โถ ผู้ใหญ่ กรรมใครกรรมมัน
ด่ากันไปทั้งหมู่บ้าน ตะแรกก็ด่าลูกน้องผู้ใหญ่
อยู่ๆไป ก็ด่า คนดูแลบ้าน เขาว่า ไอ้นี่มันแตะไม่ได้เลย
ผู้ใหญ่บ้านทำยังไง มันทำยังงั้น อีแป๋วลูกยายเปลวยังว่า
เห็นกะตา ถ้าชาวบ้านจะคุยกะมัน ก็ต้องคุกเข่า
มันเป็นคนดูแลบ้านผู้ใหญ่ แต่ไปไหนมาไหน เขาลือกันแซด
ว่าท่ามันจะใหญ่ กว่า ตัวผู้ใหญ่บ้านซะอีก สั่งคนโน้น สั่งคนนี้
มันสั่งไปทั้งหมู่บ้าน ลูกบ้านก็กลัวกันลนลาน
สงสัยกันไปทั้งหมู่บ้าน ไม่มีใครกล้าถาม
ว่ามันสั่งของมันเอง หรือ ผู้ใหญ่บ้านใช้ให้มันไปสั่งอีกที
มาไม่กี่วันนี้ ชาวบ้านก็ด่ากันอีก ทีนี้ตาเมียผู้ใหญ่
เป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างสาดเสีย เทเสีย
ด่ากันหัวบ้าน ท้ายบ้าน แม้แต่บ่อปลา กะคันนา
แล้วก็พากันสงสัยอีก
ว่าเมียแกทำ หรือ ผู้ใหญ่บ้านแกใช้เมียให้มาทำ
มาวันนี้ ตั้งแต่ปากทางหมู่บ้าน ถึงท้ายบ้าน จนไปถึงคลองอีกฝาก
ดันรุมด่า ผู้ใหญ่บ้าน อย่างเอาเป็นเอาตาย ชิบหาย ชิบหายอีกแล้ว
มันรุมด่ากัน ยั่งกะพวกชาวบ้านมันมีหลักฐาน
ไอ้อ่ำอะซี ถือเศษกระดาษในมือ ชูอยู่กลางหมู่บ้าน
ไอ้พวกวงใน ก็ใส่กันเละ ฟังไม่ศัพท์ จับไม่กระเดียด
ไอ้วงนอก ก็เถียงกันใหญ่ จะเอาไว้ หรือไม่เอา
อีรวงก็ว่า ชาวบ้านนี่แปลก ไม่กี่ปีก็ว่า ผู้ใหญ่ดียั้งงี้ ดียังงั้น
วันนั้นไอ้แดงออกมาเตือน ก็รุมด่าไอ้แดงกันว่า ระวังนรกจะกินกบาล
พอวันนี้ไอ้อ่ำเอาหลักฐานมาชู ก็แบ่งข้างกันอีก
ข้างนึงก็ว่า ต้องชวนลูกบ้านออกมาขับไล่แกไปให้พ้น
อีกข้างก็ว่า เอางี้มั๊ย ถ้าแกออกมาห้าม
แล้วลงโทษนักเลงอันธพาลบริวารของแก
กับคืนความเป็นธรรมให้บ้านเมือง
ก็จะให้แกอยู่ต่อไป ไม่ไปยุ่งกับแก
ลุงดีซี ไม่รู้โผล่มาจากไหน โพล่งเสียงดังออกมา
บอกให้ชาวบ้านทำใจ อยู่กะแกมานาน รู้สันดานแกดี
เอาไงเอากัน ผู้ใหญ่บ้านแกไม่มีวัน เปลี่ยนใจ
โถ โธ่ ถัง กรรมใครกรรมมัน
วันนี้หยุด ลูกหลานยังคงสบาย
วันไหน ผู้ใหญ่บ้านตาย
ลูกหลานร้องให้ รับกรรม...
อนันท...พุด...
by ท.ทหารไทย
วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
** ทรราชย์ กับ รัฐบุรุษ **
บรรยากาศบ้านเมืองในช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ดูจะหงอยๆ ซึมๆ ไปหน่อย เพราะคนไทยไม่มีอารมณ์ที่จะสนุกสนานร่าเริง
หันไปทางไหนก็มีแต่ความขัดแย้งเต็มไปหมด
คนที่มีอำนาจมีหน้าที่สร้างความเสมอภาค ความเป็นธรรม และความสมานฉันท์ ยังทำงานด้วยปาก มากกว่าลงมือปฏิบัติ
เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสยามเมืองไม่ยิ้มแห่งนี้ และดูเหมือนว่าคำพูดกับการกระทำค่อนข้างจะสวนทางกันเสียด้วย
ชัดเจนที่สุดคือยุทธการ “ทาสี” เพื่อปูทางสร้างความชอบธรรมในการปราบปราม
วันนี้มีข่าวพบระเบิดหลายแห่ง ทั้งที่ยิงพลาดเป้าทำเนียบรัฐบาลไปตกในโรงเรียนพาณิชย์ และระเบิดที่พบข้างสำนักงานศาลยุติธรรม
ดูจากเป้าหมายของการยิงเอ็ม 79 และการวางซีโฟร์แล้วก็เดาออกว่าคนทำต้องการโหมไฟความรุนแรงให้เกิดขึ้นจริง อย่างที่คนในรัฐบาล
ได้ใช้ปากวาดภาพกันเอาไว้
เรื่องแบบนี้ไม่ต้องวิเคราะห์กันให้เปลืองเซลล์สมอง เพราะถ้าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดงต้องถือว่า “โง่” เข้าขั้นที่ไปทำอย่างนั้น
ถึงแม้จะไม่ใช่ฝีมือของคนเสื้อแดง แต่ชั่วโมงนี้ไม่ว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นที่ไหน ทุกสายตาก็จะมองมาที่คนเสื้อแดง เพราะรัฐบาลได้โหม
สร้างภาพเอาไว้เป็นฉากๆจนติดตาประชาชนแล้วว่าคนเสื้อแดงเป็นพวกป่าเถื่อน ใช้ความรุนแรง ทำลายชาติ จ้องแต่จะเผาบ้านเผาเมือง
นับว่ายุทธศาสตร์นี้ของรัฐบาลได้ผลเกิดความคาดหมาย
ขนาดคนปาถุงขี้ใส่บ้านนายกรัฐมนตรี คนในรัฐบาลหลายคนยังบอกว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง แต่เอาเข้าจริงพอตำรวจจับคนปาได้
และยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง ก็ไม่เห็นมีใครออกมารับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง
เอาเถอะวันนี้ท่านเป็นผู้นำประเทศ มีอำนาจ จะทำอะไรก็ทำไป แต่ยศและอำนาจมันเป็นแค่หัวโขนที่เขาให้สวมใส่เพียงแค่ระยะสั้นๆ
มียศก็เสื่อมยศ มีอำนาจก็เสื่อมอำนาจ ไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อหมดยศ ไร้อำนาจ สถานะก็จะเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นเมื่อยังอยู่ในยศ อยู่ในอำนาจควรใช้ไปในทางที่ถูกที่ควร ทำให้คนรักมากๆ
เพราะระหว่าง “ทรราชย์” กับ “รัฐบุรุษ” มีเส้นแบ่งที่ห่างกันไม่มากนัก
ที่เตือนก็ไม่ใช่อะไร เพราะเคยได้ยินมากับหูตัวเอง มีคนเคยเตือนอดีตนายกฯทักษิณในช่วงที่เรืองอำนาจสุดๆว่า จะต้องทำอะไร
เพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องการเมือง การปกครอง และเรื่องเศรษฐกิจ สังคม
คำเตือนยังติดหูมาถึงทุกวันนี้ว่า นายกฯทักษิณต้องเลือกเอาระหว่างการเป็น “ทรราชย์” กับ “รัฐบุรุษ”
ไม่แน่ใจนักว่าคำเตือนที่ได้ยินมานี้จะมีใครไปบอกต่อกับอดีตนายกฯทักษิณบ้างหรือไม่ หรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้อดีตนายกฯ
ต้องระหกระเหินรอนแรมอยู่ในวันนี้
วันนี้ไม่มีใครออกปากเตือนนายกฯอภิสิทธิ์ให้ได้ยิน แต่คำที่เคยได้ยินในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง จึงเอามาเตือน
นายกฯอภิสิทธิ์ว่าจะทำอะไรก็คิดให้หนัก คิดให้เยอะ อย่ามองคนไทยด้วยกันเป็นศัตรู แต่ให้มองเป็นประชาชนที่เขาเดือนร้อน
ต้องการให้ผู้มีอำนาจช่วยปัดเป่าบรรเทาทุกข์ให้
ชัยชนะของนักปกครองไม่ได้อยู่ที่การได้อยู่ในอำนาจต่อไป แต่ชัยชนะของนักปกครองอยู่ที่การชนะใจคน ต้องเข้าไปนั่งในใจคนส่วนใหญ่ได้
มีอะไรบ้างที่ทำแล้วเข้าไปนั่งในใจคนส่วนใหญ่ได้ ก็ได้แต่หวังว่านายกฯอภิสิทธิ์ “ดวงตาจะเห็นธรรม”
ที่มา:konthaiuk
โดย.นายหัวดื้อ
**********************************************************************
หันไปทางไหนก็มีแต่ความขัดแย้งเต็มไปหมด
คนที่มีอำนาจมีหน้าที่สร้างความเสมอภาค ความเป็นธรรม และความสมานฉันท์ ยังทำงานด้วยปาก มากกว่าลงมือปฏิบัติ
เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสยามเมืองไม่ยิ้มแห่งนี้ และดูเหมือนว่าคำพูดกับการกระทำค่อนข้างจะสวนทางกันเสียด้วย
ชัดเจนที่สุดคือยุทธการ “ทาสี” เพื่อปูทางสร้างความชอบธรรมในการปราบปราม
วันนี้มีข่าวพบระเบิดหลายแห่ง ทั้งที่ยิงพลาดเป้าทำเนียบรัฐบาลไปตกในโรงเรียนพาณิชย์ และระเบิดที่พบข้างสำนักงานศาลยุติธรรม
ดูจากเป้าหมายของการยิงเอ็ม 79 และการวางซีโฟร์แล้วก็เดาออกว่าคนทำต้องการโหมไฟความรุนแรงให้เกิดขึ้นจริง อย่างที่คนในรัฐบาล
ได้ใช้ปากวาดภาพกันเอาไว้
เรื่องแบบนี้ไม่ต้องวิเคราะห์กันให้เปลืองเซลล์สมอง เพราะถ้าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดงต้องถือว่า “โง่” เข้าขั้นที่ไปทำอย่างนั้น
ถึงแม้จะไม่ใช่ฝีมือของคนเสื้อแดง แต่ชั่วโมงนี้ไม่ว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นที่ไหน ทุกสายตาก็จะมองมาที่คนเสื้อแดง เพราะรัฐบาลได้โหม
สร้างภาพเอาไว้เป็นฉากๆจนติดตาประชาชนแล้วว่าคนเสื้อแดงเป็นพวกป่าเถื่อน ใช้ความรุนแรง ทำลายชาติ จ้องแต่จะเผาบ้านเผาเมือง
นับว่ายุทธศาสตร์นี้ของรัฐบาลได้ผลเกิดความคาดหมาย
ขนาดคนปาถุงขี้ใส่บ้านนายกรัฐมนตรี คนในรัฐบาลหลายคนยังบอกว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง แต่เอาเข้าจริงพอตำรวจจับคนปาได้
และยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง ก็ไม่เห็นมีใครออกมารับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง
