--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จาตุรนต์จี้สำนึก 'อภิชาต' ลาออกพ้น กกต.


ที่มา :ไทยรัฐ

อดีต กก.บห. ทรท. กระตุ้นสำนึก ประธาน กกต. ช่วยปชป.รอดยุบพรรค ไล่แสดงสปิริตลาออก จวกจุดไฟเผากกต. ทำลายกระบวนการยุติธรรมประเทศ "พงศ์เทพ" ซัดแรง ความยุติธรรมไม่มี เพราะอัปรีย์มีอำนาจ

ที่มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย วันที่ 28 ธ.ค. มีการสัมมนาเรื่อง "การยุบพรรคการเมืองมีกี่มาตรฐาน" นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงมติยกคำร้อง กรณีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านสำนวน ว่า เป็นความบกพร่องต่อหน้าที่อย่างชัดเจนและร้ายแรง เพื่อช่วยเหลือพรรคการเมืองบางพรรค ทางออกของนายอภิชาต ขณะนี้คือ 1. ลาออกจาก กกต. 2. ถ้าไม่ลาออก เมื่อมีการยื่นถอดถอนหรือดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สิ่งที่นายอภิชาตควรทำคือ การรับสารภาพผิด เพื่อไถ่บาป

ส่วนการที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศว่าจะไปเผา กกต. นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ขอบอกว่าไม่ต้องไปเผา เพราะนายอภิชาต ได้เผากกต.ไปแล้ว ตอนนี้ไฟกำลังลุกโชน กกต.อยู่ และกำลังเผาทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยด้วย เพราะการช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์อยู่รอด เป็นการทำลายระบบยุติธรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง ขอให้กลับใจก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป อยากให้ช่วยกันอธิบายเหตุผล สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน เรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าคดีจะจบลงแบบใด หากประชาชนเข้าใจสิ่งที่อธิบาย พรรคประชาธิปัตย์ก็จะทรุดไปเอง เวลาเลือกตั้งประชาชนจะแสดงออก ช่วยลงโทษพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคต

ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ประธานมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย กล่าวว่า มาตรฐาน กกต.มีมาตรฐานเดียว คือ มาตรฐานของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ฝากบอก กกต.ว่า วันนี้ พล.อ.สนธิ ไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองแล้ว กกต.จะรับใช้อะไร ขอให้คิดชื่อเสียงที่สร้างมา ตนนึกถึงคำๆ หนึ่งว่า ประชาชนพอรับได้กับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพราะอย่างน้อยกฎหมายก็บังคับใช้กับทุกคน แต่จะทนไม่ไหวกับผู้ใช้กฎหมายที่อยุติธรรม แต่เมืองไทยโดน 2 เด้ง คือ กฎหมายไม่เป็นธรรม และผู้ใช้กฎหมายอยุติธรรม ความยุติธรรมไม่มี เพราะพวกอัปรีย์มีอำนาจ อยากสะกิดให้ กกต.ทั้ง 4 คน ยกเว้นนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการ กกต. ขอให้คำนึงถึงความยุติธรรม ไม่ต้องสนใจใบสั่ง ขอให้กลับไปหาจิตวิญญาณตุลาการกลับมาใส่ตัวเอง เพราะเกราะป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดของผู้พิพากษาคือความซื่อสัตย์สุจริต.

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาตรา 67 วรรคสอง (ตอนที่ 5)

ที่มา:บางกอกทูเดย์

ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีความเห็นเกี่ยวกับ “มาตรา67 วรรคสอง” ไว้ในคำวินิจฉัยที่ 3/2552 หน้าที่ 13เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 ดังนี้“หากปรากฏว่า การดำเนินโครงการหรือกิจการอาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพต่อบุคคลหรือชุมชน บุคคลหรือชุมชนย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลปกครองได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสามเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ดำเนินโครงการหรือกิจการนั้นจัดให้มีการศึกษาและประเมินคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

หรือการให้องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพให้ความเห็นก่อนดำเนินโครงการหรือกิจการได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา67 วรรคสอง”จากความเห็นในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่3/2552 ทำให้เห็นถึงการรับรองสิทธิชุมชนที่จะฟ้องร้องได้ตามมาตรา 67 วรรคสามในคำวินิจฉัยดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า...บุคคลหรือชุมชนย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลปกครองอ่านแค่นี้ก็

คงตีความได้ว่า...ผู้ที่จะฟ้องต่อศาลปกครองได้นั้น มีทั้งบุคคลทั่วไปและกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเป็นชุมชนแต่ก็มีข้อสังเกตประกอบความเห็นดังกล่าวตามมาเช่นกัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสามนั้นให้สิทธิแก่ชุมชนฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เท่านั้นในมาตรา 67 วรรคสาม ระบุเพียงว่า เป็นสิทธิของชุมชนที่จะฟ้องร้อง และให้ได้รับความคุ้มครอง แต่มาตรา 67 วรรคสาม มิได้มีคำ

ว่า “บุคคล” รวมอยู่ด้วยพิจารณาต่อที่คำว่า “เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ดำเนินโครงการหรือกิจการนั้น” ก็ไม่สอดคล้องกับมาตรา 67 วรรคสาม ทั้งหมด เพราะมาตรา 67 วรรคสาม กำหนดให้ฟ้องได้ 5 ส่วนคือ ฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจราชการส่วนท้องถิ่น และองค์กรอื่นของรัฐ เท่านั้น โดยให้สิทธิแก่ชุมชนในการฟ้องเพื่อให้ทั้ง 5 ส่วนนั้น ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 67ไม่มีข้อความใดในมาตรา 67 วรรค

สาม ที่ระบุให้ชุมชนมีสิทธิฟ้องร้อง “เอกชน” ไว้ด้วย จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ความเห็นในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุรวมไปถึงการฟ้องร้องเอกชนได้ด้วยนั้น จะต้องตามมาตรา 67 วรรคสามหรือไม่หรือจะแปลความหมายว่า...บุคคลหรือชุมชนสามารถใช้สิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมของเอกชนนั้นก็คงจะเกินเลยไปกว่า อำนาจของศาลปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 223อีกทั้งคำว่า “หากปรากฏว่า” กับคำ

ว่า “ก่อนดำเนินโครงการหรือกิจการ” ย่อมเกิดความหมายที่ขัดกันเองในความหมายของการใช้ภาษาหรือไม่เพราะถ้าก่อนการกระทำแล้ว จะมีการปรากฏผลจากการกระทำได้อย่างไร?ดังนั้น คำว่า “ก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว”ในส่วนสุดท้ายของมาตรา 67 วรรคสอง ควรจะพิจารณาในความหมายใด ถ้าพิจารณาว่า สิทธิชุมชนเกิดขึ้นตั้งแต่การอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโครงการหรือการจะกระทำกิจกรรมใดๆผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก็จะเป็นการคาดคะเนล่วงหน้ากันเกินไป

หรือไม่?แต่ถ้าพิจารณาว่า...เมื่อโครงการหรือกิจกรรมใดๆที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ กำลังที่จะเปิดดำเนินการตามแผนการลงทุนชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบ ได้รับฟังข้อมูลที่จะต้องมีตามมาตรา 303 (1) แล้ว ชุมชนเหล่านั้นเชื่ออย่างมีหลักการและเหตุผลทางวิชาการประกอบว่า...โครงการหรือกิจกรรมนั้น ถ้าเริ่มเปิดดำเนินการโดยไม่มีการศึกษาผลกระทบไว้ก็อาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากร และสุขภาพ ก็ชอบที่จะใช้สิทธิดังกล่าวฟ้องร้อง

ต่อศาล เพื่อให้หน่วยราชการระงับการเปิดโครงการหรือกิจกรรมนั้นเอาไว้ก่อนได้แต่ถ้าพิจารณาว่า...สิทธิชุมชนเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการตามโครงการหรือกิจกรรมใดๆ เพียงแค่มีการคาดเดาว่าจะเกิดผลกระทบ ก็สามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 67 วรรคสาม ได้ปัญหาก็คงจะตามมาอย่างเหลือคณานับ! 

