--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ศอ.รส.ประกาศ 2 ฉบับ ห้ามใช้ 8 เส้นทางคมนาคม-ห้ามก่อความไม่สงบ ถ้าเป็นผู้ชุมนุมงัดคำสั่งศาล ปค.คุม

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มีนาคม พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า ศอ.รส. ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 8 สาย ดังนี้ 1.ถนนนครราชสีมา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ.ถึงแยกสวนรื่นฤดี 2.ถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกอุภัย 3.ถนนพระราม 5 ตั้งแต่แยกสุโขทัย ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร 4.ถนนศรีอยุธยา ตั้งแต่แยกกองพลที่ 1 รอ. ถึงแยกเสาวนีย์ 5.ถนนอู่ทองใน ตั้งแต่แยกพระรูปรัชกาลที่5 ถึงแยกอู่ทองใน 6.ถนนสวรรคโลก ตั้งแต่แยกเสาวนีย์ ถึงแยกสวรรคโลก 7.ถนนสุโขทัย ตั้งแต่แยกสวรรคโลก ถึงท่าน้ำสามเสน และ8.ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึงแยกอู่ทองใน ซึ่งคาดว่าใน1-2 วันนี้จะมีการประชุมสภา ซึ่งจะใช้รัฐสภาเป็นสถานที่ประชุม

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า สำหรับฉบับที่ 2 ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ อันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ อาทิ การปลุกระดม ยุงยงปลุกปั่น สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรงหรือเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของรัฐ เข้าหรือต้องออกบริเวณพื้นที่รัฐสภา อู่ทองใน เขตดุสิต กทม. เว้นแต่เป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการห้ามยานพาหนะเข้าถนนทั้ง 8 สายดังกล่าวและห้ามเข้ารัฐสภา

“หากผู้ใดฝ่าฝืน เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นกรณีผู้ชุมนุมก็จะถือว่ามิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลาง เคยมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ตามคดีหมายเลขดำที่ 1605/2551 เป็นแนวทางไว้แล้ว” รอง ผบช.น.กล่าว

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า หากฝ่าฝืนทั้งไปปิด ไปล้อม ไปก่อเหตุ ทำให้ประชาชนหวาดกลัวถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ เพราะเมื่อห้ามยานพาหนะ ห้ามคนเข้าไป หากเข้าไปถือว่าผิดกฎหมาย โดยจะมีการนำประกาศข้อบังคับไปปิดตามจุดต่างๆ เพื่อให้รู้ให้เห็นจับต้องได้ กว่า 2,000 แผ่น ส่วนจะห้ามถึงวันใด บช.น.ยังไม่ทราบ อยู่ที่ศอ.รส. โดยมีการเริ่มตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยการห้ามผู้เข้ารัฐสภาเป็นการห้ามผู้อาจมีพฤติกรรมก่อความวุ่นวายขึ้น

ด้านพล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ปัญหาการจราจรต้องมีการแก้ไขปัญหารายชั่วโมง ตำรวจต้องทำงานตั้งแต่ดึก สำหรับแยกสำคัญทั้งแยกการเรือน แยกราชวิถี แยกอู่ทองใน แยกเบญจ นั้น พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น. (จราจร) จะมีการเปิดขาเข้าบางส่วน และเปิดขาออกช่วงเย็นในเบื้องต้น ส่วนสภาพการจราจรก็จะแก้ไขปัญหาตมห้วงเวลาหากติดอีกก็จะเปิดบางจุด ตามประกาศ พรบ.ความมั่นคง ซึ่งเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่สามารถสามารถอนุญาตได้ สำหรับเรื่องอื่นๆกำลังเข้าจุดตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยตำรวจทหารทั้งหมดไม่มีอาวุธ โยตำรวจใช้กำลัง 22 กองร้อยดูแลรัฐสภา โดยในรัฐสภามีกำลังแค่ 3 กองร้อย เตรียมพร้อมเพื่อพร้อมในการชุมนุม โดยสำหรับการชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมาข้อมูลจากสันติบาล มียอดสูงสุดที่ 15,500 คน

เมื่อถามถึงเหตุระเบิดเมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า เหตุระเบิดเกิดเวลา 20.30 น. ที่หน้าสำนักงานแขวงการทางธนบุรี พบกระเดื่องระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดเอ็ม 67 โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ ไม่ยืนยันว่าเกี่ยวกับการเมือง เพราะมี รปภ.ถูกไล่ออก 1 คน และระเบิดที่ป้อมยาม อีกทั้งตรงนั้นเป็นที่ซ่อมทางไม่เกี่ยวกับสัญลักษณ์ทางการเมือง แต่บังเอิญว่าคนร้ายใช้วัตถุระเบิด โดยจะดูกล้องวงจรปิดและตรวจสอบทั้งหมด