เอาเถอะวันนี้ท่านเป็นผู้นำประเทศ มีอำนาจ จะทำอะไรก็ทำไป แต่ยศและอำนาจมันเป็นแค่หัวโขนที่เขาให้สวมใส่เพียงแค่ระยะสั้นๆ
มียศก็เสื่อมยศ มีอำนาจก็เสื่อมอำนาจ ไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อหมดยศ ไร้อำนาจ สถานะก็จะเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นเมื่อยังอยู่ในยศ อยู่ในอำนาจควรใช้ไปในทางที่ถูกที่ควร ทำให้คนรักมากๆ
เพราะระหว่าง “ทรราชย์” กับ “รัฐบุรุษ” มีเส้นแบ่งที่ห่างกันไม่มากนัก
ที่เตือนก็ไม่ใช่อะไร เพราะเคยได้ยินมากับหูตัวเอง มีคนเคยเตือนอดีตนายกฯทักษิณในช่วงที่เรืองอำนาจสุดๆว่า จะต้องทำอะไร
เพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องการเมือง การปกครอง และเรื่องเศรษฐกิจ สังคม
คำเตือนยังติดหูมาถึงทุกวันนี้ว่า นายกฯทักษิณต้องเลือกเอาระหว่างการเป็น “ทรราชย์” กับ “รัฐบุรุษ”
ไม่แน่ใจนักว่าคำเตือนที่ได้ยินมานี้จะมีใครไปบอกต่อกับอดีตนายกฯทักษิณบ้างหรือไม่ หรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้อดีตนายกฯ
ต้องระหกระเหินรอนแรมอยู่ในวันนี้
วันนี้ไม่มีใครออกปากเตือนนายกฯอภิสิทธิ์ให้ได้ยิน แต่คำที่เคยได้ยินในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง จึงเอามาเตือน
นายกฯอภิสิทธิ์ว่าจะทำอะไรก็คิดให้หนัก คิดให้เยอะ อย่ามองคนไทยด้วยกันเป็นศัตรู แต่ให้มองเป็นประชาชนที่เขาเดือนร้อน
ต้องการให้ผู้มีอำนาจช่วยปัดเป่าบรรเทาทุกข์ให้
ชัยชนะของนักปกครองไม่ได้อยู่ที่การได้อยู่ในอำนาจต่อไป แต่ชัยชนะของนักปกครองอยู่ที่การชนะใจคน ต้องเข้าไปนั่งในใจคนส่วนใหญ่ได้
มีอะไรบ้างที่ทำแล้วเข้าไปนั่งในใจคนส่วนใหญ่ได้ ก็ได้แต่หวังว่านายกฯอภิสิทธิ์ “ดวงตาจะเห็นธรรม”
ที่มา:konthaiuk
โดย.นายหัวดื้อ
**********************************************************************
** “สามสี” ชี้เหตุบึ้มป่วนเมืองอาจเป็นการหมั่นใส้กันเอง !! **
วันนี้ เวลา 09.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง
ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ หลังเกิดเหตุการณ์วางระเบิดป่วนสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ว่า
การจะเดินขบวนชุมนุมต่างๆเป็นสิ่งทำได้ ทุกฝ่ายรวมทั้งต่างชาติก็รับได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรงหรือทำผิดกฎหมาย
เพราะทำให้ต่างชาติเห็นว่า ประเทศไทยป่าเถื่อน และจะไม่อยากมาเที่ยว มาลงทุน ซึ่งจะเสียหายต่อประเทศ
หากจะมาช่วยกันทำลายก็คนละไม้ละมือ มันสนุกตรงไหน
ซึ่งไม่ทราบว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ ตนก็หวังว่า พวกเขาคงไม่ทำ
อาจจะเป็นมือที่สามก็ได้ หรืออาจเป็นการหมั่นไส้กันในทำเนียบฯหรือในศาล แล้วมาวางก็ได้
ซึ่งเป็นเรื่องของตำรวจที่ต้องติดตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้
เมื่อถามว่า ขณะนี้บางประเทศเริ่มออกคำเตือนให้ระวังตัวในการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยแล้ว
นายไตรรงค์ กล่าวว่า คงไปห้ามการแจ้งเตือนไม่ได้ ถ้าไม่มั่นใจก็อย่ามา แต่วิธีดีที่สุดคือ อย่าไปสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาในประเทศ
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอาจเป็นผู้สร้างสถานการณ์เอง เพื่อหาข้ออ้างในการขอใช้กฎหมายพิเศษมาควบคุมการชุมนุม
นายไตรรงค์ กล่าวว่า การชุมนุมเป็นสิ่งที่ทำได้ตามกฎหมาย ซึ่งไทยเราต้องปรับปรุงกฎหมาย เพราะกฎหมายไทยยังอ่อนเกินไป
บางประเทศให้ชุมนุมได้ แต่ต้องเป็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หรือให้ชุมนุมได้เฉพาะบนฟุตบาธ ห้ามลงมาบนถนน
ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************
ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ หลังเกิดเหตุการณ์วางระเบิดป่วนสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ว่า
การจะเดินขบวนชุมนุมต่างๆเป็นสิ่งทำได้ ทุกฝ่ายรวมทั้งต่างชาติก็รับได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรงหรือทำผิดกฎหมาย
เพราะทำให้ต่างชาติเห็นว่า ประเทศไทยป่าเถื่อน และจะไม่อยากมาเที่ยว มาลงทุน ซึ่งจะเสียหายต่อประเทศ
หากจะมาช่วยกันทำลายก็คนละไม้ละมือ มันสนุกตรงไหน
ซึ่งไม่ทราบว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ ตนก็หวังว่า พวกเขาคงไม่ทำ
อาจจะเป็นมือที่สามก็ได้ หรืออาจเป็นการหมั่นไส้กันในทำเนียบฯหรือในศาล แล้วมาวางก็ได้
ซึ่งเป็นเรื่องของตำรวจที่ต้องติดตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้
เมื่อถามว่า ขณะนี้บางประเทศเริ่มออกคำเตือนให้ระวังตัวในการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยแล้ว
นายไตรรงค์ กล่าวว่า คงไปห้ามการแจ้งเตือนไม่ได้ ถ้าไม่มั่นใจก็อย่ามา แต่วิธีดีที่สุดคือ อย่าไปสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาในประเทศ
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอาจเป็นผู้สร้างสถานการณ์เอง เพื่อหาข้ออ้างในการขอใช้กฎหมายพิเศษมาควบคุมการชุมนุม
นายไตรรงค์ กล่าวว่า การชุมนุมเป็นสิ่งที่ทำได้ตามกฎหมาย ซึ่งไทยเราต้องปรับปรุงกฎหมาย เพราะกฎหมายไทยยังอ่อนเกินไป
บางประเทศให้ชุมนุมได้ แต่ต้องเป็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หรือให้ชุมนุมได้เฉพาะบนฟุตบาธ ห้ามลงมาบนถนน
ที่มา:konthaiuk
******************************************************************************
"จาตุรนต์" ให้จับตา กกต. อุ้มปชป.รอดคดียุบพรรค
เมื่อวันที่ 14 ก.พ. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่เรื่องยังอยู่ในขั้นตอนการ พิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า กรณีที่ปรึกษา กกต.ระบุยังไม่เห็นรายละเอียดตามข้อกล่าวหานั้น ถือเป็นความตั้งใจ และจงใจที่จะไม่อ่านรายละเอียด การพูดอย่างต่อเนื่องว่าจะอ่านเพียงบทสรุป ทั้งๆ ที่มีรายละเอียด 7,000 หน้าชัดเจนนั้น สะท้อนให้เห็นว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. และพวก กำลังพยายามหาทางช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ โดยอาจจะอาศัยเหตุการณ์ช่วงชุลมุนฝุ่นตลบ ในขณะนี้ อุ้มพรรคประชาธิปัตย์หนีการลงโทษไป พอวันที่ฝุ่นหายตลบ คนถึงจะมารู้ว่ามันมีหลักฐานเต็มไปหมด
"ถ้าปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามนั้น จะขัดต่อหลักฐานข้อเท็จจริง และขัดความรู้สึกประชาชน ในที่สุดผู้คนจำนวนมากก็จะเลิกคาดหวังกับการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่แย่อยู่แล้วก็จะหนักข้อมากขึ้นไปอีก" นายจาตุรนต์ กล่าวเตือน
ที่มา:มติชนออนไลน์
"ถ้าปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามนั้น จะขัดต่อหลักฐานข้อเท็จจริง และขัดความรู้สึกประชาชน ในที่สุดผู้คนจำนวนมากก็จะเลิกคาดหวังกับการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่แย่อยู่แล้วก็จะหนักข้อมากขึ้นไปอีก" นายจาตุรนต์ กล่าวเตือน
ที่มา:มติชนออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
อธิบดีศาลแพ่งธนบุรีสอนมวย"ป.ป.ช."!! เตือนระวังจะตกเป็น "ผู้ต้องหา" ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
"อธิบดีศาลแพ่งธนบุรี" ยันผู้พิพากษาออกหมายจับ "สุนัย" ถูกต้อง สอนมวย "ป.ป.ช." มีอำนาจตามกฎหมายประกอบ รธน. แต่ศาลมีอำนาจอธิปไตย เตือนให้ระวังจะตกเป็นผู้ต้องหาฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบนัดถก"ก.ต."15 ก.พ.
