วันนี้( 22 ก.พ.) ข่าวรายงานว่า หลังจากการเปิดโรงเรียน นปช.ที่เขาพลายดำ ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
โดยมีกิจกรรมการให้ความรู้กับนักเรียนตลอดทั้งวัน เมื่อวันที่ 21 ก.พ. จนกระทั้งในช่วงกลางคืนมีการเปิดเวที "ความจริงวันนี้"
โดยมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นาย วีระ มุสิกพงศ์ นาย จตุพร พรหมพันธ์ นาย อดิศร เพียงเกษ นพ.เหวง โตจิราการ และ
นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ได้กล่าวว่าการเดินทางมาในครั้งนี้ ก็เพื่อเชิญชวนให้
คนเสื้อแดงในภาคใต้ ร่วมแสดงพลังเพื่อล้มล้างระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งคาดว่าจะมีการรวมพลครั้งใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
ภายหลังจากนั้นเวลา 20.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินพบปะกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเรียกร้อง
ให้ประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดง ร่วมก่อตั้งระบอบประชาธิปไตยเพื่อประชาชน พร้อมกับย้ำว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 50 เป็นฉบับล้าสมัย
ทำให้ประเทศล้าหลัง ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มีเนื้อหาล้ำหน้าไปสู่ทศวรรตที่ 20
ในขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกมายืนยันว่า ไม่รู้สึกวิตกกังวลหากรัฐบาลจะประกาศใช้มาตรการทางกฎหมายในช่วงของ
การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเสื้อแดง ในช่วงการพิจารณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
โดยแกนนำกลุ่มเสื้อแดง จะร่วมกันหารือ เพื่อกำหนดท่าทีในการชุมนุมและกำหนดเวลาการชุมนุมประท้วงที่ชัดเจน
ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้
ข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำรถโฆษณาในตัวเมืองนครศรีธรรมราช
และเมืองใหญ่ ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งกลางวันและช่วงกลางคืน เพื่อเชิญชวน พธม.มารวมตัวกันที่ศาลาประดู่หก
สนามหน้าเมือง ริมถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช
ต.ปากพูน อ.เมืองนครศรีธรรมราช ในเวลา 07.00 น.วันนี้( 22 ก.พ.) เพื่อขับไล่คณะของนายณัฐวุฒิ ที่จะเดินทางมาโดยสาร
เครื่องบินกลับกรุงเทพ
โดย กลุ่มพธม.ระบุว่า ในฐานะที่เป็นคนนครศรีธรรมราช แต่กลับเป็นแกนนำ นปช. ออกมาเคลื่อนไหวปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ
พธม.เมืองนคร จึงไม่อยากให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับมาเหยียบผืนแผ่นดินนครศรีธรรมราช
ในขณะที่ พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ ผบช.ภ.8 ได้ปักหลักอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีคำสั่งให้ตำรวจมารวมตัวกัน
ในเวลา 06.00 น. เพื่อเดินทางไปรักษาความสงบเรียบร้อยที่สนามบินต่อไป
ในขณะที่ในเวลา 15.00 น.วันนี้( 22 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเป็นประธานการฌาปนกิจ
ศพคุณแม่ของนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ที่วัดสำนักขัน อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช โดยตำรวจได้ระดมกำลังในการอารักขา
จำนวนมากเช่นกัน.
ที่มา:konthaiuk
***************************************************************************
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
** 'เสธ.แดง' เตือน 'ป๊อก' อย่า'ดันทุรัง' ระวัง'ติดคุก'!! **
"เสธ.แดง" ยกกรณี "เจ้าพ่อปากน้ำ" เตือน "อนุพงษ์" ระวังติดคุก ทุจริตจีที 200
อย่าดันทุรัง ชี้เตือนในฐานะเพื่อน ขอให้ลาออกไป
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึง
กรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และพล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 (มทภ.4)
ยืนยันว่า เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 ใช้ได้จริง ว่า
ขอเตือน พล.อ.อนุพงษ์ ว่าอย่าดันทุรัง และขอให้ยอมรับว่า จีที 200 เป็นเพียงกระบอกเซียมซีที่ใช้ไม่ได้ รวมถึงประเทศอังกฤษ
ก็ได้ออกมาพิสูจน์แล้วว่า จีที 200 เป็นแค่ไม้ลวงโลก ทำอะไรไม่ได้ ตนขอเตือน พล.อ.อนุพงษ์ ว่า ระวังจะติดคุก
ตอนนี้ พรรคประชาธิปัตย์อุ้ม พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ เพราะกลัวว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะปฏิวัติ จึงเอาใจเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
แต่อีก 7-8 เดือน เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เกษียณอายุราชการแล้ว มีโจทก์ฟ้องศาล พล.อ.อนุพงษ์ อาจจะต้องถูกดำเนินคดีและ
อาจโดนศาลสั่งจำคุก เหมือนกรณีที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องหนี เพราะถูกพิพากษา
จำคุกในคดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
"ความจริงเครื่องราคาแค่พันกว่าบาท แต่ไปสั่งซื้อราคาเครื่องละล้านกว่าบาท ดังนั้น ขอให้ยอมรับว่า จีที 200 ใช้ไม่ได้
จะได้ไม่ติดคุก และขอให้ลาออกไป ผมขอเตือนในฐานะเพื่อน นอกจากกรณีของจีที 200 แล้วยังมีเรื่องอื่นอีก"
ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************
อย่าดันทุรัง ชี้เตือนในฐานะเพื่อน ขอให้ลาออกไป
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึง
กรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และพล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 (มทภ.4)
ยืนยันว่า เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 ใช้ได้จริง ว่า
ขอเตือน พล.อ.อนุพงษ์ ว่าอย่าดันทุรัง และขอให้ยอมรับว่า จีที 200 เป็นเพียงกระบอกเซียมซีที่ใช้ไม่ได้ รวมถึงประเทศอังกฤษ
ก็ได้ออกมาพิสูจน์แล้วว่า จีที 200 เป็นแค่ไม้ลวงโลก ทำอะไรไม่ได้ ตนขอเตือน พล.อ.อนุพงษ์ ว่า ระวังจะติดคุก
ตอนนี้ พรรคประชาธิปัตย์อุ้ม พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ เพราะกลัวว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะปฏิวัติ จึงเอาใจเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
แต่อีก 7-8 เดือน เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เกษียณอายุราชการแล้ว มีโจทก์ฟ้องศาล พล.อ.อนุพงษ์ อาจจะต้องถูกดำเนินคดีและ
อาจโดนศาลสั่งจำคุก เหมือนกรณีที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องหนี เพราะถูกพิพากษา
จำคุกในคดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
"ความจริงเครื่องราคาแค่พันกว่าบาท แต่ไปสั่งซื้อราคาเครื่องละล้านกว่าบาท ดังนั้น ขอให้ยอมรับว่า จีที 200 ใช้ไม่ได้
จะได้ไม่ติดคุก และขอให้ลาออกไป ผมขอเตือนในฐานะเพื่อน นอกจากกรณีของจีที 200 แล้วยังมีเรื่องอื่นอีก"
ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************
แผนนองเลือด
โอ๊ย... เกิดมาเป็นคนไทยอย่างจิตร ใครมันจะนึกว่าวันอย่างนี้จะมาถึง เกิดมาก็นึกว่าคนบางคนเค้าใจดีมีเมตตา เขารักประชาชนพลเมือง ที่ไหนได้ล่ะ วันนี้เขาเคาะเปรี้ยงลงมาแล้วว่าให้เตรียมเชือดคนเป็นแสนๆ ได้เลย เขาจะหานักฆ่ามืออาชีพจากเมืองนอกเมืองนามาช่วย เขาบอกซะด้วยว่าคนพวกนี้มันรักทักษิณ บางคนไม่ได้รักทักษิณมากมันก็รักประชาธิปไตยมาก เอามันไว้ไม่ได้ จะฆ่ากันเป็นล้านศพก็ไม่ว่า ขอให้ครอบครัว (กู) รอดก่อน
ฝ่ายอำมาตย์มันก็ไม่ได้เลวไปซะทุกคนหรอกท่าน บางคนรู้ข่าวก็ใจเต้นโครมคราม เผ่นแน่บมาเล่าให้จิตรฟัง เพื่อให้จิตรส่งข่าวต่อไปยังพระเดชพระคุณตัวจริงคือมวลมหาประชาชน คนหนึ่งเล่าไปน้ำตาไหลไปว่า มันเลวอะไรหยั่งงี้ เมื่อก่อนหลงเชื่อว่ามันรักประชาชน ยุให้พวกโจรห้าร้อยเข้ามาโค่นทำลายประชาธิปไตยก็เพราะทักษิณไม่ดี แต่ตอนหลังรู้ว่าทักษิณเขาดีและเขาไม่ผิด แทนที่จะหยุดยั้ง แกกลับสั่งฆ่าหนักกว่าเก่า ก็เลยรู้เช่นเห็นชาติว่า โคตรตระกูลนี้มันก็เหมียนกันทั้งนั้น ต้นตระกูลก็เป็นลูกน้องเขา เขาเอามาชุบเลี้ยงจนเป็นใหญ่เป็นโต (เหมือนทักษิณเลี้ยงเนวิน สุรเกียรติ์ วิษณุ บวรศักดิ์ อนุทิน และนายเหนือหัวของคนพวกนี้) พอได้ทีก็โค่นนายตัวเอง จับนายไปจองจำ ซัดว่าสติไม่ดี ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ แล้วก็จับลงถุงแดง ฆ่าทิ้งอย่างทารุณ โคตรตระกูลไหนที่มือเปื้อนเลือดขนาดนั้นจะให้มันจบดีกระไรได้ แต่จิตรก็ไม่นึกว่าเรื่องมันตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว กรรมจะมาสนองกรรมเอาในตอนนี้
ความจริงการฆ่าหมู่หรือฆ่าเดี่ยวนั้น คนแก่โรคจิตบางคนมันคิดของมันมานานแล้วล่ะท่าน จิตรเคยรู้มาไม่กี่เรื่อง พอมาได้ยินจาก “คุณข้างใน” ผู้มีใจเป็นธรรมเข้า เลยต่อเรื่องได้ทะลุปรุโปร่งทีเดียว ขนาดลำดับ “แผนฆ่า” ได้เลยล่ะท่าน
- ใช้พวกมาเฟียชั้นต่ำ ระดับสัมภเวสี ฆ่าคุณทักษิณแทนให้ เรื่องก็ออกมาเป็นการระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของการบินไทยที่คุณทักษิณฯ จะนั่งไปเชียงใหม่ในปีแรกที่เป็นนายกฯ
- ใช้คนไร้อนาคต หมดความหวังในชีวิตอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล มาก่อหวอตทำลายชื่อเสียงคุณทักษิณให้สิ้นก่อนต่อไปก็ลงมือฆ่าง่าย ป้ายสีเขาว่าเป็นคนไม่ดี กะว่าเขาหมดชื่อเสียงแล้วตัวก็สบายตายไปคนก็ไม่สนใจ เหมือนที่ทำกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครูบาศรีวิชัย ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน พระพิมลธรรม เป็นต้น นั่นแล
- ใช้ทหาร ตำรวจ มือปืนรับจ้าง (ระดับมืออาชีพ) มาลงมือ ทหารก็ต้องหมวกแดงป่าหวายโน่น อย่างไอ้คนที่เตรียมยิงจากต้นไม้ที่ลพบุรี แต่นายกฯ เปลี่ยนแผนขึ้นเหนือนั่นแหละ ตำรวจก็ไปขุดเอาจากขุมนรก ก็พวกประวัติเลวๆ ที่วิ่งมากราบตีนขอให้ช่วยชีวิตอย่างสมคิด บุญถนอมเป็นต้น มือปืนก็เลือกพวกที่ กอ.รม.นวย สั่งได้มาใช้งาน กลายเป็นการเตรียมฆ่าผู้นำของระบอบประชาธิปไตยถึง ๘ ครั้ง ๘ หน รวมทั้งแผนระเบิดรถยนต์ที่บางพลัดที่ไอ้พวกสื่อมวลสัตว์บางตัวอย่าง “เนชั่ว” มันเอามาโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นเรื่องตลกหรือ “คาร์บ๊อง” เพื่อให้คนทั่วโลกเขาไม่สนใจนั่นแหละ พวกนี้เลวถึงขนาดจะให้ยิงจรวดใส่บ้านที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ของคุณทักษิณฯ และครอบครัว ก็ไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ “เขายายเที่ยง” นั่นล่ะท่านที่เป็นตัวการคิดอะไรนรกๆ แบบนี้ เดชะบุญที่นายทหารใหญ่คนที่ต่อมาได้เป็นพลเอกและย้ายมาอยู่ฝั่งประชาธิปไตยเขาเซย์โน บอกว่าจะฆ่าใครก็เอาเฉพาะตัวเขา ฆ่าลูกฆ่าเมียเขาด้วยมันผิดหลักการ
