ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 24.00 น. วันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายพายัพ ชินวัตร น้องสาวและน้องชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ส.ส.กว่า 80 คน ได้เปิดเวทีหาเสียงช่วย พล.อ.สิทธิ์ สิทธิมงคล ผู้สมัคเลือกตั้งซ่อมรส.ส.ปราจีนบุรีบริเวณแยกสามทหารกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
พลเอกชวลิต กล่าวว่า อยากให้ประชาชนออกมาเลือกตั้งเพื่อช่วยประเทศชาติที่อยู่ภาวะแตกแยก ซึ่งการเลือกพรรคเพื่อไทยของประชาชนจะเป็นการช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับคืนประเทศไทยอีกทางหนึ่ง
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยเสียงเครือน้ำตาคลอเบ้าบนเวทีว่า "เสียดายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มากราบพี่น้องภาคกลาง และโดยเฉพาะชาวปราจีนบุรี คิดถึงอยากกลับมารับใช้พี่น้องเมืองไทย ลำพังดิฉันเป็นผู้หญิงคนเดียว น้องคนเล็กคงไม่สามารถนำพี่ชายกลับมารับใช้พี่น้องได้ จึงเสนอตัวเองขึ้นมาบนเวทีเพื่อขอให้มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อผลักดันนโยบายให้ประชาชนและชาวปราจีนบุรี"
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวปราศัยว่า หากอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ก็ต้องเลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทย หากสมัยหน้าพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.มากที่สุดก็จะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว และพรรคจะออกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทุกฝ่าย ทั้งนี้ หากนับอายุแล้วพล.อ.ชวลิตจะได้เป็นนายกฯ จะรับพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553
ช่างพูดนัก..!!!!!

ที่มา:ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ตอบคำถามนักข่าวเรื่องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าปัญหาเดิมยังคงอยู่ (อยู่ที่นายกรัฐมนตรีเอง) บทความหัวขั้วหัวเข่าแบบนี้ก็แทบไม่ต้องเขียน
ปัญหาเดิมคืออะไร?
ผบ.ตร.เก่าไม่เอากับรัฐบาลผสมเทียมเต็มร้อย กะฟาดให้คราสถึงพี่ชาย คุณสุเทพเทือกเถือกแถไม่ทันใจ คุณอภิสิทธิ์หมายใจจัดการเอง วางเป้าคุณปทีปเป็นหลัก ใบสั่งหุ้นใหญ่กว่าจะเอาคุณจุมพล ที่ประชุมไม่เอาคุณปทีป ไม่มีใครถามเลยว่า ประธานเป็นประชา ธิปไตยประสาอะไร
หรือคำถาม ไหนว่าจงรักภักดีด้วยปากปาวๆ ก็ไม่มีคำตอบ
3 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก แผ่นดินที่ ประชากรไม่เคยปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ก็ยังปลอดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเต็มตามหน้าที่แห่งกฎหมาย
มีแต่ผู้รักษาการซึ่งเป็นตำรวจเพียงซีกเดียว
มีแต่ประธานตำรวจที่เลขาธิการหายไปทั้งร่าง
วันนี้คุณอภิสิทธิ์คิดอะไร?
ตะแบงความรับผิดชอบไปเรื่อยๆ รออีก 8 เดือนค่อนจนครบเกษียณของ 2 คู่ชิง หรือรอจนกว่ารัฐบาลลาโรง หรือจะเอาที่ประชุมเป็นมติ (อีกครั้ง) ว่าจะเอาใคร หรือจะเกิดความคิดใหม่ ย้อนไปหาผู้อาวุโสเก่าอย่างคุณเพรียวพันธ์ เพื่อแก้ปัญหาส่วนรวมเฉพาะหน้า หรือจะวางผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ให้กรรมการคิดเห็น เห็นชอบด้วยความสุจริตอีกที ในระยะเวลาที่กำหนด
หรือคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้คิดอะไรเลย
นอกจากตกกระไดพลอยโจนที่เกิดจากการกระโดดด้วยตัวเองโดยไม่มีใครถีบ
ถีบซ้ายป่ายขวาด้วยวาจาไปวันๆ สนุกนักหรือ
ปล่อยการโยกย้ายตำรวจเป็นสินค้าที่ไม่ต้องปิดป้ายราคาก็สนุก
และสำหรับท่านผู้ ถือหุ้นใหญ่ ที่เห็นแก่ชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
ประมุขฝ่ายบริหารมัวแต่ฟังหากไม่ได้ยิน เห็นไม่ได้ เข้าไม่ถึง ประมุขแปรเปลี่ยนเป็นก้นกบไป แต่เมื่อไร?
วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553
ร.ต.อ.เฉลิม ยันกัดไม่ปล่อยคดีเงินบริจาค ปชป.

ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุคดีเงินบริจาคพรรค ปชป.ถูกยกคำร้องจะไปยื่นฟ้องศาลฎีกานักการเมือง ขณะที่การนัดพบกับนายบรรหาร ยังหาเวลาว่างให้ตรงกันไม่ได้
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ย้ำว่าข้อมูลหลักฐานในคำร้องสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ มีค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเอกสารสรุปสำนวนคำร้องของดีเอสไอที่เป็นคำให้การของ นายประจวบ สังข์ขาว และหากนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกกต.เห็นว่าไม่มีมูลก็ควรยกคำร้องตั้งแต่ได้รับเรื่องมา แต่กลับนำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต.
ร.ต.อ.เฉลิม ยืนยันว่าหากนายอภิชาติยกคำร้อง เรื่องนี้ไม่จบแน่ โดยจะเดินหน้าต่อสู้ต่อไป ด้วยการยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตรวจสอบต่อ อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม เชื่อว่านายอภิชาติจะไม่กล้ายกคำร้องเนื่องจากกระแสสังคม รวมทั้งสื่อไม่เห็นด้วย แต่หากแน่จริงก็ขอให้ยกคำร้องเลย
ส่วนข่าว การนัดพบกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนานั้น ยอมรับว่ามีความคิดที่จะนัดพูดคุยกันจริง แต่ยังหาเวลาว่างตรงกันไม่ได้ โดยเป็นการนัดแบบส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อพูดคุยสถานการณ์ทางการเมือง ทั่วๆไป พร้อมยืนยันท่าที่ของพรรคเพื่อไทยจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคร่วมรัฐบาลในการ แก้ไข รธน.แน่นอน
ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ถึงจุดที่ต้องมีสัญญาประชาคม เพราะทุกคนมีพรรคสังกัด พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ยุบสภาเมื่อไหร่ เลือกตั้งครั้งหน้าใครชนะเป็นรัฐบาล คนแพ้ต้องยอมรับ ร.ต.อ.เฉลิมยังประเมินด้วยว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะกวาดที่นั่งในภาคอีสานเกือบทั้งหมดยกเว้นจังหวัดนครราชสีมา บางส่วนที่แบ่งให้ นายสุวัจน์ ลิปพัลลภ และบุรีรัมย์ที่เชื่อว่าเป็นจังหวัดเดียวที่พรรคภูมิใจไทยจะได้ที่นั่ง โดยประเมินว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทย จะได้ทั้งหมดไม่ถึง 10 ที่นั่ง ร.ต.อ.เฉลิมยังท้าให้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงเลือกตั้งแข่งกับตนเองในกทม.โดยยินดีให้นายชวรัตน์เป็นคนเลือกเขตเลือก ตั้งเอง ส่วนการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ปราจีนบุรี ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าไม่ใช่พื้นที่ของพรรคเพื่อไทย จึงไม่ซีเรียสเรื่องแพ้ชนะ หากชนะก็ถือว่าเป็นของแถม แต่ผู้ใหญ่ในพรรคก็จะลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเต็มที่
ลุ้นระทึก 365 วันอันตราย..ปีเสือลำบาก
บทความ:วโรทาห์
เปิดฉากบทความแรกของปีนี้ ต้องขอกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ 2553..ปีแห่งความหวังว่า น่าจะมีลุ้นชนิดม้วนเดียวจอด จากการที่หลายฝ่ายออกมาวิแคะตรงกันเด๊ะๆว่า หลังจากที่เย่อกับอำมาตย์มาหลายปี มาวันนี้ ประชาชนชักจะเล่นเป็น
จึงฟันธงโดยพร้อมเพรียงว่า น่าจะมีเสียว ส่วนจะเสียวมากเสียวน้อย เสียวปานกลาง หรือว่าเสียวหน้าเสียวหลัง ก็ต้องไปถามอำมาตย์กันเอาเอง
ปีวัวบ้า เราได้รัฐบาลทุย ออกมาลุยถั่ว ไล่ขวิดประชาชนจนแตกฮือ ล้มตายหายสาบสูญไปไม่น้อย ประชาชนมือเปล่าได้แต่ยืนมองทำตาปริบๆ สู้จำกล้ำกลืนข่มความเจ็บช้ำไว้ภายใน หวังว่าจะเอาคืนทบต้นทบดอกเมื่อถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี นารีเปลี่ยนใจ
รัฐบาลภาคต่อของคมช. ลูกไล่อำมาตย์ที่ถูกส่งมาแก้มือ ด้วยความเสียดายที่ว่า ตอนนั้นไม่กวาดล้างศัตรูให้สิ้นซาก ทำให้ต้องงึกๆงักๆอยู่ทุกวันนี้ จึงไม่แปลก ที่ผลงานจะประจานตัวเองว่า นอกจากกู้เอามายัดแล้ว หน้าที่หลักก็คือไล่ล่าทักษิณ กับไล่ยิงเสื้อแดง คงกะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทย ให้มันหมดประเทศ ก็ไม่รู้
แต่อย่างว่า คนมันหล่อหลักลอย ลอยไปก็ลอยมา เลยยิ่งแก้ยิ่งยุ่งขิง กลายเป็นลิงแก้แห ยิ่งกวาดล้างเสื้อแดง ยิ่งแดงเถือกไปทั่วบ้านทั่วเมือง เล่นเอาป๋าอยากจะบ้าตาย วันละหลายๆครั้ง
สุดท้าย ถึงท้ายปี ยังอุตส่าห์มีลุ้นปาฏิหาริย์ ถึงขนาดสุนัขจะออกลูกเป็นลิง ความยุติธรรมจะกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทย แต่หลังจากที่รอแล้วรอเล่า ฟาดแห้วรอหมดไปหลายเข่ง ถึงได้หูตาสว่างโร่ว่า
ปาฏิหาริย์มีจริง แต่อยู่ที่กำปั้นทั้งสองของประชาชน
ท้ายสุดจริงๆ ถึงได้มีข่าวดี ที่ประชาชนพอจะยิ้มออกได้บ้าง เมื่อผลสำรวจของอีแอบโพลล์ ทะลุ่มทะลุยฟันโช๊ะออกมาว่า ปีเก่าที่ผ่านไป ไม่มีอะไรที่ประชาชนจะสุขใจไปกว่า ข่าวที่ว่าปีใหม่นี้ ระบอบอำมาตย์ กำลังจะบรรลัย
เอ้า..เอาไงก็เอากัน ล้างแผ่นดินกันซะที คงจะดีไม่หยอก ไหนๆก็ไหนๆยังไงก็เอาซะให้สะเด็ดน้ำ ไม่งั้นก็ยักแย่ยักยันกันไม่เลิก จริงอยู่ที่ว่าบ้านเมืองต้องเดินไปข้างหน้า แต่มันก็ต้องสง่างามพอสมควร ไม่ใช่เดินขาถ่างทั้งริดสีดวงคาดาก จะทำงานทำการอะไรก็ไม่ถนัด
คุ้มดีคุ้มร้าย ฝีมะม่วงปะทุออกมาที แทบจะวายป่วงกันทั้งประเทศ
ไม่ต้องมานิรโทษกรรม ให้มันเมื่อยตุ้ม เมื่อมันไม่ควรจะผิด มันก็ต้องไม่ผิดตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเขียนกฎหมา_ให้มันผิด แล้วค่อยนิรโทษกรรมกันภายหลัง ทีลากปืนออกมาเขียนกฎเอาโทษย้อนหลัง ยังทำได้ ถ้าประชาชนจะเขียนใหม่ให้ถูกต้อง มันก็สมควรแล้ว
สรุปว่า ปีใหม่หรือปีเก่า ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่า ประชาชนจะได้ประชาธิปไตยคืนมาเมื่อไหร่ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จะคืนให้แต่โดยดี หรือต้องให้ใช้กำลังกระชากเอา แต่ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ท่าทางว่ามันจะชอบอย่างหลัง
ทำเป็นเล่นไป ปีใหม่นี้เป็นปีเสือลำบาก ประชาชนหลังพิงฝา อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถึงวันนี้ สงครามประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จะจริงหรือไม่ จะใช่หรือมั่ว ก็เล่นเอาตาแก่ผมขาว คนที่ไม่เค้ยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองซักนิด ถึงกับสะดุ้งโหยง กระย่องกระแย่งขึ้นมาสวมเครื่องแบบ 3 เหล่าทัพแทบไม่ทัน
ปีนั้นเล่นเรื่องม้ากับจ๊อกกี้ มาปีนี้ยังไม่วายเล่นของสูง แถมด้วยปลุกพระสยามเทวาธิราช ขึ้นมาหลอกหลอนประชาชน เป็นการใหญ่
นับเป็นการเพ้อเจ้ออย่างเสมอต้นเสมอปลายที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็ว่าได้ เพราะถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง ป่านนี้พวกแก๊งค์กะโหลกกะลา มีหวังถูกไล่ถีบไปสุมหัวกันในนรก ไม่ได้มาเสนอหน้าให้เขาด่าพ่อล่อแม่อยู่ทุกวันนี้หรอก
ประวัติศาสตร์มันต้องเปลี่ยน ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ถ้าใครไม่ร่วมจารึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญหน้านี้ คงต้องเสียใจไปชั่วลูกชั่วหลาน
โลกล้อมประเทศ ประชาชนล้อมอำมาตย์ วันนี้เล่นกันแรง ถึงขั้นสวรรค์ล้อมนรกกันแล้ว เมื่อลุงหมักตัดสินใจขอวีซ่า ไปปูเสื่อรอเช็คบิลอยู่บนสรวงสวรรค์ เรียกว่า ต่อให้พวกอำมาตย์วายวอดเหลือแต่วิญญาณ ยังไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ
งานนี้มีแต่ตั๋วทัวร์นรก One way ticket to the hell
แตกหัก อ่านว่าแตกหัก ดูยังไงก็แตกหัก ในเมื่อคนมันเอาแต่ได้ ยังไงก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ทีพวกเดียวกันเสียเปรียบ มันขอให้ประชาชนเลือกข้าง แต่พอพวกมันได้เปรียบ มันเรียกร้องให้สมานฉันท์
ตอนที่พวกเหลืองประท้วง มันช่วยกันลงแขก ขย่มให้รัฐบาลลาออก พอฝ่ายตรงข้ามประท้วง มันเรียกร้องให้ปราบปรามอย่างเด็ดขาด
ทีพวกตัวเองพูดใส่ไฟได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีปัญหา แต่ฝ่ายตรงข้ามห้ามแอะแม้แต่คำเดียว กลัวประชาชนสับสน คงคิดแบบโง่ๆว่า ถ้าปิดหูปิดตา ปิดปากประชาชนได้ บ้านเมืองต้องอยู่ใต้อุ้งเท้าของพวกมัน
ขนาดตุลาการยังออกมารับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า มี 2 มาตรฐานสำหรับคนดีกับคนชั่ว แต่ไม่ได้บอกว่า ใครดีใครชั่ว ใครเป็นคนตัดสิน
จะบ้าตาย แค่นี้ก็คิดกันไม่เป็น
ความยุติธรรมมันต้องมีให้สำหรับทุกผู้ทุกคน อย่างเสมอภาค ไม่ว่าคนดี คนเลว หรือผู้ร้ายใจทมิฬ ก็ต้องได้รับความยุติธรรม โดยเสมอหน้ากัน ไม่งั้นจะมีศาลเอาไว้ทำไม ในเมื่อแค่จ่าแฮรี่ก็สามารถชี้เป็นชี้ตาย ส่งคนร้ายไปลงนรกได้แล้ว
คงลืมไปว่า ความยุติธรรมคือลมหายใจของตุลาการ ถ้าไม่ต้องมีความยุติธรรม ก็ไม่ต้องมีตุลาการ ความยุติธรรมแบบเลือกได้ ชาวบ้านเขาจัดกันเองเป็น ไม่ต้องไปจ้างใคร มานั่งชี้หน้าประชาชน ให้มันเปลืองภาษีโดยใช่เหตุ
ยิ่งประชาชนคนส่วนน้อยที่หลงผิดด้วยแล้ว ยิ่งต้องสำเหนียกกันให้หนักว่า วันนี้ท่านสนับสนุนให้ความอยุติธรรมย่ำยีฝ่ายตรงข้ามได้ วันหน้าก็เตรียมรับเละเอาไว้ได้เลย ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ก็ต้องโดนกับลูกหลาน
ถ้าฉลาดก็ปล่อยวางความเกลียดทักษิณเอาไว้ก่อน แล้วออกมาร่วมกันทวงคืนความยุติธรรมสู่สังคมไทย เพื่อที่ลูกหลานจะได้ไม่ต้องมาเสียเลือดเนื้อในภายหลัง
เมื่อเสียงกลองรบระรัวลั่น อำมาตย์น้อยใหญ่ก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ช่วงหลังมานี้ กระแสคลั่งชาติจะรุนแรงเป็นพิเศษ อะไรๆก็เมืองไทยดีซะเหลือเกิน..น่าภาคภูมิใจตายละ!
เมืองไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร นอกจากเมืองขึ้นของระบอบอำมาตย์
คนไทยไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร นอกจากขี้ข้าอำมาตย์
เปิดฉากบทความแรกของปีนี้ ต้องขอกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ 2553..ปีแห่งความหวังว่า น่าจะมีลุ้นชนิดม้วนเดียวจอด จากการที่หลายฝ่ายออกมาวิแคะตรงกันเด๊ะๆว่า หลังจากที่เย่อกับอำมาตย์มาหลายปี มาวันนี้ ประชาชนชักจะเล่นเป็น
จึงฟันธงโดยพร้อมเพรียงว่า น่าจะมีเสียว ส่วนจะเสียวมากเสียวน้อย เสียวปานกลาง หรือว่าเสียวหน้าเสียวหลัง ก็ต้องไปถามอำมาตย์กันเอาเอง
ปีวัวบ้า เราได้รัฐบาลทุย ออกมาลุยถั่ว ไล่ขวิดประชาชนจนแตกฮือ ล้มตายหายสาบสูญไปไม่น้อย ประชาชนมือเปล่าได้แต่ยืนมองทำตาปริบๆ สู้จำกล้ำกลืนข่มความเจ็บช้ำไว้ภายใน หวังว่าจะเอาคืนทบต้นทบดอกเมื่อถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี นารีเปลี่ยนใจ
รัฐบาลภาคต่อของคมช. ลูกไล่อำมาตย์ที่ถูกส่งมาแก้มือ ด้วยความเสียดายที่ว่า ตอนนั้นไม่กวาดล้างศัตรูให้สิ้นซาก ทำให้ต้องงึกๆงักๆอยู่ทุกวันนี้ จึงไม่แปลก ที่ผลงานจะประจานตัวเองว่า นอกจากกู้เอามายัดแล้ว หน้าที่หลักก็คือไล่ล่าทักษิณ กับไล่ยิงเสื้อแดง คงกะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทย ให้มันหมดประเทศ ก็ไม่รู้
แต่อย่างว่า คนมันหล่อหลักลอย ลอยไปก็ลอยมา เลยยิ่งแก้ยิ่งยุ่งขิง กลายเป็นลิงแก้แห ยิ่งกวาดล้างเสื้อแดง ยิ่งแดงเถือกไปทั่วบ้านทั่วเมือง เล่นเอาป๋าอยากจะบ้าตาย วันละหลายๆครั้ง
สุดท้าย ถึงท้ายปี ยังอุตส่าห์มีลุ้นปาฏิหาริย์ ถึงขนาดสุนัขจะออกลูกเป็นลิง ความยุติธรรมจะกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทย แต่หลังจากที่รอแล้วรอเล่า ฟาดแห้วรอหมดไปหลายเข่ง ถึงได้หูตาสว่างโร่ว่า
ปาฏิหาริย์มีจริง แต่อยู่ที่กำปั้นทั้งสองของประชาชน
ท้ายสุดจริงๆ ถึงได้มีข่าวดี ที่ประชาชนพอจะยิ้มออกได้บ้าง เมื่อผลสำรวจของอีแอบโพลล์ ทะลุ่มทะลุยฟันโช๊ะออกมาว่า ปีเก่าที่ผ่านไป ไม่มีอะไรที่ประชาชนจะสุขใจไปกว่า ข่าวที่ว่าปีใหม่นี้ ระบอบอำมาตย์ กำลังจะบรรลัย
เอ้า..เอาไงก็เอากัน ล้างแผ่นดินกันซะที คงจะดีไม่หยอก ไหนๆก็ไหนๆยังไงก็เอาซะให้สะเด็ดน้ำ ไม่งั้นก็ยักแย่ยักยันกันไม่เลิก จริงอยู่ที่ว่าบ้านเมืองต้องเดินไปข้างหน้า แต่มันก็ต้องสง่างามพอสมควร ไม่ใช่เดินขาถ่างทั้งริดสีดวงคาดาก จะทำงานทำการอะไรก็ไม่ถนัด
คุ้มดีคุ้มร้าย ฝีมะม่วงปะทุออกมาที แทบจะวายป่วงกันทั้งประเทศ
ไม่ต้องมานิรโทษกรรม ให้มันเมื่อยตุ้ม เมื่อมันไม่ควรจะผิด มันก็ต้องไม่ผิดตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเขียนกฎหมา_ให้มันผิด แล้วค่อยนิรโทษกรรมกันภายหลัง ทีลากปืนออกมาเขียนกฎเอาโทษย้อนหลัง ยังทำได้ ถ้าประชาชนจะเขียนใหม่ให้ถูกต้อง มันก็สมควรแล้ว
สรุปว่า ปีใหม่หรือปีเก่า ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่า ประชาชนจะได้ประชาธิปไตยคืนมาเมื่อไหร่ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จะคืนให้แต่โดยดี หรือต้องให้ใช้กำลังกระชากเอา แต่ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ท่าทางว่ามันจะชอบอย่างหลัง
ทำเป็นเล่นไป ปีใหม่นี้เป็นปีเสือลำบาก ประชาชนหลังพิงฝา อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถึงวันนี้ สงครามประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จะจริงหรือไม่ จะใช่หรือมั่ว ก็เล่นเอาตาแก่ผมขาว คนที่ไม่เค้ยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองซักนิด ถึงกับสะดุ้งโหยง กระย่องกระแย่งขึ้นมาสวมเครื่องแบบ 3 เหล่าทัพแทบไม่ทัน
ปีนั้นเล่นเรื่องม้ากับจ๊อกกี้ มาปีนี้ยังไม่วายเล่นของสูง แถมด้วยปลุกพระสยามเทวาธิราช ขึ้นมาหลอกหลอนประชาชน เป็นการใหญ่
นับเป็นการเพ้อเจ้ออย่างเสมอต้นเสมอปลายที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็ว่าได้ เพราะถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง ป่านนี้พวกแก๊งค์กะโหลกกะลา มีหวังถูกไล่ถีบไปสุมหัวกันในนรก ไม่ได้มาเสนอหน้าให้เขาด่าพ่อล่อแม่อยู่ทุกวันนี้หรอก
ประวัติศาสตร์มันต้องเปลี่ยน ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ถ้าใครไม่ร่วมจารึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญหน้านี้ คงต้องเสียใจไปชั่วลูกชั่วหลาน
โลกล้อมประเทศ ประชาชนล้อมอำมาตย์ วันนี้เล่นกันแรง ถึงขั้นสวรรค์ล้อมนรกกันแล้ว เมื่อลุงหมักตัดสินใจขอวีซ่า ไปปูเสื่อรอเช็คบิลอยู่บนสรวงสวรรค์ เรียกว่า ต่อให้พวกอำมาตย์วายวอดเหลือแต่วิญญาณ ยังไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ
งานนี้มีแต่ตั๋วทัวร์นรก One way ticket to the hell
แตกหัก อ่านว่าแตกหัก ดูยังไงก็แตกหัก ในเมื่อคนมันเอาแต่ได้ ยังไงก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ทีพวกเดียวกันเสียเปรียบ มันขอให้ประชาชนเลือกข้าง แต่พอพวกมันได้เปรียบ มันเรียกร้องให้สมานฉันท์
ตอนที่พวกเหลืองประท้วง มันช่วยกันลงแขก ขย่มให้รัฐบาลลาออก พอฝ่ายตรงข้ามประท้วง มันเรียกร้องให้ปราบปรามอย่างเด็ดขาด
ทีพวกตัวเองพูดใส่ไฟได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีปัญหา แต่ฝ่ายตรงข้ามห้ามแอะแม้แต่คำเดียว กลัวประชาชนสับสน คงคิดแบบโง่ๆว่า ถ้าปิดหูปิดตา ปิดปากประชาชนได้ บ้านเมืองต้องอยู่ใต้อุ้งเท้าของพวกมัน
ขนาดตุลาการยังออกมารับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า มี 2 มาตรฐานสำหรับคนดีกับคนชั่ว แต่ไม่ได้บอกว่า ใครดีใครชั่ว ใครเป็นคนตัดสิน
จะบ้าตาย แค่นี้ก็คิดกันไม่เป็น
ความยุติธรรมมันต้องมีให้สำหรับทุกผู้ทุกคน อย่างเสมอภาค ไม่ว่าคนดี คนเลว หรือผู้ร้ายใจทมิฬ ก็ต้องได้รับความยุติธรรม โดยเสมอหน้ากัน ไม่งั้นจะมีศาลเอาไว้ทำไม ในเมื่อแค่จ่าแฮรี่ก็สามารถชี้เป็นชี้ตาย ส่งคนร้ายไปลงนรกได้แล้ว
คงลืมไปว่า ความยุติธรรมคือลมหายใจของตุลาการ ถ้าไม่ต้องมีความยุติธรรม ก็ไม่ต้องมีตุลาการ ความยุติธรรมแบบเลือกได้ ชาวบ้านเขาจัดกันเองเป็น ไม่ต้องไปจ้างใคร มานั่งชี้หน้าประชาชน ให้มันเปลืองภาษีโดยใช่เหตุ
ยิ่งประชาชนคนส่วนน้อยที่หลงผิดด้วยแล้ว ยิ่งต้องสำเหนียกกันให้หนักว่า วันนี้ท่านสนับสนุนให้ความอยุติธรรมย่ำยีฝ่ายตรงข้ามได้ วันหน้าก็เตรียมรับเละเอาไว้ได้เลย ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ก็ต้องโดนกับลูกหลาน
ถ้าฉลาดก็ปล่อยวางความเกลียดทักษิณเอาไว้ก่อน แล้วออกมาร่วมกันทวงคืนความยุติธรรมสู่สังคมไทย เพื่อที่ลูกหลานจะได้ไม่ต้องมาเสียเลือดเนื้อในภายหลัง
เมื่อเสียงกลองรบระรัวลั่น อำมาตย์น้อยใหญ่ก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ช่วงหลังมานี้ กระแสคลั่งชาติจะรุนแรงเป็นพิเศษ อะไรๆก็เมืองไทยดีซะเหลือเกิน..น่าภาคภูมิใจตายละ!
เมืองไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร นอกจากเมืองขึ้นของระบอบอำมาตย์
คนไทยไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร นอกจากขี้ข้าอำมาตย์
วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553
ควันหลง การเลือกตั้งมหาสารคาม เขต 1...ยุทธศาสตร์ใหม่ของอำมาตย์
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ผลการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดมหาสารคาม เขต 1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม 2553 ผ่านไปสดๆ ร้อนๆ นะครับ ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบเฉียดฉิว โดยมีผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ดังนี้
หมายเลข 2 นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สังกัดพรรคเพื่อไทย ล่าสุดได้คะแนน111,394 คะแนน
หมายเลข 1 นางคมคาย อุดรพิมพ์ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งคะแนนที่ได้ 110,158 คะแนน
แม้ว่าจะเป็นชัยชนะ แต่ก็ถือได้ว่า "เฉียดฉิว" น่าตกใจและจะต้องเก็บมาเป็นบทเรียน เพื่อการวางแผนและการสรุปบทเรียนต่อไปในอนาคต ผลการเลือกตั้งมหาสารคาม ในทางการเมือง คงจะนิ่งเฉยไม่ได้ และฝ่ายยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย คงไม่อาจนิ่งเฉยการเลือกตั้งครั้งนี้ได้
สำหรับยุทธวิธีใหม่ของฝ่ายอำมาตย์ที่นำมาใช้ครั้งนี้ผ่านพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ผมคิดว่าคุณ Fanny แห่งเว็บประชาไทได้สรุปเอาไว้อย่างชัดเจน ผมขออนุญาตเอามาลงไว้เพื่อเป็นกรอบในการวิเคราะห์ต่อไปนะครับ เป็นโจทย์ที่เราต้องแก้
ควันหลง การเลือกตั้งมหาสารคาม...ยุทธศาสตร์ใหม่ (?)ของอำมาตย์.....
ยุทธวิธีที่อำมาตย์นำมาใช้ในการเลือกตั้งซ่อมที่ มหาสารคามนี้ จะว่าใหม่ก็ๆ จะว่าเก่า ก็เก่า...
เพราะเป็นยุทธวิธีที่ได้มีการพูดกันตั้งแต่สมัยเลือกตั้งใหญ่ครั้งก่อน (สมัย พลเอก สุรยุทธิ์ เป็นนายก) แล้ว...
คือเป็นยุทธศาสตร์ที่ตั้งธงขึ้นว่า ต้องการชัยชนะให้ได้จากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย..โดยจะให้พรรคไหนก็ได้เป็นฝ่าย ชนะ แต่ ไม่ให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตย (พลังประชาชน - เพื่อไทย) ชนะเป็นอันขาด...
ยุทธวิธี...คือ การรวมคะแนนของทุกพรรค เอามาสู้ กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย (พลังประชาชน - เพื่อไทย) พรรคไหน ที่ได้คะแนนเป็นที่ 2รองจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย คือ พรรคที่จะมีสิทธิ์ส่งคนลงรับเลือกตั้ง...โดยพรรคที่ 3 - 4 - 5 -6 ที่นอกจากจะต้องหลีกทางให้ พรรคที่ได้คะแนนเป็นที่ 2 โดยการไม่ส่งคนเข้าแข่งแล้ว..
ก็จะต้องช่วยนำหัวคะแนนไปร่วมด้วยช่วยหาเสียงให้....
ส่วนในจังหวัดเลือกตั้งอื่นๆ ...ก็ให้ทำในลักษณะเดียวกัน....
ยุทธวิธีนี้ ได้มีการเสนอมาตั้งแต่ เลือกตั้งใหญ่ครั้ง ธค 2550 แต่ตอนนั้นพรรคร่วมอื่นๆ ไม่เข้าร่วมมือด้วย จึงเหลือพรรคเข้าร่วมโครงการเพียงพรรค เพื่อแผ่นดิน... ยุทธวิธี นี้ จึงถูกพับเก็บไป
ต่อมายุทธวิธีนี้นี้ ได้นำมาปัดฝุ่นใช้ในการเลือกตั้งซ่อมมหาสารคามในครั้งนี้...
เพื่อเป็น "โมเดลทดลอง" ที่จะใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า....
การที่พรรคเพื่อไทย มีชัยชนะอย่างฉิวเฉียด...(อาจดูเหมือนอำมาตย์แพ้)..
แต่เป็น "โมเดลทดลอง" ที่รับรองได้ว่า ทำให้ฝ่ายเสธฯ ของ อำมาตย์ยิ้มได้พอสมควร..
และทำให้ โมเมนตั้มของการ "ยุบสภา" มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น...
แต่ถึงกระนั้น ณ. นาทีนี้ ยังคงไม่มีใครฟันธงไปได้ว่า "อำมาตย์ใหญ่ เค้าจะเลือกใช้วิธีไหนในการเดินเกมต่อไป....
ยุบสภา?....หรือ...ทางเลือกพิเศษกวาดล้มทั้งกระดาน (ซึ่งเป็นวิธีที่ดูเหมือนได้ผลเร็วแต่ผลที่ตามมายากต่อการควบคุม)
แต่การ ที่พรรคเพื่อไทย เอาชนะ ยุทธวิธี นี้ มาได้....นั่นก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า กระแสของท่านนายกทักษิณ และคนเสื้อแดงนั้น ก็ไม่ธรรมดา ไม่แผ่วอย่างที่ลิ่วล้ออำมาตย์พยายามปั่นกระแส.......
สรุปว่า....ชัยชนะของ ฝ่ายประชาธิปไตย ที่มหาสารคามนี้.....มี 2 นัยยะ...คือ
1) หากมองในนัยยะของ เก้าอี้ ที่เพิ่มขึ้น.... ฝ่ายประชาธิปไตย ได้เก้าอี้เพิ่มขึ้น ได้ชัยชนะ ได้ ส.ส. เพิ่มอีก 1 คน..
2) แต่หากมองในเรื่อง ยุทธศาสตร์.....การเลือกตั้งที่มหาสารคามนี้ ผลออกมา "เสมอกัน..."
เพราะยุทธวิธีของฝ่ายอำมาตย์อันนี้ ถือว่า "ใช้ได้" ....
เป็น ยุทธวิธี ที่ "หวังผล" ได้....ในการต่อสู้เลือกตั้งในครั้งหน้า
ส่วน ยุทธวิธี ของฝ่ายประชาธิปไตย...ก็ถือว่า "ใช้ได้".....
ในมุมที่สามารถต้านการ "รุมกินโต๊ะ" จากพรรคที่ 2+3+4+5 +6 ได้
โดยเฉพาะยังสามารถต้านกระแส "ใบสีเทา 2 ใบ" ที่ฝ่ายอำมาตย์ใช้โปรยหว่าน...รวมทั้ง ยังสามารถต้านทาน
การ "โปรยหว่านแบบใช้งบของรัฐ" ด้วย...
"โปรยหว่านแบบใช้งบของรัฐ" .....เช่น เมื่อกรณีต้นเดือน ธค 52....ที่มีการนำคนของ จังหวัดมหาสารคาม และ ปราจีนบุรี มาเที่ยวงานใน กทม.....
กิน เที่ยว ในงานแบบฟรีตลอดงาน....ก็ถือว่าเป็นการ "หว่าน" อีกแบบหนึ่ง
ทั้งยังเป็นการ "หว่าน" ที่ได้ 2 เด้ง คือ...
1) ได้ "หว่าน" ล่วงหน้า...