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งอนุกรรมการสอบสวน พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ วาพันสุ รอง ผกก.สส.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.ธาตรี ตั้งโสภณ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และนายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) กล่าวหากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กรณีร่วมกันขอและอนุญาตให้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหา ต่อมาวันที่ 7 มกราคม นายอิทธิพลยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ขอแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ได้รับหมายเรียกไปให้ถ้อยคำที่สำนักงาน ป.ป.ช. กระทั่ง ก.ต.มีหนังสือตอบกลับระบุว่ามีสิทธิชี้แจงเป็นหนังสือต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. และขอไปให้การในชั้นศาลได้ รวมทั้งสำนักงานศาลยุติธรรมทำหนังสือแจ้งไปยัง ป.ป.ช.ว่า ก.ต.พิจารณาเห็นว่าผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยไม่อาจแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคล รวมทั้งการใช้ดุลพินิจในการออกหมายจับหากคู่ความไม่เห็นพ้องย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า ทาง ป.ป.ช.ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ซึ่งให้ความหมายคำว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ และมาตรา 97 เกี่ยวกับการดำเนินการความผิดทางอาญา เห็นว่าการใช้อำนาจของ ป.ป.ช.เป็นการขัดกันระหว่างผู้ใช้อำนาจอธิปไตยกับองค์กรอิสระ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า กรณีกล่าวหานายอิทธิพล ออกหมายจับโดยมิชอบร่วมกับพนักงานสอบสวน ต่อ ป.ป.ช.นั้น พอเกิดเรื่องขึ้นนายอิทธิพลยื่นคำร้องเข้าก.ต. ซึ่ง ก.ต.นำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อศึกษาถึง 2 ครั้ง และไม่ได้ลอยแพผู้พิพากษา ที่ประชุมสรุปว่านายอิทธิพลทำหน้าที่ในฐานะศาล รับรองโดยมาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่าการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายและในปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม ถามว่านายอิทธิพลทำหน้าที่ตามมาตรา 197 ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองแล้วในการออกหมายจับ ในการขอหมายจับ 2 ครั้งแรก ศาลไม่ให้ออกหมายจับและประชุมก่อน จนการขอหมายจับครั้งที่ 3 มีการประชุมหารือแล้วเห็นว่านายสุนัยไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก 2 ครั้ง ปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 1 เห็นว่าต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย ตรงไปตรงมา แม้ว่านายสุนัยจะเคยเป็นผู้พิพากษาระดับสูงมาก่อน ซึ่งผู้พิพากษาเมื่อถูกกล่าวหาในคดีอาญา มีหมายเรียกต้องไปพบพนักงานสอบสวน ถ้าไม่มาจริงๆ ต้องออกหมายจับ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า เมื่อผู้พิพากษาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 197 ถามว่า ป.ป.ช.มีอำนาจสอบ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 97 หรือไม่ กรณีนี้เป็นเรื่องลำดับศักดิ์ของกฎหมาย ซึ่ง ป.ป.ช.ใช้อำนาจสอบตาม มาตรา 97 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ส่วนศาลทำงานตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ และรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ดังนั้น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ จึงเป็นลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่า ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจสอบ ถามว่าถ้า ป.ป.ช.อ้างว่าเข้าใจโดยสุจริตนั้น ในทางกฎหมายอ้างไม่ได้ และ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระ ใช้อำนาจรัฐ ตามกฎหมายต้องรู้ จะบอกว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เพราะแม้แต่ประชาชนทั่วไปจะอ้างว่าไม่เข้าใจกฎหมายยังไม่ได้ ตรงนี้จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ คือ ป.ป.ช.ใช้อำนาจละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นผู้ต้องหา กรณีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า เห็นว่าการใช้อำนาจของ ป.ป.ช.ตรงนี้จะเป็นการละเมิดผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เพราะผู้พิพากษาใช้อำนาจตุลาการ ยกตัวอย่าง ส.ส.ร่วมกันลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจทางนิติบัญญัติ ป.ป.ช.จะสอบเพื่อดำเนินคดีอาญาไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินการตามอำนาจอธิปไตย หรือถามว่าถ้าศาลชั้นต้นตัดสินให้ยกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย แล้วโจทก์มาฟ้องผู้พิพากษาศาลชั้นต้น กล่าวหาว่าช่วยจำเลยเรื่องก็จะยุ่ง หรือพอออกหมายจับแล้วมาร้อง ป.ป.ช.ก็ยุ่งกันใหญ่ เท่ากับเป็นการกระทบกระทั่งการใช้อำนาจ และ ป.ป.ช.ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจอธิปไตย แล้วมาขัดขวางผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ถือว่าหนักหนาสาหัส
"จึงขอเตือนผู้ใช้อำนาจองค์กรอิสระ ขอให้ควบคุมการใช้อำนาจรัฐเท่าที่มีอำนาจ แต่จะขยายอำนาจเกินเลยถึงผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ไม่มีสิทธิ ผู้พิพากษาอย่าหวั่นไหว ขอให้ทำหน้าที่ตามปกติ ถ้าผู้พิพากษาหวั่นไหว ไม่ทำหน้าที่ บ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ กระบวนการยุติธรรมจะล้มเหลว ทั้งนี้ ขอเรียนว่า ก.ต.ไม่ได้ทอดทิ้ง ไม่ได้ลอยแพแต่อย่างใด" อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศาลมีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจหรือไม่ นายศรีอัมพรกล่าวว่า การทำงานมีทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งคู่ความสามารถใช้สิทธิได้หากเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งกรณีนายสุนัยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.ระบุว่าตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทำได้หรือไม่ นายศรีอัมพรกล่าวว่า ไม่ได้ เท่ากับเป็นการก้าวล่วง ไม่มีสิทธิ แค่นี้ก็ถือว่าละเมิดต่อศาลที่ใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง ทั้งนี้ ในกรณีเห็นว่าศาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบก็สามารถนำความมาฟ้องศาลได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม จะประชุมเพื่อหารือถึงกรณีดังกล่าวว่า ป.ป.ช.มีอำนาจที่จะตรวจสอบกรณีศาลอนุมัติออกหมายจับ เมื่อถูกผู้ที่ถูกออกหมายจับร้องเรียนหรือไม่
ที่มา:มติชนออนไลน์
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งอนุกรรมการสอบสวน พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ วาพันสุ รอง ผกก.สส.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.ธาตรี ตั้งโสภณ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และนายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) กล่าวหากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กรณีร่วมกันขอและอนุญาตให้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหา ต่อมาวันที่ 7 มกราคม นายอิทธิพลยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ขอแนวทางปฏิบัติในกรณีที่ได้รับหมายเรียกไปให้ถ้อยคำที่สำนักงาน ป.ป.ช. กระทั่ง ก.ต.มีหนังสือตอบกลับระบุว่ามีสิทธิชี้แจงเป็นหนังสือต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. และขอไปให้การในชั้นศาลได้ รวมทั้งสำนักงานศาลยุติธรรมทำหนังสือแจ้งไปยัง ป.ป.ช.ว่า ก.ต.พิจารณาเห็นว่าผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยไม่อาจแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคล รวมทั้งการใช้ดุลพินิจในการออกหมายจับหากคู่ความไม่เห็นพ้องย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า ทาง ป.ป.ช.ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ซึ่งให้ความหมายคำว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ และมาตรา 97 เกี่ยวกับการดำเนินการความผิดทางอาญา เห็นว่าการใช้อำนาจของ ป.ป.ช.เป็นการขัดกันระหว่างผู้ใช้อำนาจอธิปไตยกับองค์กรอิสระ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า กรณีกล่าวหานายอิทธิพล ออกหมายจับโดยมิชอบร่วมกับพนักงานสอบสวน ต่อ ป.ป.ช.นั้น พอเกิดเรื่องขึ้นนายอิทธิพลยื่นคำร้องเข้าก.ต. ซึ่ง ก.ต.นำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อศึกษาถึง 2 ครั้ง และไม่ได้ลอยแพผู้พิพากษา ที่ประชุมสรุปว่านายอิทธิพลทำหน้าที่ในฐานะศาล รับรองโดยมาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่าการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายและในปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม ถามว่านายอิทธิพลทำหน้าที่ตามมาตรา 197 ซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองแล้วในการออกหมายจับ ในการขอหมายจับ 2 ครั้งแรก ศาลไม่ให้ออกหมายจับและประชุมก่อน จนการขอหมายจับครั้งที่ 3 มีการประชุมหารือแล้วเห็นว่านายสุนัยไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก 2 ครั้ง ปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 1 เห็นว่าต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย ตรงไปตรงมา แม้ว่านายสุนัยจะเคยเป็นผู้พิพากษาระดับสูงมาก่อน ซึ่งผู้พิพากษาเมื่อถูกกล่าวหาในคดีอาญา มีหมายเรียกต้องไปพบพนักงานสอบสวน ถ้าไม่มาจริงๆ ต้องออกหมายจับ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า เมื่อผู้พิพากษาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 197 ถามว่า ป.ป.ช.มีอำนาจสอบ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 97 หรือไม่ กรณีนี้เป็นเรื่องลำดับศักดิ์ของกฎหมาย ซึ่ง ป.ป.ช.ใช้อำนาจสอบตาม มาตรา 97 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ส่วนศาลทำงานตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ และรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ดังนั้น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ จึงเป็นลำดับศักดิ์ที่ต่ำกว่า ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจสอบ ถามว่าถ้า ป.ป.ช.อ้างว่าเข้าใจโดยสุจริตนั้น ในทางกฎหมายอ้างไม่ได้ และ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระ ใช้อำนาจรัฐ ตามกฎหมายต้องรู้ จะบอกว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เพราะแม้แต่ประชาชนทั่วไปจะอ้างว่าไม่เข้าใจกฎหมายยังไม่ได้ ตรงนี้จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ คือ ป.ป.ช.ใช้อำนาจละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นผู้ต้องหา กรณีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
นายศรีอัมพรกล่าวว่า เห็นว่าการใช้อำนาจของ ป.ป.ช.ตรงนี้จะเป็นการละเมิดผู้ใช้อำนาจอธิปไตย เพราะผู้พิพากษาใช้อำนาจตุลาการ ยกตัวอย่าง ส.ส.ร่วมกันลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจทางนิติบัญญัติ ป.ป.ช.จะสอบเพื่อดำเนินคดีอาญาไม่ได้ เพราะเป็นการดำเนินการตามอำนาจอธิปไตย หรือถามว่าถ้าศาลชั้นต้นตัดสินให้ยกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย แล้วโจทก์มาฟ้องผู้พิพากษาศาลชั้นต้น กล่าวหาว่าช่วยจำเลยเรื่องก็จะยุ่ง หรือพอออกหมายจับแล้วมาร้อง ป.ป.ช.ก็ยุ่งกันใหญ่ เท่ากับเป็นการกระทบกระทั่งการใช้อำนาจ และ ป.ป.ช.ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจอธิปไตย แล้วมาขัดขวางผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ถือว่าหนักหนาสาหัส
"จึงขอเตือนผู้ใช้อำนาจองค์กรอิสระ ขอให้ควบคุมการใช้อำนาจรัฐเท่าที่มีอำนาจ แต่จะขยายอำนาจเกินเลยถึงผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ไม่มีสิทธิ ผู้พิพากษาอย่าหวั่นไหว ขอให้ทำหน้าที่ตามปกติ ถ้าผู้พิพากษาหวั่นไหว ไม่ทำหน้าที่ บ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ กระบวนการยุติธรรมจะล้มเหลว ทั้งนี้ ขอเรียนว่า ก.ต.ไม่ได้ทอดทิ้ง ไม่ได้ลอยแพแต่อย่างใด" อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศาลมีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจหรือไม่ นายศรีอัมพรกล่าวว่า การทำงานมีทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งคู่ความสามารถใช้สิทธิได้หากเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งกรณีนายสุนัยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.ระบุว่าตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทำได้หรือไม่ นายศรีอัมพรกล่าวว่า ไม่ได้ เท่ากับเป็นการก้าวล่วง ไม่มีสิทธิ แค่นี้ก็ถือว่าละเมิดต่อศาลที่ใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง ทั้งนี้ ในกรณีเห็นว่าศาลปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบก็สามารถนำความมาฟ้องศาลได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม จะประชุมเพื่อหารือถึงกรณีดังกล่าวว่า ป.ป.ช.มีอำนาจที่จะตรวจสอบกรณีศาลอนุมัติออกหมายจับ เมื่อถูกผู้ที่ถูกออกหมายจับร้องเรียนหรือไม่
ที่มา:มติชนออนไลน์
ระวัง..พวกแต๋วแตกกำลังเร่งเครื่องชนเสื้อแดง!!!!
