--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไม่ไหวจะเคลียร์

เท่าที่สำรวจดูจากสำนักข่าวต่างประเทศ ปักหลักยืนหยัดการนำเสนอข่าว วิกฤติการเมืองชนชั้น ในบ้านเรามีอยู่ประมาณ 12-13 สำนักด้วยกัน บางสำนักก็มีบทวิเคราะห์ที่ดุเด็ดเผ็ดมัน บางบทความอ่านแล้วก็ขนลุก สรุปแล้วภาพพจน์ประชาธิปไตยในประเทศไทยเวลานี้ย่ำแย่เต็มที

วันก่อนมีอาร์พีจียิงเข้าไปกระทรวงกลาโหม วันวานมีระเบิดในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ประชุม ครม.พเนจร สมมติการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปอย่างนี้ คงได้เห็น ครม.สัญจรในต่างจังหวัด หรือ ครม.สัญจรตามกระทรวงต่างๆ ท้ายที่สุดต้องประชุม ครม.กันในค่ายทหาร เนื่องจากต้องหนีระเบิดและการชุมนุมขับไล่ของคนเสื้อแดง

สภาพรัฐบาลถูลู่ถูกังไม่สง่างาม

สัญลักษณ์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ก็จะถูกทำลายไปด้วย ทำเนียบรัฐบาลมีทั้งทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยเต็มอัตราศึก

วันดีคืนดี รัฐสภา ถูกทหารเข้ามายึดตั้งแต่ตี่สามตีสี่ ขึงลวดหนามเอากำลังทหารเป็นพันนาย เข้ามาอยู่ในรัฐสภาเต็มไปหมด ข้าราชการจะเข้ามาทำงานก็ไม่ได้ ส.ส.-ส.ว.จะเข้ามาทำหน้าที่ก็ไม่ได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่า การที่ทหารเข้าไปยึดสภา ประธานรัฐสภา ชัย ชิดชอบ จะรู้เนื้อรู้ตัวหรือไม่ว่าถูกยึดอำนาจไปแล้ว

จุดนี้สำคัญมาก อำนาจ 3 ฝ่ายตามระบอบประชาธิปไตยถูกแทรกแซงคำว่าปฏิวัติรัฐประหารไม่จำกัดรูปแบบ จึงมีการวิจารณ์กันว่า ขณะนี้เกิดการปฏิวัติเงียบให้กับรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ และรัฐบาลชุดนี้กำลังอาศัยกองทัพเป็นไม้ค้ำยันในการที่จะบริหารประเทศต่อไปบนความขัดแย้งของสังคมใช่หรือไม่

ภาพที่สู่สายตาชาวโลกไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลทหาร

มีคำวิพากษ์วิจารณ์ว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงจะฝ่อ จะต้องล้มเลิกไปแล้วก็จะกลับมาชุมนุมกันใหม่ไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่มีทางชนะ และรัฐบาลก็จะใช้ตัวช่วย ต่ออายุไปอย่างนี้จนกว่าจะครบวาระ ท่ามกลางวิกฤติการเมือง เมื่อมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาล ก็จะเข้าสู่ขบวนการต่อสู้ชิงอำนาจทางการเมืองด้วยวิธีเดิมๆอย่างนี้

เป็นวิกฤติการเมืองตลอดกาล

แต่ถ้าดูให้ลึกลงไปกว่านั้น วิกฤติการเมืองประเทศไทยกำลังเป็นวิกฤติการเมืองชั้นสูง ที่มีการต่อสู้กันในระดับชนชั้น เป็นการต่อสู้ระหว่างสองอำนาจที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ระหว่างอำนาจประชาธิปไตยอ่อนแอกับเผด็จการซ่อนรูป

เป็นสุญญากาศประชาธิปไตยที่แท้จริง

มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี มีสภาก็เหมือนไม่มี มีองค์กรก็ไม่มีความศรัทธา การเปิดตัวเปิดหน้าทุ่มเทเข้าทำสงครามการเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจวันนี้เลยกว่าข้อเรียกร้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว แต่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชนที่เรียกตัวเองว่าไพร่ นี่แหละที่จะบอกว่าเป็นอันตรายถึงกับสิ้นชาติ.

ที่มา.ไทยรัฐ
โดย.หมัดเหล็ก
************************************************

เรือเหาะ ‘ปีกหัก’

แม้จะยังไม่มีคำตอบจากกองทัพบกเรื่องราคาการจัดซื้อเรือเหาะตรวจการณ์ "สกาย ดรากอน" เพื่อใช้ในภารกิจเฝ้าตรวจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าใช้งบประมาณสูงเกินไปหรือไม่? เพราะจัดซื้อมาด้วยราคาถึง 350 ล้านบาท เฉพาะตัวบอลลูน 230-260 ล้านบาท ทั้งๆ ที่บริษัทเอกชนรายอื่นจัดซื้อบอลลูนขนาดใกล้เคียงกันในราคาเพียง 30-35 ล้านบาทขณะที่ในการตอบกระทู้ถามของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใน

สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มี.ค.2553 ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนในเรื่องราคานั้นเรือเหาะ "สกาย ดรากอน" ยังถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการใช้งานจริงว่าตรงตามสเปคในสัญญาที่กองทัพบกทำไว้กับบริษัท เอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน (Arial International Cooperation) หรือไม่จากข้อมูลจำเพาะของเรือเหาะลำนี้ ซึ่งเป็นรุ่น Aeros 40D S/N 21 (SKY DRAGON) ระบุว่า...ระยะความสูงที่เรือเหาะสามารถปฏิบัติงานได้อยู่ที่ 0 -10,000 ฟุต

หรือ 0-3,084 เมตร ระยะความสูงปฏิบัติการอยู่ที่ 3,000-5,000 ฟุต หรือ 900-1,500 เมตร ความเร็วสูงสุด 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วเดินทาง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างไรก็ดี จากการทดสอบเรือเหาะโดยคณะกรรมการตรวจรับของกองทัพบก ที่โรงจอดเรือเหาะ ภายในกองพลทหารราบที่ 15 อ.หนองจิก ปัตตานี เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา กลับพบปัญหาเรือเหาะไม่สามารถบินสูงได้ในระดับที่กำหนดเจ้าหน้าที่รายหนึ่งในชุดปฏิบัติการเฝ้าตรวจทางอากาศ ซึ่ง

ผ่านการฝึกใช้งานเรือเหาะตรวจการณ์จากบริษัทผู้จำหน่ายที่ทำสัญญากับกองทัพบก เปิดเผยว่า ประสิทธิภาพของเรือเหาะเท่าที่ได้มีการทดสอบมาหลายครั้งยังบินได้สูงอยู่แค่ระดับ 1,000 เมตร ยังไม่เคยทดสอบบินสูงถึง 3,000 เมตรตามสเปคที่กำหนดมา “จุดนี้คือปัญหาที่ทำให้คณะกรรมการตรวจรับไม่สามารถรับมอบเรือเหาะตรวจการณ์ได้ นอกเหนือจากปัญหาการเชื่อมสัญญาณระหว่างกล้องตรวจการณ์ที่ติดตั้งบนเรือเหาะกับสถานีภาคพื้น รวมทั้งที่กองบัญชาการกอง