มารู้จักฉายารัฐบาล-นักการเมืองแห่งปีโดยคนเสื้อแดง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีประชาชน หรือ พีเพิลชาแนล ได้จัดทำฉายาของรัฐบาลและรัฐมนตรี โดยนำมาแจกจ่ายให้สื่อมวลชน โดยได้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังนี้
รัฐบาล ได้ฉายาว่า รัฐบาลเทพรับประทาน

เนื่องจากว่าทุกครั้งจะอ้างเรื่องผลประโยชน์ของประชาชนแต่ผลงานออกมาคือการทุจริต คำนึงถึงส่วนตัวเป็นใหญ่ หลายโครงการ เช่น โครงการไทยเข้มแข็ง รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ตลบอบอวลด้วยผลประโยชน์ทางตัวเลขและคอมมิชชั่น ครั้งหนึ่งเคยได้ฉายาว่า รัฐบาลเทพประทาน แต่เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่งก็โหยหาประโยชน์ในลักษณะมูมมาม ไม่อายฟ้าดิน จึงเปลี่ยนจากรัฐบาลเทพประทาน มาเป็น รัฐบาลเทพรับประทาน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ฉายาว่า เด็กดื้อข้างโพเดียม

เพราะ การตัดสินใจหลายเรื่องของนายอภิสิทธิ์ มักผิดพลาดเสมอ แต่จะแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากใครเพราะมีความเชื่อมั่นสูง เห็นได้จากการตั้งผบ.ตร.ที่ใช้จุดเด่นในการพูดสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง

พรรคร่วมรัฐบาล ได้ฉายาว่า สวนสัตว์ซ่อนดาบ

เพราะ การเชิญพรรคร่วมทั้ง 5 พรรคตั้งรัฐบาลเหมือนเอาเสือ สิงห์ กระทิง แรด มาเกาะเกี่ยวกันหาผลประโยชน์ มือหนึ่งเจรจาเรื่องผลประโยชน์ แต่อีกมือหนึ่งก็พร้อมจวกแทงทันทีหากอีกฝ่ายเผลอ

สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีฉายาว่า สภาตกเลข

เพราะ ทุกครั้งที่จัดประชุม ต้องนับองค์ประชุมเนื่องจากส.ส.และส.ว.ไม่ค่อยเข้าประชุม แต่มาขอขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง ซึ่งสถิติในรอบ 10 เดือนของรัฐบาลปรากฏว่าสภาล่มไปแล้ว 11 ครั้ง ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐสภาไทย

นอกจากนี้ยังมีฉายานักการเมืองคนอื่น ๆ อาทิ

นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้ฉายา ชัย ชวนชื่น

เพราะทุกครั้งที่เป็นประธานบนบังลังก์จะใช้มุขตลกหากินเอาตัวรอด เพื่อเรียกบรรยากาศให้กลับมาประชุมกันได้ต่อ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ได้ฉายา มาเฟียความมั่นคง

เพราะ มีความหวาดระแวงคนเสื้อแดง อ้างสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองเพื่อฉวยโอกาสประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง และพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในรอบ 10 เดือนประกาศไปแล้ว 8 ครั้ง เสียงบกว่า 2 พันล้านบาท

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ฉายา ลำโพงดอกแหว่ง

เพราะดูแลสื่อของรัฐแต่มาล้ำเส้นสื่อเข้าข่ายแทรกแซง โดยใช้คำพูดให้ดูดีว่าขอความร่วมมือ

นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ฉายา กุ๊ยมีเส้น

เนื่อง จากพฤติกรรมที่ผ่านมามีแต่ทะเลาะกับคนอื่นและประเทศเพื่อนบ้านไปทั่ว ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันแต่นายอภิสิทธิ์ ยังประคบประหงมเพื่อไม่ให้เกิดรอยร้าวกับพันธมิตรฯ

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

“พัลลภ”ปลุกปชช.สู้ราชดำเนิน


เมื่อเวลา 19.00 น.ที่หน้าว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทยขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่าจากนี้ไปคนเสื้อแดงจะไม่โดดเดี่ยวเหมือนช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพราะตน และอดีตจปร.กว่า 100 คนจะรวมเป็นร่วมตายขับไล่โจรที่ปล้นประชาธิปไตย และคนที่ทรยศต่อประชาชน นอกจากนี้ยังมีกองทหารพรานปักธงชัย นักรบเสื้อดำที่คอยรบทั้งในและต่างประเทศเกือบพันคน ภายใต้การนำของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิทหารบก

“ยืนยันว่าเราจะชนะอย่างแน่นอน หากพี่น้องร่วมใจกันเข้าไปเป็นล้านๆคน ผมเป็นทหารมาตลอดชีวิต จึงรู้เลยว่าทำอย่างไรที่จะทำให้พวกเราได้รับชัยชนะ แต่หากเราไม่ได้รับชัยชนะ คนที่ตายคนแรกคือผม ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเสียสละ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงอยู่อย่างสันติสุข เราจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ประชาชนต้องการประชาธิปไตย เราจึงจำเป็นต้องสู้ และเสียสละ กับทหาร เราไม่ต้องไปกลัว เพราะผมคุมทหารตลอดชีวิต รู้ว่าพวกมันไม่กล้ายิงประชาชน ทำได้อย่างเดียวยิงขึ้นฟ้า”พล.อ.พัลลภกล่าว และว่า ขณะนี้ทราบว่ามีตำรวจอยู่ฝ่ายเราถึง 80% ส่วนทหารอยู่กับโจรปล้นประชาธิปไตยนั้นน้อยมาก ฉะนั้น ไม่นานนับจากนี้ประเทศเราจะมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุขภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่นานเกินรอ ไม่เกินเดือนเมษายน หากประชาชนพร้อมใจกันต่อสู้ พร้อมใจกันไปถนนราชดำเนิน

ฉายาสภาผู้แทนฯ ถ่อยเถื่อนถีบ เฉลิมดาวดับ ปี 52


ที่มา:ไทยรัฐ
สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎร ปี 52“ถ่อย-เถื่อน-ถีบ” ส่วนวุฒิสภา เป็น “ตะแกรงก้นรั่ว” ด้าน"ชัย ชิดชอบ " ถูกยกให้เป็น “ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์” ขณะที่ "เฉลิม" กลายเป็น "ดาวดับ"


ตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกปี ที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ได้ร่วมกันระดมความเห็นในการตั้งฉายาผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งสองสภาคือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิก และการทำงานของ ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในรอบปี 2552 สื่อมวลชนประจำรัฐสภา เล็งเห็นว่าผู้ที่ทำหน้าที่นี้มีความสำคัญ ต่อการเปลี่ยนผ่านการเมืองของประเทศ หลังจากเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง จึงอาศัยเทศกาลปีใหม่นี้ ตั้งฉายาให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ตามผลงานที่ปรากฏออกมา ในมุมมองของสื่อมวลชน

สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ขอยืนยันว่า ในการตั้งฉายารัฐสภาทุกครั้งได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ โดยพยายามหลีกเลี่ยงการใช้อคติ ปราศจากการแทรกแซงจากทุกฝ่าย สำหรับฉายาที่ตั้งขึ้นได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา โดยผลการพิจารณามีดังต่อไปนี้

ฉายาสภาผู้แทนราษฎร -“ถ่อย-เถื่อน-ถีบ”

ตลอดหนึ่งปี ภาพลักษณ์ของสภาผู้แทนราษฎรตกต่ำอีกครั้งเพราะเต็มไปด้วยความมแตกแยกอย่างหนักระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล จนเกือบมีการใช้ความรุนแรง ทั้งการเปิดศึกหวิดวางมวยกลางสภากันหลายครั้ง หรือมีการโต้เถียง ท้าทายการนับองค์ประชุมกันดุเดือด ด่ากันด้วยด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมและบางครั้งถึงขั้นหยาบคายหลายคู่ ซึ่งพบถี่มากขึ้นแทบทุกเดือน เช่น กรณีนายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ที่ยั่วฝ่ายรัฐบาลด้วยการเดินตรวจการเสียบบัตรลงคะแนนของสมาชิกรอบห้องประชุม จนเกือบวางมวยกับนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ปรี่จะเข้ามาชกและยกเท้าเตรียมถีบ จนต้องเข้าห้ามกันชุลมุนท่ามกลางถ้อยคำผรุสวาทของสองฝ่าย

หรือกรณีที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อนายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย กล่าวคำหยาบคายถึงขั้นชูนิ้วกลางให้นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนจะท้าไปดวลกันนอกห้องประชุม พฤติกรรมเหล่านี้ได้สร้างความเสื่อมทรามให้กับสภาผู้แทนราษฎรในยุคการเมืองต่อสู้กันรุนแรง และดำเนินต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วถึงปัจจุบัน กรณีที่นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย สร้างวีรกรรมกระโดดถีบทำร้ายร่างกายนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จนศาลมีคำพิพากษาเมื่อต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ให้จำคุกนายการุณ1 เดือน รอลงอาญากำหนด 2 ปี ทั้งนี้พฤติกรรม สส.ที่ก้าวร้าวมากขึ้นนอกจากไม่เป็นแบบอย่างที่ดีของสภาผู้ทรงเกียรติแล้ว ยังมีส่วนกระตุ้นให้สังคมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใช้หลักเหตุผล