- ใช้ทหาร ตำรวจ และพวกเศษมนุษย์ที่เลียตีนรับใช้กันอยู่เดินทางไปต่างประเทศ เก็บข้อมูลว่าคุณทักษิณอยู่ไหนอย่างไร เตรียมลอบสังหาร ที่อังกฤษก็ทำ ขนาดมาถึงกัมพูชาแล้วก็ยังทำ โชคดีว่าประเทศแถบนี้เขาไม่เล่นเกมโสโครกด้วย เวียดนามก็เป็นเจ้าภาพจับตัวเอาไว้ได้ ๓ คน ไม่นานนี้เอง ตอนนี้ได้ข่าวว่าหัวหายไปแล้ว
นี่ล่ะท่านคือผลงานนองเลือดของไอ้พวกเหี้ยม ม. หาย ความเป็นคนมันไม่มีเหลืออยู่กับตัวแล้ว ไม่ว่าจะไอ้แก่มากหรือไอ้แก่น้อย อยู่บ้านคงลงเดินสี่ตีน เพราะคุณธรรมมันไม่มีเหลือหลอ
แต่แผนการอุบาทว์ชาติชั่วที่เล่ามา ยังไม่เท่าความมืดดำของแผนใหม่ที่เพิ่งเคาะกันลงมาจากตึกสูงๆ ของโรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งจิตรต้องเล่าให้ท่านฟัง จะได้รู้ว่าเมืองพุทธของเรา เดี๋ยวนี้มันได้กลายเป็น “ระบอบสัตวาธิปไตย” คือได้ฝูงสัตว์มาปกครองแทนคนอย่างไร
ในวันตัดสินคดีทรัพย์สินของนายกทักษิณและครอบครัว หรือคดี ๗๖,๐๐๐ ล้านนั่นแหละ ฝ่ายชั่วมันเตรียมจะยึดทรัพย์ให้หมดเกลี้ยง เพราะมันกลัวนายกทักษิณจะเหลือทุนมาทำงานการเมือง แล้วคิดโค่นทำลายรังของพวกมัน มันก็เลยโหมโรงโฆษณาว่าเงินนั้นมาจากไหนยังไง หวังให้คนเขาเคลิบเคลิ้มเห็นดีด้วยกับการยึดทรัพย์ แต่มันก็รู้ว่ากระแสเสื้อแดงที่เร่าร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น ดับไม่ไหว มวลมหาประชาชนเหล่านี้เขาไม่ได้ห่วงเงินของคุณทักษิณ แต่เขาไม่ยอมนั่งเฉยให้ไอ้พวกโจรมหาโจรมันเข้าปล้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้าน
ตรงนี้ล่ะท่านที่รักทั้งหลาย ปิศาจตัวใหญ่ที่ใครก็มองไม่ออก เพราะเป็นประเภท “ตีนที่มองไม่เห็น” ก็ออกโรงมาอีกคราหนึ่ง เหมือนเมื่อคราวเหตุการณ์ฆ่านักศึกษาและประชาชนในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่องคุลีเดียว
ปิศาจชราตนนี้มันสั่งว่า เมื่อประกาศยึดทรัพย์แล้ว มวลชนเตรียมออกมากันแล้ว ก็ให้ออกมากันให้เต็มที่ก่อน จากนั้นจะส่งทีมนรกเข้าไปประชิดตัวผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทีละคน แล้วยิงทิ้งเลย สร้างภาพเสมือนว่าฝ่ายนายกทักษิณและเสื้อแดงเป็นคนลงมือทำ โดยเฉพาะคำพูดของ “เสธ.แดง” ที่เตือนให้ระวังการสังหารผู้พิพากษามาก่อนนี้ มันก็จะเอามาอ้าง จากนั้นมันก็จะโหมข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลกว่าฝ่ายทักษิณเป็นคนสั่งฆ่าผู้พิพากษา
และแล้ว... มันก็จะลงมือปราบปรามมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงชนิดเลือดท่วมท้องช้าง
ฝ่ายอำมาตย์บางคนมันไปติดต่อกับประเทศมหาอำนาจลูกพี่มันไว้แล้วด้วย ขอความช่วยเหลือในการปราบปรามประชาชน ไอ้ฝ่ายโน้นก็พูดไม่ออก ดันทำตัวเป็นลูกพี่เขามาตั้งแต่สงครามเย็นโน่น จะทำดัดจริตย้ายมาข้างประชาธิปไตยก็ไม่ทัน ก็เลยเตรียมช่วยเหลือเชิงกำลังพล (บางส่วน) อุปกรณ์เครื่องมือบางอย่าง และข่าวกรอง ละเอียดลงไปถึงขั้นว่าทหารที่มาฝึกซ้อมรบอยู่ในเมืองไทยช่วงนี้ถึงเวลาก็ยังไม่ให้กลับ ให้ซุ่มรอเวลาอยู่อีกอย่างน้อยสามเดือนเผื่อจะต้องรบจริง
เห็นไหมล่ะท่าน... พวกมันเตรียมการกันถึงขนาดนี้ จิตรเป็นคนชอบพูดทีเล่นทีจริง งานนี้ยังต้องพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่าเมื่อพวกมันมองเห็นประชาชนเป็นผักเป็นปลา คิดจะฆ่าจะแกงกันขนาดนี้แล้ว ประชาชนเราจะนั่งรอให้มันฆ่าก็กระไรอยู่
ก็ต้องเอามันมั่งนะพระคุณท่าน!
โดย จิตร พลจันทร์
ที่มา : คอลัมน์ คมความคิด จิตร พลจันทร์ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 15
-------------------------------------------------------------------------------------
ฝ่ายอำมาตย์มันก็ไม่ได้เลวไปซะทุกคนหรอกท่าน บางคนรู้ข่าวก็ใจเต้นโครมคราม เผ่นแน่บมาเล่าให้จิตรฟัง เพื่อให้จิตรส่งข่าวต่อไปยังพระเดชพระคุณตัวจริงคือมวลมหาประชาชน คนหนึ่งเล่าไปน้ำตาไหลไปว่า มันเลวอะไรหยั่งงี้ เมื่อก่อนหลงเชื่อว่ามันรักประชาชน ยุให้พวกโจรห้าร้อยเข้ามาโค่นทำลายประชาธิปไตยก็เพราะทักษิณไม่ดี แต่ตอนหลังรู้ว่าทักษิณเขาดีและเขาไม่ผิด แทนที่จะหยุดยั้ง แกกลับสั่งฆ่าหนักกว่าเก่า ก็เลยรู้เช่นเห็นชาติว่า โคตรตระกูลนี้มันก็เหมียนกันทั้งนั้น ต้นตระกูลก็เป็นลูกน้องเขา เขาเอามาชุบเลี้ยงจนเป็นใหญ่เป็นโต (เหมือนทักษิณเลี้ยงเนวิน สุรเกียรติ์ วิษณุ บวรศักดิ์ อนุทิน และนายเหนือหัวของคนพวกนี้) พอได้ทีก็โค่นนายตัวเอง จับนายไปจองจำ ซัดว่าสติไม่ดี ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ แล้วก็จับลงถุงแดง ฆ่าทิ้งอย่างทารุณ โคตรตระกูลไหนที่มือเปื้อนเลือดขนาดนั้นจะให้มันจบดีกระไรได้ แต่จิตรก็ไม่นึกว่าเรื่องมันตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว กรรมจะมาสนองกรรมเอาในตอนนี้
ความจริงการฆ่าหมู่หรือฆ่าเดี่ยวนั้น คนแก่โรคจิตบางคนมันคิดของมันมานานแล้วล่ะท่าน จิตรเคยรู้มาไม่กี่เรื่อง พอมาได้ยินจาก “คุณข้างใน” ผู้มีใจเป็นธรรมเข้า เลยต่อเรื่องได้ทะลุปรุโปร่งทีเดียว ขนาดลำดับ “แผนฆ่า” ได้เลยล่ะท่าน
- ใช้พวกมาเฟียชั้นต่ำ ระดับสัมภเวสี ฆ่าคุณทักษิณแทนให้ เรื่องก็ออกมาเป็นการระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของการบินไทยที่คุณทักษิณฯ จะนั่งไปเชียงใหม่ในปีแรกที่เป็นนายกฯ
- ใช้คนไร้อนาคต หมดความหวังในชีวิตอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล มาก่อหวอตทำลายชื่อเสียงคุณทักษิณให้สิ้นก่อนต่อไปก็ลงมือฆ่าง่าย ป้ายสีเขาว่าเป็นคนไม่ดี กะว่าเขาหมดชื่อเสียงแล้วตัวก็สบายตายไปคนก็ไม่สนใจ เหมือนที่ทำกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครูบาศรีวิชัย ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน พระพิมลธรรม เป็นต้น นั่นแล
- ใช้ทหาร ตำรวจ มือปืนรับจ้าง (ระดับมืออาชีพ) มาลงมือ ทหารก็ต้องหมวกแดงป่าหวายโน่น อย่างไอ้คนที่เตรียมยิงจากต้นไม้ที่ลพบุรี แต่นายกฯ เปลี่ยนแผนขึ้นเหนือนั่นแหละ ตำรวจก็ไปขุดเอาจากขุมนรก ก็พวกประวัติเลวๆ ที่วิ่งมากราบตีนขอให้ช่วยชีวิตอย่างสมคิด บุญถนอมเป็นต้น มือปืนก็เลือกพวกที่ กอ.รม.นวย สั่งได้มาใช้งาน กลายเป็นการเตรียมฆ่าผู้นำของระบอบประชาธิปไตยถึง ๘ ครั้ง ๘ หน รวมทั้งแผนระเบิดรถยนต์ที่บางพลัดที่ไอ้พวกสื่อมวลสัตว์บางตัวอย่าง “เนชั่ว” มันเอามาโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นเรื่องตลกหรือ “คาร์บ๊อง” เพื่อให้คนทั่วโลกเขาไม่สนใจนั่นแหละ พวกนี้เลวถึงขนาดจะให้ยิงจรวดใส่บ้านที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ของคุณทักษิณฯ และครอบครัว ก็ไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ “เขายายเที่ยง” นั่นล่ะท่านที่เป็นตัวการคิดอะไรนรกๆ แบบนี้ เดชะบุญที่นายทหารใหญ่คนที่ต่อมาได้เป็นพลเอกและย้ายมาอยู่ฝั่งประชาธิปไตยเขาเซย์โน บอกว่าจะฆ่าใครก็เอาเฉพาะตัวเขา ฆ่าลูกฆ่าเมียเขาด้วยมันผิดหลักการ
- ใช้ทหาร ตำรวจ และพวกเศษมนุษย์ที่เลียตีนรับใช้กันอยู่เดินทางไปต่างประเทศ เก็บข้อมูลว่าคุณทักษิณอยู่ไหนอย่างไร เตรียมลอบสังหาร ที่อังกฤษก็ทำ ขนาดมาถึงกัมพูชาแล้วก็ยังทำ โชคดีว่าประเทศแถบนี้เขาไม่เล่นเกมโสโครกด้วย เวียดนามก็เป็นเจ้าภาพจับตัวเอาไว้ได้ ๓ คน ไม่นานนี้เอง ตอนนี้ได้ข่าวว่าหัวหายไปแล้ว
นี่ล่ะท่านคือผลงานนองเลือดของไอ้พวกเหี้ยม ม. หาย ความเป็นคนมันไม่มีเหลืออยู่กับตัวแล้ว ไม่ว่าจะไอ้แก่มากหรือไอ้แก่น้อย อยู่บ้านคงลงเดินสี่ตีน เพราะคุณธรรมมันไม่มีเหลือหลอ
แต่แผนการอุบาทว์ชาติชั่วที่เล่ามา ยังไม่เท่าความมืดดำของแผนใหม่ที่เพิ่งเคาะกันลงมาจากตึกสูงๆ ของโรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งจิตรต้องเล่าให้ท่านฟัง จะได้รู้ว่าเมืองพุทธของเรา เดี๋ยวนี้มันได้กลายเป็น “ระบอบสัตวาธิปไตย” คือได้ฝูงสัตว์มาปกครองแทนคนอย่างไร
ในวันตัดสินคดีทรัพย์สินของนายกทักษิณและครอบครัว หรือคดี ๗๖,๐๐๐ ล้านนั่นแหละ ฝ่ายชั่วมันเตรียมจะยึดทรัพย์ให้หมดเกลี้ยง เพราะมันกลัวนายกทักษิณจะเหลือทุนมาทำงานการเมือง แล้วคิดโค่นทำลายรังของพวกมัน มันก็เลยโหมโรงโฆษณาว่าเงินนั้นมาจากไหนยังไง หวังให้คนเขาเคลิบเคลิ้มเห็นดีด้วยกับการยึดทรัพย์ แต่มันก็รู้ว่ากระแสเสื้อแดงที่เร่าร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น ดับไม่ไหว มวลมหาประชาชนเหล่านี้เขาไม่ได้ห่วงเงินของคุณทักษิณ แต่เขาไม่ยอมนั่งเฉยให้ไอ้พวกโจรมหาโจรมันเข้าปล้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้าน
ตรงนี้ล่ะท่านที่รักทั้งหลาย ปิศาจตัวใหญ่ที่ใครก็มองไม่ออก เพราะเป็นประเภท “ตีนที่มองไม่เห็น” ก็ออกโรงมาอีกคราหนึ่ง เหมือนเมื่อคราวเหตุการณ์ฆ่านักศึกษาและประชาชนในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่องคุลีเดียว
ปิศาจชราตนนี้มันสั่งว่า เมื่อประกาศยึดทรัพย์แล้ว มวลชนเตรียมออกมากันแล้ว ก็ให้ออกมากันให้เต็มที่ก่อน จากนั้นจะส่งทีมนรกเข้าไปประชิดตัวผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทีละคน แล้วยิงทิ้งเลย สร้างภาพเสมือนว่าฝ่ายนายกทักษิณและเสื้อแดงเป็นคนลงมือทำ โดยเฉพาะคำพูดของ “เสธ.แดง” ที่เตือนให้ระวังการสังหารผู้พิพากษามาก่อนนี้ มันก็จะเอามาอ้าง จากนั้นมันก็จะโหมข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลกว่าฝ่ายทักษิณเป็นคนสั่งฆ่าผู้พิพากษา
และแล้ว... มันก็จะลงมือปราบปรามมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงชนิดเลือดท่วมท้องช้าง
ฝ่ายอำมาตย์บางคนมันไปติดต่อกับประเทศมหาอำนาจลูกพี่มันไว้แล้วด้วย ขอความช่วยเหลือในการปราบปรามประชาชน ไอ้ฝ่ายโน้นก็พูดไม่ออก ดันทำตัวเป็นลูกพี่เขามาตั้งแต่สงครามเย็นโน่น จะทำดัดจริตย้ายมาข้างประชาธิปไตยก็ไม่ทัน ก็เลยเตรียมช่วยเหลือเชิงกำลังพล (บางส่วน) อุปกรณ์เครื่องมือบางอย่าง และข่าวกรอง ละเอียดลงไปถึงขั้นว่าทหารที่มาฝึกซ้อมรบอยู่ในเมืองไทยช่วงนี้ถึงเวลาก็ยังไม่ให้กลับ ให้ซุ่มรอเวลาอยู่อีกอย่างน้อยสามเดือนเผื่อจะต้องรบจริง
เห็นไหมล่ะท่าน... พวกมันเตรียมการกันถึงขนาดนี้ จิตรเป็นคนชอบพูดทีเล่นทีจริง งานนี้ยังต้องพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่าเมื่อพวกมันมองเห็นประชาชนเป็นผักเป็นปลา คิดจะฆ่าจะแกงกันขนาดนี้แล้ว ประชาชนเราจะนั่งรอให้มันฆ่าก็กระไรอยู่
ก็ต้องเอามันมั่งนะพระคุณท่าน!
