คมชัดลึก : “รองโฆษกรบ.”เผยครม.มีมติยกเลิกพรบ.ความมั่นคงทั่วกทม.แล้ว เผย”สุเทพ”ชี้ยังไม่มีไว้วางใจให้คงความเข้มข้นมาตรการรักษาความปลอดภัยไว้ต่อเนื่อง ผบ.ทร.เชื่อคนไทยรักในหลวงไม่มีเหตุวุ่นหลังเลิกกม.มั่นคงชวนทุกคนทำดีให้“ในหลวง”สบายพระทัย
(1ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐนตรี กล่าวหลังการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมครม.ได้มติยกเลิกการประกาศการใช้พรบ.ความมั่นคงทั่วกทม. โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รายงานต่อที่ประชุมว่าจากการประเมินของฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่าช่วงเดือนธ.ค.จะไม่มีการชุมนุมขนาดใหญ่ แต่ได้ประเมินการชุมนุมไว้ 3 ช่วง คือ 1 – 15 ธ.ค. ไม่มีการชุมนุมแน่นอน ช่วงที่ 2 ม.ค. 53 อาจจมีการชุมนุมระดับย่อย และช่วงที่ 3 ก่อนเปิดสภาจะมีการชุมนุมเพื่อผูกเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
อย่างไรก็ตามนายสุเทพ ได้รายงานด้วยว่า ในช่วงนี้ยังไม่ลดระดับความเข้มข้นรักษาความปลอดภัยของประชาชน โดยได้ตั้งสมมติฐานเหตุการณ์ว่าจะไม่ให้เกิดเหตุระเบิดในช่วงปลายปี เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 49
ผบ.ทร.เชื่อคนไทยรักในหลวงไม่มีเหตุวุ่นหลังเลิกกม.มั่นคง
พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานพิธีกล่าวถวายพระพรชัยมงคล ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งกองทัพเรือจัดขึ้นเฉลิมพระเกียรติและแสดงออกถึงความจงรักภักดีของข้าราชการกองทัพเรือ โดยมีนายทหารในกองทัพเรือ และหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่เขตบางกอกใหญ่เข้าร่วมพิธีกว่า 700 คน ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จพิธีกองทัพเรือได้มีการปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 99,999 ตัว
พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่า ห้วงเวลาเฉลิมพระชนมพรรษาคงไม่ต้องเชิญชวนประชาชนทำอะไร เพราะทุกคนทราบดี และมีความรักในพระองค์ท่าน ดังนั้น ควรทำความดีรู้รักสามัคคี เพื่อให้พระองค์ท่านสบายพระราชหฤทัย คิดว่าเป็นสิ่งที่ยอดปรารถนาของคนไทยทุกคน อยากให้เป็นเดือนมหามงคลแท้จริง
เมื่อถามว่า เป็นห่วงสถานการณ์หลังเลิกพ.ร.บ.ความมั่นคง จะเกิดเหตุวุ่นวายหรือไม่พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่า ไม่ห่วงว่าจะมีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ในวันมหามงคลนี้ เพราะเชื่อประชาชนรักพระองค์ท่าน ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่ต้องติดตามดูสถานการณ์และการข่าวควบคู่ เชื่อประชาชนทุกคนต้องการความสงบเรียบร้อยและคิดเหมือนกันหมด ส่วนกรณีพรรคเพื่อไทยยอมเจรจาอย่าศึกกับรัฐบาลโดยจะยุติการเคลื่อนไหวจนกว่าจะขึ้นปีใหม่นั้นก็ดี
เมื่อถามถึง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)จะมีการชุมนุมในวันที่ 5 ธันวาคมนี้เหมาะสมหรือไม่ พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียด แต่คิดว่าเขาชุมนุมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ฮุนเซนจวกยับ”มาร์ค-กษิต”ต่ำช้า!
ข่าวสด : เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. สำนักข่าว dap-news.com เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ยอดนิยมของกัมพูชา รายงานว่า นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดเจดีย์ในจังหวัดกัมปงจามเมื่อวันจันทร์ ว่า ตนมีคำสั่งล่าสุดให้ส่วนราชการทั้งระดับชาติและระดับจังหวัดทบทวนการทำข้อตกลง รวมถึงบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ต่างๆ ที่ทำกับฝ่ายไทย ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงลงนามไปแล้วหรือยังไม่ได้ลงนาม
นายฮุนเซน กล่าวว่า นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2537 เป็นต้นมา กัมพูชาทำข้อตกลงกับไทย 23 ฉบับ บางส่วนเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว บางส่วนอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนข้อตกลงสุดท้ายที่ลงนามกันไป คือ ข้อตกลงให้เงินกู้ช่วยเหลือก่อสร้างถนน ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2552 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ถ้ากัมพูชายังคงขอรับเงินช่วยเหลือดังกล่าวต่อไปก็เหมือนกับเป็นหนี้บุญคุณฝ่ายไทย จึงตัดสินใจยกเลิก และจะสร้างถนนสายนี้ด้วยเงินกัมพูชาเอง
นายฮุนเซน เตือนข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยว่า อย่าลงนามในข้อตกลงใดๆ หรือขอเงินช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเด็ดขาด ถ้าใครฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกไล่ออก แต่การรับความช่วยเหลือจากไทยทำได้เฉพาะรับเงินบริจาคด้านการกุศล
ส่วนกรณีมีข่าวว่า นายกษิตกล่าวหากัมพูชาว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นสร้างเงื่อนไขทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียดเพราะไปแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจ นายฮุนเซนตอบโต้ว่า สัมพันธ์ไทย-กัมพูชารอบใหม่นี้เริ่มปะทุตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ภายหลังจากทหารไทยข้ามพรมแดนเข้ามายังฝั่งกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย
“กษิต คุณคือแกนนำกลุ่มพันธมิตร คุณคือคนๆ หนึ่งที่รุกล้ำเข้ามายังเขตพระวิหารโดยผิดกฎหมาย และเคยด่าผมเสียๆ หายๆ อย่างรุนแรงระหว่างการชุมนุม คุณมันคนต่ำช้า ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองไปเปิดฟังเทปปราศรัยของคุณแล้วจะรู้เอง” นายฮุนเซน กล่าว และว่า ในกลุ่มนายกรัฐมนตรี 10 คนที่ตนเคยทำงานด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์ทำงานด้วยยากที่สุด และยังเป็นคนที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชาตึงเครียด
นายฮุนเซน กล่าวว่า นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2537 เป็นต้นมา กัมพูชาทำข้อตกลงกับไทย 23 ฉบับ บางส่วนเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว บางส่วนอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนข้อตกลงสุดท้ายที่ลงนามกันไป คือ ข้อตกลงให้เงินกู้ช่วยเหลือก่อสร้างถนน ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2552 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ถ้ากัมพูชายังคงขอรับเงินช่วยเหลือดังกล่าวต่อไปก็เหมือนกับเป็นหนี้บุญคุณฝ่ายไทย จึงตัดสินใจยกเลิก และจะสร้างถนนสายนี้ด้วยเงินกัมพูชาเอง
นายฮุนเซน เตือนข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยว่า อย่าลงนามในข้อตกลงใดๆ หรือขอเงินช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเด็ดขาด ถ้าใครฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกไล่ออก แต่การรับความช่วยเหลือจากไทยทำได้เฉพาะรับเงินบริจาคด้านการกุศล
ส่วนกรณีมีข่าวว่า นายกษิตกล่าวหากัมพูชาว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นสร้างเงื่อนไขทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียดเพราะไปแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจ นายฮุนเซนตอบโต้ว่า สัมพันธ์ไทย-กัมพูชารอบใหม่นี้เริ่มปะทุตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ภายหลังจากทหารไทยข้ามพรมแดนเข้ามายังฝั่งกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย
“กษิต คุณคือแกนนำกลุ่มพันธมิตร คุณคือคนๆ หนึ่งที่รุกล้ำเข้ามายังเขตพระวิหารโดยผิดกฎหมาย และเคยด่าผมเสียๆ หายๆ อย่างรุนแรงระหว่างการชุมนุม คุณมันคนต่ำช้า ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองไปเปิดฟังเทปปราศรัยของคุณแล้วจะรู้เอง” นายฮุนเซน กล่าว และว่า ในกลุ่มนายกรัฐมนตรี 10 คนที่ตนเคยทำงานด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์ทำงานด้วยยากที่สุด และยังเป็นคนที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชาตึงเครียด
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โปรดอ่าน – ยิ่งกว่าเด็กคือทารก!
บางกอกทูเดย์ : รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า…พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม เมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภารัฐธรรมนูญกำชับไว้อีกว่า…ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ในสภาทั้ง 2อธิบายได้ว่า…การประกาศสงครามเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ…แพ้ชนะในสงครามเป็นชะตากรรมร่วมกันของมวลชนแห่งชาติการล้มลงของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐสภา…นั้นแม้แต่เพียงครึ่งหนึ่งของคะแนนของสภาเดียว…นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลของเขาก็มีอันสิ้นสุดลงได้อธิบายได้ว่า…รัฐบาลภายใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญนั้น…มีความสำคัญเพียงน้อยนิด…แต่เพียงคนๆ เดียว…อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ…ได้กระทำการที่เป็นการตั้งต้นของสงคราม…และก้าวลํ้าเข้าไปในความขัดแย้งระหว่างชาติ…การเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัมพูชากลับ
เพราะไม่พอใจกับการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยให้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประเทศกัมพูชานั้นน่าจะมีการปรึกษาหารือกัน…ในหลายๆ ระดับ…เริ่มต้นกันตั้งแต่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี…สภากลาโหม…สภาความมั่นคงแห่งชาติ…หรือปรึกษาหารือกับองค์คณะแห่งองคมนตรี ฯลฯแต่…อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ…ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกทูตกลับ และประกาศหยุดการช่วยเหลือในทุกระดับกับกัมพูชาอนิจจา…นายกรัฐมนตรีไีม่รู้หรือว่า…มีโีครงการมากมายในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ…เป็นที่จับจิตจับใจประชาชนคนกัมพูชา…ในพระมหากรุณาธิคุณ…อนิจจา…นายกรัฐมนตรีไม่รู้หรือว่า…ความช่วยเหลือราคาไม่กี่เหรียญ…ที่ไทยช่วยกัมพูชานั้น…ประชาชนกับประชาชนของไทยกัมพูชา…ค้าขายกันอยู่มากกว่า 7หมื่นล้านต่อปี…และประเทศไทยมีคนไทยไปลงทุนอยู่ในประเทศนั้น นับแสนล้านบาท…ไม่นับการท่องเที่ยวผ่านประเทศไทยไปชมนครวัดในกัมพูชา…อีกปีละหลายๆ หมื่นคนชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน-สุเทพ เทือกสุบรรณ…พรรคประชาธิปัตย์ของท่าน รับไหวหรือ…กับความเสียหายที่ประชาชนคนไทยและประเทศไทยได้รับในครั้งนี้…ไม่รวมถึงสิ่งที่ดีที่ยังไม่เกิดขึ้น…เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย… คือที่ปรึกษาใหญ่เศรษฐกิจของประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหึมายิ่งกว่าเด็ก คือทารก ไตรรงค์ สุวรรณคีรี…เคยพูดไว้
เพราะไม่พอใจกับการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยให้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประเทศกัมพูชานั้นน่าจะมีการปรึกษาหารือกัน…ในหลายๆ ระดับ…เริ่มต้นกันตั้งแต่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี…สภากลาโหม…สภาความมั่นคงแห่งชาติ…หรือปรึกษาหารือกับองค์คณะแห่งองคมนตรี ฯลฯแต่…อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ…ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกทูตกลับ และประกาศหยุดการช่วยเหลือในทุกระดับกับกัมพูชาอนิจจา…นายกรัฐมนตรีไีม่รู้หรือว่า…มีโีครงการมากมายในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ…เป็นที่จับจิตจับใจประชาชนคนกัมพูชา…ในพระมหากรุณาธิคุณ…อนิจจา…นายกรัฐมนตรีไม่รู้หรือว่า…ความช่วยเหลือราคาไม่กี่เหรียญ…ที่ไทยช่วยกัมพูชานั้น…ประชาชนกับประชาชนของไทยกัมพูชา…ค้าขายกันอยู่มากกว่า 7หมื่นล้านต่อปี…และประเทศไทยมีคนไทยไปลงทุนอยู่ในประเทศนั้น นับแสนล้านบาท…ไม่นับการท่องเที่ยวผ่านประเทศไทยไปชมนครวัดในกัมพูชา…อีกปีละหลายๆ หมื่นคนชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน-สุเทพ เทือกสุบรรณ…พรรคประชาธิปัตย์ของท่าน รับไหวหรือ…กับความเสียหายที่ประชาชนคนไทยและประเทศไทยได้รับในครั้งนี้…ไม่รวมถึงสิ่งที่ดีที่ยังไม่เกิดขึ้น…เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย… คือที่ปรึกษาใหญ่เศรษฐกิจของประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหึมายิ่งกว่าเด็ก คือทารก ไตรรงค์ สุวรรณคีรี…เคยพูดไว้
มาร์ค ม.7 ยกธงขาวยุติโครงการต้นกล้าอาชีพ

มติชน : “อภิสิทธิ์”ชี้โครงการต้นกล้าอาชีพ แค่งานเฉพาะกิจ หนุน”กอร์ปศักดิ์”ยุติโครงการ เฟส2 โยนให้ ก.แรงงานไปทำต่อ ผอ.โครงการเผย”กนก”กุนซือนายกฯอยากให้เดินหน้าต่อ เน้นเพิ่มศักยภาพแรงงานรับ ศก.ฟื้น รวมทั้งช่วยคนพิการ-วินมอเตอร์ไซค์ มีอาชีพใหม่ ยันไร้ปัญหาทุจริต
