คมชัดลึก :หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเผยพล.อ.ชวลิตสมัครเป็นสมาชิกพรรคพรุ่งนี้ ลูกพรรคแจง"ทักษิณ"ทาบทามเอง “แม้ว” ทวิต ยันครม. “ตัวเอง” ไม่มีใครทุจริตหวยบนดิน
เมื่อเวลา 14.00 นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยพรุ่งนี้ (2 ต.ค.)ว่า พล.อ. ชวลิต จะเดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยตั้งแต่เวลา 09.00 น.ของวันพรุ่งนี้(2 ต.ค.)เบื้องต้นจะเข้ามาทำงานโดยไม่มีตำแหน่งอะไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรคจะพิจารณาในอนาคต ส่วนตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นเรื่องของอนาคตเช่นกัน ยังตอบไม่ได้
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี กล่าวว่า สาเหตุที่ พล.อ. ชวลิต เข้ามา เพราะต้องการกลับเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติความขัดแย้งต่างๆในฐานะที่ พล.อ.ชวลิต มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นถึงนายกฯ และยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนทาบทามพล.อ.ชวลิต
“แม้ว”ทวิต ยันครม.ตัวเองไม่มีใครทุจริตหวยบนดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ Twitter.com เพื่อตอบแฟนคลับที่เข้ามาให้กำลังใจหลังจากที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาคดีหวยบนดิน ว่า “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ คดีนี้ไม่มีใครทุจริตแต่ทำเพื่อเป็นทุนการศึกษาเด็กยากจน เด็กเรียนเก่ง แต่ที่แน่ๆเจ้ามือกำลังรวยปีละหมื่นล้าน ”
นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงโครงการไทยเข้มแข็ง ว่า “การเมืองช่วงฟาดฟันกันแบบนี้คนฉลาดแกมโกงจะรีบฉกฉวยผลประโยชน์เพราะการกลัวเสียอำนาจของผู้มีอำนาจจะจำยอมไทยเข้มแข็งจะเป็นใครเข้มแข็ง ”
“เฉลิม”ลั่น"พท."นำหวยบนดินเป็นนโยบายสู้ศึกเลือกตั้ง
ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาคดีหวยบนดินนั้น เห็นได้ชัดว่าจากคำพิพากษาของศาลว่าการออกหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อปี 2548 ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องหวยบนดินมาจัดทำเป็นนโยบายของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาล จะดำเนินการออกหวยบนดินทันทีภายใต้ชื่อ หวย 2 ตัว หวย 3 ตัว โดยจะแก้ไขพ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 และจะกำหนดเจตนารมณ์ให้ชัดเจนว่าสามารถนำเงินรายได้ไปใช้ในโครงการอะไรได้บ้าง อีกทั้งจะแก้ไขการส่งเงินรายได้เข้าคลัง และการใช้จ่ายเงินคงคลัง
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมืองไม่ได้ ถ้าไม่ยุบสภา ก็ควรเปลี่ยนตัวนายกฯ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่มีแนวคิดของตัวเอง นโยบายทุกอย่างลอกมาจากนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังพบการทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง ปลากระป๋องเน่า และโครงการไทยเข้มแข็งในการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงการที่รัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองที่มีคำสั่งระงับการก่อสร้างชั่วคราว 76 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยองนั้น คนอย่างนี้เป็นผู้นำประเทศได้อย่างไร ไม่รู้ประสีประสา นอกจากนี้ยังขาดความเป็นผู้นำทางการเมือง เพราะแม้แต่ข่าวนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่ทราบ
ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวท้าทายว่า ถ้านายกรัฐมนตรีแน่จริง ให้สั่งพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ดำเนินการออกหมายจับคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทันที แต่ถ้าไม่ทำ ตนขอถามว่านายอภิสิทธิ์จะกลัวอะไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พล.ท.พิรัช สวามิวัสดิ์ นายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าพล.อ.ชวลิตตอบรับเป็นประธานพรรคเพื่อไทยในการเข้ามาช่วยบริหารพรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ทราบ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552
แฉกลโกง 8หมื่นล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง รบ.มาร์ค ม.7
คมชัดลึก : (1ต.ค.) เวลา 10.25 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.ประธานสำนักงานปราบโกง พรรคเพื่อไทย แถลงถึงแผนปฏิบัติการโครง การไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ที่พบเงื่อนงำส่อทุจริต ว่า พรรคเพื่อไทยตรวจพบความไม่ชอบมาพากล ในการใช้งบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง ในส่วนกระทรวงสาธารณสุข ที่มีความพยายามยกระดับสถานีอนามัยขึ้นเป็นโรงพยาบาลตำบล โดยทำการล็อคสเป็คจัดซื้อคุรุภัณฑ์ ภายใต้กรอบงบประมาณ 8 หมื่นล้านบาทเศษ สำหรับการยกระดับสถานีอนามัยดังกล่าวข้อเท็จจริงแล้ว ไม่สามารถทำให้กลายเป็นโรงพยาบาลตำบลได้ ด้วยเหตุผลของเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ ความพร้อมด้านต่าง ๆ กระบวนการที่ส่อทุจริตเริ่มชัดเจนเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่มีการอนุมัติเงิน 8 หมื่นล้านบาทเศษ แบ่งเป็นงบก่อสร้าง 6 หมื่นกว่าล้าน มีงบอีกส่วนหนึ่งกันไว้เพื่อยกระดับสถานีอนามัยดังกล่าว
เมื่อถึงวันที่ 21 ส.ค.ได้มีหนังสือด่วนที่สุด เรื่องสำรวจความต้องการของสถานีอนามัย 2151 แห่ง งบประมาณ 1,350,000 บาท ต่อแห่ง และขอให้ส่งกลับในวันที่ 24 ส.ค. โดยงบจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นงบก่อสร้าง 5 แสนบาท และงบจัดหาคุรุภัณฑ์อีกส่วนหนึ่งที่น่าสังเกตว่ามีการกำหนดไว้เรียบร้อย 20 รายการ และต้องระบุความต้องการเฉพาะที่กำหนดไว้ ห้ามมีนอกเหนือจากนี้ และถ้าหากสถานีอนามัยส่งข้อมูลกลับไปล่าช้า ส่วนกลางจะกรอกข้อมูลให้แทน
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการเตรียมงบประมาณไว้นานแล้ว มีการกำหนดรายละเอียดคุรุภัณฑ์ไว้ตั้งแต่เดือนเม.ย. กระบวนการที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมเท่านั้น ตัวอย่างเช่น คุรุภัณฑ์ อัลตร้าซาวน์ ที่หากไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางไม่สามารถใช้ได้ ไม่สามารถวินิจฉัยโรค เพราะถ้าวินิจฉัยผิดอาจถึงตายได้ สุดท้ายคุรุภัณฑ์นี้อาจเป็นเพียงอนุสาวรีย์คล้ายกับสินค้าในโครงการชุมชนพอเพียง
อย่างไรก็ตามภายหลังที่มีการทักท้วงก็มีปฏิกริยาจากนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข มีการกำหนดคุรุภัณฑ์ในภายหลังเพิ่มมาอีก 26 รายการ รวมเป็น 46 รายการ ในเดือนก.ย. แต่ผลสุดท้ายก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพราะเมื่อผู้ใช้งานจริงแจ้งความต้องการให้กระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ของเดิมก็ยังใช้อยู่ ของใหม่ก็ไม่ตรงใจผู้ใช้อีก
