--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผลาญรัฐ

เมื่อเรามีรัฐบาลพิการสมอง
ท่วงทำนองบริหารที่ผลาญเผา
กู้เงินเขาให้เราค้ำก็ชำเรา
สาวได้สาวเอาน่าเศร้าใจ

ประเทศไทยเราจึงจมต้องอมทุกข์
หมดสุขเพราะเขาเข่นให้เป็นไพร่
น้ำใต้ศอกของอำมาตย์ย่อมบาดใจ
ส่งรัฐบาลจัญไรมานั่งเมือง

ยกพวกปล้นปวงประชาเพราะหน้าด้าน
จริตต่ำกว่าขอทานสะพานเหลือง
เห็นประชาธิปไตยแผ่ในเมือง
ก็ปลุกเหลืองปลุกชมพูมาสู้แดง

ความวุ่นวายมิใช่แดงแสดงก่อน
ก็เหลืองสอนมิใช่หรือฮือเข้าแย่ง
เมื่อเลือกตั้งสู้ไม่ได้ก็ใช้แรง
ต้านสีแดงแรงเหลืองคือเรื่องโจร

รัฐบาลทำดีขยี้ทิ้ง
แล้วไปตั้งฝูงลิงมาห้อยโหน
เทวดาสูงนักแต่รักโจร
ให้เล่นโขนหรอกใครไปวันวัน

ไฉนเล่าเจ้าอำมาตย์พิฆาตรัฐ
ประชาธิปไตยขบกัดเอาหรือท่าน
นึกว่ารักประเทศไทยใจตรงกัน
กลับห้ำหั่นประเทศตนจนจนมุม

เพราะรักแต่ครอบครัวหัวจึงปั่น
บ้านเมืองดีฉับพลันก็ดันกลุ้ม
ก็เจ้ามือกินรวบเคยควบคุม
พอเกิดมุมประชาธิปไตยใจไม่ยอม

เลือกรัฐบาลย่ำเท้าเอาแต่ดูด
ตามหลักสูตรของคุณพ่อผู้หล่อหลอม
ให้เหมือนกันทั้งแผ่นดินจึงยินยอม
ความหลากหลายรายล้อมไม่ต้องการ

แล้วบ้านเมืองเดินไปอย่างไรเล่า
ชาวโลกเขาก้าวหน้ามหาศาล
มายึดเอาอวิชชาเป็นปราการ
รัฐบาลปัญญาอ่อนหลอกหลอนคน

เผด็จการนิยมใช้ไพร่โง่โง่
ที่วางก้ามยโสแต่ฉ้อฉล
เป็นลูกน้องสามานย์ของพาลชน
และยกตนข่มท่านตามสันดาน

สูตรนี้หรือคือไทยในวันนี้
หกสิบสี่ล้านคนไม่พ้นผ่าน
ความฉิบหายใกล้เข้ามาเห็นอาการ
จะวายปราณกันทั้งเมืองเหลืองทั้งตัว

อย่ามุ่งไล่รัฐบาลเป็นงานหลัก
เขามีคนปกปักต้องมองทั่ว
จะรุผึ้งต้องทั้งรังอย่านั่งกลัว
ตีแต่หัวหรือปลายตายอยู่ดี

รัฐบาลผลาญชาติอำมาตย์ชอบ
เพราะเสริมส่งซึ่งระบอบที่กดขี่
ประชาชนหมดสิ้นเขายินดี
ยิ่งไม่มีแต้มต่อยิ่งพอใจ

จะทนทานต่อไปทำไมหรือ
จงออกไปไว้ชื่อมิใช่ไพร่
พลเมืองเต็มอัตราประชาไทย
ต้องร่วมไล่ปวงอำมาตย์ชาตินรกานต์.

หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 38
โดย จักรภพ เพ็ญแข

-------------------------------

บทเรียนจากเมียนมาร์

หลังจากประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาร์ภายในพุทธศักราชนี้ โดยมิได้ระบุวันเวลา ระบอบเผด็จการทหารเมียนมาร์ก็ออกข่าวเมื่อเดือนมกราคมว่า นางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านและผู้ก่อตั้งสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (The National League of Democracy: NLD) จะได้รับอิสระทันทีที่คำสั่งจำคุกในบ้านของเธอสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้

ต่อมาไม่กี่วันก็ปล่อยตัว ถิ่นอู ผู้เป็นหมายเลข ๒ ของ NLD เป็นอิสระ ถิ่นอูผู้นี้เป็นอดีตนายทหารยศนายพลที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญกล้าหาญต่างๆ มากมาย แต่ด้วยความที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็แตกร้าวอย่างหนักกับทหารยศสูงคนอื่นๆ จนถูกบังคับให้ออกจากราชการก่อนเกษียณ พอถึง พ.ศ.๒๕๒๗ มาร่วมก่อตั้ง NLD กับนางซูจี ทีนี้เข้าคุกเลยทีเดียว รวมเวลาเทียวเข้าออกจากคุกและการถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านจากบัดนั้นเป็นต้นมานับสิบปี ครั้งล่าสุดก่อนจะได้รับอิสรภาพนี้ก็คือ ๖ ปีเต็ม

เดินก้าวแรกออกมาจากคุก ถิ่นอูในวัย ๘๒ ปีที่ยังแข็งแรง ให้สัมภาษณ์ทันทีว่าเขาจะเดินสายเดิมคือประชาธิปไตยต่อไปอย่างไม่เหลียวหลังหรือลังเล แต่ยังไม่ตอบชัดเจนว่า NLD ซึ่งมีสมาชิกระดับนำอยู่ในคุกมากมายหลายร้อยคน จะเข้าร่วมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยหรือไม่

ความเคลื่อนไหวระยะนี้ทำให้ทั่วโลกอื้ออึงกันว่าดูจะมีแสงสว่างขึ้นบ้างในเมียนมาร์ ถึงขนาดที่ผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติ โทมัส โอจี ควินตาน่า วางแผนเดินทางไปยังเมียนมาร์ทันที่รู้ข่าว เพื่อประเมินว่าระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองในเมียนมาร์มีโอกาสจริงตามข่าวหรือไม่

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อเลยว่า ระบอบทหารของเมียนมาร์จะโอนอ่อนผ่อนตามแรงกดดันสากลจริง เพราะถ้าจะยอมก็คงยอมมานานแล้ว การคว่ำบาตรเศรษฐกิจก็เนิ่นนานมากว่าสิบปีแล้ว และแม้จะเกิดความขัดแย้งแรงๆ ในหมู่ผู้นำอย่างคราวพลเอกขิ่นยุ้นต์ถูกจับและติดคุกยาวอยู่ในขณะนี้ ก็ยังรวมสังขารกันติด ความปีนเกลียวระหว่างพลเอกอาวุโสตานฉ่วยกับผู้นำหมายเลขสองและสามอย่างหม่องเอและตุระฉ่วยมานก็เป็นเพียงข่าวลือ ทั้งนี้ก็เพราะเมียนมาร์ไม่เปิดประตูสู่โลกอย่างแท้จริง ไม่สนใจจะเป็นโลกาภิวัตน์กับใคร และเลือกคบประเทศที่เอื้อประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์ในปัจจุบันอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มาตั้งฐานทัพใหญ่ใกล้นอปิดอว์-นครหลวงใหม่

แรงกดดันระหว่างประเทศจึงไม่ระคายผิวหนาๆ ของเผด็จการทหารในเมียนมาร์
การปรับตัวคราวนี้จึงน่าจะเป็นความพยายามป้องกันความขัดแย้งภายในหมู่ผู้นำที่อาจเกิดได้ในอนาคตมากกว่า เพราะหากปล่อยให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกาน้ำใกล้ระเบิด อาจกระเทือนถึงตัวผู้นำได้เหมือนเมื่อคราวขิ่นยุ้นต์ ซึ่งแม้จะมีความผิดฐานฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการปล่อยตัวนางอองซานซูจีอยู่ด้วย ประกอบกับสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักของตานฉ่วย ที่อาจเป็นเหตุให้คนคิดการใหญ่กันได้เหมือนคราวตะเบงชะเวตี้จะสิ้นพระชนม์ ก็นำมาสู่นโยบายลดอุณหภูมิ

ถามว่าอยู่ใกล้กันขนาดมีชายแดนร่วมเกือบ ๑,๘๐๐ กิโลเมตร การเมืองที่เข้าสู่ทางตันของไทยจะนำบทเรียนอะไรจากเมียนมาร์มาใช้ได้บ้าง?