ว๊าว..ตอนนี้ทำสถิติกันยกใหญ่ เร่งเครื่องชนแหลกหวังป้ายสีให้เสื้อแดง มีทั้งกล่าวหาว่าแดงปาขี้ใส่บ้านนายก เดี๋ยวคงกล่าวหาว่าแดงขับรถปาดหน้าขบวนคุ้มกันนายก อีกทั้งเอาแท็กซี่มาก่อกวนขบวนนายก แล้วก็กล่าวหาว่ามีการวางระเบิดข้างๆศาล แหมเสื้อแดงเนี่ย ทำไมมันทำอะไรโง่ๆอย่างนี้นะ? ขำขี้แตกขี้แตน...โถ..อ้ายห่วยเอ๋ย..ทำอะไรกันก็ไม่เนียบเนียนสักอย่าง ตอนนี้เร่งทำชั่วเพื่อใส่ความเสื้อแดง มันช้าไปเสียแล้วพ่อคุณ ใครๆเขาก็รู้ว่าอ้ายมุกตื้นๆแบบนี้ แม้แต่เด็กเพิ่งหย่านม มันยังรู้ทันเลย
ว่าทำเองชงเองแล้วป้ายขี้ให้คนอื่น เหมือนที่แล้วๆมาเพื่อหวังจะให้ประชาชนเข้าข้างโธ่..เอ๋ย..น่าสมเพช..ตอนนี้ประชาชนกลับกระกระทืบซ้ำกับวิธีโง่ๆใส่ร้ายคนอื่น แล้วใหนละเงินที่ไหลมาจากตะวันออกกลาง มาเป็นท่อน้ำเลี้ยงคนเสื้อแดงยังไม่เคยมีใครเห็นสักบาท? ป้าพลอยเย้วๆมา 2 ปีแล้วแม้แต่สลึงเดียวก็ยังไม่เห็นเงาเลยว่า หน้าตาเงินท่อน้ำเลี้ยงมันเป็นอย่างไร? แล้วอ้ายพวกอัปรีย์จังไรมันใช้ปากปีจอพูดพร่ำใส่ร้ายไม่หยุด จนคนเกลียดไปทั่วกับปากเน่าๆของพวกมันนี่เอง ตอนนี้กำลังเร่งเครื่องยนต์ชนคนเสื้อแดงในเผาพวกมัน เดี๋ยวคงได้สมกับที่มันต้องการ ใช้วิธีเร่งเครื่องแบบนี้จบเร็วเลย
เฮ้อ.วิธีแบบหมาจนตรอกที่เอาออกมาใช้กำลังจะฆ่าตัวเอง ทำเองชงเองแล้วโยนความผิดให้ฝ่ายตรงกันข้าม ตอนนี้ไร้ผลเพราะทุกครั้งที่ทำเสื้อแดงจับได้ไล่ทัน ก็ออกมาบอกว่าไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อขอให้จบ มันช่างทุเรศเสียจังกับคำพูดที่ปฏิเสธอย่างหน้าด้านๆ คนด่าแช่งไปทั่ว ยังหน้าด้านหน้าทน ออกมาให้เขาด่าเป็นวัวเป็นควายทุกวัน ไม่มีความรู้สึกเลยเหลือเชื่อจริงๆ ด้านกันทั้งก๊กและก็ด้านทนยิ่งกว่าหนังช้าง ไม่เคยเลยในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ประเทศไทยจะตกอับเท่าครั้งนี้
เพราะมีพวกอัปรีย์ครองประเทศจึงพากันล่มจม ตกเหว ตกบ่อฉุดไม่ขึ้น แล้วพวกอัปรีย์มันยังช่วยกันทำต่อไป แทนที่จะหยุดแทนที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ กลับกระหน่ำลงไปอีก ช่วยกันซ้ำเติมกันเข้าไปอีก ใช้วิธีทำเองแล้วใส่ร้ายผู้อื่นกำลังออกมาอาระวาด คงคิดว่าคนไทยยังโง่เป็นควายก็ทำมันเข้าไป คนที่ถูกมองอย่างเกลียดชังไม่ใช่ฝ่ายเสื้อแดง แต่เป็นฝ่ายคนที่กระทำ แล้วจะเห็นคนสีแดงออกมามากกว่าเดิมเพราะทนกันไม่ได้กับการถูกกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว ตอนนี้ให้ระวังการปลอมเป็นเสื้อแดง แล้วทำการชั่วๆจากนั้นใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้กระทำ เนื่องจากตอนนี้ภาพลักษณ์ของคนที่อยู่เบื้องหลังเสื่อมสลายลง ตอนนี้สู้แบบสุนัขบ้าคือชนดะก่อนที่จะสิ้นใจไปเองเพราะพิษบ้าที่รุมตัวเองกำลังสุกงอมอย่างหนัก แล้วเราก็จะได้เห็นในเวลาอันใกล้นี้
ที่มา:konthaiuk
โดย:ป้าพลอย
ว่าทำเองชงเองแล้วป้ายขี้ให้คนอื่น เหมือนที่แล้วๆมาเพื่อหวังจะให้ประชาชนเข้าข้างโธ่..เอ๋ย..น่าสมเพช..ตอนนี้ประชาชนกลับกระกระทืบซ้ำกับวิธีโง่ๆใส่ร้ายคนอื่น แล้วใหนละเงินที่ไหลมาจากตะวันออกกลาง มาเป็นท่อน้ำเลี้ยงคนเสื้อแดงยังไม่เคยมีใครเห็นสักบาท? ป้าพลอยเย้วๆมา 2 ปีแล้วแม้แต่สลึงเดียวก็ยังไม่เห็นเงาเลยว่า หน้าตาเงินท่อน้ำเลี้ยงมันเป็นอย่างไร? แล้วอ้ายพวกอัปรีย์จังไรมันใช้ปากปีจอพูดพร่ำใส่ร้ายไม่หยุด จนคนเกลียดไปทั่วกับปากเน่าๆของพวกมันนี่เอง ตอนนี้กำลังเร่งเครื่องยนต์ชนคนเสื้อแดงในเผาพวกมัน เดี๋ยวคงได้สมกับที่มันต้องการ ใช้วิธีเร่งเครื่องแบบนี้จบเร็วเลย
เฮ้อ.วิธีแบบหมาจนตรอกที่เอาออกมาใช้กำลังจะฆ่าตัวเอง ทำเองชงเองแล้วโยนความผิดให้ฝ่ายตรงกันข้าม ตอนนี้ไร้ผลเพราะทุกครั้งที่ทำเสื้อแดงจับได้ไล่ทัน ก็ออกมาบอกว่าไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อขอให้จบ มันช่างทุเรศเสียจังกับคำพูดที่ปฏิเสธอย่างหน้าด้านๆ คนด่าแช่งไปทั่ว ยังหน้าด้านหน้าทน ออกมาให้เขาด่าเป็นวัวเป็นควายทุกวัน ไม่มีความรู้สึกเลยเหลือเชื่อจริงๆ ด้านกันทั้งก๊กและก็ด้านทนยิ่งกว่าหนังช้าง ไม่เคยเลยในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ประเทศไทยจะตกอับเท่าครั้งนี้
เพราะมีพวกอัปรีย์ครองประเทศจึงพากันล่มจม ตกเหว ตกบ่อฉุดไม่ขึ้น แล้วพวกอัปรีย์มันยังช่วยกันทำต่อไป แทนที่จะหยุดแทนที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ กลับกระหน่ำลงไปอีก ช่วยกันซ้ำเติมกันเข้าไปอีก ใช้วิธีทำเองแล้วใส่ร้ายผู้อื่นกำลังออกมาอาระวาด คงคิดว่าคนไทยยังโง่เป็นควายก็ทำมันเข้าไป คนที่ถูกมองอย่างเกลียดชังไม่ใช่ฝ่ายเสื้อแดง แต่เป็นฝ่ายคนที่กระทำ แล้วจะเห็นคนสีแดงออกมามากกว่าเดิมเพราะทนกันไม่ได้กับการถูกกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว ตอนนี้ให้ระวังการปลอมเป็นเสื้อแดง แล้วทำการชั่วๆจากนั้นใส่ร้ายว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้กระทำ เนื่องจากตอนนี้ภาพลักษณ์ของคนที่อยู่เบื้องหลังเสื่อมสลายลง ตอนนี้สู้แบบสุนัขบ้าคือชนดะก่อนที่จะสิ้นใจไปเองเพราะพิษบ้าที่รุมตัวเองกำลังสุกงอมอย่างหนัก แล้วเราก็จะได้เห็นในเวลาอันใกล้นี้
ที่มา:konthaiuk
โดย:ป้าพลอย
วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ผายลม ทาง "ปาก" ปฏิบัติการ "ป้องปราม" จากเหล่า "โฆษก"
ทั้งๆ ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมายอมรับเรื่อง การโอนเงิน การขนเงินสด เข้ามาในประเทศ
"ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เลย ในที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงที่สนามบินดอนเมืองที่ผ่านมาก็ไม่มีการรายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด"
แต่ดูเหมือน นายเทพไท เสนพงศ์ จะรู้อะไรลึกกว่า
"รัฐบาลได้รับรายงานว่ามีการเคลื่อนไหวของเงินมากผิดปกติในช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมาจึงได้ติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ข้อมูลเกี่ยวข้องกับความมั่นคงจึงไม่สามารถเอาหลักฐานมาเปิดเผยต่อสาธารณะได้"
ลึกกว่าในฐานะที่ นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
นี่ย่อมมีสถานะเหนือกว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างแน่นอน
เพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เสมอเป็นเพียง รองนายกรัฐมนตรี
ต้องยอมรับว่ากระบวนการ "รายงาน" ในยุคที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีดำเนินไปอย่างสลับซับซ้อน
แทนที่ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงจะได้รับรู้
ตรงกันข้าม กระบวนการ "รายงาน" ผ่านไปยังหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจึงให้โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำมาเปิดเผย
หากกระบวนการ "รายงาน" ในเรื่องลับๆ ไม่ดำเนินไปอย่างยอกย้อน
ไฉนพรรคประชาธิปัตย์จึงจะรับรู้เรื่องการโอนเงินและขนเงินสดๆ หลายหมื่นล้านบาทผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านอดีตรัฐมนตรีชื่อย่อ ส ชื่อย่อ พ
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านนักธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง ป ผ่านเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อ ส และทนายความชื่อย่อ ว เป็นคนทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์
เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่รู้ แต่พรรคประชาธิปัตย์รู้
อย่าว่าแต่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์จะไม่รู้เลย
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก็ไม่รู้
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ไม่รู้
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่รู้
ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรและเครื่องตรวจสอบ ซีทีเอ็กซ์ อยู่ในมือก็ไม่รู้
แต่ นายปณิธาน วัฒนายากร รู้
แต่ นายเทพไท เสนพงศ์ รู้
