--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระดมทหาร-ตร.4.7หมื่น คุมม็อบแดง27มีค.

เมื่อเวลา 14.20 น. ได้มีการประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.รมน.เป็นประธานในการประชุม โดยได้มีการอนุมัติการจัดอัตรากำลังพลของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส) ในการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 3 จังหวัด คือ กรุงเทพทั้งจังหวัด พื้นที่ 2 อำเภอในจ.นนทบุรี และพื้นที่ 5 อำเภอในพื้นที่จ.สมุทรปราการ ระหว่างวันที่ 24-30 มี.ค.นี้

โดยได้มีการจัดกำลังทั้งสิ้นประมาณ 4.7 หมื่นอัตรา เพิ่มจากเดิมที่มีประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงเมื่อวันที่ 12-23 มี.ค.ที่ผ่านมาที่อนุมัติไปแค่ 3.3 หมื่นอัตรา ทั้งนี้ กำลังพลทั้งหมดจะมีทั้งสิ้น 208 กองร้อย เพิ่มจากเดิมที่มีแค่ 164 กองร้อย สำหรับทั้ง 208 กองร้อย ประกอบไปด้วย ทหารจำนวน 123 กองร้อย และ ตำรวจ 74 กองร้อย

อย่างไรก็ตามกำลังพลเหล่านี้เป็นส่วนปฏิบัติการที่ใช้ตามแผนการจัดวางกำลังที่ได้รับการอนุมัติในเบื้องต้นไม่นับกำลังเสริมที่เตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้งอีกประมาณ 1.7 หมื่นนาย ซึ่งกำลังที่คาดว่าจะใช้หลังจากนี้ทั้งหมด ประมาณ 6.4 หมื่นนาย


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************

"ทหารเฮ" มิสแม็กซิม แห่มอบดอกไม้ให้กำลังใจ ราบ11

เมื่อเวลา 16.00 น. ที่บริหน้าประตูทางเข้าร. 11 รอ. น.ส.ศุภวรรณ สุจินดา จีเอ็มนิตยสารแม็กซิม ได้นำคณะนางแบบ เดอะซูปเปอร์โมเดล 2010 จำนวน 3 คน ประกอบด้วยด้วยน.ส.ชมพูนุช เกลียดคำหมอ น.ส.วาศิณีย์ เปลี่ยนกับ และน.ส.เพ็ญพร พุ่มพ่วง ติดต่อมายัง พล.ต.จิรเดช สิทธิประณีต เลขานุการกองทัพบก เพื่อเดินทางมาให้กำลังใจกับทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบในช่วงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่ ร. 11 รอ.

โดยทางพล.ต.จิรเดช ให้คณะ มิสแม็กซิม สามารถเดินทางมาให้กำลังทหาร และมอบดอกกุหลาบเพื่อให้กำลังใจได้ แต่จะให้ทำกิจกรรมได้ที่บริเวณหน้าประตู ร. 11 รอ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง ศอ.รส. ได้จัดเจ้าหน้าที่ทหารประกอบด้วย พล.ต.จิรเดช สิทธิประณีต เลขานุการกองทัพบก พล.ต.อุกฤษฎ์ ณรงค์วิทย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ในฐานะ ผู้บัญชาการเหตุการณ์พื้นที่ ร. 11 รอ. และบก.ศอ.รส. และพ.ท.วิบูลย์ ศรีเจริญยิ่ง รองผบ.พัน.ร.มทบ. 11 เป็นผู้นำแถวทหารจำนวน 1 หมู่ เข้ารับดอกไม้ และการให้กำลังใจจากเหล่านางแบบแม็กซิม โดยมีผู้สื่อข่าว และช่างภาพ จำนวนมากได้มาทำข่าวและบันทึกภาพ ซึ่งถือว่าเป็นสีสัน และลดความตรึงเครียดในช่วงอากาศร้อนในพื้นที่ ร. 11 รอ. โดยเฉพาะบรรดาทหารที่ต้องล้าจากสภาพอากาศ ทำให้ทหารหลายนายเริ่มมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อบรรดานางแบบมอบดอกไม้ และซับเหงื่อ พร้อมส่งรอยยิ้มและร่วมถ่ายรูป ทำให้ทหารหลายนายดูมีขวัญ และกำลังใจดีขึ้น เช่นเดียวกับผู้สื่อข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่ ใน ร. 11 รอ.ได้ผ่อนคลายด้วย


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
********************************************

ส่อยึดอำนาจ

เพื่อไทยปลุกเสื้อแดงล้อมทหารปิดสภา จวกส่อยึดอำนาจ

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ทหารล้อมสภาพร้อมปิดไม่ให้เจ้าหน้าที่หรือส.ส.เข้าไปในสภา ว่า ขณะนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะประเมินดูสถานการณ์ หากประเมินแล้วว่ามีการปิดสภาในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) ที่จะมีการประชุมสภา ในคืนนี้ตนและส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งจะไปขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า ไปประกาศเรียกร้องให้คนเสื้อแดงทั้งที่อยู่ในกทม.และทั่วประเทศไปปิดล้อมทหารที่อยู่ในสภาอีกชั้น ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมสภาทันที

"การที่ทหารบุกเข้าไปในสภาแล้วปิดล้อมเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนเป็นการปฎิวัติเงียบ เพราะปกติแล้วทหารมักจะยึดฝ่ายบริหาร แต่การไปยึดฝ่ายนิติบัญญัติเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นและเท่ากับเป็นการยึดอำนาจของประเทศด้วย" นายสุชาติ กล่าว

ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************

“เหล็กใน ข่าวสด”ทึ่งปรากฏการณ์“แดงทั้งกรุงเทพ” เตือน“ปชป.”ยิ่งดิ้น ยิ่งทำ“ไพร่”

“เหล็กใน ข่าวสด”ทึ่งปรากฏการณ์“แดงทั้งกรุงเทพ” เตือน“ปชป.”ยิ่งดิ้น ยิ่งทำ“ไพร่”ชิงชัง“อำมาตย์”
“แดง”ทั้งกรุงเทพ

เหล็กใน

กรุงเทพแดงไปทั้งเมืองเมื่อวันเสาร์ สร้างปรากฏการณ์แปลกใหม่ให้กับสังคมไทย

คนเรือนหมื่นเรือนแสนเคลื่อนขบวนไปทั่วกรุงเทพระยะทางไกลถึง 50 ก.ม.

ไม่เคยปรากฏมาก่อน

คนเสื้อแดงทำได้ ทำสำเร็จ !

บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยดีตั้งแต่ต้นจนจบ

ได้กระแสตอบรับเกินความคาดหมาย

การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงครั้งนี้ เป้าประสงค์สำคัญเพื่อ "ทักษิณ" ก็จริง

ทว่าตอนนี้มีเป้าซ้อนเป้า ประเด็นซ้อนประเด็นขึ้นมาอีก

นั่นคือเรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์ ?

ผู้คนที่ออกมาร่วมม็อบ ไม่ใช่เพียงเพราะทักษิณ เพื่อทักษิณ โดยทักษิณ เท่านั้น

ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ออกมาเพราะมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน

เรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์

ไพร่-อำมาตย์ กลายเป็นประเด็นใหม่ ใหญ่ แหลมคม หวังผลได้

จุดติดเรียบร้อย !