ฉายาวุฒิสภา-“ตะแกรงก้นรั่ว”

วุฒิสภาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสภาสูง ที่คอยตรวจสอบและกลั่นกรองการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม แต่หลังจากเกิดการสวิงสับขั้วทางการเมือง ภาพการตรวจสอบของวุฒิสภากลับไม่เข้มข้นเหมือนรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลางข้อครหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล จนทำให้สังคมผิดหวังกับบทบาทการตรวจสอบของวุฒิสภา เสมือนว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง เสมอตัว เหมือนความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ขณะเดียวกันภาพของวุฒิสภากลายเป็นองค์กรที่คอยตอบแทนบุญคุณกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น ส.ว.สรรหา หรือ ส.ว.เลือกตั้ง จนทำให้พฤติกรรมของสภาสูง ไม่แตกต่างจากสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำให้การประชุมต้องล่มซ้ำซาก เพราะเกิดความขัดแย้งระหว่าง ส.ว.สรรหา กับส.ว.เลือกตั้ง ขณะเดียวกันยังมีการวิ่งเต้นล็อบบี้ ให้วุฒิสภาผ่านกฎหมายสำคัญของรัฐบาล

ล่าสุดนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา ได้ออกหนังสือเรื่อง “ความรับผิดชอบของสมาชิกรัฐสภาและสภาฯล่มซ้ำซาก” ระบุว่า มีการวิ่งเต้นของแกนนำกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้วุฒิผ่าน ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินโดยเร็ว จนทำให้บทบาทการตรวจสอบเหมือนกับตะแกรง ในการแยกสิ่งดีไม่ดีออกจากกัน ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงไม่ต่างจากตะแกรงก้นรั่วนั่นเอง

ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร(นายชัย ชิดชอบ) - “ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์”

ท่ามกลางสภาวะการเมืองสองขั้ว ทำให้นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องรับบทหนักในการทำหน้าที่ประธานควบคุมการประชุมสภาฯ ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง รุนแรง วุ่นวาย ระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่ด้วยชั้นเชิงที่คร่ำหวอดในสภามานาน ทำให้นายชัย ใช้บทร้อยเล่ห์ทั้งการประนีประนอม ใช้ทั้งไม้แข็งและไม้นวม กระทั่งใช้ความอาวุโสความเป็น “พ่อเฒ่า” หลอกล่อสมาชิกรุ่นลูก ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลจนหัวหมุน หลงประเด็น โดยเฉพาะการปล่อยมุขขำขันออกมากลบประเด็นจนช่วยผ่อนคลาย บรรยากาศตรึงเครียดระหว่างการประชุม และประคองไม่ให้การประชุมล่มได้หลายครั้ง การทำหน้าที่ของนายชัยด้วยชั้นเชิงที่แพรวพราวดัง “ตลกเฒ่าร้อยเล่ห์” นี่เอง จึงทำให้ ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลส่วนใหญ่ต่างยอมรับกับบทบาทการทำหน้าที่ของนายชัยในการทำหน้าที่ประธานการประชุม

ฉายาประธานวุฒิสภา(นายประสพสุข บุญเดช) “ประธานหลักเลื่อน”

ด้วยต้นทุนทางสังคมที่มีอยู่เดิม และส.ว.ส่วนใหญ่ให้ความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของวุฒิสภา เพราะเคยเป็นถึงอดีตประธานศาลอุทธรณ์ ทุกฝ่ายจึงต่างคาดหวังว่าการทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาของนายประสพสุข บุญเดช จะสามารถเป็นเสาหลักให้กับสภาสูงได้ แต่บทบาทของประธานวุฒิสภาหลายครั้งได้สร้างความผิดหวังกับสังคม เช่น กรณีการเป็นตัวแทนของฝ่าย ส.ว.เข้าร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรี วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้าน เพื่อหาทางออกปัญหาความขัดแย้งในสังคม กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อถูกทักท้วงจากสมาชิกบางส่วน ว่าไม่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของวุฒิสภา ทำให้นายประสพสุข ไม่กล้าตัดสินใจใช้อำนาจในฐานประมุขของสภาสูงในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และบ่อยครั้งมักจะโอนเอนไปตามแรงกดดันของสังคมหรือเกมการเมือง ทำให้เกิดภาวะเลื่อนลอย เปรียบเหมือนหลักยึดที่เลื่อนไป-มาตามแรงกดดัน จนขาดภาวะผู้นำของสภาสูง ขณะเดียวกันท่ามกลางประเทศประสบปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ ประธานวุฒิสภา กลับพาสมาชิกไปดูงานต่างประเทศ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม แทนที่จะทำเป็นตัวอย่าง กลับทำเสียเอง

ดาวเด่น “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย”

บทบาทที่ผ่านมาของนพ.ชลน่าน ต่อการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาฯถือว่ามีความโดดเด่น โดยเฉพาะการอภิปรายในสภาฯที่ใช้ข้อบังคับการประชุมสภาฯมาเป็นเครื่องมือในการแสดงความคิดเห็นเป็นหลัก ไม่มุ่งเน้นอภิปรายรัฐบาลด้วยการใช้วาทศิลป์เป็นสำคัญ ทำให้การประชุมไม่สามารถดำเนินการไปได้ ขณะเดียวกันแม้ว่าจะมีบางประเด็นที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล อย่างเช่นการอภิปรายเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ซึ่งนพ.ชลน่านก็สามารถยกข้อเท็จจริงและประเด็นทางกฎหมายมาหักล้างได้ในหลายประเด็น โดยเฉพาะการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณที่ผ่านมา

ดาวดับ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย”

เคยมีวลีที่รู้กันอยู่ในวงการเมืองว่า ถ้าไปทะเลเจอฉลาม แต่มาสภาฯเจอเฉลิม ที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม เป็นบุคคลที่หากใครเป็นรัฐบาลแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม เป็นฝ่ายค้านจะมีการทำหน้าที่ทั้งในสภาฯและนอกสภาฯในการตรวจสอบการทำงานในสภาฯอย่างเข้มข้น ด้วยข้อมูลที่สร้างความสั่นสะเทือนให้คนที่เป็นรัฐบาลได้พอสมควร แต่ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม ในวันนี้กลายเป็นดาวอับแสง ด้วยบทบาทการทำหน้าที่ของตนเองที่แทบจะหาสาระหลักไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายหรือการยื่นกระทู้ถามในสภาฯ กับไม่ได้แสดงความเป็นขุนศึกของฝ่ายค้านได้อย่างที่สมศักดิ์ศรี มีแต่วาทะที่เชือดเฉือนกระแนะกระแหนไปยังฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพุ่งเป้าไปที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มุ่งไปที่เนื้อหาสาระของการอภิปรายที่เคยทำได้อย่างโดดเด่นเหมือนที่ผ่านมา

เหตุการณ์เด่นแห่งปี “การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อหาทางออกกรณีวิกฤตการเมือง”

เหตุการณ์แห่งปีต้องยกให้กับการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 22-23 เม.ย.2552เพื่อพิจารณาญัตติด่วนที่รัฐบาลขอคำเสนอแนะจากสมาชิกรัฐสภาเพื่อหาทางออกในการแก้ไขวิกฤตการทางการเมืองหลังเกิดเหตุการณ์ “สงกรานต์จลาจล” หลายฝ่ายคาดหวังว่า การประชุมรัฐสภานัดนี้ จะช่วยให้ความตรึงเครียดทางการเมืองลดอุณหภูมิลง แต่ปรากฎว่า เวทีรัฐสภากลับไม่เป็นที่พึ่งหวังในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพราะไม่ได้เป็นการประชุมอย่างสร้างสรรค์ หลายประเด็นที่หยิบมาพูด และมีการถ่ายทอดสดด้วยนั้นถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลและปลุกระดมซ้ำ ทั้งกรณีรถแก๊ส , การป่วนเมืองที่มาจากกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันอยู่ เนื้อหาการอภิปรายมุ่งเอาชนคะคานกันด้วยคำพูด กล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ ทำให้เกิดการประท้วงวุ่นวาย เพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งในสังคมมากขึ้นไปอีก และแม้ผลสรุปของการประชุมรัฐสภาจะมีการตั้งคณะกรรมการสองชุด คือ คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์การชุมนุม แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีผลความคืบหน้าในการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา ขณะที่ความรุนแรงทางสังคมยังคงอยู่