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ออกมาระบุว่า จะยกเลิกโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน หรือ โครงการต้นกล้าอาชีพ เฟส 2 ว่า กำลังคุยกับนายกอร์ปศักดิ์อยู่ คิดว่าวัตถุประสงค์ของโครงการจริงๆ เหมือนเป็นโครงการเฉพาะกิจ แนวที่ทำมาสามารถต่อยอดได้ ถ้าจะทำต่อก็ควรไปที่หน่วยงานปกติคือกระทรวงแรงงาน ไม่ควรเป็นโครงการเฉพาะและตั้งอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะไม่อนุมัติงบประมาณโครงการต้นกล้าอาชีพ เฟส 2 อีก 7.4 พันล้านบาทแล้วใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องไปสรุปตัวเลขต่างๆ มาว่า สิ่งที่ดำเนินการไปแล้ว และงบฯที่ค้างอยู่เป็นอย่างไร ยอมรับว่ายังมีปัญหาเรื่องการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบฯในโครงการต้นกล้าอาชีพอยู่ เพราะส่วนใหญ่เป็นการโอนเงินไปที่หน่วยบริการ จากนั้น หน่วยบริการต้องโอนเงินต่อไปอีกที
“ผมกำลังให้เขาสรุปมาว่า ตกลงจะทำถึงเมื่อไหร่ จะหยุดเลย หรือถ้าคิดว่า มีงานบางส่วนที่ทำมาแล้ว และมีเสียงสะท้อนในทางที่ดี อยากให้มีโครงการในลักษณะนี้อีก ซึ่งผมมีความเห็นว่าถ้าเป็นงานประจำ ก็ควรโอนไปให้หน่วยปกติทำ ไม่เช่นนั้นในอนาคตเราจะมีโครงการที่เกิดขึ้นแล้วมาอยู่ที่สำนักนายกฯ หรือสำนักต่างๆ มากมาย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ด้านนายโสภณ อัศวานุชิต ผู้อำนวยการโครงการต้นกล้าอาชีพ กล่าวว่า นายกอร์ปศักดิ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการต้นกล้าอาชีพ ได้แจ้งให้ตนทราบก่อนหน้านี้แล้ว ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จำนวนผู้ว่างงานลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีโครงการนี้ต่อไป โดยย้ำว่าเงินที่นำมาใช้ เป็นเงินกู้ การใช้จ่ายต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ขณะนี้รัฐบาลมีงานหลายเรื่องที่ต้องรีบดูแล โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ต้องใช้งบฯในการแก้ไขปัญหาค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ปัจจุบันมีหลายโรงงานเริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาแล้ว ต้องการแรงงานจำนวนมาก หากโครงการต้นกล้าอาชีพ ยังเปิดต่อไป จะไปดึงแรงงานส่วนนี้ ไม่ให้กลับไปทำงานในโรงงานต่างๆ ได้
“นายกอร์ปศักดิ์ยังย้ำด้วยว่า การดำเนินงานโครงการต้นกล้าอาชีพในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมต้นกล้าปกติ การฝึกอบรมต้นกล้าพิเศษ อาทิ ผู้สอบบัญชีกองทุนหมู่บ้าน จำนวน 4,000 คน ต้นกล้านักฟุตบอลอาชีพ 3,750 คน และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สำรวจข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวน 60,000 คน ขอให้ใช้จ่ายเงินจากงบฯเดิมที่ตั้งไว้ 6.9 พันล้านบาท ที่เหลืออยู่อีก 2 พันกว่าล้านไปก่อน อย่าเพิ่งไปแตะต้องงบฯในส่วนการดำเนินงานระยะที่ 2 ในช่วงปี 2553 ที่ตั้งไว้ 6 พันกว่าล้านบาท แม้ว่า ครม.จะเห็นชอบไว้แล้วก็ตาม”นายโสภณกล่าว
นายโสภณกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แม้นายกอร์ปศักดิ์จะมีนโยบายชัดเจนว่าไม่ต้องการทำโครงการนี้ ต่อไป แต่เรื่องนี้คงจะต้องหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้อีกครั้ง ว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะมีคณะกรรมการหลายคน อยากจะให้รัฐบาลดำเนินงานโครงการนี้ต่อไป แต่ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงานใหม่ จากการชะลอเลิกจ้าง มาเป็นการเพิ่มศักยภาพและทักษะการทำงานของแรงงานให้มากขึ้น เน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลักไม่ให้เน้นเรื่องปริมาณเหมือนเดิม
“ทราบว่า นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกฯ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการโครงการนี้ก็อยากให้ดำเนินการต่อ เพราะเห็นว่าโครงการต้นกล้าอาชีพประสบความสำเร็จอย่างมาก ยิ่งช่วงที่เศรษฐกิจประเทศกำลังฟื้นตัว รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ ฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพแรงงานให้ดีขึ้น เพื่อยกระดับการแข่งขันกับต่างประเทศ ส่วนผมก็สนับสนุนให้มีต่อไป แต่อาจปรับรูปแบบมาเป็นการฝึกอบรมแรงงานที่ด้อยโอกาส เช่น คนพิการ วินมอเตอร์ไซค์ และคนด้อยโอกาสทางการศึกษา ให้มีทักษะการทำงาน นำไปใช้ประกอบอาชีพได้ดีขึ้น” นายโสภณกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ต้องยกเลิกเพราะการดำเนินงานมีปัญหาความไม่ชอบมาพากลมาก นายโสภณกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง การดำเนินงานที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าโครงการอื่น เห็นได้จากจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนพฤศจิกายนมีคนแจ้งความจำนงสมัครเข้าร่วมโครงการมากเป็นประวัติการณ์ถึงหลักแสนคน สาเหตุที่คนสมัครเป็นจำนวนมาก คงเป็นเพราะเห็นตัวอย่างของผู้ที่ฝึกอบรมและไปประกอบอาชีพได้จริง เลยไปพูดกันปากต่อปาก ทั้งที่งบฯประชาสัมพันธ์โครงการใช้น้อยมาก
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ยืนยันว่าการดำเนินงานโครงการต้นกล้าอาชีพที่ผ่านมาไม่มีปัญหาการทุจริต นายโสภณ กล่าวว่า ตนคงไปรับประกันอะไรแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้าจะมีก็มีน้อยมาก และเป็นเพียงแค่ปัญหาในระดับปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยรูปแบบปัญหาที่พบก็มีหลากหลาย เช่น การลงชื่อเข้าฝึกอบรมแทนกัน แต่ก็มีไม่มาก ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ ก็มีปัญหาเรื่องจุดฝึกอบรมต่างๆ ที่แจ้งจำนวนผู้เข้ารับอบรมไม่สอดคล้องกับขนาดของจุดฝึกอบรม รวมถึงหลักฐานการเบิกจ่ายที่ไม่ครบถ้วน แต่ปัญหาเหลานี้มีไม่มาก และที่ผ่านมาสำนักงาน ก็ควบคุมอย่างเข้มงวดตลอดเวลา หากพบอะไรผิดสังเกตก็สั่งระงับการเบิกจ่ายเงินทันที
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
นาทีระทึก-19 กันยา 49 ทัพฟ้า ‘พร้อมสู้’ แต่... ‘ชิดชัย’ ไม่เอาด้วย??

ในโลกของความทรยศ หักหลัง และปราศจากความจริงใจต่อกัน ทำให้เกิดสุภาษิตบทหนึ่งขึ้นมา เป็นสุภาษิตเพียงเพื่อสร้างอารมณ์ขัน จากอารมณ์คัน แต่ไม่หวังผลทางความคิดสุภาษิตนั้น บอกไว้ว่า “เพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้ว ไม่หนี เพราะเพื่อนรู้ว่ายังมี ซ่อนไว้”แต่ในโลกของความเป็นจริง วันนี้อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณชินวัตร จะมี “เพื่อนแท้” สักกี่คนคงไม่มีใครยืนยันได้ แม้กระทั่งตัว “ทักษิณ” เองแต่ถ้าจะเอ่ยถึง “เพื่อนตาย” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เวลานี้คงเหลือไม่กี่คนและหนึ่งในจำนวนนั้น คือ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 10ที่ต้องพูดถึง พล.อ.อ.สุเมธ ใน
วันนี้เพราะต้องการจะโยงไปถึงเรื่องการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งถือเป็นการ “รัฐประหาร” เป็นการ “แย่งอำนาจรัฐ” ที่เปะปะเละละที่สุดในประวัติศาสตร์ความเป็นชาติพล.อ.อ.สุเมธ ยังเป็น “เพื่อน” ผู้ที่ยังยืนยงและคอยช่วยเหลือทั้ง “ยามสุขและทุกข์” มาตลอดและเขาเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณไว้เนื้อเชื่อใจถึงขนาดให้ “คุมกำลังรบ”ของกองทัพอากาศยุคก่อน 19 กันยายน2549 ด้วยความเชื่อมั่นว่า... “เพื่อนคือนักรบ”!!พล.อ.อ.สุเมธ เกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30
กันยายนที่ผ่านมา ยังไม่ถึง 2 เดือนมานี้เองด้วยความที่คลุกคลี “วงการเมือง” มาไม่น้อย จึงกลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจเป็น “หัวหอก ตท.10” นำพาพวกพ้องพาเหรดเข้าพรรคเพื่อไทย“สุเมธ” เป็นขุนพลคนล่าสุดที่เป็นกำลังหลักให้พรรคเพื่อไทย พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนตาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นโต้โผหอบหิ้วเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 10 รวม 52 คน ที่เกษียณอายุในปีนี้มาสวมเสื้อแดงใต้แบรนด์เพื่อไทย...ว่าไปแล้ว พล.อ.อ.
สุเมธกับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคู่หูสนิทชิดเชื้อตั้งแต่เป็นนักเรียน ตท.10 ด้วยกันเจ้าตัวเล่าไป แบบเขินอาย“ซี้กันมาก เพราะเคยแอบลอกข้อสอบทักษิณตอนเรียนเตรียมทหาร 2 ปี.....จุดหักเหของชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่เหตุการณ์ปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติและเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติคนเดียวที่มีอำนาจหลังการยึดอำนาจเพียง 14 วันเหตุการณ์ยึดอำนาจในวันนั้นผู้คนมากมายคงยังพอจำกันได้ว่า เป็นการยึด
อำนาจที่เหมือน “การลักไก่” คณะปฏิวัติไม่มีความพร้อมในการบริหารจัดการกำลังรบอย่างแท้จริงในวันนั้น.....เหตุการณ์อาจจะเปลี่ยน ถ้าผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี แทน “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งไปราชการต่างประเทศไม่ได้ชื่อ....พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี??พล.อ.อ.สุเมธ เคยเล่าให้นักข่าวฟังว่า.....ในวันเกิดเหตุ 19 กันยายน 2549 นั้น เขาคือคน “คุมกำลังรบ” ของกองทัพอากาศ ในหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน มีเป็นกองกำลังรบภาคพื้นดินและ
ภาคอากาศที่ทรงประสิทธิภาพของกองทัพไทยพล.อ.อ.สุเมธ พูดถึงความหลังครั้งนั้นว่า.....“ต้องเข้าใจว่า กองทัพอากาศจะมีหน่วยบัญชาการอากาศโยธินที่คุมกำลังทั้งหมด ซึ่งของผมยังอยู่พร้อม ถ้ารัฐบาล (ทักษิณ) ประกาศต่อสู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายผมก็พร้อมสู้เพราะเราคิดว่าเราทำตามกฎหมายเราไม่กลัว ผมจึงไม่ได้วางอาวุธ จนกระทั่งเขาประกาศว่ารัฐบาลยอมแพ้ผมก็ต้องวางอาวุธซึ่งตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม”พล.อ.อ.สุเมธเองก็พอจะแว่วข่าวเข้าหูว่า จะ
มีการปฏิวัติกัน....เขาจึงบอกว่า“การปฏิวัติในวันนั้นตอนบ่ายๆ ก็มีข่าวมาเรื่อยๆ ผมก็รอรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าเขาจะสั่งกันอย่างไร?”ตอนนั้น พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี โทรมาถามว่าจะทำอย่างไร? ผมก็บอกไปว่าให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน พอมีเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ ก็ใช้แผนของการปราบปรามด้วยการเรียก ผบ.เหล่าทัพมา มันก็จะเป็นการสู้อย่างเป็นรูปธรรมแต่ปรากฏว่าไม่มีใครทำ!!“คือนึกออกมั้ย?? ผมอยู่ในหน่วยกำลังของผม ผมถือว่าผมถูกต้อง
ตามกฎหมาย เพราะถ้ารัฐบาลสู้ผมต้องอยู่กับรัฐบาลแน่นอน ซึ่งหากเป็นแบบนั้นกำลังที่มาจากชายแดนและอยู่ระหว่างทางต้องคิดหนักแล้วว่าจะทำอย่างไร?”“จะอยู่ข้างคนปฏิวัติ หรืออยู่ข้างรัฐบาล เพราะถ้าอยู่ฝ่ายรัฐบาลไม่ว่าจะแพ้หรือชนะไม่ใช่ฝ่ายผิดกฎหมาย”ในสังคม “นักรบ” แทบทุกคนรู้กันว่า ถ้าในวันนั้น แค่รักษาการนายกรัฐมนตรี อย่าง พล.ต.อ.ชิดชัยจะสวมหัวใจสิงห์สักอึดใจเดียว สั่งการไปยัง พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ในฐานะผู้คุมกองกำลัง ซึ่งมีหน่วย
บัญชาการอากาศโยธิน แล้ว “สั่งให้สู้”เหตุการณ์ก็จะพลิกผันได้ไม่ยาก!!เพราะ....พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เองกลับ “ไม่พร้อม” แต่ต้องรอกำลังจากกองทัพภาคที่ 3 และกำลังที่มาจากชายแดนในวันนั้น....วันที่ 19 พฤศจิกายน 2549 แม้ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ จะชื่อ พล.ต.พฤณ สุวรรณทัต เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ยศในขณะนั้น) เป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 รักษาพระองค์แต่ “เขี้ยวเล็บ” ของ
พล.ต.พฤณ ถูก “หัก” ไปหมดแล้ว ด้วยการสั่งย้าย ผบ.พัน ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลังรบ ของ พล.1 รอ. 17 กองพัน และผู้เซ็นคำสั่งนั้นคือ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา!!ดังนั้น....กำลังรบที่แท้จริง ที่มากมายด้วยเขี้ยวเล็บซึ่งยังเหลืออยู่ของนายกฯ ทักษิณ คือหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ซึ่งมีกำลังรบเพียบและ... “พร้อม”!! อยู่เพียงหน่วยเดียวแต่...แม้ว่า... “เพื่อนรัก-เพื่อนตาย” อย่าง พล.อ.อ.สุเมธโพธิ์มณี ในฐานะ ผบ.หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน พร้อมที่
จะ “รบ” และต่อต้าน หรือเรียกเสียให้เข้าใจง่ายๆว่า “ปราบปรามการก่อการกบฏ” ของฝ่าย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่เมื่อ พล.ต.อ.ชิดชัย ในฐานะผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่เซย์ “เยส”ทุกอย่างก็จบ.....!!พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เพิ่งมารวบรวมกำลังให้ครบ 4 เหล่าทัพแล้วนั่งเป็นแผงออกทีวีได้ ก็เมื่อฟ้าสางแล้ว และจาก “ความไม่พร้อม” ของฝ่ายคิดยึดอำนาจมากลายเป็นฝ่าย “รัฐประหารสำเร็จ” พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กลายเป็น “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” มาจนถึงวันนี้......
และ...บัดนี้ พล.อ.อ.สุเมธโพธิ์มณี ได้กลับมาสู้ใหม่ให้กับเพื่อนรักที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”พร้อมด้วยอดีตทหารใหญ่มากมายที่เพิ่งเกษียณอายุราชการแต่เป็นการ “ต่อสู้กันทางการเมือง” สู้ด้วยมือเปล่า และสมองที่ไม่ต้องใช้ปืน ไม่ต้องพึ่งรถถัง และไม่ต้องการขีปนาวุธใดๆ ทำให้ทุกฝ่ายต่างจับตามองมองว่า....ทหารจะเป็นนักการเมืองที่เก่งกล้าได้เหมือนที่เคยเป็นนักรบไหม??