โดย จิตร พลจันทร์
ที่มา : คอลัมน์ คมความคิด จิตร พลจันทร์ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 15
-------------------------------------------------------------------------------------
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
พท.ปูดแผนสร้างสถานการณ์โยนผิดเสื้อแดง
โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยแผนสร้างสถานการณ์โยนผิดกลุ่มคนเสื้อแดง ช่วง 5 วัน อันตราย เชื่อคดีระเบิดคว้าน้ำเหลว เพราะคนก่อเหตุเป็นคนมีสีใกล้ชิดรัฐบาล
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. แถลงข่าวตั้งรางวัล 2 ล้านบาท สำหรับผู้ชี้เบาะแสคนร้ายในคดียิงระเบิดชนิด M 79 เข้าไปภายในมหาวิทยาลัยราชมงคล วิทยาลัยเขตพณิชยการพระนคร และคดีลอบวางระเบิด ซีโฟร์ ภายในรั้วศาลฏีกา ว่า เป็นการประจานถึงความไร้ประสิทธิภาพและไร้น้ำยา สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และหน่วยงานความมั่นคงที่จะควบคุม ดูแลสถานการณ์ให้เกิดความสงบ
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คดีดังกล่าวทางตำรวจออกมายอมรับว่าไม่คืบหน้า เพราะไม่ธรรมดา จับตัวยาก สุดท้ายก็คงจับมือใครดมไม่ได้ เพราะน่าจะเกี่ยวข้องคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาล ทั้งนี้ตนได้รับแจ้งข่าวจากเจ้าหน้าที่ผู้หวังดีแจ้งว่า อาจจะมีการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอีกหลายจุด จากกลุ่มคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาล ในช่วง 5 วันอันตราย ก่อนหรือหลังคดียึดทรัพย์ ในวันที่ 26 ก.พ. ซึ่งจะเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อโยนความผิดให้แก่ขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม รัฐบาล รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดง มุ่งหวังที่จะทำลายความชอบธรรมของการชุมนุม และสกัดกั้นมิให้ผู้คนเข้ามาชุมนุมจำนวนมาก และจะเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลประกาศกฎหมายพิเศษในการปราบปรามและควบคุมประชาชน เหมือนกรณี 13 เม.ย.52 หรือสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา
"จากข้อมูลพบว่ามีการนำกำลังทหารหน่วยรบจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่ประจำตาม ค่ายในกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวนมาก รวมถึงล่าสุดได้มีการฝึกซ้อมที่กรมทหารราบ 11 บางเขน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ใช้ทหารตำรวจเกือบ 4,000 นายพร้อมใช้อาวุธ เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอันตราย จึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล หาทางป้องกันเพื่อไม่ให้มีการก่อเหตุนำไปสู่ความรุนแรง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ"โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
ที่มา:ไทยรัฐ
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. แถลงข่าวตั้งรางวัล 2 ล้านบาท สำหรับผู้ชี้เบาะแสคนร้ายในคดียิงระเบิดชนิด M 79 เข้าไปภายในมหาวิทยาลัยราชมงคล วิทยาลัยเขตพณิชยการพระนคร และคดีลอบวางระเบิด ซีโฟร์ ภายในรั้วศาลฏีกา ว่า เป็นการประจานถึงความไร้ประสิทธิภาพและไร้น้ำยา สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และหน่วยงานความมั่นคงที่จะควบคุม ดูแลสถานการณ์ให้เกิดความสงบ
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คดีดังกล่าวทางตำรวจออกมายอมรับว่าไม่คืบหน้า เพราะไม่ธรรมดา จับตัวยาก สุดท้ายก็คงจับมือใครดมไม่ได้ เพราะน่าจะเกี่ยวข้องคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาล ทั้งนี้ตนได้รับแจ้งข่าวจากเจ้าหน้าที่ผู้หวังดีแจ้งว่า อาจจะมีการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอีกหลายจุด จากกลุ่มคนมีสีที่ใกล้ชิดรัฐบาล ในช่วง 5 วันอันตราย ก่อนหรือหลังคดียึดทรัพย์ ในวันที่ 26 ก.พ. ซึ่งจะเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อโยนความผิดให้แก่ขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม รัฐบาล รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดง มุ่งหวังที่จะทำลายความชอบธรรมของการชุมนุม และสกัดกั้นมิให้ผู้คนเข้ามาชุมนุมจำนวนมาก และจะเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลประกาศกฎหมายพิเศษในการปราบปรามและควบคุมประชาชน เหมือนกรณี 13 เม.ย.52 หรือสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา
"จากข้อมูลพบว่ามีการนำกำลังทหารหน่วยรบจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่ประจำตาม ค่ายในกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวนมาก รวมถึงล่าสุดได้มีการฝึกซ้อมที่กรมทหารราบ 11 บางเขน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ใช้ทหารตำรวจเกือบ 4,000 นายพร้อมใช้อาวุธ เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอันตราย จึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาล หาทางป้องกันเพื่อไม่ให้มีการก่อเหตุนำไปสู่ความรุนแรง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ"โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
ที่มา:ไทยรัฐ
ผลาญรัฐ
เมื่อเรามีรัฐบาลพิการสมอง
ท่วงทำนองบริหารที่ผลาญเผา
กู้เงินเขาให้เราค้ำก็ชำเรา
สาวได้สาวเอาน่าเศร้าใจ
ประเทศไทยเราจึงจมต้องอมทุกข์
หมดสุขเพราะเขาเข่นให้เป็นไพร่
น้ำใต้ศอกของอำมาตย์ย่อมบาดใจ
ส่งรัฐบาลจัญไรมานั่งเมือง
ยกพวกปล้นปวงประชาเพราะหน้าด้าน
จริตต่ำกว่าขอทานสะพานเหลือง
เห็นประชาธิปไตยแผ่ในเมือง
ก็ปลุกเหลืองปลุกชมพูมาสู้แดง
ความวุ่นวายมิใช่แดงแสดงก่อน
ก็เหลืองสอนมิใช่หรือฮือเข้าแย่ง
เมื่อเลือกตั้งสู้ไม่ได้ก็ใช้แรง
ต้านสีแดงแรงเหลืองคือเรื่องโจร
รัฐบาลทำดีขยี้ทิ้ง
แล้วไปตั้งฝูงลิงมาห้อยโหน
เทวดาสูงนักแต่รักโจร
ให้เล่นโขนหรอกใครไปวันวัน
ไฉนเล่าเจ้าอำมาตย์พิฆาตรัฐ
ประชาธิปไตยขบกัดเอาหรือท่าน
นึกว่ารักประเทศไทยใจตรงกัน
กลับห้ำหั่นประเทศตนจนจนมุม
เพราะรักแต่ครอบครัวหัวจึงปั่น
บ้านเมืองดีฉับพลันก็ดันกลุ้ม
ก็เจ้ามือกินรวบเคยควบคุม
พอเกิดมุมประชาธิปไตยใจไม่ยอม
เลือกรัฐบาลย่ำเท้าเอาแต่ดูด
ตามหลักสูตรของคุณพ่อผู้หล่อหลอม
ให้เหมือนกันทั้งแผ่นดินจึงยินยอม
ความหลากหลายรายล้อมไม่ต้องการ
แล้วบ้านเมืองเดินไปอย่างไรเล่า
ชาวโลกเขาก้าวหน้ามหาศาล
มายึดเอาอวิชชาเป็นปราการ
รัฐบาลปัญญาอ่อนหลอกหลอนคน
เผด็จการนิยมใช้ไพร่โง่โง่
ที่วางก้ามยโสแต่ฉ้อฉล
เป็นลูกน้องสามานย์ของพาลชน
และยกตนข่มท่านตามสันดาน
สูตรนี้หรือคือไทยในวันนี้
หกสิบสี่ล้านคนไม่พ้นผ่าน
ความฉิบหายใกล้เข้ามาเห็นอาการ
จะวายปราณกันทั้งเมืองเหลืองทั้งตัว
อย่ามุ่งไล่รัฐบาลเป็นงานหลัก
เขามีคนปกปักต้องมองทั่ว
จะรุผึ้งต้องทั้งรังอย่านั่งกลัว
ตีแต่หัวหรือปลายตายอยู่ดี
รัฐบาลผลาญชาติอำมาตย์ชอบ
เพราะเสริมส่งซึ่งระบอบที่กดขี่
ประชาชนหมดสิ้นเขายินดี
ยิ่งไม่มีแต้มต่อยิ่งพอใจ
จะทนทานต่อไปทำไมหรือ
จงออกไปไว้ชื่อมิใช่ไพร่
พลเมืองเต็มอัตราประชาไทย
ต้องร่วมไล่ปวงอำมาตย์ชาตินรกานต์.
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 38
โดย จักรภพ เพ็ญแข
-------------------------------
ท่วงทำนองบริหารที่ผลาญเผา
กู้เงินเขาให้เราค้ำก็ชำเรา
สาวได้สาวเอาน่าเศร้าใจ
ประเทศไทยเราจึงจมต้องอมทุกข์
หมดสุขเพราะเขาเข่นให้เป็นไพร่
น้ำใต้ศอกของอำมาตย์ย่อมบาดใจ
ส่งรัฐบาลจัญไรมานั่งเมือง
ยกพวกปล้นปวงประชาเพราะหน้าด้าน
จริตต่ำกว่าขอทานสะพานเหลือง
เห็นประชาธิปไตยแผ่ในเมือง
ก็ปลุกเหลืองปลุกชมพูมาสู้แดง
ความวุ่นวายมิใช่แดงแสดงก่อน
ก็เหลืองสอนมิใช่หรือฮือเข้าแย่ง
เมื่อเลือกตั้งสู้ไม่ได้ก็ใช้แรง
ต้านสีแดงแรงเหลืองคือเรื่องโจร
รัฐบาลทำดีขยี้ทิ้ง
แล้วไปตั้งฝูงลิงมาห้อยโหน
เทวดาสูงนักแต่รักโจร
ให้เล่นโขนหรอกใครไปวันวัน
ไฉนเล่าเจ้าอำมาตย์พิฆาตรัฐ
ประชาธิปไตยขบกัดเอาหรือท่าน
นึกว่ารักประเทศไทยใจตรงกัน
กลับห้ำหั่นประเทศตนจนจนมุม
เพราะรักแต่ครอบครัวหัวจึงปั่น
บ้านเมืองดีฉับพลันก็ดันกลุ้ม
ก็เจ้ามือกินรวบเคยควบคุม
พอเกิดมุมประชาธิปไตยใจไม่ยอม
เลือกรัฐบาลย่ำเท้าเอาแต่ดูด
ตามหลักสูตรของคุณพ่อผู้หล่อหลอม
ให้เหมือนกันทั้งแผ่นดินจึงยินยอม
ความหลากหลายรายล้อมไม่ต้องการ
แล้วบ้านเมืองเดินไปอย่างไรเล่า
ชาวโลกเขาก้าวหน้ามหาศาล
มายึดเอาอวิชชาเป็นปราการ
รัฐบาลปัญญาอ่อนหลอกหลอนคน
เผด็จการนิยมใช้ไพร่โง่โง่
ที่วางก้ามยโสแต่ฉ้อฉล
เป็นลูกน้องสามานย์ของพาลชน
และยกตนข่มท่านตามสันดาน
สูตรนี้หรือคือไทยในวันนี้
หกสิบสี่ล้านคนไม่พ้นผ่าน
ความฉิบหายใกล้เข้ามาเห็นอาการ
จะวายปราณกันทั้งเมืองเหลืองทั้งตัว
อย่ามุ่งไล่รัฐบาลเป็นงานหลัก
เขามีคนปกปักต้องมองทั่ว
จะรุผึ้งต้องทั้งรังอย่านั่งกลัว
ตีแต่หัวหรือปลายตายอยู่ดี
รัฐบาลผลาญชาติอำมาตย์ชอบ
เพราะเสริมส่งซึ่งระบอบที่กดขี่
ประชาชนหมดสิ้นเขายินดี
ยิ่งไม่มีแต้มต่อยิ่งพอใจ
จะทนทานต่อไปทำไมหรือ
จงออกไปไว้ชื่อมิใช่ไพร่
พลเมืองเต็มอัตราประชาไทย
ต้องร่วมไล่ปวงอำมาตย์ชาตินรกานต์.