2) ได้ทำให้คนมาเที่ยวเต็มงาน แสดงความยิ่งใหญ่ของ นายห้อยผู้จัดงาน...ว่า...."สุดยอด ดดดดดดดดดดดด"
ที่สำคัญ..."คนหว่าน "ไม่ต้องชักเนื้อจากปากห้อยๆ ของตัวเอง...ซะอีก
จากความเห็นของคุณ Fanny ข้างต้น ผมมองว่ายุทธวิธีนี้ของอำมาตย์เป็นยุทธวิธีที่ "ค่อนข้างใช้ได้ของฝ่ายอำมาตย์" ถือเป็นการ "เอาไม้ซีกรวมกันเพื่องัดไม้ซุง" เป็นยุทธวิธีที่ดีทีสุด ที่จะสามารถรับกับสถานการณ์เช่นนี้ได้
ผมคิดว่ายุทธวิธีนี้จะได้ผลอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากการเมืองไทยยังเป็น "การเมืองระบบหลายขั้ว" เหมือนการเมืองก่อนปี 2540 ที่มีพรรคการเมืองกระจัดกระจาย แบ่งออกเป็นหลายๆ พรรค และประชาชนยังไม่ได้มี"จิตสำนึกการเลือกตั้งแบบเลือกแบบร่วมกัน"
นั่นเป็นกลยุทธ์ที่ดีเท่าที่จะสามารถใช้ได้ของอำมาตย์แล้วครับ
แต่ปีนี้ปี 2553 ปีที่ การขัดแย้งทางการเมือง เนิ่นนานมาเป็นเวลานาน จนทำลาย "กรอบความคิดแบบเดิมในใจของประชาชนไปหมดสิ้นแล้ว ผมว่า ตัวแปรสำคัญในช่วง "ร่วมสมัย" นี้คือ
1. พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนเปลี่ยนเป็นเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล อันนี้พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนในการเลือกตั้งหลังปี 2540 มาหลายครั้งแล้ว
2. การเมืองไทยปัจจุบันมีเพียงสองขั้ว โดยแบ่งอย่างง่ายๆ คือ เหลืองกับแดง หรือพูดให้ชัดคือ ขั้วทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ (เสรีนิยมอาจรวมสังคมนิยมแบบก้าวหน้าด้วย) กับขั้วอนุรักษ์นิยม ไม่มี "ทางเลือกที่สาม" ให้กับพรรคเล็ก ไม่มีพื้นที่ให้ยืนได้มากนัก นอกจากพื้นที่เขตอิทธิพลท้องถิ่นมานาน แบบสุพรรณบุรี แต่ก็ถูกกระแสความขัดแย้งดูดกลืนเข้าสู่สภาพการเมืองแบบสองขั้วสองพรรคไปมากแล้ว เหลือพื้นที่ทางอุดมการณ์ให้กับพรรคเล็กแทบไม่มี เมืองสุพรรณที่ไม่มีตระกูลศิลปอาชาลงแบบเต็มๆ อาจเสียพื้นที่ให้กับขั้วเสรีนิยมก้าวหน้า (เพื่อไทย) ก็เป็นได้
3. อบต./อบจ. มีบทบาททดแทน ความต้องการงบประมาณลงพื้นที่ จาก สส.เขตไปแทบหมดสิ้นแล้ว ประชาชนต้องการ สส.ในบทบาทระดับชาติ มากกว่าสร้างถนน สร้างบันไดศาลาวัด อะไรพวกนี้แล้ว อบต./อบจ. ทำหน้าที่แบบ ผู้ว่าฯ กทม. ไปแล้ว สส.จึงหมดความสำคัญส่วนนี้ไป บทบาทระหว่างการพัฒนาท้องถิ่น กับการเมืองระดับชาติมีเส้นพรมแดนที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว
4. พรรคเล็ก ไม่มีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจในระดับมหภาคมากมายนัก และนโยบายเศรษฐกิจระดับมหภาคมีผลต่อ "เงินในกระเป๋า" ของชาวบ้านหรือความกินดีอยู่ดี" มากกว่า "ความต้องการพัฒนาท้องถิ่นมากแล้ว คือ "ความยากแค้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน" แบบยุคก่อนๆ บรรเทาลงไปมากแล้ว ผมยังจำได้ สมัยก่อนจะเลือกตั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สส.จะเอารถเกรดมาเกรดถนนให้ แต่ พ.ศ. 2553 ทำแบบนี้ไม่เพียงพอแล้ว อบจ./อบต. ทำแทนไปแล้ว
5. ระบบการเลือกตั้งแบบ แบ่งรวมเขต จะฆ่าพรรคเล็กแทบจะสูญพันธุ์ ยกเว้นจะมีการแก้ไข รธน.ในส่วนนี้ แต่หากพรรคใหญ่ไม่เอาด้วย การแก้ไข รธน.ในส่วนนี้ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
6. มนต์ขลังเรื่องความซาบซึ้ง ไม่เป็นปัจจัยให้ได้คะแนนอีกต่อไป ผมเชื่อว่าพรรคที่ชูธงเรื่อง self-sufficient จะไม่ได้คะแนน แต่คนไม่กล้าแย้งออกมาทำให้คิดว่ายังมีมนต์ขลัง แต่เชื่อว่าพรรคที่ชูความซาบซึ้ง กับพรรคที่ชู "ทักษิณ ชินวัตร" ผมคิดว่าพรรคทักษิณ จะชนะถล่มทลาย ความซาบซึ้งไม่ได้ช่วยให้หายอดอยาก และมันสะท้อนถึงความสองมาตรฐาน ความไม่เป็นธรรมต่างๆ และที่สำคัญคนเริ่มคิดได้ว่า "ซาบซึ้ง" ไป ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่มีศาสนาใดสนับสนุน นอกจากความงมงายไปชั่วครู่
ผมว่าเงื่อนไขเหล่านี้ได้ "บั่นทอน" ยุทธวิธีนี้ของอำมาตย์ ทำให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ควรประมาทในเรื่องนี้ เพราะเขาอาจใช้ยุทธวิธีนี้+การโกง ก็อาจได้ชัยชนะในบางพื้นที่
ดังนั้น การเร่งการจัดตั้งเครือข่ายของคนเสื้อแดงลงไปยังชนบทจึงเป็นสิ่งสำคัญ
และที่สำคัญ "ต้องขายประชาธิปไตยกินได้" ไม่ใช่ "ประชาธิปไตยแบบอุดมการณ์"
คือต้องมี "แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ" แบบที่พรรคไทยรักไทยเคยทำ ต้องเริ่มทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนได้แล้ว เพราะประชาชน "หวังในส่วนนี้จากทักษิณ" ไม่ใช่ "นิยมทักษิณเพราะซาบซึ้งทักษิณเฉยๆ" แต่นิยมทักษิณเพราะทักษิณทำให้พวกเขามีอยู่มีกิน ชีวิตมีความหวัง ลูกได้เรียน ได้โอกาส ครอบครัวมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ต้องพัฒนา "ส่วนที่กินได้" ของประชาธิปไตยให้สมบูรณ์เหมือนพรรคไทยรักไทย
โอกาสของพรรคเพื่อไทยนั้นเหนือกว่าพรรคอื่นๆ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคนประชาชนเชื่อถือในตัวท่านทักษิณ ชินวัตร อยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีแผนงานโครงการต่างๆ ที่เป็น package ชัดเจน จับต้องได้ มีวิธีการปฏิบัติที่เชื่อถือได้ ไม่เพ้อฝันเลื่อนลอย
พรรคเล็กๆ แบบเนวินจะหาเสียงได้เพียงโครงการ แบบใช้เงินงบประมาณเท่านั้น เช่น ถนนไร้ฝุ่น พวกนี้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้มีบทบาทน้อยกว่า นโยบายเศรษฐกิจ ต่างๆ ที่เป็นภาพรวมใหญ่ ๆ ทำให้โอกาสของเนวินนั้นลดลง
แต่ก็ประมาทไม่ได้
ผลการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดมหาสารคาม เขต 1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม 2553 ผ่านไปสดๆ ร้อนๆ นะครับ ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบเฉียดฉิว โดยมีผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ดังนี้
หมายเลข 2 นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สังกัดพรรคเพื่อไทย ล่าสุดได้คะแนน111,394 คะแนน
หมายเลข 1 นางคมคาย อุดรพิมพ์ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งคะแนนที่ได้ 110,158 คะแนน
แม้ว่าจะเป็นชัยชนะ แต่ก็ถือได้ว่า "เฉียดฉิว" น่าตกใจและจะต้องเก็บมาเป็นบทเรียน เพื่อการวางแผนและการสรุปบทเรียนต่อไปในอนาคต ผลการเลือกตั้งมหาสารคาม ในทางการเมือง คงจะนิ่งเฉยไม่ได้ และฝ่ายยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย คงไม่อาจนิ่งเฉยการเลือกตั้งครั้งนี้ได้
สำหรับยุทธวิธีใหม่ของฝ่ายอำมาตย์ที่นำมาใช้ครั้งนี้ผ่านพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ผมคิดว่าคุณ Fanny แห่งเว็บประชาไทได้สรุปเอาไว้อย่างชัดเจน ผมขออนุญาตเอามาลงไว้เพื่อเป็นกรอบในการวิเคราะห์ต่อไปนะครับ เป็นโจทย์ที่เราต้องแก้
ควันหลง การเลือกตั้งมหาสารคาม...ยุทธศาสตร์ใหม่ (?)ของอำมาตย์.....
ยุทธวิธีที่อำมาตย์นำมาใช้ในการเลือกตั้งซ่อมที่ มหาสารคามนี้ จะว่าใหม่ก็ๆ จะว่าเก่า ก็เก่า...
เพราะเป็นยุทธวิธีที่ได้มีการพูดกันตั้งแต่สมัยเลือกตั้งใหญ่ครั้งก่อน (สมัย พลเอก สุรยุทธิ์ เป็นนายก) แล้ว...
คือเป็นยุทธศาสตร์ที่ตั้งธงขึ้นว่า ต้องการชัยชนะให้ได้จากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย..โดยจะให้พรรคไหนก็ได้เป็นฝ่าย ชนะ แต่ ไม่ให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตย (พลังประชาชน - เพื่อไทย) ชนะเป็นอันขาด...
ยุทธวิธี...คือ การรวมคะแนนของทุกพรรค เอามาสู้ กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย (พลังประชาชน - เพื่อไทย) พรรคไหน ที่ได้คะแนนเป็นที่ 2รองจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย คือ พรรคที่จะมีสิทธิ์ส่งคนลงรับเลือกตั้ง...โดยพรรคที่ 3 - 4 - 5 -6 ที่นอกจากจะต้องหลีกทางให้ พรรคที่ได้คะแนนเป็นที่ 2 โดยการไม่ส่งคนเข้าแข่งแล้ว..
ก็จะต้องช่วยนำหัวคะแนนไปร่วมด้วยช่วยหาเสียงให้....
ส่วนในจังหวัดเลือกตั้งอื่นๆ ...ก็ให้ทำในลักษณะเดียวกัน....
ยุทธวิธีนี้ ได้มีการเสนอมาตั้งแต่ เลือกตั้งใหญ่ครั้ง ธค 2550 แต่ตอนนั้นพรรคร่วมอื่นๆ ไม่เข้าร่วมมือด้วย จึงเหลือพรรคเข้าร่วมโครงการเพียงพรรค เพื่อแผ่นดิน... ยุทธวิธี นี้ จึงถูกพับเก็บไป
ต่อมายุทธวิธีนี้นี้ ได้นำมาปัดฝุ่นใช้ในการเลือกตั้งซ่อมมหาสารคามในครั้งนี้...
เพื่อเป็น "โมเดลทดลอง" ที่จะใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า....
การที่พรรคเพื่อไทย มีชัยชนะอย่างฉิวเฉียด...(อาจดูเหมือนอำมาตย์แพ้)..
แต่เป็น "โมเดลทดลอง" ที่รับรองได้ว่า ทำให้ฝ่ายเสธฯ ของ อำมาตย์ยิ้มได้พอสมควร..
และทำให้ โมเมนตั้มของการ "ยุบสภา" มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น...
แต่ถึงกระนั้น ณ. นาทีนี้ ยังคงไม่มีใครฟันธงไปได้ว่า "อำมาตย์ใหญ่ เค้าจะเลือกใช้วิธีไหนในการเดินเกมต่อไป....
ยุบสภา?....หรือ...ทางเลือกพิเศษกวาดล้มทั้งกระดาน (ซึ่งเป็นวิธีที่ดูเหมือนได้ผลเร็วแต่ผลที่ตามมายากต่อการควบคุม)
แต่การ ที่พรรคเพื่อไทย เอาชนะ ยุทธวิธี นี้ มาได้....นั่นก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า กระแสของท่านนายกทักษิณ และคนเสื้อแดงนั้น ก็ไม่ธรรมดา ไม่แผ่วอย่างที่ลิ่วล้ออำมาตย์พยายามปั่นกระแส.......
สรุปว่า....ชัยชนะของ ฝ่ายประชาธิปไตย ที่มหาสารคามนี้.....มี 2 นัยยะ...คือ
1) หากมองในนัยยะของ เก้าอี้ ที่เพิ่มขึ้น.... ฝ่ายประชาธิปไตย ได้เก้าอี้เพิ่มขึ้น ได้ชัยชนะ ได้ ส.ส. เพิ่มอีก 1 คน..
2) แต่หากมองในเรื่อง ยุทธศาสตร์.....การเลือกตั้งที่มหาสารคามนี้ ผลออกมา "เสมอกัน..."
เพราะยุทธวิธีของฝ่ายอำมาตย์อันนี้ ถือว่า "ใช้ได้" ....
เป็น ยุทธวิธี ที่ "หวังผล" ได้....ในการต่อสู้เลือกตั้งในครั้งหน้า
ส่วน ยุทธวิธี ของฝ่ายประชาธิปไตย...ก็ถือว่า "ใช้ได้".....
ในมุมที่สามารถต้านการ "รุมกินโต๊ะ" จากพรรคที่ 2+3+4+5 +6 ได้
โดยเฉพาะยังสามารถต้านกระแส "ใบสีเทา 2 ใบ" ที่ฝ่ายอำมาตย์ใช้โปรยหว่าน...รวมทั้ง ยังสามารถต้านทาน
การ "โปรยหว่านแบบใช้งบของรัฐ" ด้วย...
"โปรยหว่านแบบใช้งบของรัฐ" .....เช่น เมื่อกรณีต้นเดือน ธค 52....ที่มีการนำคนของ จังหวัดมหาสารคาม และ ปราจีนบุรี มาเที่ยวงานใน กทม.....
กิน เที่ยว ในงานแบบฟรีตลอดงาน....ก็ถือว่าเป็นการ "หว่าน" อีกแบบหนึ่ง
ทั้งยังเป็นการ "หว่าน" ที่ได้ 2 เด้ง คือ...
1) ได้ "หว่าน" ล่วงหน้า...