ทัพบกด้วย”แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเฝ้าระวังทางอากาศ และอากาศยานที่ขับเคลื่อนโดยของเหลว ให้ข้อมูลว่า...ความเป็นไปได้ที่เรือเหาะตรวจการณ์ของกองทัพบกจะบินได้สูงถึง 3,000 เมตรนั้น มีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะเรือเหาะที่ผลิตในสหรัฐอเมริกามีบางรุ่นที่ลอยตัวได้สูงถึง 3,000 เมตร แต่จะเป็นบอลลูนแบบโยงยึด ไม่ใช่เรือเหาะที่ติดเครื่องยนต์ขับเคลื่อนทางอากาศได้"จริงๆ แล้วระบบเฝ้าระวังทางอากาศที่น่าจะเหมาะกับภารกิจและ

สภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือบอลลูนแบบโยงยึดมากกว่าเรือเหาะแบบเคลื่อนที่ได้ เพราะบอลลูนแบบโยงยึดนั้นลอยตัวได้สูงถึง 3,000 เมตร ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้เป้าหมายไม่รู้ว่าถูกจับจ้องอยู่หรือไม่ และบนบอลลูนก็สามารถติดกล้องตรวจการณ์ที่ส่องเห็นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน บางรุ่นส่องไกลได้ถึง 300 กิโลเมตร ซึ่งก็น่าจะครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ"แหล่งข่าวยังให้ข้อมูลอีกว่า บอลลูนลักษณะนี้ปล่อยขึ้นไปครั้งหนึ่งจะลอยตัวอยู่ได้นานเป็น

เดือนๆ ผิดกับเรือเหาะแบบมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อน ซึ่งต้องใช้เชื้อเพลิง...สามารถปฏิบัติการต่อเนื่องได้เพียง 6 ชั่วโมงก็ต้องเติมเชื้อเพลิงแล้วที่สำคัญเรือเหาะรุ่นที่กองทัพบกจัดซื้อยังเป็นรุ่นที่ต้องใช้นักบิน ไม่ใช่อากาศยานไร้คนขับ เมื่อมีนักบินการจะบินปฏิบัติการต่อเนื่องได้คราวละนานๆ จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะนักบินก็ต้องพักและทำภารกิจส่วนตัว


ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักปรัชญาชายขอบ:ความเหลื่อมล้ำ

ความขัดแย้งทางการเมืองกว่า 4 ปีมานี้ ทำให้สังคมได้เรียนรู้และมองเห็นปมปัญหาที่แท้จริงว่าไม่ได้อยู่ที่คุณทักษิณเพียงคนเดียว หรือไม่ได้อยู่ที่ความไม่เท่ากันของระดับสติปัญญาและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารดังที่บางฝ่ายพยายามกล่าวอ้าง แต่ปมปัญหาที่แท้จริงคือ “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคม

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็กล่าวผ่านสื่อมวลชนว่า “ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว เราไม่ควรนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขสร้างความเกลียดชังกันขึ้นในสังคม สมัยรัฐบาลทักษิณ หนี้ต่อครัวเรือนของชาวบ้านก็เพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว แต่คุณทักษิณรวยขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว ซึ่งก็เป็นความเหลื่อมล้ำอีกแบบหนึ่ง”

ในขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงพยายามอธิบายความเหลื่อมล้ำผ่านระบบชนชั้น “อำมาตย์-ไพร่” ซึ่งพอจับความได้ว่า “ระบบอำมาตย์” คือ “โครงสร้างวัฒนธรรมอำนาจที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในสังคมมีอำนาจโดยไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง แต่สามารถใช้อำนาจนั้นแทรกแซงการเมืองและระบบราชการได้อย่างอยู่เหนือการตรวจสอบของประชาชน และโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจนั้นทั้งในทางการเมืองและทางกฎหมาย”

มีการเรียกอำนาจของอำมาตย์ว่าเป็น “อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ” แต่ในความหมายตามจารีตคือ “อำนาจบารมี” ซึ่งเป็นอำนาจในโครงสร้างวัฒนธรรมอำนาจตามจารีตประเพณีที่ยอมรับการมีอยู่ของ “อำนาจพิเศษ” บางอย่างโดยที่สังคมเชื่อกันว่าอำนาจเช่นนั้นคือตัวแทนของความดีงาม หรือเป็นอำนาจของความดีงาม

แม้จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยมาเกือบ 80 ปี แล้ว การ “ถวิลหา” อำนาจของความดีงามดังกล่าวก็ยังคงอยู่ เช่น การถวิลหาที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในช่วงแรกๆของการเสนอ“การเมืองใหม่” ที่ว่า “หากรัฐบาลคอร์รัปชันหรือไม่จงรักภักดี ให้ทหารทำรัฐประหารได้ หรือให้พระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นจอมทัพไทยสามารถเลือก ผบ.เหล่าทัพได้ตามพระราชอัธยาศัย โดยไม่ต้องผ่านการเสนอของนายกรัฐมนตรี”

ระบบอำมาตย์ยึดโยงอยู่กับอำนาจพิเศษดังกล่าวนั้น ซึ่งข้อเท็จจริงนี้มีการมองกันสองทางคือ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าระบบเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในการสร้างชาติบ้านเมือง และปัจจุบันก็ยังมีคุณค่าในแง่ของการถ่วงดุลอำนาจฉ้อฉลของนักการเมืองได้ (อย่างเช่นที่ช่วยขจัดรัฐบาลคอร์รัปชัน เป็นต้น) แต่อีกฝ่ายมองว่าอำนาจดังกล่าวคือต้นตอของปัญหาความเป็นประชาธิปไตยและความเหลื่อมล้ำในสังคม

เนื่องจาก (1) อำนาจของอำมาตย์ไม่ได้ยึดโยงอยู่กับอำนาจของประชาชน เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (2) บทบาทของอำนาจนั้นที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองและระบบราชการ ทำให้การเลือกตั้งของประชาชนลดความสำคัญลง เพราะรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาถูกชี้นำ/กำกับโดยอำนาจนั้นอีกชั้นหนึ่งซึ่งอาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน และหรือกระทั่งทำให้การเลือกตั้งไม่มีความหมายไปเลย เพราะอำนาจนั้นทำการรัฐประหารล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา

ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวนี้ คือต้นตอของปัญหาความไม่เสมอภาคของ “1 คน = 1 เสียง” ทำให้คนส่วนน้อยมี “อภิสิทธิ์” ในการจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ในทางสังคมการเมืองเหนือคนส่วนใหญ่ เป็นสาเหตุนำมาซึ่งการออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเป็น “สองมาตรฐาน” นั่นคือ มีการออกกฎหมายที่ขัดหลักความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์และละเมิดเสรีภาพในการพูดหรืออื่นๆ และมีการบังคับใช้กฎหมายกับคนแต่ละชนชั้นหรือแต่ละฝ่ายอย่างไม่เท่าเทียม

ฉะนั้น “อำมาตย์” จึงถูกมองว่าเป็นชนชั้น “อภิสิทธิชน” ส่วน “ไพร่” ก็คือชนชั้นที่ถูกอภิสิทธิชนเอาเปรียบ หรือถูกมองว่าโง่ จน เจ็บ เป็นเครื่องมือของนักการเมืองฉ้อฉล ไม่ใช่เสรีชนที่เข้าใจ “ประชาธิปไตย” และไม่สามารถใช้สิทธิอำนาจในการปกครองตนเองได้ด้วยวิจารณญาณที่เป็นอิสระ “ไพร่” จึงยังไม่ควรจะมีอำนาจในการปกครองตนเองอย่างเต็มที่ ควรรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางด้วยเหตุผลเรื่องเอกภาพและความมั่นคงแห่งรัฐ