วาทะแห่งปี “พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม”

วาทะดังกล่าวส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้หยิบมาพูดหลายครั้งเพื่อยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้กระทำทุจริตหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุกพ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปีในคดีทุจริตที่ดินรัชดา ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้หยิบวาทะนี้มาพูดในสภา ระหว่างตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ต.ค. เรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนโดยระบุว่า “ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยทำทุจริต ที่ถูกศาลตัดสินเป็นเรื่องทำสิ่งที่กฎหมายห้าม แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย " พร้อมทั้งท้าทายว่า หากเป็นเรื่องทุจริตจริงจะเอาปริญญาเอกนิติศาสตร์ไปคืนมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่ง วาทะดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นเด่นชัดว่า เป็นการเลี่ยงบาลี บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนเกิดความสับสนในคำพิพากษาศาลฎีกา และเป็นการสะท้อนจุดยืนและบรรทัดฐานทางการเมือง ของ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ไม่สมกับอวดอ้างสรรพคุณตัวเองว่า จบด๊อกเตอร์ด้านกฎหมาย

คู่กัดแห่งปี “นายจตุพร พรหมพันธุ์ -นายวัชระ เพชรทอง”

นักการเมืองคู่นี้เป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน แต่เมื่อมาอยู่ต่างพรรคต่างขั้ว ทำให้วิถีทางการต่อสู้ทางการเมืองต้องเข้าห้ำหั่นกัน ด้วยความที่รู้ไส้รู้พุงกันตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาทำให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ มักมีประเด็นวิวาทะกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันมาโดยตลอด บางจังหวะเลยเถิดไปถึงการพาดพิงบุพการี ทำให้อุณหภูมิในสภาเดือดดาลอยู่หลายครั้ง จนบางครั้งหวุดหวิดที่จะวางมวยกันในสภาฯ นอกจากนั้นไม่พอ นายจตุพรและนายวัชระยังออกมาท้าทายกันที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภาเป็นประจำ จึงทำให้ศึกสายเลือดระหว่าง ส.ส.หนุ่มคู่นี้จึงถูกยกให้เป็นคู่กัดแห่งปี

คนดีศรีสภาฯ “นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์”

ปัญหาการทำงานของสภาฯในรอบปีที่ผ่านมาเรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือ สภาล่มบ่อยครั้ง 11 เดือน 11 ครั้ง เพราะส.ส.ไม่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ไม่เข้าประชุมสภาฯทำให้งานสภาฯเดินหน้าไปไม่ได้ แต่นายเจริญ ซึ่งมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ขั้วตับ กลับเข้าประชุมสภาและร่วมลงมติผ่านกฎหมาย 88 ครั้งจากการประชุมสภา การลงมติ 100 ครั้ง และในช่วงก่อนปิดสมัยการประชุม ที่เกิดเหตุการณ์สภาล่มติดกันซ้ำซาก นายเจริญยังได้เข้าร่วมประชุมด้วยทั้งที่พึ่งเข้ารับการผ่าตัดโรคมะเร็งก่อนหน้านี้ 1 วัน จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นคนดีศรีสภา เพื่อเป็นตัวอย่างของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างสมศักดิ์ศรี

ฉายาผู้นำฝ่ายค้าน -ไม่มีการตั้งฉายา หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ จับมือพรรคต่างๆ พลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลได้โดยสภาผู้แทนราษฎรมีมติด้วยเสียงข้างมากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 15 ธ.ค. 2551 ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน อย่างไรก็ดี การที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งจัดตั้งหลังจากคดียุบพรรคพลังประชาชน ไม่ตั้งหัวหน้าพรรคจากบุคคลที่เป็นส.ส.อยู่ในสภา ทำให้ไม่สามารถแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 110 บัญญัติว่า ผู้นำฝ่ายค้านคือ ส.ส.ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่ส.ส.สังกัดของพรรคตนมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และมีจำนวนมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองที่ส.ส.ในสังกัดมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรในขณะแต่งตั้ง เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กรณีดังกล่าว สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จึงมีมติเอกฉันท์ งดการตั้งฉายาผู้นำฝ่ายค้าน ในฉายารัฐสภาประจำปี 52

เดอะซี่รี่ส์ เขายายเที่ยง.!!!????


ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน

ทำท่าว่าจะกลายเป็นซีรี่ส์เรื่องยาวเสียแล้วสำหรับกรณีเข้าไปยึดครองพื้นที่ป่าสงวนบนเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี

ที่ว่าเป็นซีรี่ส์เรื่องยาวก็เพราะมันกั๊กๆกันอยู่ยังไงชอบกลสำหรับเรื่องนี้ 1.เมื่อมีคนไปฟ้องโดยตรงต่อศาล ศาลก็ไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง

2.ผู้เสียหายโดยตรงอย่างกรมป่าไม้ไม่คิดที่จะขยับดำเนินการอะไร 3.ร้ายไปกว่านั้นคือตำรวจหลายโรงพักที่มีประชาชนไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ก็ไม่ได้ทำให้คดีมีความคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น

ทั้งที่กรณีนี้เป็นความผิดชัดเจน เนื่องจากมีการสรุปผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ชาวบ้านที่ถือครองที่ดินอยู่ในละแวกเดียวกันหลายรายก็ถูกดำเนินคดีไปแล้ว

บางรายศาลตัดสินให้จำคุก 10 ปี แต่ปรานีลดให้เหลือแค่ 4 ปี

แต่สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.สุรยุทธ์กลับไม่มีความคืบหน้าด้วยประการทั้งปวง

ได้เขียนไปแล้วครั้งหนึ่งว่ากรณีนี้ พล.อ.สุรยุทธ์มีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ จะเป็นสุภาพบุรุษเก็บข้าวของเดินออกจากบ้านพักที่ไปสร้างไว้แล้วคืนพื้นที่ให้กรมป่าไม้ หรือจะเลือกแนวทางเป็นจำเลยขึ้นต่อสู้คดีความในชั้นศาล

ถ้าจำความไม่ผิดน่าจะเคยได้ยิน พล.อ.สุรยุทธ์พูดในสมัยที่ยังนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่าหากผลการสอบสวนออกมาว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวนจริงก็ยินดีจะคืนให้

วันนี้ผลสอบออกมาชัดเจนแล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคืน

กรณีของ พล.อ.สุรยุทธ์ถือว่าท้ายทายจริยธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งจริยธรรมในตัวของ พล.อ.สุรยุทธ์เองที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีและนั่งเป็นองคมนตรีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่สมควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อประชาชน

ที่สำคัญคือท้าทายรัฐบาลเด็กดื้อข้างโพเดียมที่จีบปากจีบคอพูดทุกวันนี้จะไม่ยอมให้ใครละเมิดกฎหมายบ้านเมือง จะทำหน้าที่รักษากฎหมายอย่างเต็มที่

เรื่องนี้จึงเป็นการท้าทายอย่างที่สุดว่า “ดีแต่ปาก” หรือว่า “ทำได้จริง”

อยากเตือนว่ากรณีนี้ทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์และรัฐบาลต้องตัดสินใจให้ไวว่าจะดำเนินการอย่างไร หากปล่อยทิ้งเนิ่นนานไปจะไม่ดี เพราะจะเป็นการตอกย้ำความ 2 มาตรฐานในสังคมไทย

จะเป็นเงื่อนไขให้คนที่คิดว่าถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่แล้วไม่พอใจมากขึ้น การเคลื่อนไหวต่างๆก็จะพลอยเข้มข้นขึ้นตามไปด้วย

นี่ก็เห็นว่าหลังปีใหม่จะมีคนเสื้อแดงขึ้นไปเยี่ยมเที่ยวชมบ้านพักของท่านที่เขายายเที่ยง

ขอย้ำว่าทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์และรัฐบาลควรรีบตัดสินใจในเรื่องนี้ก่อนที่จะสายเกินไป

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาตรา 67 วรรคสอง


ที่มา:บางกอกทูเดย์
บทความต่อไปนี้...อาจจะยาวและแบ่งได้หลายตอน แต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรคสอง...กำลังจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งมาตรา 67 วรรคสอง บัญญัติว่า...“การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวน

การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนรวมทั้งได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แูทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพและผู้แูทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว”มาตรา 67 วรรคสอง ที่นำมาเขียนแยกให้เห็นเป็นหลายส่วนข้างต้น จะช่วยให้การพิจารณาตามมาตราดังกล่าว มองเห็นปัญหาได้ชัดเจนขึ้นการดำเนินโครงการหรือ

กิจกรรม ตามความในมาตรา67 วรรคสอง คงแยกออกเป็น 2 ความหมาย คือการดำเนินโครงการ กับ การดำเนินกิจกรรมการดำเนินโครงการ คงหมายถึง การดำเนินการตามแผนหรือเค้าโครงที่จะกำหนดเอาไว้ เช่นโครงการก่อสร้างอาคารชุด โครงการรถไฟฟ้าโครงการเช่ารถเมล์ หรือโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิพิจารณาคำว่า “โครงการ” อย่างเดียวก็คงครอบคลุมแทบทุกอย่างที่จะทำการก่อสร้างหรือดำเนินการขึ้นทั้งในส่วนโครงการที่เป็นของราชการ รัฐ

วิสาหกิจและรวมไปถึงของเอกชนภายในประเทศและนักลงทุนจากต่างประเทศโครงการจึงตีความหมายได้อย่างมากมาย เรียกว่า...แทบทุกอุตสาหกรรมก็อยู่ในความหมายนี้ทั้งสิ้นมิใช่เพียงเฉพาะพื้นที่ของมาบตาพุดเท่านั้นแต่จะกินความรวมไปถึงทั่วทุกพื้นที่ของไทยทั้งทางบกและทางทะเลอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การทำเหมือง การระเบิดหินการสร้างโรงงาน การทำรถไฟฟ้า การสร้างสนามบินการทำสนามกอล์ฟ การสร้างอาคารชุด การสร้างเขื่อนและการตัดถนนล้วนแต่

มีสิทธิโดนระงับได้ทั้งสิ้นถ้ามีการคัดค้านขึ้นมาอีกตัวอย่างที่อาจจะถูกคัดค้านก็เช่น “โครงการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่”ซึ่งถ้าพิจารณาตามความในมาตรา 67 วรรคสองแล้ว ชุมชนในบริเวณดังกล่าว ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องหน่วยงานของรัฐให้คุ้มครองได้ เช่นเดียวกับ 76โครงการของมาบตาพุดมาพิจารณาต่อที่คำว่า “กิจกรรม” ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่มีความหมายหรือคำจำกัดความเอาไว้แต่กิจกรรมก็คงหมายถึงกิจการหรือการงานที่ประกอบ เพียงคำว่าการงานที่ประกอบ ก็ตี

ความได้อย่างกว้างขวางเช่นกันการงานที่ประกอบจะสามารถตีความไปถึง การทำอาชีพต่างๆ เช่น การรับเหมาก่อสร้าง การอุตสาหกรรมการพาณิชย์ การสื่อสารมวลชนที่ต้องมีโรงพิมพ์การเกษตรที่ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์และยาฆ่าแมลงการเลี้ยงสัตว์เชิงพาณิชย์ เป็นต้นการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดๆ จึงอาจถูกชุมชนใช้สิทธิฟ้องร้องต่อหน่วยงานของรัฐเอาได้ทั้งนี้ เพราะได้เกิดการฟ้องร้องเป็นคดีตัวอย่างขึ้นมาแล้ว ในโครงการของมาบตาพุดทั้ง 76 โครงการการฟ้อง

ร้องดังกล่าว ทำให้โครงการที่มาบตาพุดต้องหยุดดำเนินกิจการอย่างถาวรหรือไม่คงต้องรอฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต่อไปแต่สิทธิชุมชนที่จะฟ้องร้องนั้น เกิดขึ้นมาแล้ว โดยไม่ต้องรอบทบัญญัติแห่งกฎหมายมารองรับและกำลังจะมีการใช้สิทธิชุมชนต่อไปอีกใน 181 โครงการ...ซึ่งฟังดูแล้วก็คงจะเป็นการใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แต่ก็ต้องพิจารณาตามมาด้วยว่า...ชุมชนที่จะใช้สิทธินั้นมีขอบเขตจำกัดแค่ไหน? 

"อภิชาต"ตั้งทีมคุมเข้มคดียุบพรรคปชป. เลขาฯกกต.ชี้พบหลักฐานใหม่เสนอเปลี่ยนมติได้


ที่มา:มติชนออนไลน์

"อภิชาต" ตั้งคณะทำงานดูคดีเงินบริจาค 258 ล้าน ยุบไม่ยุบประชาธิปัตย์ เลขาฯกกต. ย้ำเพื่อความละเอียดถี่ถ้วน ไม่ได้ซื้อเวลา ชี้หาพบหลักฐานใหม่ประธานเสนอเปลี่ยนมติได้

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อดูเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)พรรคการเมือง เกี่ยวกับการพิจารณาสำนวนเงิน 258 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาอาจได้รับจาก บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งอาจขัดต่อพ.ร.บ.พรรคการเมืองที่อยู่ระหว่างการใช้ดุลพินิจของนายอภิชาต


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมว่า ทราบว่านายอภิชาตตั้งคณะทำงานขึ้นมา1 ชุด โดยมีผู้แทนจากด้านกิจการพรรคการเมือง และจากสำนักกฎหมายและคดี เพื่อมาดูในเรื่องข้อกฎหมายของพ.ร.บ.พรรคการเมือง เพราะขณะที่ร้องนั้นเป็นการร้องในความผิดของกฎหมายพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 แต่ปัจจุบันเป็นการใช้กฎหมายใหม่ปี 2550 จึงต้องดูอย่างรอบครอบ และเรื่องนี้คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนไม่ได้พิจารณามาให้ และการตั้งคณะทำงานขึ้นมาไม่ได้ยื้อเวลาอย่างที่บางฝ่ายกล่าวหา


“การทำงานของกกต.ที่ผ่านมา สำหรับเรื่องนี้ใช้เวลากว่า7เดือน ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติ เพราะทุกอย่างมีขั้นตอน ที่ทุกคนเห็นว่าช้า เนื่องจากกรณีดังกล่าวมีความซับซ้อน มีทั้งประเด็นข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)สอบสวนมา และในส่วนของประเด็นพ.ร.บ.พรรคการเมืองที่ต้องดำเนินการ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีก1 ชุด เพื่อความรอบคอบ”


นายสุทธิพล กล่าวว่า ขณะนี้เป็นการดำเนินการตามมติเสียงข้างมากที่ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมาดำเนินการตามมาตรา 95 พ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งต้องดูอีกครั้งหากมีข้อเท็จจริงใหม่ หรือนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่า มีหลักฐานใหม่แล้วมีความชัดเจนการลงมติอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งในอดีตเคยมีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นบ่อย เช่นเดียวกับหลายหน่วยงาน แต่ต้องดูตามเหตุผลที่สามารถต้องอธิบายได้ เชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงมติจริงๆ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมีเหตุผลอธิบายต่อสังคมได้ ทั้งนี้ยอมรับว่าการทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมือง และกกต. อยู่ภายใต้การกดดันของกระแสสังคม ซึ่งกกต.จะไปทำตามกระแสไม่ได้ เพราะจะเกิดผลกระทบ


เมื่อถามว่า กกต.ทำงานล่าช้าเพราะต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเรื่องการยุบพรรค เพื่อช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยคาดการณ์หรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า เป็นไปไมได้ เพราะขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ และถ้าแก้ไขจริงต้องใช้เวลา ซึ่งการพิจารณาคดีดังกล่าวคงไม่ใช่เวลานานขนาดนั้น

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กรรมกร Where are you (ตอนจบ)



ที่มา:บางกอกทูเดย์

การปกครองแบบ “เผด็จการรัฐสภา” ได้ทำลายความมั่นคงแห่งชาติอย่างร้ายแรงเป็นต้นเหตุแห่งความทรุดโทรมวิกฤติล่มจมของชาติ และทำให้เอกราชและอธิปไตยของชาติอ่อนแอเป็นเหตุให้ต่างชาติเข้ามารุกรานยึดครองประเทศชาติ บ้านเมืองทั้งทางเศรษฐกิจ คือ สงครามรุกรานทางเศรษฐกิจระบบเศรษฐกิจ