ประการแรกเลยก็คือ หากเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาอย่างเมียนมาร์ด้วยการปิดประเทศบ้าง ก็ขอบอกเอาบุญว่าไม่มีทาง เมียนมาร์ตลอดเส้นทางอันยาวนานหลังจากได้รับเอกราช คือรัฐที่ใช้อุดมการณ์เศรษฐกิจการเมืองฝ่ายซ้ายคือสังคมนิยมมาโดยตลอด ไม่ใส่ใจต่อระบบทุนนิยมเลย ถึงขนาดมีลัทธิของตัวเองคือ “สังคมนิยมตามแนวทางแบบพม่า” หรือ “Burmese Way of Socialism” และใช้อำนาจเผด็จการทหารปกป้องแนวคิดเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะสถาบันระดับสูงและสถาบันทหารที่ปกป้องสถาบันระดับสูง มีวิสัยเป็นทุนนิยมมาตั้งแต่ต้น ถึงขนาดลงทุนตั้งบริษัทที่มุ่งทำกำไรสูงสุดจากประเทศที่ตนมีอำนาจอยู่ แม้รัฐวิสาหกิจก็มีแนวคิดทุนนิยมอนุรักษ์จนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจถูกเรียกว่า กรรมกรศักดินา กันถ้วนหน้า และคนระดับสูงของไทยก็กางปีกปกป้องรัฐวิสาหกิจราวกับไข่ในหิน อย่างคราวที่เกือบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหยุดยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่อำมาตย์รวมหัวกันหากินและได้รับประโยชน์ส่วนตน ในขณะที่รีบผลักดันการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่งคือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ให้เป็นรูปบริษัท เพราะอำมาตย์ระดับสูงสุดมีผลประโยชน์โดยตรงจากการถือครองหุ้นและการซื้อขายหุ้นในระดับโลก

เช่นเดียวกับสถาบันทหารที่ได้รับผลประโยชน์จากภาคธุรกิจที่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากรัฐอีกต่อหนึ่ง ต่างก็เป็นนายทหารหาเงินก่อนเกษียณอายุราชการกันทั้งสิ้น ฝ่ายอำมาตย์ไทยจึงไม่มีอะไรจะอ้างได้ในการปิดประเทศ ทหารของชาติที่อำมาตย์ใช้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยหรือ รปภ.ส่วนตัวก็เป็นผลผลิตของทุนนิยม เกิดแก่เจ็บตายอยู่ในระบบทุนนิยมเหมือนกัน

ประการที่สอง ระบอบเผด็จการเมียนมาร์ออกมาแสดงบทบาทผู้กุมอำนาจโดยตรง ต่างจากฝ่ายไทยที่ใช้ระบบร่างทรง (proxy) ในรูปของกองทัพแห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ทำให้เมื่อถึงคราววิกฤติหรือสงครามระเบิดขึ้น ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีตัวจริงที่จะนั่งเจรจากับตนได้ มีแต่ร่างทรงและตัวแทนที่ไม่มีอำนาจจริง ไม่มีทางบรรลุข้อตกลงได้ ในขณะที่ฝ่ายค้านเมียนมาร์ มหาอำนาจที่คว่ำบาตรเมียนมาร์ มหาอำนาจที่สนับสนุนเมียนมาร์ องค์การสหประชาชาติ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่างรู้ว่าศูนย์อำนาจของระบอบเผด็จการทหารของเมียนมาร์อยู่ที่ใด คือมีคู่เจรจา (counterpart) ถึงจะยังไม่อาจตกลงกันได้ แต่ก็มีทิศทางและความหวังที่จะตกลงกันได้ในอนาคต ส่วนอำมาตย์ไทยซ่อนตัวอย่างมิดชิด ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความเป็นคนดีเสมอไป ในที่สุดเมื่อถึงคราววิกฤติ จะไม่สามารถแสดงบทบาทใดๆ ได้อย่างสะดวกเลย ฝ่ายประชาธิปไตยจะเดินทางสู่จุดที่ไม่มีทางเลือกและต้องทำลายอุปสรรคเหล่านั้นลงไป ซึ่งก็คือการทำสงครามชนชั้นอย่างที่ไม่น่าจะเป็น

การซ่อนตัวของอำมาตย์ไทยจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเผชิญหน้าเที่ยวนี้รุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ

ประการสุดท้าย นางซูจีเคยผ่านการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวเมื่อราวยี่สิบปีก่อน ความนิยมใดๆ ที่นางและ NLD มี บัดนี้จางไปตามกาลเวลาจนคนทั่วโลกและชาวเมียนมาร์เองไม่แน่ใจเสียแล้วว่ายังได้รับความนิยมขนาดจะเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอยู่หรือไม่ อย่าลืมว่านางไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองซ้ำอีกเลยตั้งแต่บัดนั้น ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ.๒๕๔๔ และได้รับเลือกตั้งซ้ำอย่างหนักแน่นกว่านั้นในปี พ.ศ.๒๕๔๘ หลังจากเหตุวุ่นวายทางการเมืองมาก็ได้รับเลือกตั้งครั้งที่สามในปี พ.ศ.๒๕๔๙ และได้รับเลือกตั้งท่ามกลางอำนาจเผด็จการทหาร-หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.๒๕๕๐ อีก จนคนทั่วโลกและทั่วประเทศยอมรับว่าได้รับความนิยมจริง ความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลจึงมีสูง เมื่อถูกกีดกันและถูกทำลายลง กระแสต่อต้านจึงค่อยๆ แรงขึ้นด้วยความชอบธรรมที่มีนั้นเอง จนบัดนี้กลายเป็นขบวนประชาธิปไตยที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยกดไม่ลงอีกต่อไป

ผมคิดว่ากรณีเมียนมาร์และนางซูจีสอนอะไรกับเรามาก ส่วนใหญ่เป็นบทเรียนในด้านกลับให้รู้ว่าฐานประชาธิปไตยของเรามีความมั่นคงและเสถียรกว่าเมียนมาร์มากนัก การที่อำมาตย์ฝันจะย้อนกลับไปเป็นเมียนมาร์จึงเป็นฝันกลางวันของเขาที่เราไม่ต้องกังวล.

หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
โดย จักรภพ เพ็ญแข

----------------------------

ความเหมือนในความต่าง ทักษิณ 3 สิงหาคม 2544 กับ ทักษิณ 26 กุมภา 53

เมื่อ 3 สิงหาคม 2544 เป็นวัน "หยุดประเทศไทย" วันหนึ่ง เนื่องเพราะมีการตัดสินคดีซุกหุ้นภาคแรกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีก 9 ปีต่อมา วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ เป็นวัน "หยุดประเทศไทย" อีกเช่นกัน เนื่องเพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดีร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาท ของคนชื่อ ทักษิณ

... แม้เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 2 เวลาดังกล่าว มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวชูโรงเหมือนเดิม แต่มีความคล้ายและแตกต่างกันในหลายประเด็น


"ประชาชาติธุรกิจ" นำเสนอภาพเปรียบเทียบ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซุกหุ้น ปี 2544 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดียึดทรัพย์ ปี 2553


@ สถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว
ก่อน 3 สิงหาคม 2544 สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย ในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยกวาด ส.ส.ทั้งสองระบบได้มากที่สุด 248 เสียง ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ ส.ส.แค่ 128 เสียง
ปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณมีความฮึกเหิมอย่างที่สุด ทักษิณบอกว่า เขาจะทำอะไรให้กับประชาชนได้มากกว่านี้ ถ้าไม่มีมีดปักหลัง อันหมายถึงคดีซุกหุ้นในศาลรัฐธรรมนูญ
แต่สถานะวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ และเป็นนักโทษที่มีคดีติดตัวเพราะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ทำให้หลบลี้ภัยอยู่ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดูไบ ยูกันดา กัมพูชา ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน


@ คดีซุกหุ้นกับคดียึดทรัพย์
คดีซุกหุ้นภาคแรก ปี 2544 เป็นเสมือนปฐมบทของคดีซุกหุ้น ก่อนที่กระบวนการเชิดนอมินีจะพัฒนามาเป็น ซุกหุ้น "ไตรภาค" จากซุกหุ้นผ่านคนรับใช้ คนขับรถ มาเป็นซุกหุ้นในบริษัทบนเกาะบริติช เวอร์จิ้น ก่อนจะมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก และกลายเป็นฉากสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ


ในคดีซุกหุ้นภาคแรก เดิมพันของ พ.ต.ท.ทักษิณฝากไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ความมั่งคั่งของตระกูลชินวัตรแขวนอยู่กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะอ่านคำพิพากษาเวลา 13.00 น. วันศุกร์ที่ 26 ก.พ. 2553


ความแตกต่างกันคือ คดีซุกหุ้นภาคแรก อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แต่คดียึดทรัพย์ อาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว จนลงทันที 76,000 ล้าน ถ้าศาลฎีกาตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมด !
ทว่าสิ่งที่คล้ายกันคือรูปแบบการต่อสู้ พ.ต.ท.ทักษิณต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทั้งต่อสู้ทางกฎหมายที่ส่งมือกฎหมายชั้นนำ และพยานเบิกความจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนต่อสู้นอกศาล ทำให้บรรยากาศวุ่นวายเป็นอย่างมาก กล่าวคือ


ก่อนตัดสินคดีซุกหุ้น มวลชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย โหมกระแสกดดันศาลรัฐธรรมนูญ และกรรมการ ป.ป.ช. อย่างหนักหน่วงและรุนแรง
ถึงขนาดมีการข่มขู่ว่าจะเผาศาลรัฐธรรมนูญทิ้ง ถ้าตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด ตลอดจนมีการส่งจดหมายและโทรศัพท์ข่มขู่ตุลาการ และ ป.ป.ช.