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 38
โดย จักรภพ เพ็ญแข
-------------------------------
บทเรียนจากเมียนมาร์
หลังจากประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาร์ภายในพุทธศักราชนี้ โดยมิได้ระบุวันเวลา ระบอบเผด็จการทหารเมียนมาร์ก็ออกข่าวเมื่อเดือนมกราคมว่า นางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านและผู้ก่อตั้งสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (The National League of Democracy: NLD) จะได้รับอิสระทันทีที่คำสั่งจำคุกในบ้านของเธอสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้
ต่อมาไม่กี่วันก็ปล่อยตัว ถิ่นอู ผู้เป็นหมายเลข ๒ ของ NLD เป็นอิสระ ถิ่นอูผู้นี้เป็นอดีตนายทหารยศนายพลที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญกล้าหาญต่างๆ มากมาย แต่ด้วยความที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็แตกร้าวอย่างหนักกับทหารยศสูงคนอื่นๆ จนถูกบังคับให้ออกจากราชการก่อนเกษียณ พอถึง พ.ศ.๒๕๒๗ มาร่วมก่อตั้ง NLD กับนางซูจี ทีนี้เข้าคุกเลยทีเดียว รวมเวลาเทียวเข้าออกจากคุกและการถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านจากบัดนั้นเป็นต้นมานับสิบปี ครั้งล่าสุดก่อนจะได้รับอิสรภาพนี้ก็คือ ๖ ปีเต็ม
เดินก้าวแรกออกมาจากคุก ถิ่นอูในวัย ๘๒ ปีที่ยังแข็งแรง ให้สัมภาษณ์ทันทีว่าเขาจะเดินสายเดิมคือประชาธิปไตยต่อไปอย่างไม่เหลียวหลังหรือลังเล แต่ยังไม่ตอบชัดเจนว่า NLD ซึ่งมีสมาชิกระดับนำอยู่ในคุกมากมายหลายร้อยคน จะเข้าร่วมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยหรือไม่
ความเคลื่อนไหวระยะนี้ทำให้ทั่วโลกอื้ออึงกันว่าดูจะมีแสงสว่างขึ้นบ้างในเมียนมาร์ ถึงขนาดที่ผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติ โทมัส โอจี ควินตาน่า วางแผนเดินทางไปยังเมียนมาร์ทันที่รู้ข่าว เพื่อประเมินว่าระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองในเมียนมาร์มีโอกาสจริงตามข่าวหรือไม่
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อเลยว่า ระบอบทหารของเมียนมาร์จะโอนอ่อนผ่อนตามแรงกดดันสากลจริง เพราะถ้าจะยอมก็คงยอมมานานแล้ว การคว่ำบาตรเศรษฐกิจก็เนิ่นนานมากว่าสิบปีแล้ว และแม้จะเกิดความขัดแย้งแรงๆ ในหมู่ผู้นำอย่างคราวพลเอกขิ่นยุ้นต์ถูกจับและติดคุกยาวอยู่ในขณะนี้ ก็ยังรวมสังขารกันติด ความปีนเกลียวระหว่างพลเอกอาวุโสตานฉ่วยกับผู้นำหมายเลขสองและสามอย่างหม่องเอและตุระฉ่วยมานก็เป็นเพียงข่าวลือ ทั้งนี้ก็เพราะเมียนมาร์ไม่เปิดประตูสู่โลกอย่างแท้จริง ไม่สนใจจะเป็นโลกาภิวัตน์กับใคร และเลือกคบประเทศที่เอื้อประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์ในปัจจุบันอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มาตั้งฐานทัพใหญ่ใกล้นอปิดอว์-นครหลวงใหม่
แรงกดดันระหว่างประเทศจึงไม่ระคายผิวหนาๆ ของเผด็จการทหารในเมียนมาร์
การปรับตัวคราวนี้จึงน่าจะเป็นความพยายามป้องกันความขัดแย้งภายในหมู่ผู้นำที่อาจเกิดได้ในอนาคตมากกว่า เพราะหากปล่อยให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกาน้ำใกล้ระเบิด อาจกระเทือนถึงตัวผู้นำได้เหมือนเมื่อคราวขิ่นยุ้นต์ ซึ่งแม้จะมีความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการปล่อยตัวนางอองซานซูจีอยู่ด้วย ประกอบกับสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักของตานฉ่วย ที่อาจเป็นเหตุให้คนคิดการใหญ่กันได้เหมือนคราวตะเบงชะเวตี้จะสิ้นพระชนม์ ก็นำมาสู่นโยบายลดอุณหภูมิ
ถามว่าอยู่ใกล้กันขนาดมีชายแดนร่วมเกือบ ๑,๘๐๐ กิโลเมตร การเมืองที่เข้าสู่ทางตันของไทยจะนำบทเรียนอะไรจากเมียนมาร์มาใช้ได้บ้าง?
ประการแรกเลยก็คือ หากเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาอย่างเมียนมาร์ด้วยการปิดประเทศบ้าง ก็ขอบอกเอาบุญว่าไม่มีทาง เมียนมาร์ตลอดเส้นทางอันยาวนานหลังจากได้รับเอกราช คือรัฐที่ใช้อุดมการณ์เศรษฐกิจการเมืองฝ่ายซ้ายคือสังคมนิยมมาโดยตลอด ไม่ใส่ใจต่อระบบทุนนิยมเลย ถึงขนาดมีลัทธิของตัวเองคือ “สังคมนิยมตามแนวทางแบบพม่า” หรือ “Burmese Way of Socialism” และใช้อำนาจเผด็จการทหารปกป้องแนวคิดเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะสถาบันระดับสูงและสถาบันทหารที่ปกป้องสถาบันระดับสูง มีวิสัยเป็นทุนนิยมมาตั้งแต่ต้น ถึงขนาดลงทุนตั้งบริษัทที่มุ่งทำกำไรสูงสุดจากประเทศที่ตนมีอำนาจอยู่ แม้รัฐวิสาหกิจก็มีแนวคิดทุนนิยมอนุรักษ์จนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจถูกเรียกว่า กรรมกรศักดินา กันถ้วนหน้า และคนระดับสูงของไทยก็กางปีกปกป้องรัฐวิสาหกิจราวกับไข่ในหิน อย่างคราวที่เกือบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหยุดยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่อำมาตย์รวมหัวกันหากินและได้รับประโยชน์ส่วนตน ในขณะที่รีบผลักดันการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่งคือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ให้เป็นรูปบริษัท เพราะอำมาตย์ระดับสูงสุดมีผลประโยชน์โดยตรงจากการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้นในระดับโลก
เช่นเดียวกับสถาบันทหารที่ได้รับผลประโยชน์จากภาคธุรกิจที่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากรัฐอีกต่อหนึ่ง ต่างก็เป็นนายทหารหาเงินก่อนเกษียณอายุราชการกันทั้งสิ้น ฝ่ายอำมาตย์ไทยจึงไม่มีอะไรจะอ้างได้ในการปิดประเทศ ทหารของชาติที่อำมาตย์ใช้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยหรือ รปภ.ส่วนตัวก็เป็นผลผลิตของทุนนิยม เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในระบบทุนนิยมเหมือนกัน
ประการที่สอง ระบอบเผด็จการเมียนมาร์ออกมาแสดงบทบาทผู้กุมอำนาจโดยตรง ต่างจากฝ่ายไทยที่ใช้ระบบร่างทรง (proxy) ในรูปของกองทัพแห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงคราววิกฤติหรือสงครามระเบิดขึ้น ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีตัวจริงที่จะนั่งเจรจากับตนได้ มีแต่ร่างทรงและตัวแทนที่ไม่มีอำนาจจริง ไม่มีทางบรรลุข้อตกลงได้ ในขณะที่ฝ่ายค้านเมียนมาร์ มหาอำนาจที่คว่ำบาตรเมียนมาร์ มหาอำนาจที่สนับสนุนเมียนมาร์ องค์การสหประชาชาติ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างรู้ว่าศูนย์อำนาจของระบอบเผด็จการทหารของเมียนมาร์อยู่ที่ใด คือมีคู่เจรจา (counterpart) ถึงจะยังไม่อาจตกลงกันได้ แต่ก็มีทิศทางและความหวังที่จะตกลงกันได้ในอนาคต ส่วนอำมาตย์ไทยซ่อนตัวอย่างมิดชิด ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความเป็นคนดีเสมอไป ในที่สุดเมื่อถึงคราววิกฤติ จะไม่สามารถแสดงบทบาทใดๆ ได้อย่างสะดวกเลย ฝ่ายประชาธิปไตยจะเดินทางสู่จุดที่ไม่มีทางเลือกและต้องทำลายอุปสรรคเหล่านั้นลงไป ซึ่งก็คือการทำสงครามชนชั้นอย่างที่ไม่น่าจะเป็น
การซ่อนตัวของอำมาตย์ไทยจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเผชิญหน้าเที่ยวนี้รุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ
ประการสุดท้าย นางซูจีเคยผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ความนิยมใดๆ ที่นางและ NLD มี บัดนี้จางไปตามกาลเวลาจนคนทั่วโลกและชาวเมียนมาร์เองไม่แน่ใจเสียแล้วว่ายังได้รับความนิยมขนาดจะเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอยู่หรือไม่ อย่าลืมว่านางไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองซ้ำอีกเลยตั้งแต่บัดนั้น ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ.๒๕๔๔ และได้รับเลือกตั้งซ้ำอย่างหนักแน่นกว่านั้นในปี พ.ศ.๒๕๔๘ หลังจากเหตุวุ่นวายทางการเมืองมาก็ได้รับเลือกตั้งครั้งที่สามในปี พ.ศ.๒๕๔๙ และได้รับเลือกตั้งท่ามกลางอำนาจเผด็จการทหาร-หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.๒๕๕๐ อีก จนคนทั่วโลกและทั่วประเทศยอมรับว่าได้รับความนิยมจริง ความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลจึงมีสูง เมื่อถูกกีดกันและถูกทำลายลง กระแสต่อต้านจึงค่อยๆ แรงขึ้นด้วยความชอบธรรมที่มีนั้นเอง จนบัดนี้กลายเป็นขบวนประชาธิปไตยที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยกดไม่ลงอีกต่อไป
ผมคิดว่ากรณีเมียนมาร์และนางซูจีสอนอะไรกับเรามาก ส่วนใหญ่เป็นบทเรียนในด้านกลับให้รู้ว่าฐานประชาธิปไตยของเรามีความมั่นคงและเสถียรกว่าเมียนมาร์มากนัก การที่อำมาตย์ฝันจะย้อนกลับไปเป็นเมียนมาร์จึงเป็นฝันกลางวันของเขาที่เราไม่ต้องกังวล.
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
โดย จักรภพ เพ็ญแข
----------------------------
ต่อมาไม่กี่วันก็ปล่อยตัว ถิ่นอู ผู้เป็นหมายเลข ๒ ของ NLD เป็นอิสระ ถิ่นอูผู้นี้เป็นอดีตนายทหารยศนายพลที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญกล้าหาญต่างๆ มากมาย แต่ด้วยความที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็แตกร้าวอย่างหนักกับทหารยศสูงคนอื่นๆ จนถูกบังคับให้ออกจากราชการก่อนเกษียณ พอถึง พ.ศ.๒๕๒๗ มาร่วมก่อตั้ง NLD กับนางซูจี ทีนี้เข้าคุกเลยทีเดียว รวมเวลาเทียวเข้าออกจากคุกและการถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านจากบัดนั้นเป็นต้นมานับสิบปี ครั้งล่าสุดก่อนจะได้รับอิสรภาพนี้ก็คือ ๖ ปีเต็ม
เดินก้าวแรกออกมาจากคุก ถิ่นอูในวัย ๘๒ ปีที่ยังแข็งแรง ให้สัมภาษณ์ทันทีว่าเขาจะเดินสายเดิมคือประชาธิปไตยต่อไปอย่างไม่เหลียวหลังหรือลังเล แต่ยังไม่ตอบชัดเจนว่า NLD ซึ่งมีสมาชิกระดับนำอยู่ในคุกมากมายหลายร้อยคน จะเข้าร่วมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยหรือไม่
ความเคลื่อนไหวระยะนี้ทำให้ทั่วโลกอื้ออึงกันว่าดูจะมีแสงสว่างขึ้นบ้างในเมียนมาร์ ถึงขนาดที่ผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติ โทมัส โอจี ควินตาน่า วางแผนเดินทางไปยังเมียนมาร์ทันที่รู้ข่าว เพื่อประเมินว่าระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองในเมียนมาร์มีโอกาสจริงตามข่าวหรือไม่
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อเลยว่า ระบอบทหารของเมียนมาร์จะโอนอ่อนผ่อนตามแรงกดดันสากลจริง เพราะถ้าจะยอมก็คงยอมมานานแล้ว การคว่ำบาตรเศรษฐกิจก็เนิ่นนานมากว่าสิบปีแล้ว และแม้จะเกิดความขัดแย้งแรงๆ ในหมู่ผู้นำอย่างคราวพลเอกขิ่นยุ้นต์ถูกจับและติดคุกยาวอยู่ในขณะนี้ ก็ยังรวมสังขารกันติด ความปีนเกลียวระหว่างพลเอกอาวุโสตานฉ่วยกับผู้นำหมายเลขสองและสามอย่างหม่องเอและตุระฉ่วยมานก็เป็นเพียงข่าวลือ ทั้งนี้ก็เพราะเมียนมาร์ไม่เปิดประตูสู่โลกอย่างแท้จริง ไม่สนใจจะเป็นโลกาภิวัตน์กับใคร และเลือกคบประเทศที่เอื้อประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์ในปัจจุบันอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มาตั้งฐานทัพใหญ่ใกล้นอปิดอว์-นครหลวงใหม่
แรงกดดันระหว่างประเทศจึงไม่ระคายผิวหนาๆ ของเผด็จการทหารในเมียนมาร์
การปรับตัวคราวนี้จึงน่าจะเป็นความพยายามป้องกันความขัดแย้งภายในหมู่ผู้นำที่อาจเกิดได้ในอนาคตมากกว่า เพราะหากปล่อยให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกาน้ำใกล้ระเบิด อาจกระเทือนถึงตัวผู้นำได้เหมือนเมื่อคราวขิ่นยุ้นต์ ซึ่งแม้จะมีความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการปล่อยตัวนางอองซานซูจีอยู่ด้วย ประกอบกับสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักของตานฉ่วย ที่อาจเป็นเหตุให้คนคิดการใหญ่กันได้เหมือนคราวตะเบงชะเวตี้จะสิ้นพระชนม์ ก็นำมาสู่นโยบายลดอุณหภูมิ
ถามว่าอยู่ใกล้กันขนาดมีชายแดนร่วมเกือบ ๑,๘๐๐ กิโลเมตร การเมืองที่เข้าสู่ทางตันของไทยจะนำบทเรียนอะไรจากเมียนมาร์มาใช้ได้บ้าง?