ถามว่าจะมีการขอศาลออกหมายจับชายในภาพสเกตซ์ที่ต้องสงสัยเป็นคนร้ายยิงระเบิดอาร์พีจีที่กระทรวงกลาโหม 2 คนหรือยัง พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า การสืบสวนคืบหน้าไปมาก ใกล้คว้าคอเสื้อแล้ว โดยเรื่องนี้ต้องถาม น.1 (พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.) ซึ่งน.1 ยืนยันในที่ประชุมว่าไม่ใช่แพะ ของแท้ ส่วนการออกหมายจับยังไม่มี


ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

เสื้อแดงเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์รณรงค์ยุบสภาแล้ว

เสื้อแดงทยอยเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์ รณรงค์ยุบสภาแล้ว เหวง เน้นใช้สันติ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้เคลื่อนขบวน เพื่อแจกใบปลิวรณรงค์ และสติกเกอร์ เชิญชวนคนกทม.ร่วมชุมนุมกดดันให้รัฐบาลยุบสภาแล้ว โดยกลุ่มสันติวิธีที่มี นพ.เหวง โตจิราการ เป็นแกนนำ สำหรับเส้นทางที่จะมีการเคลื่อนขบวนแจกสติกเกอร์รณรงค์ยุบสภานั้น จะเริ่มตั้งแต่ ออกจากสะพานผ่านฟ้า ไปถนนหลานหลวง เข้าถนนเพรชบุรี ถึงแยกอโศก เลี้ยวซ้าย เข้าถ.รัชดาภิเษก ตรงไปแยกลาดพร้าว วิ่งตามถนนลาดพร้าว ถึงเดอะมอลล์บางกะปิ ไปลำสาลี ตรงไป ถนนรามคำแหง ผ่านหน้าม.รามคำแหง เข้าพระขโนง กล้วยน้ำไทย วิ่งตามถนนพระราม 4 ถึงแยกคลองเตย เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าถนนพระราม 3 ขึ้นสะพานกรุงเทพ ข้ามมาฝั่งธน ไปสี่แยกท่าพระ ไปวงเวียนใหญ่ ขึ้นสะพานพระเจ้าตากสิน (สาธร) วิ่งตามถนนสาธร เลี้ยวซ้ายเข้าศาลาแดง วิ่งตามถนนเยาวราช คลองถม และกลับมาที่สะพานผ่านฟ้า

นอกจากนี้ยังมีการกระจายขบวนไปยัง แถวปิ่นเกล้า ตลิ่งชัน บางขุนเทียน บางซื่อ และแคราย อีกด้วย

โดยใช้เวลาตั้งแต่ 10.00น. -16.00 น. ทั้งนี้ นพ.เหวง ได้ย้ำกับกลุ่มมอเตอร์ไซต์ ว่าให้ยึดสันวิธี และให้อดทนกับสิ่งยั่วยุ ห้ามมีการตอบโต้อย่างเด็ดขาด เพราะอาจเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินได้

ส่วนบรรยากาศ ตั้งแต่ช่วงเช้าเวลา 07.00 น. ที่ผ่านมา นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. นำผู้ร่วมชุมนุมตักบาตรพระสงฆ์ที่หน้าเวทีใหญ่ เพื่อความเป็นศิริมงคล และร่วมกันอธิษฐานขอพรให้นายกฯ ยุบสภาโดยเร็ว นอกจากนี้พระสงฆ์กลุ่มสันติวิธี ยังได้อ่านแถลงการณ์ขอบิณฑบาตรไม่ให้รัฐบาลประกาศพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากประชาชนชุมนุมกันอย่างสันติ

อย่างไรก็ตามในเวลา 08.30 น. ด้านข้างเวทีใหญ่ เป็นจุดรวมพลของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ชาวเสื้อแดง และมอเตอร์ไซด์รับจ้างจากเขตต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ รอมาเข้าคิวลงชื่อรับแจกสติกเกอร์ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อลงชื่อเสร็จแล้วจะได้รับสติกเกอร์รูปหัวใจสีแดงแปะที่หน้าอก พร้อมสติกเกอร์ขนาดหนึ่งส่วนสี่ ของกระดาษ A4 พื้นที่แดงตัวหนังสือสีขาว เขียนข้อความว่า "ยุบสภา" นำไปแจกประชาชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 5 แสนแผ่น

ที่มา.โพสต์ทูเดย์.
********************************************

การเมืองสภาอุตฯ ภาพสะท้อนเมืองไทย

บทบรรณาธิการ

เหลือเวลาอีกไม่มากนัก การเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ แม้จะเริ่มเห็นแนวโน้มของฝ่ายที่จะได้รับชัยชนะ ค่อนข้างชัดเจน แต่ดูเหมือนความวุ่นวายอาจไม่ยุติลงอย่างราบรื่น สมานฉันท์ อย่างที่สมาชิก ตลอดจนผู้ติดตามความเคลื่อนไหวจากภายนอกคาดหวังกัน ปัญหาความขัดแย้งขยายผลลงไปกลายเป็นความแตกแยก แบ่งข้าง แบ่งฝ่าย ไกลเกินที่จะย้อนกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนในอดีต

สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรร่วมภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมฯ กลายเป็นภาพสะท้อนเชื่อมโยงไปถึงสังคมการเมืองไทยในภาพใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะลึก ๆ แล้วสถานการณ์การเมืองไทยก็ไม่ได้มีฉากที่แตกต่างกันเลย ความขัดแย้งของแนวคิด มุมมอง ความเชื่อทางด้านการเมืองของคนในประเทศไทย ฝังรากลึกลงไปในแต่ละระดับ พร้อมกับความตื่นตัวทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และคงเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังว่า สภาพสังคมการเมืองไทยจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนดังเช่นภาวการณ์ก่อนหน้าการเข้ามา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงต่อกรณีการปฏิวัติเดือนกันยายน 2549

เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะทำให้ "คนชั้นกลาง" กลุ่มคนในสังคมเมือง-กรุงเทพฯ กลุ่มที่นิยมแนวคิดแบบ "สีเหลือง" รวมถึงคนอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ฝังใจกับภาพลบของ พ.ต.ท.ทักษิณ เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในนิยามของตนเอง หันกลับมาพิจารณาข้อเรียกร้องทางการเมืองของ "กลุ่มคน เสื้อแดง" โดยปราศจากอคติ เช่นเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากจะสร้างกระบวนการโน้มน้าวให้ "คนรากหญ้า" ชาวชนบท ในเขตภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หันกลับมาทบทวนข้อเรียกร้องที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางประชาธิปไตยที่ไม่ปิดกั้น กีดกัน "คนสีอื่น"

ข้อดีประการเดียวของสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองนับจากวันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา นั่นคือการที่ทุกฝ่ายใช้ความอดทนในระหว่างการเผชิญหน้ากัน ตั้งมั่นอย่างมีวินัย ที่จะไม่ใช้ความรุนแรง แม้จะมีความพยายามในด้านสงคราม ข่าวสาร หรือการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯบางส่วนก็ตาม อย่างน้อยการชุมนุมอย่างสงบ การเตรียมแผนตั้งรับด้วยมาตรการที่เป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ก็ช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในมุมมองของนานาประเทศ ดูดีมีวุฒิภาวะมากยิ่งขึ้น

และคงจะเป็นเรื่องดียิ่งกว่านี้ หากทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และ ฝ่ายรัฐบาลอันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนหลัก ไม่ตั้งอยู่บนทิฐิ หรือมุ่งมั่นเพียงแต่ต้องการจะเป็น "ผู้ชนะ" ให้ได้ในเหตุการณ์ครั้งนี้ หากลดอคติดังกล่าวได้ โอกาสของการเปิดเวทีสำหรับ "การเจรจา" ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น บทสรุปหรือฉากจบที่สวยงาม ไม่เกิดความสูญเสียทุก ๆ ฝ่าย ตามที่ คนส่วนใหญ่ของประเทศปรารถนาที่จะเห็น ก็คงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความฝัน

จุดสำคัญของการ "ยอมรับความต่าง" เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เรียกร้อง ต่อรองโดยสันติวิธี ใช้วิถีทางของการเจรจา พิจารณาข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายด้วยเหตุด้วยผล นั่นน่าจะเป็นทางออกทางเดียวสำหรับสังคมการเมืองไทยในนาทีนี้


ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***********************************************

สงครามชนชั้น


นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศจะทำทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ หลังหลบเข้าเซฟเฮาส์ราบ 11 นานกว่าสัปดาห์

วันอังคารประชุมครม. วันพุธ วันพฤหัสฯไปประชุมสภา

ขณะที่ 3 เกลอนปช.ก็ประกาศนำม็อบเสื้อแดงหลักหมื่นตามอภิสิทธิ์ไปทุกหนทุกแห่งเช่นกัน

ปรากฏการณ์แดงทั้งกรุงเทพฯเมื่อวันเสาร์ ท้าทายคำประกาศของนายกฯอย่างยิ่ง

ดูๆ แล้วนอกจากจะไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ ประชุมครม.วันนี้(ถ้ามี) มีแนวโน้มขยายเวลาประกาศใช้พ.ร.บ. ความมั่นคงออกไปอีก

ศอ.รส. กอ.รมน. ฝ่ายความมั่นคง ชงรอไว้เรียบร้อย !

ตอนม็อบเสื้อแดงนัดชุมนุมใหม่ๆ รัฐบาลกับกองทัพประเมินไม่ยืดเยื้อ

3 วัน 5 วัน เต็มที่ไม่เกินอาทิตย์ ?