ที่สำคัญมีกระแสข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า มีการใช้เงินก้อนโตติดสินบนตุลาการจำนวนหลายสิบล้านบาท
ผ่านมา 9 ปี ในคดียึดทรัพย์ แรงกดดันศาลฎีกาทวีความรุนแรงไม่ได้น้อยกว่าปี 2544 มีการลอบนำระเบิดซีโฟร์ไปวางบริเวณสนามข้างรั้วศาลฎีกา มวลชนที่นำโดยกลุ่มเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยโหมเคลื่อนไหวกดดันอย่างหนัก และพยายามเชื่อมโยงไปถึงสถาบันชั้นสูง และองคมนตรี ว่ามีส่วนสำคัญในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา


@ กลุ่มสนับสนุนที่เปลี่ยนไป
คดีซุกหุ้นภาคแรก พ.ต.ท.ทักษิณมีคุณหญิงพจมาน ภรรยา ร่วมต่อสู้เคียงข้าง แต่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ไม่มีคุณหญิงพจมานเคียงข้างเพราะหย่าขาด แบ่งแยกสมบัติกันแล้ว คุณหญิงอ้อกลับไปใช้นามสกุล ณ ป้อมเพ็ชร์


คดีซุกหุ้น พ.ต.ท.ทักษิณใช้มวลชนร่วมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง ส.ส. สมาชิกพรรคไทยรักไทย ทหาร ตำรวจ เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 สื่อมวลชน ชาวบ้าน รวมทั้งนักวิชาการ ผู้นำทางความคิดออกมาเรียกร้องชี้นำให้ใช้หลักรัฐศาสตร์ แทนหลักนิติศาสตร์ อาทิ น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว น.พ.ประเวศ วะสี เป็นต้น


คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ไม่มีมวลชนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมากเท่าครั้งก่อน มีเพียงกลุ่มเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนายทหารบางคน ขณะที่นักวิชาการ ชนชั้นกลาง ตลอดจนผู้นำทางความคิด ถอยห่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ


ขณะเดียวกันมีแรงต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ โผล่ขึ้นเต็มไปหมด เห็นได้จากโพลหลายสำนักที่สำรวจพบว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนวันที่ 26 ก.พ. เป็นไปเพื่อคนเพียงคนเดียว
บทสรุปวันที่ 3 สิงหาคม 2544 พ.ต.ท.ทักษิณหลุดพ้นข้อกล่าวหา
บทสรุปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นอย่างไร ต้องติดตาม
แต่ที่แน่ ๆ หลังวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ทักษิณ บอกว่า ขอบคุณ ศาลมีความยุติธรรม
ทว่า ...วันนี้ ทักษิณและพวก ประจานศาลไทยไปทั่วโลกว่า ไม่น่าเชื่อถือ 2 มาตรฐาน !!!

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

** เขื่อนแตก !! **

หลังผลทดสอบชุด คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ออกมาว่า เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 ตรวจหา 20 ครั้ง เจอระเบิดแค่ 4 ครั้ง
เท่ากับ ประสิทธิภาพแค่ เดาสุ่ม

สุนัขยังทำงานได้เจ๋งกว่า

แล้วก็ขอย้ำอีกครั้ง ไม่มีใครตำหนิทหาร ตำรวจ ที่ใช้เครื่องนี้ว่า ไม่ดี ทุจริต หรือ ทำผิดอะไรเลย มีแต่เป็นห่วงความ ปลอดภัย
อยากให้ใช้ของดี

ดังนั้น การที่คุณหญิงหมอ พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยังออกมาเย้วๆ ยืนยันจะใช้เครื่องนี้ต่อ ก็ใช้ไปสิ
แต่มาจิกด่าว่า คนกรุงเทพฯ คงสะใจ แล้วสิ ทีนี้

บอกตรง ๆ สมเพช แบ่งแยกคนในชาติแล้ว ยังจะแถอีก มีวาระหรือ ถึงได้ปกป้องขนาดนี้

เช่นเดียวกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักข่าวถาม จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบงบประมาณที่เสียไปหรือไม่ นายกฯ บอก
ต้องดูเหตุและผล ต้องรู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ใช้

ถามอีก จะมีการตรวจสอบที่มาที่ไปหรือไม่ นายกฯบอก คงมีการลำดับเหตุการณ์มา แต่ถามว่าการรับรู้ปัญหาก็เพิ่งเกิด แต่การจัดซื้อ
มีมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว

ถามอีก มีช่องทางทางกฎหมายที่จะจัดการกับบริษัทที่ขายหรือไม่ นายกฯบอก ได้มอบให้ไปดูข้อกฎหมายแล้ว บอกอีก จะเอาเรื่อง
ถึงบริษัทอังกฤษด้วย โอ้โห...แน่มาก

ถามอีก 700 กว่าเครื่องที่เหลือจะเอาไปทำอะไร นายกฯ บอก ยังไม่ได้คิด ไม่คิดก็ไม่คิด แต่ประเด็นใหญ่ คือ การทุจริตที่เกิดขึ้น
กับบริษัทเอกชน นายกฯ กล้าฟันธงปุบปับ

ต้องจัดการตามกฎหมาย

แต่คนที่อนุมัติล่ะ เหมือนอมอะไรอยู่ ยิ่งบอก จัดซื้อตั้งแต่ปี 47 ก็ สมัยทักษิณไง สอบเลย อย่าช้า ยี่ห้อเดียวกัน มีทั้งซื้อวิธีพิเศษ
ประกวดราคา ตั้งแต่ 4 แสน ถึง 1.4 ล้าน เพราะอะไร???

หรือที่นายกฯไม่กล้า เพราะไป ๆ มา ๆ นายทหารใหญ่ใน คมช. นั่นแหละ จะขว้างงูไม่พ้นคอ ใครก็รู้ คนเหล่านี้มีบุญคุณล้นเหลือ ฉ
กเก้าอี้นายกฯมาประเคนให้

เหนืออื่นใด จีที 200 ลวงโลก พันเครื่องน่ะ แค่ยอดน้ำแข็งบนภูเขาทั้งลูก งบซื้ออาวุธหลัง 19 ก.ย. 49 เพิ่มขึ้น 30 กว่าเปอร์เซ็นต์
เอาแค่ทุ่มไปใต้ ปีหนึ่งก็ 4-5 หมื่นล้าน มีใครกินค่าคอมมิสชัน เท่าไหร่

นี่ยังมี อัลฟา 6 (ที่เหมือนจีที 200) เครื่องบินขับไล่ กริฟเฟน 6 ลำ แอร์บัส ระบบควบคุมแจ้งเตือนภัยทางอากาศ เรือเหาะ
ทีวีวงจรปิด รถถังยูเครน 4,000 คัน ทั้งหมดมีข่าวฉาวโฉ่ทั้งสิ้น

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ลากรถถังออกมายึดอำนาจ ฉีก รธน.ทิ้ง เคยประกาศก้อง ทนเห็นการคอร์รัปชั่นไม่ไหว จนต้องสะอื้นไห้
ต้องปฏิบัติการวงจรอุบาทว์อีก ตอนนี้ จะว่าไงดีล่ะ

ทำไมการทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ลด แถมเบ่งบานยิ่งกว่าดอกเห็ดหน้าฝนอีก กินตั้งแต่ปลากระป๋อง ยัน ไม้ชี้ป่าช้า แล้วต้องยึดทรัพย์
พวกกินค่าคอมฯ อาวุธด้วยหรือไม่ ตอบให้ชัด ๆ หน่อยเถอะ

คนไทยไม่ได้กินแกลบหรอกนะ ขอบอก.


ที่มา:konthaiuk
*******************************************************************************

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

'เต้น'โต้'ข่าวกรอง'รัฐ! 'แดงไม่แตก-คนไม่ลด' ท้าดูจำนวนชุมนุมใหญ่


"ณัฐวุฒิ" โต้ข่าวกรองรัฐบาล ยันเสื้อแดงไม่แตกแยก คนไม่น้อยลง
ท้าให้ดูวันชุมนุมใหญ่จะได้เห็นของจริง
เตรียมแฉข้อมูลทหารเวรกองบิน 1 ทำปืนลั่น
"จตุพร" ยันประกาศชุมนุมใหญ่ก่อน 26 ก.พ.