น่าประหวั่นพรั่นพรึงขนาดไหน ดูอาการฝ่ายรัฐบาลสองสามวันมานี้ก็คงเห็น

อภิสิทธิ์ สุเทพ สาทิตย์ ปณิธาน กระทั่งทหาร

ออกอาการกันหมด ?

ระดมตอบโต้ ชี้แจง แถลงการณ์

กลายเป็นจุกจิก ยุบยิบ หยุมหยิม เก้ๆกังๆ หันรีหันขวาง

ทว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งขยายความเป็นอำมาตย์

ยิ่งอยากจบก็เหมือนยิ่งยุบรรดาราษฎรเต็มขั้นทั้งบ้านทั้งเมือง

เลือดไพร่สูบฉีดให้ออกมาเรียกร้องต่อสู้

ถึงเวลาต้องปลดปล่อย ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง !!

ไพร่-อำมาตย์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความแตกต่างระหว่างชนชั้น

เจ้านายกับขี้ข้... คนรวยกับคนจน ผู้มีอำนาจกับสามัญชน

มีเส้นกับไม่มีเส้น ??

สังคมไทยบ่มเพาะ สั่งสม เก็บกด เรื่องราวระหว่างชนชั้นมาต่อเนื่องยาวนาน

ความอัดอั้น อึดอัด คับแค้นแผ่กระจายอยู่ทุกหัวระแหง

เป็นไฟสุมขอนรอเวลาคุกรุ่น เป็นระเบิดรอเวลาจุดชนวน

เมื่อมีคนเปิดประเด็นขึ้นมา คนตามจึงหลั่งไหลล้นหลามโดยไม่ต้องนัดหมาย

และไม่ต้องจ้าง

ม็อบเสื้อแดงมากันหลากหลาย ไม่ว่าเพื่อทักษิณ เพื่ออุดมการณ์ เพื่อเงิน หรือเพื่ออะไรก็ตาม

ม็อบที่มาเพื่อเปลี่ยนแปลงอำมาตย์ ปลดปล่อยไพร่

จะมีส่วนต่อผลแพ้ชนะ

โดยไม่ต้องรอตีความตัวตนทักษิณ

จริงๆ แล้วเป็นไพร่ หรืออำมาตย์ !?


ที่มา ข่าวสดรายวัน
************************************************

เสื้อแดงเคลื่อนไหวด้วยใจ

กลายเป็นข่าวใหญ่โต เมื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี ออกมาแฉถึงกระบวนการการต่อท่อน้ำเลี้ยง ยื้อลมหายใจม็อบแดงหลังปรับทัพ ก๊อกสอง ผ่าน "ส., ป., พ." 3 อดีตนักการเมืองระดับนายทุน เจ้าของธุรกิจการค้าระหว่างประเทศพร้อมระบุว่ามีกระจายเงินให้ สส.เพื่อไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานคนละ 15 ล้านบาท เพื่อระดมคนมาร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนิน

งานนี้ "เสี่ยแดง" พิชัย นริพทะพันธุ์อดีต รมช.คลัง มีคุณสมบัติเข้าข่ายต้องสงสัย ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงโดยตรงและไม่รู้เรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่อ้างถึง โดยยืนยันว่าทำงานให้กับพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว จะมีก็แต่การบริจาคเงินให้กับพรรคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีบันทึกรายงานการบริจาคที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2 ครั้งในปีที่แล้ว ครั้งแรก 5 ล้านบาท ครั้งที่สอง 2 ล้านบาท

"ผมไม่ได้มีอย่างอื่นเกี่ยวข้องกับเสื้อแดง แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดว่าเสื้อแดงผิด ผมเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นไปด้วยความตั้งใจ อย่าไปคิดว่าเขามีท่อน้ำเลี้ยงจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเชื่อว่าเสื้อแดงมาด้วยจิตใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ บางทีเราคนกรุงเทพฯ สมัยก่อนอาจจะไปคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเกิดได้มีโอกาสลงพื้นที่อยากให้คนกรุงเทพฯ ได้สัมผัสคนต่างจังหวัดว่าเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งความคิดเขาไปไกลมากแล้วอย่าไปมองว่าเขามาเพราะเอาเงินไปให้ ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่าความเข้าใจจะผิด เพราะคนเสื้อแดงเขาจะมีการระดมทุนของเขาเองด้วย หลังๆ คนเสื้อแดงเขาไปประชุมต่างจังหวัดเขาเสียเงินนะ ไม่ได้ได้เงิน ในต่างจังหวัดนี่มีการประชุมเยอะมาก ที่ผมรู้ก็มีคนมาเล่าให้ฟัง เรียนตรงๆ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อแดงเลย เพียงแต่สัมผัสกับ สส. เขามาเล่าให้ฟัง แต่คนที่มาอาจจะมีรายได้น้อย กลุ่มเสื้อแดงอาจจะต้องไปอำนวยความสะดวก"

ในแง่ภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่าเป็นนายทุนพรรค"พิชัย" อธิบายว่า ส่วนตัวก็มีเงินใช้บ้างแต่ไม่ได้ใช้เยอะแต่ถามว่าการเมืองทุกประเทศก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น แต่ต้องมองว่าเราใช้เงินไปเพื่ออะไรต้องดู ส่วนตัวก็ไม่ได้ไปใช้ซื้อเสียงหรือใช้ทางไม่ถูก แต่เรื่องการปฏิบัติงานของพรรคบางครั้งจำเป็นต้องใช้ก็ต้องใช้ ดังนั้นอย่าไปมองว่าการใช้ทุนเป็นสิ่งไม่ดี

ส่วนที่มองว่าการเข้ามาถนนการเมืองของกลุ่มทุนเพื่อกอบโกยนั้น "พิชัย" ออกตัวว่า คนที่มาทำงานให้ประเทศต้องคิดว่า หนึ่งตัวเองพร้อมไหม มีเงินไหม ไม่ใช่มาเพื่อกอบโกย อย่างบางพรรคในอดีตจนหมดเลยพอมาเป็นรัฐบาลแล้วรวยหมดเลย อย่างนั้นหรือที่คุณต้องการมันไม่ใช่ ต้องมองว่าคนที่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านมาทำงานเพื่อประเทศด้วยวัตถุประสงค์อะไร จะเข้ามาเก็บเกี่ยวหรืออยากทำให้ประเทศดีขึ้น

"ผมอยากให้มองที่ความคิด วิธีคิด มากกว่าจะบอกว่าคนนี้มีเงินหรือไม่มีเงิน อย่างคุณทักษิณ เงินทุนเต็มเลย แต่ทำไมคนคิดว่าคุณทักษิณเก่ง ผมก็อยากให้คนมองว่าผมมีวิธีคิดที่ทำให้ประเทศชาติเจริญ มากกว่าผมเป็นนายทุน"

แต่หลังจากมีเรื่องการยึดทรัพย์ขึ้นมา คนรวยคนไหนอยากจะมายุ่งการเมือง สมมติมีเงินเล่นหุ้นในตลาดอยู่พันล้านบาท บริหารประเทศ เจริญขึ้นไป 5,000 ล้านบาท ถึงเวลาบอกว่ายึด 4,000 ล้านบาท ถ้าเป็นอย่างนี้คนรวยที่ไหนอยากเข้ามา ต่อไปจะมีแต่คนจนที่เข้ามาแล้วทำให้ตัวเองรวย ซึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอะไรให้ยึดเงินที่ทุจริตก็ไปซ่อนที่อื่นถามว่ามี สส.มาไถเงินบ้างหรือไม่ พิชัย ยืนยันว่า ไม่มี "ผมเองไม่มีมุ้ง บริจาคก็ตรงเข้าพรรค ไม่ใช่ไม่รักสส. แต่อยากให้เป็นระบบ และผมไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร กับคุณทักษิณก็เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไม่ได้รับคำสั่ง ซึ่งหาก สส.คนไหนมาขอให้ช่วยอะไรถ้าช่วยได้ก็ช่วย