เพราะเชื่อว่ามวลชนที่เกือบทั้งหมดมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เจอสภาพอากาศร้อนจัด การกินอยู่หลับนอนยากลำบาก

จะบั่นทอนกำลังกาย กำลังใจ จนยอมล่าถอยในไม่กี่วัน

ที่สำคัญไม่มีเหตุปัจจัยพิเศษใดๆ รุนแรงและสุกงอมเพียงพอล้มรัฐบาลได้

ลำพังแค่คดียึดทรัพย์ทักษิณปลุกกระแสไม่ขึ้นแน่ๆ

น่าห่วงการสร้างสถานการณ์จากเครือข่ายนายใหญ่มากกว่า ถึงต้องระดมทหารตำรวจกว่าครึ่งแสนตรึงทั่วเมืองหลวง

ยังไงๆ ฝ่ายรัฐบาลก็ได้เปรียบแทบทุกประตู

แต่แล้วความตายของ "จ่าเพียร" ก็เผาคนเป็นอย่างนายกฯจนตายทั้งเป็น !

กลายเป็นอาวุธหนักของฝ่ายเสื้อแดงชนิดไม่คิดไม่ฝัน

ขนาดทักษิณยังปรับสคริปต์นำมาไล่ถล่มอภิสิทธิ์ทุกคืนที่วิดีโอลิงก์

ช่วยเติมเต็มประเด็นหลักที่จัดเตรียมไว้ "ไพร่-อำมาตย์" จุดติดไปด้วย

เพราะ "จ่าเพียร" ตายเพราะเจ้านาย ตายเพราะความไม่เป็นธรรม ตายเพราะความเน่าเฟะของระบบราชการ

และตายเพราะไม่มีเส้น !

กระตุกความรู้สึกอารมณ์ร่วมของบรรดาราษฎรเต็มขั้นทั่วทั้งแผ่นดินได้กระฉูด

โดยเฉพาะคนรากหญ้า คนยากคนจน คนด้อยโอกาส คนไม่ได้รับความเป็นธรรม

และคนไม่มีเส้น !!

ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ม็อบเสื้อแดงได้แนวร่วมที่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ ไม่เอาอำมาตย์เพิ่มขึ้นอีกเพียบ

ทักษิณจากมหาเศรษฐีแสนล้าน กลายเป็นสัญลักษณ์ฝ่ายไพร่

นำมวลชนเสื้อแดงที่ปักหลักชุมนุมใจกลางเมืองหลวงเข้าสู่วันที่สิบ

จากข้อเรียกร้องยุบสภาคืนอำนาจประชาชน

ยกระดับขึ้นเป็น "สงครามชนชั้น" !?

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
**************************************************

สันติหรือสงคราม

เปิดทีวีของรัฐทุกช่อง ประหนึ่งว่า ประเทศไทยกำลังเกิดสงครามช่วงชิงอธิปไตย เสมือนว่าประเทศไทยกำลังเกิดสงครามกลางเมือง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องตะลอนออกทีวี ชี้แจงตอบโต้ข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ โฆษณาชวนเชื่อให้ยึดมั่นในความเป็นรัฐ

มุ่งมั่นที่จะเอาชนะสงคราม

กลายเป็นสงครามสื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชน ในขณะที่สังคมกำลังสับสนวุ่นวาย ในขณะที่หลักนิติรัฐ ถูกกล่าวหาว่ามีการนำไปบิดเบือนอย่างไร้มาตรฐาน ที่จะนำไปบังคับใช้กับประชาชนในประเทศ

เป็นสงครามชนชั้น

ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกฯ คุณชวน หลีกภัย เจ้าของคติทำให้คนรวยเท่ากันไม่ได้ แต่จะทำให้คนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ระบุว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้เป็นสงครามแบ่งแยกชนชั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นคงแก้ได้ไม่ง่ายนัก

เช่นเดียวกับ สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานถึงสถานการณ์ วิกฤติการเมืองของประเทศไทยว่า การชุมนุมอาจจะไม่บรรลุผลใดๆ แม้จะมีการเจรจากันโดยตรง ระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงและนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

การแบ่งแยกชนชั้นทางสังคมจะเป็นชนวนสำคัญในการปลุกกระแสต่อต้านรัฐ

เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ขมขื่นของคนไทยกับวิกฤติการเมือง ที่ไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง มีกลุ่มบุคคลที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากวิกฤติความขัดแย้งมากมายหลายกลุ่ม

นักการเมือง กองทัพ นักวิชาการ สื่อสารมวลชน และคนกลุ่มน้อย

ล้วนแล้วแต่ฉกฉวยหาผลประโยชน์จากวิกฤติของบ้านเมืองทั้งสิ้น โดยไม่มีสำนึกว่า ประเทศชาติ ประชาชน จะได้รับวิบากกรรมที่จะเกิดขึ้นในสถานใดบ้าง ประเทศจะต้องตกต่ำไปถึงไหน

