จะเห็นว่า การยิง M79 ก็ดี การระเบิดกระทรวงกลาโหม และการระเบิดที่ทำการใหม่ของ ป.ป.ช.ทั้งๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งทุกกรณีถ้ากลุ่มเสื้อแดงทำจริงก็ต้องถือว่าปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง เพราะไม่ได้อยู่ในแนวยุทธศาตร์ที่จะช่วยให้ชนะเลย แถมยังจะไปเข้าล็อกข้อกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงด้วยแต่ทั้งนายสุเทพ และเครือข่ายเนวิน ไม่กลัวเรื่องที่จะถูกจับโกหกรายวัน เพราะเป็นประเภท 5 ห่วงคาราวะอยู่แล้ว จึงยังคงสนุกกับการให้ข่าว หรือใช้ช่องทางกระบอกเสียง ซัดโครมๆทันทีว่า สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดงการเจรจาระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์ กับ นปช.ที่ล้มเหลว เป็นสิ่งที่สังคมคาดเอาไว้อยู่แล้ว หากดูมาตรฐานรัฐบาลที่เล่นเกมซื้อเวลามาตลอด ซ้ำยังมีการอาศัยกระบอกเสียงของรัฐปล่อยข่าวรายวันตลอดวาจาปราศรัย น้ำใจเชือดคอเป็นสุภาษิตสอนใจคนไทยมาช้านาน ว่าอย่าได้หลงเชื่อคารมใครง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่เวลาพูดก็ดี๊ดี ทุกอย่างดูเหมือนมีเหตุผลที่
จะยกความดีให้ตัวเองส่วนปัญหา ความผิดพลาดเลวร้าย สิ่งไม่ดีทั้งหลายโยนออกไปให้คนอื่นหมดบางครั้งไม่เว้นแม้แต่พรรคพวกเดียวกันเองด้วยซ้ำซึ่งคนแบบนี้โบราณบอกว่า เป็นพวก “รู้จักหน้าไม่รู้จักใจ”โชคร้ายที่สถานการณ์การเมือง และการทำลายล้างกันทางการเมืองในรอบนี้ กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มนายทหารสาย คมช. เลือกที่จะใช้นอมินี เป็นคนประเภทปากปราศัยน้ำใจเชือดคอปัญหาต่างๆ ก็เลยไม่ยอมที่จะจบดังนั้นจึงไม่น่าจะแปลกใจที่ตลอดระ
เวลา 1 ปี กับอีก 3 เดือนของการเป็นนายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ปัญหาต่างๆ จึงไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เลยแม้แต่สักข้อเดียวการที่จะสร้างความสมานฉันท์ สร้างสันติทางการเมือง วันนี้คงเห็นแล้วว่าการเผชิญหน้ายังคงเหมือนเดิม ซ้ำยังทำให้เกิดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกด้วยในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยังเป็นเพียงราคาคุย
หรือประติมากรรมน้ำลายของทั้งนายอภิสิทธิ์ และคู่หูอย่างนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยืนกรานว่าเศรษฐกิจดีแล้ว ฟื้นแล้ว แต่กลับยังปรากฏคนที่เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆกว่าครึ่งที่มาจากต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เสียที ก็บรรดาพี่น้องเกษตรกรที่เดือดร้อนจากราคาพืชผลตกต่ำ และปัญหาวิกฤตภัยแล้งอย่างหนักในขณะนี้ซึ่งเฉพาะแค่เรื่องภัยแล้งที่เกษตรกรโอดโอยกันลั่นๆ แต่นายอภิสิทธิ์
และคนที่ดูแลด้านเศรษฐกิจอย่างนายกรณ์ กลับยังไม่มีการกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลืออะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดูแลไปตามยะถากรรมแต่ที่สำคัญที่สุด ที่เห็นชัดถึงความล้มเหลวของรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ ก็คือเรื่องของความเสมอภาคกันของกฎหมายภายใต้มาตรฐานเดียวทุกวันนี้ความเสมอภาคไม่ต้องพูดถึง ร้ายที่สุดก็คือ ภาพ 2 มาตรฐานเด่นชัดตลอดระยะเวลาปีเศษ ว่าไม่เพียงไม่มีการคิดจะแก้ไขเรื่อง 2 มาตรฐาน แต่นับวันยิ่งทำให้สังคม
ประชาชน และเกษตรกรเห็นชัดในเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้นเรื่อยๆและเป็นสาเหตุให้เกินกว่าครึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเรือนแสนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภาเที่ยวนี้ มาเพราะเรื่อง 2 มาตรฐานและคงต้องขอสอนจระเข้ว่ายน้ำ ว่าหากยังดำรงภาพ 2 มาตรฐานอย่างชัดเจนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นับวันกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะมากขึ้นเรื่อยๆ... จะหาว่าไม่เตือน แรงกดดันของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความ
มั่นคง และนายทหารสาย คมช. รวมทั้งกลุ่ม 40 สว. บรรดาแกนนำม็อบพันธมิตร และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือให้การสนับสนุนรัฐบาลอยู่ จะบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงรัฐบาลได้แรงหนุนจากพรรคร่วมยืนยันชัดเจนสวนคำเรียกร้องให้ยุบสภา ว่าไม่ยุบสภาแน่นอนแต่ข่าวที่ออกไปทั่วโลก กับจำนวนคนที่มาชุมนุมที่เป็นเรือนแสนจริง ซึ่งชัดเจนจากบรรดาสื่อต่างประเทศรายงานข้อเท็จจริงไปทั่วโลกว่าคนมีจำนวนมากเพียงใด ดังนั้นแม้จะมีการพยายามกล่าวอ้างผ่านสื่อที่รัฐ
ครอบงำอยู่ว่ามีคนจำนวนไม่มาก แต่รัฐบาลเองก็รู้สึกสะท้านไหวต่อการกดดันในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงได้มีการใช้แผนรับมือที่ออกมาจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ หรือ ศอ.รส. ว่าต้องเล่นบทตี 2 หน้า... รับมือกลุ่มคนเสื้อแดงด้านหนึ่งที่เป็นทางเปิดเผย ก็ให้นายอภิสิทธิ์ พยายามพูดเหมือนพร้อมประนีประนอมพร้อมเจรจา เพื่อให้เกิดข้อยุติ มีการอาศัยกระบอกเสียงที่รัฐครอบงำในทุกกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ สถานีโทรทัศน์ NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็น
กระบอกเสียงที่ชัดเจนที่สุด ใช้ทั้งนายอภิสิทธิ์ พูดเอง คนรอบข้างพูด นักวิชาการที่คัดเลือกจำเพาะเจาะจงแล้วให้มาพูด เพื่อต้องการสร้างภาพว่ารัฐบาลพร้อมเจรจา แต่กลุ่มคนเสื้อแดงเองที่ไม่ยอมเจรจาทั้งๆ ที่ภาพความเป็นจริงตลอดมาในเรื่องของการเจรจาใดๆ ก็ตามในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่สำคัญที่สุดก็คือการเจรจาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เกมซื้อเวลา ที่คนทั้งประเทศ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลรู้ซึ้งไปตามๆ กันแต่ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ นายดิเรก
ถึงฝั่ง ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่วันนี้นายอภิสิทธิ์ไม่เคยหยิบข้อสรุปมาใช้ แถมไม่เคยให้ราคาเลยสักนิดแล้ววันนี้ที่การเจรจาระหว่าง นปช. กับนายอภสิทธิ์ล่ม ก็เพราะเป็นความจงใจลึกๆ ของรัฐบาลเองนั่นแหละ... เรื่องอะไรที่นายอภิสิทธิ์จะยอมเจรจาคนเดียว ถึงเวลาโบ้ยไม่ได้ ไม่มีใครให้โบ้ยก็เสร็จกันพอดีแต่แน่นอนว่า ในภาพเบื้องหน้า ทุกอย่างต้องให้ดูดีไว้ก่อนว่าพร้อมเจรจา แม้ว่าจะซุกตัวอยู่ในราบ 11 ก็ตาม ต้องยืนกระต่ายขาเดียว
ว่า “พร้อมเจรจา” ไปเรื่อยๆ ซื้อเวลาไปให้นานที่สุด เพราะคนรอบข้างให้ข้อมูลกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ต้องกลัวของไม่จริง ม็อบรับจ้าง เดี๋ยวสักพักก็ไปแล้ว... ซึ่งไม่รู้ว่าคราเคราะห์หรือไม่ เพราะคนขนาดได้เกียรตินิยมจากออกซฟอร์ด กลับดันเชื่อเป็นจริงเป็นจังเสียด้วย... กองเชียร์รอบข้างเลยยิ้มแก้มตุ่ยอย่างไรก็ตาม ในเบื้องหลังแล้วเป็นหนังคนละม้วน เพราะนายอภิสิทธิ์ ยึดติดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงต้อนเข้ามุมประจานกันจนหมดทุกเรื่อง แต่ที่สำคัญที่สุดทำให้ความ
เป็นครอบครัว “เวชชาชีวะ” กระทบกระเทือนอย่างมากโดยเฉพาะครอบครัวของนายอภิสิทธิ์ ที่ต้องพลัดพรากจากกันชั่วคราว เพราะนายอภิสิทธิ์ต้องไปหลบอยู่ในราบ 11 ในขณะที่นางพิมพ์เพ็ญ และบุตร 2 คนคือ มะปราง และ ปัณ ต้องอยู่อย่างวิตกกังวลที่บ้านสุขุมวิท 31จนเป็นที่มาให้เกิดข่าวลือว่า การเข้าไปลี้ภัยใน ราบ 11 ของมาร์ค จะถือว่าเป็นการมา ”พึ่งบารมีทหาร” หรือถูกทหารยึดเอาตัวเป็นตัวประกัน จะทำอะไร กองทัพรู้หมด ก็เป็นไปได้ทั้งสองอย่างจะยุบ
สภาก็ทำไม่ได้ เพราะมหาอำมาตย์ใหญ่ไม่ยอมให้ยุบ ทหารและกองทัพจึงทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาของมหาอำมาตย์คอยติดตาม นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ทุกย่างก้าว และทุกอิริยาบท??แต่ในอีกมุมหนึ่งมีคนมองกันว่า....สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในเวลานี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์มีทางเลือกนน้อยลง จึงต้องกัดฟันจับมือกับนายสุเทพ และที่สำคัญคือนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งกุมกลไกในเรื่องกระบอกเสียงไว้ในมือ เล่นเกมใต้ดินในลักษณะสู้ยิบตาจะเห็นว่า การยิง M79 ก็ดี การระเบิด