"ถอย"ในเชิง"รุก" ถอยในทาง"ยุทธศาสตร์" ของกลุ่ม"นปช."

ถูกแล้วที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินมีมติเลื่อนการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองในวันที่ 28 พฤศจิกายนออกไป
ถูกเพราะเป็นเงื่อนเวลาที่ไม่เหมาะสม
ปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างมากที่สุดคือ ใกล้เคียงกับวันที่ 5 ธันวาคม ปัจจัยที่สำคัญรองลงมา คือ ใกล้เคียงกับวันสวนสนามของทหาร
ขณะเดียวกัน ท่าทีของรัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
ประเมินจากการเคลื่อนไหวของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นระดับหัวขบวน ไม่ว่าจะเป็นระดับท้ายขบวนตรงกัน
นั่นก็คือ วาดรูปเติมสีให้กับการชุมนุมอย่างค่อนข้างน่ากลัว
น่ากลัวเหมือนกับที่เคยประโคมครั้งมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่หัวหิน เหมือนกับที่เคยประโคมการชุมนุมในเดือนตุลาคมก่อนหน้านี้
แม้สถานการณ์ 2 ครั้งจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนถ้อยประโคมก็ตาม
การถอยของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงมิได้เป็นการถอยอย่างไร้เป้าหมาย ตรงกันข้าม เป็นการถอยในทางยุทธศาสตร์
ทำให้อาการถอยสะท้อนการต่อสู้
แท้จริงแล้ว การชุมนุมทางการเมืองเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อสู้ มีความสำคัญแต่มิได้เป็นปัจจัยชี้ขาดชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เช่นเดียวกับ การเคลื่อนไหวของ ส.ส.ในรัฐสภา ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
หากศึกษากระบวนการต่อสู้ทางเมืองในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ก็จะประจักษ์ว่า ปัจจัยสำคัญเป็นอย่างมากอันชี้ผลชัยชนะและความพ่ายแพ้ คือ ปัจจัยภายในของอีกฝ่ายหนึ่ง
เหมือนกับการเคลื่อนไหวเดือนตุลาคม 2516 การชุมนุมจะเป็นปัจจัยสำคัญ
เป็นความจริง การชุมนุมอย่างยืดเยื้อและด้วยปริมาณคนจำนวนมากเป็นผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งก่อให้เกิดความขัดแย้งและแตกแยกภายในกลุ่มที่ยึดกุมอำนาจอยู่
หลายฝ่ายเห็นว่า "ระบอบถนอม-ประภาส" ขาดความเหมาะสม
คล้ายกับว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนในห้วงปลายปี 2522 จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้รัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อยู่ไม่ได้
เป็นความจริง แต่ลองแงะรายละเอียดภายในมาดูก็จะประจักษ์ในผลสะเทือนอันทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในกลุ่มทหารหนุ่มและสมาชิกสภานิติบัญญัติที่ประเมินว่าการดำรงอยู่ของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางการเมือง
จึงได้มีการผลักดัน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้ามาแทนที่
ปัจจัยชี้ขาดอนาคตของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมิได้อยู่ที่ปัจจัยของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินหรือปัจจัยของพรรคเพื่อไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ตรงกันข้าม ปัจจัย 1 คือ ปัจจัยภายในพรรคประชาธิปัตย์
ตรงกันข้าม ปัจจัย 1 คือ ปัจจัยภายในพรรคร่วมรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
คือ แรงสะเทือน
เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาล นายชวน หลีกภัย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538 เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปะอาชา เมื่อเดือนกันยายน 2539 เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540
เดือนพฤษภาคม 2538 เป็นการแยกตัวของพรรคพลังธรรม
เดือนกันยายน 2539 เป็นการแยกตัวของ พรรคความหวังใหม่ พรรคกิจสังคม โดยมีแนวร่วมภายในพรรคชาติไทย คือ นายเสนาะ เทียนทอง
เดือนพฤศจิกายน 2540 เป็นการแยกตัวของ พรรคกิจสังคม
จากนี้เห็นได้ว่า ความขัดแย้ง แตกแยกและแยกตัว อันเกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ภายในพรรคร่วมรัฐบาลต่างหาก คือ ปัจจัยชี้ขาด
การถอยของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินจึงเท่ากับเป็นการถอยในทางยุทธศาสตร์
เป็นการถอยเพื่อที่จะรุกด้วยการชุมนุมในเงื่อนไขอันเหมาะสม และประสานกับการเคลื่อนไหวในทางรัฐสภาผ่านญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
ทุกอย่างเสมอเป็นเพียงการหยุดเพื่อรอคอยที่จะเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
อย่างนี้ถึงจะเรียกตุลาการภิวัฒน์

Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ
ที่มา : Public Law Net
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อ่านคำแปลการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่านั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น ก็คงนึกว่าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเพราะมีความ “ดุเด็ดเผ็ดมัน” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่าไรเลยครับ!!
มีหลายส่วนของคำแปลการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวที่ผมอ่านแล้วก็ต้องนำกลับมาคิด ทบทวนดูหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแยกความโกรธแค้นและผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากผล ประโยชน์ของประเทศชาติ การตั้งรัฐบาลโดยการได้เสียงสนับสนุนมาอย่างไม่เหมาะสม รวมไปถึงการรัฐประหารในบ้านเราด้วยครับ
ใครจะว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับผม ผมว่าคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น ทำให้เราต้องมาคิดกันใหม่อีกรอบถึง “ท่าที” ของต่างประเทศที่ “มอง” ประเทศไทยว่า เขามองเราอย่างไร!!! เราอาจคิดอยู่เสมอว่ากัมพูชานั้น “ด้อย” กว่า เราในทุก ๆ เรื่อง เราจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขาแต่ไปมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับประเทศใหญ่ ๆ แต่ในวันนี้ คนในประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชาก็ได้ “ระเบิด” ความรู้สึกของตนที่มีต่อประเทศไทยและต่อรัฐบาลไทยออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้ และก็เป็นเรื่องที่แปลกเพราะสื่อต่างชาติให้ความสนใจกับสิ่งที่สมเด็จฮุน เซ็น พูดกันมาก ประเด็นที่เป็นสิ่งที่ต้องนำมาวิเคราะห์ก็คือ การที่สมเด็จฮุน เซ็น แสดงความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ไม่สอดคล้องกับ หลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรัฐประหาร การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ขัดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย การสร้างประเด็นทางการเมืองด้วยการหยิบยกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาโดยหวังผลให้ มีการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง หลาย ๆ สิ่งที่สมเด็จฮุน เซ็น พูดออกมาสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากผู้ นำของประเทศเล็ก ๆ ที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาเท่าไรนัก การพูดของสมเด็จฮุน เซ็น ทำให้ผมมานั่งนึกดูว่า แล้วประเทศอื่น ๆ เขาคิดอย่างนั้นกับเราด้วยหรือไม่ การไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขายอมรับหรือเห็นด้วยแต่อาจจะไม่มี “โอกาส” ที่จะพูดเหมือนสมเด็จฮุน เซ็น ก็ได้ หากจะให้ผมเดาคำตอบก็คงเดาได้ว่า แนวคิดเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องคง ไม่ต่างกันเท่าไรระหว่างสมเด็จฮุน เซ็น กับประมุขของชาติอื่น ๆ เพราะหลักการดังกล่าวเป็นหลักการสากลที่บรรดาผู้บริหารประเทศและพลเมืองต่าง ก็คงต้องมีความรู้ความเข้าใจกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เองที่ผมคิดว่าไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในประเทศที่ปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ก็คงยอมรับการรัฐประหารหรือการเข้าร่วมกับคณะรัฐประหาร หรือการยืมมือคณะรัฐประหารมาทำลายศัตรูทางการเมืองของตนไม่ได้ครับ
พร้อม ๆ กับข่าวการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซ็น มีผู้ที่ผมคุ้นเคยคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังถึง “ความกล้า” ของผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ออกมาปฏิเสธการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยเมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาที่ อม.9/2552 ในคดีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ ทราบ โดยศาลได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกนายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นเวลา 2 เดือน และปรับ 4 พันบาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่านายยงยุทธ ติยะไพรัช เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
เรื่องคงไม่มีอะไรมาก หากไม่มีผู้พิพากษาคนหนึ่งได้แสดงความเห็นของตนไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัว โดย 1 ใน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ นายกีรติ กาญจนรินทร์ ได้กล่าวไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตัวซึ่งผมขอคัดลอกมานำเสนอไว้ในที่นี้ ดังนี้
ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้หรือไม่ เห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของประชาชน ศาลจึงต้องใช้อำนาจดังกล่าวเพื่อประชาชนอย่างสร้างสรรในการวินิจฉัยคดีเพื่อ ให้เกิดผลในทางที่ขยายขอบเขตการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และหากศาลไม่รับใช้ประชาชน ย่อมทำให้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมถูกท้าทายและสั่นคลอน
นอกจากนี้ศาลควรมีบทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายรวมถึงพันธกรณีในการ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและพันธกรณีในการ ปกปักรักษาประชาธิปไตยด้วย
การได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบ ประชาธิปไตย กล่าวคือการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยความไม่ยินยอมพร้อมใจจากประชาชน ส่วนใหญ่ เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ย่อมเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ของระบอบประชาธิปไตย
หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็น รัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมา ข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความ ฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามา จัดการสิ่งต่างๆ
ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐ ประหารว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปเช่นกันว่า ผู้ร้องประกอบด้วยคณะกรรมการที่เป็นผลพวงของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) แต่ คปค. เป็นคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 จึงเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทาง ของระบอบประชาธิปไตยดังเหตุผลข้างต้น ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมภายหลังก็ตาม หาก่อให้เกิดอำนาจที่จะสั่งการหรือกระทำการใดอย่างรัฏฐาธิปัตย์
ผู้ร้องประกอบด้วยคณะบุคคลที่เป็นผลพวงของ คปค. ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน ปราบปรามการทุจริต พุทธศักราช 2542 ด้วยเช่นกัน ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) คดีนี้ อำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้อง) เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาว่าผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและเอกสารประกอบด้วยข้อ ความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
ในประเทศไทย เรามีการรัฐประหารมาแล้วกว่า 10 ครั้ง แต่ละครั้งก็จะมีการออกคำสั่งหรือประกาศมาใช้บังคับ และเมื่อประเทศเข้าสู่ภาวะปกติแล้วคำสั่งหรือประกาศเหล่านั้นก็ยังมีผลใช้ บังคับต่อไปภายใต้ชื่อเดิมคือประกาศของคณะปฏิวัติ ผมยังจำได้ว่าสมัยที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสระหว่างปี พ.ศ. 2525 – 2530 ผมได้อ้างประกาศของคณะปฏิวัติฉบับหนึ่งไว้ในวิทยานิพนธ์ด้วย ซึ่งก็มีปัญหาอย่างมากเมื่อแปลคำว่าประกาศของคณะปฏิวัติออกมาเป็นภาษา ฝรั่งเศส อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ไม่ยอมเข้าใจเรื่องดังกล่าว อธิบายอย่างไรก็ถูกโต้ตลอด จนกระทั่งในที่สุดก็ต้องเขียนคำอธิบายเอาไว้ด้วยว่าประกาศของคณะปฏิวัติมี สถานะอย่างไร แม้กระทั่งตอนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาให้ความช่วยเหลือทางวิชาการกับประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2540 – 2542 ก็มีการถกเถียงกัน คือ เรื่องการให้สัมปทานสาธารณูปโภคที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ว่าคืออะไรกันแน่และทำไมถึงมีสภาพบังคับอยู่ทั้ง ๆ ที่การปฏิวัติก็จบสิ้นลงไปนานแล้ว ดังนั้น ปัญหานี้ต้องทำความเข้าใจก็คือ บรรดา คำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติรัฐประหารที่มีสภาพบังคับเช่นกฎหมาย ถือเป็นกฎหมายโดยชอบด้วยระบอบประชาธิปไตยที่จะนำมาใช้ต่อไปภายหลังช่วงเวลา ของการปฏิวัติรัฐประหารได้หรือไม่
ครับที่มาของความชอบธรรมของคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติรัฐประหารเกิดจากศาลฎีกาครับ!!! คำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ศาล ฎีกาเห็นว่า เมื่อใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติให้ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชน ก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงตราออกมาด้วยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร หรือสภานิติบัญญัติของประเทศก็ตาม ฉะนั้น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 ซึ่งประกาศคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติบังคับแก่ประชาชนดังกล่าว จึงเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในการปกครองในลักษณะเช่นนั้นได้ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามประกาศฉบับนี้ทำการจับกุมควบคุมโจทก์ได้โดยชอบ” คำพิพากษาดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นฐานในการรองรับการใช้อำนาจในการออกกฎหมายของคณะรัฐประหารเรื่อย มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในบรรดากฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศไทยกว่า 600 ฉบับ เรามีกฎหมายที่ใช้ชื่อว่าประกาศของคณะปฏิวัติหรือของคณะรัฐประหารอยู่กว่า 55 ฉบับ กฎหมายเหล่านี้เป็นกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติที่ถูกต้อง ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่ก็ยังมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน น่าแปลกใจไหมครับที่ประเทศประชาธิปไตยแบบเรายินยอมใช้กฎหมายที่ออกโดยคณะปฏิวัติแม้การปฏิวัติจะจบสิ้นไปแล้ว!!!
เมื่อผู้พิพากษาคนหนึ่งในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แสดงความเห็นของตนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจนถึงการไม่ยอมรับการ รัฐประหารและอำนาจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหาร ก็ย่อมเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มี “ผู้กล้า” ออกมาบอกด้วยเสียงอันดังว่าการปฏิวัติรัฐประหารเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงได้นำเสนอข้างต้นว่า บรรดา คำสั่งและประกาศต่าง ๆ ของคณะรัฐประหารนั้น “สมควร” หรือไม่ที่จะนำมาใช้ต่อไปภายหลังจากที่การรัฐประหารจบลงและเราได้กลับเข้าไป สู่ระบอบประชาธิปไตยตามเดิมครับ!!!