2) ได้ทำให้คนมาเที่ยวเต็มงาน แสดงความยิ่งใหญ่ของ นายห้อยผู้จัดงาน...ว่า...."สุดยอด ดดดดดดดดดดดด"
ที่สำคัญ..."คนหว่าน "ไม่ต้องชักเนื้อจากปากห้อยๆ ของตัวเอง...ซะอีก
จากความเห็นของคุณ Fanny ข้างต้น ผมมองว่ายุทธวิธีนี้ของอำมาตย์เป็นยุทธวิธีที่ "ค่อนข้างใช้ได้ของฝ่ายอำมาตย์" ถือเป็นการ "เอาไม้ซีกรวมกันเพื่องัดไม้ซุง" เป็นยุทธวิธีที่ดีทีสุด ที่จะสามารถรับกับสถานการณ์เช่นนี้ได้
ผมคิดว่ายุทธวิธีนี้จะได้ผลอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากการเมืองไทยยังเป็น "การเมืองระบบหลายขั้ว" เหมือนการเมืองก่อนปี 2540 ที่มีพรรคการเมืองกระจัดกระจาย แบ่งออกเป็นหลายๆ พรรค และประชาชนยังไม่ได้มี"จิตสำนึกการเลือกตั้งแบบเลือกแบบร่วมกัน"
นั่นเป็นกลยุทธ์ที่ดีเท่าที่จะสามารถใช้ได้ของอำมาตย์แล้วครับ
แต่ปีนี้ปี 2553 ปีที่ การขัดแย้งทางการเมือง เนิ่นนานมาเป็นเวลานาน จนทำลาย "กรอบความคิดแบบเดิมในใจของประชาชนไปหมดสิ้นแล้ว ผมว่า ตัวแปรสำคัญในช่วง "ร่วมสมัย" นี้คือ
1. พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนเปลี่ยนเป็นเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล อันนี้พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนในการเลือกตั้งหลังปี 2540 มาหลายครั้งแล้ว
2. การเมืองไทยปัจจุบันมีเพียงสองขั้ว โดยแบ่งอย่างง่ายๆ คือ เหลืองกับแดง หรือพูดให้ชัดคือ ขั้วทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ (เสรีนิยมอาจรวมสังคมนิยมแบบก้าวหน้าด้วย) กับขั้วอนุรักษ์นิยม ไม่มี "ทางเลือกที่สาม" ให้กับพรรคเล็ก ไม่มีพื้นที่ให้ยืนได้มากนัก นอกจากพื้นที่เขตอิทธิพลท้องถิ่นมานาน แบบสุพรรณบุรี แต่ก็ถูกกระแสความขัดแย้งดูดกลืนเข้าสู่สภาพการเมืองแบบสองขั้วสองพรรคไปมากแล้ว เหลือพื้นที่ทางอุดมการณ์ให้กับพรรคเล็กแทบไม่มี เมืองสุพรรณที่ไม่มีตระกูลศิลปอาชาลงแบบเต็มๆ อาจเสียพื้นที่ให้กับขั้วเสรีนิยมก้าวหน้า (เพื่อไทย) ก็เป็นได้
3. อบต./อบจ. มีบทบาททดแทน ความต้องการงบประมาณลงพื้นที่ จาก สส.เขตไปแทบหมดสิ้นแล้ว ประชาชนต้องการ สส.ในบทบาทระดับชาติ มากกว่าสร้างถนน สร้างบันไดศาลาวัด อะไรพวกนี้แล้ว อบต./อบจ. ทำหน้าที่แบบ ผู้ว่าฯ กทม. ไปแล้ว สส.จึงหมดความสำคัญส่วนนี้ไป บทบาทระหว่างการพัฒนาท้องถิ่น กับการเมืองระดับชาติมีเส้นพรมแดนที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว
4. พรรคเล็ก ไม่มีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจในระดับมหภาคมากมายนัก และนโยบายเศรษฐกิจระดับมหภาคมีผลต่อ "เงินในกระเป๋า" ของชาวบ้านหรือความกินดีอยู่ดี" มากกว่า "ความต้องการพัฒนาท้องถิ่นมากแล้ว คือ "ความยากแค้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน" แบบยุคก่อนๆ บรรเทาลงไปมากแล้ว ผมยังจำได้ สมัยก่อนจะเลือกตั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สส.จะเอารถเกรดมาเกรดถนนให้ แต่ พ.ศ. 2553 ทำแบบนี้ไม่เพียงพอแล้ว อบจ./อบต. ทำแทนไปแล้ว
5. ระบบการเลือกตั้งแบบ แบ่งรวมเขต จะฆ่าพรรคเล็กแทบจะสูญพันธุ์ ยกเว้นจะมีการแก้ไข รธน.ในส่วนนี้ แต่หากพรรคใหญ่ไม่เอาด้วย การแก้ไข รธน.ในส่วนนี้ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
6. มนต์ขลังเรื่องความซาบซึ้ง ไม่เป็นปัจจัยให้ได้คะแนนอีกต่อไป ผมเชื่อว่าพรรคที่ชูธงเรื่อง self-sufficient จะไม่ได้คะแนน แต่คนไม่กล้าแย้งออกมาทำให้คิดว่ายังมีมนต์ขลัง แต่เชื่อว่าพรรคที่ชูความซาบซึ้ง กับพรรคที่ชู "ทักษิณ ชินวัตร" ผมคิดว่าพรรคทักษิณ จะชนะถล่มทลาย ความซาบซึ้งไม่ได้ช่วยให้หายอดอยาก และมันสะท้อนถึงความสองมาตรฐาน ความไม่เป็นธรรมต่างๆ และที่สำคัญคนเริ่มคิดได้ว่า "ซาบซึ้ง" ไป ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่มีศาสนาใดสนับสนุน นอกจากความงมงายไปชั่วครู่
ผมว่าเงื่อนไขเหล่านี้ได้ "บั่นทอน" ยุทธวิธีนี้ของอำมาตย์ ทำให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ควรประมาทในเรื่องนี้ เพราะเขาอาจใช้ยุทธวิธีนี้+การโกง ก็อาจได้ชัยชนะในบางพื้นที่
ดังนั้น การเร่งการจัดตั้งเครือข่ายของคนเสื้อแดงลงไปยังชนบทจึงเป็นสิ่งสำคัญ
และที่สำคัญ "ต้องขายประชาธิปไตยกินได้" ไม่ใช่ "ประชาธิปไตยแบบอุดมการณ์"
คือต้องมี "แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ" แบบที่พรรคไทยรักไทยเคยทำ ต้องเริ่มทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนได้แล้ว เพราะประชาชน "หวังในส่วนนี้จากทักษิณ" ไม่ใช่ "นิยมทักษิณเพราะซาบซึ้งทักษิณเฉยๆ" แต่นิยมทักษิณเพราะทักษิณทำให้พวกเขามีอยู่มีกิน ชีวิตมีความหวัง ลูกได้เรียน ได้โอกาส ครอบครัวมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ต้องพัฒนา "ส่วนที่กินได้" ของประชาธิปไตยให้สมบูรณ์เหมือนพรรคไทยรักไทย
โอกาสของพรรคเพื่อไทยนั้นเหนือกว่าพรรคอื่นๆ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคนประชาชนเชื่อถือในตัวท่านทักษิณ ชินวัตร อยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีแผนงานโครงการต่างๆ ที่เป็น package ชัดเจน จับต้องได้ มีวิธีการปฏิบัติที่เชื่อถือได้ ไม่เพ้อฝันเลื่อนลอย
พรรคเล็กๆ แบบเนวินจะหาเสียงได้เพียงโครงการ แบบใช้เงินงบประมาณเท่านั้น เช่น ถนนไร้ฝุ่น พวกนี้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้มีบทบาทน้อยกว่า นโยบายเศรษฐกิจ ต่างๆ ที่เป็นภาพรวมใหญ่ ๆ ทำให้โอกาสของเนวินนั้นลดลง
แต่ก็ประมาทไม่ได้
หวยออนไลน์

ที่มา:หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ด้วยข่าวที่ไม่คาดคิด เมื่อนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศผ่านรายการโทรทัศน์ว่าไม่เห็นด้วยกับ “หวยออนไลน์” และได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาหาทางออกในเรื่องดังกล่าว ด้วยมีข้อผูกพันตามสัญญากับภาคเอกชน โดยได้มอบหมายให้ นายเกียรติ สิทธิอมร เป็นประธานฯและให้มีข้อสรุปภายใน 30 วัน
ความจริง นายอภิสิทธิ์ มีท่าที “อึกๆอักๆ” ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้รับผิดชอบกำกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ยังได้กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ได้พูดไว้เหมือนกันว่า “ไม่เอา” หวยออนไลน์ แต่ยังไม่ชัดเจน
กลับไปเช็คข่าวช่วงเดือนมิถุนายน 2552 จะพบว่า นายอภิสิทธิ์ บ่ายเบี่ยงที่จะ “ฟันธง” แต่แนวโน้มไม่เห็นด้วยมีมาก และกล่าวโดยสรุปว่า “ถ้าถามใจผม ผมไม่อยากให้มีการพนัน และไม่อยากไปมีส่วนส่งเสริมการพนัน แต่ว่าต้องดูประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งเขาต้องทำข้อมูลให้ผม ถึงเวลาต้องใช้ดุลยพินิจ และอธิบาย แต่ถึงแม้จะตัดสินใจยาก แต่ก็ต้องตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง”
ความไม่ชัดเจนนี้เองทำให้การเตรียมการดำเนินงานต่างๆเดินหน้าไปมาก จนมีข่าวว่าระบบหวยออนไลน์จะเริ่มเดินเครื่องและจำหน่ายได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ แต่เมื่อ นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกฯ พูดชัดถ้อยชัดคำถึงนโยบายที่จะยกเลิกโครงการ จึงสร้างความตกใจให้กับผู้ที่มีส่วนได้เสีย รวมไปถึงประชาชนกลุ่มต่างๆ เพราะเสมือนกลับหลังหันอีกครั้ง ทั้งๆที่เห็น “ฝั่ง” อยู่แค่เอื้อม
โครงการนี้เป็นโครงการที่ “คาราคาซัง” มานานนับปี ที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยต้องพิจารณา ในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลช่วง นายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯก็เคยสนับสนุนมาแล้ว ลองถาม นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯตำแหน่งเดียวกับ นายประดิษฐ์ ดูได้ แต่ทุกยุคทุกสมัยจะ “ติดๆขัดๆ” ด้วยผลประโยชน์ที่ขัดแย้ง และระบบการให้สัมปทานของไทยที่มีปัญหาช่องโหว่มากมาย ไม่ผิดกับที่ทำให้การสื่อสารระบบ 3G ต้องล่าช้ามาทุกวันนี้
บางครั้งการ “ไม่ตัดสินใจ” จึงเหมือนเป็นการปล่อยให้ความไม่ชัดเจนและความคลุมเครือเป็นตัวกำหนดนโยบายแบบ “ตกบันไดพลอยโจน” จนทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะนี้หลายครั้งหลายหน เช่น ในกรณีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และการจัดการตามมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ล่าช้ามีปัญหาทั้งในมิติการรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเศรษฐกิจที่มาบตาพุด
ดังนั้นไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ การที่ นายอภิสิทธิ์ มีท่าทีที่ “ชัดเจน” จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ “เครดิต” เพราะอย่างน้อยที่สุดก็กล้าที่จะ “ตัดสินใจ” ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แม้การตัดสินใจนี้จะ “ล่าช้า” และ “จวนตัว” เพราะใกล้วันเวลาดีเดย์เต็มที ที่ว่าล่าช้าและจวนตัวก็เนื่องจากเรื่องนี้มีการหารือมาอย่างต่อเนื่องในวงของรัฐบาล ไม่ว่าจะตัวนายกฯ นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ และสำนักงานสลากฯ ทั้ง นายประดิษฐ์ เองก็ยอมรับในการให้สัมภาษณ์ว่าได้ “ชี้แจง” ไปแล้วหลายครั้ง
การจัดทำโครงการหวยออนไลน์ หรือจะเป็นหวยรูปแบบอื่นๆที่ดำเนินการโดยรัฐหรือภายใต้สัมปทานที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น หลักการมีทั้งเรื่องของการที่จะทำให้สิ่งที่อยู่ “ใต้ดิน” ขึ้นมาอยู่ “บนดิน” ถึงแม้จะไม่สามารถทดแทนได้ 100% แต่ก็น่าจะมากพอ หากผู้บริโภคเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีบริการอย่างทั่วถึง เมื่อประกอบด้วยการปราบปรามที่เข้มแข็ง “หวยใต้ดิน” จะหมดไปในที่สุด เงินที่ไหลเวียนจะอยู่ในระบบ และไม่ไปใช้หมุนเวียนในวงการ “มิจฉาชีพ” ไม่ว่าจะยาเสพติด การพนันอื่นๆ หรือการค้าของเถื่อน
ที่จะมีข้อติดใจเห็นจะเป็นเรื่องที่รัฐควรหรือไม่ที่จะสนับสนุนให้ประชาชน “เล่นการพนัน” และเป็นการ “มอมเมา” อย่างที่ นายกฯอภิสิทธิ์ กล่าวอ้างหรือไม่ ตลอดจนระบบการให้สัมปทานและการบริหารจัดการที่อาจ “เอื้อประโยชน์” ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งยังเป็นการเปลี่ยน “โครงสร้างผลประโยชน์” เดิมของเจ้ามือหวยใต้ดิน และวงการล็อตเตอรี่
ในการบริหารราชการแผ่นดิน การเตรียมข้อมูลเพื่อตัดสินใจ จึงควรมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบที่มีความครบถ้วนในข้อเท็จจริงและทางเลือกนโยบาย ทั้งต้องรวมถึงความเสียหายที่อาจเกิดหากยกเลิกโครงการที่ผูกพันไปแล้ว โดยที่ข้อมูลเหล่านี้ควรอยู่ในมือนายกฯ และมีการ “ตัดสินใจร่วม” กับผู้เกี่ยวข้องในคณะรัฐบาล ตลอดจนควรมีการหารือในวงกว้างกับภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ก่อนนายกฯจะแสดงท่าทีใดๆออกมา
ไม่ใช่ตัดสินใจแล้ว จึงให้มีการไป “ศึกษา” ถึง “ทางออก” และที่สำคัญที่สุด ไม่ควรเป็นการตัดสินใจของนายกฯเพียงคนเดียว!!
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553
การเมืองปีเสือ ดุกว่าที่คิด!
ที่มา:บางกอกทูเดย์
การเมืองปีเสือดูเหมือนว่าเสือตัวนี้จะ “ดุ” ตั้งแต่ต้นปี...เมื่อมีเสียงขู่จาก “เสือเฒ่า ” อย่าง “ปู่จิ้น ”ชวรัตน์ชาญวีรกลูหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทยที่ออกมาเดินเกมรุกและทวงถาม 1 ใน 4 เงื่อนไขที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ รับปากจะดำเนินการก่อนที่ตกลงจัดตั้งรัฐบาลนั้น
คือ ข้อตกลงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ใน 6 ประเด็นตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ เสนอแต่หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกซื้อเวลาต่อไป...พรรคภูมิใจไทยก็อาจจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง โดยกล่าวทิ้งท้าย เพราะเกมการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ยังไม่รวมถึงท่าทีของ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” และ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่สะท้อนผ่านโฆษกพรรคที่พูดชัดเจนว่า พร้อมจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย หากเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญและนำฉบับปี 2540 มาใช้พร้อมยืนยันไม่
ได้ท้าทาย!แต่ที่ผ่านมา พรรคชาติไทยพัฒนา ก็ลดเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญมามากแล้ว ดังนั้นหากพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไข หรือยื้อเวลา พรรคชาติไทยพัฒนาก็จะไปจับมือแก้ไขกับพรรคอื่นแทนหากหลังปีใหม่ยังไม่มีความคืบหน้า จะทวงถามนายกรัฐมนตรีอีกครั้งนอกจากนี้ยังรวมถึงการปรับคณะรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นหลังจากวิทยา แก้วภราดัย ต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ มานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยจากพรรค
ภูมิใจไทย ที่กำลังรอการตัดสินใจจากผู้ใหญ่ของพรรคจากผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็ง ที่มี น.พ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน สรุปว่าทั้ง 2 คน เปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งแม้กระบวนการสอบสวนจะยังไม่เริ่มต้นและผู้ถูกกล่าวหายังไม่มีโอกาสชี้แจงแต่นายวิทยา ก็ชิง “ตัดกระแส” ด้วยการแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เพราะไม่ต้องการให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลเหล่านี้ ต่างเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด
แรงกระเพื่อม ทั้งต่อพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาล เพราะต่างก็ต้องการที่จะเป็นรัฐมนตรีเกมการเมืองจะร้อนแรงขึ้นอีกระดับหนึ่งเมื่อผสมกับ 2ปัจจัยแรก โดยในสมัยประชุมสภาที่จะเปิดขึ้นในวันที่ 21 มกราคมเป็นต้นไปพรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพื่อตีแผ่ให้สังคมรับรู้ข้อบกพร่องของรัฐบาล ทั้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และการไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานการเคลื่อนไหวในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะสอดประสาน
กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ประกาศชุมนุมขับไล่รัฐบาล ตั้งแต่กลางเดือนมกราคมนี้เป็นต้นไปแต่ความเคลื่อนไหวนอกสภาเหล่านี้ อาจจะไม่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง“ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นมากขึ้นทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการตัดสินใจทางการเมืองซึ่งหากข้อมูลในการอภิปรายฯ ของฝ่ายค้าน มีนํ้าหนักมากพอที่จะชี้ให้เห็นถึงการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐบาลได้ อาจเป็นปัจจัยที่พรรคร่วมฯ อาจนำมาพิจารณาว่าจะยก
มือสนับสนุนรัฐบาลหรือไม่” เสียงจากคนในพรรคร่วมรัฐบาลปัจจัยทางการเมืองทุกอย่างจะดำเนินการก่อน วันประกาศผลตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งกำลังงวดเข้ามาทุกขณะ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถตัดสินได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2553แต่ดูเหมือนว่าปัจจัยภายนอกที่กำลังกระหนํ่ารัฐบาลยังมีผลสู้ปัจจัยภายในไม่ได้จึงไม่แปลกที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลายคน ที่เมื่อวันที่3 ม.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ไปรวมตัวและหารือ
กันที่บ้านริมนํ้าของ “นายสุชาติ ตันเจริญ” แกนนำกลุ่มบ้านริมนํ้า เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองสอดคล้องกับท่าทีล่าสุดของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ที่ออกมาส่งสัญญาณว่าปัจจัยภายนอกจะไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล แต่หากเป็นความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล จะเป็นสิ่งเดียวที่ล้มรัฐบาลได้ภาพการเมืองในปีนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับรัฐบาลโอบามาร์ค ที่จะประคับประคองรัฐนาวาอภิสิทธิ์ ถึงฝั่งฝันได้ เพราะเกมการเมืองปีเสือ “ดุกว่าที่คิด”
การเมืองปีเสือดูเหมือนว่าเสือตัวนี้จะ “ดุ” ตั้งแต่ต้นปี...เมื่อมีเสียงขู่จาก “เสือเฒ่า ” อย่าง “ปู่จิ้น ”ชวรัตน์ชาญวีรกลูหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทยที่ออกมาเดินเกมรุกและทวงถาม 1 ใน 4 เงื่อนไขที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ รับปากจะดำเนินการก่อนที่ตกลงจัดตั้งรัฐบาลนั้น
คือ ข้อตกลงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ใน 6 ประเด็นตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ เสนอแต่หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกซื้อเวลาต่อไป...พรรคภูมิใจไทยก็อาจจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง โดยกล่าวทิ้งท้าย เพราะเกมการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ยังไม่รวมถึงท่าทีของ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” และ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่สะท้อนผ่านโฆษกพรรคที่พูดชัดเจนว่า พร้อมจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย หากเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญและนำฉบับปี 2540 มาใช้พร้อมยืนยันไม่
ได้ท้าทาย!แต่ที่ผ่านมา พรรคชาติไทยพัฒนา ก็ลดเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญมามากแล้ว ดังนั้นหากพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไข หรือยื้อเวลา พรรคชาติไทยพัฒนาก็จะไปจับมือแก้ไขกับพรรคอื่นแทนหากหลังปีใหม่ยังไม่มีความคืบหน้า จะทวงถามนายกรัฐมนตรีอีกครั้งนอกจากนี้ยังรวมถึงการปรับคณะรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นหลังจากวิทยา แก้วภราดัย ต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ มานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยจากพรรค
ภูมิใจไทย ที่กำลังรอการตัดสินใจจากผู้ใหญ่ของพรรคจากผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็ง ที่มี น.พ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน สรุปว่าทั้ง 2 คน เปิดช่องให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งแม้กระบวนการสอบสวนจะยังไม่เริ่มต้นและผู้ถูกกล่าวหายังไม่มีโอกาสชี้แจงแต่นายวิทยา ก็ชิง “ตัดกระแส” ด้วยการแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เพราะไม่ต้องการให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลเหล่านี้ ต่างเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด
แรงกระเพื่อม ทั้งต่อพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาล เพราะต่างก็ต้องการที่จะเป็นรัฐมนตรีเกมการเมืองจะร้อนแรงขึ้นอีกระดับหนึ่งเมื่อผสมกับ 2ปัจจัยแรก โดยในสมัยประชุมสภาที่จะเปิดขึ้นในวันที่ 21 มกราคมเป็นต้นไปพรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพื่อตีแผ่ให้สังคมรับรู้ข้อบกพร่องของรัฐบาล ทั้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และการไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานการเคลื่อนไหวในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะสอดประสาน
กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ประกาศชุมนุมขับไล่รัฐบาล ตั้งแต่กลางเดือนมกราคมนี้เป็นต้นไปแต่ความเคลื่อนไหวนอกสภาเหล่านี้ อาจจะไม่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง“ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นมากขึ้นทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการตัดสินใจทางการเมืองซึ่งหากข้อมูลในการอภิปรายฯ ของฝ่ายค้าน มีนํ้าหนักมากพอที่จะชี้ให้เห็นถึงการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐบาลได้ อาจเป็นปัจจัยที่พรรคร่วมฯ อาจนำมาพิจารณาว่าจะยก
มือสนับสนุนรัฐบาลหรือไม่” เสียงจากคนในพรรคร่วมรัฐบาลปัจจัยทางการเมืองทุกอย่างจะดำเนินการก่อน วันประกาศผลตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งกำลังงวดเข้ามาทุกขณะ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถตัดสินได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2553แต่ดูเหมือนว่าปัจจัยภายนอกที่กำลังกระหนํ่ารัฐบาลยังมีผลสู้ปัจจัยภายในไม่ได้จึงไม่แปลกที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลายคน ที่เมื่อวันที่3 ม.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ไปรวมตัวและหารือ
กันที่บ้านริมนํ้าของ “นายสุชาติ ตันเจริญ” แกนนำกลุ่มบ้านริมนํ้า เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองสอดคล้องกับท่าทีล่าสุดของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ที่ออกมาส่งสัญญาณว่าปัจจัยภายนอกจะไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล แต่หากเป็นความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล จะเป็นสิ่งเดียวที่ล้มรัฐบาลได้ภาพการเมืองในปีนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับรัฐบาลโอบามาร์ค ที่จะประคับประคองรัฐนาวาอภิสิทธิ์ ถึงฝั่งฝันได้ เพราะเกมการเมืองปีเสือ “ดุกว่าที่คิด”
แดง"ระดมพลบุก"เขายายเที่ยง"11ม.ค.ตั้งเป้าปิดเกมส์รบ.ใน7วัน ปูด2รมต.จุ้นคดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯ
ที่มา:มติชนออนไลน์
11 ม.ค. แกนนำเสื้อแดงระดมคนไร้ที่ทำกินบุกเขายายเที่ยง เล็ง 15 ม.ค.ถกวันชุมนุมใหญ่ ตั้งเป้าโค่นรัฐบาลใน 7 วัน "จตุพร"ปูด2 รมต.จุ้นคดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯ ยื้ออัยการสั่งฟ้องบิ๊กสีกากี หวังขาดอายุความ โฆษกรบ.โต้ทันควันซัดฝ่ายค้านพูดเลยเถิด
แดงระดมบุกเขายายเที่ยง11ม.ค.