ฝ่ายหนึ่งยึดทหารยึดสื่อเอาไว้พึ่งพิง เอาใจกันสุดฤทธิ์สุดเดช จะกินจะนอนจะอยู่อย่างไร จะรับประทานไอศกรีม จะดูหนังกลางแปลงเรื่องอวตาร รัฐจัดหามาให้หมด ขออย่างเดียวให้สนองความต้องการของรัฐในการที่จะรักษาอำนาจทุกวิถีทาง

แม้แต่จะใช้ให้ไปก่อวินาศกรรมก็ต้องทำได้

ฝ่ายหนึ่งพึ่งพิงมวลชนชั้นล่าง หรือที่เรียกว่าไพร่เป็นหลัก ชี้ให้เห็นช่องว่างของสังคม ระหว่างคนรวยกับคนจน ให้ผู้ที่แสวงหาอิสรภาพ เสรีภาพ และความเท่าเทียมได้มีโอกาสปลดปล่อย

ที่เสียงส่วนใหญ่เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะเอาเงินภาษีไปทำสงคราม แล้วยังถูกจับไปเป็นตัวประกันย่ำยีหัวใจอยู่ตลอดเวลา ถูกกดหัวให้อยู่แต่ในรูกระบอกไม้ไผ่.

โดย.หมัดเหล็ก
ที่มา.ไทยรัฐ
****************************************************

ทีแบบนี้มีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ บอกว่าเป็นห่วง" สงครามชนชั้น "


เจอวลี กินใจ "หรือเลือดไพร่มันไร้ค่า"

จนไปถึงสงครามระหว่างอำมาตย์ กับไพร่ ทำดัดจริตเป็นสะอึก

น้ำหูน้ำตาเล็ด ตามนายชวน หลีกภัย บุรุษผู้ไม่เคยได้รับรายงานตลาดกาล ที่ดัดจริตออกมาสร้งภาพว่าเป็นห่วงว่าสังคมไทยจะแตกแยกหนัก เพราะการใช้คำแบบนี้มันกินใจ และสร้างกระแสแตกแยกสูง

"ไพร่" ใครกันหละ.เป็นผู้ใช้คนแรก

"ไพร่อุปถัมภ์" ใครกันเล่า เป็นคนพูด

เมิงไม่ใช่เหรอ ไอ้แสรดม๊าก ...ที่เอื้อนเอ่ยวจีนี้ เพื่อตอบโต้จักรภพ เพ็ญแข เรื่องสังคมอุปถัมภ์ในขณะนั้น

นปช. เขาก็เอาคำที่เมิงกล่าวหา

"วลีที่เมิงเคยใช้"

definition( คำจำกัดความ ) ที่เมิงชี้นิ้วมาที่พวกกูว่าเป็น"ไพร่" นั่นแหละ มาเป็นม๊อตโต้...ในการตั้งธง

แหม...ทำเป็นตัวสั่นงันงก น้ำตาไหลพราก ๆ ด้วยความห่วงใย กูไม่ใช่ไอ้ภาค แห่งเรื่องดาวพระศุกร์ จะได้หูเบาหลงคารมนังมาหยารัศมี เยี่ยงเมิงงง

"ถ้าเลิกตอแหลจะให้แม่มาขอ" ม๊ากไม่เคยอ่านสติ๊กเกอร์ติดท้ายรถสองแถว ซอยจรัญ 13 หละสิ

ไปอ่านบ้างนะ เผื่อมันจะออสโมสิต เข้าหัวมาร์คบ้าง

คนไทยไม่ได้ลืมง่าย ไปทุกคน

คนไทยเจ็บแล้วจำ และพร้อมจะเอาคืน

วันนี้ เมิงโครตรสับปรับ ปลิ้นปล้อน เป็นมะกอกสามตระกร้า ฉายาหลักลอย ที่สื่อตั้งให้ไม่ได้มาด้วยโชคช่วยนะม๊าก ผลงานปลิ้นปล้อนพูดให้เป็นสีดำ หรือสีขาว ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกันเนี่ยต้องมีประกอบเป็นเวลายาวนานอย่างชัดเจน เขาถึงได้มีมติยกให้เป็นเอกฉันท์

ไม่มีหน้าไหนในปฐพีนี้อีกแล้วที่จะสู้ม๊าก

เรียกร้องให้เคารพกติกา แต่กูขอนายกฯ พระราชทานงี้

เรียกร้องให้แก้ไขการเมืองกันในสภา แต่ทะลึ่งไปเล่นการเมืองนอกสภา จนทุกวันนี้ ยังตอบแทนบุญคุญพันธมิตรฯกันไม่จบ