“พฤติการณ์เหล่านี้จึงทำให้เชื่อได้ว่าอาจมีการทุจริต แม้จะยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ฝ่ายค้านต้องออกมาท้วงติงไว้ก่อน เพราะมันทำให้เกิดผลเสียต่อประชาชนโดยตรง และบางกรณีอาจทำให้ประชาชนถึงตายได้ โครงการนี้กระบวนการหลายอย่างไม่ต่างจากโครงการชุมชุนพอเพียง และน่าสังเกตอีกอย่างว่างบฯโครงการไทยเข้มแข็งถือเป็นเงินนอกงบฯ อาจมีการยกเลิกระเบียบบางเรื่องได้ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตรวจสอบได้ยาก และมีข่าวว่าบางคนในกระทรวงสาธารณสุข ได้ไปพบกับเจ้าของผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ถ้ามีการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นรายชื่อบริษัทจะเชื่อมโยงได้ทันที วันนี้การทุจริตยังไม่เกิดก็ต้องดักคอไว้ก่อน” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
เมื่อถึงวันที่ 21 ส.ค.ได้มีหนังสือด่วนที่สุด เรื่องสำรวจความต้องการของสถานีอนามัย 2151 แห่ง งบประมาณ 1,350,000 บาท ต่อแห่ง และขอให้ส่งกลับในวันที่ 24 ส.ค. โดยงบจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นงบก่อสร้าง 5 แสนบาท และงบจัดหาคุรุภัณฑ์อีกส่วนหนึ่งที่น่าสังเกตว่ามีการกำหนดไว้เรียบร้อย 20 รายการ และต้องระบุความต้องการเฉพาะที่กำหนดไว้ ห้ามมีนอกเหนือจากนี้ และถ้าหากสถานีอนามัยส่งข้อมูลกลับไปล่าช้า ส่วนกลางจะกรอกข้อมูลให้แทน
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการเตรียมงบประมาณไว้นานแล้ว มีการกำหนดรายละเอียดคุรุภัณฑ์ไว้ตั้งแต่เดือนเม.ย. กระบวนการที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมเท่านั้น ตัวอย่างเช่น คุรุภัณฑ์ อัลตร้าซาวน์ ที่หากไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางไม่สามารถใช้ได้ ไม่สามารถวินิจฉัยโรค เพราะถ้าวินิจฉัยผิดอาจถึงตายได้ สุดท้ายคุรุภัณฑ์นี้อาจเป็นเพียงอนุสาวรีย์คล้ายกับสินค้าในโครงการชุมชนพอเพียง
อย่างไรก็ตามภายหลังที่มีการทักท้วงก็มีปฏิกริยาจากนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข มีการกำหนดคุรุภัณฑ์ในภายหลังเพิ่มมาอีก 26 รายการ รวมเป็น 46 รายการ ในเดือนก.ย. แต่ผลสุดท้ายก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพราะเมื่อผู้ใช้งานจริงแจ้งความต้องการให้กระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ของเดิมก็ยังใช้อยู่ ของใหม่ก็ไม่ตรงใจผู้ใช้อีก
“พฤติการณ์เหล่านี้จึงทำให้เชื่อได้ว่าอาจมีการทุจริต แม้จะยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ฝ่ายค้านต้องออกมาท้วงติงไว้ก่อน เพราะมันทำให้เกิดผลเสียต่อประชาชนโดยตรง และบางกรณีอาจทำให้ประชาชนถึงตายได้ โครงการนี้กระบวนการหลายอย่างไม่ต่างจากโครงการชุมชุนพอเพียง และน่าสังเกตอีกอย่างว่างบฯโครงการไทยเข้มแข็งถือเป็นเงินนอกงบฯ อาจมีการยกเลิกระเบียบบางเรื่องได้ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตรวจสอบได้ยาก และมีข่าวว่าบางคนในกระทรวงสาธารณสุข ได้ไปพบกับเจ้าของผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ถ้ามีการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นรายชื่อบริษัทจะเชื่อมโยงได้ทันที วันนี้การทุจริตยังไม่เกิดก็ต้องดักคอไว้ก่อน” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
โลกหมุนกลับ
ที่มา เดลินิวส์