อย่างไรก็ตาม ภาพความเหลื่อมล้ำผ่านวาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” เป็นเพียงภาพสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำในมิติหนึ่งเท่านั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังมีมิติอื่นๆ อีกมาก เช่น ตัวอย่างที่เห็นกันได้ง่ายๆในเรื่องความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางการศึกษาคือ ชาวนา แม่ค้าขายส้มตำ คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือคนหาเช้ากินค่ำโดยทั่วไป ไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจต่อรองใดๆในการฝากลูกเข้าเรียนในสถานศึกษาต่างๆ ขณะที่ “เด็กฝาก” เข้าเรียนจากข้าราชการ นายพล อาจมีจำนวนน้อยกว่า “เด็กฝาก” จากนักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น และนักการเมืองระดับชาติซึ่งมักจะมีรายชื่อ “เด็กฝาก” เป็นบัญชีหางว่าว

เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ ยาม คนทำความสะอาด คุณทักษิณ บรรดานายพลหลังเกษียณที่เข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทย นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการในพรรคเพื่อไทย และที่อยู่ในมวลชนเสื้อแดงหรือที่สนับสนุนมวลชนเสื้อแดงก็มีรูปแบบการใช้ชีวิต ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม ที่ไม่อาจจัดเข้าในกลุ่มของ “ไพร่” ที่ถูกเอาเปรียบเหมือนชาวบ้านส่วนใหญ่จากภาคอีสานและภาคเหนือที่มาร่วมชุมนุม

กล่าวโดยรวมๆแล้ว สังคมมีความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ แต่ถึงแม้ความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้จะทำให้เรามองเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น แต่ประเด็นถกเถียงหรือเงื่อนไขเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งก็ยังติดอยู่ที่ตัวบุคคลหรือฝักฝ่าย
เช่น ยังชูประเด็นพลเอกเปรม-ทักษิณ-อภิสิทธิ์ หรือรัฐบาล-คนเสื้อแดง อำมาตย์-ไพร่ หรือ เสื้อเหลือง-เสื้อแดง จึงทำให้การเจรจาประนีประนอมเพื่อหาทางลงให้ตัวบุคคลหรือฝักฝ่ายสำคัญกว่าการหยิบยกประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมมาสู่การพิจารณาหาทางแก้ไขร่วมกัน

ฉะนั้น การยื้อความขัดแย้งจึงกลายเป็นเรื่องของ “เกมแพ้-ชนะ” ทางการเมือง ไม่ยุบสภาก็ไม่เห็นทางออกจากปัญหาความขัดแย้ง ยุบสภาก็อาจมองเห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจ แต่ยังมองไม่เห็นแนวทางแก้ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

ถ้าเรายืนยันกันว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่มีพัฒนาการมาถึงจุดที่ประชาชนตระหนักในปัญหาความเหลื่อมล้ำซึ่งก้าวพ้นปัญหาของตัวบุคคล หรือความเป็นฝักฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญแล้ว สิ่งที่ควรตั้งคำถามในการเจรจาระหว่างคนเสื้อแดงกับรัฐบาลคือ การยุบหรือไม่ยุบสภาจะเป็นเงื่อนไขของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไร
แต่ละฝ่ายควรควรยกประเด็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอันเป็นรากฐานของความขัดแย้ง แสดงให้ประชาชนเห็นว่ามีแนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไรบ้าง เพื่อขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า
หรือการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ควรเป็นประเด็นหลักที่พรรคการเมือง มวลชน และประชาชนภาคส่วนต่างๆ จะรณรงค์ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า หรือรณรงค์ในการออกแบบรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปการเมืองในอนาคต

ที่มา . ประชาไท
**************************************************

"รองอัยการสูงสุด" ไม่หวั่นไหว หลังโดนยิง "เอ็ม 67" เข้าสำนักงาน เชื่อหวังสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมือง

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีพบวัตถุระเบิด M 67 ที่บริเวณลานจอดรถริมรั้วสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก ว่า ตนไม่ได้เดินทางเข้าสำนักงาน เนื่องจากติดภารกิจไปราชการ จ.สุราษฎร์ธานี กับนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด อย่างไรก็ดีเชื่อว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์มากกว่า ไม่ได้หวังผลให้มีผู้บาดเจ็บ โดยจากนี้สำนักงานอัยการสูงสุดอาจจะต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตรวจตราคุมเข้มมากขึ้นเพื่อเป็นการป้องกัน แต่ที่ผ่านมาการรักษาความปลอดภัยก็คุมเข้มอยู่แล้ว จึงไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไร


เมื่อถามว่า คิดหรือไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของอัยการ ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เป็นที่ทำงานของพนักงานอัยการคดีสำคัญ เช่น คดีพิเศษ คดีเศรษฐกิจและทรัพยากร คดีอาญา และสำนักงานอัยการต่างประเทศ ซึ่งคณะทำงานอัยการคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็รวมอยู่ด้วย นายวัยวุฒิ รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่การสร้างสถานการณ์อาจมีเป้าหมายที่จะมุ่งสถานที่ราชการเท่านั้น ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุด ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ราชการ


"สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้บั่นทอนกำลังใจของพนักงานอัยการ และข้าราชการ อัยการก็ยังจะทำหน้าที่ของเราต่อไป คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์เท่านั้น" รองอัยการสูงสุดกล่าวย้ำ



ด้าน พ.ต.อ.สุพจน์ พรหมศิริ ผกก.สน.พหลโยธิน เปิดเผยว่า เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.) ถ.รัชดาฯ พบวัตถุระเบิดตกอยู่ภายในลานจอดรถ และจากการเข้าตรวจสอบพบลูกระเบิดชนิด เอ็ม 67 ถูกบรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกอยู่กลางลานจอดรถ ซึ่งรั้วอยู่ใกล้กับสะพานลอยข้ามถนนรัชดาภิเษกเบื้องต้นเชื่อว่า คนร้ายน่าจะนำมาโยนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ระเบิดไม่ทำงาน


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่วิทยาการได้เก็บกู้ไว้ได้แล้ว และได้นำของกลางไปตรวจสอบหาร่องรอยนิ้วมือ เพื่อหาตัวของผู้ที่ก่อเหตุต่อไป



ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก ว่า เมื่อเวลา 08.30 น. ระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) เดินตรวจดูแลความเรียบร้อยภายในบริเวณสำนักงานพบระเบิดชนิด M 67 จำนวน 1 ลูก วางอยู่สนามหญ้า ซึ่งใกล้ลานจอดรถ ภายในรั้วสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ตรงข้ามสำนักงานนักเรียนนายเรือ รุ่น 77 เจ้าหน้าที่ รปภ. จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน ซึ่งเดินทางมาตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ที่นำยางรถยนต์จำนวน 2 เส้นมาวางครอบไว้ โดยสภาพระเบิดที่พบ มีลักษณะเป็นระเบิดลูกเกลี้ยง สภาพสลักและกระเดื่องยังอยู่ครบ และหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด ได้เก็บกู้วัตถุระเบิดดังกล่าวไปตรวจสอบแล้ว ฝ่ายสืบสวน สน.พหลโยธิน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 2 กองปราบปราม ประมาณ 10 นาย รุดมาตรวจสอบเก็บพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุเพื่อสืบสวนสอบสวนคดีต่อไป