"เสี่ยแดง" ออกตัวในความเป็นแดงของเขาว่า เป็นแดง ขาว น้ำเงิน ตามสีธงชาติ แต่จริงๆ แล้วแดงของเขาหมายถึงการอยากเห็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ยุติธรรม แต่คงไม่ใช่แนวฮาร์ดคอร์เหมือนแดงสยาม ทิศทางของโลกที่จะเป็นในอนาคตมีสองฝั่งต่างกัน ฝั่งหนึ่งมีการควบคุมดูแลทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายอยากเห็นว่าเลือกตั้งต้องสมบูรณ์ ใครมาก็ต้องมีสิทธิมีเสียงบริหารประเทศเต็มที่ ทั้งสองภาพยังขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งทางออกคือทำอย่างไรให้สองฝั่งไปด้วยกันได้

ทั้งนี้ ระบบควบคุมหรือที่ฝั่งเสื้อแดงเรียกว่าระบอบอำมาตย์ในอดีตอาจจะจำเป็นต้องมีการควบคุมเมื่อคนส่วนมากในประเทศเขายังไม่รู้เรื่อง มีการควบคุมไม่ให้มีการทุจริต แต่ระยะหลังไม่ใช่ กลายเป็นการปล่อยให้การทุจริตเกิดขึ้น เพื่อให้ตัวเองรักษาอำนาจได้ ซึ่งถือว่าผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้นในระยะยาวต้องดูว่าทิศทางต้องเปลี่ยนหรือเปล่า อย่างคนขาวที่คุมทุกอย่างในแอฟริกา เมื่อวันหนึ่งคนดำเขาต้องการปกครองตัวเองก็ต้องปล่อยเขา

แม้ที่ผ่านมาจะมีหลายฝ่ายพยายามเสนอ "ทางออก" ให้กับสถานการณ์ความขัดแย้งปัจจุบันแต่สุดท้ายดูจะยากในการนำไปสู่การปฏิบัติ "เสี่ยพิชัย" ประเมินว่าต้องเริ่มจากให้ทุกคนหาเป้าหมายที่ต้องการในอนาคตก่อน อย่างประชาธิปไตยสมบูรณ์เห็นตรงกันหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยแล้วก็ต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้ถึงจุดนั้น

หากมองตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดงให้ยุบสภา ก็เพราะที่ผ่านมาการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลมีเบื้องหลัง ดังนั้นการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็เพื่อให้เห็นว่าประชาชนจะเอาไง ประชาธิปัตย์จะทำประเทศเป็นไงก็หาเสียงไปเลย ใครจะแก้รัฐธรรมนูญ ไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายประชาชนเลือกอะไรก็ต้องจบ เราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ ไม่งั้นก็เดินไม่ได้

"ถ้าเราไม่ยอมรับกติกานี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะยอมรับกติกาไหนจะให้คนไม่กี่คนมาตัดสินใจประเทศนี้มันไม่ใช่ ถ้าประเทศนี้จะเจ๊ง ก็ต้องเจ๊งเพราะคนส่วนใหญ่"

"พิชัย" ประเมินการบริหารงานของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในช่วงที่ผ่านมาว่า แม้จะแอบเชียร์ เพราะจังหวะดี เข้ามาใหม่การศึกษาดี หน้าตาดี พูดจาดี แต่ถ้ามีวิธีการทำงานที่ดี ป่านนี้ปัญหาคงไม่เยอะขนาดนี้ ปัญหาคือ มีการถือข้าง และเอาใจฝั่งที่เชียร์ แต่คนที่ไม่เชียร์ไม่ดูแลคนที่เป็นผู้นำต้องลอยตัวเหนือความขัดแย้งและดูว่าจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเขาจะต้องเห็นภาพนี้
ที่สำคัญนาทีนี้ไม่ใช่เวลาที่ใครจะมาฝันอยากได้อำนาจปัญหาคือ บ้านกำลังไฟไหม้ ทำอย่างไรต้องดับไฟก่อน สมมติไฟไหม้ห้องครัว ไปดับห้องรับแขก ซึ่งปัจจุบันเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปแก้ได้อย่างไร ก็ลามไปทั้งบ้าน ซึ่งเมื่อไฟไหม้ก็ต้องดับไฟก่อน แล้วค่อยมานั่งคุยกันทีหลัง

นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับคนจน ให้พวกเขาได้มีโอกาสได้โต ถ้ามองทางเศรษฐกิจ ประเทศจะเจริญได้ต้องทำให้คนระดับล่างรวยก่อน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นฐานของพีระมิด เพราะคนรวยเพียงไม่กี่คนจะรวยขึ้นไม่มีประโยชน์จีดีพีจะโต 4-8% แต่คนจนยังมีรายได้ 100-200 บาท/วัน ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ต้องยึดแนวดูโอแทรกต์ ให้คนข้างล่างมีรายได้เพิ่มขึ้น ให้เป็นเถ้าแก่ เข้าถึงแหล่งทุน กองทุนหมู่บ้านลดปลดหนี้ คู่กับพัฒนาคนด้านบน

"แต่ต้องสอนให้เขาหา ไม่ใช่กู้มาแล้วหาไม่เป็น ที่ผ่านมาคนจนรู้สึกว่าทำกับเขาเหมือนเป็นขอทาน เอาเงิน เอาข้าวผ้าห่ม มาแจก แต่ความจริงเขาไม่ต้องการ เขาบอกว่าให้เบ็ดเขาซิ อย่าให้ปลา ถามว่าทำไมแท็กซี่ถึงแดงหมด คุณอภิสิทธิ์ต้องคิดเรื่องนี้"



เปิดสัมพันธ์'ทักษิณ-พิชัย'

ย้อนไปสมัยวัยรุ่น "พิชัย" ต้องปฏิเสธถนนการเมืองจากคำชักชวนของ ชวน หลีกภัยที่สนิทสนมกับคุณพ่อของเขาเมื่อต้องเลือกเส้นทางธุรกิจเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนคุณพ่อที่เพิ่งเสียชีวิต ทำได้เพียงแต่เอาใจช่วยประชาธิปัตย์อยู่ห่างๆ จนห่างเหินกันไปในที่สุดในช่วงหลัง

จากนั้นด้วยความสนิทสนมส่วนตัวกับ สุวิทย์ คุณกิตติทำให้เขาเบนเข็มมาอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดิน พร้อมดันลูกชาย "พชร นริพทะพันธุ์" ที่หลงใหลในเส้นทางการเมืองมารับหน้าที่ รองโฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปี

แต่ด้วยความที่รู้จักกับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดช่องให้ได้มาพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จนถูกคอ จากแนวคิดที่จูนกันติดและมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เขาก้าวสู่ตำแหน่ง รมช.คลัง ด้วยคำการันตีว่า "เก่ง วิธีคิดใช้ได้"แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในกระทรวงการคลัง แต่ก็ผลักดันนโยบายหลายเรื่องให้นำไปสู่การปฏิบัติได้ โดยเฉพาะการผลักดัน มาตรการภาษีเรียกเก็บจากคนที่มีฐานะ ยังได้กำหนดพฤติกรรมของคน ซึ่งมีหลายรายการที่ยังค้างอยู่ในลิสต์ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ

สำหรับมุมมองที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว "พิชัย" ยอมรับว่าเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดมาก ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ แล้วนำมาปรับใช้ ยิ่งไปอยู่ต่าง
ประเทศยิ่งเก่ง จนมีวิสัยทัศน์ระดับโลกตรงนี้อยากเห็นรัฐบาลมีการประนีประนอม นำความรู้ความสามารถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยเหลือประเทศ อย่างสหรัฐไปจับแฮกเกอร์มือดีๆ มา ก็เอามาใช้งาน ได้ประโยชน์มากกว่าเอาไปติดคุก ปัจจุบันเราไปเสียเวลากับกระบวนการไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ปิดสนามบินความเสียหายเท่าไหร่ ค่าเสียโอกาสเท่าไหร่ จากที่เคยแข่งกับสิงคโปร์ไปต้องมาแข่งกับเวียดนาม

"ผมกับคุณทักษิณจูนกันติด เวลาเสนอไอเดีย ตอนเป็นรัฐบาลจะทำอย่างนี้ ถ้าเป็นพรรคอื่นจะถามว่าได้เงินเท่าไหร่ แต่คุณทักษิณไม่คิด คิดว่าประชาชนได้อะไรก่อน ผมยืนยันเลยว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ยอ อย่างกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล ไม่มีใครได้เงินเข้ากระเป๋าเงินลงถึงประชาชนจริงๆ ไม่เหมือนชุมชนพอเพียงที่มีการปั่นของมาขาย "พิชัย" อธิบายต่อว่า เรื่องการเสนอโครงการและหวังกิน30-40% ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีได้กิน มีการไล่บี้เข้มงวดจนมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีประจำ ซึ่งคุณทักษิณเป็นอย่างนั้นจริงๆงบประมาณห้ามแตะ เครียดจะตายต้องปั้นผลงาน เงินก็ไม่ได้ คนถึงเกลียด เพราะอยู่กับทักษิณแล้วไม่ได้เงิน

ส่วนความแตกต่างระหว่าง ประชานิยมของทั้ง ทักษิณและอภิสิทธิ์"พิชัย" อธิบายว่า รัฐบาลขณะนี้ไม่มีวิธีคิดหาเงิน อภิสิทธิ์ไม่เคยหาเงิน เอาเงินจากพ่อ ไม่รู้ว่าการค้าหาเงินอย่างไร ต้องผลิตสินค้าอะไร เอาอะไรไปขาย แต่คุณทักษิณรู้ เริ่มตั้งแต่ขายภาพยนตร์ดิ้นรนหาเงินเลี้ยงตัวเอง

"รัฐบาลต้องฝึกให้ชาวบ้านหาเงิน ประกอบกับการให้เงิน พอมีรายได้แล้ว จากนั้นทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้น ก่อนเปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ แล้วค่อยๆ ยกระดับการจ่ายภาษี เพราะคนจนจะจ่ายภาษีได้ไง รัฐสวัสดิการจะต้องมาหลังจากประชานิยม ไม่ใช่แบบแจกฟรี แต่ต้องเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ หากินได้เพิ่มขึ้น"

นายกฯ ต้องมีทีมงานที่ฉลาด เปิดกว้างเอาคนมีประสบการณ์ แต่คนรอบข้างคุณอภิสิทธิ์ไม่มีใครทำธุรกิจ หรือทำก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้สุดท้ายมองไม่เห็นภาพ ประทานโทษคุณอภิสิทธิ์มองในเชิงอำมาตย์ นึกว่าจะซื้อใจจากประชาชนโดยการให้อย่างเดียวไม่ได้เขาข้ามตรงนั้นไปแล้ว ไปถึงจุดที่เขาต้องหาเงินเองได้แล้ว.


Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
โดย...ทีมข่าวการเมือง
************************************************

พท.จ่อขึ้นเวทีแดงหากยังไม่นำทหารออกจากสภา

นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะประเมินดูสถานการณ์กรณีที่มีการนำกำลังทหารเข้าในสภาพร้อมกับไปปิดสภาไม่ให้ส.ส.หรือเจ้าหน้าที่เข้าไปในสภา โดยหากประเมินแล้วว่ามีการปิดสภาในวันพรุ่งนี้(24 มีค. )ที่จะมีการประชุมสภา ในคืนนี้ตนและส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งจะไปขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า ไปประกาศเรียกร้องให้คนเสื้อแดงทั้งที่อยู่ในกทม.และทั่วประเทศไปปิดล้อมทหารที่อยู่ในสภา ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมสภาทันที เพราะการที่ทหารบุกเข้าไปในสภาแล้วปิดล้อมเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนเป็นการปฎิวัติเงียบ เพราะปกติแล้วทหารมักจะยึดฝ่ายบริหารแต่การไปยึดฝ่ายนิติบัญญัติเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นและเท่ากับเป็นการยึดอำนาจของประเทศด้วย


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
***********************************************

‘บิ๊กตู่’ รู้ดีกว่าใคร!

จะเห็นว่า การยิง M79 ก็ดี การระเบิดกระทรวงกลาโหม และการระเบิดที่ทำการใหม่ของ ป.ป.ช.ทั้งๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งทุกกรณีถ้ากลุ่มเสื้อแดงทำจริงก็ต้องถือว่าปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง เพราะไม่ได้อยู่ในแนวยุทธศาตร์ที่จะช่วยให้ชนะเลย แถมยังจะไปเข้าล็อกข้อกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงด้วยแต่ทั้งนายสุเทพ และเครือข่ายเนวิน ไม่กลัวเรื่องที่จะถูกจับโกหกรายวัน เพราะเป็นประเภท 5 ห่วงคาราวะอยู่แล้ว จึงยังคงสนุกกับการให้ข่าว หรือใช้ช่องทางกระบอกเสียง ซัดโครมๆทันทีว่า สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดงการเจรจาระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์ กับ นปช.ที่ล้มเหลว เป็นสิ่งที่สังคมคาดเอาไว้อยู่แล้ว หากดูมาตรฐานรัฐบาลที่เล่นเกมซื้อเวลามาตลอด ซ้ำยังมีการอาศัยกระบอกเสียงของรัฐปล่อยข่าวรายวันตลอดวาจาปราศรัย น้ำใจเชือดคอเป็นสุภาษิตสอนใจคนไทยมาช้านาน ว่าอย่าได้หลงเชื่อคารมใครง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่เวลาพูดก็ดี๊ดี ทุกอย่างดูเหมือนมีเหตุผลที่