มองย้อนกลับไปข้างหลัง เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการออกคำสั่งและประกาศจำนวนมากที่นำมาใช้กับการดำเนินกิจการทางการเมืองใน ช่วงเวลาดังกล่าว เช่น การยุบพรรคไทยรักไทย เป็นต้น ซึ่งต่อมา ก็เกิดสิ่งที่มีผู้เรียกว่า “ตุลาการภิวัตน์” ในประเทศไทยที่หมายถึงการที่ตุลาการเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาการเมืองของประเทศ กระแสตุลาการภิวัตน์ถูกนำมาอ้างในหลาย ๆ โอกาสที่มีการพิจารณาพิพากษาคดีที่ “ลงโทษ” นักการเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง ตุลาการบางคนก็ออกมา “ขานรับ” ในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจังจนมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งต้องออกมาท้วงติงว่า ฝ่ายตุลาการมีหน้าที่เพียงพิจารณาพิพากษาคดีตามกฎหมายและไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” เพราะสักวันหนึ่งกระแสตุลาการภิวัตน์จะย้อนกลับมา “ทำลาย” ตุลาการที่ออกมานอกกรอบเหล่านั้น
ในวันนี้ เมื่อผมได้อ่านคำวินิจฉัยส่วนตัวของคุณกีรติ กาญจนรินทร์ แล้วก็รู้สึกว่า ผมได้พบกับ “ตุลาการภิวัตน์” ของแท้และของจริงแล้วครับ เพราะการที่นักกฎหมายคนหนึ่งออกมาชี้ให้สังคมมองเห็นโครงสร้างของรัฐและระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคนละทิศทางกับที่ศาลฎีกาได้เคยวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐ ประหารเอาไว้แล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1662/2505 และก็คนละทิศทางกับที่บรรดาศาลทั้งหลายก็ได้วางบรรทัดฐานเอาไว้อีกในกระบวนการตุลาการภิวัตน์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ผู้พิพากษาคนนี้ก็กล้าที่จะนำเสนอสิ่งที่ “ถูกต้อง” ความกล้าที่จะนำเสนอสิ่งที่ถูกต้องด้วยระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและชื่นชมเป็นอย่างมากที่ผมต้องขอแสดงความคารวะอย่างจริงใจไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ต่อจากนี้ไป ก็คงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการที่จะนำความเห็นดังกล่าวไปเผยแพร่ ไปใช้สอนหนังสือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันว่า การรัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่ควรยอมรับ นัก กฎหมายที่ดีก็ไม่ควรเข้าไปข้องแวะกับเรื่องดังกล่าว คำวินิจฉัยส่วนตัวนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกนำไปใช้อ้างอิงมากอย่างไม่น่าเชื่อใน วันข้างหน้าครับ!!
ใครที่คิดจะทำรัฐประหารอีกก็อย่าลืมเอาคำพิพากษานี้ไปอ่านก่อนนะครับ จะได้รู้ว่าสิ่งที่ตนจะทำนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และหากยังดื้อทำการรัฐประหาร ผู้ทำรัฐประหารและผู้สมรู้ร่วมคิดก็จะกลายเป็น “ผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตย”!!! ครับ
นอกจากนี้แล้ว นักกฎหมายทั้งหลายและบรรดาสมาชิกรัฐสภาคงต้องมาช่วยกันคิดแล้วว่า จะปล่อยให้คำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารมีผลใช้บังคับต่อไปหรือไม่ อย่างน้อยก็คงต้องเริ่ม “อาย” กันบ้างแล้วนะครับที่ประเทศที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ใช้กฎหมายที่มีชื่อว่าประกาศของคณะปฏิวัติ!!
ส่วนตุลาการภิวัตน์ “รุ่นเก่า” คงต้องหยุดกันเสียทีนะครับ สร้างความเข้าใจผิดและสับสนให้กับสังคมมามากแล้ว วันนี้เจอ “ตุลาการภิวัตน์” ของแท้และของจริงเข้า เปรียบเทียบกันดูก็ได้ จะได้รู้กันไปเลยว่า ตุลาการอาชีพและนักกฎหมายที่ดีนั้น คืออะไร?
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
"แม้ว"โชว์ภูมิอ้างศก.ดูไบยังดีเชื่อ"อาบูดาบี"ช่วยแน่ นายกฯสั่งจับตา"ดูไบเวิลด์-เวียดนาม"รายงานครม.
นายกฯย้ำปัญหา"ดูไบเวิลด์-เวียดนาม"กระทบไทยเพียงเล็กน้อย แต่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าจะลุกลามไปหรือไม่ สั่งรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมดวันนี้ เพื่อรายงาน ครม.เศรษฐกิจ ชี้ค่าบาทยังเคลื่อนไหวใกล้เคียงประเทศในภูมิภาค เน้นนโยบายไม่ให้แกว่งตัวมาก "แม้ว"โชว์วงใน อ้าง ศก.ดูไบยังดี เชื่อ"อาบูดาบี"ช่วยอุ้ม ปธ.หอการค้าแย้ง
ปชป.คุย 3เหตุทำไทยทนแรงกดดันได้
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า พรรคประเมินถึงสถานการณ์ดูไบ เวิลด์ บริษัทยักษ์ใหญ่ของดูไบ โดยเห็นว่าประเทศไทยจะทนต่อแรงกดดันได้จาก 3 เหตุผลคือ 1.การดำเนินการตลอดปีภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไม่มีสะดุด 2.นโยบายรัฐบาลที่ลดการพึ่งพาการส่งออก เน้นการลงทุนภาครัฐเอกชน จะสร้างความสมดุลและการค้าโดยตรงระหว่างไทยกับดูไบค่อนข้างต่ำ 3.การรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน และการลดภาษีในประเทศกลุ่มอาเซียน แต่ที่ยอมรับว่ามีปัญหามากคือปัญหาความไม่สงบของการเมือง ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะกลับมาเป็นบวกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การที่ดูไบเวิลด์ล่ม อาจจะกระทบกับการวิจัยท่าเรือน้ำลึก ที่ทางดูไบให้เงินสนับสนุน 200 ล้านบาท ซึ่งคงต้องมาดูต่อไปว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า ส่วนกรณีการลดค่าเงินด่องของประเทศเวียดนาม เป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ปรับลด แต่อาจจะกระทบการส่งออก เพราะเงินบาทยังแข็งค่า แต่กระทรวงการคลังก็กำลังดำเนินการตามนโยบายควบคู่ไปกับการออกมาตรการต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย
"แม้ว" เชื่อ"อาบูดาบี"จะช่วยอุ้ม
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ขณะนี้ยังพำนักอยู่ที่ดูไบ วิกฤตดูไบนั้นไม่กระทบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ลงทุนอะไรในดูไบแต่ใช้เป็นสถานที่พักนักเท่านั้น
พ.ต.ท.ทักษิณทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (www.twitter.com) ถึงวิกฤต กลุ่มธุรกิจ ดูไบ เวิลด์ ที่ขอพักชำระหนี้ว่า บรรยากาศเศรษฐกิจในดูไบยังดี และเชื่อว่าอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีเงินเยอะจะไม่ปล่อยให้ดูไบแย่ เพียงแต่รอการตกลงกันภายใน โดยจะอธิบายเรื่องทั้งหมดในรายการวิทยุ ผ่านเว็บไซต์ทักษิณไลฟ์ (www.thaksinlive.com) วันอังคารที่ 1 ธันวาคม
ปธ.หอการค้าแย้งไม่ถึงขั้นลดค่าบาท
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมประชุมหอการค้าไทยทั่วประเทศ ที่ จ.เชียงใหม่ว่า การที่เอกชนเห็นว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโต 2-3% จากที่เคยประเมินไว้ว่าจะขยายตัวเกิน 3% เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังและหาทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอัตราการว่างงานที่อาจเพิ่มขึ้นและการไม่มีงานทำของบัณฑิตใหม่ที่จะออกสู่ตลาดอีกเป็นแสนคนต่อปี สะท้อนถึงการตระหนกต่อกระแสข่าวร้ายรายวัน ทั้งความวุ่นวายทางเมือง การหยุดพักชำระหนี้ของดูไบเวิลด์ การลดค่าเงินด่องของเวียดนาม จนเกิดความไม่แน่ใจและกระทบต่อการวางแผนงานในอนาคตได้ แต่ก็ไม่อยากให้ตกใจต่อข่าวที่เกิดขึ้นหรือการประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ต่ำ เพราะจะเป็นสัญญาณส่งให้รัฐบาลรับรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปทั้งแก้ปัญหาการเมืองและการกระตุ้นเศรษฐกิจ
"ผมยืนยันว่าปัญหาพักชำระหนี้ของดูไบหรือลดค่าเงินด่อง ไม่ได้กระทบต่อไทยและการส่งออกไทยมากนัก ซึ่งเอกชนรับรู้มาตลอดว่าประเทศที่มีการลงทุนมากเกินไปต่อเนื่อง อาจเจอปัญหาเงินเฟ้อและระบบเศรษฐกิจล้มได้อย่างที่เคยเกิดกับไทยมาแล้ว การลดค่าเงินบาทอาจเป็นข้อเสนอเอกชนบางส่วนเท่านั้น แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นว่ามีอะไรรุนแรงจนต้องลดค่าบาท เพียงแต่รัฐบาลต้องดูแลค่าบาทไม่ให้แข็งเกินไป และไม่แตกต่างกับสกุลเงินของประเทศคู่แข่งจนแข่งขันไม่ได้" นายดุสิตกล่าว
นายกฯจับตาปมดูไบ-ด่องใกล้ชิด
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ เมื่อเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายนว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวลทางด้านเศรษฐกิจกันอยู่บ้าง ก็คือเหตุการณ์ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการเลื่อนการชำระหนี้ และมีการลดค่าเงิน (ด่อง) ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งสองเหตุการณ์นี้คงเป็นเหตุการณ์ที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือลำพังในสองส่วนนี้ก็มีผลกระทบเพียงเล็กน้อย ไม่น่าจะกระทบมากต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยหรือเศรษฐกิจโลก แต่ก็คงจะต้องจับตาดูว่ามันจะมีผลลุกลามไปหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน จะมีการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมด และมีการรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจในวันที่ 2 ธันวาคม อีกครั้งหนึ่ง
เน้นคุม"บาท"ไม่ให้แกว่งตัวมาก
นายกฯยังให้สัมภาษณ์ตอบคำถามถึงเรื่องที่ภาคเอกชนเรียกร้องให้ใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อนเพื่อให้ภาคการส่งออกแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ว่า "นโยบายเราให้อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราไม่แกว่งตัวมาก แต่เราไม่สามารถกำหนดค่าเงินของเราได้ มิฉะนั้นเราจะย้อนไปสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หรืออาจเป็นในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งไม่เป็นผลดี เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามไม่ให้แกว่งตัวมาก ขณะเดียวกัน เราได้ใช้เวทีในต่างประเทศเรียกร้องให้ประเทศที่เป็นสาเหตุของปัญหาค่าเงิน ไปแก้ปัญหาความสมดุลตรงนั้นให้ได้ อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเปรียบเทียบค่าเงินของเรากับของประเทศที่แข่งขันกับเรา ยกเว้นกรณีของเวียดนามที่เกิดการลดค่าเงินของเขา"
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาค จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากในการค้าจะอยู่ในรูปของเหรียญสหรัฐ จึงได้รับความเดือดร้อนกัน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาก็ประกาศว่าจะพยายามทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น และจะมีประเด็นเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ซึ่งในตอนนี้เป็นที่รับรู้และยอมรับกันมากขึ้นในเวทีต่างประเทศ นอกจากนี้ ผู้ส่งออกต้องพยายามที่จะมีวิธีการลดความเสี่ยงของตัวเองในเรื่องนี้ ทั้งนี้ยอมรับว่าถ้าจีนลดค่าเงินหยวนอ่อนลง ก็มีผลกระทบต่อไทย เช่น เรื่องของราคาน้ำมัน
เจ้าดูไบถกผู้นำ"อาบูดาบี"
สำนักข่าวเอพีรายงานความคืบหน้าของวิกฤตการณ์ทางการเงินในนครรัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเกิดจากดูไบ เวิลด์ กองทุนเพื่อความมั่นคั่งของดูไบประกาศพักชำระหนี้สิ้น 59,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลา 6 เดือนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนว่า นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตะวันออกกลางคงร่วงลงต่อเนื่องเมื่อเริ่มเปิดการทำการในวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน นายอาลี ดาคัก นักวิเคราะห์การเงินชาวซาอุดีอาระเบียกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ดูไบจะร่วงลงอย่างน้อย 2-3 เปอร์เซนต์ โดยหุ้นของธนาคารจะได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ครองนครรัฐดูไบได้รีบเดินทางไปพบปะกับผู้นำอาบูดาบีเพื่อหารือในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทราบผลการพบปะหารือครั้งนี้
ข่าวแจ้งว่าทางเจ้าหน้าที่ของดูไบ เวิลด์ ปฎิเสธข่าวที่ว่าเป็นไปได้ที่ดูไบ เวิลด์ จะขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทในราคาถูกเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยหนังสือพิมพ์อัล อิติฮัด รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากดูไบ เวิลด์ว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทลูกที่มีผลกำไรและอสังหาริมทรัพย์
ไม่กระทบ"เอมิเรตส์ แอร์ไลน์"
ขณะเดียวกันนายทิม คลาร์ก ประธานสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ของยูเออี กล่าวว่าแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนในดูไบเกิดอาการช็อกก็ตาม แต่เชื่อว่าดูไบสามารถหาทางแก้ปัญหานี้ได้และเชื่อว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อสายการบินเอมิเรตส์ นายคลาร์ก กล่าวกับหนังสือพิมพ์ซันเดย์ เทเลกราฟ ของอังกฤษว่า ทางสายการบินยังไม่มีแผนที่จะยกเลิกสั่งซื้อเครื่องบินตามที่สั่งจองไว้ล่วงหน้าเนื่องจากสภาพการเงินของสายการบินเอมิเรตส์จะไม่รับผลกระทบแต่อย่างใด อนึ่งสายการบินเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสายการบินที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดในโลกในปัจจุบันและเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินโดยสารได้มีการสั่งซื้อเครื่องบินโดยสาร 120 ลำไปก่อนหน้านี้