ภายหลังทราบเหตุ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองเลขานุการอัยการสูงสุด และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เดินทางไปดูที่เกิดเหตุ กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นคนร้ายคงต้องการสร้างสถานการณ์เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอัยการแต่อย่างใด โดยตนได้รายงานให้นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ทราบเรื่องแล้ว ขณะที่ตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ รปภ.ให้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยมากขึ้นด้วย


ด้านนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการคดีอาญา ซึ่งรับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยของสำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นน่าเชื่อว่าผู้ที่นำระเบิดมาทิ้งไว้ อาจเกรงว่าจะถูกตำรวจ สน.พหลโยธินที่ตั้งด่านบริเวณ แยกรัชโยธินจับกุมจึงนำระเบิดมาวางทิ้งไว้เพราะเป็นทางผ่าน


สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการดูแลรักษาความปลอดภัยของสำนักงานอัยการสูงสุดยังมีกำลังเจ้าหน้าที่น้อย อีกทั้งแนวรั้วของสำนักงาน ยังมีความยาวร่วม 1 กิโลเมตร ประกอบกับจุดที่คนร้ายนำระเบิดมาทิ้งไว้เป็นจุดอับลับสายตาเพราะอยู่ใต้สะพานลอยคนข้าม แต่หลังจากนี้สำนักงานอัยการสูงสุดจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น


ขณะที่ นายวินัย มุ่งคำ อายุ 60 ปี นายท่ารถประจำทาง สาย 38 วิ่งระหว่าง ม.จันทรเกษม – ม.ราม 2 ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ตนเข้าเวรทำงานตั้งแต่เวลา 05.30 น.ไม่เห็นคนร้ายและไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ต่อมาจึงเห็นเจ้าหน้าที่ รปภ. และตำรวจสน.พหลโยธิน ประมาณ 2-3 นาย นำยางรถยนต์จำนวน 2 เส้นมาไว้ และเก็บกู้ลูกระเบิดที่คนร้ายนำมาวางไว้โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที


สำหรับเจ้าหน้าที่ รปภ. กล่าวว่า ไม่ทราบว่าระเบิดดังกล่าวถูกนำมาวางไว้เมื่อใด ไม่เห็นว่าคนร้ายเป็นใคร แต่สลักและกระเดื่องยังไม่พร้อมที่จะทำงาน


อัยการฝ่ายคดีพิเศษรายหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อเวลา 08.00 น.เศษ ได้เข้ามาจอดรถบริเวณที่มีการวางระเบิด เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ตนจอดรถ จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเดินเข้าไปในที่ทำงานจึงได้รับแจ้งว่ามีการวางระเบิดบริเวณที่ตนจอดรถอยู่ จึงรีบลงไปขับรถออกโดยเร็ว



ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************

เสื้อแดงปรับแผน ไม่ตระเวณกรุงหันระดมพลราชดำเนิน คุยมีมาตรการปลดแอกรัฐไทยออกจากอำนาจทหาร

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาะธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ร่วมกันแถลงเมื่อวันที่ 26 มี.ค. ถึงการเคลื่อนพลครั้งใหญ่ในวันที่ 27 มี.ค. ว่า กลุ่มแสื้อแดงจะไม่ตระเวนทั่วกรุงเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่จะระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศรวมตัวที่ถนนราชดำเนิน ก่อนตัดสินใจกำหนดมาตรการบางอย่างเพื่อปลดแอกรัฐไทยออกจากอำนาจทหาร เชื่อปรากฏการณ์วันพรุ่งนี้จะนำสู่การเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนวันนี้(26 มี.ค.) จะมอบหมายให้สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และเครือข่ายอาสาสมัครสันติวิธี เชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุม โดยใช้รถจักรยานยนต์และรถบรรทุกกระจายเสียง ใน 5 เส้นทาง คือ

1.ผ่านฟ้า ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ประตูน้ำ อนุสาวรีย์ สะพานควาย จตุจักร ลาดพร้าว บางกะปิ พระโขนง คลองเตย เยาวราช

2.ยมราช ราชเทวี ราชประสงค์ นานา รัชดา ห้วยขวาง ประชาสงเคราะห์ ราชวิถี สามเสน เทเวศร์ บางลำภู

3.วรจักร หัวลำโพง สีลม บงรัก เจริญกรุง สาธุประดิษฐ์ วงเวียนใหญ่ พาหุรัด

4.ปิ่นเกล้า ท่าพระ บางบอน วงศ์ส่วาง บางซื่อ บางโพ ศรีย่าน

และ 5.วรจักร พาหุรัด แยกบ้านแขก วงเวียนใหญ่ บางแค อ้อมน้อย ท่าพระ สาทร


ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************

เพื่อไทยตั้งฉายารัฐบาลเต่าลายพราง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอตั้งฉายารัฐบาลเป็นรัฐบาลเต่าลายพราง มีกระดองเป็นทหาร มีหัวเป็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ทำทุกอย่างใช้สรรพกำลังใช้ภาษีประชาชน ถ่วงเวลารักษาเก้าอี้ไปวันๆ เพราะผ่านมา 1 ปี 3 เดือนก็ยังไม่มีผลงานที่ชัดเจนในการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ

นายจิรายุ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ วันๆ คิดแต่การตามจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แทนที่จะช่วยแก้ไขปัญหาคนในชาติ ล่าสุดก็หน้าแหกเพราะรัฐบาลมอนเตเนโกรปฏิเสธ ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ร้ายข้ามแดน จึงถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ หน้าแหกรายวันแต่ยังมีหน้าโชว์ผลงาน “ความร้าวฉานคืองานของกระทรวง” อีก ซึ่งรัฐบาล รัฐมนตรี ต้องลดทิฐิ ลดความอาฆาต พยาบาท ปล่อยวางเก็บแรง เก็บสมองส่วนที่ดีไว้พัฒนาดีกว่าอย่าสุมฟืนเติมไฟรายวัน



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************

อภิสิทธิ์...ขัดข้องใดฤาไม่ยุบสภา!

ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่ยอมยุบสภาเพราะมีคำบัญชาพิเศษ ว่า
ถ้ายุบสภาแล้วมันจะต้องพบกับความวิบัติทั้งพรรคและครอบครัว

ได้รับโบนัสพิเศษดังนี้
1.คดีค้างเก่าตัวบุคคลของพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่นายชวน หลีกภัย ลงมา
2.คดีค้างเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่ในระหว่างการดองเค็ม ที่ยังไม่หมดอายุความ
3.คดีใหม่ที่อยู่ในระหว่างการสอบสวนหรือการพิจารณา ของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ
4.การทุจริต คอรัปชั่น ในโครงการต่างๆ ตามที่เป็นข่าวในหน้าสื่อต่างๆจะกลายเป็นคดีความขึ้นมาทันที

ดังมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วเช่น พรรคไทยรักไทย,พลังประชาชน,ชาติไทย ฯ
ทั้งหมดนี้จะถาโถมเข้าใส่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล แบบมหาพายุไซโคลเชียวละ
โดยมีธงไว้แล้วนี่คือสาเหตุหลักๆที่มันไม่ยุบสภา แต่ก็ยังเหตุผลอื่นๆประกอบรองอีกมาก
เช่น ชำระความแค้นส่วนตัวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหรือพรรคเพื่อไทยหรือ3เกลอ
ทั้งที่..ชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้แทบจะกล่าวได้ว่า เสื่อมถอยและหมดศรัทธาอย่างมากๆ
แต่คนปากกล้าขาสั่น มันก็ยังไม่ทิ้งลาย โดยยื่นเงื่อนไขว่า
อำมาตย์ต้องสั่งกองทัพและข้าราชการ ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล
แต่กองทัพนั้นก็นกรู้ไม่ยอมเป็นแพะถ้าหากมันเกิดเหตุไม่คาดฝันแล้วมีคนตาย
จึงให้นายสุเทพ หรือนายอภิสิด สั่งโดยใช้คำสั่งในฐานะ ผอ.รส ทุกคำสั่ง เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

โดยผบ.เหล่าทัพไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
แล้วคิดหรือว่าผบ.เหล่าทัพนั้นจะรอดไปได้เพราะผบ.เหล่าทัพถือโอกาสรีดไถเงินจาก
รัฐบาลเป็นค่าคุ้มครอง ทั้งเข้าหน่วยงานและเข้ากระเป๋า
และความมักใหญ่ไฝ่สูงทะเยอทะยานของนายทหารบางนาย...ได้รับคำประกาศิตจากอำมาตย์
ให้ทำการกวาดล้างคนเสื้อแดงไปด้วยโดยใช้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลเป็นหุ่นเชิดดิ้นได้
ถ้าชนะก็แฮปปี้แล้วคิดหรือว่าจะชนะคนเสื้อแดงได้ดังฝันของอำมาตย์.......
.............คนเสื้อแดงนี่ละ จะดับฝันอำมาตย์.............................

โดย.หัตถา.
***********************************************

ผ่าทางตันวิกฤติประเทศไทย เจรจาอย่างสันติ ถอยคนละก้าว

ใกล้ถึง วันดีเดย์เคลื่อนไหวใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงอีกครั้งในวันเสาร์ที่ 27 มี.ค. หลังจากปักหลักชุมนุมนานกว่า10 วัน แกนนำได้งัดสารพัดยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวเรียกเสียงฮือฮาไปทั่วโลก โดยเฉพาะยุทธศาสตร์สาดเลือด และ ครั้งนี้เตรียมใช่้ไม้เด็ดเชิญ "กินเนสส์บุ๊ก" บันทึกประวัติศาสตร์ หวังกดดันรัฐบาล ชูประเด็นเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับไล่มากครั้งที่สุดในโลก จนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ต้องยุบสภาในที่สุด ก่อนที่จะเดินหน้าขยับเป้าหมายสู่จุดสูงสุด คือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมไทย ขณะที่รัฐบาลเองก็ยังเดินเกมตอบโต้อย่างเงียบๆ แต่ได้ผล ชนิดที่เรียกว่า "วินาทีต่อวินาที ใครพลาดก็น็อก "

ไม่แปลกที่หลายคนอึดอัดกับ บรรยากาศการต่อสู้ทางการเมือง ประเทศอึมครึม ไม่ราบรื่นสงบสุข หลายคนออกมาแสดงความเห็นเรียกร้องอยากให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ดูเหมือน "ยังมืดมน" เพราะทั้งสองฝ่ายยังตั้งแง่ เล่นหลบขบเหลี่ยม วางเงื่อนไข ตั้งการ์ดสูงกันทั้งสองฝ่าย และ มีแต่จะเพิ่มดีกรีความร้าวรานขึ้น หากปัญหายังคาราคาซังและทวีความรุนแรงขึ้น เห็นทีประเทศชาติจะถึงคราดิ่งลงเหวอีกครั้ง

พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และ อธิบดีกรมตำรวจ ให้สัมภาษณ์กับ ไทยรัฐออนไลน์ ถึงแนวทางการผ่านวิกฤติครั้งนี้ ว่า ทุกฝ่ายจะต้องฟังเหตุผลกันก่อนว่าทำไมจึงอ้างว่าขอให้ยุบสภา และ อีกฝ่ายหนึ่งก็อ้างว่าไม่ยุบทันทีทันใดตามที่เรียกร้อง แต่จะยุบเมื่อไหร่นั้นบอกไม่ได้ ต้องมาพิจารณาดูว่าเหตุผลที่เรียกร้องดีพอหรือไม่ ต้องฟังเหตุผลกัน วันนี้แกนนำ นปช.บอกว่าจะคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวและจะคุยก็ต่อเมื่อยุบสภาแล้วเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ไม่มีทางที่จะไปกันได้

ข้อเรียกร้องวันนี้ไม่สมเหตุ สมผล การเรียกร้องต้องมีเหตุผล ยกเหตุผลออกมาประจักษ์ว่า 1.สภาวุ่นวายอย่างไร 2.ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทุจริตอย่างไร พร้อมนำหลักฐานมาเปิดโปง ตรวจสอบเป็นฉากๆ รัฐมนตรีกระทรวงไหนทำผิด โกงกินบ้านเมือง ประชาชาชนไม่พอใจในสิ่งเหล่านี้ และ นายกรัฐมนตรีปล่อยปละละเลยไม่มีแก้ไข จึงออกมาเรียกร้อง เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย และจะขอให้รัฐบาลลาออกในที่สุด

"อยู่ๆก็มาบอกว่ายุบสภา มันแรงไป เหมือนคนข้างบ้านทะเลาะกันเพราะกิ่งไม้ แต่ต้องการตัดต้นไม้ทิ้งทั้งต้น มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น ซึ่งถ้ายับยั้งชั่งใจไม่ได้ ทหารคงไม่ปล่อยให้บ้านเมืองเละเทะ เกิดปฎวัติรัฐประหารแน่นอน รัฐบาลเองก็ต้องบริหารระดมความคิดกันทั้ง ครม. ทหาร 3 เหล่าทัพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ มวลชนองค์กรต่างๆ ต้องร่วมกันหาทางออก และ กลุ่มผู้ชุมนุมเองต้องลดเงื่อนไข ถอยกันคนละก้าว รัฐบาลก็ระดมให้ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนคนที่ชุมนุมนั้นก็ต้องปล่อย หากเป็นการชุมนุมโดยสงบสันติ"

พล.ต.อ.ประทิน กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องเร่งชี้แจงประชาชนว่าไม่สามารถทำตามข้อเรียกข้องของกลุ่มคนเสื้อ แดงได้เพราะอะไร การยุบสภานั้นยังไม่มีเหตุเพียงพอ ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันต้องเร่งประสานเชิกรุุกทำความตกลงกับแกนนำผู้ชุมนุม จุดอ่อนของรัฐบาลตั้งแต่เริ่มต้นไม่สมควรปล่อยให้มีการเดินทางเข้ามาชุมนุม ในพื้นที่่ส่วนกลางมากนัก มีอำนาจสั่งการกำกับดูแลในรอบต่างจังหวัดควรสกัดไว้ก่อน เพราะการมาชุมนุมกันและมีวิธีการแสดงออกมากมายในลักษณะทำลายความน่าเชื่อ ถือ ทำให้ทุกคนผวา หวาดหวั่น เคร่งเครียด หวาดกลัว ว่าจะรบกันเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตามความเสียหายครั้งนี้ต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งสังคม