ที่พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)
กล่าวถึง กรณีที่มีรายงานข่าวกรองจากรัฐบาลว่า จำนวนมวลชนเสื้อแดงลดน้อยลง หลังเกิดความขัดแย้งอย่างหนัก
ในส่วนแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ว่า

ในฐานะที่เคยเป็นรองโฆษกรัฐบาล และได้เคยประสานงานกับหน่วยข่าวกรอง มองว่าในเรื่องของการหาข้อมูลการขับเคลื่อนมวลชนนั้น
หน่วยข่าวกรองพึ่งพาได้น้อยมาก การรายงานข่าวของหน่วยงานรัฐ สู้การหาข่าวเองไม่ได้

ฉะนั้นข่าวเรื่องท่อเลี้ยงและกลุ่มเสื้อแดงแตก แดงแผ่วนั้นเราเจอข่าวนี้มามาก จึงไม่ใช่เรื่องจริง เพราะความเห็นที่แตกต่างกันระหว่าง
ทางอาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ทำให้เกิดความแตกแยก

เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่กลุ่มเสื้อแดงมีการนัดชุมนุมใหญ่ขึ้น ก็จะได้เห็นภาพมวลชนจำนวนมหาศาล ดังนั้นการที่หน่วยข่าวกรอง
ของรัฐบาลระบุว่า กลุ่มเสื้อแดงมีการเตรียมมวลชนเข้ามาชุมนุมใหญ่จำนวนสามหมื่นกว่าคนนั้น ก็ขัดแย้งกันเองกับสิ่งที่รัฐบาลบอกว่า
จำนวนเสื้อแดงลดลง เพราะคนจำนวนสามหมื่นก็ถือว่ามากแล้ว ตรงนี้จึงสะท้อนคำอธิบายในการหาข่าวของรัฐได้ดี

“เหตุที่คนเสื้อแดงยังไม่กำหนดวันเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ ไม่ได้เกิดจากความไม่พร้อม หรือข่าวที่เกิดปัญหาแดงแตก
อย่างที่หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลระบุ แต่เป็นเพราะ เราทราบข้อมูลว่า จะมีการสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายโดยรัฐบาลหลายจุด
เช่น กรณีจะมีการนำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกรพ.ศิริราชนั้น ก็เป็นกรณีหนึ่งที่เราต้องออกมาประกาศให้สังคมรับทราบดักทาง
ไว้ก่อนและยืนยันว่า เรายึดหลักสันติวิธีอย่างเคร่งครัด รัดกุม และเป็นฝ่ายกำหนดเกมเอง ไม่ไปเคลื่อนไหวอยู่ใน
เขตคิลลิ่งโซนที่รัฐบาลเตรียมไว้ รวมทั้งไม่เป็นฝ่ายทำให้เกิดความรุนแรงก่อน เพราะถ้าทำก็จะเกิดปัญหาเอง ซึ่งที่ผ่านมา
คนเสื้อแดงก็ไม่เคยประกาศดีเดย์การชุมนุม ก่อนหรือหลัง 26 กพ. แต่รัฐบาลไปเต้นเอง แต่ในวันที่ 26 ก.พ.ก็อาจจะมี
กลุ่มคนบางกลุ่มที่รักและห่วงใย พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ไปให้กำลังใจที่ศาลฎีกา แต่เราจะไม่ตั้ง
เวทีชุมนุมหรือเคลื่อนไหวใดๆ แน่นอน เพราะไม่มีประโยชน์อะไร ที่เราจะไปสร้างสถานการณ์ที่ศาล แต่เราคำนึงถึง
การต่อสู้เป็นหลัก” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึง กรณีเหตุพลทหารรักษาการณ์สังกัดกองบิน 1 นครราชสีมา ที่ยืนเข้าเวรประจำป้อมยามทางเข้า
สนามกอล์ฟไทเกอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักป๋าเปรมประมาณ 1 กม.ทำปืนประจำกายลั่นใส่แคดดี้สนามกอล์ฟได้รับบาดเจ็บสาหัส ว่า

ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียด คาดว่าภายในวันนี้( 20 กพ.) ก็จะทราบ และจะนำไปพูดบนเวที
แต่เบื้องต้นคาดว่า ไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุ เพราะระดับพลทหารเฝ้าบ้านพล.อ.เปรมที่ต้องเคยผ่านการฝึกอาวุธมาอย่างดี
จะบังเอิญมาทำปืนลั่นใส่เจาะเข้าที่แก้มอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น พล.อ.เปรม คงต้องไปตรวจสอบดวงชะตาโดยด่วน

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึง ประสิทธิภาพการใช้งานเครื่อง จีที 200 หลังผู้บัญชาการทหารบกยังยืนยันจะใช้เครื่องดังกล่าวต่อ ว่า

ถ้า พล.อ.อนุพงษ์ ยืนยันจะใช้เครื่องจีที 200 ต่อไป โดยปล่อยให้พลทหารชั้นผู้น้อยไปถือแท่งอะไรไม่รู้เสี่ยงชีวิต
ดังนั้น จึงขอเสนอให้ผบ.ทบ.แสดงความจริงใจ ด้วยการไปพิสูจน์ประสิทธิภาพเครื่องจีที200 ด้วยการไปจับมือกับพลหารลงพื้นที่
ที่มีระเบิดแล้วถือเครื่องจีที200 คนละเครื่องหาระเบิด เพื่อยืนยันว่าผบ.ทบ.ไม่ได้ยัดเยียดชะตากรรมให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
แล้วตัวเองเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ถ้าพล.อ.อนุพงษ์ไม่กล้า ตน นายวีระ มุสิกพงษ์ และนายจตุพร พรหมพันธ์ ก็จะไปร่วม
ขบวนด้วย โดยยอมเอาผ้าขาวม้าผูกเอวเดินหาระเบิดด้วยกัน ทั้งนี้มองว่าการออกมาพูดโดยไม่คำนึงถึงชิวิตทหารเช่นนี้
ของผบ.ทบ.จะยิ่งทำให้ทหารสีแดงมีมากขึ้น เพราะทุกวันนี้กองทัพก็มีสภาพเหมือนแตงโม ข้างนอกสีเขียวข้างในสีแดง

"นอกจากกรณีของภาวะผู้นำของพล.อ.อนุพงษ์แล้ว กรณีจีที 200 ยังสะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี ที่บัญชาการหน่วยงานไหนไม่ได้ ซึ่งทหารแถลงไปอีกทาง ซึ่งเท่ากับคุม องคาพยพของรัฐไม่ได้
ซึ่งสัญญานแบบนี้ อาจสะท้อนว่า เผลอรัฐบาลนี้อาจไปก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่" นายณัฐวุฒิ กล่าว


"จตุพร"ยัน ไม่ชุมนุม 26 ก.พ. แต่ประกาศชุมนุมใหญ่ก่อน 26 ก.พ.

ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าว บนเวทีเสื้อแดงที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ถนนสีลมว่า

เสื้อแดงจะไม่ชุมนุมในวันที่ 26 ก.พ.ที่ตรงกับการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะมีการประกาศวันชุมนุมใหญ่
ก่อนวันที่ 26 ก.พ.แน่นอน


ที่มา:konthaiuk
****************************************************************************

** แผ่นดินของเรา **

แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไป....คำๆ นี้มาแทนคำว่า...สวัสดีของคนไทย

ไม่มีใครสวัสดีใคร.เพราะทุกๆ คนรู้ว่า..คำว่าสวัสดีนั้น มันจากประเทศนี้ไปนานแล้ว..หรือตั้งแต่..สงครามสีได้ถือกำเนิดขึ้นมา
บนแผ่นดินไทย ทุกคนรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบลงเมื่อใด

ทุกคนรู้ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่า...ยิ่งวิ่งหาทางออก..มันก็ยิ่งตีบตัน..
ยิ่งขวักไขว่กันเท่าไหร่..มันก็ยิ่งวุ่นวายเพิ่มขึ้น..บ้างก็เปรียบกับลิงแก้แห...ยิ่งแก้มันก็ยิ่งพันกันยุ่งเข้าไปอีก..

ทุกคนเห็นแต่ปมบนเส้นเชือก แต่ไม่มีใครหาปลายทั้งสองด้านของมันพบ..

ทุกคนรู้ว่าทางแก้ปมบนเส้นเชือก จะต้องหาปลายเชือกให้พบเสียก่อน..แต่ยิ่งหา มันก็ยิ่งหาย

เหมือนควัน ทุกคนได้กลิ่นแต่ไม่มีใครเห็น..มันมาจากทุกทิศทุกทาง จากข้างล่างและข้างบน ยิ่งสูดดมหาจุดก่อเกิด กลิ่นมันก็ยิ่งแรงขึ้น
ทุกวัน แต่มันอยู่ที่ไหน..บนฟุตบาทข้างถนน..บนสภาบนหรือสภาล่างในพรรคหรือกองทัพ..ฯลฯ มันเป็นกลิ่นของความเศร้าและความตาย..

ทุกคนรู้ได้ว่า ถึงวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น..รู้แต่ว่าไม่วันหนึ่งก็วันใดข้างหน้า..แต่ก็ไม่รู้ว่าวันไหน..วันที่คนไทยกับคนไทยจะต้องแพ้ชนะ
ต่อกัน..แต่มันไม่รู้ว่าใครจะชนะใครจะแพ้..แพ้แล้วเป็นอย่างไร ชนะแล้วเป็นอย่างไร..

วันมหาวิปโยคที่ว่า เศร้าสุดแสน...ยังเป็นแค่จุดเล็กๆ บนผ้าผืนใหญ่..ตายเพราะสึนามิของคนไทย..แทบจะกลายเป็นของเล่น..
กับกองศพเบื้องหน้า..