นี่ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการบริหาร "ข่าวกรอง" และธุรกรรมทางการเงินจะมีปัญหาเท่านั้น หากแม้กระทั่งกระบวนการบริหาร "บ้านเมือง" โดยผ่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็มีปัญหา
เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งเมื่อมองผ่านกระบวนการบริหารจัดการ
ประเด็นที่เสนอเข้ามาก็คือ แล้วชาวบ้านทั่วไปจะเชื่อถือ "ข่าว" ที่มาจากไหน
เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกรัฐบาล เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเชื่อถือข่าวจากปากรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
หรือว่าที่เห็นและเป็นอยู่เสมอเป็นเพียงอาการผายลมทางปาก
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
"ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เลย ในที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงที่สนามบินดอนเมืองที่ผ่านมาก็ไม่มีการรายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด"
แต่ดูเหมือน นายเทพไท เสนพงศ์ จะรู้อะไรลึกกว่า
"รัฐบาลได้รับรายงานว่ามีการเคลื่อนไหวของเงินมากผิดปกติในช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมาจึงได้ติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ข้อมูลเกี่ยวข้องกับความมั่นคงจึงไม่สามารถเอาหลักฐานมาเปิดเผยต่อสาธารณะได้"
ลึกกว่าในฐานะที่ นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
นี่ย่อมมีสถานะเหนือกว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างแน่นอน
เพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เสมอเป็นเพียง รองนายกรัฐมนตรี
ต้องยอมรับว่ากระบวนการ "รายงาน" ในยุคที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีดำเนินไปอย่างสลับซับซ้อน
แทนที่ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงจะได้รับรู้
ตรงกันข้าม กระบวนการ "รายงาน" ผ่านไปยังหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจึงให้โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำมาเปิดเผย
หากกระบวนการ "รายงาน" ในเรื่องลับๆ ไม่ดำเนินไปอย่างยอกย้อน
ไฉนพรรคประชาธิปัตย์จึงจะรับรู้เรื่องการโอนเงินและขนเงินสดๆ หลายหมื่นล้านบาทผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านอดีตรัฐมนตรีชื่อย่อ ส ชื่อย่อ พ
ทั้งบอกด้วยว่าการโอนเงินผ่านนักธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง ป ผ่านเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อ ส และทนายความชื่อย่อ ว เป็นคนทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์
เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไม่รู้ แต่พรรคประชาธิปัตย์รู้
อย่าว่าแต่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์จะไม่รู้เลย
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก็ไม่รู้
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ไม่รู้
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่รู้
ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรและเครื่องตรวจสอบ ซีทีเอ็กซ์ อยู่ในมือก็ไม่รู้
แต่ นายปณิธาน วัฒนายากร รู้
แต่ นายเทพไท เสนพงศ์ รู้
นี่ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการบริหาร "ข่าวกรอง" และธุรกรรมทางการเงินจะมีปัญหาเท่านั้น หากแม้กระทั่งกระบวนการบริหาร "บ้านเมือง" โดยผ่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็มีปัญหา
เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งเมื่อมองผ่านกระบวนการบริหารจัดการ
ประเด็นที่เสนอเข้ามาก็คือ แล้วชาวบ้านทั่วไปจะเชื่อถือ "ข่าว" ที่มาจากไหน
เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกรัฐบาล เชื่อถือข่าวจากปากโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเชื่อถือข่าวจากปากรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
หรือว่าที่เห็นและเป็นอยู่เสมอเป็นเพียงอาการผายลมทางปาก
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
เผือกร้อนระดับโลก
คงไม่มีให้เห็นกันบ่อยๆ เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ด้วยเหตุผลเพื่อผลประ โยชน์ประเทศชาติ แถมอ้างอิงถึงมติขององค์การสหประชาชาติด้วยอีกต่างหาก
แต่ในความเป็นจริง พอจะรู้กันอยู่ว่า การจับกุมเครื่องบินขนอาวุธสงครามจำนวนมหึมาถึง 40 ตัน พร้อมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 5 รายนั้น
คือเผือกร้อนก้อนใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าประเทศไทยเอามากอดเอาไว้ทำไมตั้งแต่แรก!?
พูดง่ายๆ ว่า ไม่ควรแม้แต่จะคิดว่าจะจับกุม
ใครคือคนเริ่มต้นที่สั่งให้จับกุม ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้ตัวหรือยัง ว่าได้สร้างปัญหายิ่งใหญ่และยุ่งเหยิงให้กับประเทศชาติขนาดไหน
ดังนั้น ทางสุดท้ายที่ไม่มีให้เลือกสำหรับอัยการก็คือ การสั่งไม่ฟ้อง
ไม่ฟ้องเพื่อชาติ!
แม้ว่าการตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ จะทำให้เกิดปัญหาด้านบรรทัดฐานอะไรต่อมิอะไรตามมาอีก
แต่คงไม่มีทางออกที่ดีไปกว่านี้
ขั้นตอนต่อไปเมื่อจบสิ้นกระบวนการด้านกฎ หมายของเรา คืออัยการส่งเรื่องให้ผบ.ตร.พิจารณาโต้แย้งหรือไม่ ถ้าสุดท้ายจบหมด
คงต้องรีบปล่อยตัว 5 ผู้ต้องหานักขนอาวุธต่างชาติดังกล่าวไป
ส่วนของกลางทั้งเครื่องบินลำใหญ่โต อาวุธ ร้ายแรง ขีปนาวุธสารพัด คงต้องรอให้เจ้าของมาแสดงตัวเพื่อรับคืนไป
ของกลางพวกนี้ ก่อปัญหาให้เราตั้งแต่แรกเริ่มที่ไปจับกุมแล้ว ต้องนำไปเก็บรักษาที่คลังแสง ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายดูแลรักษา
ยุ่งเหยิงที่สุด คือการกักตัวผู้ต้องหาและอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ เหมือนตัวล่อเป้าชั้นดี สุ่มเสี่ยงอย่างมาก!
วิธีการอันชาญฉลาด ที่เจ้าหน้าที่ไทยเคยทำมาก่อนและทั่วโลกเขาก็ใช้กัน
นั่นคือเมื่อพบว่าเข้ามาในบ้านเรา ก็รีบผลักดันออกไปให้พ้นๆ เสีย
ไม่รู้คนที่สั่งจับ คิดว่าจะได้หน้าได้ตา จะเอาใจพี่เบิ้มอเมริกา
หรือว่าพี่เขาชี้นิ้วสั่งมา!?!
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ :ทิ้งหมัดเข้ามุม
แต่ในความเป็นจริง พอจะรู้กันอยู่ว่า การจับกุมเครื่องบินขนอาวุธสงครามจำนวนมหึมาถึง 40 ตัน พร้อมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 5 รายนั้น
คือเผือกร้อนก้อนใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าประเทศไทยเอามากอดเอาไว้ทำไมตั้งแต่แรก!?
พูดง่ายๆ ว่า ไม่ควรแม้แต่จะคิดว่าจะจับกุม
ใครคือคนเริ่มต้นที่สั่งให้จับกุม ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้ตัวหรือยัง ว่าได้สร้างปัญหายิ่งใหญ่และยุ่งเหยิงให้กับประเทศชาติขนาดไหน
ดังนั้น ทางสุดท้ายที่ไม่มีให้เลือกสำหรับอัยการก็คือ การสั่งไม่ฟ้อง
ไม่ฟ้องเพื่อชาติ!
แม้ว่าการตัดสินใจสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ จะทำให้เกิดปัญหาด้านบรรทัดฐานอะไรต่อมิอะไรตามมาอีก
แต่คงไม่มีทางออกที่ดีไปกว่านี้
ขั้นตอนต่อไปเมื่อจบสิ้นกระบวนการด้านกฎ หมายของเรา คืออัยการส่งเรื่องให้ผบ.ตร.พิจารณาโต้แย้งหรือไม่ ถ้าสุดท้ายจบหมด
คงต้องรีบปล่อยตัว 5 ผู้ต้องหานักขนอาวุธต่างชาติดังกล่าวไป
ส่วนของกลางทั้งเครื่องบินลำใหญ่โต อาวุธ ร้ายแรง ขีปนาวุธสารพัด คงต้องรอให้เจ้าของมาแสดงตัวเพื่อรับคืนไป
ของกลางพวกนี้ ก่อปัญหาให้เราตั้งแต่แรกเริ่มที่ไปจับกุมแล้ว ต้องนำไปเก็บรักษาที่คลังแสง ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายดูแลรักษา
ยุ่งเหยิงที่สุด คือการกักตัวผู้ต้องหาและอาวุธมหาประลัยเหล่านี้ เหมือนตัวล่อเป้าชั้นดี สุ่มเสี่ยงอย่างมาก!
วิธีการอันชาญฉลาด ที่เจ้าหน้าที่ไทยเคยทำมาก่อนและทั่วโลกเขาก็ใช้กัน
นั่นคือเมื่อพบว่าเข้ามาในบ้านเรา ก็รีบผลักดันออกไปให้พ้นๆ เสีย
ไม่รู้คนที่สั่งจับ คิดว่าจะได้หน้าได้ตา จะเอาใจพี่เบิ้มอเมริกา
หรือว่าพี่เขาชี้นิ้วสั่งมา!?!