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาฯมูลนิธิแพทย์ชนบท แฉเอง งบ 3 หมื่นล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง มีการบีบซื้อเครื่องฆ่าเชื้อยูวี-แฟน ชนิดแพงหูดับจาก 6,000 เป็น 4 หมื่นบาทเครื่องช่วยหายใจจาก 5 แสนเป็น 1.2 ล้าน แฟลตพยาบาลจาก 6 ล้านเป็น 9.6 ล้าน ปล้นกลางแดด เลยนะทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง (กินไม่พอเพียง) ยังไม่ทันจางหาย เรื่องนี้ก็โฉ่อีก ถึงนายกฯ จะสั่งฟันเด็ดขาด แต่ก็คงงั้น ๆ
เหมือนโครงการแรก มีแค่ระดับส.ก.กับเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ๆ รับกรรมไปตัวใหญ่ ๆ ยังลอยหน้าลอยตา ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น ส.ว.รสนา โตสิ ตระกูล ที่เคยสร้างชื่อจับทุจริตซื้อยา 1,800 ล้านยุค ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ แล้วมี รักเกียรติ สุขธนะ รมต. ติดคุก เพราะกรณีนี้ จะว่าไงจะออกโรงอีกครั้งมั้ยเพราะยุคนี้มี 2 มาตรฐาน
และ เลือกปฏิบัติแบบเปิดเผยอีกด้วย เหมือน กฎหมาย 2 มาตรฐาน หลังยุค คมช.ลากรถถังออกมายึดอำนาจ แล้วตั้ง องค์กรอิสระต่าง ๆ ขึ้นมาฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามรู้จักในนาม ตุลาการภิวัฒน์ นี่ล่ะทั้ง ๆ ที่คำนี้ ไม่มีบัญญัติใน พจนานุกรม เลย แต่กลับเป็นเครื่องมือทรงพลัง มีทั้งการใช้กฎหมายย้อนหลัง การตีความแบบกว้าง แบบแคบ
แล้วแต่จำเลยเป็นใคร สำนวนอ่อน หรือแก่ ก็ได้ความขัดแย้งของ คตส. และ อัยการสูงสุด (อสส.) ในคดีทุจริตกล้ายาง ที่ ศาลฎีกาฯนักการเมือง เพิ่งสั่งยกฟ้อง ไปนั้น น่าสนใจมาก ใครก็รู้ว่า คตส.ใหญ่มาก แต่ อสส. ก็กล้าหือ ไม่ยอมฟ้องคดีกล้ายางตอบสนองคดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัยไปวันพุธ อสส.ก็เห็น
ไม่ควรฟ้อง คตส. ต้องจ้างทนายฟ้องเองหมดล่าสุด นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ ผู้ตรวจราชการอัยการ ไปพูดในงานสัมมนา มีคนฟังมากมาย ว่า “สังคมมันเพี้ยน เพราะบางองค์กรทำเกินหน้าที่ จะให้เขาสั่งคดีตามที่ตัวเองต้องการออกมาให้ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ทุจริต ระบบมันเสีย สังคมวุ่นวายวันนี้ เพราะสั่งคดีถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ เราพยายามตระหนักที่สุดไม่ก้าวล่วงองค์กรอื่นแต่ถูกองค์กรอื่นมาพูดเสีย ๆ หาย ๆ วิพากษ์วิจารณ์ให้ข่าว
พูดภาษาชาวบ้านคือ ขี้แพ้ชวนตี ผมไม่ชอบ”น่าจะเป็นครั้งแรก ๆ มั้ง ที่คนในวงการยุติธรรมออกมาพูดถึงผู้คนในแวด วงเกี่ยวพันว่า เพี้ยน สังคมวุ่นวาย ทุกวันนี้ เพราะ ระบบมันเสีย นั่นสินะ ที่พึ่งสุดท้าย เพี้ยนเมื่อไหร่ อย่างอื่นก็ไร้ความหมายจริง ๆจึงขอคารวะในความกล้าหาญของนายเสริมเกียรติ น้อยคนนักจะกล้าพูดความจริงในยุคนี้ ต่อให้โก่งคอร้องเพลงชาติ 8 โมงเช้า 6 โมงเย็น โชว์ทีวีทั้งปี
หากความเป็นธรรมไม่มี สันติสุขก็ไม่เกิด หรอกนอกจากหลอกตัวเองไปวัน ๆครม.ล่าสุด มีมติเด้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นรองปลัดยุติธรรม ก็เพราะ ทำคดี ทีพีไอบริจาคเงิน 258 ล้านให้ ปชป. ตรงไปตรงมามากไป เลยเป็นพิษอีกเรื่อง ครม.อนุมัติเช่ารถเมล์ 4,000 คัน 6.3 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วน ภูมิใจไทย ก็ถอยเรื่องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญแล้ว เค้าสมผลประโยชน์แล้ว ที่เสีย “ค่าโง่” ดูปาหี่ ก็คนไทยตาดำ ๆ นี่ล่ะแล้ว ป.ป.ช.ก็มีมติ เชือด สมัคร สุนทรเวช และ นพดล ปัทมะ ในคดี ปราสาทพระวิหาร แค่ 2 คน จากจำเลย 28 คน ที่เหลือปล่อยผีหมด พอดีเนื้อที่หมด เอาไว้วันหลังเถอะ.