ทุกๆ ฝ่ายกำลังคิดตรงกัน..ไหนไหนก็ไหนไหน...ก็ให้มันเห็นดำเห็นแดงกันซะที... ไม่ชนะไม่เลิกรา จะตายกันเท่าไหร่...มือที่ลั่นไกฆ่า..
จะฆ่าได้นานแค่ไหน..

นี่แหละ แผ่นดินที่เราๆ ท่านๆ อยู่อาศัย..แผ่นดินที่กำลังเปลี่ยนไป และจะเปลี่ยนไปตลอดกาล


โดย พญาไม้

*******************************************************************************

** ชุมพล' ส่งซิกยุบสภา!!! เผยปชป.ไม่ใช่ของจริง เบื้องหลังมี'คนบงการ' **


ส่งสัญญาณ “ยุบสภา” จี้รบ.ควรเร่งแก้รธน.
เพราะไม่เป็นธรรมกับนักการเมือง ชี้บ้านเมืองวิกฤติหาทางออกไม่ได้
เผย “ปชป.” ไม่ใช่ของจริง ด้าน “สมเกียรติ” ชี้ รธน.ปี 50 มีธงจัดการนักการเมือง
อดีตส.ส.ร.2 ฉบับ ยันหากแก้รธน.ต้องนำ 2 ฉบับรวมกันน่าจะดีกว่าเอา 40 ยกมาใช้


วันที่ 19 ก.พ. 2553 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ ข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดการประชุม
ผู้บริหารพรรคการเมือง โดยช่วงบ่ายเป็นการสัมมนาในหัวข้อ “ข้อคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
โดยมีผู้ร่วมอภิปราย ประกอบด้วย

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส.ส.ร.
นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา
นายถวิล ไพรสณฑ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และ
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ พรรคเพื่อไทย

โดยนายชุมพล ได้กล่าวว่า เรื่องเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียว-เบอร์เดียวนั้น ตนปั้นกับมือมานานแล้ว จนตกผลึกทั้งทางวิชาการ
และทางปฏิบัติรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เป็นฝีมือคณะปฏิวัติ เอาคู่กรณีมาเป็นกรรมาธิการยกร่าง ร่างขึ้นมาเพื่อเข่นฆ่าพรรคเดียว
มีการสอดแทรกบทบัญญัติ เพื่อเอาประโยชน์ให้คนยกร่าง แต่งตั้งบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และมุ่งเน้นกับ
การจัดการกับคนเดียว พรรคเดียว จนโดนลูกหลงกันทั้งเข่ง องค์กรอิสระภาพพจน์ออกมาขาดคุณธรรมจริยธรรม
มีสองมาตรฐานมาโดยตลอด และไม่ต่อยอดรัฐธรรมนูญเก่าๆ ปรัชญาการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 คือ แค้นคนๆเดียวสกัดคนเดียว
คนที่เข้ามาร่างก็เป็นเป็นราชการ อย่าให้ตนแฉว่าใครได้อะไรจากการร่างบ้าง

“วิกฤติทั้งหมดที่เกิดในปัจจุบันไม่ใช่วิกฤติของรัฐบาล แต่เป็นวิกฤติของคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล เขากำลังจัดการคนเบื้องหลัง
ซึ่งเป็นผู้ตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ตัวเป้าหรอก เบื้องหลังมีหลายคน ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลัง คือทหาร มีทั้งในราชการ
นอกราชการก็มี ตามที่คนเสื้อแดงบอก วันนี้อยากเรียกร้องคนอย่างหม่อมคึกฤทธิ์ (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) เพราะพูดแล้ว
มีคนฟัง ไม่เช่นนั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ทุกวันนี้คนที่จะแก้ปัญหาได้กลับถือหางข้างใดข้างหนึ่ง” นายชุมพล กล่าว

นายชุมพล กล่าวต่อว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้แก้ได้ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ
ปัญหาใหญ่ของวันนี้คือ มาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องแก้ เพราะไม่ไม่มีเวลาแล้ว
เนื่องจากใกล้จะยุบสภาแล้ว การยุบสภาไม่ต้องคุยกับนายกฯ เพราะคุยไปนายกฯก็ไม่ยุบ


ขณะที่นายถวิล กล่าวว่า ตนไม่ติดใจรัฐธรรมนูญ จะออกมาอย่างไร รับได้ทั้งนั้น เพราะเราเป็นนักการเมืองเขาไม่ให้เรามีส่วนร่วม
ในการแก้ไข ส่วนการจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตนเห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ผู้ร่างไปใส่เรื่องนโยบายมากไปจนรัฐบาล
ไม่เป็นอิสระในการบริหาร

แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแก้ เพราะยังมีเรื่องอื่นอีกตั้งแยะ ไม่ใช่ปุบปับแก้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีระบบเสียก่อน
ไม่ใช่อยู่ๆจะมาแก้ หลายพรรคคิดที่จะแก้หลายประเด็น แต่สุดท้ายก็เอาเฉพาะสองประเด็นที่เสนอมา ซึ่งไม่ใช่เหตุและผล
ขั้นตอนแก้ต้องมีกระบวนการที่ดีกว่านี้


ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 มีธง ออกแบบมาสร้างความแตกแยกในชาติ มีที่ไหนที่รัฐธรรมนูญในโลกนี้
จะบรรจุความไม่ชอบธรรมลงในรัฐธรรมนูญ อาทิมาตรา 309 ที่ให้คณะปฏิวัติทำอะไรก็ไม่ผิด แต่อีกพวกถึงไม่ผิดก็ต้องผิด
อย่างนายสมัครถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะทำกับข้าว ตนไม่เถียงว่ามันไม่ผิดเพราะมันอาจจะเฉียดๆ แต่สุดท้ายก็ถอดถอน
เขารับงานเป็นจ็อบๆ อยากถามว่าเข้าข่ายลูกจ้างหรือ? วันนี้พรรคฝ่ายค้านแค่หายใจก็อาจจะซวย

นอกจากนี้ตนยังเห็นอีกว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ยังเขียนกับดักไว้ทำลายการเมือง เพราะเป็นฉบับเดียวที่เขียนห้าม
ห้ามส.ส. ไปแก้ความเดือดร้อนให้ประชาชน ในมาตรา 266 เรื่องการห้ามก้าวก่ายงานของข้าราชการประจำ ซึ่งความเดือดร้อน
ของประชาชนก็คืองานขอข้าราชการเท่านั้น

วันนี้ส.ส. ไม่กล้าเซ็นอนุมติอะไรเช่นหากไปเซ็นอนุมัติโครงการแหล่งน้ำ ก็เหมือนเซ็นเข้าคุก ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากรัฐธรรมนูญ
ต่อเนื่องถึงองค์กรอิสระ ที่เกิดจากเครือข่ายคณะปฏิวัติและใช้อำนาจเบ็ดเสร็จบวกกับตุลาการภิวัฒน์ ทำให้เป็นที่มาของสองมาตรฐาน
จนถึงมาวันนี้พูดกันว่าไม่มีมาตรฐานแล้ว


ขณะที่นายสมคิด กล่าวว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีข้อดีข้อเสีย ไม่เฉพาะ 2550 เท่านั้น ซึ่งหากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ 2550
ก็สามารถแก้ได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่ว่าดีที่สุดก็ได้มีการแก้ด้วยทั้งนั้น ไม่ว่าฉบับไหนเขียนมาก็เผื่อให้มีการแก้ด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งเนื้อหาของรัฐธรรมนูญก็จะเป็นไปตามสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ๆ อย่างไรก็ตามการรัฐธรรมนูญต้องอยู่บนพื้นฐาน
การแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ใช่เป็นการหยิบปี 2540 มาใช้ก็สามารถใช้ได้ ทั้งนั้นในการแก้รัฐธรรมนูญก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหา
ความขัดแย้งในขณะนี้ได้ เอารัฐธรรมนูญปี 2540 ก็เชื่อว่าก็ไม่หยุดความเคลื่อนไหวของสีเหลืองแดงได้ หรือเนื้อหาจะดีขึ้น
กว่าเดิมไหม ตนในฐานะคนร่างไม่ติดใจการแก้ การแก้เรื่องเขตเลือกตั้งกับ 190 หากจะแก้ก็ไม่กระทบอะไร แต่หากแก้
จะเกิดสมานฉันท์ไหมก็ไม่เกิด ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง เขตเดียวเบอร์เดียวดีกว่าในทางทฤษฎี แต่ในสังคมไทยในทางปฏิบัติ
มันเป็นไปในทางเดียวกันหรือไม่

“หากเทียบสองฉบับระหว่าง รัฐธรรมนูญ ปี 2540 และ ปี 2550 นั้นผมชอบปี 2540 มากกว่า แต่ผมไม่เชื่อว่าจะเอามาใช้
บนสถานการณ์ปัจจุบันได้ หากจะแก้ต้องเอาสองฉบับมารวมกัน เพราะ รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่มีทางแก้ปัญหาในทางปัจจุบัน”
นายสมคิด กล่าว

ที่มา:konthaiuk

*********************************************************************************

** แก้ไขด่วน...เรตติ้งตกรูด **


มันแปลกดีนะ..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนหนุ่มที่ “รูปหล่อ” ที่สุด ตั้งแต่ประเทศไทยมี “นายกรัฐมนตรี” มา..
แถมเป็นผู้ที่มี “วาทะศิลป์” ก็คือ “พูดเก่ง” อีกตะหาก!!

