหนี้ผ่านธนาคาร บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเอกสารการจ่ายเงินปันผล ซึ่งเอกสารต่างๆ ยืนยันการเป็นเจ้าของในกรรมสิทธิ์หุ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่กฎหมายมีบทบัญญัติให้สันนิษฐานว่าผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามที่ได้ระบุในเอกสาร จึงแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โอนขายหุ้นทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่ปี 2543 ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ศาลฎีกาฯกลับไม่ได้วินิจฉัยให้ครบถ้วน เพียงแต่นำเอาเอกสารเรื่องการแจ้งการได้มาและจำหน่ายหลักทรัพย์มาวินิจฉัยว่าไม่ใช่เอกสารแสดงการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้น แต่กลับนำพฤติการณ์อื่นมาวินิจฉัยประกอบการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้น
ขณะที่ คำพิพากษายังมีบางประเด็นที่คลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินค่าหุ้นที่นายบรรณพจน์ (ดามาพงศ์) ออกให้คุณหญิงพจมาน หายไปหนึ่ง แล้วนายบรรณพจน์ออกให้แต่มีการแก้ไขคำนำหน้าจาก นาง เป็น คุณหญิง ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ซึ่งศาลฎีกาฯวินิจฉัยเพียงว่าเป็นพิรุธ เพราะตั๋วสัญญาฉบับอื่นไม่ได้หายไปด้วย แต่ก็ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าตั๋วสัญญาที่เป็นพิรุธนั้นมีการชำระหนี้ครบถ้วนผ่านสถาบันการเงินจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะถูกตั้งข้อกล่าวหา
และยังได้มีการแสดงตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ในรายการบัญชีทรัพย์สินและได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปี 2544 แล้ว จึงเป็นการทำตั๋วย้อนหลังไม่ได้ การดูเพียงเรื่องคำนำหน้าโดยไม่ดูเรื่องสาระสำคัญอื่นจึงเท่ากับศาลฎีกาฯยังไม่ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานที่เป็นสาระสำคัญในคดี อีกทั้งการชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาเป็นสิ่งที่กฎหมายรับรองให้ปฏิบัติได้ แต่เหตุใดจึงกลายเป็นความไม่ถูกต้อง ซึ่งคำพิพากษาไม่ได้ให้เหตุผลไว้
เช่นเดียวกับประเด็นการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปฯ ให้กับบุตรและคนในครอบครัว ต่ำกว่าราคาตลาด คือขายในราคาหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นพาร์หรือราคาทุน กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าไม่มีการซื้อขายหุ้นกันจริง ทั้งที่การยกทรัพย์สินให้กับบุตร สามารถทำได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทน แต่ศาลฎีกาฯกลับเห็นว่าเป็นการโอนหุ้นให้กับบุตรชาย บุตรสาวและคนในครอบครัวถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ
ส่วนประเด็นราคาหุ้น บ.ชินคอร์ป ในตลาดหลักทรัพย์ขึ้นลงตามปกติสอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์มาโดยตลอด โดยก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นชินคอร์ป มีมูลค่ารวม 30,000 ล้านบาทเศษ ดัชนีอยู่ที่ 327.51 จุด ในขณะช่วงเวลาที่ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กประเทศสิงคโปร์ มีราคาอยู่ 70,000 ล้านบาท ดัชนีอยู่ที่ 750.28 จุด ซึ่งในคำพิพากษาก็ไม่ได้มีคำวินิจฉัยการขึ้นลงของราคาหุ้นดังกล่าว
ส่วนเรื่องปล่อยเงินกู้ประเทศพม่า ยังมีอีกประเด็นที่ ศาลฎีกาฯไม่ได้วินิจฉัยว่า การนำเงิน 300 ล้านบาทเศษ มาซื้อสินค้า บ.ไทยคม ครั้งเดียว ทำให้ร่ำรวยผิดปกติมาโดยไม่สมควรอย่างไร และการอนุมัติเงินกู้ 4,000 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้นำเงินมาซื้อสินค้า บ.ไทยคม ทั้งหมด แต่การพิจารณาอนุมัติปล่อยกู้ มาจากเหตุผลอื่น
การยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯดังกล่าวจึงขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์ของทั้งหมดไว้พิจารณา และให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งหรือพิพากษาให้ยกคำร้องของอัยการสูงสุดผู้ร้องในคดีนี้ และมีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่พิพากษาให้เงินจากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.70 บาท รวมทั้งมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวทั้งหมดทุกบัญชี
ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************
คำอุทธรณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวทั้งหมด ยื่นต่อศาลฎีกาฯสรุปประเด็นได้ดังนี้ พยานหลักฐานใหม่ที่ใช้ในการยื่นอุทธรณ์ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 278 ประกอบด้วย
1.หนังสือของการไปรษณีย์และการสื่อสารของประเทศพม่า ยืนยันว่า นโยบายการปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซ์ซิมแบงก์ให้กับรัฐบาลพม่าจำนวน 4,000 ล้านบาท เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และการเอื้อประโยชน์ตามที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัย
2.หนังสือของบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ยืนยันว่า ตามสัญญาสัมปทานให้สิทธิกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ใช้สัญญาณความถี่ซีแบนด์ ทั้งหมดเพียงหนึ่งช่องทางจากดาวเทียมทุกดวง ไม่ใช่ดวงละหนึ่งช่องทางตามที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัย ดังนั้นแม้ดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่มีซีแบนด์ ก็ไม่กระทบกระเทือนสัญญาสัมปทาน จึงไม่ใช่ดาวเทียมสำรอง
3.กฎบัตรสหประชาชาติ ปฏิญญาสากล กติการะหว่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าการที่ศาลฎีกาฯ ยอมรับประกาศ คปค. (คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) มาใช้บังคับและให้มีผลเหนือกว่ารัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ ที่ออกโดยกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นการผิดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
4.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยประเด็นการออก พ.ร.ก. (พระราชกำหนด) สรรพสามิต แสดงให้เห็นว่าศาลฎีกาฯ ต้องผูกพัน จะพิพากษาขัดแย้งไม่ได้
5.บทความและบทวิเคราะห์ทางวิชาการที่มีความเห็นแตกต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เช่น บทวิเคราะห์ของ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า มาตรการทั้ง 5 ข้อตามข้อกล่าวหาของอัยการสูงสุด รัฐไม่ได้เสียหาย
ซึ่งประเด็นข้างต้นดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) ประสงค์จะนำพยานหลายปากที่เกี่ยวข้องในประเด็นดังกล่าวเข้าไต่สวน แต่ศาลฎีกาฯไม่อนุญาต จึงถือว่าเป็นพยานที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาวินิจฉัยจากศาลฎีกามาก่อน จึงเข้าเงื่อนไขเป็นพยานหลักฐานใหม่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 278
ในอุทธรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ยังอ้างพยานหลักฐานใหม่อีกส่วนหนึ่งถึงกรณีศาลฎีกาวินิจฉัยไม่ครบถ้วน คือคำเบิกความของพยานที่มีจำนวนหลายสิบปาก เช่น คำเบิกความของนายทะเบียนหลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ ปลัดกระทรวงและอธิบดี คณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น โดยอ้างว่าศาลฎีกาฯไม่ได้หยิบยกคำเบิกความของพยานเหล่านั้น ซึ่งเบิกความสอดคล้องกันมาวินิจฉัย และไม่ได้วินิจฉัยให้เหตุผลว่า พยานเหล่านั้นไม่ควรเชื่อถือหรือเบิกความไม่ถูกต้องไม่เป็นความจริงอย่างไร
และอ้างถึงพยานเอกสารจำนวนมากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว นำเสนอต่อศาลในชั้นไต่สวนที่แสดงที่มาที่ไปในประเด็นต่างๆ และสามารถหักล้างข้อกล่าวหาของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) และอัยการได้ แต่ศาลฎีกาฯไม่ได้หยิบยกพยานหลักฐานเหล่านั้นขึ้นมาวินิจฉัยในคำพิพากษา
เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการตรา พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต และการมีมติคณะรัฐมนตรีให้นำภาษีสรรพสามิต มาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้เป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องผูกพันศาลฎีกาฯ แต่ปรากฏว่าในคำพิพากษา กลับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างอื่นที่ขัดแย้งกับศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ยังมีใบหุ้น ทะเบียนหุ้น เอกสารแสดงการชำระหนี้ผ่านธนาคาร บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเอกสารการจ่ายเงินปันผล