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ :ทิ้งหมัดเข้ามุม
สายตรงทักษิณออกโรง! เตือน'แดง'อย่าตกเป็น'เหยื่อ' 111รอหวนคืนทางการเมือง
“สายตรงทักษิณ” ออกโรง “หญิงหน่อย” ชี้คดียึดทรัพย์ หากตัดสินโดยยึดหลักกฎหมายและนิติธรรม
เชื่อทุกฝ่ายยอมรับได้ เตือนเสื้อแดงอย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง
ด้าน “ภูมิธรรม” เปิดตัว “สถาบันสร้างสานอนาคตไทย” รวม “111 ทรท.” รอหวนคืนการเมือง
พร้อมอาสาป้องกันชาติ ขอเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศ
วันที่ 12 ก.พ. 2553 ที่ห้องอาหารจีน โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และครอบครัวว่า
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกร่วมกับคนไทยส่วนใหญ่ รู้สึกกลุ้มใจและหนักใจกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ และต้องยอมรับ
ความจริงว่า การตัดสินคดียึดทรัพย์เป็นปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญ ตนอยากให้มองส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ตัดสินด้วยหลักความยุติธรรม
อย่างแท้จริงและสามารถอธิบายกับสาธารณะได้ ไม่ว่าท้ายที่สุดคำตัดสินจะยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ ก็ต้องอธิบายต่อสาธารณะได้
ตามหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม แม้จะเป็นที่แน่นอนว่าคำตัดสินย่อมมีทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าตัดสินด้วยหลักกฎหมาย
หลักนิติธรรมย่อมเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความวิตกว่าจะนำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงหรือไม่
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า หากทุกฝ่ายใช้สติ เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ กลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องพยายาม
อย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง ส่วนรัฐบาลต้องไม่ใช้กำลัง เพราะจะทำให้เกิดการบานปลาย
โดยเฉพาะข่าวปฏิวัติ จะยิ่งทำให้ประเทศถอยหลังอยู่ในหลุมดำอีกยาวนาน และนายกรัฐมนตรีต้องเป็นนายกฯของประเทศไทย
แต่ตามที่ตนได้เฝ้าดูก็รู้สึกหนักใจเหมือนกัน เพราะบางทีรัฐบาลก็ไม่เป็นกลางเสียเอง ด้วยการออกมาประโคมข่าวให้ร้ายอีกฝ่าย
มากเกินไป
รัฐบาลต้องมีวุฒิภาวะพอ โดยทำให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์ ตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ทั้งนี้เห็นว่าหากเกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมก็จะเกิดความสงบได้ ท่ามกลางวิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวาน
ใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วนกรณีที่มีรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงอักษรย่อซึ่งเป็นเส้นทางเงินสนับสนุนเสื้อแดงนั้น ก็น่าจะบอกให้ชัด
เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ตนเองแน่นอน
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กล่าว เปิดตัวสถาบันสร้างสานอนาคตไทย
โดยระบุถึงที่มาและวัตถุประสงค์ว่า
เป็นการรวมตัวของนักการเมืองจากที่เป็น 111 ไทยรักไทยและ 109 ที่ถูกตัดสิทธิการเมือง รวมกับกลุ่มวิชาชีพต่างๆ เช่น
นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีประสบการณ์และศักยภาพ เพื่อระดมความคิดช่วยหาทางออกให้ประเทศ
เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้น่าเป็นห่วงและปัญหามีความซับซ้อน จึงคิดว่าพวกตนน่าจะทำประโยชน์ให้ประเทศได้บ้าง
โดยจะออกมานำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์ต่อสังคมเป็นระยะ อาจจะเป็น 1 ปีต่อ 1 ครั้ง หรืออย่างมากก็ 2-3 เดือนต่อ 1 ครั้ง
ซึ่งจะแถลงเปิดตัวเป็นทางการในเร็วๆ นี้
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนน่าจะรับรู้ได้ว่า ปัญหาที่คาอกอยู่ คือปัญหาคอร์รัปชั่นจำนวนมาก ดังนั้นพวกตนขออาสา
สมัครป้องกันชาติ และเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศไทย ทำให้คอร์รัปชั่นน้อยลง ด้วยการเป็นสื่อกลางนำข้อมูลที่ได้รับจากประชาชน
และจากข้าราชการกระทรวง ต่างๆ ที่แต่ละคนเคยทำงาน มานำเสนอต่อสื่อมวลชนและสาธารณะรับทราบ
นอกจากนี้ จะมีการศึกษานโยบายเพื่อเป็นทางออกของประเทศ ซึ่ง 2 ปีข้างหน้าที่พวกตนจะพ้นจากการถูกตัดสิทธิ
ก็น่าจะขบคิดทำอะไรให้ประโยชน์ให้ประเทศชาติได้บ้าง จากนั้นเมื่อพ้นจากการจองจำ ก็น่าจะกลับมาแสดงบทบาทต่างๆได้
ส่วนรัฐบาลวันนี้รัฐบาลยังบริหารด้วยคำพูดมากกว่าการกระทำ นายกรัฐมนตรียังบริหารด้วยปาฐกถา และถ้าอยากให้เกิดความสามัคคี
ในชาติ บรรดาโฆษกส่วนตัวนายกฯและรัฐบาลต้องพูด ให้น้อยลง แต่ระมัดระวังและทำงานให้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถาบันดังกล่าวจะกลายเป็นกลุ่มทางการเมืองในอนาคตหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็อยู่ที่ความประสงค์ของประชาชน
ที่มา.konthaiuk
*****************************************************************************
เชื่อทุกฝ่ายยอมรับได้ เตือนเสื้อแดงอย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง
ด้าน “ภูมิธรรม” เปิดตัว “สถาบันสร้างสานอนาคตไทย” รวม “111 ทรท.” รอหวนคืนการเมือง
พร้อมอาสาป้องกันชาติ ขอเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศ
วันที่ 12 ก.พ. 2553 ที่ห้องอาหารจีน โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และครอบครัวว่า
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกร่วมกับคนไทยส่วนใหญ่ รู้สึกกลุ้มใจและหนักใจกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ และต้องยอมรับ
ความจริงว่า การตัดสินคดียึดทรัพย์เป็นปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญ ตนอยากให้มองส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ตัดสินด้วยหลักความยุติธรรม
อย่างแท้จริงและสามารถอธิบายกับสาธารณะได้ ไม่ว่าท้ายที่สุดคำตัดสินจะยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ ก็ต้องอธิบายต่อสาธารณะได้
ตามหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม แม้จะเป็นที่แน่นอนว่าคำตัดสินย่อมมีทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าตัดสินด้วยหลักกฎหมาย
หลักนิติธรรมย่อมเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความวิตกว่าจะนำไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงหรือไม่
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า หากทุกฝ่ายใช้สติ เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ก็จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ กลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องพยายาม
อย่าหลงกลเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง ส่วนรัฐบาลต้องไม่ใช้กำลัง เพราะจะทำให้เกิดการบานปลาย
โดยเฉพาะข่าวปฏิวัติ จะยิ่งทำให้ประเทศถอยหลังอยู่ในหลุมดำอีกยาวนาน และนายกรัฐมนตรีต้องเป็นนายกฯของประเทศไทย
แต่ตามที่ตนได้เฝ้าดูก็รู้สึกหนักใจเหมือนกัน เพราะบางทีรัฐบาลก็ไม่เป็นกลางเสียเอง ด้วยการออกมาประโคมข่าวให้ร้ายอีกฝ่าย
มากเกินไป
รัฐบาลต้องมีวุฒิภาวะพอ โดยทำให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์ ตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ทั้งนี้เห็นว่าหากเกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมก็จะเกิดความสงบได้ ท่ามกลางวิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวาน
ใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วนกรณีที่มีรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงอักษรย่อซึ่งเป็นเส้นทางเงินสนับสนุนเสื้อแดงนั้น ก็น่าจะบอกให้ชัด
เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ตนเองแน่นอน
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กล่าว เปิดตัวสถาบันสร้างสานอนาคตไทย
โดยระบุถึงที่มาและวัตถุประสงค์ว่า
เป็นการรวมตัวของนักการเมืองจากที่เป็น 111 ไทยรักไทยและ 109 ที่ถูกตัดสิทธิการเมือง รวมกับกลุ่มวิชาชีพต่างๆ เช่น
นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีประสบการณ์และศักยภาพ เพื่อระดมความคิดช่วยหาทางออกให้ประเทศ
เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้น่าเป็นห่วงและปัญหามีความซับซ้อน จึงคิดว่าพวกตนน่าจะทำประโยชน์ให้ประเทศได้บ้าง
โดยจะออกมานำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์ต่อสังคมเป็นระยะ อาจจะเป็น 1 ปีต่อ 1 ครั้ง หรืออย่างมากก็ 2-3 เดือนต่อ 1 ครั้ง
ซึ่งจะแถลงเปิดตัวเป็นทางการในเร็วๆ นี้
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนน่าจะรับรู้ได้ว่า ปัญหาที่คาอกอยู่ คือปัญหาคอร์รัปชั่นจำนวนมาก ดังนั้นพวกตนขออาสา
สมัครป้องกันชาติ และเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ประเทศไทย ทำให้คอร์รัปชั่นน้อยลง ด้วยการเป็นสื่อกลางนำข้อมูลที่ได้รับจากประชาชน
และจากข้าราชการกระทรวง ต่างๆ ที่แต่ละคนเคยทำงาน มานำเสนอต่อสื่อมวลชนและสาธารณะรับทราบ
นอกจากนี้ จะมีการศึกษานโยบายเพื่อเป็นทางออกของประเทศ ซึ่ง 2 ปีข้างหน้าที่พวกตนจะพ้นจากการถูกตัดสิทธิ
ก็น่าจะขบคิดทำอะไรให้ประโยชน์ให้ประเทศชาติได้บ้าง จากนั้นเมื่อพ้นจากการจองจำ ก็น่าจะกลับมาแสดงบทบาทต่างๆได้
ส่วนรัฐบาลวันนี้รัฐบาลยังบริหารด้วยคำพูดมากกว่าการกระทำ นายกรัฐมนตรียังบริหารด้วยปาฐกถา และถ้าอยากให้เกิดความสามัคคี
ในชาติ บรรดาโฆษกส่วนตัวนายกฯและรัฐบาลต้องพูด ให้น้อยลง แต่ระมัดระวังและทำงานให้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถาบันดังกล่าวจะกลายเป็นกลุ่มทางการเมืองในอนาคตหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็อยู่ที่ความประสงค์ของประชาชน
ที่มา.konthaiuk
*****************************************************************************
ยึดไม่ให้เหลืออะไรที่ตระกูลชินวัตรมี!!!???
แต่เที่ยวนี้ผมอยากแชร์ความสงสัยบางประการ จากการถกเถียงกันมาพอสมควรว่า เงิน 76,000 ล้านจะถูกยึดหมดทั้งก้อนหรือไม่?