จะยกความดีให้ตัวเองส่วนปัญหา ความผิดพลาดเลวร้าย สิ่งไม่ดีทั้งหลายโยนออกไปให้คนอื่นหมดบางครั้งไม่เว้นแม้แต่พรรคพวกเดียวกันเองด้วยซ้ำซึ่งคนแบบนี้โบราณบอกว่า เป็นพวก “รู้จักหน้าไม่รู้จักใจ”โชคร้ายที่สถานการณ์การเมือง และการทำลายล้างกันทางการเมืองในรอบนี้ กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มนายทหารสาย คมช. เลือกที่จะใช้นอมินี เป็นคนประเภทปากปราศัยน้ำใจเชือดคอปัญหาต่างๆ ก็เลยไม่ยอมที่จะจบดังนั้นจึงไม่น่าจะแปลกใจที่ตลอดระ

เวลา 1 ปี กับอีก 3 เดือนของการเป็นนายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ปัญหาต่างๆ จึงไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เลยแม้แต่สักข้อเดียวการที่จะสร้างความสมานฉันท์ สร้างสันติทางการเมือง วันนี้คงเห็นแล้วว่าการเผชิญหน้ายังคงเหมือนเดิม ซ้ำยังทำให้เกิดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกด้วยในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยังเป็นเพียงราคาคุย

หรือประติมากรรมน้ำลายของทั้งนายอภิสิทธิ์ และคู่หูอย่างนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยืนกรานว่าเศรษฐกิจดีแล้ว ฟื้นแล้ว แต่กลับยังปรากฏคนที่เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆกว่าครึ่งที่มาจากต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เสียที ก็บรรดาพี่น้องเกษตรกรที่เดือดร้อนจากราคาพืชผลตกต่ำ และปัญหาวิกฤตภัยแล้งอย่างหนักในขณะนี้ซึ่งเฉพาะแค่เรื่องภัยแล้งที่เกษตรกรโอดโอยกันลั่นๆ แต่นายอภิสิทธิ์

และคนที่ดูแลด้านเศรษฐกิจอย่างนายกรณ์ กลับยังไม่มีการกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลืออะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดูแลไปตามยะถากรรมแต่ที่สำคัญที่สุด ที่เห็นชัดถึงความล้มเหลวของรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ ก็คือเรื่องของความเสมอภาคกันของกฎหมายภายใต้มาตรฐานเดียวทุกวันนี้ความเสมอภาคไม่ต้องพูดถึง ร้ายที่สุดก็คือ ภาพ 2 มาตรฐานเด่นชัดตลอดระยะเวลาปีเศษ ว่าไม่เพียงไม่มีการคิดจะแก้ไขเรื่อง 2 มาตรฐาน แต่นับวันยิ่งทำให้สังคม

ประชาชน และเกษตรกรเห็นชัดในเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้นเรื่อยๆและเป็นสาเหตุให้เกินกว่าครึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเรือนแสนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภาเที่ยวนี้ มาเพราะเรื่อง 2 มาตรฐานและคงต้องขอสอนจระเข้ว่ายน้ำ ว่าหากยังดำรงภาพ 2 มาตรฐานอย่างชัดเจนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นับวันกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะมากขึ้นเรื่อยๆ... จะหาว่าไม่เตือน แรงกดดันของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความ

มั่นคง และนายทหารสาย คมช. รวมทั้งกลุ่ม 40 สว. บรรดาแกนนำม็อบพันธมิตร และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือให้การสนับสนุนรัฐบาลอยู่ จะบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงรัฐบาลได้แรงหนุนจากพรรคร่วมยืนยันชัดเจนสวนคำเรียกร้องให้ยุบสภา ว่าไม่ยุบสภาแน่นอนแต่ข่าวที่ออกไปทั่วโลก กับจำนวนคนที่มาชุมนุมที่เป็นเรือนแสนจริง ซึ่งชัดเจนจากบรรดาสื่อต่างประเทศรายงานข้อเท็จจริงไปทั่วโลกว่าคนมีจำนวนมากเพียงใด ดังนั้นแม้จะมีการพยายามกล่าวอ้างผ่านสื่อที่รัฐ

ครอบงำอยู่ว่ามีคนจำนวนไม่มาก แต่รัฐบาลเองก็รู้สึกสะท้านไหวต่อการกดดันในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงได้มีการใช้แผนรับมือที่ออกมาจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ หรือ ศอ.รส. ว่าต้องเล่นบทตี 2 หน้า... รับมือกลุ่มคนเสื้อแดงด้านหนึ่งที่เป็นทางเปิดเผย ก็ให้นายอภิสิทธิ์ พยายามพูดเหมือนพร้อมประนีประนอมพร้อมเจรจา เพื่อให้เกิดข้อยุติ มีการอาศัยกระบอกเสียงที่รัฐครอบงำในทุกกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ สถานีโทรทัศน์ NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็น

กระบอกเสียงที่ชัดเจนที่สุด ใช้ทั้งนายอภิสิทธิ์ พูดเอง คนรอบข้างพูด นักวิชาการที่คัดเลือกจำเพาะเจาะจงแล้วให้มาพูด เพื่อต้องการสร้างภาพว่ารัฐบาลพร้อมเจรจา แต่กลุ่มคนเสื้อแดงเองที่ไม่ยอมเจรจาทั้งๆ ที่ภาพความเป็นจริงตลอดมาในเรื่องของการเจรจาใดๆ ก็ตามในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่สำคัญที่สุดก็คือการเจรจาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เกมซื้อเวลา ที่คนทั้งประเทศ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลรู้ซึ้งไปตามๆ กันแต่ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ นายดิเรก

ถึงฝั่ง ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่วันนี้นายอภิสิทธิ์ไม่เคยหยิบข้อสรุปมาใช้ แถมไม่เคยให้ราคาเลยสักนิดแล้ววันนี้ที่การเจรจาระหว่าง นปช. กับนายอภสิทธิ์ล่ม ก็เพราะเป็นความจงใจลึกๆ ของรัฐบาลเองนั่นแหละ... เรื่องอะไรที่นายอภิสิทธิ์จะยอมเจรจาคนเดียว ถึงเวลาโบ้ยไม่ได้ ไม่มีใครให้โบ้ยก็เสร็จกันพอดีแต่แน่นอนว่า ในภาพเบื้องหน้า ทุกอย่างต้องให้ดูดีไว้ก่อนว่าพร้อมเจรจา แม้ว่าจะซุกตัวอยู่ในราบ 11 ก็ตาม ต้องยืนกระต่ายขาเดียว

ว่า “พร้อมเจรจา” ไปเรื่อยๆ ซื้อเวลาไปให้นานที่สุด เพราะคนรอบข้างให้ข้อมูลกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ต้องกลัวของไม่จริง ม็อบรับจ้าง เดี๋ยวสักพักก็ไปแล้ว... ซึ่งไม่รู้ว่าคราเคราะห์หรือไม่ เพราะคนขนาดได้เกียรตินิยมจากออกซฟอร์ด กลับดันเชื่อเป็นจริงเป็นจังเสียด้วย... กองเชียร์รอบข้างเลยยิ้มแก้มตุ่ยอย่างไรก็ตาม ในเบื้องหลังแล้วเป็นหนังคนละม้วน เพราะนายอภิสิทธิ์ ยึดติดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงต้อนเข้ามุมประจานกันจนหมดทุกเรื่อง แต่ที่สำคัญที่สุดทำให้ความ