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ยังเดินหน้าระดมคนบุกเขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา เพื่อจับจองที่ดินทำกิน เพื่อตอบโต้กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี มีการปลูกสร้างบ้านพักบนเขายายเที่ยง แต่การสอบสวนดำเนินคดีเป็นไปอย่างล่าช้าและยังไม่มีความชัดเจน โดยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 3 มกราคม ว่า แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนที่ไม่มีที่ทำกิน ไม่ว่าจะมีจิตใจเป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ก็ตาม ให้มาร่วมกันจับจองที่ดินทำกินให้กับตัวเองบริเวณรอบๆ เขายายเที่ยงได้ ในวันที่ 11 มกราคมนี้
"ในช่วงก่อนหน้านั้นจะรับบริจาคสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสังกะสี หลังคา โคเนื้อ โคนม และพืชผลทางเกษตรต่างๆ เพื่อนำไปแจกให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงและผู้ไร้ที่ทำกิน เพื่อร่วมกันสร้างที่อยู่อาศัย โดยมีนายวีระ มุสิกพงศ์ ตนและนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นคนนำขบวน" นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า ในประเทศไทยทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน หาก พล.อ.สุรยุทธ์มีบ้านพักอยู่ยอดเขายายเที่ยงได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แล้วทำไมประชาชนคนธรรมดาจะไม่มีโอกาสเข้าไปจับจองพื้นที่ทำกินรอบๆ บริเวณเขายายเที่ยงโดยไม่ผิดกฎหมายได้บ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรัฐบาลใช้กฎหมายบังคับในการจับจองที่ดินทำกิน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ต้องดูว่ารัฐบาลจะใช้กฎหมายข้อไหน หากเป็นข้อกฎหมายเดียวกับที่บังคับใช้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ประชาชนทุกคนสามารถจับจองที่ดินทำกินได้ แต่ถ้าคนละข้อมาบังคับใช้ รัฐบาลต้องเอาข้อกฎหมายที่บังคับใช้กับเราบังคับใช้กับพล.อ.สุรยุทธ์ด้วย เพราะพื้นที่ตรงนั้นอยู่ในพื้นที่เขายายเที่ยงเหมือนกัน และหากมีการตรึงกำลังตำรวจหรือทหาร กลุ่มคนเสื้อแดงและประชาชนผู้ไร้ที่ทำกินจะขึ้นไปเชิญคนที่อยู่ในบ้าน พล.อ.สุรยุทธ์ ลงมาจากเขายายเที่ยงด้วย เพราะถือว่าไม่มีใครมีสิทธิครอบครองพื้นที่
ตั้งเป้าชุมนุมใหญ่จบภายใน7วัน
นายจตุพรแกนนำคนเสื้อแดงกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในช่วงปลาเดือนมกราคมว่า ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน คาดหลังเสร็จภารกิจการบุกขึ้นทวงความยุติธรรมที่เขายายเที่ยงวันที่ 11 มกราคม และหลังวันที่ 15 มกราคม หรืออาจวันที่ 15 มกราคม จะนัดประชุมแกนนำเสื้อแดงกำหนดวันชุมนุมใหญ่ได้ เบื้องต้นการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้วางหลักการเอาไว้ว่า 1.จะเป็นการชุมนุมครั้งเดียวแล้วจบ และหลังจากนี้จะไม่มีการชุมนุมอีก 2.ต้องเลือกในจุดที่ได้เปรียบที่สุด ซึ่งตรงนี้ทำให้ยังไม่สามารถกำหนดวันชุมนุมใหญ่ได้ เพราะต้องเตรียมความพร้อมให้สมบูรณ์ที่สุด ในการรับมือกับประชาชนที่จะมาร่วมชุมนุม 1 ล้านคน ที่จะเต็มไปทั้งสนามหลวง ถนนราชดำเนิน ลานพระบรมรูปทรงม้า และทำเนียบรัฐบาล ที่จะต้องมีการมาร์คจุดต่างๆ ตลอดเส้นทางทุกพื้นที่ที่มีผู้ชุมนุม โดยวางเป้าหมายว่าการชุมนุมครั้งนี้จะไม่ยาวนาน เพราะทุกอย่างจะจบลงได้ภายใน 7 วัน
ปูด2รมต.จุ้นคดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯ
นายจตุพรกล่าวถึงกระแสข่าวทางการซาอุดีอาระเบียเตรียมตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย 100 เปอร์เซ็นต์ว่า สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียนั้นมี 3 คดี คือ 1 คดีเพชรซาอุฯ 2.คดีฆ่านักการทูตชาวซาอุฯ และ 3.คดีอุ้ม-ฆ่านักธุรกิจชาวซาอุ ฯ(นายโมฮัมหมัด อัลรูไวรี) ซึ่งจะหมดอายุความอีกประมาณ 1 เดือนข้างหน้า คดีนี้ทางการซาอุดีอาระเบียจับตาดูมาก โดยอุปทูตซาอุฯประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าว่าไทยมีโอกาสที่จะฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุฯ คือในวันที่ 29 ธันวาคม 2552 อัยการของไทยจะพิจารณาสั่งฟ้องคดีอุ้ม-ฆ่านักธุรกิจชาวซาอุฯ ที่มี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 เป็นจำเลย แต่พอถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2552 อัยการไทยกลับสั่งเลื่อนการสั่งฟ้องออกไปเป็นวันที่ 12 มกราคม 2553 ทำให้ทางการซาอุฯไม่พอใจมาก
"ในทางการข่าวเรื่องนี้คณะทำงานที่เป็นผู้ประสานงานคดีนี้ได้แจ้งมาที่ผมให้ทราบว่าทางการซาอุฯจับตาเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะมันหมายถึงสายป่านสุดท้ายที่ประเทศไทยจะคืนความยุติธรรมให้กับคนซาอุฯที่เสียชีวิตไป เพราะจากวันที่ 12 มกราคม ไปอีกราว 1 เดือนคดีจะหมดอายุความ หากถึงวันแล้วอัยการยังสั่งเลื่อนฟ้องไปอีก แบบที่แสดงให้เห็นว่าตั้งใจจะให้คดีหมดอายุความเพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว ก็จะได้เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่" นายจตุพรกล่าว
นายจตุพรกล่าวว่า ทราบว่า มีการข่าวที่ชัดเจนว่าทางการของซาอุฯพบความเคลื่อนไหวของบุคคลในรัฐบาลไทยอย่างน้อย 2 คน เป็นถึงระดับรัฐมนตรีร่วมคณะกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยทั้ง 2 คนนี้เป็นอดีตเจ้านายและลูกน้องกัน แต่วันนี้คนหนึ่งอยู่ใน ปชป. ส่วนอีกคนอยู่นอก ปชป. พยายามวิ่งเต้นคดีนี้เพื่อไม่ให้อัยการสั่งฟ้อง เพราะต้องการช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว โดยการเอาความสัมพันธ์ของประเทศไทยและซาอุฯไปแลก
11 ม.ค. แกนนำเสื้อแดงระดมคนไร้ที่ทำกินบุกเขายายเที่ยง เล็ง 15 ม.ค.ถกวันชุมนุมใหญ่ ตั้งเป้าโค่นรัฐบาลใน 7 วัน "จตุพร"ปูด2 รมต.จุ้นคดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯ ยื้ออัยการสั่งฟ้องบิ๊กสีกากี หวังขาดอายุความ โฆษกรบ.โต้ทันควันซัดฝ่ายค้านพูดเลยเถิด
แดงระดมบุกเขายายเที่ยง11ม.ค.
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ยังเดินหน้าระดมคนบุกเขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา เพื่อจับจองที่ดินทำกิน เพื่อตอบโต้กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี มีการปลูกสร้างบ้านพักบนเขายายเที่ยง แต่การสอบสวนดำเนินคดีเป็นไปอย่างล่าช้าและยังไม่มีความชัดเจน โดยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 3 มกราคม ว่า แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนที่ไม่มีที่ทำกิน ไม่ว่าจะมีจิตใจเป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ก็ตาม ให้มาร่วมกันจับจองที่ดินทำกินให้กับตัวเองบริเวณรอบๆ เขายายเที่ยงได้ ในวันที่ 11 มกราคมนี้
"ในช่วงก่อนหน้านั้นจะรับบริจาคสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสังกะสี หลังคา โคเนื้อ โคนม และพืชผลทางเกษตรต่างๆ เพื่อนำไปแจกให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงและผู้ไร้ที่ทำกิน เพื่อร่วมกันสร้างที่อยู่อาศัย โดยมีนายวีระ มุสิกพงศ์ ตนและนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นคนนำขบวน" นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า ในประเทศไทยทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน หาก พล.อ.สุรยุทธ์มีบ้านพักอยู่ยอดเขายายเที่ยงได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แล้วทำไมประชาชนคนธรรมดาจะไม่มีโอกาสเข้าไปจับจองพื้นที่ทำกินรอบๆ บริเวณเขายายเที่ยงโดยไม่ผิดกฎหมายได้บ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรัฐบาลใช้กฎหมายบังคับในการจับจองที่ดินทำกิน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ต้องดูว่ารัฐบาลจะใช้กฎหมายข้อไหน หากเป็นข้อกฎหมายเดียวกับที่บังคับใช้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ประชาชนทุกคนสามารถจับจองที่ดินทำกินได้ แต่ถ้าคนละข้อมาบังคับใช้ รัฐบาลต้องเอาข้อกฎหมายที่บังคับใช้กับเราบังคับใช้กับพล.อ.สุรยุทธ์ด้วย เพราะพื้นที่ตรงนั้นอยู่ในพื้นที่เขายายเที่ยงเหมือนกัน และหากมีการตรึงกำลังตำรวจหรือทหาร กลุ่มคนเสื้อแดงและประชาชนผู้ไร้ที่ทำกินจะขึ้นไปเชิญคนที่อยู่ในบ้าน พล.อ.สุรยุทธ์ ลงมาจากเขายายเที่ยงด้วย เพราะถือว่าไม่มีใครมีสิทธิครอบครองพื้นที่
ตั้งเป้าชุมนุมใหญ่จบภายใน7วัน
นายจตุพรแกนนำคนเสื้อแดงกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในช่วงปลาเดือนมกราคมว่า ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน คาดหลังเสร็จภารกิจการบุกขึ้นทวงความยุติธรรมที่เขายายเที่ยงวันที่ 11 มกราคม และหลังวันที่ 15 มกราคม หรืออาจวันที่ 15 มกราคม จะนัดประชุมแกนนำเสื้อแดงกำหนดวันชุมนุมใหญ่ได้ เบื้องต้นการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้วางหลักการเอาไว้ว่า 1.จะเป็นการชุมนุมครั้งเดียวแล้วจบ และหลังจากนี้จะไม่มีการชุมนุมอีก 2.ต้องเลือกในจุดที่ได้เปรียบที่สุด ซึ่งตรงนี้ทำให้ยังไม่สามารถกำหนดวันชุมนุมใหญ่ได้ เพราะต้องเตรียมความพร้อมให้สมบูรณ์ที่สุด ในการรับมือกับประชาชนที่จะมาร่วมชุมนุม 1 ล้านคน ที่จะเต็มไปทั้งสนามหลวง ถนนราชดำเนิน ลานพระบรมรูปทรงม้า และทำเนียบรัฐบาล ที่จะต้องมีการมาร์คจุดต่างๆ ตลอดเส้นทางทุกพื้นที่ที่มีผู้ชุมนุม โดยวางเป้าหมายว่าการชุมนุมครั้งนี้จะไม่ยาวนาน เพราะทุกอย่างจะจบลงได้ภายใน 7 วัน
ปูด2รมต.จุ้นคดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯ
นายจตุพรกล่าวถึงกระแสข่าวทางการซาอุดีอาระเบียเตรียมตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย 100 เปอร์เซ็นต์ว่า สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียนั้นมี 3 คดี คือ 1 คดีเพชรซาอุฯ 2.คดีฆ่านักการทูตชาวซาอุฯ และ 3.คดีอุ้ม-ฆ่านักธุรกิจชาวซาอุ ฯ(นายโมฮัมหมัด อัลรูไวรี) ซึ่งจะหมดอายุความอีกประมาณ 1 เดือนข้างหน้า คดีนี้ทางการซาอุดีอาระเบียจับตาดูมาก โดยอุปทูตซาอุฯประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าว่าไทยมีโอกาสที่จะฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุฯ คือในวันที่ 29 ธันวาคม 2552 อัยการของไทยจะพิจารณาสั่งฟ้องคดีอุ้ม-ฆ่านักธุรกิจชาวซาอุฯ ที่มี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 เป็นจำเลย แต่พอถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2552 อัยการไทยกลับสั่งเลื่อนการสั่งฟ้องออกไปเป็นวันที่ 12 มกราคม 2553 ทำให้ทางการซาอุฯไม่พอใจมาก
"ในทางการข่าวเรื่องนี้คณะทำงานที่เป็นผู้ประสานงานคดีนี้ได้แจ้งมาที่ผมให้ทราบว่าทางการซาอุฯจับตาเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะมันหมายถึงสายป่านสุดท้ายที่ประเทศไทยจะคืนความยุติธรรมให้กับคนซาอุฯที่เสียชีวิตไป เพราะจากวันที่ 12 มกราคม ไปอีกราว 1 เดือนคดีจะหมดอายุความ หากถึงวันแล้วอัยการยังสั่งเลื่อนฟ้องไปอีก แบบที่แสดงให้เห็นว่าตั้งใจจะให้คดีหมดอายุความเพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว ก็จะได้เห็นว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่" นายจตุพรกล่าว
นายจตุพรกล่าวว่า ทราบว่า มีการข่าวที่ชัดเจนว่าทางการของซาอุฯพบความเคลื่อนไหวของบุคคลในรัฐบาลไทยอย่างน้อย 2 คน เป็นถึงระดับรัฐมนตรีร่วมคณะกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยทั้ง 2 คนนี้เป็นอดีตเจ้านายและลูกน้องกัน แต่วันนี้คนหนึ่งอยู่ใน ปชป. ส่วนอีกคนอยู่นอก ปชป. พยายามวิ่งเต้นคดีนี้เพื่อไม่ให้อัยการสั่งฟ้อง เพราะต้องการช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว โดยการเอาความสัมพันธ์ของประเทศไทยและซาอุฯไปแลก
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
Who are the Red Shirt?

แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
ฉันเพิ่งกลับมาจากการฉลองปีใหม่ ซึ่งคุณบางคนอาจจะสงสัย แต่เดาได้ถูกเป๊ะเลยว่า ปีใหม่ของฉันเต็มไปด้วยการเสพสมที่โลดโผน
แต่ฉันได้พบเพื่อนใหม่ ทั้งชาวอเมริกันและชาวญี่ปุ่น และพวกเขาบอกฉันว่า เขาสงสัยว่าเสื้อแดงเป็นใครกัน ดังนั้นฉันจึงต้องการให้ผู้อ่านไทยอินเทลได้ทราบเพียงสั้นๆว่า ใครที่ร่วมในการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงและแกนนำทางยุทธการของเสื้อแดง:
ใจ อึ๊งภากรณ์: คนโปรดของฉันเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ท่าทีที่เขาต้องการให้ประเทศไทยเป็นสาธารณะรัฐ แต่เพราะใจเป็นนักเสรีนิยมที่แน่วแน่ และกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด กลุ่มการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงมีหลายคนที่เห็นด้วยกับใจ แต่สำหรับท่าทีของใจในประเด็นสาธารณรัฐนั้น หมายถึงว่า ใจจะต้องเงียบและสงบลงให้มากกว่านี้ และต้องปล่อยให้แกนนำแสดงอย่างที่เป็นอยู่ ไม่ว่าใจจะเป็นอย่างไรก็ตาม ใจยังเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นอย่างเหนียวแน่นในขั้นตอนของประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน และด้วยเหตุนี้ เป็นเวลาหลายปีที่ใจปฏิเสธเสื้อแดง และเมื่อเขาร่วมกับเสื้อแดง เขากล่าวว่า ผู้ที่มีความเชื่อในเสรีภาพทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อต่อสู้กับการปกครองภายใต้อำมาตย์ในประเทศไทย ฉันชอบประโยคนี้มาก
ทักษิณ ชินวัตร: ฉันก็ชอบทักษิณนะ พูดได้ว่าเขาเป็นผู้ออกมาต่อสู้กับความเพี้ยนทั้งหมด รับการถูกโจมตี และกับความล้มเหลวทั้งหลาย แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ ทักษิณเป็นคนแปลกที่ว่า เขาเป็นฝ่ายขวาที่สามารถใช้อำนาจในทางผิด แต่ขวาจัดอย่างเขายังมีความเชื่อในประชาธิปไตย อย่างน้อยยังมากกว่านักการเมืองไทยน้ำเน่าแบบเดิมๆ และพวกชนชั้นอำมาตย์ ทักษิณมีทั้งเงิน และความสามารถในการบริหาร สองสิ่งนี้สำคัญสำหรับการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง แต่ทักษิณอาจมีจุดอ่อนในด้านการวางกุศโลบายที่ว่าประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป
เสธ.แดงและพัลลภ: บุคคลสองคนนี้มีประวัติต่อต้านสิทธิมนุษยชน เทียบเท่ากับพวกเสื้อเหลือง ฉันไม่ชอบเอาเสียเลย ทั้งสองดูน่าเอ็นดูเมื่อแสดงความขึงขังประหนึ่งจะออกรบ และท้าทายอำนาจที่เหนือกว่าจากปีศาจของประเทศไทย นั่นคือการปกครองของอำมาตย์ ดังนั้นฉันจึงไม่ทราบจริงๆว่าบุคคลทั้งสองนี้เป็นคนดี หรือเป็นคนเลวกันแน่ แต่พวกเขาดูเหมือนจะเป็นตัวช่วยอย่างมากต่อการจัดตั้งกองกำลังเสื้อแดงให้เปรียบเสมือนกองทัพ เสื้อแดงจำนวนมากมายที่นิยมบุคคลทั้งสองนี้เป็นอย่างมาก
จักรภพ: นี่คือโฉมหน้าของเสื้อแดงที่ต่างชาติให้ความนับถือ คล้ายกับประชาสัมพันธ์ แต่จักรภพมีหลักการที่มั่นคงเบื้องหลังความเป็นนักประชาสัมพันธ์ของเขา และสื่อต่างชาติรักจักรภพ เช่นเดียวกับใจ จักรภพลี้ภัยอยู่นอกประเทศไทย แต่แนวคิดสาธารณรัฐของจักรภพไม่รุนแรงเท่าใจ คือยังไงก็ได้ จักรภพได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากบางคนในการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง โดยเฉพาะในเสื้อแดงที่มีการศึกษาสูง เขาเป็นผู้มีความน่าเชื่อถือ และให้ความหมายของการเคลื่อนไหวกับหลายๆคน
แกนนำสามเกลอ: ถือได้ว่าเป็นแกนนำเสื้อแดงอย่างเป็นทางการ จะเห็นบุคคลเหล่านี้ตลอดเวลาเมื่อมีการแถลงต่อนักข่าว ได้มีความพยายามที่จะจัดโครงสร้างแกนนำเสื้อแดงซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ไว้ปกป้อง แต่เห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องยากที่จะให้บุคคลอย่างทักษิณและพัลลภเป็นผู้นำ โดยเฉพาะหากมีการประท้วงที่รุนแรงในภายหน้าซึ่งต้องการคำสั่งที่เด็ดขาด ภายใต้การบังคับบัญชา โดยทั่วไปแล้ว แกนนำทั้งสามนี้เป็นแค่ตัวประสาน ระหว่างผู้สนับสนุนซึ่งนิยมในเสื้อแดงและแกนนำตัวจริงของเสื้อแดง บางคนพูดว่าสามเกลอนี้ไม่ได้เป็นความมุ่งหมายที่ดีที่สุดของเสื้อแดง และบางครั้งด้วยเหตุผลที่แย่ แต่ฉันคิดว่า เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงที่จะได้ดู ทั้งบ้าระห่ำและพิลึก
ชวลิต ยงใจยุทธ: ชวลิตมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำเสื้อแดงเนื่องจากช่วยวางกลยุทธให้ทักษิณ และทักษิณเป็นหัวใจของเสื้อแดง ดังนั้นชวลิตต้องคอยตรวจกระแสเสื้อแดง รวมไปถึงแนวโน้มที่จะต้องจัดกองกำลังในแผนการนั้น แต่อย่าหวังว่าชวลิตจะออกตัวว่าเป็นเสื้อแดง ชวลิตค่อนข้างจะทำตัวเป็นกุนซืออยู่หลังฉากแทนที่จะเป็นฝ่ายแนวหน้า ชวลิตเชื่อมั่นว่าจะหาคำตอบในความขัดแย้งทางการเมือง และปฏิเสธการทำสงครามด้วยเหตุผลที่ว่า ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย ชวลิตมาร่วมกับทักษิณซึ่งต้องการแนวทางแห่งยุทธวิธีเป็นอย่างมาก และเพื่อเป็นที่พึ่ง
จาตุรนต์ ฉายแสง: จาตุรนต์เป็นนักวิชาการ และผู้นำทางทฤษฎีของการเคลื่อนไหวเสื้อแดง เป็นเพียงบุคคลเดียวซึ่งออกมากล่าวว่า ทักษิณเป็นเพียงผู้นำคนเดียวในจำนวนหลายคนของเสื้อแดง ทำเอาจาตุรนต์ต้องตกที่นั่งลำบาก แต่จาตุรนต์มีผู้สนับสนุนมากในบรรดาเสื้อแดง โดยเฉพาะผู้ซึ่งต้องการให้มีการแยกกันระหว่างผลประโยชน์ของทักษิณ และผลประโยชน์ของเสื้อแดง จาตุรนต์ใกล้ชิดกับอาจารย์ชั้นนำของประเทศไทยซึ่งมีความคิดแนวเสรีนิยม และเป็นกุญแจสำคัญที่โยงกับชนชั้นสูงบางคน ที่เชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยของระบบชนชั้นในประเทศไทย
ทหารไหลเข้าร่วมเสื้อแดง: นอกจากเสธ.แดงและพัลลภแล้ว ได้มีอดีตนายทหารจำนวนมากเข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวเสื้อแดง ความเกี่ยวข้องของพวกเขานี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการฉวยโอกาส และการตอบโต้ในการกระทำของอำมาตย์ต่ออาชีพของพวกเขา ถ้ารวมปรัชญาเข้ากับทฤษฎีแล้ว อาจจะเป็นไปได้ที่ทหารเหล่านี้เป็นทหารประชาธิปไตย – ซึ่งแยกตัวเองออกมาจากเสธ.แดงและพัลลภซึ่งเป็นพวกขวาจัด จนถึงเวลานี้การลุกขี้นของพวกเขาต่อการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงยังคงสงบนิ่ง เนื่องจากลัทธิคลั่งชาติที่กำลังทวีความดุเดือด และพวกคลั่งเจ้าอย่างสุดขั้วกำลังครอบครองประเทศไทย และพวกเขาอาจจะถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้ทรยศ” แต่ฉันเดาว่าไม่ช้าก็เร็ว ทหารกลุ่มนี้จะปรากฏตัวขึ้นมา เป็นกองกำลังที่มีอำนาจมากของการเคลื่อนไหวเสื้อแดง
ไทยอีนิวส์เสื้อแดง: ผู้อ่านไทยอีนิวส์มีการศึกษา และเป็นชนชั้นกลางซึ่งเป็นหัวใจของการสนับสนุนเสื้อแดง เมื่อถูกถามว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรต่อสิ่งเหล่านี้ หลายคนกล่าวว่า พวกเขาคิดว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงจำเป็นต้องเน้นเรื่องประชาธิปไตย และความเท่าเทียมทางสังคม และไม่ใช่แค่เฉพาะทักษิณ กลุ่มนี้ประกอบไปด้วยเสื้อแดงจากกรุงเทพส่วนใหญ่ และมีท่าทีคล้ายกับจักรภพและจาตุรนต์ พวกเขานิยมการพูดอย่างเปิดอกและเปิดเผย และพวกเขาส่วนใหญ่เป็นกลางๆในเรื่องความเป็นสาธารณรัฐ พวกเขาเป็นร้อยละ ๒๐ ของเสื้อแดง
วิทยุชุมชนคนเสื้อแดง: ผู้ติดตามฟังวิทยุชุมชนเสื้อแดงเป็นกลุ่มที่แปลก แต่เป็นหัวใจของเสียงสนับสนุนจากประชาชนชาวเสื้อแดง พวกเขามีจำนวนร้อยละ ๘๐ ของเสื้อแดงทั้งหมด พวกเขาเป็นทั้งผู้ที่นิยมสาธารณรัฐอย่างสุดๆ และพวกเสรีนิยมสุดขั้วจนเกือบจะเข้าขั้นคอมมิวนิสต์ พวกเขาเป็นทั้งที่จนสุดจน และหลายคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่ร่ำรวยนอกกรุงเทพ ทักษิณและประชาธิปไตย ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้กลุ่มนี้มีการร่วมกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเนื่องจาก ถ้าทักษิณไม่คอยตรวจกระแสของผู้นิยมจำนวนมหาศาลของเขาแล้ว ทักษิณอาจจะต้องอยู่ในข่ายขวาจัดอย่าง เสธ.แดงและพัลลภ
ทักษิณทวิตชาวเสื้อแดง: เป็นการเปิดเผยตัวของทักษิณต่อผู้ที่ชื่นชมเขา เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่า มีผู้ติดตามทวิตเตอร์ของทักษิณประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน ซึ่งเราหมายถึงว่ามีผู้ชื่นชมทักษิณจำนวนมากต่อการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงแบบนี้ เทอรี่ บรรณาธิการของบล็อกนี้นิยมในทักษิณ แต่ฉันไม่ได้นิยม ฉันชอบใจ จาตุรนต์และจักรภพมากกว่า เนื่องจากฉันคิดว่า การวางรากฐานของประชาธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทย แต่การทวิตเตอร์กับทักษิณดูเหมือนจะพูดได้ว่า มีคนไทยจำนวนมากซึ่งยังหวังที่จะมอบภาระทั้งหมดให้อยู่ในมือของทักษิณ และทำตามทักษิณ
สรุป: ถ้าฉันลืมเรื่องอะไรไป ก็ต้องขอโทษด้วย สมองของฉันยังอื้อ และยังหมุนอยู่ในเต็นท์ที่ดอยอินทนนท์ กับทั้งหญิงและชายที่ทั้งบ้าบอ และประสาทอย่างฉัน
บทสรุปคือ การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงมีทั้งพวกขวาจัด พวกกลางๆค่อนข้างออกขวา พวกฝ่ายซ้าย พวกที่มีความคิดแบบสาธารณรัฐ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน – ไปจนถึงความคิดขั้นคอมมิวนิสต์ในเสื้อแดง แน่นอนย่อมรวมถึงผู้ชื่นชมในตัวทักษิณ ปัจจัยเดียวที่ทำให้มีการรวมกัน ตามความคิดของฉัน คือ “ความเกลียดชังร่วมกัน” ต่อระบบเผด็จการและระบบชนชั้น
ฉันยังสงสัยและเป็นห่วงว่า หากเสื้อแดงชนะได้อำนาจกลับคืนมาอีกครั้ง ประเทศไทยจะมุ่งหน้าไปทางไหน
ฉันหมายถึงว่า แน่ล่ะ ประชาธิปไตยจะรุ่งเรือง โดยได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่จะเป็นรัฐเอียงขวา รัฐเป็นกลาง รัฐกึ่งเสรีนิยม และรัฐคอมมิวนิสต์ หรือจะเป็นรัฐที่มีการรอมชอม
วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553
"จตุพร"ปูดซาอุฯเตรียมตัดสัมพันธ์การทูตไทย100% ลั่นตอบโต้"เทพเทือก"สาสม ใส่ร้าย"แม้ว"จัดทัพเสื้อแดง

ที่มา: มติชนออนไลน์
"จตุพร"เผยซาอุฯ เตรียมตัดสัมพันธ์การทูตกับไทยแบบเด็ดขาด เหตุพบคนระดับสูงในรัฐบาลวิ่งเต้นไม่ให้อัยการสั่งฟ้อง-เลื่อนสั่งคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจ กร้าวตอบโต้"สุเทพ"อย่างสาสม ใส่ร้าย"แม้ว"จัดทัพเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ปลาย ม.ค.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) แกนนำมวลชนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 มกราคม ตอบโต้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่ระบุพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้จัดทัพเสื้อแดงเป็น 3 ระดับในการชุมนุมใหญ่ช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยตั้งเป้าล้มคนเหนือรัฐบาลว่า นายสุเทพ นั้นมักรู้แต่เรื่องของคนอื่น โดยไม่เคยได้หันไปมองตัวเอง การที่นายสุเทพ ออกมาพูดว่ามีการจัดทัพคนเสื้อแดงเป็น 3 ระดับนั้นเป็นเพียงการตีปลาหน้าไซ แต่ขอให้นายสุเทพ รู้ไว้ว่าคนเสื้อแดงจะไม่ยอมให้นายสุเทพ ทำร้ายได้เหมือนในช่วงเหตุการณ์เดือนเมษายน 2552 อีกแล้ว และการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้นายสุเทพ จะได้รับการการตอบโต้อย่างสาสม
"การชุมนุมใหญ่ครั้งนี้คนเสื้อแดง เตรียมตัวอย่างดี โดยจะมีการโหมโรงก่อนการชุมนุมใหญ่หลายครั้งหลังจากนี้ โดยเริ่มจากวันที่ 9-10 มกราคม นายสุพร อัฒถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย แกนนำคนเสื้อแดง จะนำประชาชนบุกพื้นที่เขายายเที่ยง จากนั้นเราจะมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบของดาวกระจายครั้งใหญ่ไปยังสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของการสองมาตรฐานและอยุติธรรมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีก 1-2 แห่ง เหมือนกับที่ไป กกต. (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) และเขายายเที่ยงอีก แต่จะเป็นทัพใหญ่ที่นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ ผมและนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง พร้อมด้วยประชาชนจำนวนมากเท่าๆกับการชุมนุมใหญ่ ซึ่งจะเป็นการอุ่นเครื่องจากนั้นจะมีการประกาศนัดหมายชุมนุมใหญ่ทันที โดยการชุมนุมใหญ่จะเกิดขึ้นภายในเดือนมกราคมอย่างแน่นอน"
นายจตุพร กล่าวถึงกรณี นายสุเทพ ระบุ ได้ตรวจสอบผู้นำประเทศเพื่อนบ้านแล้วพบ มีเพียงกัมพูชาประเทศเดียวที่ยังให้ความช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณว่าหากเป็นจริงอย่างที่นายสุเทพ พูดแล้วทำไมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำไมมีผู้นำอาเซียนเพียง 3-4 ประเทศเข้าร่วมในพิธีเปิด และล่าสุดไม่รู้นายสุเทพ ทราบหรือไม่ว่าซาอุดิอาระเบียกำลังพิจารณาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยแบบร้อยเปอร์เซ็น เพราะทางซาอุดิอารเบียพบว่ามีบุคคลระดับสูงของรัฐบาลไทยพยายามเข้าไปวิ่งเต้นเพื่อให้อัยการสั่งไม่ฟ้องและเลื่อนการสั่งคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุดิอารเบีย ที่มี พล.อ.สมคิด บุญถนอม เป็นจำเลย เพื่อช่วยคนที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล โดยถ้ามีการเลื่อนออกไปอีกจะทำให้คดีหมดอายุความ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า การจัดเตรียมทัพใหญ่ของคนเสื้อแดงสำหรับการชุมนุมใหญ่นั้นเป็นเพียงการปรับยุทธศาสตร์ เอาจุดด้อยมาแก้ไขและปรับยุทธวิธีการเคลื่อนไหวเท่านั้น โดยไม่ได้มีการจัดทัพเป็น 3 ทัพแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เชื่อว่าหลังวันที่ 15 มกราคมจะประกาศกำหนดวันนัดชุมนุมใหญ่ได้แน่นอน และหากเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะได้เห็นการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นครั้งสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหลังการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้นายอภิสิทธิ์ จะมีสถานะเพียงอดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
หรือไม่อยากเป็นมนุษย์?