ในความคิดของผมนั้น ผมคิดว่าการยึดทรัพย์คุณทักษิณครั้งนี้
ไม่ใช่ยึดแค่บางส่วน
ไม่ใช่ยึดแค่ทั้งก้อน
แต่น่าจะยึดมากกว่านั้น คือมากกว่า 76,000 ล้าน ยึดให้หมดเท่าที่ครอบครัวชินวัตรยังมี พูดง่ายๆ คือเอากันให้ตายกันไปข้างนึงเลย
ผลการพิจารณาหรือพิพากษา มันสามารถจะออกมาได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด และยิ่งมีอัยการออกมาพูดว่าหลักฐานบางอย่างเกี่ยวข้องกับคดีซุกหุ้น หากผิดจริงสามารถเอาผิดเพิ่มขึ้นและติดคุกเพิ่มได้อีกนี่ยิ่งทำให้น่าสงสัย
หากย้อนไปก่อนหน้านี้มีใครบางคนพูดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมูลค่ามากกว่า 76,000 ล้าน
ก่อนหน้านี้ มีการพิทักษ์ทรัพย์กรณีที่ดินรัชดา
ก่อนหน้านี้มีการจุดประเด็น ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
จากสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมเริ่มเกิดความสงสัยตามมา
ผมกำลังสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่า คำวินิจฉัยอาจจะออกมาในระดับที่รุนแรงถึงรุนแรงมาก
มากในระดับที่ 76,000 ล้านที่อายัดไว้ อาจจะไม่พอให้ยึด อาจจะมีการตีค่าความเสียหายสูงยิ่งกว่าเงินก้อนนี้และจะนำมาสู่การยึดทรัพย์ อื่นๆที่ได้มาอย่างสุจริตของตระกูลชินวัตร
ทรัพย์ใดๆที่ครอบครัวชินวัตรครอบครองอยู่และไม่เกี่ยวข้องกับคดี อาจจะถูกยึดเพิ่มเพื่อนำมาชดใช้ความเสียหายที่ตีมูลค่าสูงจนเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นบัญชี เงินฝาก ที่ดิน อาคาร หรือทรัพย์สินอื่นๆ พูดง่ายๆว่าอะไรที่ยังมีอยู่ถ้ายึดได้ก็จะถูกยึดทั้งหมด
ถามว่าเพื่ออะไร? ก็เพื่อเหยียบทักษิณให้จม ให้ทักษิณไม่เหลืออะไรในประเทศนี้อีก
"อาจจะ" เพื่อล้างแค้นที่สูญเสียบ้านพักบนยอดเขา เอาคืนที่คนเสื้อแดงบุกเขาสอยดาวจนนายทุนอำมาตย์ยับเยินจนหมดความน่าเชื่อถือ
การตัดสินอาจเกิดการขยายผลในคดีอื่นเพื่อมิให้โอกาสที่ทักษิณจะกลับมาเหยียบประเทศไทยในขณะที่พวกเขายังมีอำนาจอยู่
ผมเชื่อ เชื่อในความอำมหิตของคนพวกนี้ อะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น ขนาดสุมหัวกันคิดวางแผนฆ่าเขายังกล้าคิด และกล้าทำ
กะอีแค่เหยียบครอบครัวชินวัตรให้จมด้วยอำนาจตุลาการ ให้สาสมกับที่คุณทักษิณบังอาจคิดสู้ไม่เลิก แค่นี้ทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ผมคิดและสงสัยจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ทางเดียวที่คุณทักษิณจะได้ทรัพย์สินคืน ทางนั้นมีอยู่ทางเดียว
นั่นคือ การนำอธิปไตยให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ท้องฟ้าต้องสาดแสงสีทองผ่องอำไพ หากยังสาดเพียงแค่แสงสีเหลืองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวี่วัน ก็ไม่มีทางที่คุณทักษิณจะได้รับทรัพย์สินและความชอบธรรมกลับคืนมา
เพราะความหวังทั้งหมดของคุณทักษิณ มันผูกอยู่กับชัยชนะของประชาชน
และ "อำมาตย์" คือสถานะที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสถานะ "พลเมือง" ได้ นี่คือสมการที่เราปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว
ฉากสุดท้าย ถ้าเราชนะเขา "ไม่หมด"
มันก็ไม่ต่างอะไรจาก "เราไม่ได้ชนะ" นั่นเอง
ที่มา :thaifreenews
โดย. ป้าพลอย
ในความคิดของผมนั้น ผมคิดว่าการยึดทรัพย์คุณทักษิณครั้งนี้
ไม่ใช่ยึดแค่บางส่วน
ไม่ใช่ยึดแค่ทั้งก้อน
แต่น่าจะยึดมากกว่านั้น คือมากกว่า 76,000 ล้าน ยึดให้หมดเท่าที่ครอบครัวชินวัตรยังมี พูดง่ายๆ คือเอากันให้ตายกันไปข้างนึงเลย
ผลการพิจารณาหรือพิพากษา มันสามารถจะออกมาได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด และยิ่งมีอัยการออกมาพูดว่าหลักฐานบางอย่างเกี่ยวข้องกับคดีซุกหุ้น หากผิดจริงสามารถเอาผิดเพิ่มขึ้นและติดคุกเพิ่มได้อีกนี่ยิ่งทำให้น่าสงสัย
หากย้อนไปก่อนหน้านี้มีใครบางคนพูดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมูลค่ามากกว่า 76,000 ล้าน
ก่อนหน้านี้ มีการพิทักษ์ทรัพย์กรณีที่ดินรัชดา
ก่อนหน้านี้มีการจุดประเด็น ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
จากสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมเริ่มเกิดความสงสัยตามมา
ผมกำลังสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่า คำวินิจฉัยอาจจะออกมาในระดับที่รุนแรงถึงรุนแรงมาก
มากในระดับที่ 76,000 ล้านที่อายัดไว้ อาจจะไม่พอให้ยึด อาจจะมีการตีค่าความเสียหายสูงยิ่งกว่าเงินก้อนนี้และจะนำมาสู่การยึดทรัพย์ อื่นๆที่ได้มาอย่างสุจริตของตระกูลชินวัตร
ทรัพย์ใดๆที่ครอบครัวชินวัตรครอบครองอยู่และไม่เกี่ยวข้องกับคดี อาจจะถูกยึดเพิ่มเพื่อนำมาชดใช้ความเสียหายที่ตีมูลค่าสูงจนเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นบัญชี เงินฝาก ที่ดิน อาคาร หรือทรัพย์สินอื่นๆ พูดง่ายๆว่าอะไรที่ยังมีอยู่ถ้ายึดได้ก็จะถูกยึดทั้งหมด
ถามว่าเพื่ออะไร? ก็เพื่อเหยียบทักษิณให้จม ให้ทักษิณไม่เหลืออะไรในประเทศนี้อีก
"อาจจะ" เพื่อล้างแค้นที่สูญเสียบ้านพักบนยอดเขา เอาคืนที่คนเสื้อแดงบุกเขาสอยดาวจนนายทุนอำมาตย์ยับเยินจนหมดความน่าเชื่อถือ
การตัดสินอาจเกิดการขยายผลในคดีอื่นเพื่อมิให้โอกาสที่ทักษิณจะกลับมาเหยียบประเทศไทยในขณะที่พวกเขายังมีอำนาจอยู่
ผมเชื่อ เชื่อในความอำมหิตของคนพวกนี้ อะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น ขนาดสุมหัวกันคิดวางแผนฆ่าเขายังกล้าคิด และกล้าทำ
กะอีแค่เหยียบครอบครัวชินวัตรให้จมด้วยอำนาจตุลาการ ให้สาสมกับที่คุณทักษิณบังอาจคิดสู้ไม่เลิก แค่นี้ทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ผมคิดและสงสัยจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ทางเดียวที่คุณทักษิณจะได้ทรัพย์สินคืน ทางนั้นมีอยู่ทางเดียว
นั่นคือ การนำอธิปไตยให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ท้องฟ้าต้องสาดแสงสีทองผ่องอำไพ หากยังสาดเพียงแค่แสงสีเหลืองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวี่วัน ก็ไม่มีทางที่คุณทักษิณจะได้รับทรัพย์สินและความชอบธรรมกลับคืนมา
เพราะความหวังทั้งหมดของคุณทักษิณ มันผูกอยู่กับชัยชนะของประชาชน
และ "อำมาตย์" คือสถานะที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสถานะ "พลเมือง" ได้ นี่คือสมการที่เราปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว
ฉากสุดท้าย ถ้าเราชนะเขา "ไม่หมด"
มันก็ไม่ต่างอะไรจาก "เราไม่ได้ชนะ" นั่นเอง
ที่มา :thaifreenews
โดย. ป้าพลอย
ทักษิณเขาไม่ต้องการคุยกับท่าน "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" ต่างหากที่คุกคามเขา
ผมเพิ่งฟังคุณทักษิณพูดว่า พร้อมที่จะคุยด้วย เป็นคนคุยง่าย และคุณทักษิณเป็นหนูที่เขาเผาบ้านเพื่อไล่ฆ่า
คุณทักษิณยังงงๆ อยู่ว่าเพื่อฆ่าหนูตัวเล็กๆ ตัวเดียว ทำไมต้องเผาบ้าน และท่านก็เป็นคนคุยง่าย ไม่ยากอะไร ทำไมพวกเขาต้องทำลายระบบทุกอย่าง เพื่อจัดการคนๆ เดียว
ผมขอบอกนะครับ "พวกเขาไม่ได้ต้องการจ้ัดการ ตัวท่านทักษิณ" แต่สิ่งที่คุกคามพวกเขาหรือ ระบอบอำมาตยาธิปไตยเลยก็ว่าได้คือ "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" จะรวมๆ เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" อะไรก็แล้วแต่
ระบอบทักษิณ คือ ระบบการคิด ที่คุกคาม ระบอบอำมาตยาธิปไตยครับ
เหมือนมาร์กซิสต์ ตัวของ มาร์กเอง คงคุกคามใครไม่ได้ แต่ "แนวคิดของมาร์กต่างหาก" ที่คุกคามระบอบทุกนิยม ระบอบทุนนิยม เลยต้องสู้กับมาร์กซิสต์ (ที่เป็นระบอบ ไม่ใช่ตัวคาล มาร์ก)
มาร์กซิสต์ มันชัดเจนที่แนวคิด
แต่ ระบอบทักษิณเกียรติภูมิทักษิณ มันผูกพันกับตัวท่านด้วย พวกเขาจะทำลายระบอบทักษิณ ต้องทำลายชื่อเสียงของท่านเสียก่อน เพื่อไม่ให้มีคนนิยม เพราะหากไม่มีคนนิยม มันก็ไม่คุกคามต่อระบอบอำมาตย์ฯ
ดังนั้น ท่านจะเจรจา อยากคุยหรือไม่ มันไม่สำคัญ สำคัญคือ พวกเขาจะกำจัด การคุกคามของระบอบทักษิณออกไปได้อย่างไร ไม่ทำลายชื่อเสียง เกียรติภูมิ ชีวิตของท่านแล้ว มันจะกำจัดไปได้อย่างไร
นี่เป็นผลสืบเนื่อง
ระบอบทักษิณ คืออะไร มันก็รวมๆ คือสิ่งที่ "คนรากหญ้าต้องการอยู่ทุกวันนี้แหละครับ" คือสิ่งที่ท่านทำตอนเป็นรัฐบาลและคนนิยมนั่นแหละครับ
มันทำให้คนรากหญ้าตื่น และ "นิยมทักษิณมากเกินไป" จนคุกคามต่อสถานภาพของ "คนบางกลุ่มบางคน"
ท่านต้องตาย และเสียชื่อ พวกเขาจึงจะยอมครับ
ท่านมีทางเลือกสองทางในวิกฤติครั้งนี้คือ
สู้ให้ชนะ
หรือยอมให้เขาฆ่าครับ
ไม่มีเส้นทางสายอื่นหรอกครับ
หากท่านเหนื่อย และเบื่อ อยากจบ ก็ยอมให้พวกเขาฆ่าเสีย มันก็จบ กลับมาติดคุกก็ไม่ได้ครับ เพราะประชาชน ก็จะเดินขบวนประท้วง คนเสื้อแดงก็จะช่วยท่านอีก ต้องตายอย่างเดียวครับ ที่จริงตายก็ไม่พอ ต้องทำให้คนเกลียดชัง ด้วย พวกเขาจึงจะกำจัดการคุกคามของระบอบทักษิณ ต่อระบอบอำมาตย์ได้
ท่านอยู่ต่างประเทศตลอดไปก็คงไม่ได้ ก็ยังเป็นภัยคุกคามพวกเขาอยู่ดี เพราะชื่อเสียงบารมีของท่านมัน "ขายได้ในทางการเมือง" นักการเมืองฝ่ายเสื้อแดง เขาก็ต้องไปเข็น หรือเอาท่านมาหาเสียง เพื่อสร้างความนิยม อำมาตย์ก็จะระแวง สุดท้ายท่านก็ต้องถูกคุกคามอยู่ดี ถูกกำจัดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองของพวกเขาก็จะไม่ "สงบราบคาบ"
หากไม่สู้ให้จบ ท่านก็ต้องยอมตายไปเสียนั่นแหละจึงจะจบ สำหรับท่าน
ที่มา:thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย »
คุณทักษิณยังงงๆ อยู่ว่าเพื่อฆ่าหนูตัวเล็กๆ ตัวเดียว ทำไมต้องเผาบ้าน และท่านก็เป็นคนคุยง่าย ไม่ยากอะไร ทำไมพวกเขาต้องทำลายระบบทุกอย่าง เพื่อจัดการคนๆ เดียว
ผมขอบอกนะครับ "พวกเขาไม่ได้ต้องการจ้ัดการ ตัวท่านทักษิณ" แต่สิ่งที่คุกคามพวกเขาหรือ ระบอบอำมาตยาธิปไตยเลยก็ว่าได้คือ "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" จะรวมๆ เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" อะไรก็แล้วแต่