เอเอฟพีรายงานว่า ทางการรัฐยะโฮร์ของมาเลเซียกล่าวว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษอิสคันดาร์ของยะโฮร์ ซึ่งมีนักลงทุนจากตะวันออกกลางไปลงทุนมากที่สุด จะไม่รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดเนื่องมีบริษัทแห่งเดียวจากดูไบที่ไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจอิสคันดาร์ ที่เหลือเป็นการลงทุนจากประเทศอื่นในตะวันออกกลางเช่นซาอุดีอาระเบีย คูเวต และอาบู ดาบี
ปชป.คุย 3เหตุทำไทยทนแรงกดดันได้
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ว่า พรรคประเมินถึงสถานการณ์ดูไบ เวิลด์ บริษัทยักษ์ใหญ่ของดูไบ โดยเห็นว่าประเทศไทยจะทนต่อแรงกดดันได้จาก 3 เหตุผลคือ 1.การดำเนินการตลอดปีภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไม่มีสะดุด 2.นโยบายรัฐบาลที่ลดการพึ่งพาการส่งออก เน้นการลงทุนภาครัฐเอกชน จะสร้างความสมดุลและการค้าโดยตรงระหว่างไทยกับดูไบค่อนข้างต่ำ 3.การรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน และการลดภาษีในประเทศกลุ่มอาเซียน แต่ที่ยอมรับว่ามีปัญหามากคือปัญหาความไม่สงบของการเมือง ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะกลับมาเป็นบวกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การที่ดูไบเวิลด์ล่ม อาจจะกระทบกับการวิจัยท่าเรือน้ำลึก ที่ทางดูไบให้เงินสนับสนุน 200 ล้านบาท ซึ่งคงต้องมาดูต่อไปว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า ส่วนกรณีการลดค่าเงินด่องของประเทศเวียดนาม เป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ปรับลด แต่อาจจะกระทบการส่งออก เพราะเงินบาทยังแข็งค่า แต่กระทรวงการคลังก็กำลังดำเนินการตามนโยบายควบคู่ไปกับการออกมาตรการต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย
"แม้ว" เชื่อ"อาบูดาบี"จะช่วยอุ้ม
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ขณะนี้ยังพำนักอยู่ที่ดูไบ วิกฤตดูไบนั้นไม่กระทบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ลงทุนอะไรในดูไบแต่ใช้เป็นสถานที่พักนักเท่านั้น
พ.ต.ท.ทักษิณทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (www.twitter.com) ถึงวิกฤต กลุ่มธุรกิจ ดูไบ เวิลด์ ที่ขอพักชำระหนี้ว่า บรรยากาศเศรษฐกิจในดูไบยังดี และเชื่อว่าอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีเงินเยอะจะไม่ปล่อยให้ดูไบแย่ เพียงแต่รอการตกลงกันภายใน โดยจะอธิบายเรื่องทั้งหมดในรายการวิทยุ ผ่านเว็บไซต์ทักษิณไลฟ์ (www.thaksinlive.com) วันอังคารที่ 1 ธันวาคม
ปธ.หอการค้าแย้งไม่ถึงขั้นลดค่าบาท
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมประชุมหอการค้าไทยทั่วประเทศ ที่ จ.เชียงใหม่ว่า การที่เอกชนเห็นว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโต 2-3% จากที่เคยประเมินไว้ว่าจะขยายตัวเกิน 3% เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังและหาทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอัตราการว่างงานที่อาจเพิ่มขึ้นและการไม่มีงานทำของบัณฑิตใหม่ที่จะออกสู่ตลาดอีกเป็นแสนคนต่อปี สะท้อนถึงการตระหนกต่อกระแสข่าวร้ายรายวัน ทั้งความวุ่นวายทางเมือง การหยุดพักชำระหนี้ของดูไบเวิลด์ การลดค่าเงินด่องของเวียดนาม จนเกิดความไม่แน่ใจและกระทบต่อการวางแผนงานในอนาคตได้ แต่ก็ไม่อยากให้ตกใจต่อข่าวที่เกิดขึ้นหรือการประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ต่ำ เพราะจะเป็นสัญญาณส่งให้รัฐบาลรับรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปทั้งแก้ปัญหาการเมืองและการกระตุ้นเศรษฐกิจ
"ผมยืนยันว่าปัญหาพักชำระหนี้ของดูไบหรือลดค่าเงินด่อง ไม่ได้กระทบต่อไทยและการส่งออกไทยมากนัก ซึ่งเอกชนรับรู้มาตลอดว่าประเทศที่มีการลงทุนมากเกินไปต่อเนื่อง อาจเจอปัญหาเงินเฟ้อและระบบเศรษฐกิจล้มได้อย่างที่เคยเกิดกับไทยมาแล้ว การลดค่าเงินบาทอาจเป็นข้อเสนอเอกชนบางส่วนเท่านั้น แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นว่ามีอะไรรุนแรงจนต้องลดค่าบาท เพียงแต่รัฐบาลต้องดูแลค่าบาทไม่ให้แข็งเกินไป และไม่แตกต่างกับสกุลเงินของประเทศคู่แข่งจนแข่งขันไม่ได้" นายดุสิตกล่าว
นายกฯจับตาปมดูไบ-ด่องใกล้ชิด
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ เมื่อเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายนว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวลทางด้านเศรษฐกิจกันอยู่บ้าง ก็คือเหตุการณ์ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการเลื่อนการชำระหนี้ และมีการลดค่าเงิน (ด่อง) ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งสองเหตุการณ์นี้คงเป็นเหตุการณ์ที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือลำพังในสองส่วนนี้ก็มีผลกระทบเพียงเล็กน้อย ไม่น่าจะกระทบมากต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยหรือเศรษฐกิจโลก แต่ก็คงจะต้องจับตาดูว่ามันจะมีผลลุกลามไปหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน จะมีการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมด และมีการรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจในวันที่ 2 ธันวาคม อีกครั้งหนึ่ง
เน้นคุม"บาท"ไม่ให้แกว่งตัวมาก
นายกฯยังให้สัมภาษณ์ตอบคำถามถึงเรื่องที่ภาคเอกชนเรียกร้องให้ใช้นโยบายค่าเงินบาทอ่อนเพื่อให้ภาคการส่งออกแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ว่า "นโยบายเราให้อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราไม่แกว่งตัวมาก แต่เราไม่สามารถกำหนดค่าเงินของเราได้ มิฉะนั้นเราจะย้อนไปสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 หรืออาจเป็นในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งไม่เป็นผลดี เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามไม่ให้แกว่งตัวมาก ขณะเดียวกัน เราได้ใช้เวทีในต่างประเทศเรียกร้องให้ประเทศที่เป็นสาเหตุของปัญหาค่าเงิน ไปแก้ปัญหาความสมดุลตรงนั้นให้ได้ อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเปรียบเทียบค่าเงินของเรากับของประเทศที่แข่งขันกับเรา ยกเว้นกรณีของเวียดนามที่เกิดการลดค่าเงินของเขา"
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาค จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากในการค้าจะอยู่ในรูปของเหรียญสหรัฐ จึงได้รับความเดือดร้อนกัน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาก็ประกาศว่าจะพยายามทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น และจะมีประเด็นเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนของจีน ซึ่งในตอนนี้เป็นที่รับรู้และยอมรับกันมากขึ้นในเวทีต่างประเทศ นอกจากนี้ ผู้ส่งออกต้องพยายามที่จะมีวิธีการลดความเสี่ยงของตัวเองในเรื่องนี้ ทั้งนี้ยอมรับว่าถ้าจีนลดค่าเงินหยวนอ่อนลง ก็มีผลกระทบต่อไทย เช่น เรื่องของราคาน้ำมัน
เจ้าดูไบถกผู้นำ"อาบูดาบี"
สำนักข่าวเอพีรายงานความคืบหน้าของวิกฤตการณ์ทางการเงินในนครรัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเกิดจากดูไบ เวิลด์ กองทุนเพื่อความมั่นคั่งของดูไบประกาศพักชำระหนี้สิ้น 59,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลา 6 เดือนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนว่า นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตะวันออกกลางคงร่วงลงต่อเนื่องเมื่อเริ่มเปิดการทำการในวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน นายอาลี ดาคัก นักวิเคราะห์การเงินชาวซาอุดีอาระเบียกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ดูไบจะร่วงลงอย่างน้อย 2-3 เปอร์เซนต์ โดยหุ้นของธนาคารจะได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ครองนครรัฐดูไบได้รีบเดินทางไปพบปะกับผู้นำอาบูดาบีเพื่อหารือในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทราบผลการพบปะหารือครั้งนี้
ข่าวแจ้งว่าทางเจ้าหน้าที่ของดูไบ เวิลด์ ปฎิเสธข่าวที่ว่าเป็นไปได้ที่ดูไบ เวิลด์ จะขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทในราคาถูกเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยหนังสือพิมพ์อัล อิติฮัด รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากดูไบ เวิลด์ว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทลูกที่มีผลกำไรและอสังหาริมทรัพย์
ไม่กระทบ"เอมิเรตส์ แอร์ไลน์"
ขณะเดียวกันนายทิม คลาร์ก ประธานสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ของยูเออี กล่าวว่าแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนในดูไบเกิดอาการช็อกก็ตาม แต่เชื่อว่าดูไบสามารถหาทางแก้ปัญหานี้ได้และเชื่อว่าวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อสายการบินเอมิเรตส์ นายคลาร์ก กล่าวกับหนังสือพิมพ์ซันเดย์ เทเลกราฟ ของอังกฤษว่า ทางสายการบินยังไม่มีแผนที่จะยกเลิกสั่งซื้อเครื่องบินตามที่สั่งจองไว้ล่วงหน้าเนื่องจากสภาพการเงินของสายการบินเอมิเรตส์จะไม่รับผลกระทบแต่อย่างใด อนึ่งสายการบินเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสายการบินที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดในโลกในปัจจุบันและเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินโดยสารได้มีการสั่งซื้อเครื่องบินโดยสาร 120 ลำไปก่อนหน้านี้
เอเอฟพีรายงานว่า ทางการรัฐยะโฮร์ของมาเลเซียกล่าวว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษอิสคันดาร์ของยะโฮร์ ซึ่งมีนักลงทุนจากตะวันออกกลางไปลงทุนมากที่สุด จะไม่รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดเนื่องมีบริษัทแห่งเดียวจากดูไบที่ไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจอิสคันดาร์ ที่เหลือเป็นการลงทุนจากประเทศอื่นในตะวันออกกลางเช่นซาอุดีอาระเบีย คูเวต และอาบู ดาบี
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
“รัฐบาลในฝัน”ที่ยังคงอยู่กับความฝัน
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โครงการหลายโครงการของรัฐบาลในวันนี้ส่อเค้าของความผิดพลาด ทั้งในขั้นตอนการอนุมัติโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณ กระทั่งทำให้เกิดปัญหาบานปลายหาตัวคนรับผิดชอบไม่พบเจอ เพราะทุกคนต่างอ้างความจำเป็นเร่งด่วน และให้ความสำคัญกับหน่วยงานต้นสังกัดของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด
ทำให้หลายโครงการที่รัฐบาลตั้งใจจะ “สร้างความเข้มแข็ง” กลายเป็นการสร้างภาระให้เกิดกับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้เสียภาษีอากรที่เป็นผู้ควักกระเป๋าจ่ายโดยแท้จริง ที่จะต้องแบกรับหนี้ที่รัฐเป็นผู้สร้างขึ้นตามโครงการที่ประกาศออกมาว่า จะใช้จ่ายเงินมากถึง 200,000 ล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้น ผลสะท้อนแห่งความผิดพลาดยังปรากฏให้ได้เห็นในมาตรการหลายประการที่รัฐบาลกำลังผลักดันออกมาในวันนี้ กระทั่งสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับคนในสังคมว่ารัฐบาลกำลังเดินทางผิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนที่มีฐานะปานกลางถึงผู้มีรายได้น้อยโดยทั่วไป
ราคาทองคำรูปพรรณในวันนี้กำลังไต่ขึ้นแตะราคา 20,000 บาท ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบเท่า อัตราแลกเปลี่ยนก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่หนึ่งที่เรายังคงใช้ระบบตะกร้าเงินแบบเดิม ในวันนี้อยู่ที่ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้นทุนที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำต้องลดลงฮวบฮาบเพราะค่าเงินกำลังแข็งค่าขึ้น
พอหันมามองถึงระบบราชการก็มีแนวโน้มของการลดอัตรากำลัง และมีการเพ่งเล็งจะยุบเลิกหน่วยงานหลายแห่งดังข้อเสนอของ ก.พร. ที่ไม่ทันหันรีหันขวางก็อาจถูกยุบเอง เพราะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงความเห็นว่ามีความซ้ำซ้อนกับสำนักงาน ก.พ. หน่วยงานกลางของการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ซึ่งส่วนนี้มีความเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะองค์กรอย่าง ก.พร. มีหน้าที่หลักในด้านการพัฒนาระบบราชการและบุคลากรภาครัฐ
แต่ในระยะหลังดูเหมือนว่า “ข้อเสนอหลายอย่าง” กลายเป็นเรื่องของการเยียวยาแก้ไขลดรายจ่ายให้ภาครัฐ ซึ่งวิธีการง่ายที่สุด เร็วที่สุด เห็นผลได้ในระยะสั้นแต่ส่งผลร้ายในระยะยาวคือ การแช่แข็งอัตรากำลัง (freezing) หรือที่เรียกให้ดูดีน่าฟังยิ่งขึ้นว่า เป็นการควบคุมอัตรากำลังคนภาครัฐ
ทั้งนี้ หลายหน่วยงานที่จำเป็นต้องการคนในระดับมันสมอง เช่น กระทรวงสาธารณสุข จะได้รับแรงกระเพื่อมจากโครงการดังกล่าวในข้อเสนอของทาง ก.พร. โดยตรง เพราะอัตราแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขในปัจจุบันยังคงไม่เพียงพอ และจำเป็นที่จะต้องมีการนำเอาอัตราเกษียณในแต่ละปีทำการบรรจุข้าราชการเข้าทดแทนบุคลากรที่ต้องการเพิ่มเติม เมื่อมีโครงการลดอัตรากำลังหรือเกลี่ยอัตรากำลังในลักษณะที่ไม่คำนึงถึงสภาพปัญหาที่แท้จริง จะทำให้ระบบสาธารณสุขทั้งโครงสร้างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในอนาคต
สิ่งเหล่านี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งแต่เก่งกู้ เก่งประชาสัมพันธ์ แต่การทำงานยังวัดผลไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน แม้จะเห็นใจดังที่รัฐบาลมักอ้างว่าได้เข้ามาเป็นผู้รับช่วงต่อ แต่เมื่อสมัครใจอาสาเข้ามา หรือหน้าชื่นตาบานหอบหิ้วข้าวตอกดอกไม้คารวะนักการเมืองทั่วสารทิศเพื่อมารับตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรปฏิเสธหรือโยนกลองไปให้ใครต่อใครอีก
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการแก้ปัญหาทางสังคมที่แม้แต่ระบบมาเฟียทั้งที่คลองเตยและในพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังคงขาดความกระตือรือร้น ปล่อยให้หวยเถื่อนบ่อนเถื่อนมีกันอยู่ดาษดื่น สรุปได้ว่ารัฐบาลทำงานไม่สมกับความไว้วางใจที่ผู้คนหลายฝักฝ่ายสู้อุตส่าห์สนับสนุนเกื้อกูลเลย แถมยังมีทัศนคติในเชิงเอาชนะคะคาน เพื่อต้องการพิสูจน์ศักยภาพให้เห็นว่า ผู้นำรัฐบาลไปได้ทุกที่ แต่ถ้าที่ไหนเขาไม่ต้อนรับขับสู้ผ่อนได้ก็ควรผ่อน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ก็คงจะได้รับความเห็นใจและความศรัทธาประสาทะมากกว่านี้
**********************************************************************
โครงการหลายโครงการของรัฐบาลในวันนี้ส่อเค้าของความผิดพลาด ทั้งในขั้นตอนการอนุมัติโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณ กระทั่งทำให้เกิดปัญหาบานปลายหาตัวคนรับผิดชอบไม่พบเจอ เพราะทุกคนต่างอ้างความจำเป็นเร่งด่วน และให้ความสำคัญกับหน่วยงานต้นสังกัดของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด
ทำให้หลายโครงการที่รัฐบาลตั้งใจจะ “สร้างความเข้มแข็ง” กลายเป็นการสร้างภาระให้เกิดกับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้เสียภาษีอากรที่เป็นผู้ควักกระเป๋าจ่ายโดยแท้จริง ที่จะต้องแบกรับหนี้ที่รัฐเป็นผู้สร้างขึ้นตามโครงการที่ประกาศออกมาว่า จะใช้จ่ายเงินมากถึง 200,000 ล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้น ผลสะท้อนแห่งความผิดพลาดยังปรากฏให้ได้เห็นในมาตรการหลายประการที่รัฐบาลกำลังผลักดันออกมาในวันนี้ กระทั่งสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับคนในสังคมว่ารัฐบาลกำลังเดินทางผิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนที่มีฐานะปานกลางถึงผู้มีรายได้น้อยโดยทั่วไป
ราคาทองคำรูปพรรณในวันนี้กำลังไต่ขึ้นแตะราคา 20,000 บาท ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบเท่า อัตราแลกเปลี่ยนก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่หนึ่งที่เรายังคงใช้ระบบตะกร้าเงินแบบเดิม ในวันนี้อยู่ที่ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ผู้ส่งออกได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้นทุนที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำต้องลดลงฮวบฮาบเพราะค่าเงินกำลังแข็งค่าขึ้น
พอหันมามองถึงระบบราชการก็มีแนวโน้มของการลดอัตรากำลัง และมีการเพ่งเล็งจะยุบเลิกหน่วยงานหลายแห่งดังข้อเสนอของ ก.พร. ที่ไม่ทันหันรีหันขวางก็อาจถูกยุบเอง เพราะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงความเห็นว่ามีความซ้ำซ้อนกับสำนักงาน ก.พ. หน่วยงานกลางของการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ซึ่งส่วนนี้มีความเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะองค์กรอย่าง ก.พร. มีหน้าที่หลักในด้านการพัฒนาระบบราชการและบุคลากรภาครัฐ
แต่ในระยะหลังดูเหมือนว่า “ข้อเสนอหลายอย่าง” กลายเป็นเรื่องของการเยียวยาแก้ไขลดรายจ่ายให้ภาครัฐ ซึ่งวิธีการง่ายที่สุด เร็วที่สุด เห็นผลได้ในระยะสั้นแต่ส่งผลร้ายในระยะยาวคือ การแช่แข็งอัตรากำลัง (freezing) หรือที่เรียกให้ดูดีน่าฟังยิ่งขึ้นว่า เป็นการควบคุมอัตรากำลังคนภาครัฐ
ทั้งนี้ หลายหน่วยงานที่จำเป็นต้องการคนในระดับมันสมอง เช่น กระทรวงสาธารณสุข จะได้รับแรงกระเพื่อมจากโครงการดังกล่าวในข้อเสนอของทาง ก.พร. โดยตรง เพราะอัตราแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขในปัจจุบันยังคงไม่เพียงพอ และจำเป็นที่จะต้องมีการนำเอาอัตราเกษียณในแต่ละปีทำการบรรจุข้าราชการเข้าทดแทนบุคลากรที่ต้องการเพิ่มเติม เมื่อมีโครงการลดอัตรากำลังหรือเกลี่ยอัตรากำลังในลักษณะที่ไม่คำนึงถึงสภาพปัญหาที่แท้จริง จะทำให้ระบบสาธารณสุขทั้งโครงสร้างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในอนาคต
สิ่งเหล่านี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งแต่เก่งกู้ เก่งประชาสัมพันธ์ แต่การทำงานยังวัดผลไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน แม้จะเห็นใจดังที่รัฐบาลมักอ้างว่าได้เข้ามาเป็นผู้รับช่วงต่อ แต่เมื่อสมัครใจอาสาเข้ามา หรือหน้าชื่นตาบานหอบหิ้วข้าวตอกดอกไม้คารวะนักการเมืองทั่วสารทิศเพื่อมารับตำแหน่งสำคัญเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรปฏิเสธหรือโยนกลองไปให้ใครต่อใครอีก
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการแก้ปัญหาทางสังคมที่แม้แต่ระบบมาเฟียทั้งที่คลองเตยและในพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังคงขาดความกระตือรือร้น ปล่อยให้หวยเถื่อนบ่อนเถื่อนมีกันอยู่ดาษดื่น สรุปได้ว่ารัฐบาลทำงานไม่สมกับความไว้วางใจที่ผู้คนหลายฝักฝ่ายสู้อุตส่าห์สนับสนุนเกื้อกูลเลย แถมยังมีทัศนคติในเชิงเอาชนะคะคาน เพื่อต้องการพิสูจน์ศักยภาพให้เห็นว่า ผู้นำรัฐบาลไปได้ทุกที่ แต่ถ้าที่ไหนเขาไม่ต้อนรับขับสู้ผ่อนได้ก็ควรผ่อน เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ก็คงจะได้รับความเห็นใจและความศรัทธาประสาทะมากกว่านี้
**********************************************************************
ม็อบแดงเชียงใหม่ยังไม่หยุด ชุมนุม-ปราศรัย โชว์พลังต้าน มาร์ค โวย ตร.จัดฉาก ป้ายสีบึ้มโยงประทุษร้าย

"กลุ่มรักเชียงใหม่"ยันชุมนุมต่อ ปักหลักรอไล่ รมต.ร่วมประชุมกับหอการค้า นปช.โวย ตร.จัดฉากป้ายสี จับแนวร่วมหวังโยงเตรียมการประทุษร้ายนายกฯ อ้างปืนมีใบอนุญาต-แค่ประทัดจุดไล่นก ไม่ใช่ระเบิดปิงปอง มีขายเกลื่อนภูเขาทอง "พัลลภ"ซัด ปชป.กุข่าวค่าหัว 10 ล้านไร้สาระ
ม็อบแดงเชียงใหม่ยังไม่หยุด"ชุมนุม-ปราศรัย"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00 น. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน กลุ่มแดงเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายพีรพล มรกต รองเลขาธิการศูนย์ประสานงานกลุ่มแดงเชียงใหม่ฯ พร้อมพวกกว่า 50 คน เดินทางมารวมตัวกันข้างโรงยิมเนเซียม 2 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อเตรียมเคลื่อนขบวนแสดงพลังตามถนนรอบคูเมือง ลานประตูท่าแพ สี่แยกกลางเวียงและที่ราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ โดยคาดว่าจะมีพลังมวลชนกลุ่มแดงเชียงใหม่ จากอำเภอและจังหวัดต่างๆ ทยอยกันเดินทางมาสมทบ
นายพีรพล กล่าวว่า เราต้องการแสดงพลังต่อต้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะโมฆะบุรุษประชาธิปไตย ที่ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ทำตัวเป็นข้าเผด็จการ เราต้องการประกาศไม่ต้อนรับ แต่จะใช้สันติในการชุมนุมอย่างสงบเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไป
"ตอนค่ำเราจะเปิดเวทีปราศัยที่หน้าศาลากลาง จ.เชียงใหม่ เพื่อโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยมี พล.ต.ขัติยะ สวัสดิผล และนายสุนัย จุลพงศธร ตอบรับมาร่วมกิจกรรม" นายพีรพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแดงเชียงใหม่ที่รวมตัวกันได้จัดทำป้ายผ้าขนาดใหญ่เขียนข้อความ ไร้ความยุติธรรมก็ไร้ความสุข ชาวเชียงใหม่ไม่ต้อนรับนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลโจรทั้งหมด โดยยังไม่เห็นป้ายแสดงความขอบคุณที่นายอภิสิทธิ์ไม่เดินทางมา จ.เชียงใหม่ ตามที่ได้ประกาศไว้วานนี้แต่อย่างใด
ส่วนทางด้านหน้าโรงแรมเลอ เมอริเดียน ย่านไนท์บาซาร์ อ.เมือง นั้นบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังดูแลสถานที่เพียงบางส่วน และไร้เงากลุ่มเสื้อแดงโดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งปักหลักชุมนุมกันที่หน้าโรงแรมวโรรส แกรนด์ พาเลซ ที่ประกาศว่าจะไม่เคลื่อนไหวออกไปจาพื้นที่ยกเว้นมีนักการเมืองที่ไม่พึงประสงค์เดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เท่านั้น
"แดง"ชม.ชุมนุมปักหลักรอไล่รมต.
นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 กล่าวเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศเลื่อนการชุมนุมอีกระยะว่า แม้นายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกการเดินทางมาปาฐกถาพิเศษในการประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน แต่กลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่จะยังชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ต่อไป โดยเน้นพิจารณาตัวบุคคลที่จะเดินทางมาร่วมประชุม
"เราจะตั้งมั่นอยู่ที่หน้าโรงแรมวโรรสแกรนด์พาเลซก่อน และรวมตัวไปขับไล่ทันทีหากมีรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์เดินทางมาร่วมกิจกรรม รวมทั้งรัฐมนตรีบางคนจากพรรคภูมิใจไทย เช่น นายเนวิน ชิดชอบ และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่หากเป็นนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เราไม่ถือเป็นเป้าหมายที่คนเสื้อแดงจะรวมตัวไปต่อต้าน" นายเพชรวรรตกล่าว
เลิกล้อมสภ.เชียงใหม่แลกยุติ"จับ"
แกนนำกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 กล่าวว่า การชุมนุมปิดล้อม สภ.เมืองเชียงใหม่นั้น เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา (วันที่ 26 พฤศจิกายน) แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 5 คน ได้เข้าเจรจากับผู้กำกับ และรองผู้กำกับ และมีการตกลงกันว่าพนักงานสอบสวนจะยุติการออกหมายเรียกและหมายจับผม เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่คนเสื้อแดงยอมสลายการชุมนุม ก็จบลงด้วยดีŽ นายเพชรวรรตกล่าว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้แหล่งข่าวจาก สภ.เมืองเชียงใหม่ ปฏิเสธว่าตำรวจไม่ได้รับปากกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ว่าจะยกเลิกหมายเรียกและหมายจับเพื่อแลกกับการเลิกปิดล้อม เพียงแต่อธิบายให้ทราบว่าศาลจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ได้อนุมัติหมายจับนายเพชรวรรตเท่านั้น และกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยอมสลายตัวกลับไปเองในช่วงกลางดึก
ทั้งนี้ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงภาคเหนือเช่น นายจีรโรจน์ กีรติศักดิ์วรกุล ผู้ประสานงานกลุ่มพะเยารักประชาธิปไตย และสภาแดงล้านนาจังหวัดพะเยา นายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานกลุ่มแดงพะเยา ต่างออกมายืนยันตรงกันว่า จะเดินทางไปสมทบกับกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ต่อไปแม้นายกฯยกเลิกกำหนดการร่วมประชุมกับหอการค้า ทั้งนี้ ก็เพื่อปักหลักรอประท้วงบุคคลจากฝ่ายรัฐบาลที่อาจมาร่วมประชุมครั้งนี้
"แดง"โวยป้ายสีแผนประทุษร้ายมาร์ค
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. แถลงที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ว่ากรณีตำรวจเข้าจับกุมนายณรงค์ บุญจงเจริญ ชาว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ พร้อมของกลางอาวุธปืน 8 กระบอก และวัตถุระเบิด 6,000 ลูกนั้น มีความพยายามเชื่อมโยงว่าคนเสื้อแดงเตรียมการก่อการประทุษร้ายนายอภิสิทธิ์ในการเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ซึ่งตามข้อเท็จจริงวัตถุดังกล่าวไม่ใช่ระเบิดปิงปองตามที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหา แต่เป็นวัตถุที่ใช้จุดเพื่อให้เกิดเสียงดัง ที่นิยมใช้ในเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมา โดยนายณรงค์พยายามชี้แจงกับตำรวจว่าวัตถุดังกล่าวนำมาจำหน่ายในช่วงเทศกาลลอยกระทงแต่จำหน่ายไม่หมดทำให้เหลือค้างและเก็บเอาไว้เท่านั้น
นายณัฐวุฒิที่นำวัตถุคล้ายที่ถูกจับได้ 400 ลูก มาใช้ประกอบการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า เครือข่ายคนเสื้อแดงใน จ.เชียงใหม่ ได้ติดต่อไปยังญาติของนายณงค์ ซึ่งได้ยืนยันว่านายณรงค์มีใบอนุญาตการจำหน่ายดอกไม้ไฟอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าร้านขายของชำของนายณรงค์นั้น มีจำหน่ายพลุและดอกไม้ไฟอื่นด้วย แต่เหตุใดตำรวจถึงไม่แสดงต่อสื่อมวลชน เรื่องนี้จงใจปกปิดข้อเท็จจริงหรือไม่ เพื่อพยายามป้ายสีความผิดให้กับคนเสื้อแดงเหมือนครั้งที่นายอภิสิทธิ์เดินทางไปยัง จ.ปทุมธานี แล้วมีการจับกุมชายพกวัตถุชนิดเดียวกันนี้จำนวน 40 ลูก ซึ่งทันทีที่นายอภิสิทธิ์ทราบข่าวได้เดินทางออกจากงานทันที แต่มาพบในภายหลังว่าชายคนดังกล่าวเป็นชาวนาใน จ.อ่างทอง โดยใช้วัตถุนี้ในการจุดเพื่อไล่นกออกจากนาเท่านั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปล่อยตัวไปในที่สุด
อ้างปืนมีใบอนุญาต-ซัดตร.จัดฉาก