โดย: นิติภูมิ นวรัตน์
ความกังวลใจกรณีความรังเกียจ เดียดฉันท์ไทยจากประเทศเพื่อนบ้านมีมากขึ้น
นิติ ภูมิไม่ได้นึกเองเขียนเองนะครับ แต่มีผู้คนสำรวจตรวจข่าวจากสื่อมวลชนของเพื่อนบ้านฉบับต่างๆ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ประเทศไทยในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์บริหาร ยุคที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศนั้น เป็นยุคที่ภาพพจน์ของรัฐไทยตกต่ำย่ำแย่ที่สุด
หลาย ชาติที่เคยมีสถานะในแวดวงระหว่างประเทศด้อยกว่าเรา เดี๋ยวนี้กลับมีสถานะแข็งแรงขึ้น ได้รับความร่วมมือดีขึ้น เสพจากสื่อของรัฐบาลไทย ท่านอาจจะมองว่ากัมพูชาเป็นประเทศราคาน้อยด้อยค่ากว่าไทย ทว่าในความเป็นจริง เดี๋ยวนี้เขมรผงาดความน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็นเบอร์ต้นๆ ในแวดวงระหว่างประเทศแล้ว
พ.ศ.2553 นี่แหละ ที่กัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมรบกับชาติสำคัญในโลกมากกว่า 20 ประเทศ ประเทศที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นมากในการกระดิกพลิกตัวของกัมพูชาในครั้งนี้ก็ คือสหรัฐอเมริกา เพราะสหรัฐฯ ทุ่มเงินทั้งหมดในการช่วยกัมพูชาในการซ้อมรบใน พ.ศ.2553 โดยที่ตนกระโจนเข้าร่วมซ้อมรบในครั้งนี้ด้วย
เป็นธรรมดาละครับ เมื่อชาติต่างๆเห็นว่าประเทศไทยในปัจจุบันทุกวันนี้อ่อนแอ มีรัฐบาลที่พึ่งพาไม่ได้ คบหาสมาคมไปก็ไร้ประโยชน์ ก็หันไปคบประเทศอื่น ผมตามคำวิเคราะห์ของสื่อหลายประเทศ และพอทราบการวิเคราะห์ของรัฐบาลของบางชาติมหาอำนาจ พวกนี้เชื่อว่า ปีหน้า พ.ศ.2553 อำนาจการบริหารชาติบ้านเมืองของไทยจะกลับไปอยู่สู่กลุ่มเดิม และจะอยู่อย่างมั่นคงยาวนาน
หลายคนเชื่อว่าโครงสร้างทางอำนาจของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และเริ่มไม่เชื่อมั่นประเทศไทย
ทว่า มีความเชื่อมั่นในกัมพูชา จดหมายเชิญจากผู้คนสำคัญในรัฐบาลจึงถูกส่งมาที่กัมพูชาไม่เว้นแต่ละวัน รัฐบาลของรัสเซียก็เหมือนกัน เห็นความสำคัญของกัมพูชา จึงส่งจดหมายเชิญมาขอให้ผู้นำเขมรทุกระดับไปเยือนรัสเซีย
4-10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมเด็จเฮง สำริน ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา จึงบินไปเยือนรัสเซีย โอ้โฮ ทางรัสเซียต้อนรับขับสู้อย่างใหญ่ยิ่ง มีการหารือข้อราชการบานเบอะเยอะแยะ
นักลงทุนรัสเซียจำนวนไม่น้อย ตอนนี้กระดิกพลิกตัวจะมาลงทุนในกัมพูชา บริษัทท่องเที่ยวรัสเซียให้สัญญาว่าจะโปรโมตท่องเที่ยวกัมพูชาให้ระเบิด เถิดเทิง โดยเฉพาะพวกสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์
รัสเซียมองว่าต่อไปในอนาคต ตนจะสามารถพึ่งพากัมพูชาได้เป็นเรื่องเป็นราว จึงประกาศยกหนี้ให้กัมพูชาทั้งหมด 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะ ที่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชาแหลกสลายตายอยู่ในมือของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ แต่ความสัมพันธ์ของเขมรกับเพื่อนบ้านอื่นๆกลับงอกงามอย่างดี มีความเจริญอย่างยิ่ง ไม่ว่ากะเวียดนาม ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และสิงคโปร์
เสาร์ 26 ธันวาคม 2552 นายกรัฐมนตรีเหวียน เติ๋น สุง ของเวียดนาม และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กอดกันกลมในงานวันร่วมกันเป็นประธานการประชุมการลงทุนเพื่อส่งเสริมความร่วม มือระหว่างกัน เมื่อไล่นับมูลค่าของโครงการทั้งหมดที่บันทึกไว้ในวันนั้นมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่า 2 แสนล้านบาทแล้ว BIDV หรือธนาคารเพื่อการลงทุนและพัฒนาของเวียดนาม ก็กระดิกพลิกตัวอย่างแรงเพื่อหาเงินให้นักธุรกิจเวียดนามเข้าไปลงทุนในแผ่น ดินกัมพูชา
ขณะที่มหาอำนาจชาติสำคัญและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายทั้ง ปวง ต่างเร่งสร้างและลงนามในบันทึกข้อตกลงกับเขมร แต่คณะรัฐมนตรีไทยซึ่งมีนโยบายหลักคือการไล่จับคนคนเดียว กลับมีมติเห็นชอบยกเลิกบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นเมื่อ 18 มิถุนายน พ.ศ.2544 ว่าด้วยเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอ่าวไทย
เขียนรับใช้ถึงตรงนี้แล้ว นิติภูมิก็อยากเรียนถามท่านว่า ไม่มีใครในคณะรัฐบาลไทยทราบเลยหรือ ว่าราชอาณาจักรไทยเป็นนิติรัฐและเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ที่ต้องเคารพในสิ่งที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไปแล้ว
ผมไปที่ไหนมีคนถาม เรื่องรัฐบาลไทยสมัยปัจจุบันทุ่มทุนไล่ล่าคนคนเดียว เป็นปีแล้วยังล่าได้ไม่สำเร็จ ทั้งๆที่มีผู้คนนับหมื่นเรือนแสน และมีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านไปใช้ซื้อเครื่องมือไล่ล่า
คำประกาศยก เลิกบันทึกข้อตกลงของรัฐบาลไทย ทำให้นักกฎหมายหลายประเทศหัวร่องอหาย ว่าอะไรเกิดขึ้นกะรัฐบาลไทยที่นอกจากแกว่งเท้าหาเสี้ยน ทะเลาะกับเพื่อนบ้านแล้ว ยังกล้าละเมิดต่อหลักการกฎหมายระหว่างประเทศและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ทุก ชาติรัฐในโลกมนุษย์ปฏิบัติติดต่อกันมาช้านาน
หรือว่าหลายคนในรัฐบาลไทยชุดนี้อยากจะเลิกเป็นมนุษย์?
ความกังวลใจกรณีความรังเกียจ เดียดฉันท์ไทยจากประเทศเพื่อนบ้านมีมากขึ้น
นิติ ภูมิไม่ได้นึกเองเขียนเองนะครับ แต่มีผู้คนสำรวจตรวจข่าวจากสื่อมวลชนของเพื่อนบ้านฉบับต่างๆ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ประเทศไทยในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์บริหาร ยุคที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศนั้น เป็นยุคที่ภาพพจน์ของรัฐไทยตกต่ำย่ำแย่ที่สุด
หลาย ชาติที่เคยมีสถานะในแวดวงระหว่างประเทศด้อยกว่าเรา เดี๋ยวนี้กลับมีสถานะแข็งแรงขึ้น ได้รับความร่วมมือดีขึ้น เสพจากสื่อของรัฐบาลไทย ท่านอาจจะมองว่ากัมพูชาเป็นประเทศราคาน้อยด้อยค่ากว่าไทย ทว่าในความเป็นจริง เดี๋ยวนี้เขมรผงาดความน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็นเบอร์ต้นๆ ในแวดวงระหว่างประเทศแล้ว
พ.ศ.2553 นี่แหละ ที่กัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมรบกับชาติสำคัญในโลกมากกว่า 20 ประเทศ ประเทศที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นมากในการกระดิกพลิกตัวของกัมพูชาในครั้งนี้ก็ คือสหรัฐอเมริกา เพราะสหรัฐฯ ทุ่มเงินทั้งหมดในการช่วยกัมพูชาในการซ้อมรบใน พ.ศ.2553 โดยที่ตนกระโจนเข้าร่วมซ้อมรบในครั้งนี้ด้วย
เป็นธรรมดาละครับ เมื่อชาติต่างๆเห็นว่าประเทศไทยในปัจจุบันทุกวันนี้อ่อนแอ มีรัฐบาลที่พึ่งพาไม่ได้ คบหาสมาคมไปก็ไร้ประโยชน์ ก็หันไปคบประเทศอื่น ผมตามคำวิเคราะห์ของสื่อหลายประเทศ และพอทราบการวิเคราะห์ของรัฐบาลของบางชาติมหาอำนาจ พวกนี้เชื่อว่า ปีหน้า พ.ศ.2553 อำนาจการบริหารชาติบ้านเมืองของไทยจะกลับไปอยู่สู่กลุ่มเดิม และจะอยู่อย่างมั่นคงยาวนาน
หลายคนเชื่อว่าโครงสร้างทางอำนาจของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และเริ่มไม่เชื่อมั่นประเทศไทย
ทว่า มีความเชื่อมั่นในกัมพูชา จดหมายเชิญจากผู้คนสำคัญในรัฐบาลจึงถูกส่งมาที่กัมพูชาไม่เว้นแต่ละวัน รัฐบาลของรัสเซียก็เหมือนกัน เห็นความสำคัญของกัมพูชา จึงส่งจดหมายเชิญมาขอให้ผู้นำเขมรทุกระดับไปเยือนรัสเซีย
4-10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมเด็จเฮง สำริน ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา จึงบินไปเยือนรัสเซีย โอ้โฮ ทางรัสเซียต้อนรับขับสู้อย่างใหญ่ยิ่ง มีการหารือข้อราชการบานเบอะเยอะแยะ
นักลงทุนรัสเซียจำนวนไม่น้อย ตอนนี้กระดิกพลิกตัวจะมาลงทุนในกัมพูชา บริษัทท่องเที่ยวรัสเซียให้สัญญาว่าจะโปรโมตท่องเที่ยวกัมพูชาให้ระเบิด เถิดเทิง โดยเฉพาะพวกสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์
รัสเซียมองว่าต่อไปในอนาคต ตนจะสามารถพึ่งพากัมพูชาได้เป็นเรื่องเป็นราว จึงประกาศยกหนี้ให้กัมพูชาทั้งหมด 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะ ที่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชาแหลกสลายตายอยู่ในมือของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ แต่ความสัมพันธ์ของเขมรกับเพื่อนบ้านอื่นๆกลับงอกงามอย่างดี มีความเจริญอย่างยิ่ง ไม่ว่ากะเวียดนาม ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และสิงคโปร์
เสาร์ 26 ธันวาคม 2552 นายกรัฐมนตรีเหวียน เติ๋น สุง ของเวียดนาม และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กอดกันกลมในงานวันร่วมกันเป็นประธานการประชุมการลงทุนเพื่อส่งเสริมความร่วม มือระหว่างกัน เมื่อไล่นับมูลค่าของโครงการทั้งหมดที่บันทึกไว้ในวันนั้นมากถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่า 2 แสนล้านบาทแล้ว BIDV หรือธนาคารเพื่อการลงทุนและพัฒนาของเวียดนาม ก็กระดิกพลิกตัวอย่างแรงเพื่อหาเงินให้นักธุรกิจเวียดนามเข้าไปลงทุนในแผ่น ดินกัมพูชา
ขณะที่มหาอำนาจชาติสำคัญและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายทั้ง ปวง ต่างเร่งสร้างและลงนามในบันทึกข้อตกลงกับเขมร แต่คณะรัฐมนตรีไทยซึ่งมีนโยบายหลักคือการไล่จับคนคนเดียว กลับมีมติเห็นชอบยกเลิกบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นเมื่อ 18 มิถุนายน พ.ศ.2544 ว่าด้วยเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอ่าวไทย
เขียนรับใช้ถึงตรงนี้แล้ว นิติภูมิก็อยากเรียนถามท่านว่า ไม่มีใครในคณะรัฐบาลไทยทราบเลยหรือ ว่าราชอาณาจักรไทยเป็นนิติรัฐและเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ที่ต้องเคารพในสิ่งที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไปแล้ว
ผมไปที่ไหนมีคนถาม เรื่องรัฐบาลไทยสมัยปัจจุบันทุ่มทุนไล่ล่าคนคนเดียว เป็นปีแล้วยังล่าได้ไม่สำเร็จ ทั้งๆที่มีผู้คนนับหมื่นเรือนแสน และมีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านไปใช้ซื้อเครื่องมือไล่ล่า
คำประกาศยก เลิกบันทึกข้อตกลงของรัฐบาลไทย ทำให้นักกฎหมายหลายประเทศหัวร่องอหาย ว่าอะไรเกิดขึ้นกะรัฐบาลไทยที่นอกจากแกว่งเท้าหาเสี้ยน ทะเลาะกับเพื่อนบ้านแล้ว ยังกล้าละเมิดต่อหลักการกฎหมายระหว่างประเทศและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ทุก ชาติรัฐในโลกมนุษย์ปฏิบัติติดต่อกันมาช้านาน
หรือว่าหลายคนในรัฐบาลไทยชุดนี้อยากจะเลิกเป็นมนุษย์?
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553
พท.เสี้ยม"เติ้ง"หันหลังให้ปชป.ไม่ร่วมแก้รธน. อ้างถูกชิงพื้นที่ภาคกลาง วิปรบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงกล
ที่มา:มติชนออนไลน์
พท.ย้ำจุดยืนไม่ร่วมสังฆกรรมแก้ รธน. เสี้ยม"บรรหาร"ดิ้นดันวันแมนวันโหวต เหตุ ปชป.รุกคืบชิงพื้นที่ภาคกลาง วิป รบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงกล หันไปจับมือฝ่ายค้านลุยรื้อ 2 ปม คุยรู้ทันแผนยื่นซักฟอกพร้อมญัตติแก้ รธน. หวังทำพรรคร่วมแตกแยก
พท.ย้ำจุดยืนไม่ร่วมสังฆกรรมรื้อรธน.