พร้อมจะเป็นนายกฯ แต่เสือกไม่พร้อมจะเลือกตั้ง

ม๊าก...ที่นี่ประเทศไทย ไม่ใช่เมืองของคณะลิเกนะเว้ยยยย

ที่มา.ไทยฟรีนิวส์
*************************************************

แดงชู้วับ ชู้วับ

หาฤกษ์ดีเพื่อมีชัย..จะขย่มบ้าน “สี่เสา” จะต้องใช้ “เสาร์ 5” มาข่ม..เพราะตัวเลขมากกว่าในการยกพล แสดงแสนยานุภาพของ “คนเสื้อแดง” เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามันคือ “งูใหญ่” ที่ เลื้อยซอกแซกไป “ทั่วกรุงเทพ”อย่างสง่างาม!!เป็นภาพที่น่าตื่นตาของชาวโลกที่มีโอกาสได้พบเห็นกับตาของตัวเอง หรือภาพข่าวที่ส่งกันออกไป..เพิ่มความชุ่มฉ่ำหัวใจของคนที่รักประชาธิปไตยเป็นยิ่งนักแต่..เป็นภาพที่ บาดตา-บาดใจของผู้ที่ “กุมอำนาจ” เป็นอย่างยิ่ง..โดยที่เฝ้าปลอบ

ใจตนเองและคนไกล้ตัวว่า เดี๋ยวมันก็ซากันไปเอง??นี่คือกิจกรรมของ “คนเสื้อแดง” ที่ต่อสู้กับ “รัฐบาล” อย่าง “อหิงสา” แม้บางครั้งจะต้องใช้ “มหาหิง”มาช่วยทาท้องบ้าง..เพราะอากาศมันร้อนถือเป็นเรื่องธรรมดา!!สรุปว่า.. “วันเสาร์” ผ่านไปด้วยชัยชนะของ “เสื้อแดง” ที่ทำให้คนกรุงเทพ หูตาสว่าง พร้อมทั้งออกมาแสดงความยินดี อย่างน่าปลื้ม!!พอมาถึง..คืนวันอาทิตย์ กลับหนักหนาสาหัสกว่าเดิมครับเจ๊เล้ง!!เพราะมีเสียง “เฮลั่น” เป็นระยะ ระยะ แทบจะทุกครัวเรือน-

พร้อมใจเชียร์กันทั้งกรุงเทพ และ ต่างจังหวัดถือเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน”!!เอาเป็นว่า ทุกร้านค้า ไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ จะเป็นร้านคุณหลวง หรือ ร้านขี้ข้า ร้านข้าวหมูแดง หมูกรอบ คอฟฟี่ช็อป ทุกแห่ง ไม่ว่าข้าวแกง หรือจะเป็นแป๊ะซะ หมูกระทะหรือ มะระต้ม.. “ฮา”กันลั่น..เชียร์ “แดง” อย่างออกหน้าออกตา..เป็นอาการของคนไทยทั่วประเทศที่สุมหัวกันเชียร์อย่างไม่เกรงใจรัฐบาล??เพราะว่ามันคือ “วันแดงเดือด”..วันที่ “แมนยู” กับ “ลิเวอร์พูล” โซ้ยกัน!!ปัทโธ่..นึกว่าอะไร เอา

เป็นว่าตอนนี้แดงทำอะไร ก็ ชู้วับ ชู้วับ!!เบี้ยวกันไม่ได้..ใครที่อยู่กับ “ลิเวอร์พูล” ควักจ่ายไป..ส่วนใครที่อยู่กับ “แมนยู” ก็สบายไปเหมือนมีบ้านติดกับโรงจำนำรับอย่างเดียวแต่คนเชียร์ที่ “นิวคัสเซิล” นี่สิ..จะต้องนอนกระสับกระส่ายอยู่ในกรมทหาร เหมือนคำพระที่ว่า น หิ โน สงครนัง มหา เสเนน มัจจังนาความว่า “การผัดเพื่อนกับมฤตยู อันมีกองทัพใหญ่นั้นไม่ได้เลย” แปลคำพระต้องงง-งงหน่อยครับท่านผู้อ่าน


Tags: ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

นปช.แถลงการณ์ ฉบับ3 รวม 5 ข้อ ขอคุย"มาร์ค"เท่านั้น ไม่บุกสธ.หวั่นเข้าทางรบ.