กระทรวงกลาโหม และการระเบิดที่ทำการใหม่ของ ป.ป.ช. ทั้งๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งทุกกรณีถ้ากลุ่มเสื้อแดงทำจริงก็ต้องถือว่าปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง เพราะไม่ได้อยู่ในแนวยุทธศาตร์ที่จะช่วยให้ชนะเลย แถมยังจะไปเข้าล็อกข้อกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงด้วยแต่ทั้งนายสุเทพ และเครือข่ายเนวิน ไม่กลัวเรื่องที่จะถูกจับโกหกรายวัน เพราะเป็นประเภท 5 ห่วงคาราวะอยู่แล้ว จึงยังคงสนุกกับการให้ข่าว หรือใช้ช่องทางกระบอกเสียง ซัดโครมๆ ทันทีว่า สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของ
กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งประเมินแล้วเชื่อว่า ยิ่งแรงกดดันยิ่งมาก จะยิ่งมีการเล่นใต้ดินหนักหน่วงมากขึ้น จะมีเหตุระเบิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้กลุ่มคนเสื้อแดงหมดความชอบธรรมให้ได้เดิมคนยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมต้องยิง M79 ใส่ ร.1รอ. ด้วย??? มาวันนี้นายสุเทพก็ได้ช่วยเฉลยให้สังคมถึงบางอ้อ เพราะนายสุเทพ พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พล.
อ.ธีระวัฒน์ บุณยประดับ ผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ทบ. และพล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. เดินทางไปยังบ้านพักรับรองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ที่อยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เพื่อไปอวยพรเนื่องในวันคล้ายเกิดครบรอบ 56 ปีของพล.อ.ประยุทธ์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2553ที่แท้ M79 ใต้ดินต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ฮึ่มนี่เอง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
ยิงเอ็ม79ใส่สธ.คล้อยหลัง"มาร์ค"ประชุมครม.เสร็จ2ครั้งติด รถเสียหาย4คัน คาดดิ่งจากทางด่วน ไร้คนเจ็บ
นายกฯรู้เรื่องยิง79เข้าสธ.แล้ว "ปณิธาน"เชื่อสร้างสถานการณ์
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเหตุยิงเอ็ม 79 จำนวน 2 ลูกเข้ามายังกระทรวงสาธารณสุขว่า รับทราบสถานการณ์แล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่เห็นว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้เห็นว่ามีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งในพื้นที่ควบคุมถือว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เชื่อว่านายกฯได้รับรายงานแล้ว
เมื่อถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า กำลังดูในรายละเอียด ซึ่งคิดว่าในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว และอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง
เกิดเสียงบึ้มดังสนั่น 2 ครั้งบริเวณสนามกีฬากระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์ ชาตรี เจริญชีวะกุล ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 23 มี.ค. ทราบรายงานเบื้องต้นว่า บริเวณสนามกีฬา กระทรวงสาธารณะสุขมีเหตุระเบิดเกิดขึ้น ซึ่งมีเสียงดังขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้งติดต่อกัน
เบื้องต้นมีรายงานข่าวว่า เสียงระเบิดดังมาจากข้างกองวิศวกรรมการแพทย์ ระหว่างโฆษกแถลงผลประชุมครม.ทำให้กระจกรถแตกแต่ยังไม่มีรายงานคนบาดเจ็บ มีรถได้รับความเสียหาย 4 คัน ทั้งกระจกแตก ยางแบน คาดว่าเป็นการยิง M79 จากทางด่วนซึ่งอยู่ห่างไปไม่มากนัก ทั้งนี้จุดตกอยู่ห่างจากรั้วประมาณ 30 เมตร และห่างจากจุดที่มีประชาชนทำงานอยู่ไม่เกิน 100 เมตร แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากจุดที่ตกเป็นลานจอดรถและลานกีฬา
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เสียงระเบิดเกิดขึ้นภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นจากกาารประชุม ครม.และเดินทางออกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเหตุยิงเอ็ม 79 จำนวน 2 ลูกเข้ามายังกระทรวงสาธารณสุขว่า รับทราบสถานการณ์แล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่เห็นว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้เห็นว่ามีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งในพื้นที่ควบคุมถือว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เชื่อว่านายกฯได้รับรายงานแล้ว
เมื่อถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า กำลังดูในรายละเอียด ซึ่งคิดว่าในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว และอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง
เกิดเสียงบึ้มดังสนั่น 2 ครั้งบริเวณสนามกีฬากระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์ ชาตรี เจริญชีวะกุล ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 23 มี.ค. ทราบรายงานเบื้องต้นว่า บริเวณสนามกีฬา กระทรวงสาธารณะสุขมีเหตุระเบิดเกิดขึ้น ซึ่งมีเสียงดังขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้งติดต่อกัน
เบื้องต้นมีรายงานข่าวว่า เสียงระเบิดดังมาจากข้างกองวิศวกรรมการแพทย์ ระหว่างโฆษกแถลงผลประชุมครม.ทำให้กระจกรถแตกแต่ยังไม่มีรายงานคนบาดเจ็บ มีรถได้รับความเสียหาย 4 คัน ทั้งกระจกแตก ยางแบน คาดว่าเป็นการยิง M79 จากทางด่วนซึ่งอยู่ห่างไปไม่มากนัก ทั้งนี้จุดตกอยู่ห่างจากรั้วประมาณ 30 เมตร และห่างจากจุดที่มีประชาชนทำงานอยู่ไม่เกิน 100 เมตร แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากจุดที่ตกเป็นลานจอดรถและลานกีฬา
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เสียงระเบิดเกิดขึ้นภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นจากกาารประชุม ครม.และเดินทางออกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
ศอ.รส.ประกาศ 2 ฉบับ ห้ามใช้ 8 เส้นทางคมนาคม-ห้ามก่อความไม่สงบ ถ้าเป็นผู้ชุมนุมงัดคำสั่งศาล ปค.คุม
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มีนาคม พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า ศอ.รส. ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 8 สาย ดังนี้ 1.ถนนนครราชสีมา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ.ถึงแยกสวนรื่นฤดี 2.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกอุภัย 3.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกสุโขทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร 4.ถนนศรีอยุธยา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ. ถึงแยกเสาวนีย์ 5.ถนนอู่ทองใน ตั้งแต่แยกพระรูปรัชกาลที่5 ถึงแยกอู่ทองใน 6.ถนนสวรรคโลก ตั้งแต่แยกเสาวนีย์ ถึงแยกสวรรคโลก 7.ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวรรคโลก ถึงท่าน้ำสามเสน และ8.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงแยกอู่ทองใน ซึ่งคาดว่าใน1-2 วันนี้จะมีการประชุมสภา ซึ่งจะใช้รัฐสภาเป็นสถานที่ประชุม
พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า สำหรับฉบับที่ 2 ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ อาทิ การปลุกระดม ยุงยงปลุกปั่น สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรงหรือเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของรัฐ เข้าหรือต้องออกบริเวณพื้นที่รัฐสภา อู่ทองใน เขตดุสิต กทม. เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการห้ามยานพาหนะเข้าถนนทั้ง 8 สายดังกล่าวและห้ามเข้ารัฐสภา
“หากผู้ใดฝ่าฝืน เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นกรณีผู้ชุมนุมก็จะถือว่ามิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลาง เคยมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ตามคดีหมายเลขดำที่ 1605/2551 เป็นแนวทางไว้แล้ว” รอง ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า หากฝ่าฝืนทั้งไปปิด ไปล้อม ไปก่อเหตุ ทำให้ประชาชนหวาดกลัวถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ เพราะเมื่อห้ามยานพาหนะ ห้ามคนเข้าไป หากเข้าไปถือว่าผิดกฎหมาย โดยจะมีการนำประกาศข้อบังคับไปปิดตามจุดต่างๆ เพื่อให้รู้ให้เห็นจับต้องได้ กว่า 2,000 แผ่น ส่วนจะห้ามถึงวันใด บช.น.ยังไม่ทราบ อยู่ที่ศอ.รส. โดยมีการเริ่มตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยการห้ามผู้เข้ารัฐสภาเป็นการห้ามผู้อาจมีพฤติกรรมก่อความวุ่นวายขึ้น