แห่งชาติทั้งเศรษฐกิจภาคสาธารณะและเศรษฐกิจภาคเอกชนถูกรุกรานยึดครองเช่น นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจอันเป็นนโยบายรุกรานของต่างชาติและกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับที่เป็นกฎหมายทาสให้ต่างชาติรุกรานยึดครองประเทศไทยทางเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จทั่วด้านเศรษฐกิจภาคเอกชนไทย ถูกกฎหมายล้มละลายยึดกุมอำนาจบริหารและใช้อำนาจบริหารยึดกุมกิจการแผ่นดินสินทรัพย์อันเป็นการทำลายความมั่นคงแห่งชาติทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุด

เศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของชาติที่สำคัญยิ่ง การรุกรานยึดครองชาติ เช่น ธนาคารไทยถูกต่างชาติรุกรานยึดครองจนหมดสิ้น และนำเอาธนาคารในฐานะเจ้าหนี้ไปยึดแผ่นดินสินทรัพย์ธุรกิจบ้านช่องของลูกหนี้ไทยทั่วทุกหย่อมหญ้าจนขณะนี้ “กรรมสิทธิ์ไทยถูกทำลายเปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ต่างชาติ” ไปเกือบหมดแล้วข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) คือการขายอำนาจอธิปไตยของชาติกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ คือ รูปธรรมของอธิปไตยต่างชาติพ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษ คือ

การตัดแบ่งแยกรัฐขายให้แก่ต่างชาติดังนั้น การหยุดงานทั่วไปเพื่อผลักดันให้ผู้ปกครองยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาที่เป็นต้นเหตุของการขายชาติ และการรุกรานของต่างชาติด้วยการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายสูงสุดคือ ยุติการทำลายความมั่นคงของชาติโดยเด็ดขาดสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย คือ การปฏิบัติตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 2 “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี

พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ” และทำตามมาตรา 3 “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”อันเป็นการรับสนองพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 คือ สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยและสร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยใช้หลักกฎหมาย และใช้หลักการปกครองที่ถูกต้องแก้ปัญหาประเทศชาติที่วิกฤติที่สุดในโลกแล้วอันเป็นสิทธิเสรีภาพทางความคิดของมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนว่า “เสรีภาพทางความคิดเป็นรากฐาน

ของเสรีภาพทั้งปวง” จึงเป็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกต้องสิทธิด้านแรงงานระหว่างประเทศโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)ในองค์การสหประชาชาติได้รับรองสิทธิด้านแรงงานเป็นสิทธิสากลคือ สิทธิในการหยุดงานทั่วไป หรือ การหยุดงานย่อย ประเทศไทยเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติและเป็นภาคีของ ILO ด้วยดังนั้น ด้วยเหตุผลหลักการและความถูกต้องทั้งสิ้นดังกล่าวข้างต้นนี้ กรรมกรแรงงาน ทั้งกรรมกรรัฐวิสาหกิจและกรรมกรเอกชน รวมทั้งประชาชนทุก

หมู่เหล่าทั่วประเทศต้องร่วมกันเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างสันติอหิงสาพุทธเพื่อหยุดงานทั่วไป เพื่อผลักดันให้ยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย สร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย สร้างรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยเพื่อให้มีการปกครองเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตยเพื่อหยุดการรุกรานยึดครองของต่างชาติ หยุดการขายชาติบ้านเมือง หยุดการคอร์รัปชั่น หยุดการปล้นประชาชนขายชาติโดยเร็วที่สุด 

นิรนาม นิรกาย

“การหยุดงาน” ของลูกจ้างในสถานประกอบการเป็นปัญหาสำคัญและเป็นปัญหาที่สร้างความหนักอกหนักใจให้แก่นายจ้างทั้งทางภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเป็นอย่างมากทั้งนี้ เพราะการหยุดงาน ก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองสูญเปล่าและส่งผลกระทบต่อการผลิตและบริการเมื่อ 7-10 ปี ที่ผ่านมา อัตราการหยุดงานในสถานประกอบการของลูกจ้างสูงถึงร้อยละ 5-6 (ประมาณ 15-18 วันต่อปี/คน)แต่ในปัจจุบันนี้อัตราการหยุดงานลดลงโดยทั่วไป อาจกล่าวได้ว่าขณะนี้อัตราการหยุดงานอยู่ในเกณฑ์ร้อยละ 2-3ในขณะที่สถานประกอบการที่มีการบริหารและการควบคุมอย่างจริงจังอาจมีอัตราสูงเพียงร้อยละ 1.5-2 เท่านั้นโดยเหตุที่

การหยุดงานก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นอย่างมากสถานประกอบการเป็นจำนวนไม่น้อยจึงมีการจัดทำแผนการลดอัตราการหยุดงาน แล้วนำมารวมไว้กับแผนการดำเนินธุรกิจประจำปีและจัดให้มีการควบคุมอย่างจริงจังซึ่งปรากฏว่า “ได้ผล”การลดอัตราการหยุดงานมิใช่เป็นสิ่งที่จะบรรลุความสำเร็จได้โดยง่าย จำเป็นต้องอาศัยหลักและวิธีการตลอดจนความสนใจอย่างต่อเนื่องรวมทั้งการวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้พนักงานหยุดงานและลักษณะของ

พนักงานที่หยุดงานตลอดจนการพิจารณาปัจจัยหรือตัวแปรอื่นๆ อีกมากการดำเนินการกับผู้ที่หยุดงานมากๆ มีอยู่ 2 วิธี คือ การใช้ไม้นวม (CONSTRUCTIVE APPROACH) กับ การใช้ไม้แข็ง (COERCIVE APPROACH)การใช้ไม้นวม หมายถึงการเริ่มต้นจากการค้นหาเหตุ และใช้การให้คำปรึกษาชี้แนะเป็นกลไกในการแก้ และถ้าไม่ดีขึ้นอาจใช้มาตรการทางวินัยเข้าช่วยกระตุ้นส่วน การใช้ไม้แข็ง ซึ่งในที่นี้หมายถึง...การใช้มาตรการแกมบังคับ ซึ่งควรจะใช้กับผู้ที่สร้าง

ปัญหาจริงๆและภายหลังจากที่ได้พยายามใช้ไม้นวมแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มาตรการนี้อาจรวมถึงการโยกย้ายหรือเลิกจ้างโดยจ่ายค่าชดเชยในฐานที่ไม่พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่แต่ทั้งนี้จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าลูกจ้างมีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นว่าได้ใช้สิทธิในการลาโดยมิชอบ และมีการหยุดงานปีละมากๆ ติดต่อกันมาหลายปีพูดกันอย่างง่ายๆ ก็คือ มากครั้ง มากวัน และมากปีจึงจะถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม! 

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ระลึก 14 ตุลาฯ จาก 'จีระ' ถึง 'นวมทอง'(อีกครั้ง)

ย้อนเวลาไป 2 ปีเศษ จากการใช้กำลังทหารก่อการรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ก็ได้เกิดความรู้สึกสูญเสียครั้งสำคัญมาครั้งหนึ่งแล้ว ในกรณี นายนวมทอง ไพรวัลย์ ผู้ได้รับการบันทึกไว้ใน "วีกิพีเดีย สานุกรมเสรี" ดังนี้...

นวมทอง ไพรวัลย์ (พ.ศ. 2489 - 31 ต.ค. 2549) อดีตพนักงานการไฟฟ้าบางกรวย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 25849 ได้ขับรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรลล่า สีม่วง ทะเบียน ทน 345 กทม. ของบริษัทสหกรณ์แหลมทองแท็กซี่ จำกัด พุ่งเข้าชนรถถังเบา M41A2 Walker Bulldog ตรากงจักร 71116 ของคณะปฏิรูปฯ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อมาในคืนวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ได้ผูกคอตายกับราวสะพานลอย บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออก เยื้องกับที่ตั้งสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (บริษัท วัชรพล จำกัด) โดยในจดหมายลาตายระบุ เพื่อลบคำสบประมาทของ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษก คปค. ที่ว่า "ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"

ในคืนที่นายนวมทองแขวนคอตาย เขาตั้งใจสวมเสื้อยืดสีดำ สกรีนข้อความเป็นบทกวี ที่เคยใช้ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้านหน้า เป็นบทกวีของรวี โดมพระจันทร์ และ ด้านหลังเป็นบทกวีของกุหลาบ สายประดิษฐ์