แต่..ประหลาดมากๆ ที่รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับ นายกฯ อภิสิทธิ์” ทางช่อง NBT ของรัฐบาล ที่ชาวบ้านเรียกติดปากกันว่า
“หอยม่วง” เรตติ้งตกรูดมหาราช หาคนมานั่งฟัง-นั่งดูยากส์จริงๆ??

ไม่น่าเชื่อคนไทยกลับชื่นชอบละคร “ปลาบู่ทอง” ทางช่อง7 สี..มากกว่าที่จะมาดู “คนหน้าใส” อย่าง นายกฯ อภิสิทธิ์
สงสาร สาทิตย์ วงศ์หนองเตย จับใจ!..แกก็อุตส่าห์เอาตัวเตี้ยๆ ตุ๊กติ๊กน่ารัก..สู้ถากถางทุกกระบวนยุทธ ที่จะฉุด “อภิสิทธิ์” ขึ้นมาจาก
“ห้วงรักเหวลึก”!!

ลงทุนทุ่มสู้สุดตัว (เงินของรัฐ)ไม่ว่าจะเป็น การจัดฉาก สวยกว่าละครทุกเรื่อง..นำเอาผู้จัดรายการ ทั้ง หนุ่ม และ สาว ประเภทโด่ง ดัง เด่น
มาร่วมทำรายการ ก็แล้ว..หรือฉุด “พระเอกมาร์ค” ไปถ่ายทำนอกสถานที่ เพื่อหนีความจำเจ.. “เรตติ้ง” ก็ไม่ยอมผงกชูหัว..

สาทิตย์ กลายเป็นรัฐมนตรี “เตี้ยอุ้มค่อม” ไปโดยปริยาย ล่าสุดนี่ทำเจี้ยวจ๊าวไปทั้งห้องส่ง..เพราะไปเกณฑ์ นักข่าว ทีวี.ทั้งประเทศ
ให้เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน กับอภิสิทธิ์

เอาเป็นว่า “ทีวี ช่องไหน” ล่ะที่จะขัดใจไม่ส่ง “นักข่าว” มาร่วมในรายการบรรยากาศในวันนั้น..แทนที่จะเป็นเรื่องของการ ถาม-ตอบ
ระหว่าง นักข่าว กับ นายกฯ..กลับเหมือน “ครูติวข้อสอบ” ให้นักเรียนมากกว่า??

โดย “คำถาม” ไม่ต้องพูดถึง เพราะ “ถูกล็อก” มา ยิ่งกว่า “หวยล็อก” อยู่แล้ว!!

หวนระลึกถึงช่วงที่ สมัคร สุนทรเวช เป็น นายกรัฐมนตรี คุยกันทุกอาทิตย์นี่แหละในรายการสนทนา “ประสาสมัคร” จัดแบบ “ดิบ-ดิบ”
ไม่มีสีสันมาช่วย ผู้ฟังแทบจะเอาหูแนบวิทยุ..เรตติ้งกระฉูด!!

นี่คือ “การบ้าน” ที่ เตี้ย หนองเตย ต้องนำไปวิเคราะห์แล้วก็บอกกับ “พระเอก” ของตัวเองว่า..ต้องพูดแต่ “ความจริง” เท่านั้น
จึงจะมีคนฟังครับท่านนายกฯ!!

ที่มา :konthaiuk
โดย:หนุ่ม ชิงชัย
*****************************************************************************

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ .... นายแน่มาก

ทักษิณ ชินวัตร” ถูกทำให้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ไปตั้งแต่วันที่19 กันยายน 2549 แต่ก็ยังไม่พ้นเวรพ้นกรรมจากการตามล้างตามล่าของฝ่ายที่กลัวว่า...ทักษิณ จะกลับมาเมื่อกลัวทักษิณก็ต้องหาทางขจัดให้ได้ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยการอ้างเหตุต่างๆ นานา...เพื่อให้คนรู้สึกเกลียดชังทักษิณ...เพื่อให้ลืมอดีตผู้นำที่เคยครอง อำนาจมาร่วม 6 ปีแต่การอ้างเหตุต่างๆ นั้น หาข้อพิสูจน์อะไรที่ชัดเจนได้แค่ไหน เมื่อล่วงเวลาไปกว่า 3 ปี ประชาชนที่เฝ้าดูคงคิดได้เอง...ซึ่งก็อาจจะมีบางส่วนที่สงสัยว่า...จริงๆ แล้วทักษิณทำอะไรผิดเพราะการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยทั้งระบบเพื่อกำจัด ทักษิณไม่ให้อยู่ในอำนาจ

ต่อไปนั้น ควรต้องพิสูจน์ตามมาให้ได้ว่า...มีการกระทำความผิดอย่างชัดเจนโดยปราศจากข้อ สงสัย ดังเช่นที่ยกมากล่าวหากันผลการพิสูจน์ที่ผ่านมา...ยังมีนํ้าหนักที่น้อยเกิน ไปหรือเปล่า กับสิ่งที่ประชาชนต้องเสียไป ทั้งเวลา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ระบบความสามัคคีในชาติแถมยังได้ความแตกแยกในสังคมตามมาอีกต่างหากประชาชนบาง ภาคส่วนจึงเริ่มจะรู้สึกว่า...การกล่าวหาที่ผ่านมานั้น ไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไรนักแถมยังรู้สึกเพิ่มเติมต่อไปว่า...ความไม่เป็นธรรม นั้น มีการ

เลือกปฏิบัติกับบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ใช่พวกด้วยอยากให้ประเทศชาติมีความ สามัคคี...แต่ปกครองแบบแบ่งแยก เลือกข้างเลือกพวกใช้ระบบที่เรียกว่า “สองมาตรฐาน”หรือเลือกปฏิบัติอย่างนี้ก็คงทำให้มีความมั่นคงในชาติไม่ได้ เพราะประชาชนไม่ได้กินหญ้าเมื่อคนกลุ่มหนึ่งยังกลัวทักษิณก็คงต้องหาทางขจัด กันต่อไป...ด้วยเหตุที่บ่งบอกออกมาให้เห็นรางๆ แล้วว่า...ถ้าทักษิณกลับมาก็คงกระทบกระเทือนความมั่นคงหรือเสถียรภาพของ รัฐบาลปัจจุบันเป็นอย่างมากใครบาง

คนหรือหลายคนคงตระหนักแล้วก็คงตระหนกตกใจพร้อมทั้งรู้สึกกลัวการสูญเสีย อำนาจที่ถือครองอยู่เพราะคงประเมินได้ว่า...หากยุบสภาแล้วให้ประชาชนเลือก ตัวแทนกันอีกครั้งประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเลือกใครหรือพรรคใดให้มาบริหาร ประเทศทุกคนคงรู้ว่า...เสียงประชาชนคือ “ เ สียงสวรรค์”และคงรู้ถึงความรู้สึกของเสียงส่วนใหญ่จึงต้องหาทางครองอำนาจต่อ ไป ไม่อยากคืนอำนาจให้กับประชาชนถึงกับยกเหตุผลมาอ้างว่า สุจริตไม่โกงกิน ไม่หวงแหน

อำนาจ แต่ปากที่พ่นคำพูดออกมานั้นจะตรงกับจิตใจที่ประหวั่นพรั่นพรึงหรือไม่ขาเท่า นั้นที่จะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะ “ปากกล้าขาสั่น” นั่นเองปัญหาทุกวันนี้...ถ้ามีการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แล้วให้ประชาชนเป็นคนเลือกตามวิถีทางประชาธิปไตยความสมานฉันท์ก็จะได้กลับมา แต่กลัวกันมากก็เลยอ้างว่า...ต้องให้สมานฉันท์ก่อนจึงจะคืนอำนาจให้ประชาชน พูดเหมือนกับไม่รู้ว่า...การไม่ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนนั่นแหละ คือ เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการ

แตกแยกอยู่ทุกวันนี้การกล่าวหาเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังคงเป็นความคาด หวังของใครบางคนที่อยากจะหยุดทักษิณ เช่น การใช้เรื่องยึดทรัพย์ครอบครัวคุณทักษิณ โดยเฉพาะทรัพย์ทที่ ได้มาจากการขายหนุ้ ให้เทมาเส็กมีการใช้อำนาจของกฎหมาย ป.ป.ช.ไปตรวจสอบทรัพย์สินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าประมาณ 76,000 ล้านบาทโดยตั้งข้อกล่าวหาว่า...เป็นทรัพย์ที่ได้มาในลักษณะรํ่ารวยผิดปกติ รํ่ารวยผิดปกติ หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีทรัพย์สิน