ด้านพล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ปัญหาการจราจรต้องมีการแก้ไขปัญหารายชั่วโมง ตำรวจต้องทำงานตั้งแต่ดึก สำหรับแยกสำคัญทั้งแยกการเรือน แยกราชวิถี แยกอู่ทองใน แยกเบญจ นั้น พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. (จราจร) จะมีการเปิดขาเข้าบางส่วน และเปิดขาออกช่วงเย็นในเบื้องต้น ส่วนสภาพการจราจรก็จะแก้ไขปัญหาตมห้วงเวลาหากติดอีกก็จะเปิดบางจุด ตามประกาศ พรบ.ความมั่นคง ซึ่งเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่สามารถสามารถอนุญาตได้ สำหรับเรื่องอื่นๆกำลังเข้าจุดตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยตำรวจทหารทั้งหมดไม่มีอาวุธ โยตำรวจใช้กำลัง 22 กองร้อยดูแลรัฐสภา โดยในรัฐสภามีกำลังแค่ 3 กองร้อย เตรียมพร้อมเพื่อพร้อมในการชุมนุม โดยสำหรับการชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมาข้อมูลจากสันติบาล มียอดสูงสุดที่ 15,500 คน
เมื่อถามถึงเหตุระเบิดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า เหตุระเบิดเกิดเวลา 20.30 น. ที่หน้าสำนักงานแขวงการทางธนบุรี พบกระเดื่องระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดเอ็ม 67 โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ ไม่ยืนยันว่าเกี่ยวกับการเมือง เพราะมี รปภ.ถูกไล่ออก 1 คน และระเบิดที่ป้อมยาม อีกทั้งตรงนั้นเป็นที่ซ่อมทางไม่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ทางการเมือง แต่บังเอิญว่าคนร้ายใช้วัตถุระเบิด โดยจะดูกล้องวงจรปิดและตรวจสอบทั้งหมด
ถามว่าจะมีการขอศาลออกหมายจับชายในภาพสเกตซ์ที่ต้องสงสัยเป็นคนร้ายยิงระเบิดอาร์พีจีที่กระทรวงกลาโหม 2 คนหรือยัง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า การสืบสวนคืบหน้าไปมาก ใกล้คว้าคอเสื้อแล้ว โดยเรื่องนี้ต้องถาม น.1 (พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.) ซึ่งน.1 ยืนยันในที่ประชุมว่าไม่ใช่แพะ ของแท้ ส่วนการออกหมายจับยังไม่มี
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า สำหรับฉบับที่ 2 ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ อาทิ การปลุกระดม ยุงยงปลุกปั่น สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรงหรือเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของรัฐ เข้าหรือต้องออกบริเวณพื้นที่รัฐสภา อู่ทองใน เขตดุสิต กทม. เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการห้ามยานพาหนะเข้าถนนทั้ง 8 สายดังกล่าวและห้ามเข้ารัฐสภา
“หากผู้ใดฝ่าฝืน เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นกรณีผู้ชุมนุมก็จะถือว่ามิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลาง เคยมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ตามคดีหมายเลขดำที่ 1605/2551 เป็นแนวทางไว้แล้ว” รอง ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า หากฝ่าฝืนทั้งไปปิด ไปล้อม ไปก่อเหตุ ทำให้ประชาชนหวาดกลัวถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ เพราะเมื่อห้ามยานพาหนะ ห้ามคนเข้าไป หากเข้าไปถือว่าผิดกฎหมาย โดยจะมีการนำประกาศข้อบังคับไปปิดตามจุดต่างๆ เพื่อให้รู้ให้เห็นจับต้องได้ กว่า 2,000 แผ่น ส่วนจะห้ามถึงวันใด บช.น.ยังไม่ทราบ อยู่ที่ศอ.รส. โดยมีการเริ่มตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยการห้ามผู้เข้ารัฐสภาเป็นการห้ามผู้อาจมีพฤติกรรมก่อความวุ่นวายขึ้น
ด้านพล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ปัญหาการจราจรต้องมีการแก้ไขปัญหารายชั่วโมง ตำรวจต้องทำงานตั้งแต่ดึก สำหรับแยกสำคัญทั้งแยกการเรือน แยกราชวิถี แยกอู่ทองใน แยกเบญจ นั้น พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. (จราจร) จะมีการเปิดขาเข้าบางส่วน และเปิดขาออกช่วงเย็นในเบื้องต้น ส่วนสภาพการจราจรก็จะแก้ไขปัญหาตมห้วงเวลาหากติดอีกก็จะเปิดบางจุด ตามประกาศ พรบ.ความมั่นคง ซึ่งเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่สามารถสามารถอนุญาตได้ สำหรับเรื่องอื่นๆกำลังเข้าจุดตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยตำรวจทหารทั้งหมดไม่มีอาวุธ โยตำรวจใช้กำลัง 22 กองร้อยดูแลรัฐสภา โดยในรัฐสภามีกำลังแค่ 3 กองร้อย เตรียมพร้อมเพื่อพร้อมในการชุมนุม โดยสำหรับการชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมาข้อมูลจากสันติบาล มียอดสูงสุดที่ 15,500 คน
เมื่อถามถึงเหตุระเบิดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า เหตุระเบิดเกิดเวลา 20.30 น. ที่หน้าสำนักงานแขวงการทางธนบุรี พบกระเดื่องระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดเอ็ม 67 โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ ไม่ยืนยันว่าเกี่ยวกับการเมือง เพราะมี รปภ.ถูกไล่ออก 1 คน และระเบิดที่ป้อมยาม อีกทั้งตรงนั้นเป็นที่ซ่อมทางไม่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ทางการเมือง แต่บังเอิญว่าคนร้ายใช้วัตถุระเบิด โดยจะดูกล้องวงจรปิดและตรวจสอบทั้งหมด
ถามว่าจะมีการขอศาลออกหมายจับชายในภาพสเกตซ์ที่ต้องสงสัยเป็นคนร้ายยิงระเบิดอาร์พีจีที่กระทรวงกลาโหม 2 คนหรือยัง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า การสืบสวนคืบหน้าไปมาก ใกล้คว้าคอเสื้อแล้ว โดยเรื่องนี้ต้องถาม น.1 (พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.) ซึ่งน.1 ยืนยันในที่ประชุมว่าไม่ใช่แพะ ของแท้ ส่วนการออกหมายจับยังไม่มี
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
เสื้อแดงเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์รณรงค์ยุบสภาแล้ว
เสื้อแดงทยอยเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์ รณรงค์ยุบสภาแล้ว เหวง เน้นใช้สันติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้เคลื่อนขบวน เพื่อแจกใบปลิวรณรงค์ และสติกเกอร์ เชิญชวนคนกทม.ร่วมชุมนุมกดดันให้รัฐบาลยุบสภาแล้ว โดยกลุ่มสันติวิธีที่มี นพ.เหวง โตจิราการ เป็นแกนนำ สำหรับเส้นทางที่จะมีการเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์รณรงค์ยุบสภานั้น จะเริ่มตั้งแต่ ออกจากสะพานผ่านฟ้า ไปถนนหลานหลวง เข้าถนนเพรชบุรี ถึงแยกอโศก เลี้ยวซ้าย เข้าถ.รัชดาภิเษก ตรงไปแยกลาดพร้าว วิ่งตามถนนลาดพร้าว ถึงเดอะมอลล์บางกะปิ ไปลำสาลี ตรงไป ถนนรามคำแหง ผ่านหน้าม.รามคำแหง เข้าพระขโนง กล้วยน้ำไทย วิ่งตามถนนพระราม 4 ถึงแยกคลองเตย เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าถนนพระราม 3 ขึ้นสะพานกรุงเทพ ข้ามมาฝั่งธน ไปสี่แยกท่าพระ ไปวงเวียนใหญ่ ขึ้นสะพานพระเจ้าตากสิน (สาธร) วิ่งตามถนนสาธร เลี้ยวซ้ายเข้าศาลาแดง วิ่งตามถนนเยาวราช คลองถม และกลับมาที่สะพานผ่านฟ้า
นอกจากนี้ยังมีการกระจายขบวนไปยัง แถวปิ่นเกล้า ตลิ่งชัน บางขุนเทียน บางซื่อ และแคราย อีกด้วย
โดยใช้เวลาตั้งแต่ 10.00น. -16.00 น. ทั้งนี้ นพ.เหวง ได้ย้ำกับกลุ่มมอเตอร์ไซต์ ว่าให้ยึดสันวิธี และให้อดทนกับสิ่งยั่วยุ ห้ามมีการตอบโต้อย่างเด็ดขาด เพราะอาจเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินได้
ส่วนบรรยากาศ ตั้งแต่ช่วงเช้าเวลา 07.00 น. ที่ผ่านมา นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. นำผู้ร่วมชุมนุมตักบาตรพระสงฆ์ที่หน้าเวทีใหญ่ เพื่อความเป็นศิริมงคล และร่วมกันอธิษฐานขอพรให้นายกฯ ยุบสภาโดยเร็ว นอกจากนี้พระสงฆ์กลุ่มสันติวิธี ยังได้อ่านแถลงการณ์ขอบิณฑบาตรไม่ให้รัฐบาลประกาศพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากประชาชนชุมนุมกันอย่างสันติ
อย่างไรก็ตามในเวลา 08.30 น. ด้านข้างเวทีใหญ่ เป็นจุดรวมพลของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ชาวเสื้อแดง และมอเตอร์ไซด์รับจ้างจากเขตต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ รอมาเข้าคิวลงชื่อรับแจกสติกเกอร์ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อลงชื่อเสร็จแล้วจะได้รับสติกเกอร์รูปหัวใจสีแดงแปะที่หน้าอก พร้อมสติกเกอร์ขนาดหนึ่งส่วนสี่ ของกระดาษ A4 พื้นที่แดงตัวหนังสือสีขาว เขียนข้อความว่า "ยุบสภา" นำไปแจกประชาชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 5 แสนแผ่น
ที่มา.โพสต์ทูเดย์.