ระบอบทักษิณ คือ ระบบการคิด ที่คุกคาม ระบอบอำมาตยาธิปไตยครับ
เหมือนมาร์กซิสต์ ตัวของ มาร์กเอง คงคุกคามใครไม่ได้ แต่ "แนวคิดของมาร์กต่างหาก" ที่คุกคามระบอบทุกนิยม ระบอบทุนนิยม เลยต้องสู้กับมาร์กซิสต์ (ที่เป็นระบอบ ไม่ใช่ตัวคาล มาร์ก)
มาร์กซิสต์ มันชัดเจนที่แนวคิด
แต่ ระบอบทักษิณเกียรติภูมิทักษิณ มันผูกพันกับตัวท่านด้วย พวกเขาจะทำลายระบอบทักษิณ ต้องทำลายชื่อเสียงของท่านเสียก่อน เพื่อไม่ให้มีคนนิยม เพราะหากไม่มีคนนิยม มันก็ไม่คุกคามต่อระบอบอำมาตย์ฯ
ดังนั้น ท่านจะเจรจา อยากคุยหรือไม่ มันไม่สำคัญ สำคัญคือ พวกเขาจะกำจัด การคุกคามของระบอบทักษิณออกไปได้อย่างไร ไม่ทำลายชื่อเสียง เกียรติภูมิ ชีวิตของท่านแล้ว มันจะกำจัดไปได้อย่างไร
นี่เป็นผลสืบเนื่อง
ระบอบทักษิณ คืออะไร มันก็รวมๆ คือสิ่งที่ "คนรากหญ้าต้องการอยู่ทุกวันนี้แหละครับ" คือสิ่งที่ท่านทำตอนเป็นรัฐบาลและคนนิยมนั่นแหละครับ
มันทำให้คนรากหญ้าตื่น และ "นิยมทักษิณมากเกินไป" จนคุกคามต่อสถานภาพของ "คนบางกลุ่มบางคน"
ท่านต้องตาย และเสียชื่อ พวกเขาจึงจะยอมครับ
ท่านมีทางเลือกสองทางในวิกฤติครั้งนี้คือ
สู้ให้ชนะ
หรือยอมให้เขาฆ่าครับ
ไม่มีเส้นทางสายอื่นหรอกครับ
หากท่านเหนื่อย และเบื่อ อยากจบ ก็ยอมให้พวกเขาฆ่าเสีย มันก็จบ กลับมาติดคุกก็ไม่ได้ครับ เพราะประชาชน ก็จะเดินขบวนประท้วง คนเสื้อแดงก็จะช่วยท่านอีก ต้องตายอย่างเดียวครับ ที่จริงตายก็ไม่พอ ต้องทำให้คนเกลียดชัง ด้วย พวกเขาจึงจะกำจัดการคุกคามของระบอบทักษิณ ต่อระบอบอำมาตย์ได้
ท่านอยู่ต่างประเทศตลอดไปก็คงไม่ได้ ก็ยังเป็นภัยคุกคามพวกเขาอยู่ดี เพราะชื่อเสียงบารมีของท่านมัน "ขายได้ในทางการเมือง" นักการเมืองฝ่ายเสื้อแดง เขาก็ต้องไปเข็น หรือเอาท่านมาหาเสียง เพื่อสร้างความนิยม อำมาตย์ก็จะระแวง สุดท้ายท่านก็ต้องถูกคุกคามอยู่ดี ถูกกำจัดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองของพวกเขาก็จะไม่ "สงบราบคาบ"
หากไม่สู้ให้จบ ท่านก็ต้องยอมตายไปเสียนั่นแหละจึงจะจบ สำหรับท่าน
ที่มา:thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย »
วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
"เสื้อแดง" นัดบุก กกต. 15 ก.พ.นี้ อัดรบ.ปูดข่าวเงินนอกส่งท่อน้ำเลี้ยงกล่าวหาเลื่อนลอย
"เสื้อแดง" ชุมนุมไล่ 9 ป.ป.ช. ออก สลายตัวแล้ว แผ่นเสียงตกร่อง "ที่มาไม่ชอบ-2 มาตรฐาน" ซัดรบ.ยกเมฆหารับเงินจากนอก นัดบุก กกต. 15 ก.พ.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานมวลชนเสื้อแดงจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กว่า 1 พันคน นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เมื่อท่ามกลางการวางกำลังตำรวจ อารักขาและรักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นประมาณ 500 นาย โดยนายวีระกล่าวปราศรัยโจมตี ป.ป.ช. มีที่มาไม่ถูกต้อง ทั้งมาจากคณะรัฐประหาร และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังทำงานในลักษณะการกระทำ 2 มาตรฐานในคดีต่างๆ และเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 คนลาออก
นายณัฐวุฒิกล่าวก่อนขึ้นปราศรัยว่า ป.ป.ช.ต้องหยุดกระทำ 2 มาตรฐาน ขณะนี้หลายคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือบุคคลในเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยได้รับการเพิกเฉย หรือประวิงเวลาถ่วงรั้ง ต่างกับคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในกลุ่มพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน หรือเครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีความรวดเร็วในการดำเนินคดี
"อย่างคดี ปรส.ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาทุจริตหลายคดีหลายแสนล้านบาท และคดีทุจริตในกรุงเทพมหานครในยุคที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดำรงตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้า แตกต่างจากคดีเกี่ยวพันกับคดีหมิ่นประมาทที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ เป็นจำเลย นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งคดีอยู่ในศาลฎีกาแล้วในขณะนี้ หรือคดี 7 ตุลา หลายๆ เรื่องนำมาสู่ที่มาของคำว่า 2 มาตรฐานไ นายณัฐวุฒิกล่าว
เสื้อแดง 4
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะมีการเดินทางไปชุมนุมที่ กกต. ระหว่างเวลา 12.00-18.00 น. จากนั้นอาจจะมีภาค 2 ของเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว เพราะได้ข้อมูลมาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กระทำการหลายอย่าง เช่น มีการนำกำลังเข้าไปจับกุมการตัดไม้ทำลายป่า แต่ของกลางดังกล่าวหายไป กลายเป็นเก้าอี้ กลายเป็นไม้ตกแต่งของผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ส่วนกรณีเขาสอยดาวก็ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมน่าสนใจ และอาจจะมีการนัดชุมนุมที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เพื่อถามกับผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจะมีการหารือและสรุปกันอีกครั้งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์
"ขณะนี้รัฐบาลพยายามสร้างสถานการณ์และข้อมูลอันเป็นเท็จกับบุคคลเสื้อแดง ผมยืนยันว่าเราต่อสู้มาโดยไม่ได้รับเงินจากต่างประเทศใดๆ และยืนยันว่าเป็นการยกเมฆปั้นเรื่องเท็จล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ของผมมีหลักฐานทางการเงินที่กลุ่มทุนบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศได้มอบเงินส่วนหนึ่งให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษหลายล้านบาท ผมมีหลักฐานทางรัฐบาลสนใจหรือไม่ จะให้ทาง ปปง. หรือดีเอสไอ ตรวจสอบข้อมูลที่พูดหรือไม่ ถ้าสนใจติดต่อมา ยินดีมอบหลักฐานให้ และภายในวันหรือสองวันนี้จะแสดงหลักฐานให้ประจักษ์ชัดเจนกับสังคม ซึ่งเรื่องนี้กำลังรอคำอธิบายอยู่" นายณัฐวุฒิกล่าว
ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าวดำเนินมาถึงเวลา 18.30 น. จากนั้นมวลชนเสื้อแดงร่วมกันร้องเพลงชาติ ก่อนที่จะสลายตัวไป
ที่มา:มติชนออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานมวลชนเสื้อแดงจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กว่า 1 พันคน นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เมื่อท่ามกลางการวางกำลังตำรวจ อารักขาและรักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นประมาณ 500 นาย โดยนายวีระกล่าวปราศรัยโจมตี ป.ป.ช. มีที่มาไม่ถูกต้อง ทั้งมาจากคณะรัฐประหาร และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังทำงานในลักษณะการกระทำ 2 มาตรฐานในคดีต่างๆ และเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 คนลาออก
นายณัฐวุฒิกล่าวก่อนขึ้นปราศรัยว่า ป.ป.ช.ต้องหยุดกระทำ 2 มาตรฐาน ขณะนี้หลายคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือบุคคลในเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยได้รับการเพิกเฉย หรือประวิงเวลาถ่วงรั้ง ต่างกับคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในกลุ่มพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน หรือเครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีความรวดเร็วในการดำเนินคดี
"อย่างคดี ปรส.ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาทุจริตหลายคดีหลายแสนล้านบาท และคดีทุจริตในกรุงเทพมหานครในยุคที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดำรงตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้า แตกต่างจากคดีเกี่ยวพันกับคดีหมิ่นประมาทที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ เป็นจำเลย นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งคดีอยู่ในศาลฎีกาแล้วในขณะนี้ หรือคดี 7 ตุลา หลายๆ เรื่องนำมาสู่ที่มาของคำว่า 2 มาตรฐานไ นายณัฐวุฒิกล่าว
เสื้อแดง 4
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะมีการเดินทางไปชุมนุมที่ กกต. ระหว่างเวลา 12.00-18.00 น. จากนั้นอาจจะมีภาค 2 ของเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว เพราะได้ข้อมูลมาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กระทำการหลายอย่าง เช่น มีการนำกำลังเข้าไปจับกุมการตัดไม้ทำลายป่า แต่ของกลางดังกล่าวหายไป กลายเป็นเก้าอี้ กลายเป็นไม้ตกแต่งของผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ส่วนกรณีเขาสอยดาวก็ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมน่าสนใจ และอาจจะมีการนัดชุมนุมที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เพื่อถามกับผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจะมีการหารือและสรุปกันอีกครั้งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์
"ขณะนี้รัฐบาลพยายามสร้างสถานการณ์และข้อมูลอันเป็นเท็จกับบุคคลเสื้อแดง ผมยืนยันว่าเราต่อสู้มาโดยไม่ได้รับเงินจากต่างประเทศใดๆ และยืนยันว่าเป็นการยกเมฆปั้นเรื่องเท็จล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ของผมมีหลักฐานทางการเงินที่กลุ่มทุนบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศได้มอบเงินส่วนหนึ่งให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษหลายล้านบาท ผมมีหลักฐานทางรัฐบาลสนใจหรือไม่ จะให้ทาง ปปง. หรือดีเอสไอ ตรวจสอบข้อมูลที่พูดหรือไม่ ถ้าสนใจติดต่อมา ยินดีมอบหลักฐานให้ และภายในวันหรือสองวันนี้จะแสดงหลักฐานให้ประจักษ์ชัดเจนกับสังคม ซึ่งเรื่องนี้กำลังรอคำอธิบายอยู่" นายณัฐวุฒิกล่าว
ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าวดำเนินมาถึงเวลา 18.30 น. จากนั้นมวลชนเสื้อแดงร่วมกันร้องเพลงชาติ ก่อนที่จะสลายตัวไป
ที่มา:มติชนออนไลน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)