เป็นครอบครัว “เวชชาชีวะ” กระทบกระเทือนอย่างมากโดยเฉพาะครอบครัวของนายอภิสิทธิ์ ที่ต้องพลัดพรากจากกันชั่วคราว เพราะนายอภิสิทธิ์ต้องไปหลบอยู่ในราบ 11 ในขณะที่นางพิมพ์เพ็ญ และบุตร 2 คนคือ มะปราง และ ปัณ ต้องอยู่อย่างวิตกกังวลที่บ้านสุขุมวิท 31จนเป็นที่มาให้เกิดข่าวลือว่า การเข้าไปลี้ภัยใน ราบ 11 ของมาร์ค จะถือว่าเป็นการมา ”พึ่งบารมีทหาร” หรือถูกทหารยึดเอาตัวเป็นตัวประกัน จะทำอะไร กองทัพรู้หมด ก็เป็นไปได้ทั้งสองอย่างจะยุบ

สภาก็ทำไม่ได้ เพราะมหาอำมาตย์ใหญ่ไม่ยอมให้ยุบ ทหารและกองทัพจึงทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาของมหาอำมาตย์คอยติดตาม นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ทุกย่างก้าว และทุกอิริยาบท??แต่ในอีกมุมหนึ่งมีคนมองกันว่า....สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในเวลานี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์มีทางเลือกนน้อยลง จึงต้องกัดฟันจับมือกับนายสุเทพ และที่สำคัญคือนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งกุมกลไกในเรื่องกระบอกเสียงไว้ในมือ เล่นเกมใต้ดินในลักษณะสู้ยิบตาจะเห็นว่า การยิง M79 ก็ดี การระเบิด

กระทรวงกลาโหม และการระเบิดที่ทำการใหม่ของ ป.ป.ช. ทั้งๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งทุกกรณีถ้ากลุ่มเสื้อแดงทำจริงก็ต้องถือว่าปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง เพราะไม่ได้อยู่ในแนวยุทธศาตร์ที่จะช่วยให้ชนะเลย แถมยังจะไปเข้าล็อกข้อกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงด้วยแต่ทั้งนายสุเทพ และเครือข่ายเนวิน ไม่กลัวเรื่องที่จะถูกจับโกหกรายวัน เพราะเป็นประเภท 5 ห่วงคาราวะอยู่แล้ว จึงยังคงสนุกกับการให้ข่าว หรือใช้ช่องทางกระบอกเสียง ซัดโครมๆ ทันทีว่า สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของ

กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งประเมินแล้วเชื่อว่า ยิ่งแรงกดดันยิ่งมาก จะยิ่งมีการเล่นใต้ดินหนักหน่วงมากขึ้น จะมีเหตุระเบิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้กลุ่มคนเสื้อแดงหมดความชอบธรรมให้ได้เดิมคนยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมต้องยิง M79 ใส่ ร.1รอ. ด้วย??? มาวันนี้นายสุเทพก็ได้ช่วยเฉลยให้สังคมถึงบางอ้อ เพราะนายสุเทพ พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พล.

อ.ธีระวัฒน์ บุณยประดับ ผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ทบ. และพล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. เดินทางไปยังบ้านพักรับรองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ที่อยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เพื่อไปอวยพรเนื่องในวันคล้ายเกิดครบรอบ 56 ปีของพล.อ.ประยุทธ์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2553ที่แท้ M79 ใต้ดินต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ฮึ่มนี่เอง!!!


ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

ยิงเอ็ม79ใส่สธ.คล้อยหลัง"มาร์ค"ประชุมครม.เสร็จ2ครั้งติด รถเสียหาย4คัน คาดดิ่งจากทางด่วน ไร้คนเจ็บ

นายกฯรู้เรื่องยิง79เข้าสธ.แล้ว "ปณิธาน"เชื่อสร้างสถานการณ์

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเหตุยิงเอ็ม 79 จำนวน 2 ลูกเข้ามายังกระทรวงสาธารณสุขว่า รับทราบสถานการณ์แล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่เห็นว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้เห็นว่ามีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งในพื้นที่ควบคุมถือว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เชื่อว่านายกฯได้รับรายงานแล้ว

เมื่อถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า กำลังดูในรายละเอียด ซึ่งคิดว่าในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว และอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง

เกิดเสียงบึ้มดังสนั่น 2 ครั้งบริเวณสนามกีฬากระทรวงสาธารณสุข

นายแพทย์ ชาตรี เจริญชีวะกุล ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 23 มี.ค. ทราบรายงานเบื้องต้นว่า บริเวณสนามกีฬา กระทรวงสาธารณะสุขมีเหตุระเบิดเกิดขึ้น ซึ่งมีเสียงดังขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้งติดต่อกัน

เบื้องต้นมีรายงานข่าวว่า เสียงระเบิดดังมาจากข้างกองวิศวกรรมการแพทย์ ระหว่างโฆษกแถลงผลประชุมครม.ทำให้กระจกรถแตกแต่ยังไม่มีรายงานคนบาดเจ็บ มีรถได้รับความเสียหาย 4 คัน ทั้งกระจกแตก ยางแบน คาดว่าเป็นการยิง M79 จากทางด่วนซึ่งอยู่ห่างไปไม่มากนัก ทั้งนี้จุดตกอยู่ห่างจากรั้วประมาณ 30 เมตร และห่างจากจุดที่มีประชาชนทำงานอยู่ไม่เกิน 100 เมตร แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากจุดที่ตกเป็นลานจอดรถและลานกีฬา

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เสียงระเบิดเกิดขึ้นภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นจากกาารประชุม ครม.และเดินทางออกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว


ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

ศอ.รส.ประกาศ 2 ฉบับ ห้ามใช้ 8 เส้นทางคมนาคม-ห้ามก่อความไม่สงบ ถ้าเป็นผู้ชุมนุมงัดคำสั่งศาล ปค.คุม

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มีนาคม พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า ศอ.รส. ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 8 สาย ดังนี้ 1.ถนนนครราชสีมา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ.ถึงแยกสวนรื่นฤดี 2.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกอุภัย 3.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกสุโขทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร 4.ถนนศรีอยุธยา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ. ถึงแยกเสาวนีย์ 5.ถนนอู่ทองใน ตั้งแต่แยกพระรูปรัชกาลที่5 ถึงแยกอู่ทองใน 6.ถนนสวรรคโลก ตั้งแต่แยกเสาวนีย์ ถึงแยกสวรรคโลก 7.ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวรรคโลก ถึงท่าน้ำสามเสน และ8.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงแยกอู่ทองใน ซึ่งคาดว่าใน1-2 วันนี้จะมีการประชุมสภา ซึ่งจะใช้รัฐสภาเป็นสถานที่ประชุม

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า สำหรับฉบับที่ 2 ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ อาทิ การปลุกระดม ยุงยงปลุกปั่น สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรงหรือเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของรัฐ เข้าหรือต้องออกบริเวณพื้นที่รัฐสภา อู่ทองใน เขตดุสิต กทม. เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการห้ามยานพาหนะเข้าถนนทั้ง 8 สายดังกล่าวและห้ามเข้ารัฐสภา

“หากผู้ใดฝ่าฝืน เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นกรณีผู้ชุมนุมก็จะถือว่ามิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลาง เคยมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ตามคดีหมายเลขดำที่ 1605/2551 เป็นแนวทางไว้แล้ว” รอง ผบช.น.กล่าว