ประการแรกเลยก็คือ หากเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาอย่างเมียนมาร์ด้วยการปิดประเทศบ้าง ก็ขอบอกเอาบุญว่าไม่มีทาง เมียนมาร์ตลอดเส้นทางอันยาวนานหลังจากได้รับเอกราช คือรัฐที่ใช้อุดมการณ์เศรษฐกิจการเมืองฝ่ายซ้ายคือสังคมนิยมมาโดยตลอด ไม่ใส่ใจต่อระบบทุนนิยมเลย ถึงขนาดมีลัทธิของตัวเองคือ “สังคมนิยมตามแนวทางแบบพม่า” หรือ “Burmese Way of Socialism” และใช้อำนาจเผด็จการทหารปกป้องแนวคิดเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะสถาบันระดับสูงและสถาบันทหารที่ปกป้องสถาบันระดับสูง มีวิสัยเป็นทุนนิยมมาตั้งแต่ต้น ถึงขนาดลงทุนตั้งบริษัทที่มุ่งทำกำไรสูงสุดจากประเทศที่ตนมีอำนาจอยู่ แม้รัฐวิสาหกิจก็มีแนวคิดทุนนิยมอนุรักษ์จนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจถูกเรียกว่า กรรมกรศักดินา กันถ้วนหน้า และคนระดับสูงของไทยก็กางปีกปกป้องรัฐวิสาหกิจราวกับไข่ในหิน อย่างคราวที่เกือบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหยุดยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่อำมาตย์รวมหัวกันหากินและได้รับประโยชน์ส่วนตน ในขณะที่รีบผลักดันการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่งคือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ให้เป็นรูปบริษัท เพราะอำมาตย์ระดับสูงสุดมีผลประโยชน์โดยตรงจากการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้นในระดับโลก
เช่นเดียวกับสถาบันทหารที่ได้รับผลประโยชน์จากภาคธุรกิจที่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากรัฐอีกต่อหนึ่ง ต่างก็เป็นนายทหารหาเงินก่อนเกษียณอายุราชการกันทั้งสิ้น ฝ่ายอำมาตย์ไทยจึงไม่มีอะไรจะอ้างได้ในการปิดประเทศ ทหารของชาติที่อำมาตย์ใช้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยหรือ รปภ.ส่วนตัวก็เป็นผลผลิตของทุนนิยม เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในระบบทุนนิยมเหมือนกัน
ประการที่สอง ระบอบเผด็จการเมียนมาร์ออกมาแสดงบทบาทผู้กุมอำนาจโดยตรง ต่างจากฝ่ายไทยที่ใช้ระบบร่างทรง (proxy) ในรูปของกองทัพแห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงคราววิกฤติหรือสงครามระเบิดขึ้น ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีตัวจริงที่จะนั่งเจรจากับตนได้ มีแต่ร่างทรงและตัวแทนที่ไม่มีอำนาจจริง ไม่มีทางบรรลุข้อตกลงได้ ในขณะที่ฝ่ายค้านเมียนมาร์ มหาอำนาจที่คว่ำบาตรเมียนมาร์ มหาอำนาจที่สนับสนุนเมียนมาร์ องค์การสหประชาชาติ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างรู้ว่าศูนย์อำนาจของระบอบเผด็จการทหารของเมียนมาร์อยู่ที่ใด คือมีคู่เจรจา (counterpart) ถึงจะยังไม่อาจตกลงกันได้ แต่ก็มีทิศทางและความหวังที่จะตกลงกันได้ในอนาคต ส่วนอำมาตย์ไทยซ่อนตัวอย่างมิดชิด ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความเป็นคนดีเสมอไป ในที่สุดเมื่อถึงคราววิกฤติ จะไม่สามารถแสดงบทบาทใดๆ ได้อย่างสะดวกเลย ฝ่ายประชาธิปไตยจะเดินทางสู่จุดที่ไม่มีทางเลือกและต้องทำลายอุปสรรคเหล่านั้นลงไป ซึ่งก็คือการทำสงครามชนชั้นอย่างที่ไม่น่าจะเป็น
การซ่อนตัวของอำมาตย์ไทยจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเผชิญหน้าเที่ยวนี้รุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ
ประการสุดท้าย นางซูจีเคยผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ความนิยมใดๆ ที่นางและ NLD มี บัดนี้จางไปตามกาลเวลาจนคนทั่วโลกและชาวเมียนมาร์เองไม่แน่ใจเสียแล้วว่ายังได้รับความนิยมขนาดจะเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอยู่หรือไม่ อย่าลืมว่านางไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองซ้ำอีกเลยตั้งแต่บัดนั้น ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ.๒๕๔๔ และได้รับเลือกตั้งซ้ำอย่างหนักแน่นกว่านั้นในปี พ.ศ.๒๕๔๘ หลังจากเหตุวุ่นวายทางการเมืองมาก็ได้รับเลือกตั้งครั้งที่สามในปี พ.ศ.๒๕๔๙ และได้รับเลือกตั้งท่ามกลางอำนาจเผด็จการทหาร-หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.๒๕๕๐ อีก จนคนทั่วโลกและทั่วประเทศยอมรับว่าได้รับความนิยมจริง ความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลจึงมีสูง เมื่อถูกกีดกันและถูกทำลายลง กระแสต่อต้านจึงค่อยๆ แรงขึ้นด้วยความชอบธรรมที่มีนั้นเอง จนบัดนี้กลายเป็นขบวนประชาธิปไตยที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยกดไม่ลงอีกต่อไป
ผมคิดว่ากรณีเมียนมาร์และนางซูจีสอนอะไรกับเรามาก ส่วนใหญ่เป็นบทเรียนในด้านกลับให้รู้ว่าฐานประชาธิปไตยของเรามีความมั่นคงและเสถียรกว่าเมียนมาร์มากนัก การที่อำมาตย์ฝันจะย้อนกลับไปเป็นเมียนมาร์จึงเป็นฝันกลางวันของเขาที่เราไม่ต้องกังวล.
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
โดย จักรภพ เพ็ญแข
----------------------------
ความเหมือนในความต่าง ทักษิณ 3 สิงหาคม 2544 กับ ทักษิณ 26 กุมภา 53
เมื่อ 3 สิงหาคม 2544 เป็นวัน "หยุดประเทศไทย" วันหนึ่ง เนื่องเพราะมีการตัดสินคดีซุกหุ้นภาคแรกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีก 9 ปีต่อมา วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ เป็นวัน "หยุดประเทศไทย" อีกเช่นกัน เนื่องเพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดีร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาท ของคนชื่อ ทักษิณ
... แม้เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 2 เวลาดังกล่าว มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวชูโรงเหมือนเดิม แต่มีความคล้ายและแตกต่างกันในหลายประเด็น
"ประชาชาติธุรกิจ" นำเสนอภาพเปรียบเทียบ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซุกหุ้น ปี 2544 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดียึดทรัพย์ ปี 2553
@ สถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว
ก่อน 3 สิงหาคม 2544 สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย ในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยกวาด ส.ส.ทั้งสองระบบได้มากที่สุด 248 เสียง ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ ส.ส.แค่ 128 เสียง
ปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณมีความฮึกเหิมอย่างที่สุด ทักษิณบอกว่า เขาจะทำอะไรให้กับประชาชนได้มากกว่านี้ ถ้าไม่มีมีดปักหลัง อันหมายถึงคดีซุกหุ้นในศาลรัฐธรรมนูญ
แต่สถานะวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ และเป็นนักโทษที่มีคดีติดตัวเพราะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ทำให้หลบลี้ภัยอยู่ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดูไบ ยูกันดา กัมพูชา ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน
@ คดีซุกหุ้นกับคดียึดทรัพย์
คดีซุกหุ้นภาคแรก ปี 2544 เป็นเสมือนปฐมบทของคดีซุกหุ้น ก่อนที่กระบวนการเชิดนอมินีจะพัฒนามาเป็น ซุกหุ้น "ไตรภาค" จากซุกหุ้นผ่านคนรับใช้ คนขับรถ มาเป็นซุกหุ้นในบริษัทบนเกาะบริติช เวอร์จิ้น ก่อนจะมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก และกลายเป็นฉากสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ในคดีซุกหุ้นภาคแรก เดิมพันของ พ.ต.ท.ทักษิณฝากไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ความมั่งคั่งของตระกูลชินวัตรแขวนอยู่กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะอ่านคำพิพากษาเวลา 13.00 น. วันศุกร์ที่ 26 ก.พ. 2553
ความแตกต่างกันคือ คดีซุกหุ้นภาคแรก อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แต่คดียึดทรัพย์ อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว จนลงทันที 76,000 ล้าน ถ้าศาลฎีกาตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมด !
ทว่าสิ่งที่คล้ายกันคือรูปแบบการต่อสู้ พ.ต.ท.ทักษิณต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทั้งต่อสู้ทางกฎหมายที่ส่งมือกฎหมายชั้นนำ และพยานเบิกความจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนต่อสู้นอกศาล ทำให้บรรยากาศวุ่นวายเป็นอย่างมาก กล่าวคือ
ก่อนตัดสินคดีซุกหุ้น มวลชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย โหมกระแสกดดันศาลรัฐธรรมนูญ และกรรมการ ป.ป.ช. อย่างหนักหน่วงและรุนแรง
ถึงขนาดมีการข่มขู่ว่าจะเผาศาลรัฐธรรมนูญทิ้ง ถ้าตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด ตลอดจนมีการส่งจดหมายและโทรศัพท์ข่มขู่ตุลาการ และ ป.ป.ช.
ที่สำคัญมีกระแสข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า มีการใช้เงินก้อนโตติดสินบนตุลาการจำนวนหลายสิบล้านบาท
ผ่านมา 9 ปี ในคดียึดทรัพย์ แรงกดดันศาลฎีกาทวีความรุนแรงไม่ได้น้อยกว่าปี 2544 มีการลอบนำระเบิดซีโฟร์ไปวางบริเวณสนามข้างรั้วศาลฎีกา มวลชนที่นำโดยกลุ่มเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยโหมเคลื่อนไหวกดดันอย่างหนัก และพยายามเชื่อมโยงไปถึงสถาบันชั้นสูง และองคมนตรี ว่ามีส่วนสำคัญในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา
@ กลุ่มสนับสนุนที่เปลี่ยนไป
คดีซุกหุ้นภาคแรก พ.ต.ท.ทักษิณมีคุณหญิงพจมาน ภรรยา ร่วมต่อสู้เคียงข้าง แต่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ไม่มีคุณหญิงพจมานเคียงข้างเพราะหย่าขาด แบ่งแยกสมบัติกันแล้ว คุณหญิงอ้อกลับไปใช้นามสกุล ณ ป้อมเพ็ชร์
คดีซุกหุ้น พ.ต.ท.ทักษิณใช้มวลชนร่วมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง ส.ส. สมาชิกพรรคไทยรักไทย ทหาร ตำรวจ เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 สื่อมวลชน ชาวบ้าน รวมทั้งนักวิชาการ ผู้นำทางความคิดออกมาเรียกร้องชี้นำให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ แทนหลักนิติศาสตร์ อาทิ น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว น.พ.ประเวศ วะสี เป็นต้น
คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ไม่มีมวลชนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมากเท่าครั้งก่อน มีเพียงกลุ่มเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนายทหารบางคน ขณะที่นักวิชาการ ชนชั้นกลาง ตลอดจนผู้นำทางความคิด ถอยห่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
ขณะเดียวกันมีแรงต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ โผล่ขึ้นเต็มไปหมด เห็นได้จากโพลหลายสำนักที่สำรวจพบว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนวันที่ 26 ก.พ. เป็นไปเพื่อคนเพียงคนเดียว
บทสรุปวันที่ 3 สิงหาคม 2544 พ.ต.ท.ทักษิณหลุดพ้นข้อกล่าวหา
บทสรุปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นอย่างไร ต้องติดตาม
แต่ที่แน่ ๆ หลังวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ทักษิณ บอกว่า ขอบคุณ ศาลมีความยุติธรรม
ทว่า ...วันนี้ ทักษิณและพวก ประจานศาลไทยไปทั่วโลกว่า ไม่น่าเชื่อถือ 2 มาตรฐาน !!!