นปช.แถลงการณ์ ฉบับ3 ยืน5 ข้อขอเจรจากับนายกฯเท่านั้น เพราะมีอำนาจยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่ โดยให้ทุกฝ่ายสลายตัวพาประเทศกลับสู่ปกติ หาเสียงได้ในทุกพื้นที่

แกนนำกลุ่มนปช.มีมติไม่นำกลุ่มคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าเคลื่อนขบวนไปยังกระทรวงสาธารณสุข สถานที่จัดการประชุมครม.พรุ่งนี้ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา เนื่องจากเห็นว่า รัฐบาลอาจฉวยโอกาสประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่จะใช้วิธีการดาวกระจายไปทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อแจกสติกเกอร์ยุบสภาแทน

นายวีระ มุสิกพงษ์ ประธาน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ได้ออกแถลงการณ์ในนาม นปช. ฉบับที่ 3 เรื่อง
"ยืนยันข้อเรียกร้องยุบสภา พร้อมเจรจากับนายกฯ" โดยเรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ว่า
1.นปช.ยืนยันให้ยุบสภภาทันทีเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
2. นปช.ไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือจากนี้
3. นปช.ยินดีให้มีการเจาจาโดยผู้เจารจาคือผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจตัดสินใจยุบสภา
4. เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันทีเพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ปกติ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกพรรคหาเสียงเต็มที่โดยไมมีกีดขวาง
5. ให้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรมเป็นเครื่องตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าต่อไปได้

"ขณะนี้รัฐบาลเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาเพื่อเบี่ยงเบนความจริง มาบอกว่า พรรคที่สนับสนุนแนวคิดเรามีจุดยืนที่แตกต่าง เราแกนนำแดงนปช.ซื่อตรง ๆไม่เลี้ยวลดขดเขี้ยวไม่ต้องคำนึงถึงทิฐิมานะหรือหน้าตา และเวลาไม่กี่วันนี้จะได้เห็นคนเสื้อแดงจำนวนมากอีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลต้องให้ความเคารพต่อมวลมหาประชาชนด้วยการยุบสภา" นายวีระกล่าว

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมแกนนำกลุ่มนปช. ได้ขึ้นเวทีปราศรัย ระบุถึงแผนการณ์ของรัฐบาลในการใช้กำลังล้อมปราบประชาชนหากมีการเดินขบวนไปกระทรวงสาธารณสุขวันพรุ่งนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมรับแผนการรบในเมือง โดยจำลองให้ถนนราชดำเนินเป็นยุทธภูมิการทำสงคราม

ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************

"จาตุรนต์" ค้านพท.ไม่ร่วมสังฆกรรมรัฐ แนะควรทำหน้าที่ในสภา

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้ความเห็น กรณีพรรคเพื่อไทยประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาล เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดง และล่าสุด มีมาตราการจัด ส.ส.ไปเฝ้าระวังในการชุมนุม รวมถึงจะนำข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปพูดบนเวทีเสื้อแดงว่า พรรคเพื่อไทยควรเดินตามหลักการ คือ ทำหน้าทีในสภาอย่างจริงจังต่อไป

ตราบใดที่ยังไม่มีการยุบสภา ไม่ควรทำผิดจากหลักเกณฑ์นี้ อีกทั้งควรใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ และเห็นว่าน่าจะหารือและมีมติในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่อไป เพราะการประชุมสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลเองเป็นฝ่ายที่ไม่ได้มาให้เข้าร่วมประชุมสภา ดังนั้น ฝ่ายค้านจึงน่าจะเป็นหลักในการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ให้สมกับที่ประชาชนเลือกตั้งเป็นผู้แทน จะดีกว่าไปเป็นเวรยามที่เวทีชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค เดินสายเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวนั้น นายจาตุรนต์ เชื่อว่าจะไม่เป็นผล แต่ในสถานการณ์ที่ประตูการเจรจาเปิดเช่นนี้ พรรคเพื่อไทยควรจะไปเรียกร้อง ให้หาทางออกของประเทศ โดยนำปัญหากลับมาแก้ในระบบ น่าจะถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของสังคมมากกว่า


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************

คณะทำงานนายทะเบียนพรรคการเมืองเผยสำนวนเงินบริจาค 258 ล.คืบแล้ว 80%

ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ ประธานคณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านบาท และการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่อาจผิดวัตถุประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนวนดังกล่าวมีความคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 นั้นกำลังรอหลักฐานและการตรวจสอบพยานบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ยืนยันว่าจะทำความเห็นเสนอต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ทันภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมาวินิจฉัยอีกครั้ง โดยหากเห็นว่าให้ยกคำร้องเรื่องก็จะยุติทันที แต่หากเห็นว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กกต.เพื่อขอความเห็นก่อน

ส่วนกรณีที่สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้อยู่บนความขัดแย้ง จึงอาจส่งผลต่อการพิจารณาสำนวนดังกล่าวนั้น ม.ล.ประทีป กล่าวว่า กกต.จะต้องยึดหลักการเป็นหลักไม่ใช่สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าสำนวนดังกล่าวจะมีผลออกมาอย่างไร ตนมั่นใจว่าจะคลายความสงสัยของทุกคนได้อย่างแน่นอน ซึ่งตนพร้อมที่จะเปิดเผยรายละเอียดของสำนวน เพื่อให้เห็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการยื้อเวลาแต่สำนวนมีความบกพร่องจริง