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า หากฝ่าฝืนทั้งไปปิด ไปล้อม ไปก่อเหตุ ทำให้ประชาชนหวาดกลัวถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ เพราะเมื่อห้ามยานพาหนะ ห้ามคนเข้าไป หากเข้าไปถือว่าผิดกฎหมาย โดยจะมีการนำประกาศข้อบังคับไปปิดตามจุดต่างๆ เพื่อให้รู้ให้เห็นจับต้องได้ กว่า 2,000 แผ่น ส่วนจะห้ามถึงวันใด บช.น.ยังไม่ทราบ อยู่ที่ศอ.รส. โดยมีการเริ่มตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยการห้ามผู้เข้ารัฐสภาเป็นการห้ามผู้อาจมีพฤติกรรมก่อความวุ่นวายขึ้น

ด้านพล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ปัญหาการจราจรต้องมีการแก้ไขปัญหารายชั่วโมง ตำรวจต้องทำงานตั้งแต่ดึก สำหรับแยกสำคัญทั้งแยกการเรือน แยกราชวิถี แยกอู่ทองใน แยกเบญจ นั้น พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. (จราจร) จะมีการเปิดขาเข้าบางส่วน และเปิดขาออกช่วงเย็นในเบื้องต้น ส่วนสภาพการจราจรก็จะแก้ไขปัญหาตมห้วงเวลาหากติดอีกก็จะเปิดบางจุด ตามประกาศ พรบ.ความมั่นคง ซึ่งเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่สามารถสามารถอนุญาตได้ สำหรับเรื่องอื่นๆกำลังเข้าจุดตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยตำรวจทหารทั้งหมดไม่มีอาวุธ โยตำรวจใช้กำลัง 22 กองร้อยดูแลรัฐสภา โดยในรัฐสภามีกำลังแค่ 3 กองร้อย เตรียมพร้อมเพื่อพร้อมในการชุมนุม โดยสำหรับการชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมาข้อมูลจากสันติบาล มียอดสูงสุดที่ 15,500 คน

เมื่อถามถึงเหตุระเบิดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า เหตุระเบิดเกิดเวลา 20.30 น. ที่หน้าสำนักงานแขวงการทางธนบุรี พบกระเดื่องระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดเอ็ม 67 โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ ไม่ยืนยันว่าเกี่ยวกับการเมือง เพราะมี รปภ.ถูกไล่ออก 1 คน และระเบิดที่ป้อมยาม อีกทั้งตรงนั้นเป็นที่ซ่อมทางไม่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ทางการเมือง แต่บังเอิญว่าคนร้ายใช้วัตถุระเบิด โดยจะดูกล้องวงจรปิดและตรวจสอบทั้งหมด

ถามว่าจะมีการขอศาลออกหมายจับชายในภาพสเกตซ์ที่ต้องสงสัยเป็นคนร้ายยิงระเบิดอาร์พีจีที่กระทรวงกลาโหม 2 คนหรือยัง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า การสืบสวนคืบหน้าไปมาก ใกล้คว้าคอเสื้อแล้ว โดยเรื่องนี้ต้องถาม น.1 (พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.) ซึ่งน.1 ยืนยันในที่ประชุมว่าไม่ใช่แพะ ของแท้ ส่วนการออกหมายจับยังไม่มี


ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

เสื้อแดงเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์รณรงค์ยุบสภาแล้ว

เสื้อแดงทยอยเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์ รณรงค์ยุบสภาแล้ว เหวง เน้นใช้สันติ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้เคลื่อนขบวน เพื่อแจกใบปลิวรณรงค์ และสติกเกอร์ เชิญชวนคนกทม.ร่วมชุมนุมกดดันให้รัฐบาลยุบสภาแล้ว โดยกลุ่มสันติวิธีที่มี นพ.เหวง โตจิราการ เป็นแกนนำ สำหรับเส้นทางที่จะมีการเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์รณรงค์ยุบสภานั้น จะเริ่มตั้งแต่ ออกจากสะพานผ่านฟ้า ไปถนนหลานหลวง เข้าถนนเพรชบุรี ถึงแยกอโศก เลี้ยวซ้าย เข้าถ.รัชดาภิเษก ตรงไปแยกลาดพร้าว วิ่งตามถนนลาดพร้าว ถึงเดอะมอลล์บางกะปิ ไปลำสาลี ตรงไป ถนนรามคำแหง ผ่านหน้าม.รามคำแหง เข้าพระขโนง กล้วยน้ำไทย วิ่งตามถนนพระราม 4 ถึงแยกคลองเตย เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าถนนพระราม 3 ขึ้นสะพานกรุงเทพ ข้ามมาฝั่งธน ไปสี่แยกท่าพระ ไปวงเวียนใหญ่ ขึ้นสะพานพระเจ้าตากสิน (สาธร) วิ่งตามถนนสาธร เลี้ยวซ้ายเข้าศาลาแดง วิ่งตามถนนเยาวราช คลองถม และกลับมาที่สะพานผ่านฟ้า

นอกจากนี้ยังมีการกระจายขบวนไปยัง แถวปิ่นเกล้า ตลิ่งชัน บางขุนเทียน บางซื่อ และแคราย อีกด้วย

โดยใช้เวลาตั้งแต่ 10.00น. -16.00 น. ทั้งนี้ นพ.เหวง ได้ย้ำกับกลุ่มมอเตอร์ไซต์ ว่าให้ยึดสันวิธี และให้อดทนกับสิ่งยั่วยุ ห้ามมีการตอบโต้อย่างเด็ดขาด เพราะอาจเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินได้

ส่วนบรรยากาศ ตั้งแต่ช่วงเช้าเวลา 07.00 น. ที่ผ่านมา นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. นำผู้ร่วมชุมนุมตักบาตรพระสงฆ์ที่หน้าเวทีใหญ่ เพื่อความเป็นศิริมงคล และร่วมกันอธิษฐานขอพรให้นายกฯ ยุบสภาโดยเร็ว นอกจากนี้พระสงฆ์กลุ่มสันติวิธี ยังได้อ่านแถลงการณ์ขอบิณฑบาตรไม่ให้รัฐบาลประกาศพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากประชาชนชุมนุมกันอย่างสันติ

อย่างไรก็ตามในเวลา 08.30 น. ด้านข้างเวทีใหญ่ เป็นจุดรวมพลของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ชาวเสื้อแดง และมอเตอร์ไซด์รับจ้างจากเขตต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ รอมาเข้าคิวลงชื่อรับแจกสติกเกอร์ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อลงชื่อเสร็จแล้วจะได้รับสติกเกอร์รูปหัวใจสีแดงแปะที่หน้าอก พร้อมสติกเกอร์ขนาดหนึ่งส่วนสี่ ของกระดาษ A4 พื้นที่แดงตัวหนังสือสีขาว เขียนข้อความว่า "ยุบสภา" นำไปแจกประชาชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 5 แสนแผ่น

ที่มา.โพสต์ทูเดย์.
********************************************

การเมืองสภาอุตฯ ภาพสะท้อนเมืองไทย

บทบรรณาธิการ

เหลือเวลาอีกไม่มากนัก การเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ แม้จะเริ่มเห็นแนวโน้มของฝ่ายที่จะได้รับชัยชนะ ค่อนข้างชัดเจน แต่ดูเหมือนความวุ่นวายอาจไม่ยุติลงอย่างราบรื่น สมานฉันท์ อย่างที่สมาชิก ตลอดจนผู้ติดตามความเคลื่อนไหวจากภายนอกคาดหวังกัน ปัญหาความขัดแย้งขยายผลลงไปกลายเป็นความแตกแยก แบ่งข้าง แบ่งฝ่าย ไกลเกินที่จะย้อนกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนในอดีต

สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรร่วมภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมฯ กลายเป็นภาพสะท้อนเชื่อมโยงไปถึงสังคมการเมืองไทยในภาพใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะลึก ๆ แล้วสถานการณ์การเมืองไทยก็ไม่ได้มีฉากที่แตกต่างกันเลย ความขัดแย้งของแนวคิด มุมมอง ความเชื่อทางด้านการเมืองของคนในประเทศไทย ฝังรากลึกลงไปในแต่ละระดับ พร้อมกับความตื่นตัวทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และคงเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังว่า สภาพสังคมการเมืองไทยจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนดังเช่นภาวการณ์ก่อนหน้าการเข้ามา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงต่อกรณีการปฏิวัติเดือนกันยายน 2549

เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะทำให้ "คนชั้นกลาง" กลุ่มคนในสังคมเมือง-กรุงเทพฯ กลุ่มที่นิยมแนวคิดแบบ "สีเหลือง" รวมถึงคนอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ฝังใจกับภาพลบของ พ.ต.ท.ทักษิณ เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในนิยามของตนเอง หันกลับมาพิจารณาข้อเรียกร้องทางการเมืองของ "กลุ่มคน เสื้อแดง" โดยปราศจากอคติ เช่นเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากจะสร้างกระบวนการโน้มน้าวให้ "คนรากหญ้า" ชาวชนบท ในเขตภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หันกลับมาทบทวนข้อเรียกร้องที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางประชาธิปไตยที่ไม่ปิดกั้น กีดกัน "คนสีอื่น"

ข้อดีประการเดียวของสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองนับจากวันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา นั่นคือการที่ทุกฝ่ายใช้ความอดทนในระหว่างการเผชิญหน้ากัน ตั้งมั่นอย่างมีวินัย ที่จะไม่ใช้ความรุนแรง แม้จะมีความพยายามในด้านสงคราม ข่าวสาร หรือการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯบางส่วนก็ตาม อย่างน้อยการชุมนุมอย่างสงบ การเตรียมแผนตั้งรับด้วยมาตรการที่เป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ก็ช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในมุมมองของนานาประเทศ ดูดีมีวุฒิภาวะมากยิ่งขึ้น

และคงจะเป็นเรื่องดียิ่งกว่านี้ หากทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และ ฝ่ายรัฐบาลอันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนหลัก ไม่ตั้งอยู่บนทิฐิ หรือมุ่งมั่นเพียงแต่ต้องการจะเป็น "ผู้ชนะ" ให้ได้ในเหตุการณ์ครั้งนี้ หากลดอคติดังกล่าวได้ โอกาสของการเปิดเวทีสำหรับ "การเจรจา" ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น บทสรุปหรือฉากจบที่สวยงาม ไม่เกิดความสูญเสียทุก ๆ ฝ่าย ตามที่ คนส่วนใหญ่ของประเทศปรารถนาที่จะเห็น ก็คงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน

จุดสำคัญของการ "ยอมรับความต่าง" เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เรียกร้อง ต่อรองโดยสันติวิธี ใช้วิถีทางของการเจรจา พิจารณาข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายด้วยเหตุด้วยผล นั่นน่าจะเป็นทางออกทางเดียวสำหรับสังคมการเมืองไทยในนาทีนี้


ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***********************************************

สงครามชนชั้น


นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศจะทำทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ หลังหลบเข้าเซฟเฮาส์ราบ 11 นานกว่าสัปดาห์

วันอังคารประชุมครม. วันพุธ วันพฤหัสฯไปประชุมสภา

ขณะที่ 3 เกลอนปช.ก็ประกาศนำม็อบเสื้อแดงหลักหมื่นตามอภิสิทธิ์ไปทุกหนทุกแห่งเช่นกัน

ปรากฏการณ์แดงทั้งกรุงเทพฯเมื่อวันเสาร์ ท้าทายคำประกาศของนายกฯอย่างยิ่ง

ดูๆ แล้วนอกจากจะไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ ประชุมครม.วันนี้(ถ้ามี) มีแนวโน้มขยายเวลาประกาศใช้พ.ร.บ. ความมั่นคงออกไปอีก

ศอ.รส. กอ.รมน. ฝ่ายความมั่นคง ชงรอไว้เรียบร้อย !

ตอนม็อบเสื้อแดงนัดชุมนุมใหม่ๆ รัฐบาลกับกองทัพประเมินไม่ยืดเยื้อ

3 วัน 5 วัน เต็มที่ไม่เกินอาทิตย์ ?

เพราะเชื่อว่ามวลชนที่เกือบทั้งหมดมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เจอสภาพอากาศร้อนจัด การกินอยู่หลับนอนยากลำบาก

จะบั่นทอนกำลังกาย กำลังใจ จนยอมล่าถอยในไม่กี่วัน

ที่สำคัญไม่มีเหตุปัจจัยพิเศษใดๆ รุนแรงและสุกงอมเพียงพอล้มรัฐบาลได้

ลำพังแค่คดียึดทรัพย์ทักษิณปลุกกระแสไม่ขึ้นแน่ๆ

น่าห่วงการสร้างสถานการณ์จากเครือข่ายนายใหญ่มากกว่า ถึงต้องระดมทหารตำรวจกว่าครึ่งแสนตรึงทั่วเมืองหลวง

ยังไงๆ ฝ่ายรัฐบาลก็ได้เปรียบแทบทุกประตู

แต่แล้วความตายของ "จ่าเพียร" ก็เผาคนเป็นอย่างนายกฯจนตายทั้งเป็น !

กลายเป็นอาวุธหนักของฝ่ายเสื้อแดงชนิดไม่คิดไม่ฝัน

ขนาดทักษิณยังปรับสคริปต์นำมาไล่ถล่มอภิสิทธิ์ทุกคืนที่วิดีโอลิงก์

ช่วยเติมเต็มประเด็นหลักที่จัดเตรียมไว้ "ไพร่-อำมาตย์" จุดติดไปด้วย

เพราะ "จ่าเพียร" ตายเพราะเจ้านาย ตายเพราะความไม่เป็นธรรม ตายเพราะความเน่าเฟะของระบบราชการ

และตายเพราะไม่มีเส้น !

กระตุกความรู้สึกอารมณ์ร่วมของบรรดาราษฎรเต็มขั้นทั่วทั้งแผ่นดินได้กระฉูด

โดยเฉพาะคนรากหญ้า คนยากคนจน คนด้อยโอกาส คนไม่ได้รับความเป็นธรรม

และคนไม่มีเส้น !!

ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ม็อบเสื้อแดงได้แนวร่วมที่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ ไม่เอาอำมาตย์เพิ่มขึ้นอีกเพียบ

ทักษิณจากมหาเศรษฐีแสนล้าน กลายเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายไพร่

นำมวลชนเสื้อแดงที่ปักหลักชุมนุมใจกลางเมืองหลวงเข้าสู่วันที่สิบ

จากข้อเรียกร้องยุบสภาคืนอำนาจประชาชน

ยกระดับขึ้นเป็น "สงครามชนชั้น" !?

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
**************************************************