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
... แม้เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 2 เวลาดังกล่าว มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวชูโรงเหมือนเดิม แต่มีความคล้ายและแตกต่างกันในหลายประเด็น
"ประชาชาติธุรกิจ" นำเสนอภาพเปรียบเทียบ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซุกหุ้น ปี 2544 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดียึดทรัพย์ ปี 2553
@ สถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว
ก่อน 3 สิงหาคม 2544 สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย ในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยกวาด ส.ส.ทั้งสองระบบได้มากที่สุด 248 เสียง ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ ส.ส.แค่ 128 เสียง
ปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณมีความฮึกเหิมอย่างที่สุด ทักษิณบอกว่า เขาจะทำอะไรให้กับประชาชนได้มากกว่านี้ ถ้าไม่มีมีดปักหลัง อันหมายถึงคดีซุกหุ้นในศาลรัฐธรรมนูญ
แต่สถานะวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ และเป็นนักโทษที่มีคดีติดตัวเพราะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ทำให้หลบลี้ภัยอยู่ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดูไบ ยูกันดา กัมพูชา ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน
@ คดีซุกหุ้นกับคดียึดทรัพย์
คดีซุกหุ้นภาคแรก ปี 2544 เป็นเสมือนปฐมบทของคดีซุกหุ้น ก่อนที่กระบวนการเชิดนอมินีจะพัฒนามาเป็น ซุกหุ้น "ไตรภาค" จากซุกหุ้นผ่านคนรับใช้ คนขับรถ มาเป็นซุกหุ้นในบริษัทบนเกาะบริติช เวอร์จิ้น ก่อนจะมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก และกลายเป็นฉากสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ในคดีซุกหุ้นภาคแรก เดิมพันของ พ.ต.ท.ทักษิณฝากไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ความมั่งคั่งของตระกูลชินวัตรแขวนอยู่กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะอ่านคำพิพากษาเวลา 13.00 น. วันศุกร์ที่ 26 ก.พ. 2553
ความแตกต่างกันคือ คดีซุกหุ้นภาคแรก อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แต่คดียึดทรัพย์ อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว จนลงทันที 76,000 ล้าน ถ้าศาลฎีกาตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมด !
ทว่าสิ่งที่คล้ายกันคือรูปแบบการต่อสู้ พ.ต.ท.ทักษิณต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทั้งต่อสู้ทางกฎหมายที่ส่งมือกฎหมายชั้นนำ และพยานเบิกความจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนต่อสู้นอกศาล ทำให้บรรยากาศวุ่นวายเป็นอย่างมาก กล่าวคือ
ก่อนตัดสินคดีซุกหุ้น มวลชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย โหมกระแสกดดันศาลรัฐธรรมนูญ และกรรมการ ป.ป.ช. อย่างหนักหน่วงและรุนแรง
ถึงขนาดมีการข่มขู่ว่าจะเผาศาลรัฐธรรมนูญทิ้ง ถ้าตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด ตลอดจนมีการส่งจดหมายและโทรศัพท์ข่มขู่ตุลาการ และ ป.ป.ช.
ที่สำคัญมีกระแสข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า มีการใช้เงินก้อนโตติดสินบนตุลาการจำนวนหลายสิบล้านบาท
ผ่านมา 9 ปี ในคดียึดทรัพย์ แรงกดดันศาลฎีกาทวีความรุนแรงไม่ได้น้อยกว่าปี 2544 มีการลอบนำระเบิดซีโฟร์ไปวางบริเวณสนามข้างรั้วศาลฎีกา มวลชนที่นำโดยกลุ่มเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยโหมเคลื่อนไหวกดดันอย่างหนัก และพยายามเชื่อมโยงไปถึงสถาบันชั้นสูง และองคมนตรี ว่ามีส่วนสำคัญในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา
@ กลุ่มสนับสนุนที่เปลี่ยนไป
คดีซุกหุ้นภาคแรก พ.ต.ท.ทักษิณมีคุณหญิงพจมาน ภรรยา ร่วมต่อสู้เคียงข้าง แต่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ไม่มีคุณหญิงพจมานเคียงข้างเพราะหย่าขาด แบ่งแยกสมบัติกันแล้ว คุณหญิงอ้อกลับไปใช้นามสกุล ณ ป้อมเพ็ชร์
คดีซุกหุ้น พ.ต.ท.ทักษิณใช้มวลชนร่วมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง ส.ส. สมาชิกพรรคไทยรักไทย ทหาร ตำรวจ เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 สื่อมวลชน ชาวบ้าน รวมทั้งนักวิชาการ ผู้นำทางความคิดออกมาเรียกร้องชี้นำให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ แทนหลักนิติศาสตร์ อาทิ น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว น.พ.ประเวศ วะสี เป็นต้น
คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ไม่มีมวลชนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมากเท่าครั้งก่อน มีเพียงกลุ่มเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนายทหารบางคน ขณะที่นักวิชาการ ชนชั้นกลาง ตลอดจนผู้นำทางความคิด ถอยห่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
ขณะเดียวกันมีแรงต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ โผล่ขึ้นเต็มไปหมด เห็นได้จากโพลหลายสำนักที่สำรวจพบว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนวันที่ 26 ก.พ. เป็นไปเพื่อคนเพียงคนเดียว
บทสรุปวันที่ 3 สิงหาคม 2544 พ.ต.ท.ทักษิณหลุดพ้นข้อกล่าวหา
บทสรุปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นอย่างไร ต้องติดตาม
แต่ที่แน่ ๆ หลังวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ทักษิณ บอกว่า ขอบคุณ ศาลมีความยุติธรรม
ทว่า ...วันนี้ ทักษิณและพวก ประจานศาลไทยไปทั่วโลกว่า ไม่น่าเชื่อถือ 2 มาตรฐาน !!!
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
** เขื่อนแตก !! **
หลังผลทดสอบชุด คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ออกมาว่า เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 ตรวจหา 20 ครั้ง เจอระเบิดแค่ 4 ครั้ง
เท่ากับ ประสิทธิภาพแค่ เดาสุ่ม
สุนัขยังทำงานได้เจ๋งกว่า
แล้วก็ขอย้ำอีกครั้ง ไม่มีใครตำหนิทหาร ตำรวจ ที่ใช้เครื่องนี้ว่า ไม่ดี ทุจริต หรือ ทำผิดอะไรเลย มีแต่เป็นห่วงความ ปลอดภัย
อยากให้ใช้ของดี
ดังนั้น การที่คุณหญิงหมอ พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยังออกมาเย้วๆ ยืนยันจะใช้เครื่องนี้ต่อ ก็ใช้ไปสิ
แต่มาจิกด่าว่า คนกรุงเทพฯ คงสะใจ แล้วสิ ทีนี้
บอกตรง ๆ สมเพช แบ่งแยกคนในชาติแล้ว ยังจะแถอีก มีวาระหรือ ถึงได้ปกป้องขนาดนี้
เช่นเดียวกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักข่าวถาม จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบงบประมาณที่เสียไปหรือไม่ นายกฯ บอก
ต้องดูเหตุและผล ต้องรู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ใช้
ถามอีก จะมีการตรวจสอบที่มาที่ไปหรือไม่ นายกฯบอก คงมีการลำดับเหตุการณ์มา แต่ถามว่าการรับรู้ปัญหาก็เพิ่งเกิด แต่การจัดซื้อ
มีมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว
ถามอีก มีช่องทางทางกฎหมายที่จะจัดการกับบริษัทที่ขายหรือไม่ นายกฯบอก ได้มอบให้ไปดูข้อกฎหมายแล้ว บอกอีก จะเอาเรื่อง
ถึงบริษัทอังกฤษด้วย โอ้โห...แน่มาก
ถามอีก 700 กว่าเครื่องที่เหลือจะเอาไปทำอะไร นายกฯ บอก ยังไม่ได้คิด ไม่คิดก็ไม่คิด แต่ประเด็นใหญ่ คือ การทุจริตที่เกิดขึ้น
กับบริษัทเอกชน นายกฯ กล้าฟันธงปุบปับ
ต้องจัดการตามกฎหมาย
แต่คนที่อนุมัติล่ะ เหมือนอมอะไรอยู่ ยิ่งบอก จัดซื้อตั้งแต่ปี 47 ก็ สมัยทักษิณไง สอบเลย อย่าช้า ยี่ห้อเดียวกัน มีทั้งซื้อวิธีพิเศษ
ประกวดราคา ตั้งแต่ 4 แสน ถึง 1.4 ล้าน เพราะอะไร???
หรือที่นายกฯไม่กล้า เพราะไป ๆ มา ๆ นายทหารใหญ่ใน คมช. นั่นแหละ จะขว้างงูไม่พ้นคอ ใครก็รู้ คนเหล่านี้มีบุญคุณล้นเหลือ ฉ
กเก้าอี้นายกฯมาประเคนให้
เหนืออื่นใด จีที 200 ลวงโลก พันเครื่องน่ะ แค่ยอดน้ำแข็งบนภูเขาทั้งลูก งบซื้ออาวุธหลัง 19 ก.ย. 49 เพิ่มขึ้น 30 กว่าเปอร์เซ็นต์
เอาแค่ทุ่มไปใต้ ปีหนึ่งก็ 4-5 หมื่นล้าน มีใครกินค่าคอมมิสชัน เท่าไหร่
นี่ยังมี อัลฟา 6 (ที่เหมือนจีที 200) เครื่องบินขับไล่ กริฟเฟน 6 ลำ แอร์บัส ระบบควบคุมแจ้งเตือนภัยทางอากาศ เรือเหาะ
ทีวีวงจรปิด รถถังยูเครน 4,000 คัน ทั้งหมดมีข่าวฉาวโฉ่ทั้งสิ้น
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ลากรถถังออกมายึดอำนาจ ฉีก รธน.ทิ้ง เคยประกาศก้อง ทนเห็นการคอร์รัปชั่นไม่ไหว จนต้องสะอื้นไห้
ต้องปฏิบัติการวงจรอุบาทว์อีก ตอนนี้ จะว่าไงดีล่ะ
ทำไมการทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ลด แถมเบ่งบานยิ่งกว่าดอกเห็ดหน้าฝนอีก กินตั้งแต่ปลากระป๋อง ยัน ไม้ชี้ป่าช้า แล้วต้องยึดทรัพย์
พวกกินค่าคอมฯ อาวุธด้วยหรือไม่ ตอบให้ชัด ๆ หน่อยเถอะ
คนไทยไม่ได้กินแกลบหรอกนะ ขอบอก.
ที่มา:konthaiuk
*******************************************************************************
เท่ากับ ประสิทธิภาพแค่ เดาสุ่ม
สุนัขยังทำงานได้เจ๋งกว่า
แล้วก็ขอย้ำอีกครั้ง ไม่มีใครตำหนิทหาร ตำรวจ ที่ใช้เครื่องนี้ว่า ไม่ดี ทุจริต หรือ ทำผิดอะไรเลย มีแต่เป็นห่วงความ ปลอดภัย
อยากให้ใช้ของดี
ดังนั้น การที่คุณหญิงหมอ พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยังออกมาเย้วๆ ยืนยันจะใช้เครื่องนี้ต่อ ก็ใช้ไปสิ
แต่มาจิกด่าว่า คนกรุงเทพฯ คงสะใจ แล้วสิ ทีนี้
บอกตรง ๆ สมเพช แบ่งแยกคนในชาติแล้ว ยังจะแถอีก มีวาระหรือ ถึงได้ปกป้องขนาดนี้
เช่นเดียวกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักข่าวถาม จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบงบประมาณที่เสียไปหรือไม่ นายกฯ บอก
ต้องดูเหตุและผล ต้องรู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ใช้
ถามอีก จะมีการตรวจสอบที่มาที่ไปหรือไม่ นายกฯบอก คงมีการลำดับเหตุการณ์มา แต่ถามว่าการรับรู้ปัญหาก็เพิ่งเกิด แต่การจัดซื้อ
มีมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว
ถามอีก มีช่องทางทางกฎหมายที่จะจัดการกับบริษัทที่ขายหรือไม่ นายกฯบอก ได้มอบให้ไปดูข้อกฎหมายแล้ว บอกอีก จะเอาเรื่อง
ถึงบริษัทอังกฤษด้วย โอ้โห...แน่มาก
ถามอีก 700 กว่าเครื่องที่เหลือจะเอาไปทำอะไร นายกฯ บอก ยังไม่ได้คิด ไม่คิดก็ไม่คิด แต่ประเด็นใหญ่ คือ การทุจริตที่เกิดขึ้น
กับบริษัทเอกชน นายกฯ กล้าฟันธงปุบปับ
ต้องจัดการตามกฎหมาย
แต่คนที่อนุมัติล่ะ เหมือนอมอะไรอยู่ ยิ่งบอก จัดซื้อตั้งแต่ปี 47 ก็ สมัยทักษิณไง สอบเลย อย่าช้า ยี่ห้อเดียวกัน มีทั้งซื้อวิธีพิเศษ
ประกวดราคา ตั้งแต่ 4 แสน ถึง 1.4 ล้าน เพราะอะไร???