"ต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่มายื่นคำขาดฝ่ายเดียวมันไม่ใช่ แกนนำ นปช.คงต้องลดลงมาหน่อย รัฐบาลเองก็ต้องดูกรอบกฎหมาย ตามความชอบธรรม คำนึงถึงเสถียรภาพและการบริหารที่ดีที่จะนำพาประเทศให้อยู่อย่างปกติสุข ผมเชื่อว่ารัฐบาลมีหลักการที่จะดำเนินการไปในทิศทางที่ดีได้" พล.ต.อ.ประทิน กล่าวในที่สุด

ด้านนายณัชพล เกิดเกษม ประธานสภาชุมชนลาดกระบัง แกนนำเครือข่ายพลเมืองชุมชนคนกรุงเทพฯ กล่าวว่า สถานการณ์เริ่มส่อเค้าว่าจะเกิดความรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนที่อยู่ ในชุมชนกรุงเทพมหานครและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง จึงขอเรียกร้อง 1.ให้ทุกฝ่ายร่วมกันยุติปัญหา และไม่ใช้ความรุนแรง โดยใช้การเจรจา 2.ให้ทุกฝ่ายเคารพในสิทธิและความปลอดภัยของประชาชนและชุมชน และชุมชนขอยืนยันสิทธิของตนเองให้ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และครรลองของกฎหมาย 3.ให้รัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าร่วมกับชุมชนในการจัดระบบความปลอดภัยใน ชีวิต และทรัพย์สินของชุมชน และ 4.ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พิจารณาออกมาตรการป้องกัน คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชน และสิทธิในการใช้พื้นที่สาธารณะของผู้ชุมนุมอย่างเหมาะสม

นายณัชพล กล่าวต่อไปว่า ในนามของเครือข่ายฯ ซึ่งมีสมาชิกกว่า 1,283 องค์กร อยากเห็นการเจรจากันอย่างสันติวิธี ที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนว่าชุมชนได้รับความเดือดร้อน เพราะชุมชนอยู่ใกล้เหตุการณ์ และบางชุมชนเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว เช่น ชุมชนแพร่งภูธร เขตพระนครที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่วนชุมชนนางเลิ้ง และชุมชนเพชรบุรี ซอย 7 ก็เคยเกิดเหตุการณ์จนมีผู้เสียชีวิต ส่วนชุมชนอื่นๆ ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นกับตนเองบ้าง เราจะใช้พลังเครือข่ายชุมชนในการจัดทำแผนป้องกันตนเอง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชุมชน ตลอดจนเชื่อมประสานทั้ง2ฝ่ายให้หาทางออกร่วมกันโดยเร็วที่สุด โดยจะประสานงานไปยังแกนนำ นปช. และรัฐบาล

http://www.thairath.co.th/content/pol/72918
***************************************************

ประชุมลุ่มน้ำโขง งานกร่อย ฮุนเซ็นไม่คุยมาร์ค

นายกฯฮุน เซ็น แห่งกัมพูชา

สื่อท้องถิ่นกัมพูชาเผยชื่อผู้นำระดับสูงที่จะตบเท้าเข้าไทย ในการประชุมสุดยอดผู้นำ และประชุมลุ่มแม่น้ำโขงต้นเดือนเม.ย.นี้ รวมถึงระบุว่านายกฯฮุน เซ็น ไม่มีกำหนดคุยทวิภาคีกับผู้นำไทย...

เว็บไซต์วอเตอร์เวิลด์รายงานอ้างจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ว่า การประชุมสุดยอดผู้นำ และการประชุมลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะมีขึ้นในประเทศไทยต้นเดือนเม.ย. นี้ สมเด็จฮุน เซ็น นากยกรัฐมนตรีของกัมพูชา ไม่มีกำหนดการพบปะกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยแต่งอย่างใด

ทั้งนี้ นายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ยังไม่ได้รับคำยืนยันหรือข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ผู้นำฮุน เซ็น ว่าจะมีการพบปะพูดคุยแบบทวิภาคีกับนายอภิสิทธิ์ นอกเหนือจากการประชุมเจรจาหลายฝ่ายหรือไม่

แต่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา เผยรายชื่อตัวแทนระดับสูง ที่จะเดินทางมาประชุมสุดยอดในไทย พร้อมกับนายกฯฮุน เซ็น ว่า มีนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ นายจอม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีอาวุโส และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมุค มะเร็ธ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม นายจัน สะรุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตร ป่าไม้ และการประมง รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรน้ำและพลังงานลม และคณะผู้นำระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชาอีกจำนวนหนึ่ง

http://www.thairath.co.th/content/oversea/72966

*****************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

แม้วปลุกคนไทยแสดงพลัง เสาร์นี้ ก่อนทำอารยะขัดขืน

เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ได้วิดีโอลิงก์มาที่เวทีนปช. หลังจากหายหน้าไปสามวันเต็ม โดยเริ่มต้นด้วยการทักทายและออกตัวว่ายังเจ็บคออยู่ ขอไม่ใช้เสียงดัง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อว่า ตนยังไม่เห็นเสื้อแดงคนไหนบอกจะล้มสถาบัน แต่รัฐบาลพยายามดึงสถาบันต่างๆมาค้ำเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ ไม่มีไพร่ที่ไหนล้มเจ้าได้ มีแต่อำมาตย์ที่จะล้มเจ้า

โดยในช่วงท้าย พ .ต.ท.ทักษิณได้กล่าวว่า “พี่น้องครับ วันที่ 27 นี้เป็นวันสำคัญที่เราต้องแสดงพลังกันอีกครั้ง อยากจะขอเรียกร้องเพื่อนขรก. เพื่อนรสก. พี่น้องทุกคน คนไทยทุกคน ที่คิดว่าอนาคตที่ดีที่สุดที่จะฝากกับลูกหลานคือสังคมที่ดี ต้องออกมาช่วยกัน ไม่ใช่เพื่อแสดงอะไรไม่ดี แต่เพื่อกดดันให้ทุกฝ่ายรู้ว่าเราไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก เพียงแค่ยุบสภา คืนอำนาจให้ปชช. เคารพการตัดสินใจของปชช. บ้านเมืองจะได้เดินได้ เมื่อปชช.เลือกรัฐบาลของเขา เขาก็จะได้แก้ไขรธน. แก้ไขระบบถ่วงดุล นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ได้คิดมาล้มเจ้าเหมือนที่พยายามกล่าวหา กล่าวหาเพื่อให้เจ้านายเกิดความหวาดระแวง แล้วคนรอบข้างนายก็ถือโอกาสตรงนี้ ทุจริตคอรัปชั่น