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับการครอบครองอาวุธปืนนั้น ประชาชนใน อ.จอมทอง ต่างทราบกันดีว่านายณรงค์ เป็นคนมีฐานะและรับจำนำปืน ซึ่งปืนทุกกระบอกมีใบอนุญาต และหลักฐานการรับจำนำอย่างชัดเจน โดยปืนบางกระบอกยังเป็นของตำรวจด้วยซ้ำ นอกจากนี้จากการสอบถามแกนนำคนเสื้อแดงต่างยืนยันตรงกันว่าไม่เคยพบนายณรงค์ออกมาเคลื่อนไหวหรือทำหน้าที่เป็นการ์ดเสื้อแดงตามที่ถูกกล่าวหา แต่นายณรงค์มีหัวใจเป็นสีแดง และเคยบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเท่านั้น ดังนั้น การกระทำของตำรวจในครั้งนี้เป็นความพยายามจัดฉากว่าคนเสื้อแดงต้องการก่อความรุนแรงและต้องการทำร้ายนายอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงอย่างสิ้นเชิง ขอให้รัฐบาลเลิกทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะเสียที อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นายณรงค์ได้รับการประกันตัว นายณรงค์พร้อมที่จะเดินทางมา กทม.เพื่อแสดงหลักฐานเป็นการตบหน้ารัฐบาลและ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5
ชี้ขายเกลื่อนทั่วกรุงท้าตร.ไปจับ
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ประทัดที่นำมาแสดงนี้ ซื้อมาจากย่านมีนบุรี 1 ห่อ และย่านภูเขาทองอีก 3 ห่อ ซึ่งหากนายณรงค์มีความผิดในการครอบครองวัตถุชนิดนี้นั้น ขอแจ้งเบาะแสการจับกุมไปยังรัฐบาลให้สั่งการกองกำลังบุกเข้าโอบล้อมภูเขาทองเพื่อกวาดล้างวัตถุระเบิดให้สิ้นซากพร้อมกับจัดแถลงข่าวการทำลายล้างคลังแสงนี้ให้ทั่วโลกได้รับทราบ ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเป็นมาตรฐานเดียวกันกับนายณรงค์
"เรื่องนี้ทำให้เห็นว่ารัฐบาลมีทัศนคติอย่างไรกับคนเสื้อแดง และมีความอำมหิตเพียงใดในการให้ร้ายคนเสื้อแดง จึงขอให้รัฐบาลหยุดบีบคั้นใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง ที่ใดมีแรงกดที่นั่นจะมีแรงดันถ้าประชาชนเกิดทนไม่ได้ใครจะรับผิดชอบ แม้คนเสื้อแดงจะชุมนุมด้วยความสงบแต่เราไม่พร้อมที่จะได้รับการกดดัน" นายณัฐวุฒิกล่าว
ชี้"ประมวล"กุข่าวค่าหัว"ไร้สาระ"
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์มีความพยายามที่จะนำเรื่องการจับวัตถุส่งเสียงดังนี้ไปเชื่อมโยงกับแผนการลอบทำร้ายนายอภิสิทธิ์ โดยมีการตั้งค่าหัว 10 ล้านบาท ดังนั้นขอเรียกร้องให้นายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เรียกนายประมวล มาสอบถามข้อเท็จจริงว่ากองกำลังที่ไม่ทราบสังกัดนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนายสุเทพจะได้ลากคอคนวางแผนมาลงโทษ ซึ่งหากนายสุเทพไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้ลากคอนายประมวลมาชี้แจงต่อประชาชนแทน นอกจากนี้ขอฝากไปยัง พล.ต.ท.สมคิด ให้ตั้งสติให้ดีอย่าใช้กฎหมายทำร้ายคนบริสุทธิ์เพราะวันหนึ่งกรรมจะตามทัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรกับกรณีที่นายกรัฐมนตรียกเลิกเดินทางไป จ.เชียงใหม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เป็นไปตามความคาดการณ์ของพวกตนว่านายอภิสิทธิ์ จะถอยโดยให้ผู้จัดทำหนังสือมาระงับการเดินทางร่วมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิก พท. กล่าวว่า ข่าวตั้งค่าหัวนายอภิสิทธิ์ 10 ล้านบาท เป็นการเต้าข่าวที่ไร้สาระ คงไม่มีใครคิดทำลายนายกฯอยู่แล้ว สมมุติว่าทำลายนายกฯได้ ก็ต้องมีคนอื่นขึ้นมารับตำแหน่งแทน
ชมนายกฯเลิกเดินทางไปเชียงใหม่
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรียกเลิกการเดินทางไป จ.เชียงใหม่นั้น พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ขอชมเชยว่าทำถูกต้องแล้ว เพราะบ้านเมืองตอนนี้ต้องการความสามัคคี นอกจากนี้ขอชมเชยกลุ่มคนเสื้อแดงที่เลื่อนชุมนุมใหญ่ออกไป และคิดว่าตลอดเดือนธันวาคมไม่ควรจะมีการชุมนุมเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีแต่เทศกาลสำคัญจำนวนมาก หลังจากปีใหม่ไปแล้วจะชุมนุมกันยาวก็คงไม่มีใครว่าอะไร
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พท. กล่าวว่า นายกฯยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของหอการค้าไทย เป็นการหาทางลงที่ดี ซึ่งต้องขอบคุณนายกฯเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ จ.เชียงใหม่ มีความสงบ ไม่มีความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังเห็นว่าเมื่อกลุ่มเสื้อแดงเลื่อนการชุมนุมไปโดยไม่มีกำหนดในพื้นที่ กทม.แล้ว คิดว่ารัฐบาลก็ควรจะยกเลิกประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯในทั่วพื้นที่ กทม.ด้วยเพื่อให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบด้วย
มท.1สั่งผู้ว่ากวดขันพวกชักจูงปชช.
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านทางระบบวีดิทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ว่า ขณะนี้ยังมีบางกลุ่มได้กระทำการที่สวนกระแส ก่อความวุ่นวายแตกแยกขึ้นในบ้านเมือง สร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างตามระบอบประชาธิปไตย และขยายความสู่ความแตกแยก หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว จะเป็นอุปสรรคและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์รวมถึงการพัฒนาประเทศ ขอให้ผู้ว่าฯช่วยรณรงค์เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจว่า ทุกคนย่อมมีอำนาจในการคิดและการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผล อย่าให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดมาชักจูงเพื่อสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนได้
นายชวรัตน์ ให้สัมภาษณ์ถึงการจับกุมยึดได้อาวุธปืน และวัตถุระเบิดที่ จ.เชียงใหม่ ว่า ต้องสืบสวนสอบสวนต่อไปว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะการชุมนุมสามารถทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่หากไม่เป็นไปตามกฎหมาย ตำรวจก็ต้องดำเนินคดี และเชื่อว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขันเคร่งครัดสถานการณ์ความรุนแรงจะลดลง
ยุประชาพิจารณ์หาทางแก้ขัดแย้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ควรจะมีการเจรจาระหว่างฝ่ายที่มีความขัดแย้งเพื่อยุติปัญหาหรือไม่ นายชวรัตน์กล่าวว่า อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องทั้งหมดสื่อมวลชนควรทำให้เป็นประเด็นสาธารณะ ให้มีการทำประชาพิจารณ์ช่วยรัฐบาล ว่าประชาชนเห็นว่าเป็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด เพราะอย่างที่เกิดขึ้นในการชุมนุมหลายครั้ง เมื่อฝ่ายข้าราชการ หรือตำรวจเข้าไปควบคุมดูแล อย่างเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยังต้องถูกไล่ออกจากราชการ ทำให้ข้าราชการทำงานลำบาก เพราะหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องอยู่กันไปเรื่อยๆ ดังนั้นควรนำมาเสนอเป็นประเด็นสาธารณะให้สังคมได้มีส่วนร่วม ว่าการชุมนุมมีขอบเขตขนาดไหนและเจ้าหน้าที่ดูแลได้อย่างไรเพื่อความสบายใจของผู้ทำหน้าที่ทุกฝ่าย
เลขาธิการ19หอค้าอีสานเซ็งนายกฯ
นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้า 19 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า การที่นายกฯปฏิเสธเดินทางไปร่วมงานประชุมสัมมนาร่วมกับหอการค้าทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ โดยอ้างเหตุผลของหอการค้านั้นต้องเข้าใจถึงสัญลักษณ์ของตัวนายกฯที่บ่งบอกความเชื่อมั่นในประเทศไทย สิทธิขั้นพื้นฐานภายใต้รัฐธรรมนูญ ทุกคนสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ทั่วประเทศไทย เมื่อตัวนายกฯไม่กล้าโดยอ้างไม่มั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินแล้ว นักท่องเที่ยว ประชาชน จะเชื่อมั่นได้อย่างไร หากไปแล้วจะต้องผจญกับปัญหาอะไรบ้าง ดังนั้น จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้นำประเทศต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้สังคมรับทราบ มิเช่นนั้นการท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ล่าสุด สถานทูตประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศเตือนให้ ประชาชนของเขาหากไม่มีภารกิจสำคัญก็ควรงดเดินทางไป จ.เชียงใหม่
"แม้การประชุมสัมมนาของหอการค้าทั่วประเทศ จะดำเนินการไปได้ก็จริง แต่ตัวนายกฯไม่สามารถมาร่วมงานได้ จะทำให้บรรยากาศกร่อย จืดชืดอย่างแน่นอน" นายทวิสันต์กล่าว
"สมคิด"ใช้กรกฎ52คุม"หอการค้า"
พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม พร้อมหัวหน้าส่วนราชการทั้งทหารและฝ่ายปกครองร่วมกันชมการฝึกซ้อม เตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญของตำรวจ 3,500 นาย จาก 8 จังหวัดภาคเหนือ ที่สนามหญ้าหน้ากรมรบพิเศษที่ 5 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน
พล.ต.ท.สมคิดกล่าวว่า เพื่อเป็นการยืนยันความพร้อมและสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ และโดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีภารกิจในการดูแลการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ จึงกำหนดใช้แผนกรกฎ 52 และมาตรการอื่นรองรับที่สามารถปรับตามความเข้มข้นและลดระดับลงจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
อ้างระเบิดที่จับได้อานุภาพ"แรง"
"ประชาชนทุกคนมีสิทธิตามหลักประชาธิปไตย แต่กลุ่มไหนก็ไม่มีสิทธิเข้ามาขับไล่รัฐมนตรีที่จะเข้ามาสร้างความเจริญให้ประชาชนได้ เพราะตำรวจจะพร้อมเข้าดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดแบบไม่เลือกปฏิบัติ" พล.ต.ท.สมคิดกล่าว
พล.ต.ท.สมคิดกล่าวว่า เรื่องหมายจับนายเพชรวรรต พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานให้เพียงพอเพื่อสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการให้พิจารณาต่อไป การปิดล้อมชุมนุมที่หน้า สภ.เมือง ให้ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย ทั้งนี้ ยังได้สั่งการให้ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กวาดล้างระเบิดและประทัดยักษ์ทุกพื้นที่ ยืนยันว่าระเบิดที่จับได้พร้อมผู้ต้องหามีอานุภาพร้ายแรงมากกว่าที่คาด"แดง"พะเยาทำบุญทอดผ้าป่า
นายทูล เวชกลาง ผู้อำนวยการสถานีวิทยุชุมชนคลื่นประชาธิปไตย 87.75 เมกะเฮิร์ตซ์ ร่วมกับกลุ่มเสื้อแดง 9 อำเภอใน จ.พะเยา จัดกิจกรรมทำบุญทอดผ้าป่า เพื่อนำเงินไปใช้ในการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องส่ง โดยนิมนต์พระผู้ใหญ่มารับทอดผ้าป่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน ที่อาคารสำนักงานของนางอรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เลขที่ 117 หมู่ 14 ต.บ้านต๋อม อ.เมือง โดยมีนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง รังษี เสรีชัย-แดง จิตกร เข้าร่วมร้องเพลงขับกล่อมผู้ไปร่วมงานด้วย
วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
เขมรกร้าวเลิกกู้ไทย1.4พันล้าน ใจดีให้แม่วิศวกรเยี่ยมลูก1.30ชม. "กษิต"ลั่นเปิดเจรจาต้องปลด"แม้ว"ก่อน

"เขมร"กร้าวขอยกเลิกกู้เงินไทยสร้างถนน 1.4 พันล้าน โชว์บทใจดี จัดห้องพิเศษให้แม่วิศวกรเข้าเยี่ยมนาน 1.30 ชม. บอกลูกไม่ใช่เหยื่อแต่โชคร้ายมากกว่า วอนทางการ"เขมร"ให้ความเมตตา "เตีย บัน"ยันไม่ใช่คดีการเมือง ย้ำยึดหลักสากลดำเนินการ "กษิต"ลั่นเปิดเจรจาฟื้นสัมพันธ์"กัมพูชา"ต้องปลด"แม้ว"ก่อน
"เขมร" ยกเลิกกู้ไทย1.4พันล้าน
สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนว่า กัมพูชาได้แจ้งให้ไทยทราบแล้วว่าจะยกเลิกข้อตกลงที่จะกู้เงินจำนวน 1,400 ล้านบาท จากไทยที่จะนำไปใช้สร้างถนนหลวงที่มีเส้นทางจากชายแดนของไทย โดยนายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า กัมพูชาจะไม่รับเงินกูจากไทยเนื่องจากทางกัมพูชามีงประมาณมากพอที่จะใช้ในการสร้างถนนได้เอง
แม่วิศวกรเชื่อแคล้วคลาดนำดินไปฝาก
นางสิมารักษ์ ณ นครพนม และ นายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์ มารดาและน้องชาย นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม พร้อมด้วย น.ส.มธุรพจนา อินทะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ออกเดินทางโดยเที่ยวบิน ทีจี 580 เวลา 07.45 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังกรุงพนมเปญ กัมพูชา เพื่อเยี่ยมนายศิวรักษ์ ที่เรือนจำเปรยซอ โดยเดินทางถึงเวลา 09.00 น. อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทาง นางสิมารักษ์ให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อเจอหน้าบุตรชายจะแสดงความห่วงใย ดีใจ และให้กำลังใจว่ารออีกสักระยะจะได้รับอิสรภาพ โดยเตรียมเครื่องใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และยารักษาโรคประจำตัว รวมทั้งดินหน้าบ้านเพราะเชื่อว่าจะช่วยทำให้แคล้วคลาดจากอันตรายและเดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย
ด้าน น.ส.มธุรพจนากล่าวว่า เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ เวลา 14.00 น. ได้มอบหมายให้ทนายชาวกัมพูชาดูแล โดยประสานกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ขณะนี้ต้องรอกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา ทั้งนี้คณะที่เดินทางไปจะเดินทางกลับ เวลา 21.10 น.