หรือที่นายกฯไม่กล้า เพราะไป ๆ มา ๆ นายทหารใหญ่ใน คมช. นั่นแหละ จะขว้างงูไม่พ้นคอ ใครก็รู้ คนเหล่านี้มีบุญคุณล้นเหลือ ฉ
กเก้าอี้นายกฯมาประเคนให้
เหนืออื่นใด จีที 200 ลวงโลก พันเครื่องน่ะ แค่ยอดน้ำแข็งบนภูเขาทั้งลูก งบซื้ออาวุธหลัง 19 ก.ย. 49 เพิ่มขึ้น 30 กว่าเปอร์เซ็นต์
เอาแค่ทุ่มไปใต้ ปีหนึ่งก็ 4-5 หมื่นล้าน มีใครกินค่าคอมมิสชัน เท่าไหร่
นี่ยังมี อัลฟา 6 (ที่เหมือนจีที 200) เครื่องบินขับไล่ กริฟเฟน 6 ลำ แอร์บัส ระบบควบคุมแจ้งเตือนภัยทางอากาศ เรือเหาะ
ทีวีวงจรปิด รถถังยูเครน 4,000 คัน ทั้งหมดมีข่าวฉาวโฉ่ทั้งสิ้น
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ลากรถถังออกมายึดอำนาจ ฉีก รธน.ทิ้ง เคยประกาศก้อง ทนเห็นการคอร์รัปชั่นไม่ไหว จนต้องสะอื้นไห้
ต้องปฏิบัติการวงจรอุบาทว์อีก ตอนนี้ จะว่าไงดีล่ะ
ทำไมการทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ลด แถมเบ่งบานยิ่งกว่าดอกเห็ดหน้าฝนอีก กินตั้งแต่ปลากระป๋อง ยัน ไม้ชี้ป่าช้า แล้วต้องยึดทรัพย์
พวกกินค่าคอมฯ อาวุธด้วยหรือไม่ ตอบให้ชัด ๆ หน่อยเถอะ
คนไทยไม่ได้กินแกลบหรอกนะ ขอบอก.
ที่มา:konthaiuk
*******************************************************************************
วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
'เต้น'โต้'ข่าวกรอง'รัฐ! 'แดงไม่แตก-คนไม่ลด' ท้าดูจำนวนชุมนุมใหญ่

"ณัฐวุฒิ" โต้ข่าวกรองรัฐบาล ยันเสื้อแดงไม่แตกแยก คนไม่น้อยลง
ท้าให้ดูวันชุมนุมใหญ่จะได้เห็นของจริง
เตรียมแฉข้อมูลทหารเวรกองบิน 1 ทำปืนลั่น
"จตุพร" ยันประกาศชุมนุมใหญ่ก่อน 26 ก.พ.
ที่พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)
กล่าวถึง กรณีที่มีรายงานข่าวกรองจากรัฐบาลว่า จำนวนมวลชนเสื้อแดงลดน้อยลง หลังเกิดความขัดแย้งอย่างหนัก
ในส่วนแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ว่า
ในฐานะที่เคยเป็นรองโฆษกรัฐบาล และได้เคยประสานงานกับหน่วยข่าวกรอง มองว่าในเรื่องของการหาข้อมูลการขับเคลื่อนมวลชนนั้น
หน่วยข่าวกรองพึ่งพาได้น้อยมาก การรายงานข่าวของหน่วยงานรัฐ สู้การหาข่าวเองไม่ได้
ฉะนั้นข่าวเรื่องท่อเลี้ยงและกลุ่มเสื้อแดงแตก แดงแผ่วนั้นเราเจอข่าวนี้มามาก จึงไม่ใช่เรื่องจริง เพราะความเห็นที่แตกต่างกันระหว่าง
ทางอาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ทำให้เกิดความแตกแยก
เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่กลุ่มเสื้อแดงมีการนัดชุมนุมใหญ่ขึ้น ก็จะได้เห็นภาพมวลชนจำนวนมหาศาล ดังนั้นการที่หน่วยข่าวกรอง
ของรัฐบาลระบุว่า กลุ่มเสื้อแดงมีการเตรียมมวลชนเข้ามาชุมนุมใหญ่จำนวนสามหมื่นกว่าคนนั้น ก็ขัดแย้งกันเองกับสิ่งที่รัฐบาลบอกว่า
จำนวนเสื้อแดงลดลง เพราะคนจำนวนสามหมื่นก็ถือว่ามากแล้ว ตรงนี้จึงสะท้อนคำอธิบายในการหาข่าวของรัฐได้ดี
“เหตุที่คนเสื้อแดงยังไม่กำหนดวันเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ ไม่ได้เกิดจากความไม่พร้อม หรือข่าวที่เกิดปัญหาแดงแตก
อย่างที่หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลระบุ แต่เป็นเพราะ เราทราบข้อมูลว่า จะมีการสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายโดยรัฐบาลหลายจุด
เช่น กรณีจะมีการนำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกรพ.ศิริราชนั้น ก็เป็นกรณีหนึ่งที่เราต้องออกมาประกาศให้สังคมรับทราบดักทาง
ไว้ก่อนและยืนยันว่า เรายึดหลักสันติวิธีอย่างเคร่งครัด รัดกุม และเป็นฝ่ายกำหนดเกมเอง ไม่ไปเคลื่อนไหวอยู่ใน
เขตคิลลิ่งโซนที่รัฐบาลเตรียมไว้ รวมทั้งไม่เป็นฝ่ายทำให้เกิดความรุนแรงก่อน เพราะถ้าทำก็จะเกิดปัญหาเอง ซึ่งที่ผ่านมา
คนเสื้อแดงก็ไม่เคยประกาศดีเดย์การชุมนุม ก่อนหรือหลัง 26 กพ. แต่รัฐบาลไปเต้นเอง แต่ในวันที่ 26 ก.พ.ก็อาจจะมี
กลุ่มคนบางกลุ่มที่รักและห่วงใย พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ไปให้กำลังใจที่ศาลฎีกา แต่เราจะไม่ตั้ง
เวทีชุมนุมหรือเคลื่อนไหวใดๆ แน่นอน เพราะไม่มีประโยชน์อะไร ที่เราจะไปสร้างสถานการณ์ที่ศาล แต่เราคำนึงถึง
การต่อสู้เป็นหลัก” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึง กรณีเหตุพลทหารรักษาการณ์สังกัดกองบิน 1 นครราชสีมา ที่ยืนเข้าเวรประจำป้อมยามทางเข้า
สนามกอล์ฟไทเกอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักป๋าเปรมประมาณ 1 กม.ทำปืนประจำกายลั่นใส่แคดดี้สนามกอล์ฟได้รับบาดเจ็บสาหัส ว่า
ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียด คาดว่าภายในวันนี้( 20 กพ.) ก็จะทราบ และจะนำไปพูดบนเวที
แต่เบื้องต้นคาดว่า ไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุ เพราะระดับพลทหารเฝ้าบ้านพล.อ.เปรมที่ต้องเคยผ่านการฝึกอาวุธมาอย่างดี
จะบังเอิญมาทำปืนลั่นใส่เจาะเข้าที่แก้มอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น พล.อ.เปรม คงต้องไปตรวจสอบดวงชะตาโดยด่วน
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึง ประสิทธิภาพการใช้งานเครื่อง จีที 200 หลังผู้บัญชาการทหารบกยังยืนยันจะใช้เครื่องดังกล่าวต่อ ว่า
ถ้า พล.อ.อนุพงษ์ ยืนยันจะใช้เครื่องจีที 200 ต่อไป โดยปล่อยให้พลทหารชั้นผู้น้อยไปถือแท่งอะไรไม่รู้เสี่ยงชีวิต
ดังนั้น จึงขอเสนอให้ผบ.ทบ.แสดงความจริงใจ ด้วยการไปพิสูจน์ประสิทธิภาพเครื่องจีที200 ด้วยการไปจับมือกับพลหารลงพื้นที่
ที่มีระเบิดแล้วถือเครื่องจีที200 คนละเครื่องหาระเบิด เพื่อยืนยันว่าผบ.ทบ.ไม่ได้ยัดเยียดชะตากรรมให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
แล้วตัวเองเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ถ้าพล.อ.อนุพงษ์ไม่กล้า ตน นายวีระ มุสิกพงษ์ และนายจตุพร พรหมพันธ์ ก็จะไปร่วม
ขบวนด้วย โดยยอมเอาผ้าขาวม้าผูกเอวเดินหาระเบิดด้วยกัน ทั้งนี้มองว่าการออกมาพูดโดยไม่คำนึงถึงชิวิตทหารเช่นนี้
ของผบ.ทบ.จะยิ่งทำให้ทหารสีแดงมีมากขึ้น เพราะทุกวันนี้กองทัพก็มีสภาพเหมือนแตงโม ข้างนอกสีเขียวข้างในสีแดง
"นอกจากกรณีของภาวะผู้นำของพล.อ.อนุพงษ์แล้ว กรณีจีที 200 ยังสะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี ที่บัญชาการหน่วยงานไหนไม่ได้ ซึ่งทหารแถลงไปอีกทาง ซึ่งเท่ากับคุม องคาพยพของรัฐไม่ได้
ซึ่งสัญญานแบบนี้ อาจสะท้อนว่า เผลอรัฐบาลนี้อาจไปก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่" นายณัฐวุฒิ กล่าว
"จตุพร"ยัน ไม่ชุมนุม 26 ก.พ. แต่ประกาศชุมนุมใหญ่ก่อน 26 ก.พ.
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าว บนเวทีเสื้อแดงที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ถนนสีลมว่า
เสื้อแดงจะไม่ชุมนุมในวันที่ 26 ก.พ.ที่ตรงกับการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะมีการประกาศวันชุมนุมใหญ่
ก่อนวันที่ 26 ก.พ.แน่นอน
ที่มา:konthaiuk
****************************************************************************
** แผ่นดินของเรา **
แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไป....คำๆ นี้มาแทนคำว่า...สวัสดีของคนไทย
ไม่มีใครสวัสดีใคร.เพราะทุกๆ คนรู้ว่า..คำว่าสวัสดีนั้น มันจากประเทศนี้ไปนานแล้ว..หรือตั้งแต่..สงครามสีได้ถือกำเนิดขึ้นมา
บนแผ่นดินไทย ทุกคนรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบลงเมื่อใด
ทุกคนรู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่า...ยิ่งวิ่งหาทางออก..มันก็ยิ่งตีบตัน..
ยิ่งขวักไขว่กันเท่าไหร่..มันก็ยิ่งวุ่นวายเพิ่มขึ้น..บ้างก็เปรียบกับลิงแก้แห...ยิ่งแก้มันก็ยิ่งพันกันยุ่งเข้าไปอีก..
ทุกคนเห็นแต่ปมบนเส้นเชือก แต่ไม่มีใครหาปลายทั้งสองด้านของมันพบ..
ทุกคนรู้ว่าทางแก้ปมบนเส้นเชือก จะต้องหาปลายเชือกให้พบเสียก่อน..แต่ยิ่งหา มันก็ยิ่งหาย
เหมือนควัน ทุกคนได้กลิ่นแต่ไม่มีใครเห็น..มันมาจากทุกทิศทุกทาง จากข้างล่างและข้างบน ยิ่งสูดดมหาจุดก่อเกิด กลิ่นมันก็ยิ่งแรงขึ้น
ทุกวัน แต่มันอยู่ที่ไหน..บนฟุตบาทข้างถนน..บนสภาบนหรือสภาล่างในพรรคหรือกองทัพ..ฯลฯ มันเป็นกลิ่นของความเศร้าและความตาย..
ทุกคนรู้ได้ว่า ถึงวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น..รู้แต่ว่าไม่วันหนึ่งก็วันใดข้างหน้า..แต่ก็ไม่รู้ว่าวันไหน..วันที่คนไทยกับคนไทยจะต้องแพ้ชนะ
ต่อกัน..แต่มันไม่รู้ว่าใครจะชนะใครจะแพ้..แพ้แล้วเป็นอย่างไร ชนะแล้วเป็นอย่างไร..
วันมหาวิปโยคที่ว่า เศร้าสุดแสน...ยังเป็นแค่จุดเล็กๆ บนผ้าผืนใหญ่..ตายเพราะสึนามิของคนไทย..แทบจะกลายเป็นของเล่น..
กับกองศพเบื้องหน้า..
ทุกๆ ฝ่ายกำลังคิดตรงกัน..ไหนไหนก็ไหนไหน...ก็ให้มันเห็นดำเห็นแดงกันซะที... ไม่ชนะไม่เลิกรา จะตายกันเท่าไหร่...มือที่ลั่นไกฆ่า..
จะฆ่าได้นานแค่ไหน..
นี่แหละ แผ่นดินที่เราๆ ท่านๆ อยู่อาศัย..แผ่นดินที่กำลังเปลี่ยนไป และจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
โดย พญาไม้
*******************************************************************************
ไม่มีใครสวัสดีใคร.เพราะทุกๆ คนรู้ว่า..คำว่าสวัสดีนั้น มันจากประเทศนี้ไปนานแล้ว..หรือตั้งแต่..สงครามสีได้ถือกำเนิดขึ้นมา
บนแผ่นดินไทย ทุกคนรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบลงเมื่อใด
ทุกคนรู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่า...ยิ่งวิ่งหาทางออก..มันก็ยิ่งตีบตัน..
ยิ่งขวักไขว่กันเท่าไหร่..มันก็ยิ่งวุ่นวายเพิ่มขึ้น..บ้างก็เปรียบกับลิงแก้แห...ยิ่งแก้มันก็ยิ่งพันกันยุ่งเข้าไปอีก..
ทุกคนเห็นแต่ปมบนเส้นเชือก แต่ไม่มีใครหาปลายทั้งสองด้านของมันพบ..