ผมอยากวิงวอนให้ออกมาให้เต็มที่ สู้อย่างสันติ ถ้าสู้อย่างสันติแล้วยังไม่เชื่อ เราจะรวมกันทำอารยะขัดขืน มหาตมะ คานธีมาแล้ว ทำให้อินเดียหลุดพ้นจากอังกฤษได้ เราต้องการจะหลุดพ้นจากอำมาตย์ที่ครอบงำสิทธิของปชช. ถ้าจำเป็นเราก็ต้องอารยะขัดขืนกันแล้ว พี่น้องครับ เสียสละเถอะ วันนี้อย่ากลัว ยิ่งกลัวยิ่งเสื่อม ถ้าไม่กลัว แต่ไม่ได้เกเรใคร ก็ไม่ต้องห่วง ขอให้ออกมา เราจะสู้ด้วยกัน เพื่ออนาคตลูกหลานเรา ขอขอบคุณ แล้วพบกันใหม่ ขอบคุณในความอดทน แล้วพบกันใหม่ครับ”


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************

ผบช.ภ.9 ไม่ยอมรับ คกก.ชุด เอก อังสนานนท์

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบความบกพร่องในการแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีตผู้กำกับการ สภ. บันนังสตา จ.ยะลา วันนี้ได้เชิญ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร พล.ต.ต.ชินทัต มีสุข พล.ต.ต.สุดใจ ณานรัตน์ รองผบช.9 ซึ่งร่วมเป็นคณะกรรมการคัดเลือกในการแต่งตั้ง รองผบก.-สว.ประจำปี 2552 ของบช.ภ.9 มาให้ข้อมูล ซึ่งทั้ง 3 คน ให้ข้อมูลตรงกันว่า ในที่ประชุมพิจารณาบัญชีแต่งตั้งนั้น มีชื่อ พ.ต.อ.สมเพียร เป็น ผกก.จ. ตรัง แต่เมื่อคำสั่งออกมากลับไม่มี แต่ก็ไม่มีใครทวงถามอะไรเพราะแต่ละท่านล้วนเป็น รองผบช.ที่ย้ายมาใหม่ ขณะที่พล.ต.ต.ประเสริฐ จันทร์สว่าง ผบก.จ.ตรัง นั้น ก็บอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องการแต่งตั้งเพราะเป็นเรื่องของ บช.ภ.9 และเรื่องที่ พ.ต.อ.สมเพียร จะย้ายมา บก.ภ.จว.ตรัง และได้เสนอชื่อคนอื่นไปเป็น ผกก.สภ.เมืองตรัง และสภ.กันตัง จ.ตรังด้วยซ้ำ

ขณะที่มีรายงานด้วยว่า หลังจากคณะกรรมการชุด นี้ ได้เชิญ พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ.9 มาให้ข้อมูลในวันที่ 26 มีนาคม เวลา 09.00 น. นั้น ล่าสุด พล.ต.ท.วีรยุทธ ได้ทำหนังสือมาถึง รรท.ผบ.ตร. ขอคัดค้านคณะกรรมการตรวจสอบชุดนี้ โดยพล.ต.ท.วีระยุทธ ให้เหตุผลว่าคณะกรรมการชุดนี้ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปมปัญหาการแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียรโดยตรง เพราะกรรมการชุดนี้เป็นชุดเดียวกับที่พิจารณากรณียกเว้นหลักเกณฑ์ แต่งตั้งไม่ครบ 2 ปี ที่ไม่อนุมัติให้ บช.ภ.9 โยกย้าย ระดับ ผกก.สภ.ศรีนรินทร์ และสภ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ออกนอกหน่วยจึงทำให้ ผบช.ภ.9 รับ พ.ต.อ.สมเพียร จาก ศชต.เข้ามาไม่ได้ ตามที่ พล.ต.ท.วีระยุทธ เคยทำหนังสือชี้แจงเหตุผลการแต่งตั้งไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้นกรรมการชุดนี้จึงถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นการจะมาเป็นกรรมการตรวจสอบหาข้อบกพร่องเรื่องนี้จึงไม่เหมาะสม ทั้งนี้ พล.ต.อ.ปทีป ได้ส่งหนังสือคัดค้านนี้ให้ ฝ่ายกฎหมายตีความแล้ว ซึ่ง พล.ต.ท.วีระยุทธ ก็จะไม่มาให้ถ้อยคำตามนัด ด้านพล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ ผบช.ศชต. นั้นยืนยันจะมาให้ถ้อยคำด้วยตนเองในวันที่ 26 มีนาคม



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************

เบื้องหลังเช็คใบเดียว ความกลมเกลียวของอานันท์ และ เกษม จาติกวณิช

"อิสรภาพราคา 8.7 พันล้านบาทของไทยออยล์"
ดีลการซื้อโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ของไทยออยล์จากกระทรวงอุตสาหกรรมสำเร็จลุล่วงไปแล้วในวินาทีสุดท้ายของรัฐบาลอานันท์ 2 โดยเป็นการซื้อขายตามราคาประเมินต่ำสุดของคณะกรรมการประเมินมูลค่าโรงกลั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมคือ 8,764,245,647.86 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่บริษัทผู้ประเมินฯ ทำการประเมินไว้ถึงเท่าตัว

แต่เกษม จาติกวณิช ประธานกรรมการ และกรรมการอำนวยการไทยออยส์ก็ยินดีที่จะเขียนเช็คธนาคารกรุงไทยมูลค่าสูงที่สุดจำนวนนี้มอบให้แก่กระทรวงอุตสาหกรรม

"มันเป็นการซื้ออิสรภาพให้ไทยออยส์" เกษมกล่าวดด้วยสีหน้าชื่นบานในงานเซ็นสัญญาที่จัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการซื้อขายซึ่งได้เจรจายืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปี

โรงกลั่นทั้งสองหน่วยนี้ไทยออยล์เป็นผู้จัดการสร้าง และยกให้เป็นทรัพย์สินของรัฐตามเงื่อนไขการประมูล เพื่อดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันรัฐบาลอนุมัติให้ไทยออยล์เช่าดำเนินการเป็นระยะเวลา 20 ปีนับตั้งแต่ปี 2524

การซื้อหน่วยโรงกลั่นทั้งสองแห่งนอกจากจะทำให้ไทยออยล์มีความคล่องตัวในการดำเนินงานแล้ว ยังเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้ไทยออยล์มีสินทรัพย์ถาวรเพื่อที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ไทยออยล์ระดมทุนและกระจายหุ้นแก่มหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่เมื่อปี 2531 ครั้นไทยออยล์ยื่นเรื่องขอเข้าจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องไม่มีทรัพย์สินถาวรที่ใช้ในการดำเนินการและสัญญาเช่าสินทรัพย์สินถาวรควรมีอายุอย่างต่ำ 30 ปี ตลาดฯ ขอให้ไทยออยล์แก้ปัญหานี้

คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความเห็นว่าสัญญาเช่าโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 จะหมดอายุลงในปี 2544 บริษัทฯ ควรจะไปเจรจาต่ออายุสัญญาเช่าหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรัพย์สินเป็นของบริษัทฯ โดยสมบูรณ์ จึงจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ได้
ไทยออยล์พยายามเจรจาทั้งในเรื่องของการต่ออายุสัญญาและการซื้อโรงกลั่น ซึ่งมีอุปสรรคต่าง ๆ นา เกษมเคยกล่าวว่า "กฎระเบียบที่เป็นข้อแม้ต่าง ๆ นั้นสามารถแก้ไขได้โดยรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่ออายุสัญญาเช่าหรือการกระจายหุ้น หากรัฐไม่ต้องการให้กระจายหุ้นก็ไม่จำเป็นต้องต่ออายุสัญญา กำไรต่อหุ้นของไทยออยล์ดีมาก ผู้ถือหุ้นไม่ต้องการให้นำหุ้นเข้าตลาดฯ อยู่แล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือหากจะมีการขยายโรงกลั่น หรือจะเข้าไปลงทุนในกิจการอื่นก็อาจจะไม่มีเงินลงทุนได้ง่ายและจะทำให้กระจายผลกำไรต่อหุ้นแก่บุคคลอื่นด้วย"