**************************************************

ฤา แค่ห่มคลุม หนังราชสีห์

เคยภูมิใจ ในศักดิ์ ราชสีห์
รับผิดชอบ หน้าที่ อันยิ่งใหญ่
บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ทุกผองภัย
เป็นชายชาติ มหาดไทย ทระนง

มาเสียศักดิ์ เสียศรี ขายขี้หน้า
ได้ตำแหน่ง โดยซื้อหา และผ่อนส่ง
เสียงเล่าอ้าง ด่างพร้อย ทั้งเผ่าพงศ์
มหาดไทย จักดำรง อยู่อย่างไร

เงยหน้าอายฟ้า ก้มหน้า ก็อายดิน
จะทนคำ หยามหมิ่น ได้ถึงไหน
แบกยศ แบกศักดิ์ หนักบ่าไป
จะหาความ ภาคภูมิใจ ก็ไม่มี

แอบสยบ นบนอบ ในเถื่อนถ้ำ
ทุกตำแหน่ง ถูกขย้ำ สิ้นราศี
ทั้งข้าหลวง ข้าราช ขาดบารมี
แค่ห่มคลุม หนังราชสีห์ เยื้องลีลา

ฤา ถึงยุค หมดสิ้น ศักดิ์ราชสีห์
สยบยอม ให้ย่ำยี เยี่ยงขี้ข้า
เสพยศ เสพศักดิ์ อัครา
แต่อับอาย ขายขี้หน้า ราคามัน !



ว.แหวนลงยา
บทกวี ข้อคิด และบทความ ตามแรงกระตุ้นจากเหตุบ้านการเมือง
Permalink : http://www.oknation.net/blog/wachira89
****************************************************

บีบ 'ทอม ดันดี' พ้นคอนเสิร์ตใต้


นักร้องจอมยียวนเรียกร้องให้ศิลปินเพื่อชีวิตรายอื่นออกมาสู้ประชาชนให้มากกว่านี้ ย้ำอีกตนไม่ใช่แดง...

เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ทอม ดันดี หรือนายพันทิวา ภูมิประเทศ นักร้องแนวเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ หลังโผล่ขึ้นเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดง ว่า ได้ส่งผลกระทบต่อตัวเองเกินความคาดหมาย คือ มีการยกเลิกคอนเสิร์ตทางภาคใต้หลายแห่ง เช่น หาดใหญ่ ภูเก็ต จนทำให้ต้องเก็บของขึ้นมาพักที่ จ.เพชรบุรี อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าตนเองไม่ได้เป็นเสื้อแดง แต่ที่ตัดสินใจขึ้นเวทีดังกล่าวก็เพราะต้องการทำเพื่อประชาชน พร้อมกับว่าศิลปินที่ชอบอ้างประชาชนหลายคนเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้

ทอม ดันดี เผยว่าสาเหตุที่ต้องขึ้นเวที นปช.นั้น เกิดจากการติดตามข้อมูลข่าวสารและรู้ว่ารัฐบาลปิดหูปิดตาประชาชน การบริหารงานของรัฐบาลทำให้ประชาชนเป็นหนี้สินเพิ่ม และสื่อถูกบิดเบือนการเสนอข่าว

"วันนี้ผมอยู่ที่เพชรบุรีครับ หลังจากขึ้นเวที นปช.ไปก็โดนไม่ให้ขึ้นคอนเสิร์ตหลายแห่งทางใต้ บางผับก็ที่สนิทกับผมก็ถูกสั่งปิดไปเลยก็มี เช่น ที่สงขลา ตรัง ก็มี ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเล่นกันแรงแบบนี้ ผมไม่ใช่เป็นเสื้อแดงนะ ที่ขึ้นเวทีเสื้อแดงก็เพราะเราอยากช่วยประชาชน คนรากหญ้า วันนี้กล่าวหาว่าผมรับเงินแสนเงินล้านขึ้นเวที ขอโทษเถอะครับถ้าใจไม่รักผมไม่ไปหรอก มันร้อนมากที่นั่น ผมไม่โกรธเลยใครจะว่าผมอย่างไร แต่ในฐานะที่เราเป็นคนของประชาชน ก็เรียกร้องว่าให้ทำอะไรเพื่อประชาชนบ้าง อย่างศิลปินที่ชอบพูดว่านักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ หรือลูกผู้ชายตัวจริง อะไรแบบนี้ ถามว่าเขาหากินกับประชาชนคนรากหญ้าแต่เคยต่อสู้เพื่อประชาชนไหม"

ทอมบอกอีกว่า ประชาชนไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่ามีงานทำ การได้อยู่ดีกินดี ได้ความรู้ การที่ตนเองออกมาเรียกร้องก็เพื่อสิ่งเหล่านี้มากกว่า.


ที่มา.oknation.net
หมวด : นักข่าวอาสา
*******************************************