********************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้เคลื่อนขบวน เพื่อแจกใบปลิวรณรงค์ และสติกเกอร์ เชิญชวนคนกทม.ร่วมชุมนุมกดดันให้รัฐบาลยุบสภาแล้ว โดยกลุ่มสันติวิธีที่มี นพ.เหวง โตจิราการ เป็นแกนนำ สำหรับเส้นทางที่จะมีการเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์รณรงค์ยุบสภานั้น จะเริ่มตั้งแต่ ออกจากสะพานผ่านฟ้า ไปถนนหลานหลวง เข้าถนนเพรชบุรี ถึงแยกอโศก เลี้ยวซ้าย เข้าถ.รัชดาภิเษก ตรงไปแยกลาดพร้าว วิ่งตามถนนลาดพร้าว ถึงเดอะมอลล์บางกะปิ ไปลำสาลี ตรงไป ถนนรามคำแหง ผ่านหน้าม.รามคำแหง เข้าพระขโนง กล้วยน้ำไทย วิ่งตามถนนพระราม 4 ถึงแยกคลองเตย เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าถนนพระราม 3 ขึ้นสะพานกรุงเทพ ข้ามมาฝั่งธน ไปสี่แยกท่าพระ ไปวงเวียนใหญ่ ขึ้นสะพานพระเจ้าตากสิน (สาธร) วิ่งตามถนนสาธร เลี้ยวซ้ายเข้าศาลาแดง วิ่งตามถนนเยาวราช คลองถม และกลับมาที่สะพานผ่านฟ้า
นอกจากนี้ยังมีการกระจายขบวนไปยัง แถวปิ่นเกล้า ตลิ่งชัน บางขุนเทียน บางซื่อ และแคราย อีกด้วย
โดยใช้เวลาตั้งแต่ 10.00น. -16.00 น. ทั้งนี้ นพ.เหวง ได้ย้ำกับกลุ่มมอเตอร์ไซต์ ว่าให้ยึดสันวิธี และให้อดทนกับสิ่งยั่วยุ ห้ามมีการตอบโต้อย่างเด็ดขาด เพราะอาจเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินได้
ส่วนบรรยากาศ ตั้งแต่ช่วงเช้าเวลา 07.00 น. ที่ผ่านมา นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. นำผู้ร่วมชุมนุมตักบาตรพระสงฆ์ที่หน้าเวทีใหญ่ เพื่อความเป็นศิริมงคล และร่วมกันอธิษฐานขอพรให้นายกฯ ยุบสภาโดยเร็ว นอกจากนี้พระสงฆ์กลุ่มสันติวิธี ยังได้อ่านแถลงการณ์ขอบิณฑบาตรไม่ให้รัฐบาลประกาศพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากประชาชนชุมนุมกันอย่างสันติ
อย่างไรก็ตามในเวลา 08.30 น. ด้านข้างเวทีใหญ่ เป็นจุดรวมพลของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ชาวเสื้อแดง และมอเตอร์ไซด์รับจ้างจากเขตต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ รอมาเข้าคิวลงชื่อรับแจกสติกเกอร์ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อลงชื่อเสร็จแล้วจะได้รับสติกเกอร์รูปหัวใจสีแดงแปะที่หน้าอก พร้อมสติกเกอร์ขนาดหนึ่งส่วนสี่ ของกระดาษ A4 พื้นที่แดงตัวหนังสือสีขาว เขียนข้อความว่า "ยุบสภา" นำไปแจกประชาชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 5 แสนแผ่น
ที่มา.โพสต์ทูเดย์.
********************************************
การเมืองสภาอุตฯ ภาพสะท้อนเมืองไทย
บทบรรณาธิการ
เหลือเวลาอีกไม่มากนัก การเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ แม้จะเริ่มเห็นแนวโน้มของฝ่ายที่จะได้รับชัยชนะ ค่อนข้างชัดเจน แต่ดูเหมือนความวุ่นวายอาจไม่ยุติลงอย่างราบรื่น สมานฉันท์ อย่างที่สมาชิก ตลอดจนผู้ติดตามความเคลื่อนไหวจากภายนอกคาดหวังกัน ปัญหาความขัดแย้งขยายผลลงไปกลายเป็นความแตกแยก แบ่งข้าง แบ่งฝ่าย ไกลเกินที่จะย้อนกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนในอดีต
สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรร่วมภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมฯ กลายเป็นภาพสะท้อนเชื่อมโยงไปถึงสังคมการเมืองไทยในภาพใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะลึก ๆ แล้วสถานการณ์การเมืองไทยก็ไม่ได้มีฉากที่แตกต่างกันเลย ความขัดแย้งของแนวคิด มุมมอง ความเชื่อทางด้านการเมืองของคนในประเทศไทย ฝังรากลึกลงไปในแต่ละระดับ พร้อมกับความตื่นตัวทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และคงเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังว่า สภาพสังคมการเมืองไทยจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนดังเช่นภาวการณ์ก่อนหน้าการเข้ามา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงต่อกรณีการปฏิวัติเดือนกันยายน 2549
เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะทำให้ "คนชั้นกลาง" กลุ่มคนในสังคมเมือง-กรุงเทพฯ กลุ่มที่นิยมแนวคิดแบบ "สีเหลือง" รวมถึงคนอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ฝังใจกับภาพลบของ พ.ต.ท.ทักษิณ เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในนิยามของตนเอง หันกลับมาพิจารณาข้อเรียกร้องทางการเมืองของ "กลุ่มคน เสื้อแดง" โดยปราศจากอคติ เช่นเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากจะสร้างกระบวนการโน้มน้าวให้ "คนรากหญ้า" ชาวชนบท ในเขตภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หันกลับมาทบทวนข้อเรียกร้องที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางประชาธิปไตยที่ไม่ปิดกั้น กีดกัน "คนสีอื่น"
ข้อดีประการเดียวของสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองนับจากวันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา นั่นคือการที่ทุกฝ่ายใช้ความอดทนในระหว่างการเผชิญหน้ากัน ตั้งมั่นอย่างมีวินัย ที่จะไม่ใช้ความรุนแรง แม้จะมีความพยายามในด้านสงคราม ข่าวสาร หรือการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯบางส่วนก็ตาม อย่างน้อยการชุมนุมอย่างสงบ การเตรียมแผนตั้งรับด้วยมาตรการที่เป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ก็ช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในมุมมองของนานาประเทศ ดูดีมีวุฒิภาวะมากยิ่งขึ้น
และคงจะเป็นเรื่องดียิ่งกว่านี้ หากทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และ ฝ่ายรัฐบาลอันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนหลัก ไม่ตั้งอยู่บนทิฐิ หรือมุ่งมั่นเพียงแต่ต้องการจะเป็น "ผู้ชนะ" ให้ได้ในเหตุการณ์ครั้งนี้ หากลดอคติดังกล่าวได้ โอกาสของการเปิดเวทีสำหรับ "การเจรจา" ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น บทสรุปหรือฉากจบที่สวยงาม ไม่เกิดความสูญเสียทุก ๆ ฝ่าย ตามที่ คนส่วนใหญ่ของประเทศปรารถนาที่จะเห็น ก็คงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน
จุดสำคัญของการ "ยอมรับความต่าง" เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เรียกร้อง ต่อรองโดยสันติวิธี ใช้วิถีทางของการเจรจา พิจารณาข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายด้วยเหตุด้วยผล นั่นน่าจะเป็นทางออกทางเดียวสำหรับสังคมการเมืองไทยในนาทีนี้
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***********************************************
เหลือเวลาอีกไม่มากนัก การเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ แม้จะเริ่มเห็นแนวโน้มของฝ่ายที่จะได้รับชัยชนะ ค่อนข้างชัดเจน แต่ดูเหมือนความวุ่นวายอาจไม่ยุติลงอย่างราบรื่น สมานฉันท์ อย่างที่สมาชิก ตลอดจนผู้ติดตามความเคลื่อนไหวจากภายนอกคาดหวังกัน ปัญหาความขัดแย้งขยายผลลงไปกลายเป็นความแตกแยก แบ่งข้าง แบ่งฝ่าย ไกลเกินที่จะย้อนกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนในอดีต
สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรร่วมภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมฯ กลายเป็นภาพสะท้อนเชื่อมโยงไปถึงสังคมการเมืองไทยในภาพใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะลึก ๆ แล้วสถานการณ์การเมืองไทยก็ไม่ได้มีฉากที่แตกต่างกันเลย ความขัดแย้งของแนวคิด มุมมอง ความเชื่อทางด้านการเมืองของคนในประเทศไทย ฝังรากลึกลงไปในแต่ละระดับ พร้อมกับความตื่นตัวทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และคงเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังว่า สภาพสังคมการเมืองไทยจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนดังเช่นภาวการณ์ก่อนหน้าการเข้ามา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงต่อกรณีการปฏิวัติเดือนกันยายน 2549
เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะทำให้ "คนชั้นกลาง" กลุ่มคนในสังคมเมือง-กรุงเทพฯ กลุ่มที่นิยมแนวคิดแบบ "สีเหลือง" รวมถึงคนอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ฝังใจกับภาพลบของ พ.ต.ท.ทักษิณ เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในนิยามของตนเอง หันกลับมาพิจารณาข้อเรียกร้องทางการเมืองของ "กลุ่มคน เสื้อแดง" โดยปราศจากอคติ เช่นเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากจะสร้างกระบวนการโน้มน้าวให้ "คนรากหญ้า" ชาวชนบท ในเขตภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หันกลับมาทบทวนข้อเรียกร้องที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางประชาธิปไตยที่ไม่ปิดกั้น กีดกัน "คนสีอื่น"
ข้อดีประการเดียวของสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองนับจากวันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา นั่นคือการที่ทุกฝ่ายใช้ความอดทนในระหว่างการเผชิญหน้ากัน ตั้งมั่นอย่างมีวินัย ที่จะไม่ใช้ความรุนแรง แม้จะมีความพยายามในด้านสงคราม ข่าวสาร หรือการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯบางส่วนก็ตาม อย่างน้อยการชุมนุมอย่างสงบ การเตรียมแผนตั้งรับด้วยมาตรการที่เป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ก็ช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในมุมมองของนานาประเทศ ดูดีมีวุฒิภาวะมากยิ่งขึ้น
และคงจะเป็นเรื่องดียิ่งกว่านี้ หากทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และ ฝ่ายรัฐบาลอันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนหลัก ไม่ตั้งอยู่บนทิฐิ หรือมุ่งมั่นเพียงแต่ต้องการจะเป็น "ผู้ชนะ" ให้ได้ในเหตุการณ์ครั้งนี้ หากลดอคติดังกล่าวได้ โอกาสของการเปิดเวทีสำหรับ "การเจรจา" ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น บทสรุปหรือฉากจบที่สวยงาม ไม่เกิดความสูญเสียทุก ๆ ฝ่าย ตามที่ คนส่วนใหญ่ของประเทศปรารถนาที่จะเห็น ก็คงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน
จุดสำคัญของการ "ยอมรับความต่าง" เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เรียกร้อง ต่อรองโดยสันติวิธี ใช้วิถีทางของการเจรจา พิจารณาข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายด้วยเหตุด้วยผล นั่นน่าจะเป็นทางออกทางเดียวสำหรับสังคมการเมืองไทยในนาทีนี้
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***********************************************
สงครามชนชั้น

นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศจะทำทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ หลังหลบเข้าเซฟเฮาส์ราบ 11 นานกว่าสัปดาห์
วันอังคารประชุมครม. วันพุธ วันพฤหัสฯไปประชุมสภา
ขณะที่ 3 เกลอนปช.ก็ประกาศนำม็อบเสื้อแดงหลักหมื่นตามอภิสิทธิ์ไปทุกหนทุกแห่งเช่นกัน
ปรากฏการณ์แดงทั้งกรุงเทพฯเมื่อวันเสาร์ ท้าทายคำประกาศของนายกฯอย่างยิ่ง
ดูๆ แล้วนอกจากจะไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ ประชุมครม.วันนี้(ถ้ามี) มีแนวโน้มขยายเวลาประกาศใช้พ.ร.บ. ความมั่นคงออกไปอีก
ศอ.รส. กอ.รมน. ฝ่ายความมั่นคง ชงรอไว้เรียบร้อย !
ตอนม็อบเสื้อแดงนัดชุมนุมใหม่ๆ รัฐบาลกับกองทัพประเมินไม่ยืดเยื้อ
3 วัน 5 วัน เต็มที่ไม่เกินอาทิตย์ ?
เพราะเชื่อว่ามวลชนที่เกือบทั้งหมดมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เจอสภาพอากาศร้อนจัด การกินอยู่หลับนอนยากลำบาก
จะบั่นทอนกำลังกาย กำลังใจ จนยอมล่าถอยในไม่กี่วัน
ที่สำคัญไม่มีเหตุปัจจัยพิเศษใดๆ รุนแรงและสุกงอมเพียงพอล้มรัฐบาลได้
ลำพังแค่คดียึดทรัพย์ทักษิณปลุกกระแสไม่ขึ้นแน่ๆ
น่าห่วงการสร้างสถานการณ์จากเครือข่ายนายใหญ่มากกว่า ถึงต้องระดมทหารตำรวจกว่าครึ่งแสนตรึงทั่วเมืองหลวง
ยังไงๆ ฝ่ายรัฐบาลก็ได้เปรียบแทบทุกประตู
แต่แล้วความตายของ "จ่าเพียร" ก็เผาคนเป็นอย่างนายกฯจนตายทั้งเป็น !
กลายเป็นอาวุธหนักของฝ่ายเสื้อแดงชนิดไม่คิดไม่ฝัน
ขนาดทักษิณยังปรับสคริปต์นำมาไล่ถล่มอภิสิทธิ์ทุกคืนที่วิดีโอลิงก์
ช่วยเติมเต็มประเด็นหลักที่จัดเตรียมไว้ "ไพร่-อำมาตย์" จุดติดไปด้วย
เพราะ "จ่าเพียร" ตายเพราะเจ้านาย ตายเพราะความไม่เป็นธรรม ตายเพราะความเน่าเฟะของระบบราชการ
และตายเพราะไม่มีเส้น !
กระตุกความรู้สึกอารมณ์ร่วมของบรรดาราษฎรเต็มขั้นทั่วทั้งแผ่นดินได้กระฉูด
โดยเฉพาะคนรากหญ้า คนยากคนจน คนด้อยโอกาส คนไม่ได้รับความเป็นธรรม
และคนไม่มีเส้น !!
ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ม็อบเสื้อแดงได้แนวร่วมที่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ ไม่เอาอำมาตย์เพิ่มขึ้นอีกเพียบ
ทักษิณจากมหาเศรษฐีแสนล้าน กลายเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายไพร่
นำมวลชนเสื้อแดงที่ปักหลักชุมนุมใจกลางเมืองหลวงเข้าสู่วันที่สิบ
จากข้อเรียกร้องยุบสภาคืนอำนาจประชาชน
ยกระดับขึ้นเป็น "สงครามชนชั้น" !?
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
**************************************************
สันติหรือสงคราม
เปิดทีวีของรัฐทุกช่อง ประหนึ่งว่า ประเทศไทยกำลังเกิดสงครามช่วงชิงอธิปไตย เสมือนว่าประเทศไทยกำลังเกิดสงครามกลางเมือง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องตะลอนออกทีวี ชี้แจงตอบโต้ข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ โฆษณาชวนเชื่อให้ยึดมั่นในความเป็นรัฐ
มุ่งมั่นที่จะเอาชนะสงคราม
กลายเป็นสงครามสื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชน ในขณะที่สังคมกำลังสับสนวุ่นวาย ในขณะที่หลักนิติรัฐ ถูกกล่าวหาว่ามีการนำไปบิดเบือนอย่างไร้มาตรฐาน ที่จะนำไปบังคับใช้กับประชาชนในประเทศ
เป็นสงครามชนชั้น
ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกฯ คุณชวน หลีกภัย เจ้าของคติทำให้คนรวยเท่ากันไม่ได้ แต่จะทำให้คนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ระบุว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้เป็นสงครามแบ่งแยกชนชั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นคงแก้ได้ไม่ง่ายนัก
เช่นเดียวกับ สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานถึงสถานการณ์ วิกฤติการเมืองของประเทศไทยว่า การชุมนุมอาจจะไม่บรรลุผลใดๆ แม้จะมีการเจรจากันโดยตรง ระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงและนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การแบ่งแยกชนชั้นทางสังคมจะเป็นชนวนสำคัญในการปลุกกระแสต่อต้านรัฐ
เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ขมขื่นของคนไทยกับวิกฤติการเมือง ที่ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง มีกลุ่มบุคคลที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากวิกฤติความขัดแย้งมากมายหลายกลุ่ม
นักการเมือง กองทัพ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน และคนกลุ่มน้อย
ล้วนแล้วแต่ฉกฉวยหาผลประโยชน์จากวิกฤติของบ้านเมืองทั้งสิ้น โดยไม่มีสำนึกว่า ประเทศชาติ ประชาชน จะได้รับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้นในสถานใดบ้าง ประเทศจะต้องตกต่ำไปถึงไหน
ฝ่ายหนึ่งยึดทหารยึดสื่อเอาไว้พึ่งพิง เอาใจกันสุดฤทธิ์สุดเดช จะกินจะนอนจะอยู่อย่างไร จะรับประทานไอศกรีม จะดูหนังกลางแปลงเรื่องอวตาร รัฐจัดหามาให้หมด ขออย่างเดียวให้สนองความต้องการของรัฐในการที่จะรักษาอำนาจทุกวิถีทาง
แม้แต่จะใช้ให้ไปก่อวินาศกรรมก็ต้องทำได้
ฝ่ายหนึ่งพึ่งพิงมวลชนชั้นล่าง หรือที่เรียกว่าไพร่เป็นหลัก ชี้ให้เห็นช่องว่างของสังคม ระหว่างคนรวยกับคนจน ให้ผู้ที่แสวงหาอิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียมได้มีโอกาสปลดปล่อย
ที่เสียงส่วนใหญ่เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะเอาเงินภาษีไปทำสงคราม แล้วยังถูกจับไปเป็นตัวประกันย่ำยีหัวใจอยู่ตลอดเวลา ถูกกดหัวให้อยู่แต่ในรูกระบอกไม้ไผ่.
โดย.หมัดเหล็ก
ที่มา.ไทยรัฐ
****************************************************
มุ่งมั่นที่จะเอาชนะสงคราม
กลายเป็นสงครามสื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชน ในขณะที่สังคมกำลังสับสนวุ่นวาย ในขณะที่หลักนิติรัฐ ถูกกล่าวหาว่ามีการนำไปบิดเบือนอย่างไร้มาตรฐาน ที่จะนำไปบังคับใช้กับประชาชนในประเทศ
เป็นสงครามชนชั้น
ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกฯ คุณชวน หลีกภัย เจ้าของคติทำให้คนรวยเท่ากันไม่ได้ แต่จะทำให้คนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ระบุว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้เป็นสงครามแบ่งแยกชนชั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นคงแก้ได้ไม่ง่ายนัก
เช่นเดียวกับ สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานถึงสถานการณ์ วิกฤติการเมืองของประเทศไทยว่า การชุมนุมอาจจะไม่บรรลุผลใดๆ แม้จะมีการเจรจากันโดยตรง ระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงและนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การแบ่งแยกชนชั้นทางสังคมจะเป็นชนวนสำคัญในการปลุกกระแสต่อต้านรัฐ
เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ขมขื่นของคนไทยกับวิกฤติการเมือง ที่ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง มีกลุ่มบุคคลที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากวิกฤติความขัดแย้งมากมายหลายกลุ่ม
นักการเมือง กองทัพ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน และคนกลุ่มน้อย
ล้วนแล้วแต่ฉกฉวยหาผลประโยชน์จากวิกฤติของบ้านเมืองทั้งสิ้น โดยไม่มีสำนึกว่า ประเทศชาติ ประชาชน จะได้รับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้นในสถานใดบ้าง ประเทศจะต้องตกต่ำไปถึงไหน
ฝ่ายหนึ่งยึดทหารยึดสื่อเอาไว้พึ่งพิง เอาใจกันสุดฤทธิ์สุดเดช จะกินจะนอนจะอยู่อย่างไร จะรับประทานไอศกรีม จะดูหนังกลางแปลงเรื่องอวตาร รัฐจัดหามาให้หมด ขออย่างเดียวให้สนองความต้องการของรัฐในการที่จะรักษาอำนาจทุกวิถีทาง
แม้แต่จะใช้ให้ไปก่อวินาศกรรมก็ต้องทำได้
ฝ่ายหนึ่งพึ่งพิงมวลชนชั้นล่าง หรือที่เรียกว่าไพร่เป็นหลัก ชี้ให้เห็นช่องว่างของสังคม ระหว่างคนรวยกับคนจน ให้ผู้ที่แสวงหาอิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียมได้มีโอกาสปลดปล่อย
ที่เสียงส่วนใหญ่เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะเอาเงินภาษีไปทำสงคราม แล้วยังถูกจับไปเป็นตัวประกันย่ำยีหัวใจอยู่ตลอดเวลา ถูกกดหัวให้อยู่แต่ในรูกระบอกไม้ไผ่.