ทุกคนรู้ว่าทางแก้ปมบนเส้นเชือก จะต้องหาปลายเชือกให้พบเสียก่อน..แต่ยิ่งหา มันก็ยิ่งหาย
เหมือนควัน ทุกคนได้กลิ่นแต่ไม่มีใครเห็น..มันมาจากทุกทิศทุกทาง จากข้างล่างและข้างบน ยิ่งสูดดมหาจุดก่อเกิด กลิ่นมันก็ยิ่งแรงขึ้น
ทุกวัน แต่มันอยู่ที่ไหน..บนฟุตบาทข้างถนน..บนสภาบนหรือสภาล่างในพรรคหรือกองทัพ..ฯลฯ มันเป็นกลิ่นของความเศร้าและความตาย..
ทุกคนรู้ได้ว่า ถึงวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น..รู้แต่ว่าไม่วันหนึ่งก็วันใดข้างหน้า..แต่ก็ไม่รู้ว่าวันไหน..วันที่คนไทยกับคนไทยจะต้องแพ้ชนะ
ต่อกัน..แต่มันไม่รู้ว่าใครจะชนะใครจะแพ้..แพ้แล้วเป็นอย่างไร ชนะแล้วเป็นอย่างไร..
วันมหาวิปโยคที่ว่า เศร้าสุดแสน...ยังเป็นแค่จุดเล็กๆ บนผ้าผืนใหญ่..ตายเพราะสึนามิของคนไทย..แทบจะกลายเป็นของเล่น..
กับกองศพเบื้องหน้า..
ทุกๆ ฝ่ายกำลังคิดตรงกัน..ไหนไหนก็ไหนไหน...ก็ให้มันเห็นดำเห็นแดงกันซะที... ไม่ชนะไม่เลิกรา จะตายกันเท่าไหร่...มือที่ลั่นไกฆ่า..
จะฆ่าได้นานแค่ไหน..
นี่แหละ แผ่นดินที่เราๆ ท่านๆ อยู่อาศัย..แผ่นดินที่กำลังเปลี่ยนไป และจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
โดย พญาไม้
*******************************************************************************
** ชุมพล' ส่งซิกยุบสภา!!! เผยปชป.ไม่ใช่ของจริง เบื้องหลังมี'คนบงการ' **

ส่งสัญญาณ “ยุบสภา” จี้รบ.ควรเร่งแก้รธน.
เพราะไม่เป็นธรรมกับนักการเมือง ชี้บ้านเมืองวิกฤติหาทางออกไม่ได้
เผย “ปชป.” ไม่ใช่ของจริง ด้าน “สมเกียรติ” ชี้ รธน.ปี 50 มีธงจัดการนักการเมือง
อดีตส.ส.ร.2 ฉบับ ยันหากแก้รธน.ต้องนำ 2 ฉบับรวมกันน่าจะดีกว่าเอา 40 ยกมาใช้
วันที่ 19 ก.พ. 2553 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ ข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดการประชุม
ผู้บริหารพรรคการเมือง โดยช่วงบ่ายเป็นการสัมมนาในหัวข้อ “ข้อคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
โดยมีผู้ร่วมอภิปราย ประกอบด้วย
นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส.ส.ร.
นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา
นายถวิล ไพรสณฑ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และ
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ พรรคเพื่อไทย
โดยนายชุมพล ได้กล่าวว่า เรื่องเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียว-เบอร์เดียวนั้น ตนปั้นกับมือมานานแล้ว จนตกผลึกทั้งทางวิชาการ
และทางปฏิบัติรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เป็นฝีมือคณะปฏิวัติ เอาคู่กรณีมาเป็นกรรมาธิการยกร่าง ร่างขึ้นมาเพื่อเข่นฆ่าพรรคเดียว
มีการสอดแทรกบทบัญญัติ เพื่อเอาประโยชน์ให้คนยกร่าง แต่งตั้งบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และมุ่งเน้นกับ
การจัดการกับคนเดียว พรรคเดียว จนโดนลูกหลงกันทั้งเข่ง องค์กรอิสระภาพพจน์ออกมาขาดคุณธรรมจริยธรรม
มีสองมาตรฐานมาโดยตลอด และไม่ต่อยอดรัฐธรรมนูญเก่าๆ ปรัชญาการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 คือ แค้นคนๆเดียวสกัดคนเดียว
คนที่เข้ามาร่างก็เป็นเป็นราชการ อย่าให้ตนแฉว่าใครได้อะไรจากการร่างบ้าง
“วิกฤติทั้งหมดที่เกิดในปัจจุบันไม่ใช่วิกฤติของรัฐบาล แต่เป็นวิกฤติของคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล เขากำลังจัดการคนเบื้องหลัง
ซึ่งเป็นผู้ตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ตัวเป้าหรอก เบื้องหลังมีหลายคน ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลัง คือทหาร มีทั้งในราชการ
นอกราชการก็มี ตามที่คนเสื้อแดงบอก วันนี้อยากเรียกร้องคนอย่างหม่อมคึกฤทธิ์ (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) เพราะพูดแล้ว
มีคนฟัง ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ทุกวันนี้คนที่จะแก้ปัญหาได้กลับถือหางข้างใดข้างหนึ่ง” นายชุมพล กล่าว
นายชุมพล กล่าวต่อว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้แก้ได้ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ
ปัญหาใหญ่ของวันนี้คือ มาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องแก้ เพราะไม่ไม่มีเวลาแล้ว
เนื่องจากใกล้จะยุบสภาแล้ว การยุบสภาไม่ต้องคุยกับนายกฯ เพราะคุยไปนายกฯก็ไม่ยุบ
ขณะที่นายถวิล กล่าวว่า ตนไม่ติดใจรัฐธรรมนูญ จะออกมาอย่างไร รับได้ทั้งนั้น เพราะเราเป็นนักการเมืองเขาไม่ให้เรามีส่วนร่วม
ในการแก้ไข ส่วนการจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตนเห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ผู้ร่างไปใส่เรื่องนโยบายมากไปจนรัฐบาล
ไม่เป็นอิสระในการบริหาร
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแก้ เพราะยังมีเรื่องอื่นอีกตั้งแยะ ไม่ใช่ปุบปับแก้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีระบบเสียก่อน
ไม่ใช่อยู่ๆจะมาแก้ หลายพรรคคิดที่จะแก้หลายประเด็น แต่สุดท้ายก็เอาเฉพาะสองประเด็นที่เสนอมา ซึ่งไม่ใช่เหตุและผล
ขั้นตอนแก้ต้องมีกระบวนการที่ดีกว่านี้
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 มีธง ออกแบบมาสร้างความแตกแยกในชาติ มีที่ไหนที่รัฐธรรมนูญในโลกนี้
จะบรรจุความไม่ชอบธรรมลงในรัฐธรรมนูญ อาทิมาตรา 309 ที่ให้คณะปฏิวัติทำอะไรก็ไม่ผิด แต่อีกพวกถึงไม่ผิดก็ต้องผิด
อย่างนายสมัครถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะทำกับข้าว ตนไม่เถียงว่ามันไม่ผิดเพราะมันอาจจะเฉียดๆ แต่สุดท้ายก็ถอดถอน
เขารับงานเป็นจ็อบๆ อยากถามว่าเข้าข่ายลูกจ้างหรือ? วันนี้พรรคฝ่ายค้านแค่หายใจก็อาจจะซวย
นอกจากนี้ตนยังเห็นอีกว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ยังเขียนกับดักไว้ทำลายการเมือง เพราะเป็นฉบับเดียวที่เขียนห้าม
ห้ามส.ส. ไปแก้ความเดือดร้อนให้ประชาชน ในมาตรา 266 เรื่องการห้ามก้าวก่ายงานของข้าราชการประจำ ซึ่งความเดือดร้อน
ของประชาชนก็คืองานขอข้าราชการเท่านั้น
วันนี้ส.ส. ไม่กล้าเซ็นอนุมติอะไรเช่นหากไปเซ็นอนุมัติโครงการแหล่งน้ำ ก็เหมือนเซ็นเข้าคุก ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากรัฐธรรมนูญ
ต่อเนื่องถึงองค์กรอิสระ ที่เกิดจากเครือข่ายคณะปฏิวัติและใช้อำนาจเบ็ดเสร็จบวกกับตุลาการภิวัฒน์ ทำให้เป็นที่มาของสองมาตรฐาน
จนถึงมาวันนี้พูดกันว่าไม่มีมาตรฐานแล้ว
ขณะที่นายสมคิด กล่าวว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีข้อดีข้อเสีย ไม่เฉพาะ 2550 เท่านั้น ซึ่งหากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ 2550
ก็สามารถแก้ได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่ว่าดีที่สุดก็ได้มีการแก้ด้วยทั้งนั้น ไม่ว่าฉบับไหนเขียนมาก็เผื่อให้มีการแก้ด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญก็จะเป็นไปตามสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ๆ อย่างไรก็ตามการรัฐธรรมนูญต้องอยู่บนพื้นฐาน
การแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ใช่เป็นการหยิบปี 2540 มาใช้ก็สามารถใช้ได้ ทั้งนั้นในการแก้รัฐธรรมนูญก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหา
ความขัดแย้งในขณะนี้ได้ เอารัฐธรรมนูญปี 2540 ก็เชื่อว่าก็ไม่หยุดความเคลื่อนไหวของสีเหลืองแดงได้ หรือเนื้อหาจะดีขึ้น
กว่าเดิมไหม ตนในฐานะคนร่างไม่ติดใจการแก้ การแก้เรื่องเขตเลือกตั้งกับ 190 หากจะแก้ก็ไม่กระทบอะไร แต่หากแก้
จะเกิดสมานฉันท์ไหมก็ไม่เกิด ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง เขตเดียวเบอร์เดียวดีกว่าในทางทฤษฎี แต่ในสังคมไทยในทางปฏิบัติ
มันเป็นไปในทางเดียวกันหรือไม่
“หากเทียบสองฉบับระหว่าง รัฐธรรมนูญ ปี 2540 และ ปี 2550 นั้นผมชอบปี 2540 มากกว่า แต่ผมไม่เชื่อว่าจะเอามาใช้
บนสถานการณ์ปัจจุบันได้ หากจะแก้ต้องเอาสองฉบับมารวมกัน เพราะ รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่มีทางแก้ปัญหาในทางปัจจุบัน”
นายสมคิด กล่าว
ที่มา:konthaiuk
*********************************************************************************
** แก้ไขด่วน...เรตติ้งตกรูด **

มันแปลกดีนะ..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนหนุ่มที่ “รูปหล่อ” ที่สุด ตั้งแต่ประเทศไทยมี “นายกรัฐมนตรี” มา..
แถมเป็นผู้ที่มี “วาทะศิลป์” ก็คือ “พูดเก่ง” อีกตะหาก!!
แต่..ประหลาดมากๆ ที่รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์” ทางช่อง NBT ของรัฐบาล ที่ชาวบ้านเรียกติดปากกันว่า
“หอยม่วง” เรตติ้งตกรูดมหาราช หาคนมานั่งฟัง-นั่งดูยากส์จริงๆ??
ไม่น่าเชื่อคนไทยกลับชื่นชอบละคร “ปลาบู่ทอง” ทางช่อง7 สี..มากกว่าที่จะมาดู “คนหน้าใส” อย่าง นายกฯ อภิสิทธิ์
สงสาร สาทิตย์ วงศ์หนองเตย จับใจ!..แกก็อุตส่าห์เอาตัวเตี้ยๆ ตุ๊กติ๊กน่ารัก..สู้ถากถางทุกกระบวนยุทธ ที่จะฉุด “อภิสิทธิ์” ขึ้นมาจาก
“ห้วงรักเหวลึก”!!
ลงทุนทุ่มสู้สุดตัว (เงินของรัฐ)ไม่ว่าจะเป็น การจัดฉาก สวยกว่าละครทุกเรื่อง..นำเอาผู้จัดรายการ ทั้ง หนุ่ม และ สาว ประเภทโด่ง ดัง เด่น
มาร่วมทำรายการ ก็แล้ว..หรือฉุด “พระเอกมาร์ค” ไปถ่ายทำนอกสถานที่ เพื่อหนีความจำเจ.. “เรตติ้ง” ก็ไม่ยอมผงกชูหัว..
สาทิตย์ กลายเป็นรัฐมนตรี “เตี้ยอุ้มค่อม” ไปโดยปริยาย ล่าสุดนี่ทำเจี้ยวจ๊าวไปทั้งห้องส่ง..เพราะไปเกณฑ์ นักข่าว ทีวี.ทั้งประเทศ
ให้เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน กับอภิสิทธิ์
เอาเป็นว่า “ทีวี ช่องไหน” ล่ะที่จะขัดใจไม่ส่ง “นักข่าว” มาร่วมในรายการบรรยากาศในวันนั้น..แทนที่จะเป็นเรื่องของการ ถาม-ตอบ
ระหว่าง นักข่าว กับ นายกฯ..กลับเหมือน “ครูติวข้อสอบ” ให้นักเรียนมากกว่า??
โดย “คำถาม” ไม่ต้องพูดถึง เพราะ “ถูกล็อก” มา ยิ่งกว่า “หวยล็อก” อยู่แล้ว!!
หวนระลึกถึงช่วงที่ สมัคร สุนทรเวช เป็น นายกรัฐมนตรี คุยกันทุกอาทิตย์นี่แหละในรายการสนทนา “ประสาสมัคร” จัดแบบ “ดิบ-ดิบ”
ไม่มีสีสันมาช่วย ผู้ฟังแทบจะเอาหูแนบวิทยุ..เรตติ้งกระฉูด!!
นี่คือ “การบ้าน” ที่ เตี้ย หนองเตย ต้องนำไปวิเคราะห์แล้วก็บอกกับ “พระเอก” ของตัวเองว่า..ต้องพูดแต่ “ความจริง” เท่านั้น
จึงจะมีคนฟังครับท่านนายกฯ!!
ที่มา :konthaiuk
โดย:หนุ่ม ชิงชัย
*****************************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)