เผยบรรยากาศเยี่ยมชื่นมื่น
ต่อมานายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังจากที่นางสิมารักษ์เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ว่า ทุกคนพอใจกับการเข้าเยี่ยม โดยได้ใช้เวลาเข้าเยี่ยมถึง 1.30 ชั่วโมง จากปกติที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้เพียงครึ่งชั่วโมง นอกจากนี้ยังเข้าเยี่ยมโดยไม่จำกัดจำนวนผู้เยี่ยม ซึ่งปกติให้เข้าเยี่ยมได้เพียง 4 คน และจัดห้องประชุมชั้นบนของเรือนจำเพื่อพูดคุยกัน ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยดี มีรอยยิ้ม ยืนยันว่ามีความเป็นอยู่ดี มีอาหารพร้อม
"ทราบว่านายศิวรักษ์ ได้พักในห้องพักเรือนจำชั้นดี อยู่กันเพียง 5 คนจากที่ปกติต้องอยู่รวมกันถึง 30 คน โดยนักโทษอีก 4 คน เป็นนักโทษชั้นดีที่มีโทษสถานเบา ไม่ใช่คดีรุนแรงโหดเหี้ยม ทั้งนี้นายศิวรักษ์ไม่ได้แสดงความกังวลและยังสบายใจอยู่" นายชวนนท์กล่าว และว่า ส่วนการรวบรวมหลักฐานพร้อมที่จะขึ้นศาลในเวลา 07.30 น. วันที่ 8 ธันวาคมนี้ คาดว่านางสิมารักษ์ จะเข้าไปที่ศาลด้วย โดยคาดว่าจะเดินทางไปรอตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ทั้งนี้นายศิวรักษ์ยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้ทำการใดๆ ผิดกฎหมายและข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความลับและไม่ได้ใช้วิธีพิสดารในการเข้าถึงข้อมูล
แม่วิศวกรบอกลูกโชคร้าย
เมื่อเวลา 17.00 น. ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ นางสิมารักษ์แถลงข่าวทั้งน้ำตาหลังเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ ว่า ลูกชายซูบผอมลงแต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ต้องขอบคุณทางการกัมพูชาที่ให้การดูแลลูกอย่างดี และหวังว่าลูกจะได้รับอิสรภาพโดยเร็ว ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้แม่ลูกได้พบกัน เนื่องจากรอมานานถึง 16 วัน ทั้งนี้วิงวอนให้ทางการกัมพูชาเมตตาลูกด้วย ยืนยันว่าลูกชายไม่ได้ยุ่งเกี่ยวการเมือง และเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่คิดว่าลูกตนเป็นเหยื่อแต่ถือเป็นความโชคร้ายมากกว่า
"กษิต"ยันต้องปลด"แม้ว"จึงเจรจา
ด้านนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอของนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ระบุว่าให้ไทยเป็นฝ่ายขอเจรจากับกัมพูชาก่อนเพื่อแก้ไขปัญหาว่า เป็นข้อเสนอของคนไทยคนหนึ่งก็รับฟัง เมื่อถามย้ำว่าจะรับฟังข้อเสนอดังกล่าวหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า อยากพูดก็พูดไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะเปิดเจรจากับกัมพูชาก่อน นายกษิตกล่าวว่า ไม่มี ไม่เปิด ตราบใดที่ยังแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา ก็ยังเป็นปัญหาคาอยู่ กัมพูชาต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ที่กัมพูชาก็ต้องจบที่กัมพูชาไม่ได้อยู่ที่ไทย
เมื่อถามว่าหากไทยเจรจาก่อนกลัวเสียหน้าใช่หรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่ต้องเสียหน้า เพราะเราทำด้วยความถูกต้อง ประเทศไทยมีศักดิ์ศรี ส่วนกรณีมีข่าวระบุว่ากระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือถึงกัมพูชาเพื่อขอให้ถอด พ.ต.ท.ทักษิณออกจากการเป็นที่ปรึกษา นายกษิตกล่าวว่า ไม่มี เพราะสิ่งใดที่ได้ดำเนินการกระทรวงการต่างประเทศได้เปิดเผยไปทั้งหมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดบัง
"สุเทพ"ยันกองทัพ2ปท.สัมพันธ์ดี
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชาหรือเจบีซี ว่า ความสัมพันธ์ของกองทัพยังปกติอยู่ เคยพูดแล้วว่าการที่รัฐบาลได้กำหนดท่าทีในการตอบโต้กัมพูชาด้วยการประกาศยกเลิกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็นโอยู) นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศหรือทางการทูต แต่เรายังคงความสัมพันธ์ในเรื่องของความมั่นคงของทหารเอาไว้เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
"ขณะนี้ทหารทั้ง 2 ประเทศยังคงประสานกัน ติดต่อและพูดคุยกัน โดยระมัดระวังไม่ให้เกิดความตึงเครียดขึ้นที่บริเวณชายแดน เราเป็นเพื่อนบ้านกันมีโอกาสที่ผิดอก ผิดใจกันได้ แต่ไม่จำเป็นต้องมารบราฆ่าฟันกัน ต้องช่วยกันรักษาสันติภาพ รักษาความสงบที่ควรจะต้องมีเอาไว้"นายสุเทพกล่าว
เมื่อถามว่าจะสานสัมพันธ์อะไรต่อหรือไม่ หรือจะปล่อยไปอย่างนี้ นายสุเทพกล่าวว่า อีกสักพักก็คงน่าจะแก้ไขกันได้ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและเป็นเรื่องของความพร้อมของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา
อีกไม่นานเขมรเข้าใจความจริง
เมื่อถามถึงกรณีนายสุรเกียรติ์เสนอให้รัฐบาลเป็นฝ่ายเดินเข้าไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชาก่อน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียหน้า นายสุเทพกล่าวว่า นายสุรเกียรติ์กับรัฐบาลอาจจะคิดไม่เหมือนกันเพราะรัฐบาลคิดว่าเป็นเรื่องของ 2 ประเทศ ไม่จำเป็นต้องยกระดับขึ้นไปเป็นเรื่องระดับอาเซียนหรือสูงกว่านั้น เป็นเรื่องที่ 2 ประเทศจะต้องหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับความสัมพันธ์แก้ปัญหากัน รัฐบาลไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหน้าเสียตาอะไร แต่ว่าตราบใดที่เงื่อนไขยังไม่เปลี่ยนแปลง มันก็ลำบากที่จะเจรจากัน แต่ตนคิดว่าอีกสักพักทางฝ่ายกัมพูชาก็จะเข้าใจความจริง
เมื่อถามว่า รัฐบาลได้ยื่นเงื่อนไขออกไปหรือยังว่าให้ถอด พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกัมพูชา นายสุเทพกล่าวว่า ไม่รู้ว่ากระทรวงต่างประเทศทำอะไรบ้าง แต่ตอนที่เกิดเรื่องกันเราถือว่าการที่รัฐบาลกัมพูชาตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและปฏิเสธที่จะส่งตัวมารับโทษที่ประเทศไทย รวมทั้งได้วิพากษ์วิจารณ์การเมืองในประเทศไทย ระบบยุติธรรมของประเทศไทย มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เผย4ข้อตกลงสร้างสันติชายแดน
เมื่อเวลา 11.30 น. วันเดียวกัน ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหกลาโหม แถลงผลประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชาหรือ จีบีซี สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 6
พล.อ.ประวิตรแถลงว่า การประชุมเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพโดยเรามุ่งเน้นกรอบอำนาจหน้าที่ โดยต่างคนต่างสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันเพื่อทำให้ชายแดนไทยกัมพูชามีความสงบเรียบร้อยและปลอดภัย ตนและ พล.อ.เตีย บัน เห็นพ้องต้องกันมีข้อสรุปดังนี้
1.กองทัพของทั้ง 2 ประเทศตามแนวชายแดนไม่ว่าทางบก ทางทะเล ยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่โดยยึดถือสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน ขจัดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ
2.กองทัพของ 2 ประเทศตลอดแนวชายแดนจะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนสองประเทศค้าขายตามแนวชายแดน และไปมาหาสู่กันได้ อย่างที่เคยปฏิบัติมา
3.กองทัพทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่าจะดำรงความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างประเทศทั้งสองและระหว่างประชาชนทั้งสองโดยยึดถือกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อตกลงบนพื้นฐานความเข้าใจ จริงใจ ความเท่าเทียม ในฐานะสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน และประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดน ติดต่อกัน
4.กองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาจะสนับสนุนภารกิจกลไก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทุกระดับ
"เตีย บัน"จับวิศกรไม่เกี่ยวการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้หยิบยกกรณีการช่วยเหลือนายศิวรักษ์มาหารือหรือไม่ พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฝ่ายทหาร การดำเนินการเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย และหลักสากล ไม่มีอะไรเกินขอบเขต ตนมีความเชื่อมั่นว่าการแก้ไขปัญหาจะเป็นไปด้วยความยุติธรรม เมื่อถามว่า ทางกัมพูชาเห็นว่าทางศิวรักษ์ผิดจริงหรือไม่ พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า ปัญหานี้เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการคุมตัวให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
เมื่อถามว่า โทษนายศิวรักษ์หนักแค่ไหน พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า โทษหนักเบา อาศัยความยุติธรรมและการตัดสิน ที่มีลักษณะเพียงพอ เพื่อให้เคารพการตัดสินทางกฎหมาย เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ทางทหารจะช่วยลดโทษจากหนักไปเบาหรือไม่ พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นว่าทางฝ่ายทหารมีความสามารถในการเข้าร่วมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยดี และการช่วยเหลือวิศวกรน่าจะมีความสามารถที่จะอำนวยความสะดวกให้วิศวกร
เมื่อถามว่า แสดงว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาช่วยเหลือก็ช่วยไม่ได้ใช่หรือไม พล.อ.เตีย บัน กล่าวว่า ตนจะชี้แจงด้วยความชัดเจนว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย เชื่อว่าการดำเนินการตามกฎหมายจะได้บรรลุไปได้ด้วยดี เมื่อถามว่า เกรงว่าปัญหาวิศวกรจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว พล.อ.ประวิตรกล่าวสวนในทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าการจับวิศวกรไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง พล.อ. เตีย บัน กล่าวว่า ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง แต่เป็นการปฏิบัติที่เกิดจากความผิดตามกฎหมายกัมพูชา
อำลาอาลัย..ลุงหมักของเรา

ในที่สุด เหตุการณ์ที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย อย่างเราๆท่านๆ รู้สึกประหวั่นพรั่นใจไม่อยากให้เกิดมาโดยตลอด ก็อุบัติขึ้นจนได้
นั่นคือ อสัญกรรมของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ บุรุษชาติอาชาไนยจอมทระนงอย่างฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุทรเวช หรือลุงหมักของเรา เมื่อเวลา 8.48 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวง ซึ่งมาผิดที่ผิดเวลา ในขณะที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่กลียุค อันเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการเสาหลัก ที่ทรงความเที่ยงธรรมอย่างท่านเป็นที่สุด
เหมือนสูญเสียแม่ทัพผู้กล้าไป ในท่ามกลางสมรภูมิรบ การคร่ำครวญพิรี้พิไร รังแต่จะบั่นทอนกำลังใจในการต่อสู้ โดยใช่เหตุ ดังนั้น แม้ว่าจะอาลัยรักเพียงใด คงทำได้แค่เพียงหลั่งน้ำตาอยู่ในอก แล้วเชิดหน้าขึ้น ต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยมา
สมดังปณิธานของลุงหมัก ที่ต่อสู้เพื่อสิ่งนี้มาชั่วชีวิต
ธรรมชาตินั้นเที่ยงธรรมเสมอ ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เคยดึงดันหรือผ่อนปรน ต่อให้เป็นผู้ที่ประชาชนรักแสนรักเพียงใด เมื่อถึงเวลาต้องจากไป ก็ไม่ได้รับการยกเว้นอยู่ดี
สุดที่จะหาคำใดมากล่าว เพื่อสื่อถึงความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก และหวังพึ่งพิงในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องมาด่วนจากไป ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลาอันควร แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่ออะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด
บุคคลากรที่ทรงคุณค่าอย่างท่าน ใช่ว่าจะหาที่ยืนได้ง่ายๆ ในบ้านป่าเมืองเถื่อน อย่างบ้านนี้เมืองนี้ แต่ความดีของท่าน ก็ยืนหยัดท้าทาย ทนทานต่อแรงเสียดสี และกำชัยเหนือความชั่วช้า ที่โหมประดังเข้ามาย่ำยีอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุด
เพราะถือหลักว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" ลุงหมักจึงไม่เคยเสื่อม เพราะคนอย่างท่าน ไม่เคยเกรงกลัวใคร ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือหน้าไหนทั้งสิ้น แม้กระทั่งบรรดาสื่อชั่ว ที่รวมหัวกันใส่ไฟ ทำลายล้างท่านอย่างป่าเถื่อน ไร้ความปราณี เหมือนฝูงหมาป่าที่รุมขย้ำพญาราชสีห์ อย่างเมามัน
แต่ถึงที่สุดแล้ว ธรรมะก็ชนะอธรรม ความดีก็ชนะความชั่ว กาลเวลาได้ออกใบรับรองความบริสุทธิ์ผุดผ่องให้ลุงหมัก ชนิดที่คงไม่มีนักการเมืองหน้าไหน ที่จะซื่อสัตย์ได้เท่านี้อีกแล้ว
อดีตของท่านจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่วาระสุดท้าย ท่านได้ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ด้วยการยืนหยัดออกนำหน้าประชาชน ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า อำนาจมืดนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ถ้าไม่มีลุงหมักในวันนั้น ยังไม่รู้ว่า เสื้อแดงในวันนี้จะเป็นอย่างไร
ยังไม่ลืมวันวานอันหวานชื่น เมื่อลุงหมักถือธงนำหน้า นำพาพรรคพลังประชาชนออกปราศัยหาเสียง ท่ามกลางมวลมหาประชาชน ที่หลั่งไหลกันมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อฟังลุงหมักพูดอย่างออกรสออกชาติ พร้อมๆกับแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์
วันนั้นคือวันที่ประชาชนฮึกเหิมเป็นที่สุด ทั้งรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความยินดี แผ่ซ่านไปทั่วทุกผู้ทุกคน กำแพงแห่งอธรรม ถูกพังทลายลง ด่านแล้วด่านเล่า จนในที่สุด พรรคพลังประชาชนก็เข้าเส้นชัยอย่างขาวสะอาด
ยังไม่ลืมวันที่พวกเราต้องหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ เมื่อเห็นลุงหมักใส่ชุดขาว เข้าพิธีรับตำแหน่งนายกฯ อย่างสง่าผ่าเผย
แต่มาวันนี้ ทั้งๆที่ห่างกันไม่นาน เรากลับต้องมาเสียน้ำตาอีกครั้ง กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของลุงหมักผู้เป็นวีรบุรุษในดวงใจของเราทุกคน
ถ้าเลือกได้ ลุงหมักคงไม่อยากจากพวกเราไป ในสภาพนี้ และถ้าเลือกได้ พวกเราก็คงไม่ยอมให้ใครมาพราก ลุงหมัก ไปเช่นกัน
แต่ในเมื่อมันเป็นชะตาฟ้าลิขิต ถึงยังไงเราก็ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน ก็คงต้องปล่อยให้ลุงหมักไปพักผ่อนให้สบาย
ส่วนพวกเรา หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว ก็คงต้องรวบรวมพลังออกก้าวเดินต่อไป เพื่อสานต่อเจตนารมย์ของลุงหมัก ให้ลุล่วงให้จงได้
ไว้เสร็จศึกเมื่อใด คงได้ปลุกลุงหมักมาฉลองชัยให้สุดๆ
วโรทาห์: 26 พ.ย. 52
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)