เพิ่มขึ้นมากผิดปกติในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้มาโดยชอบอาศัยข้อกฎหมายของ ป.ป.ช.แล้วตั้งข้อกล่าวหาว่าเงินขายหุ้น 76,000 ล้านบาท(รวมเงินปันผล) นั้น...เป็นเงินที่ควรถูกยึดเข้าหลวง เพราะถือว่า รํ่ารวยผิดปกติปัญหาตรงนี้อาจจะมีผลกระทบตามมา เพราะถ้าใครดูบัญชีเป็น ก็คงทราบว่าหุ้นประมาณ 1,487 ล้านหุ้น ของครอบครัวคุณทักษิณที่ขายให้เทมาเส็กเมื่อวันที่23 มกราคม 2549 นั้น คือ หุ้นชินคอร์ปหุ้นชินคอร์ปที่ขาย

นั้น...ครอบครัวคุณทักษิณถือครองมาตั้งแต่ก่อนเล่นการเมือง ด้วยจำนวนที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเพียงราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เท่า นั้นเมื่อทราบว่าหุ้นชินคอร์ปมีมาแต่เดิม...จำนวนไม่ได้เพิ่มขึ้น...แต่ต่อ มาภายหลังได้ขายให้กับเทมาเส็ก จนได้เงินกว่า7 หมื่นล้านบาทก็เป็นการเพิ่มขึ้นในมูลค่าของทรัพย์สินหาใช่การเพิ่มขึ้นในตัว ทรัพย์สินไม่ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดี...เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. เกี่ยวกับการรํ่ารวยผิดปกตินั้น

เป็นเรื่องของจำนวนทรัพย์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติมิใช่ทรัพย์มีจำนวนเท่า เดิมแล้วต่อมาทรัพย์นั้นมีคนมาซื้อในราคาที่สูงขึ้นก็กล่าวหาว่า รํ่ารวยผิดปกติถ้ามองอย่างนี้หลายคนก็อาจจะคิดว่า...บางคนคงอิจฉาคุณทักษิณ หรือบางคนกลัวคุณทักษิณจะกลับมาจึงคิดว่า...ถ้าหมดเงิน ประชาชนก็คงไม่นิยม เมื่อไม่นิยม ก็คงกลับมาไม่ได้ประชาชนก็คงจะลืมคุณทักษิณการตั้งข้อกล่าวหาเพื่อยึดเงิน ที่มาจากการขายหุ้น ถ้ามองเฉพาะจำ นวนหุ้นก็น่าจะอ่อนไปด้วยหลักการความ

คิดเพราะบ่งบอกไม่ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างไร มีเพียงแค่ราคาขายต่อหุ้นเท่านั้นที่ทำให้มูลค่าขายเพิ่มขึ้นถ้าย้อนไปในวัน ที่ซื้อขายหุ้นเกิดราคาขณะนั้นอยู่ที่ 24.75 บาทต่อหุ้น แทนที่จะเป็น 49.25 บาทต่อหุ้น เงินที่ขายหุ้นโดยรวมก็คงลดประมาณครึ่งหนึ่งวันนี้ก็คงตั้งข้อกล่าวหาว่า ...คุณทักษิณรํ่ารวยผิดปกติด้วยเงินประมาณ 38,000ล้านบาทหรือถ้าวันนั้นขายหุ้นชินคอร์ปในราคาหุ้นละ 98.50 บาท เงินขายหุ้นโดยรวมที่จะตั้งข้อกล่าวหาเพื่อยึดทรัพย์ก็คงจะ

เป็นประมาณ 152,000 ล้านบาท ใช่หรือไม่ด้วยตัวอย่างที่สมมติราคาหุ้นให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ก็คงเพียงพอให้พี่น้องผู้อ่านได้มีหลักคิดแล้วใช่ไหมครับว่า...การยึดทรัพย์ ครั้งนี้มีหลักเกณฑ์ในการคิดมูลค่าความเสียหายเป็นไปโดยชอบหรือไม่อ่านมาถึง ตรงนี้...ยังคิดว่า “ทฤษฎี:-)กินหญ้า...ม้ากินแกลบ” นั้นจะใช้ได้หรือไม่ กับข้อกล่าวหารํ่ารวยผิดปกติแล้วจะยึดทรัพย์จากการขายหุ้นทั้งหมดพี่น้องผู้ อ่านลองไปคิดดูก็แล้วกันถ้าส่วนหนึ่งของเงินที่จะยึดนั้นมีเงินปันผลด้วย

คนที่ดึงดันออกมาอธิบายทฤษฎี:-)กินหญ้า ม้ากินแกลบ ต่อไปก็น่าจะต้องพิจารณาให้ครบถ้วนตามไปด้วยเพราะชินคอร์ปเป็นบริษัทมหาชน ที่มีผู้ถือหุ้นรายอื่นด้วยตามหลักการจ่ายเงินปันผล...บริษัทจะต้องจ่ายให้ กับผู้ถือหุ้นทุกๆ คนด้วยจำนวนที่เท่ากัน จึงเป็นการยุติธรรมมิใช่หรือ ที่จะต้องตามไปเรียกเก็บเงินปันผลกับผู้ถือหุ้นรายอื่นที่ได้รับไปในงวด เดียวกันกับครอบครัวคุณทักษิณและที่สำ คัญ...

บริษัทที่เป็นคู่กรณีเรื่องแปรสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามติคือ เอ
ไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทที่ชินคอร์ปถือหุ้นเอไอเอสจึงเป็นคู่กรณีโดยตรงกับทีโอทีที่ มีข้อพิพาทกันอยู่ในขณะนี้ และเรื่องยังอยู่ที่อนุญาโตตุลาการ หาใช่ชินคอร์ปไม่ที่เขียนมาข้างต้น...ไม่ใช่จะมองว่าที่ผ่านมาคุณทักษิณ ทำอะไรก็ถูกไปทั้งหมด แต่เห็นว่า การ “กลัวคุณทักษิณ” นั้นก็ควรจะตั้งอยู่บนหลักการของเหตุและผลเพราะคุณทักษิณ ก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิได้รับความเป็นธรรม...ใช่ไหมครับ?!
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ

ที่มา.บล็อกพันทิป

ถอดรหัส"คุณหมอพรทิพย์"ดึงดันใช้ จีที 200 "สินค้าเทวดา" ราคาสูงลิ่ว 2 ล้านต่อเครื่อง? ทั้งที่ผลทดสอบ

ไม่ผ่าน กระทั่งนายกฯสั่งห้ามซื้อเพิ่ม แต่ทำไมหมอพรทิพย์ ถึงมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น "ประชาชาติธุรกิจ"ตามไปดูว่าเธอนั่งทับอะไรอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ?

ภายหลังจากคณะกรรมการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจวัตถุระยะไกล Global Technical (จีที 200) ซึ่งมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานได้สรุปผลว่าเครื่องจีที 200 ไม่มีประสิทธิภาพและรายงานต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 โดยนายกฯได้มอบให้คณะกรรมการฯไปทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่นำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้งานแต่ยังมีความเชื่อว่าเครื่องมือมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ต้องจัดซื้อเพิ่มเติมอีกต่อไป

ขณะที่ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าเครื่องมือชนิดดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ล่าสุดออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะใช้เครื่องจีที 200 ต่อไป แต่จะไม่สั่งซื้อเพิ่มเติม โดยอ้างว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สถาบันใช้งานได้ดี เพียงแต่ไม่ได้ใช้เป็นอุปกรณ์หลักในการเก็บกู้ระเบิด
เท่ากับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่เห็นผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ชุดคุณหญิงกัลยา "ไม่มีความหมาย"
คำถามก็คือเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?


ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดหรือสารเสพติด ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง จีที 200 และ อัลฟ่า 6 ว่าจัดซื้อเมื่อไหร่ จำนวนเท่าใด และ ซื้อจากใคร?
มีเพียงข้อมูลที่หลุดรอดออกมาตามหน้าสื่อระบุว่า จัดซื้อ อัลฟ่า 6 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551 จาก บริษัท เอ เอส แอล เอ็ม เทรดดิ้ง จำกัด (นางธัญจิรา สมบูรณ์ศิลป์ เจ้าของ ) จำนวน 2 เครื่อง ราคาเครื่องละ 447,000 บาท รวม 894,000 บาท


แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริงทั้งหมด
เท่าที่"ประชาชาติธุรกิจ"ตรวจสอบพบข้อมูลดังนี้
ในระหว่างเดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2552 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์จัดซื้อเครื่องมือตรวจสอบ "ร่องรอยวัตถุระเบิด" และ "ร่องรอยสสาร" อย่างน้อย 5 ครั้ง ได้แก่


วันที่ 14 ก.ย.2550 ซื้อเครื่องตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง และ เครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะจำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 5,348,000 บาท


วันที่ 22 ต.ค. 2550 ซื้อเครื่องตรวจจับร่องรอยวัตถุระเบิดแบบพกพาจำนวน 2 เครื่อง จาก บริษัท เฮอริเทจ อินเตอร์เนชั่นแนลโพร์วายเดอร์ จำกัด วงเงิน 3,980,000 บาท และ ซื้อเครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด วงเงิน 1,999,000 บาท