รัฐบาลชาติชายอนุมัติให้ขายโรงกลั่น 1 และ 2 แก่ไทยออยล์ไปแล้ว แต่เมื่อเรื่องเข้ามาสู่คณะรัฐบาลอานันท์ 1 กลับถูกตีกลับให้มีการทบทวนใหม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่ารัฐบาลมีความจำเป็นเพียงไรที่จะต้องขายสมบัติให้เอกชนหากไทยออยล์ต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหนทางอื่นไหมที่รัฐจะไม่สูญผลประโยชน์จากค่าเช่าโรงกลั่นทั้งสอง

หลังจากทบทวนผ่านไปหลายครั้งและอดีตรองนายกรัฐมนตรีมีชัย ฤชุพันธุ์ซึ่งเป็นผู้คัดค้านการขายโรงกลั่นไทยออยล์ไม่ได้เข้าร่วมในรัฐบาลอานันท์ 2 ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมัติให้ไทยออยล์ซึ่งโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 ได้ในราคาดังกล่าว

มตินี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่รัฐบาลอานันท์ 2 จะหมดอายุเป็นเหตุให้การจัดงานเซ็นสัญญามีขึ้นอย่างเร่งรีบขนาดที่ว่าธนาคารกรุงไทยจะทำเช็คฉบับพิเศษ ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเท่าที่มีการซื้อขายจ่ายเงินด้วยเช็คเพื่อให้เกษมเซ็นจ่ายให้กระทรวงอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถพิมพ์ได้ทัน
เกษมเปิดเผยว่า "เงินที่นำมาซื้อโรงกลั่นครั้งนี้มาจากส่วนเกินของเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการดำเนินการบวกกับเงินกู้รายการเดิม ๆ ที่กู้มาแล้วยังไม่ได้จ่ายซึ่งจะต้องมีการกู้ใหม่และตอนนี้ก็หาเงินกู้ได้แล้วโดยกู้ภายในประเทศประมาณ 5,000 ล้านบาทและภายนอกประเทศอีก 3,000 ล้านบาท"

เกษมเลือกที่จะจ่ายรวดเดียวเลยไม่มีการขยักขย่อนแม้จะคุยว่าสามารถเจรจากับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขอจ่าย 3 งวดหรือไม่ต้องจ่ายในวันเซ็นสัญญาก็ได้ เขาเห็นว่าจะเป็นการสร้างภาระผูกพันเสียเปล่า ๆ และในเมื่อไทยออยล์มีเครดิตดีจริง สามารถหาเงินได้ ก็น่าที่จะจ่ายเสียให้สิ้นเรื่องไปเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความน่าเชื่อถือจริง

ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้กู้เงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีก่อนหน้าที่ ครม. จะอนุมัติการซื้อหน่วยโรงกลั่นแล้ว
แบงกอก เชาว์ขวัญยืนกรรมการผู้จัดการใหญ่เปิดเผยด้วยว่า "การซื้อหน่วยโรงกลั่น 1 และ 2 ครั้งนี้ทำให้ไทยออยล์มีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40,309 ล้านบาทจากเดิมที่มีหนี้สิน 30,178 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนเป็น 15.30 :1 จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 11.28 : 1
เกษมกล่าวว่า "หนี้สินเหล่านี้ทำให้ไทยออยล์ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละประมาณ 2 ล้านบาทบวกกับของเก่าอีกประมาณ 4 ล้านบาทเป็นวันละ 6 ล้านบาทแม้ไทยออยล์จะมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนสูงขนาดนี้ก็ยังมีคนมารอจะให้กู้อีกเยอะ"

เป้าหมายการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยออยล์ คือการลดภาระหนี้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากลงและแม้ว่าไทยออยล์สามารถระดมเงินจากตลาดอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายเป็นจำนวนมากแต่ไทยออยล์ก็ยังมีความจำเป็นที่จะเข้าตลาดหุ้น

เกษมเปิดเผยว่า "ผู้ให้กู้ทั้งหลายก็อยากที่จะเห็นเราเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้นด้วยอย่างการกู้ 10,000 ล้านบาทครั้งหลังนี้ผู้ให้กู้ก็อยากจะมีการระบุข้อความว่าการกู้นี้ก็ด้วยความหวังว่าไทยออยล์จะเข้าตลาดหุ้น และกิจการก็จะดีขึ้น และอีกอย่างหนึ่งเราจะกู้ไปสุดกู่อย่างนี้เรื่อย ๆ คงจะไม่ได้" เกษมให้ความเห็นว่า "ตัวเลขหนี้ต่อทุนที่สูงเช่นนี้จะเป็นปัญหาในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องดูต่อไป ตัวเลขนี้อาจจะทำให้พีอีเรโชสูงไปดังนั้นก่อนเข้าตลาดฯ ก็คงจะมีการแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้เกิดความไว้ใจ"

แน่นอนว่าเกษมคงอยากจะเห็นเครดิตไทยออยล์ในหมู่นักลงทุนเหมือนกับที่แบงเกอร์จำนวนมากมองเห็นความน่าเชื่อถือของไทยออยล์
ไทยออยล์มีผลกำไรสุทธิหลังการหักภาษีและเงินส่วนแบ่งผลกำไรหรือค่ารอยัลตี้ที่ต้องให้กับรัฐบาลลดลงจาก 489 ล้านบาทในปี 2533 เป็น 304.19 ล้านบาทในปี 2534 ทั้งที่ในปีนี้มีรายได้ เพิ่มขึ้นเกือบ 8,000 ล้านบาทส่วนผลการดำเนินงานในปี 2535 ซึ่งไทยออยล์มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน เกษมคาดหมายว่าจะมีผลกำไรประมาณ 800 ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 500 ล้านบาท (ก่อนหักภาษีและส่วนแบ่งผลกำไรฯ) "ในช่วง 3 เดือนหลังที่ผ่านมานี่ เรามีกำไรมากกว่าช่วง 9 เดือนแรกคือกะไว้ว่าโรงกลั่นจะเสร็จก็เร่งการผลิตมากได้เป็นแสนบาเรลทีเดียว"

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นลงจำนวนหนึ่งเพื่อกันออกมา 25% สำหรับจดทะเบียน จุลจิตต์ บุณยเกตุ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการกล่าวว่า "หุ้นจำนวนนี้จะ DILUTE ตาม PORPORTION"
ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นไทยออยล์ได้แก่ ปตท. 49% สนง. ทรัพย์สินฯ 2%, เชลล์ 15.05%, คาลเท็กซ์ 4.75% และผู้ถือหุ้นรายบุคคล 29.2%


ที่มา.นิตสารผู้จัดการ
**************************************************