"พี่นวมทอง" เสียสละชีวิตโดยเอกเทศ ไม่ผ่านการปลุกระดมชักชวนจากใครทั้งสิ้น และได้รับการเชิดชูและระลึกถึงเฉพาะเพียง "ผู้รักและหวงแหนในระบอบประชาธิปไตย" เท่านั้น แม้จนกระทั่งบัดนี้ดูจะเป็นที่รังเกียจชิงชังจากฝ่าย "อำมาตยา-อภิชนาธิปไตย" และแนวร่วม

ย้อนไปไกลกว่านั้น ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 วีรชนประชาธิปไตย นายจีระ บุญมาก ได้รับการบันทึกไว้ใน "วีกิพีเดีย" อีกเช่นกันว่า

จีระ บุญมาก เป็นนักศึกษาปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ฟังวิทยุรายงานข่าวว่านักเรียนนักศึกษากำลังจะก่อการจลาจล และบุกเข้ายึดวังสวนจิตรลดา ไม่เชื่อว่าข่าววิทยุจะเป็นความจริง จึงออกจากบ้านเพื่อมาดูสถานการณ์ โดยซื้อส้มมาด้วย เมื่อมาถึงบริเวณหน้ากรมประชาสัมพันธ์ ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เวลาประมาณ 12.00 น.ก็แจกส้มให้นักเรียนช่างกล บอกว่าทหารเขามาทำตามหน้าที่ ให้ใจเย็น อย่าทำอะไรรุนแรง จากนั้นก็ถือธงชาติเดินเข้าหาทหาร ขอร้องว่าทหารอย่าทำร้ายเด็กนักเรียนที่ไม่มีอาวุธ แล้วหยิบส้มที่เตรียมมาโยนให้ทหารกิน ทหารที่ระวังอยู่เข้าใจว่าจีระจะทำร้าย จึงยิงปืนใส่ เสียชีวิตทันที นักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้น นำธงชาติเข้ามาเช็ดเลือดจีระ ห่มร่างด้วยธงชาติ และนำศพขึ้นไปวางบนพานรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และแห่ศพข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าไปที่สี่แยกบ้านแขก วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี

ถ้าจะถามผมว่า ชีวิตกว่าครึ่งศตวรรษมีความทรงจำไหนที่ประทับใจลึกซึ้งที่สุด ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ก็เหตุการณ์เช้าตรู่วันที่ 14 ตุลาคม 2516 นั่นแหละครับ ผมเคยให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่จาก "มูลนิธิวีรชน 14 ตุลาฯ" และได้มีโอกาสบรรยายปากเปล่าถึงเหตุการณ์วันนั้น ร่วมกับคุณโอริสสา ไอราวัณวัฒน์ หนึ่งในนักเรียนอาชีวศึกษาเมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ต่อมาจัดตั้ง "แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชน" และอีก 3 ปีถัดมาถูกยิงเข้าที่ปากและใต้คางใน "กรณี 6 ตุลา"...

ถนนด้านหน้าพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ฝั่งสวนสัตว์ดุสิต เขาดินวนาในช่วงเช้าตรู่วันที่ 14 ตุลาคม หลังจากมีประกาศให้สลายการชุมนุม เนื่องจากรัฐบาลจอมพลถนอม (ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีใครเรียกว่า "สามทรราชย์") และเมื่อรถกระบะไม้หลังคาผ้าใบที่ถอยหลังเข้ามาจากแยกวัดเบญจมบพิตร รับเอาไม้ท่อนเอาเหล็กฟุตจากนิสิตนักศึกษาและนักเรียนอาชีวะที่ยังไม่ได้ถูก "ผู้ใหญ่" มาแบ่งฝ่ายให้ ขับจากไปไม่ถึง 5 นาที เราที่อยู่ทางด้านนี้ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องพร้อมๆกับภาพเพื่อนที่อยู่ด้านแยกราชวิถีถูกแก๊สน้ำตาถอยร่นมาทางผมกับเพื่อนๆอีกจำนวนมากที่กำลังจะแยกย้ายกับกลับ ส่วนหนึ่งถูกบีบลงไปในน้ำที่รายล้อมเขตพระราชฐาน...

แล้วพวกเราทางนี้ก็กรูกันเข้าไป... เพื่อรับแก๊สน้ำตาที่ทยอยมาอีกเป็นระลอก เดชะบุญที่ "พี่" เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังคนหนึ่งมาดึงแขนผมข้ามสะพานเข้าสู่เขตพระราชฐาน ก่อนที่ผมจะลัดเลาะจากด้านเข้าดิน ไปออกประตูด้านถนนราชวิถี มิไยที่ "พี่ๆ" เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทัดทานเอาไว้ แต่ความรู้สึกของคนหนุ่มอายุ 19 ในวันนั้น ตอบกลับไปว่า "พี่...ผมอยู่ไม่ได้แล้ว"

33 ปีให้หลังผมบอกตัวเองเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 ที่พาตัวเองไปเมียงๆมองๆสังเกตการณ์อยู่กลางสนามหลวง ว่า...

"หนนี้มันไม่เหมือนและไม่มีวันเหมือนหรอก... มันไม่ใช่ 14 ตุลารอบใหม่อย่างที่ใครบางคนตะแบงอยากให้เป็นจนตัวซีดตัวสั่น...".

เรียบเรียงใหม่โดย: ปรีชา จาสมุทร

เพื่อไทย "ซ้อมใหญ่" อภิปรายไม่ไว้วางใจ


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ


ฝ่ายค้าน "ชิงลงมือ" อภิปรายผลงานรัฐบาลล่วงหน้า ก่อนการลงมือแถลงจริงของฝ่ายรัฐบาล 2 วัน ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ล่วงหน้าเกือบ 3 เดือน ก่อนสภาเปิดใน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

อาจเป็นครั้งแรกของพรรคเพื่อไทยที่มีการ "แถลง" โดยปราศจาก "เสด็จพี่- พร้อมพงศ์" อยู่ในวง แต่มีตารางข้อมูล พาวเวอร์พอยต์ เอกสารประกอบเต็มรูปแบบ

ทั้งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค นายปานปรีย์ พหิทธานุกร นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน และน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ หัวหน้าสำนักงานปราบโกง ร่วมวงอย่างเคร่งขรึม

วาระ 1 ปีแห่งความล้มเหลวของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ถูกอภิปราย ฉายตัวอย่างเสมือนจริง

หัวหน้าพรรค "นอกสภา" นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อ้างถึงรัฐธรรมนูญ 50 แล้ว "เปิดหัว" ด้วยการนำความเห็นของ "สื่อ" มาพาดหัว

"อยากนำความเห็นของสื่อที่เป็นกลางมากกว่าความเห็นของพรรคมาเสนอ ระบุว่า 1 ปีของรัฐบาลมีแต่ทรงกับทรุด"

ตามด้วยความเห็นของ "นักธุรกิจ- น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ" ที่ใช้แนวทาง "เต๋า" ในการวิเคราะห์ "สูงสุด สู่สามัญ สูงสุดของกระบวนท่าคือการไร้กระบวนท่า การบริหารแบบไม่ต้องบริหาร รัฐบาลมีความสามารถในการแจกแถมให้ แต่ไม่มีความสามารถในการสร้างรายได้"

เช่นเดียวกับรองหัวหน้าคนที่ 1 นายปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ใช้แนวทาง "หนังสือพิมพ์" เป็นแนววิพากษ์

"อ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ บอกว่ารัฐบาลได้คะแนนบีบวก แต่พวกผม ยืนยันว่าตกแน่ รัฐบาลนี้พูดเก่ง มีศิลปะในการปั้นน้ำ"

"การให้คะแนนด้านเศรษฐกิจ โดยด้านเศรษฐกิจได้คะแนนเกรด C หรือเกือบตก ด้านความมั่นคง-การเมือง รัฐบาลได้ เกรด D สำหรับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ได้เกรด F หรือสอบตก"

ตบท้ายด้วยคำเสียดสีมีหลัก 4 เรื่อง คือ รัฐบาล 1.พูดเก่งจนบางครั้งพูดเกินความจริง 2.กู้เก่ง 3.เพาะศัตรูเก่ง และ 4.หาเหาใส่หัวเก่ง

รองหัวหน้าพรรค "ข้าวนอกนา-นายปานปรีย์ พหิทธานุกร" ประเมินผลของงานได้เป็นระบบ มากกว่า 2 คนก่อน อาทิ การปรับตำแหน่งให้เหมาะสมกับหน้าที่โดยเฉพาะ ครม.เศรษฐกิจ และนโยบาย 99 วัน ยังทำไม่ได้จริง