วันที่ 25 ธ.ค. 2550 ซื้อเครื่องตรวจสอบร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะยี่ห้อ SMITHS จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 2,999,000 บาท


วันที่ 30 เม.ย. 2552 ซื้อเครื่องตรวจจับร่องรอยสสารแบบตั้งโต๊ะ ยี่ห้อ SMITHS จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด วงเงิน 3,200,000 บาท


วันที่ 26 ส.ค. 2552 ซื้อเครื่องตรวจวิเคราะห์วัตถุต้องสงสัย จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท แอดวานซ์ เอวิโอนิคส์ แอนด์ เอวิเอชั่น จำกัด (นายเอนก จงเสถียร เป็นกรรมการ -นางสาวอรวรรณ ศรีสุข ถือหุ้นใหญ่ นายเอนกเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง) วงเงิน 1,900,000 บาท


น่าสังเกตว่าเป็นการจัดซื้อจากเอกชน คือบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์ จำกัด เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีนายธงชัย ล่ำซำ ถือหุ้นใหญ่ อยู่ในเครือข่ายเดียวกับบริษัทผู้จำหน่ายหวยออนไลน์ชื่อดังซึ่งกำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้


และยังพบว่าบางรายการ อาทิ เครื่องมือตรวจสอบร่องรอยสสารแบบพกพา จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท ลอว์ เอ็นฟอร์ซเม้นท์ เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด วงเงิน 1,999,000 บาท ,เครื่องตรวจจับร่องรอยวัตถุระเบิดแบบพกพาจำนวน 2 เครื่อง จาก บริษัท เฮอริเทจ อินเตอร์เนชั่นแนลโพร์วายเดอร์ จำกัด วงเงิน 3,980,000 บาท และ เครื่องตรวจวิเคราะห์วัตถุต้องสงสัย จำนวน 1 เครื่อง จากบริษัท แอดวานซ์ เอวิโอนิคส์ แอนด์ เอวิเอชั่น จำกัด วงเงิน 1,900,000 บาท


หากคิดราคาเฉลี่ยต่อเครื่อง ตกเครื่องละเกือบ 2 ล้านบาท
ถ้าเทียบกับการจัดซื้อเครื่อง จีที 200 ในหน่วยงานอื่นอย่างกรมสรรพาวุธกองทัพบก จัดซื้อ เกือบ 500 เครื่อง เครื่องละ 900,000 บาท (จัดซื้อจำนวนมาก) กรมราชองครักษ์ ที่จัดซื้อ จีที 200 เพียง 3 เครื่อง เครื่องละ 1.2 ล้านบาท


เท่ากับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จัดซื้อในราคาสูงกว่าหน่วยงานอื่น (ถ้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน)
แทบไม่มีใครรับรู้ข้อมูลดังกล่าว และเข้าไปตรวจสอบว่าผิดปกติหรือไม่
ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ออกมาการันตีถึงประสิทธิภาพเครื่องจีที 200 ในสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ว่าใช้งานได้ดีคล้ายเป็นสินค้าเทวดา
ขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า "คุณหญิงหมอ" กำลังนั่งทับอะไรอยู่หรือไม่?

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

** AP เผยรถชนขบวนเสด็จพระเทพฯที่บังกลาเทศทรงปลอดภัยดี **

ข่าวด่วน :19 กพ. 2553 06:20 น.
สำนักข่าวเอพี รายงานโดยอ้างถ้อยแถลงของนายฮาบิบุลเลาะห์ ซาร์เคอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของบังคลาเทศว่า
รถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงคันหนึ่ง ได้พุ่งเข้าชนรถยนต์คันหนึ่งในขบวนเสด็จของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร
ในระหว่างเสด็จเยือนบังคลาเทศเมื่อวันพฤหัสบดี โดยเหตุร้ายเกิดขึ้นในเขตทันกาอิล ห่างจากกรุงธาการ์ไปทางเหนือ 72 กิโลเมตร
สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรไม่ได้ทรงรับบาดเจ็บ และไม่ได้ประทับในรถยนต์คันที่ถูกชน แต่มีเจ้าหน้าที่สถานฑูตไทยเสียชีวิต 1 คน

สำนักข่าวแห่งชาติ "บังคลาเทศ ซังแบด ซังสทา" รายงานว่า ที่ปรึกษาคนหนึ่งของสถานเอกอัครราชฑูตไทยในกรุงธาร์กา
ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลคอมไบน์ มิลิทารี่ ในกรุงธาการ์

ขณะที่สำนักข่าว"เดอะ ยูไนเต็ตนิวส์ ออฟ บังคลาเทศ รายงานว่า ขบวนรถพระที่นั่งกำลังเดินทางกลับกรุงธาการ์
หลังจากทรงเสด็จเยือนหลายโครงการ ด้านสาธารณสุขในภาคเหนือของบังคลาเทศ

รายงานข่าวระบุว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร เสด็จบังคลาเทศในฐานะหนึ่งในทีมวิจัยของโรงเรียนสาธารณสุขบลูมเบิร์ก
มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพกินส์ ในรัฐแมรี่แแลนด์ของสหรัฐฯ และ รายงานข่าวระบุว่า กองงานในพระองค์ฯ ได้ยืนยันรายงานข่าว
เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้


****************************************************************************

** คนโชคดี !! (ที่ชื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร) **

ต้องนับว่าในประดาคนโชคดีทั้งหลาย คงจะไม่มีใครโชคดีไปกว่า..นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย..
ที่ชื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร

วันที่ 26 กัมภาพันธ์ 2553 จะมีการพิพากษา..เกี่ยวกับทรัพย์กองโต 7 หมื่น 6 พันล้านของเขา..

ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย..เรื่อง จีที 200 อุปกรณ์ตรวจหาราคาแพงเกิดมีการตรวจสอบขึ้นมา และปรากฏว่ามันเป็นอุปกรณ์ลวงโลก
กล่าวคือ..มันเป็นของต้มตุ๋นที่ถูกสร้างขึ้นมา และขายออกไปในหลายประเทศทั่วโลก..โดยเฉพาะกับประเทศไทย

อังกฤษผู้สร้าง.. เครื่องมือนี้ขึ้นมา ก็ห้ามจำหน่ายห้ามขายและดำเนินคดีกับ..นักต้มตุ๋นไปแล้ว

เอฟบีไอ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็ดำเนินคดีกับแก๊งค์ลวงโลกแก๊งค์นี้เช่นกัน

สำหรับประเทศไทย..ลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นผู้ซื้อสินค้าลวงโลก จีที 200 ในราคาที่แพงที่สุดในโลก..เพิ่งจะกล้ารับความจริงว่า..
มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้ และแทบจะทุกกระทรวงทบวงกรมต่างซื้อหากันมาใช้งานมากที่สุด

ก็กับทหาร..และมากที่สุดก็ทหารที่เป็น คมช.เงินหลายพันล้านที่เอาไปซื้อหาสินค้าที่ใช้ไม่ได้ ราคาที่แพงเกินกว่าความเป็นจริง..
ผู้ซื้อเหล่านั้นจะตอบคำถามของผู้ที่จะต้องกระทำการสอบสวนอย่างไร..

เงินทอนและค่าคอมมิชชั่นและคอร์รัปชั่น..จะเปิดโผเปิดตัวมันออกมาหรือไม่

หากยึดทรัพย์ของ ทักษิณ ชินวัตร ในความผิดที่กำกวม และจะไม่ยึดทรัพย์ผู้กระทำผิดที่ชัดเจนและจำนนต่อหลักฐานความเป็นจริงเช่นไร

ป.ป.ช..องค์กรอิสระ จะกล้าล้วงคองูเห่าและเอาผู้เรืองอำนาจและเคยเป็นรัฐฐาธิปัตย์เป็นผู้ต้องหาและนักโทษได้อย่างไร

ค.ต.ส.จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหรือไม่...

ทั้งสิ้นทั้งปวงกลายเป็นประโยชน์กับทักษิณ ชินวัตร..ที่จะพิสูจน์และยืนยันว่า..เคราะห์กรรมและการยึดทรัพย์ของเขานั้น..
เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อทำลายเขาจากศรัทธาของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย..

แต่ในความผิดที่ชัดแจ้งกว่า..กลับถูกละเลยปิดหูปิดตามองไม่เห็น

แล้วเรื่องเงินจากเช็ค ไม่ถึง 2 ล้าน..เพราะกลัวการตรวจสอบหลายใบ..ที่จ่ายจากนักธุรกิจไปยัง บุคคลสำคัญ

ยิ่งทั้ง ค.ต.ส..ทั้ง ป.ป.ช. จะดำเนินการอย่างไร..และจะนำไปสู่การยึดทรัพย์อีกหรือไม่..

ถ้าทำคุณธรรมก็สว่างไสว ถ้าไม่จัญไรอัปปรีย์ก็คลุมเมือง



โดย: พญาไม้
***************************************************************************