โดย.หมัดเหล็ก
ที่มา.ไทยรัฐ
****************************************************
ทีแบบนี้มีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ บอกว่าเป็นห่วง" สงครามชนชั้น "

เจอวลี กินใจ "หรือเลือดไพร่มันไร้ค่า"
จนไปถึงสงครามระหว่างอำมาตย์ กับไพร่ ทำดัดจริตเป็นสะอึก
น้ำหูน้ำตาเล็ด ตามนายชวน หลีกภัย บุรุษผู้ไม่เคยได้รับรายงานตลาดกาล ที่ดัดจริตออกมาสร้งภาพว่าเป็นห่วงว่าสังคมไทยจะแตกแยกหนัก เพราะการใช้คำแบบนี้มันกินใจ และสร้างกระแสแตกแยกสูง
"ไพร่" ใครกันหละ.เป็นผู้ใช้คนแรก
"ไพร่อุปถัมภ์" ใครกันเล่า เป็นคนพูด
เมิงไม่ใช่เหรอ ไอ้แสรดม๊าก ...ที่เอื้อนเอ่ยวจีนี้ เพื่อตอบโต้จักรภพ เพ็ญแข เรื่องสังคมอุปถัมภ์ในขณะนั้น
นปช. เขาก็เอาคำที่เมิงกล่าวหา
"วลีที่เมิงเคยใช้"
definition( คำจำกัดความ ) ที่เมิงชี้นิ้วมาที่พวกกูว่าเป็น"ไพร่" นั่นแหละ มาเป็นม๊อตโต้...ในการตั้งธง
แหม...ทำเป็นตัวสั่นงันงก น้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยความห่วงใย กูไม่ใช่ไอ้ภาค แห่งเรื่องดาวพระศุกร์ จะได้หูเบาหลงคารมนังมาหยารัศมี เยี่ยงเมิงงง
"ถ้าเลิกตอแหลจะให้แม่มาขอ" ม๊ากไม่เคยอ่านสติ๊กเกอร์ติดท้ายรถสองแถว ซอยจรัญ 13 หละสิ
ไปอ่านบ้างนะ เผื่อมันจะออสโมสิต เข้าหัวมาร์คบ้าง
คนไทยไม่ได้ลืมง่าย ไปทุกคน
คนไทยเจ็บแล้วจำ และพร้อมจะเอาคืน
วันนี้ เมิงโครตรสับปรับ ปลิ้นปล้อน เป็นมะกอกสามตระกร้า ฉายาหลักลอย ที่สื่อตั้งให้ไม่ได้มาด้วยโชคช่วยนะม๊าก ผลงานปลิ้นปล้อนพูดให้เป็นสีดำ หรือสีขาว ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกันเนี่ยต้องมีประกอบเป็นเวลายาวนานอย่างชัดเจน เขาถึงได้มีมติยกให้เป็นเอกฉันท์
ไม่มีหน้าไหนในปฐพีนี้อีกแล้วที่จะสู้ม๊าก
เรียกร้องให้เคารพกติกา แต่กูขอนายกฯ พระราชทานงี้
เรียกร้องให้แก้ไขการเมืองกันในสภา แต่ทะลึ่งไปเล่นการเมืองนอกสภา จนทุกวันนี้ ยังตอบแทนบุญคุญพันธมิตรฯกันไม่จบ
พร้อมจะเป็นนายกฯ แต่เสือกไม่พร้อมจะเลือกตั้ง
ม๊าก...ที่นี่ประเทศไทย ไม่ใช่เมืองของคณะลิเกนะเว้ยยยย
ที่มา.ไทยฟรีนิวส์
*************************************************
แดงชู้วับ ชู้วับ
หาฤกษ์ดีเพื่อมีชัย..จะขย่มบ้าน “สี่เสา” จะต้องใช้ “เสาร์ 5” มาข่ม..เพราะตัวเลขมากกว่าในการยกพล แสดงแสนยานุภาพของ “คนเสื้อแดง” เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามันคือ “งูใหญ่” ที่ เลื้อยซอกแซกไป “ทั่วกรุงเทพ”อย่างสง่างาม!!เป็นภาพที่น่าตื่นตาของชาวโลกที่มีโอกาสได้พบเห็นกับตาของตัวเอง หรือภาพข่าวที่ส่งกันออกไป..เพิ่มความชุ่มฉ่ำหัวใจของคนที่รักประชาธิปไตยเป็นยิ่งนักแต่..เป็นภาพที่ บาดตา-บาดใจของผู้ที่ “กุมอำนาจ” เป็นอย่างยิ่ง..โดยที่เฝ้าปลอบ
ใจตนเองและคนไกล้ตัวว่า เดี๋ยวมันก็ซากันไปเอง??นี่คือกิจกรรมของ “คนเสื้อแดง” ที่ต่อสู้กับ “รัฐบาล” อย่าง “อหิงสา” แม้บางครั้งจะต้องใช้ “มหาหิง”มาช่วยทาท้องบ้าง..เพราะอากาศมันร้อนถือเป็นเรื่องธรรมดา!!สรุปว่า.. “วันเสาร์” ผ่านไปด้วยชัยชนะของ “เสื้อแดง” ที่ทำให้คนกรุงเทพ หูตาสว่าง พร้อมทั้งออกมาแสดงความยินดี อย่างน่าปลื้ม!!พอมาถึง..คืนวันอาทิตย์ กลับหนักหนาสาหัสกว่าเดิมครับเจ๊เล้ง!!เพราะมีเสียง “เฮลั่น” เป็นระยะ ระยะ แทบจะทุกครัวเรือน-
พร้อมใจเชียร์กันทั้งกรุงเทพ และ ต่างจังหวัดถือเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน”!!เอาเป็นว่า ทุกร้านค้า ไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ จะเป็นร้านคุณหลวง หรือ ร้านขี้ข้า ร้านข้าวหมูแดง หมูกรอบ คอฟฟี่ช็อป ทุกแห่ง ไม่ว่าข้าวแกง หรือจะเป็นแป๊ะซะ หมูกระทะหรือ มะระต้ม.. “ฮา”กันลั่น..เชียร์ “แดง” อย่างออกหน้าออกตา..เป็นอาการของคนไทยทั่วประเทศที่สุมหัวกันเชียร์อย่างไม่เกรงใจรัฐบาล??เพราะว่ามันคือ “วันแดงเดือด”..วันที่ “แมนยู” กับ “ลิเวอร์พูล” โซ้ยกัน!!ปัทโธ่..นึกว่าอะไร เอา
เป็นว่าตอนนี้แดงทำอะไร ก็ ชู้วับ ชู้วับ!!เบี้ยวกันไม่ได้..ใครที่อยู่กับ “ลิเวอร์พูล” ควักจ่ายไป..ส่วนใครที่อยู่กับ “แมนยู” ก็สบายไปเหมือนมีบ้านติดกับโรงจำนำรับอย่างเดียวแต่คนเชียร์ที่ “นิวคัสเซิล” นี่สิ..จะต้องนอนกระสับกระส่ายอยู่ในกรมทหาร เหมือนคำพระที่ว่า น หิ โน สงครนัง มหา เสเนน มัจจังนาความว่า “การผัดเพื่อนกับมฤตยู อันมีกองทัพใหญ่นั้นไม่ได้เลย” แปลคำพระต้องงง-งงหน่อยครับท่านผู้อ่าน
Tags: ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************
ใจตนเองและคนไกล้ตัวว่า เดี๋ยวมันก็ซากันไปเอง??นี่คือกิจกรรมของ “คนเสื้อแดง” ที่ต่อสู้กับ “รัฐบาล” อย่าง “อหิงสา” แม้บางครั้งจะต้องใช้ “มหาหิง”มาช่วยทาท้องบ้าง..เพราะอากาศมันร้อนถือเป็นเรื่องธรรมดา!!สรุปว่า.. “วันเสาร์” ผ่านไปด้วยชัยชนะของ “เสื้อแดง” ที่ทำให้คนกรุงเทพ หูตาสว่าง พร้อมทั้งออกมาแสดงความยินดี อย่างน่าปลื้ม!!พอมาถึง..คืนวันอาทิตย์ กลับหนักหนาสาหัสกว่าเดิมครับเจ๊เล้ง!!เพราะมีเสียง “เฮลั่น” เป็นระยะ ระยะ แทบจะทุกครัวเรือน-
พร้อมใจเชียร์กันทั้งกรุงเทพ และ ต่างจังหวัดถือเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน”!!เอาเป็นว่า ทุกร้านค้า ไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ จะเป็นร้านคุณหลวง หรือ ร้านขี้ข้า ร้านข้าวหมูแดง หมูกรอบ คอฟฟี่ช็อป ทุกแห่ง ไม่ว่าข้าวแกง หรือจะเป็นแป๊ะซะ หมูกระทะหรือ มะระต้ม.. “ฮา”กันลั่น..เชียร์ “แดง” อย่างออกหน้าออกตา..เป็นอาการของคนไทยทั่วประเทศที่สุมหัวกันเชียร์อย่างไม่เกรงใจรัฐบาล??เพราะว่ามันคือ “วันแดงเดือด”..วันที่ “แมนยู” กับ “ลิเวอร์พูล” โซ้ยกัน!!ปัทโธ่..นึกว่าอะไร เอา
เป็นว่าตอนนี้แดงทำอะไร ก็ ชู้วับ ชู้วับ!!เบี้ยวกันไม่ได้..ใครที่อยู่กับ “ลิเวอร์พูล” ควักจ่ายไป..ส่วนใครที่อยู่กับ “แมนยู” ก็สบายไปเหมือนมีบ้านติดกับโรงจำนำรับอย่างเดียวแต่คนเชียร์ที่ “นิวคัสเซิล” นี่สิ..จะต้องนอนกระสับกระส่ายอยู่ในกรมทหาร เหมือนคำพระที่ว่า น หิ โน สงครนัง มหา เสเนน มัจจังนาความว่า “การผัดเพื่อนกับมฤตยู อันมีกองทัพใหญ่นั้นไม่ได้เลย” แปลคำพระต้องงง-งงหน่อยครับท่านผู้อ่าน
Tags: ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
นปช.แถลงการณ์ ฉบับ3 รวม 5 ข้อ ขอคุย"มาร์ค"เท่านั้น ไม่บุกสธ.หวั่นเข้าทางรบ.