เรื่องการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) อาจจับมือกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย(ภท.)ผลักดันแก้ไข มาตรา 190 ว่าด้วยการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศต้องได้รับความเห็นขอบจากรัฐสภา และมาตรา 94 เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งให้เป็นระบบเขตเดียวเบอร์เดียวนั้น
นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวเมื่อวันที่ 1 มกราคม ว่า พท.ประกาศแล้วว่าจะไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญกับรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นการเสนอโดยใคร เพราะการเข้าร่วมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เท่ากับเดินเข้าสู่เกมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องการยื้อเวลาในการอยู่ในตำแหน่งให้ยาวนานออกไป ซึ่งถ้าฝ่ายค้านเข้าไปร่วมก็เท่ากับว่าไปประทับตราให้รัฐบาลอยู่ต่อ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยแสดงความจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่แรก เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปพิจารณาดู เมื่อครั้งที่คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้นำเสนอ 6 ประเด็นสำหรับการแก้ไขรรัฐธรรมนูญมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งตัวแทนมาพูดคุยกับพท. แต่พอกลับไปที่พรรคประชาธิปัตย์แกนนำพรรคทั้งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดกันไปคนละทิศละทาง ซึ่งแสดงให้เห็นความไม่จริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
ยุ"เติ้ง"สลัดปชป.ร่วมมือกับเพื่อไท
"การที่นายบรรหารต้องการเร่งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพราะนายบรรหาร น่าจะเห็นแล้วว่าการลงสมัครรับเลือกตั้งตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2550 นั้นไม่เป็นธรรมกับพรรคชาติไทยพัฒนา เพราะจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ารุกคืบทำพื้นที่ในภาคกลางหลายจังหวัดได้ง่าย เพราะเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ในขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่เสียเปรียบในเรื่องของทุน ที่หากเป็นเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง จึงอยากให้กลับมาใช้แบบวันแมนวันโหวต เขตเดียวเบอร์เดียว และนับวันพรรคประชาธิปัตย์จะพยายามกินแดนของพรรคชาติไทยพัฒนาไปเรื่อยๆ จนขณะนี้แทบจะเหลือเพียงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้นที่ยังปลอดภัยอยู่" นายพีรพันธุ์กล่าว
นายพีระพันธุ์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ในภาคอีสาน จึงจำเป็นจะต้องเพิ่มที่นั่งในพื้นที่ ภาคกลาง เพื่อสู้กับพท. ในขณะที่ชทพ.ก็ควรรู้ว่าหากยังอยู่ตรงนั้นต่อไป ไม่ว่าจะไปร่วมมือกับพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆก็ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่แก้ให้ จึงอยากจะฝากไปบอกนายบรรหารว่า หากอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ให้ออกจากพรรคประชาธิปัตย์มาอยู่กับฝ่ายพท.
วิปรบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงเกมพท.
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอย่างนายเนวิน และนายบรรหาร ออกมากดดันให้รัฐบาลเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า รัฐบาลไม่ได้ถ่วงเวลา เพียงแต่อยากขอเวลาไปหารือกับทุกฝ่ายก่อนว่ายังจะเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯหรือไม่ จะต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ และจะร่วมลงชื่อด้วยกันระหว่างส.ส.กับส.ว.หรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลหันไปร่วมลงชื่อกับฝ่ายค้านจริงก็สามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องรอพรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า เชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่ทำเช่นนั้น เพราะทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเกมของฝ่ายค้านที่หวังให้รัฐบาลเกิดความแตกแยกกัน เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันว่าต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ เรื่องนี้ต้องขอความเห็นชอบของทุกฝ่ายก่อน
ชทพ.ขอจับมือทุกพรรคแก้เว้นปชป.
นายภราดร ปริศนานันทกุล วิปรัฐบาลจากชทพ.กล่าวว่า ชทพ. พร้อมสนับสนุนแนวคิดของนายบรรหาร ในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกับภท. หาก ชทพ.จะร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นโดยยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็คงสามารถทำได้ เพราะสามารถเสนอญัตติขอแก้เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยใช้เสียงของสมาชิกรัฐสภาเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น เมื่อเปิดสภาก็ทำได้เลย อีกทั้งตอนนี้พรรคไม่แน่ใจกับท่าทีพรรคประชาธิปัตย์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ผ่านมาบอกว่าทนเห็นสภาพของบ้านเมืองที่ขัดแย้งไม่ได้
"พรรคประชาธิปัตย์เคยบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อคืนความสมานฉันท์ แต่ต่อมากลับบอกว่าไม่แก้ไขแล้ว จึงไม่ทราบว่าจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร ทำให้ตอนนี้จึงมีแนวคิดจะใช้ช่องทาง 1 ใน 5 ของสมาชิกรัฐสภา หากพรรคภูมิใจไทยเสนอแก้ไขมาตรา 190 และมาตราเกี่ยวกับระบบเลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว เราก็อาจสนับสนุนด้วยไม่ใช่เฉพาะพรรคภูมิใจไทย แต่ถ้ามีการเสนอให้แก้มาตรา 237 (ยุบพรรค) ชทพ.จะไม่ร่วมแก้ด้วยแน่นอน" นายภราดรกล่าว
เมื่อถามว่า หากเปิดสภาแล้วพรรคชทพ.พร้อมจะเป็นผู้นำเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเองหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า พรรคชทพ.มีแค่ 25 เสียง หากทำแค่พรรคเดียวไม่สามารถทำได้ ก็ต้องดูก่อนว่าได้รับความร่วมมือจากพรรคไหนบ้าง แต่หากมีพรรคอื่นเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมา พรรคชทพ.ก็พร้อมจะร่วมลงชื่อด้วย และหากพรรคชทพ.ไม่เห็นด้วยกับประเด็นใดก็ไม่ร่วมลงชื่อด้วย เมื่อถามย้ำว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ยังเมินแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ พรรคร่วมรัฐบาลก็พร้อมเดินหน้ายื่นญัตติใช่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ต้องดูก่อน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้มี 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่อีกฝั่งคัดค้าน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ซึ่งต้องจับตาดูเมื่อเปิดสภาแล้วจะเป็นอย่างไร และชทพ. คงต้องรอดูท่าทีของพรรคเพื่อไทยด้วยว่าจะร่วมลงชื่อกับแนวคิดนี้หรือไม่ด้วย ซึ่งเหล่านี้อาจเป็นไปได้ทุกทาง
รู้ทันแผนสร้างรอยร้าวให้พรรค รบ.
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ กล่าวถึงการเตรียมการรับมือฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาสามัญที่จะถึงนี้ว่าา วิปรัฐบาลประชุมเตรียมการรับศึกซักฟอกไปแล้ว 1 ครั้ง ก่อนเทศกาลปีใหม่ และได้มีมติตั้งคณะทำงานขึ้นมา 3 ชุด ประกอบด้วย 1.คณะทำงานจัดเตรียมข้อมูล มีน.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าทีม 2.คณะทำงานดูแลระเบียบข้อบังคับ มีนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหน้าที่ทีม และ 3.คณะทำงานชี้แจงและประชาสัมพันธ์มีนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าทีม โดยจะให้คณะทำงานทุกชุดไปรวบรวมข้อมูลที่คาดว่าฝ่ายค้านจะหยิบมาใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนนำมาสรุปอีกครั้งในการประชุมวันที่ 18 มกราคมนี้
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์กันภายในวิปรัฐบาล คาดว่าฝ่ายค้านจะยื่นญัตติของเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพร้อมกับญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลาเดียวกัน ซึ่งคาดว่าประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์เพื่อให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคร่วมรัฐบาล แต่จากการที่ตนประสานงานและติดตามความเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาล ยืนยันได้ว่าภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีความแตกแยก ที่สำคัญวิปรัฐบาลไม่กลัวว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าวจะทำให้รัฐมนตรีคนใดหลุดจากตำแหน่ง เพราะในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนใดที่หลุดจากตำแหน่งเพราะเสียงไม่ไว้วางใจมากกว่าเสียงไว้วางใจ ที่ผ่านมารัฐมนตรีที่ต้องหลุดจากเก้าอี้มีเพียงคนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชนได้เท่านั้น ดังนั้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วิปรัฐบาลจะเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแต่ละคนได้ชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่
หาก"มานิต"อยู่ต่อคงไม่"ถูกน็อค"
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จากภท.ยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปทั้งที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งของสธ. ระบุ นายมานิตมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต จะถือเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลถูกน็อคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า เชื่อว่าหากนายมานิตยังอยู่ในตำแหน่งจนถึงช่วงซักฟอกจะต้องมีข้อเท็จจริงที่สามารถชี้แจงได้ แต่ส่วนตัวเชื่อมั่นว่านายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรัฐมนตรีว่าการสธ. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต แม้จะลาออกแสดงความรับผิดชอบไปแล้วก็ตาม เพราะนายวิทยายืนยันมาตลอดว่า สธ.ไม่เคยนำเงินจากงบโครงการไทยเข้มแข็งออกไปใช้แม้แต่บาทเดียว
พท.ย้ำจุดยืนไม่ร่วมสังฆกรรมแก้ รธน. เสี้ยม"บรรหาร"ดิ้นดันวันแมนวันโหวต เหตุ ปชป.รุกคืบชิงพื้นที่ภาคกลาง วิป รบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงกล หันไปจับมือฝ่ายค้านลุยรื้อ 2 ปม คุยรู้ทันแผนยื่นซักฟอกพร้อมญัตติแก้ รธน. หวังทำพรรคร่วมแตกแยก
พท.ย้ำจุดยืนไม่ร่วมสังฆกรรมรื้อรธน.
เรื่องการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) อาจจับมือกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย(ภท.)ผลักดันแก้ไข มาตรา 190 ว่าด้วยการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศต้องได้รับความเห็นขอบจากรัฐสภา และมาตรา 94 เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งให้เป็นระบบเขตเดียวเบอร์เดียวนั้น
นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวเมื่อวันที่ 1 มกราคม ว่า พท.ประกาศแล้วว่าจะไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญกับรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นการเสนอโดยใคร เพราะการเข้าร่วมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เท่ากับเดินเข้าสู่เกมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องการยื้อเวลาในการอยู่ในตำแหน่งให้ยาวนานออกไป ซึ่งถ้าฝ่ายค้านเข้าไปร่วมก็เท่ากับว่าไปประทับตราให้รัฐบาลอยู่ต่อ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยแสดงความจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่แรก เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปพิจารณาดู เมื่อครั้งที่คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้นำเสนอ 6 ประเด็นสำหรับการแก้ไขรรัฐธรรมนูญมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งตัวแทนมาพูดคุยกับพท. แต่พอกลับไปที่พรรคประชาธิปัตย์แกนนำพรรคทั้งนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดกันไปคนละทิศละทาง ซึ่งแสดงให้เห็นความไม่จริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
ยุ"เติ้ง"สลัดปชป.ร่วมมือกับเพื่อไท
"การที่นายบรรหารต้องการเร่งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพราะนายบรรหาร น่าจะเห็นแล้วว่าการลงสมัครรับเลือกตั้งตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2550 นั้นไม่เป็นธรรมกับพรรคชาติไทยพัฒนา เพราะจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ารุกคืบทำพื้นที่ในภาคกลางหลายจังหวัดได้ง่าย เพราะเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ในขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่เสียเปรียบในเรื่องของทุน ที่หากเป็นเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง จึงอยากให้กลับมาใช้แบบวันแมนวันโหวต เขตเดียวเบอร์เดียว และนับวันพรรคประชาธิปัตย์จะพยายามกินแดนของพรรคชาติไทยพัฒนาไปเรื่อยๆ จนขณะนี้แทบจะเหลือเพียงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้นที่ยังปลอดภัยอยู่" นายพีรพันธุ์กล่าว
นายพีระพันธุ์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ในภาคอีสาน จึงจำเป็นจะต้องเพิ่มที่นั่งในพื้นที่ ภาคกลาง เพื่อสู้กับพท. ในขณะที่ชทพ.ก็ควรรู้ว่าหากยังอยู่ตรงนั้นต่อไป ไม่ว่าจะไปร่วมมือกับพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆก็ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่แก้ให้ จึงอยากจะฝากไปบอกนายบรรหารว่า หากอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ให้ออกจากพรรคประชาธิปัตย์มาอยู่กับฝ่ายพท.
วิปรบ.เชื่อพรรคร่วมไม่หลงเกมพท.
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอย่างนายเนวิน และนายบรรหาร ออกมากดดันให้รัฐบาลเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า รัฐบาลไม่ได้ถ่วงเวลา เพียงแต่อยากขอเวลาไปหารือกับทุกฝ่ายก่อนว่ายังจะเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯหรือไม่ จะต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ และจะร่วมลงชื่อด้วยกันระหว่างส.ส.กับส.ว.หรือไม่ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลหันไปร่วมลงชื่อกับฝ่ายค้านจริงก็สามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องรอพรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า เชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่ทำเช่นนั้น เพราะทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเกมของฝ่ายค้านที่หวังให้รัฐบาลเกิดความแตกแยกกัน เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันว่าต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ เรื่องนี้ต้องขอความเห็นชอบของทุกฝ่ายก่อน
ชทพ.ขอจับมือทุกพรรคแก้เว้นปชป.
นายภราดร ปริศนานันทกุล วิปรัฐบาลจากชทพ.กล่าวว่า ชทพ. พร้อมสนับสนุนแนวคิดของนายบรรหาร ในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกับภท. หาก ชทพ.จะร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นโดยยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็คงสามารถทำได้ เพราะสามารถเสนอญัตติขอแก้เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยใช้เสียงของสมาชิกรัฐสภาเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น เมื่อเปิดสภาก็ทำได้เลย อีกทั้งตอนนี้พรรคไม่แน่ใจกับท่าทีพรรคประชาธิปัตย์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ผ่านมาบอกว่าทนเห็นสภาพของบ้านเมืองที่ขัดแย้งไม่ได้
"พรรคประชาธิปัตย์เคยบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อคืนความสมานฉันท์ แต่ต่อมากลับบอกว่าไม่แก้ไขแล้ว จึงไม่ทราบว่าจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร ทำให้ตอนนี้จึงมีแนวคิดจะใช้ช่องทาง 1 ใน 5 ของสมาชิกรัฐสภา หากพรรคภูมิใจไทยเสนอแก้ไขมาตรา 190 และมาตราเกี่ยวกับระบบเลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว เราก็อาจสนับสนุนด้วยไม่ใช่เฉพาะพรรคภูมิใจไทย แต่ถ้ามีการเสนอให้แก้มาตรา 237 (ยุบพรรค) ชทพ.จะไม่ร่วมแก้ด้วยแน่นอน" นายภราดรกล่าว
เมื่อถามว่า หากเปิดสภาแล้วพรรคชทพ.พร้อมจะเป็นผู้นำเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเองหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า พรรคชทพ.มีแค่ 25 เสียง หากทำแค่พรรคเดียวไม่สามารถทำได้ ก็ต้องดูก่อนว่าได้รับความร่วมมือจากพรรคไหนบ้าง แต่หากมีพรรคอื่นเสนอแนวคิดนี้ขึ้นมา พรรคชทพ.ก็พร้อมจะร่วมลงชื่อด้วย และหากพรรคชทพ.ไม่เห็นด้วยกับประเด็นใดก็ไม่ร่วมลงชื่อด้วย เมื่อถามย้ำว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ยังเมินแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ พรรคร่วมรัฐบาลก็พร้อมเดินหน้ายื่นญัตติใช่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ต้องดูก่อน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้มี 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่อีกฝั่งคัดค้าน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ซึ่งต้องจับตาดูเมื่อเปิดสภาแล้วจะเป็นอย่างไร และชทพ. คงต้องรอดูท่าทีของพรรคเพื่อไทยด้วยว่าจะร่วมลงชื่อกับแนวคิดนี้หรือไม่ด้วย ซึ่งเหล่านี้อาจเป็นไปได้ทุกทาง
รู้ทันแผนสร้างรอยร้าวให้พรรค รบ.
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ กล่าวถึงการเตรียมการรับมือฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาสามัญที่จะถึงนี้ว่าา วิปรัฐบาลประชุมเตรียมการรับศึกซักฟอกไปแล้ว 1 ครั้ง ก่อนเทศกาลปีใหม่ และได้มีมติตั้งคณะทำงานขึ้นมา 3 ชุด ประกอบด้วย 1.คณะทำงานจัดเตรียมข้อมูล มีน.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าทีม 2.คณะทำงานดูแลระเบียบข้อบังคับ มีนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหน้าที่ทีม และ 3.คณะทำงานชี้แจงและประชาสัมพันธ์มีนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าทีม โดยจะให้คณะทำงานทุกชุดไปรวบรวมข้อมูลที่คาดว่าฝ่ายค้านจะหยิบมาใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนนำมาสรุปอีกครั้งในการประชุมวันที่ 18 มกราคมนี้
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์กันภายในวิปรัฐบาล คาดว่าฝ่ายค้านจะยื่นญัตติของเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพร้อมกับญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลาเดียวกัน ซึ่งคาดว่าประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์เพื่อให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคร่วมรัฐบาล แต่จากการที่ตนประสานงานและติดตามความเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาล ยืนยันได้ว่าภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีความแตกแยก ที่สำคัญวิปรัฐบาลไม่กลัวว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าวจะทำให้รัฐมนตรีคนใดหลุดจากตำแหน่ง เพราะในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนใดที่หลุดจากตำแหน่งเพราะเสียงไม่ไว้วางใจมากกว่าเสียงไว้วางใจ ที่ผ่านมารัฐมนตรีที่ต้องหลุดจากเก้าอี้มีเพียงคนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชนได้เท่านั้น ดังนั้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ วิปรัฐบาลจะเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแต่ละคนได้ชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่
หาก"มานิต"อยู่ต่อคงไม่"ถูกน็อค"
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จากภท.ยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปทั้งที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งของสธ. ระบุ นายมานิตมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต จะถือเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลถูกน็อคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า เชื่อว่าหากนายมานิตยังอยู่ในตำแหน่งจนถึงช่วงซักฟอกจะต้องมีข้อเท็จจริงที่สามารถชี้แจงได้ แต่ส่วนตัวเชื่อมั่นว่านายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรัฐมนตรีว่าการสธ. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต แม้จะลาออกแสดงความรับผิดชอบไปแล้วก็ตาม เพราะนายวิทยายืนยันมาตลอดว่า สธ.ไม่เคยนำเงินจากงบโครงการไทยเข้มแข็งออกไปใช้แม้แต่บาทเดียว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)