เรื่องแรกคือการก่อ หนี้ของภาครัฐ ปัญหาเรื่องการสร้างรายได้ยังเป็นปัญหาใหญ่ หนี้สาธารณะมีตัวเลขเพิ่มขึ้น ตลอด 1 ปี นับจากเดือน ธ.ค. 51 จนถึง พ.ย. 52 ตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 530,597 ล้านบาท

เรื่องเงินกู้ 8 แสนล้านบาท เพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ และปิดหีบงบประมาณ แต่ ณ วันที่ 11 ธ.ค. 52 เบิกจ่ายไปเพียง 21,392.96 ล้านบาท ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์การกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในจำนวนที่เบิกจ่าย มีการใช้เพิ่มทุนธนาคารของรัฐ 14,500 ล้านบาท เหลือใช้ในโครงการลงทุน 6 พันกว่าล้านบาท โดยในนั้นเอาเงินไปซ่อมแซมถนน 5 พันกว่าล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างอย่างเดียว

ตัวเลขหนี้สาธารณะ ที่กำหนดไม่ควรเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ในปี"55 แต่คงเป็นไป ไม่ได้อย่างที่ตั้งไว้ และแม้รัฐบาลจะพูดว่า ในไตรมาส 4 จีดีพีจะเป็นบวก ก็เป็นเพราะในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วติดลบถึง 4.2 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่แปลกที่จะกลับมาเป็นบวก

"ปานปรีย์" กางตัวเลขการจัดเก็บ รายได้ของรัฐบาล ที่ระบุว่า "น่าเป็นห่วง"

คือเงินคงคลัง ที่ค่อนข้างน้อยลงมาก ในเอกสารของกระทรวงการคลัง ช่วงเดือน ต.ค. 52 เงินคงคลังปรับตัวสูงขึ้น 274,600 ล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เป็นเงินกู้ในรูปตั๋วเงินถึง 245,100 ล้านบาท เงินสดคงคลังมีแค่ 29,500 ล้านบาท

นโยบายสินค้าเกษตร ที่เปลี่ยนจากการจำนำเป็นการประกัน แต่หากใช้การจำนำ เชื่อว่าเกษตรกรจะได้ประโยชน์มากกว่านี้

เรื่องหนี้นอกระบบ เป็นการพยายามทำเหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยดำเนินการ การลงทะเบียนก็ไม่ชัดเจนว่าคนกลุ่มใดควรได้รับการช่วยเหลือ หนี้จริง หนี้ปลอมก็มั่วกันไปหมด ปัญหาเรื่องมาบตาพุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินว่าความเสียหายเกิดขึ้นกว่า 2.3 แสนล้านบาท ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม ประเมินว่าเสียหายถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลขาดการบริหารจัดการที่ดี

ประธานวิปฝ่ายค้าน นายวิทยา บุรณศิริ ที่มาร่วมวงติดปลายแถว ต่อจากเรื่อง "เศรษฐกิจ" อภิปรายเรื่อง "กฎหมาย" ด้วยแผ่นเสียงชุดเดิม

"ที่มาเข้าสู่อำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีขบวนการที่เราไม่เคยคิดว่าจะมีในศตวรรษนี้ คือพวกงูเห่า ทำให้พวกที่รยศหักหลัง หรืองูเห่านี้กลับบ้านไม่ได้ จะเห็นว่ามีการยกโลงศพไปไว้บ้าน ส.ส. การเข้ามาสู่อำนาจของนายอภิสิทธิ์ จึงเป็นปัญหา สร้างไปสู่ความขัดแย้งของสังคม"

นักการเมืองหน้าใหม่-สาย กทม. "น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ" ตามมาผสมโรง เรื่อง "ทุจริต" ตอกย้ำจากที่อภิปรายมาแล้ว 6 เดือน

"ความล้มเหลวของรัฐบาลอภิสิทธิ์อีกประการ คือการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นโครงการชุมชนพอเพียง ที่สังคมไทยรู้ว่ารัฐบาลปล่อยให้ทุจริตอย่างไม่สมควรเกิดขึ้น เอาโครงการที่ในหลวงพระราชทานมาทำให้เกิดการทุจริตขึ้น"

"อนุดิษฐ์" ฉายตัวอย่าง หัวข้อ อภิปรายไม่ไว้วางใจล่วงหน้า อาทิ โครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน แม้จะยังไม่มีการลงนามในสัญญา แต่กรอบความคิดจะเอารถเมล์ 4 พันคันมาวิ่ง และงบประมาณตั้งแต่ต้นโครงการจนจบ หากคิดในราคาเท่ากัน จะได้รถไฟฟ้า 1 สาย

โครงการต้นกล้าอาชีพ ที่เราตรวจสอบกลับพบว่ามีการยักยอกเงินจากโครงการนี้จำนวนมาก ยังมีโครงการโกงชาวนาในการแจกข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษที่สุดท้ายเป็นข้าวปลอมปน โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์สาธารณสุข ที่เครื่องอัลตราซาวนด์ โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่โกงนักเรียน โครงการทุจริตจัดซื้อหัวรถจักรโครงการทุจริตเช่ารถเข็นสนามบินสุวรรณภูมิ 566 ล้านบาท

1 ปี รัฐบาลอภิสิทธิ์ เท่าที่พิจารณาความเสียหายจากงบประมาณ 1.01 แสนล้านบาท เชื่อว่ามีเงินตกอยู่ข้างทางถึง 6.3 หมื่นล้านบาท

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แม้วขู่ไม่เจรจาเดือดแน่


ที่มา:โพสต์ทูเดย์

ทักษิณลั่นรัฐบาลไม่เจรจาบ้านเมืองอึมครึมต่อ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในรายการทอล์ก อะราวด์ เดอะเวิลด์ วานนี้ว่า ในเมื่อฝ่ายรัฐบาลไม่ต้องการเจรจา ก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่บ้านเมืองก็คงต้องอึมครึมต่อไป


“ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อผู้มีอำนาจบอกต้องเป็นอย่างนี้ ใช้ศาลทำสองมาตรฐานต่อไป อย่างที่เรียนทุกอย่างมันมีจุดเดือดของมัน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
ทั้งนี้ ตนเองค่อนข้างปรับตัวได้จากการอยู่ที่กัมพูชา เพราะคิดว่าเหมือนอยู่บ้าน เพราะนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้อยู่บ้านฟรี เฮลิคอปเตอร์ก็ให้ใช้ฟรี

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การยุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นั้นใช้เวลานาน แต่ถ้าเป็นคดีพรรคอื่นใช้เวลารวดเร็ว มีคนเล่าให้ฟังจากการคุยกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บางคนบอกว่ามีการสั่งมาห้ามยุบเด็ดขาด

“เรื่องนี้อยู่ที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. แต่เรียนวปอ. รุ่นเดียวกับนายบัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.) และเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นเดียวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน (รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) ฟังดูก็รู้ ฟังธงได้เลยว่าจะไม่ยุบทั้งที่ความผิดประจักษ์ ดังนั้นขอแสดงความยินดีด้วย แต่แสดงความเสียใจกับสังคมไทยที่ได้สองมาตรฐาน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

สำหรับเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศนั้น เขียนชัดว่า ตนเองเป็นภัยหลักจะต้องขจัด ตนเองถูกลอบฆ่าหลายครั้ง แต่โชคดีเส้น ลายมือผมไม่ตายโหง และไม่เหมือน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จากผู้ก่อการร้ายก็กลายเป็นผู้ก่อการดี

วันเดียวกัน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และน.ส.วาสนา นาน่วม พิธีกรในรายการ “ลับ ลวง พราง” ทางสถานีวิทยุ 100.5 ได้กล่าวตอบโต้กันอย่างดุเดือดกรณีมีการเสนอข่าวพล.อ. สุรยุทธ์อาสาเป็นคนกลางเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ

ทั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ เปิดแถลงว่า ไม่เคยอาสาที่จะเป็นคนกลางในการเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ

“ผมมองสื่อในแง่ที่ดี เป็นผู้ที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน โดยเฉพาะคุณวาสนา ซึ่งเคยเป็นประธานในงานแต่งงาน ดังนั้นจึงมีความไว้วางใจ แต่ในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าจะต้องระมัดระวัง เพราะคุณวาสนาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว” พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

ด้านน.ส.วาสนา กล่าวยืนยันไม่ได้พูดชี้นำว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะเป็นตัวกลางเจรจาและเข้าใจว่าท่านคงโดนตำหนิ โดนอัดเยอะ และคิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุ ก็ขอยอมเป็น กระโถนแล้วกัน