นปช.แถลงการณ์ ฉบับ3 ยืน5 ข้อขอเจรจากับนายกฯเท่านั้น เพราะมีอำนาจยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่ โดยให้ทุกฝ่ายสลายตัวพาประเทศกลับสู่ปกติ หาเสียงได้ในทุกพื้นที่
แกนนำกลุ่มนปช.มีมติไม่นำกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าเคลื่อนขบวนไปยังกระทรวงสาธารณสุข สถานที่จัดการประชุมครม.พรุ่งนี้ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา เนื่องจากเห็นว่า รัฐบาลอาจฉวยโอกาสประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่จะใช้วิธีการดาวกระจายไปทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อแจกสติกเกอร์ยุบสภาแทน
นายวีระ มุสิกพงษ์ ประธาน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ได้ออกแถลงการณ์ในนาม นปช. ฉบับที่ 3 เรื่อง
"ยืนยันข้อเรียกร้องยุบสภา พร้อมเจรจากับนายกฯ" โดยเรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ว่า
1.นปช.ยืนยันให้ยุบสภภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
2. นปช.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือจากนี้
3. นปช.ยินดีให้มีการเจาจาโดยผู้เจารจาคือผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจตัดสินใจยุบสภา
4. เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันทีเพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ปกติ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกพรรคหาเสียงเต็มที่โดยไมมีกีดขวาง
5. ให้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรมเป็นเครื่องตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าต่อไปได้
"ขณะนี้รัฐบาลเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาเพื่อเบี่ยงเบนความจริง มาบอกว่า พรรคที่สนับสนุนแนวคิดเรามีจุดยืนที่แตกต่าง เราแกนนำแดงนปช.ซื่อตรง ๆไม่เลี้ยวลดขดเขี้ยวไม่ต้องคำนึงถึงทิฐิมานะหรือหน้าตา และเวลาไม่กี่วันนี้จะได้เห็นคนเสื้อแดงจำนวนมากอีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลต้องให้ความเคารพต่อมวลมหาประชาชนด้วยการยุบสภา" นายวีระกล่าว
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมแกนนำกลุ่มนปช. ได้ขึ้นเวทีปราศรัย ระบุถึงแผนการณ์ของรัฐบาลในการใช้กำลังล้อมปราบประชาชนหากมีการเดินขบวนไปกระทรวงสาธารณสุขวันพรุ่งนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมรับแผนการรบในเมือง โดยจำลองให้ถนนราชดำเนินเป็นยุทธภูมิการทำสงคราม
ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************
แกนนำกลุ่มนปช.มีมติไม่นำกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าเคลื่อนขบวนไปยังกระทรวงสาธารณสุข สถานที่จัดการประชุมครม.พรุ่งนี้ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา เนื่องจากเห็นว่า รัฐบาลอาจฉวยโอกาสประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่จะใช้วิธีการดาวกระจายไปทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อแจกสติกเกอร์ยุบสภาแทน
นายวีระ มุสิกพงษ์ ประธาน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ได้ออกแถลงการณ์ในนาม นปช. ฉบับที่ 3 เรื่อง
"ยืนยันข้อเรียกร้องยุบสภา พร้อมเจรจากับนายกฯ" โดยเรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ว่า
1.นปช.ยืนยันให้ยุบสภภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
2. นปช.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือจากนี้
3. นปช.ยินดีให้มีการเจาจาโดยผู้เจารจาคือผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจตัดสินใจยุบสภา
4. เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันทีเพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ปกติ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกพรรคหาเสียงเต็มที่โดยไมมีกีดขวาง
5. ให้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรมเป็นเครื่องตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าต่อไปได้
"ขณะนี้รัฐบาลเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาเพื่อเบี่ยงเบนความจริง มาบอกว่า พรรคที่สนับสนุนแนวคิดเรามีจุดยืนที่แตกต่าง เราแกนนำแดงนปช.ซื่อตรง ๆไม่เลี้ยวลดขดเขี้ยวไม่ต้องคำนึงถึงทิฐิมานะหรือหน้าตา และเวลาไม่กี่วันนี้จะได้เห็นคนเสื้อแดงจำนวนมากอีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลต้องให้ความเคารพต่อมวลมหาประชาชนด้วยการยุบสภา" นายวีระกล่าว
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมแกนนำกลุ่มนปช. ได้ขึ้นเวทีปราศรัย ระบุถึงแผนการณ์ของรัฐบาลในการใช้กำลังล้อมปราบประชาชนหากมีการเดินขบวนไปกระทรวงสาธารณสุขวันพรุ่งนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมรับแผนการรบในเมือง โดยจำลองให้ถนนราชดำเนินเป็นยุทธภูมิการทำสงคราม
ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************
"จาตุรนต์" ค้านพท.ไม่ร่วมสังฆกรรมรัฐ แนะควรทำหน้าที่ในสภา
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้ความเห็น กรณีพรรคเพื่อไทยประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาล เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดง และล่าสุด มีมาตราการจัด ส.ส.ไปเฝ้าระวังในการชุมนุม รวมถึงจะนำข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปพูดบนเวทีเสื้อแดงว่า พรรคเพื่อไทยควรเดินตามหลักการ คือ ทำหน้าทีในสภาอย่างจริงจังต่อไป
ตราบใดที่ยังไม่มีการยุบสภา ไม่ควรทำผิดจากหลักเกณฑ์นี้ อีกทั้งควรใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ และเห็นว่าน่าจะหารือและมีมติในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่อไป เพราะการประชุมสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลเองเป็นฝ่ายที่ไม่ได้มาให้เข้าร่วมประชุมสภา ดังนั้น ฝ่ายค้านจึงน่าจะเป็นหลักในการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ให้สมกับที่ประชาชนเลือกตั้งเป็นผู้แทน จะดีกว่าไปเป็นเวรยามที่เวทีชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค เดินสายเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวนั้น นายจาตุรนต์ เชื่อว่าจะไม่เป็นผล แต่ในสถานการณ์ที่ประตูการเจรจาเปิดเช่นนี้ พรรคเพื่อไทยควรจะไปเรียกร้อง ให้หาทางออกของประเทศ โดยนำปัญหากลับมาแก้ในระบบ น่าจะถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของสังคมมากกว่า
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
ตราบใดที่ยังไม่มีการยุบสภา ไม่ควรทำผิดจากหลักเกณฑ์นี้ อีกทั้งควรใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ และเห็นว่าน่าจะหารือและมีมติในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่อไป เพราะการประชุมสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลเองเป็นฝ่ายที่ไม่ได้มาให้เข้าร่วมประชุมสภา ดังนั้น ฝ่ายค้านจึงน่าจะเป็นหลักในการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ให้สมกับที่ประชาชนเลือกตั้งเป็นผู้แทน จะดีกว่าไปเป็นเวรยามที่เวทีชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค เดินสายเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวนั้น นายจาตุรนต์ เชื่อว่าจะไม่เป็นผล แต่ในสถานการณ์ที่ประตูการเจรจาเปิดเช่นนี้ พรรคเพื่อไทยควรจะไปเรียกร้อง ให้หาทางออกของประเทศ โดยนำปัญหากลับมาแก้ในระบบ น่าจะถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของสังคมมากกว่า
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
คณะทำงานนายทะเบียนพรรคการเมืองเผยสำนวนเงินบริจาค 258 ล.คืบแล้ว 80%
ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ ประธานคณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านบาท และการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่อาจผิดวัตถุประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนวนดังกล่าวมีความคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 นั้นกำลังรอหลักฐานและการตรวจสอบพยานบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ยืนยันว่าจะทำความเห็นเสนอต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ทันภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมาวินิจฉัยอีกครั้ง โดยหากเห็นว่าให้ยกคำร้องเรื่องก็จะยุติทันที แต่หากเห็นว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กกต.เพื่อขอความเห็นก่อน
ส่วนกรณีที่สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้อยู่บนความขัดแย้ง จึงอาจส่งผลต่อการพิจารณาสำนวนดังกล่าวนั้น ม.ล.ประทีป กล่าวว่า กกต.จะต้องยึดหลักการเป็นหลักไม่ใช่สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าสำนวนดังกล่าวจะมีผลออกมาอย่างไร ตนมั่นใจว่าจะคลายความสงสัยของทุกคนได้อย่างแน่นอน ซึ่งตนพร้อมที่จะเปิดเผยรายละเอียดของสำนวน เพื่อให้เห็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการยื้อเวลาแต่สำนวนมีความบกพร่องจริง
**************************************************
ส่วนกรณีที่สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้อยู่บนความขัดแย้ง จึงอาจส่งผลต่อการพิจารณาสำนวนดังกล่าวนั้น ม.ล.ประทีป กล่าวว่า กกต.จะต้องยึดหลักการเป็นหลักไม่ใช่สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าสำนวนดังกล่าวจะมีผลออกมาอย่างไร ตนมั่นใจว่าจะคลายความสงสัยของทุกคนได้อย่างแน่นอน ซึ่งตนพร้อมที่จะเปิดเผยรายละเอียดของสำนวน เพื่อให้เห็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการยื้อเวลาแต่สำนวนมีความบกพร่องจริง
**************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)