ซึ่งเอกสารต่างๆ ยืนยันการเป็นเจ้าของในกรรมสิทธิ์หุ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่กฎหมายมีบทบัญญัติให้สันนิษฐานว่าผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามที่ได้ระบุในเอกสาร จึงแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โอนขายหุ้นทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่ปี 2543 ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ศาลฎีกาฯกลับไม่ได้วินิจฉัยให้ครบถ้วน เพียงแต่นำเอาเอกสารเรื่องการแจ้งการได้มาและจำหน่ายหลักทรัพย์มาวินิจฉัยว่าไม่ใช่เอกสารแสดงการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้น แต่กลับนำพฤติการณ์อื่นมาวินิจฉัยประกอบการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้น
ขณะที่ คำพิพากษายังมีบางประเด็นที่คลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินค่าหุ้นที่นายบรรณพจน์ (ดามาพงศ์) ออกให้คุณหญิงพจมาน หายไปหนึ่ง แล้วนายบรรณพจน์ออกให้แต่มีการแก้ไขคำนำหน้าจาก นาง เป็น คุณหญิง ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ซึ่งศาลฎีกาฯวินิจฉัยเพียงว่าเป็นพิรุธ เพราะตั๋วสัญญาฉบับอื่นไม่ได้หายไปด้วย แต่ก็ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าตั๋วสัญญาที่เป็นพิรุธนั้นมีการชำระหนี้ครบถ้วนผ่านสถาบันการเงินจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะถูกตั้งข้อกล่าวหา
และยังได้มีการแสดงตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ในรายการบัญชีทรัพย์สินและได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปี 2544 แล้ว จึงเป็นการทำตั๋วย้อนหลังไม่ได้ การดูเพียงเรื่องคำนำหน้าโดยไม่ดูเรื่องสาระสำคัญอื่นจึงเท่ากับศาลฎีกาฯยังไม่ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานที่เป็นสาระสำคัญในคดี อีกทั้งการชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาเป็นสิ่งที่กฎหมายรับรองให้ปฏิบัติได้ แต่เหตุใดจึงกลายเป็นความไม่ถูกต้อง ซึ่งคำพิพากษาไม่ได้ให้เหตุผลไว้
เช่นเดียวกับประเด็นการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปฯ ให้กับบุตรและคนในครอบครัว ต่ำกว่าราคาตลาด คือขายในราคาหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นพาร์หรือราคาทุน กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าไม่มีการซื้อขายหุ้นกันจริง ทั้งที่การยกทรัพย์สินให้กับบุตร สามารถทำได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทน แต่ศาลฎีกาฯกลับเห็นว่าเป็นการโอนหุ้นให้กับบุตรชาย บุตรสาวและคนในครอบครัวถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ
ส่วนประเด็นราคาหุ้น บ.ชินคอร์ป ในตลาดหลักทรัพย์ขึ้นลงตามปกติสอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์มาโดยตลอด โดยก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นชินคอร์ป มีมูลค่ารวม 30,000 ล้านบาทเศษ ดัชนีอยู่ที่ 327.51 จุด ในขณะช่วงเวลาที่ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กประเทศสิงคโปร์ มีราคาอยู่ 70,000 ล้านบาท ดัชนีอยู่ที่ 750.28 จุด ซึ่งในคำพิพากษาก็ไม่ได้มีคำวินิจฉัยการขึ้นลงของราคาหุ้นดังกล่าว
ส่วนเรื่องปล่อยเงินกู้ประเทศพม่า ยังมีอีกประเด็นที่ ศาลฎีกาฯไม่ได้วินิจฉัยว่า การนำเงิน 300 ล้านบาทเศษ มาซื้อสินค้า บ.ไทยคม ครั้งเดียว ทำให้ร่ำรวยผิดปกติมาโดยไม่สมควรอย่างไร และการอนุมัติเงินกู้ 4,000 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้นำเงินมาซื้อสินค้า บ.ไทยคม ทั้งหมด แต่การพิจารณาอนุมัติปล่อยกู้ มาจากเหตุผลอื่น
การยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯดังกล่าวจึงขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์ของทั้งหมดไว้พิจารณา และให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งหรือพิพากษาให้ยกคำร้องของอัยการสูงสุดผู้ร้องในคดีนี้ และมีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่พิพากษาให้เงินจากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเงินปันผล จำนวน 46,373,687,454.70 บาท รวมทั้งมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวทั้งหมดทุกบัญชี
ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)