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาฯมูลนิธิแพทย์ชนบท แฉเอง งบ 3 หมื่นล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง มีการบีบซื้อเครื่องฆ่าเชื้อยูวี-แฟน ชนิดแพงหูดับจาก 6,000 เป็น 4 หมื่นบาทเครื่องช่วยหายใจจาก 5 แสนเป็น 1.2 ล้าน แฟลตพยาบาลจาก 6 ล้านเป็น 9.6 ล้าน ปล้นกลางแดด เลยนะทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง (กินไม่พอเพียง) ยังไม่ทันจางหาย เรื่องนี้ก็โฉ่อีก ถึงนายกฯ จะสั่งฟันเด็ดขาด แต่ก็คงงั้น ๆ
เหมือนโครงการแรก มีแค่ระดับส.ก.กับเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ๆ รับกรรมไปตัวใหญ่ ๆ ยังลอยหน้าลอยตา ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น ส.ว.รสนา โตสิ ตระกูล ที่เคยสร้างชื่อจับทุจริตซื้อยา 1,800 ล้านยุค ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ แล้วมี รักเกียรติ สุขธนะ รมต. ติดคุก เพราะกรณีนี้ จะว่าไงจะออกโรงอีกครั้งมั้ยเพราะยุคนี้มี 2 มาตรฐาน
และ เลือกปฏิบัติแบบเปิดเผยอีกด้วย เหมือน กฎหมาย 2 มาตรฐาน หลังยุค คมช.ลากรถถังออกมายึดอำนาจ แล้วตั้ง องค์กรอิสระต่าง ๆ ขึ้นมาฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามรู้จักในนาม ตุลาการภิวัฒน์ นี่ล่ะทั้ง ๆ ที่คำนี้ ไม่มีบัญญัติใน พจนานุกรม เลย แต่กลับเป็นเครื่องมือทรงพลัง มีทั้งการใช้กฎหมายย้อนหลัง การตีความแบบกว้าง แบบแคบ
แล้วแต่จำเลยเป็นใคร สำนวนอ่อน หรือแก่ ก็ได้ความขัดแย้งของ คตส. และ อัยการสูงสุด (อสส.) ในคดีทุจริตกล้ายาง ที่ ศาลฎีกาฯนักการเมือง เพิ่งสั่งยกฟ้อง ไปนั้น น่าสนใจมาก ใครก็รู้ว่า คตส.ใหญ่มาก แต่ อสส. ก็กล้าหือ ไม่ยอมฟ้องคดีกล้ายางตอบสนองคดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัยไปวันพุธ อสส.ก็เห็น
ไม่ควรฟ้อง คตส. ต้องจ้างทนายฟ้องเองหมดล่าสุด นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ ผู้ตรวจราชการอัยการ ไปพูดในงานสัมมนา มีคนฟังมากมาย ว่า “สังคมมันเพี้ยน เพราะบางองค์กรทำเกินหน้าที่ จะให้เขาสั่งคดีตามที่ตัวเองต้องการออกมาให้ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ทุจริต ระบบมันเสีย สังคมวุ่นวายวันนี้ เพราะสั่งคดีถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ เราพยายามตระหนักที่สุดไม่ก้าวล่วงองค์กรอื่นแต่ถูกองค์กรอื่นมาพูดเสีย ๆ หาย ๆ วิพากษ์วิจารณ์ให้ข่าว
พูดภาษาชาวบ้านคือ ขี้แพ้ชวนตี ผมไม่ชอบ”น่าจะเป็นครั้งแรก ๆ มั้ง ที่คนในวงการยุติธรรมออกมาพูดถึงผู้คนในแวด วงเกี่ยวพันว่า เพี้ยน สังคมวุ่นวาย ทุกวันนี้ เพราะ ระบบมันเสีย นั่นสินะ ที่พึ่งสุดท้าย เพี้ยนเมื่อไหร่ อย่างอื่นก็ไร้ความหมายจริง ๆจึงขอคารวะในความกล้าหาญของนายเสริมเกียรติ น้อยคนนักจะกล้าพูดความจริงในยุคนี้ ต่อให้โก่งคอร้องเพลงชาติ 8 โมงเช้า 6 โมงเย็น โชว์ทีวีทั้งปี
หากความเป็นธรรมไม่มี สันติสุขก็ไม่เกิด หรอกนอกจากหลอกตัวเองไปวัน ๆครม.ล่าสุด มีมติเด้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นรองปลัดยุติธรรม ก็เพราะ ทำคดี ทีพีไอบริจาคเงิน 258 ล้านให้ ปชป. ตรงไปตรงมามากไป เลยเป็นพิษอีกเรื่อง ครม.อนุมัติเช่ารถเมล์ 4,000 คัน 6.3 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วน ภูมิใจไทย ก็ถอยเรื่องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญแล้ว เค้าสมผลประโยชน์แล้ว ที่เสีย “ค่าโง่” ดูปาหี่ ก็คนไทยตาดำ ๆ นี่ล่ะแล้ว ป.ป.ช.ก็มีมติ เชือด สมัคร สุนทรเวช และ นพดล ปัทมะ ในคดี ปราสาทพระวิหาร แค่ 2 คน จากจำเลย 28 คน ที่เหลือปล่อยผีหมด พอดีเนื้อที่หมด เอาไว้วันหลังเถอะ.
วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552
ศาลฯจำคุก 2 ปี วราเทพ-สมใจนึก-ชัยวัฒน์ รอลงอาญาคดีหวยบนดิน
ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษนายวราเทพ รัตนากร อดีตรมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล และนายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เนื่องจากมีความผิดจากการออกโครงการสลากพิเศษรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว(หวยบนดิน)
โดยศาลฯ สั่งจำคุกนายวราเทพ 2 ปี ปรับ 20,000 บาท, สั่งจำคุกนายสมใจนึก 2 ปี ปรับ 10,000 บาท และสั่งจำคุกนายชัยวัฒน์ 2 ปี ปรับ 10,000 บาท อย่างไรก็ดี จำเลยทั้งหมดไม่เคยกระทำความผิดจึงให้รอลงอาญาไว้คนละ 2 ปี
ศาลฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยทั้ง 3 คน ต่างมีหน้าที่กำกับดูแลงานสำนักงานสลากฯ และจำเป็นจะต้องรู้ชัดเจนถึงขอบเขตของกฎหมาย แต่กลับจงใจที่จะดำเนินการนอกเหนือจากกรอบวัตถุประสงค์และเจตนารมย์ของ พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมที่แนะนำให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับดังกล่าวก่อนที่จะออกโครงการหวยบนดิน
ขณะที่จำเลยคนอื่นนั้นศาลมีคำสั่งยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าไม่มีเจตนาที่จะร่วมกระทำความผิด เช่น กรณีของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นการลงมติอนุมัติไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยไม่มีเวลาศึกษารายละเอียดเนื่องจากมีการส่งเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ขณะที่กรรมการคนอื่นในบอร์ดกองสลากฯ เป็นเพียงตัวแทนของแต่ละหน่วยงาน ดังนั้นจึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีส่วนรับรู้ในรายละเอียด
โดยศาลฯ สั่งจำคุกนายวราเทพ 2 ปี ปรับ 20,000 บาท, สั่งจำคุกนายสมใจนึก 2 ปี ปรับ 10,000 บาท และสั่งจำคุกนายชัยวัฒน์ 2 ปี ปรับ 10,000 บาท อย่างไรก็ดี จำเลยทั้งหมดไม่เคยกระทำความผิดจึงให้รอลงอาญาไว้คนละ 2 ปี
ศาลฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยทั้ง 3 คน ต่างมีหน้าที่กำกับดูแลงานสำนักงานสลากฯ และจำเป็นจะต้องรู้ชัดเจนถึงขอบเขตของกฎหมาย แต่กลับจงใจที่จะดำเนินการนอกเหนือจากกรอบวัตถุประสงค์และเจตนารมย์ของ พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมที่แนะนำให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับดังกล่าวก่อนที่จะออกโครงการหวยบนดิน
ขณะที่จำเลยคนอื่นนั้นศาลมีคำสั่งยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าไม่มีเจตนาที่จะร่วมกระทำความผิด เช่น กรณีของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นการลงมติอนุมัติไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยไม่มีเวลาศึกษารายละเอียดเนื่องจากมีการส่งเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ขณะที่กรรมการคนอื่นในบอร์ดกองสลากฯ เป็นเพียงตัวแทนของแต่ละหน่วยงาน ดังนั้นจึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีส่วนรับรู้ในรายละเอียด
ฉีกหน้า อาเซียน
เพราะวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน แสดงแล้วว่า ไม่สนใจเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แม้ว่าไทยจะเป็นคนสนับสนุนให้กัมพูชาได้เข้ามาเป็นประเทศสมาชิกก็ตามนี่คือการตบหน้ากันตรงๆ อุตส่าห์ปีนป่ายขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐบาลได้สมดังที่ปรารถนา แต่ระยะเวลาเพียง 8-9 เดือน กลับเจอแต่ปัญหาสารพันรุมเร้าไปหมดวันนี้แม้สีหน้าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะยังเก็บอาการไว้ได้ เพราะถือเป็นหนึ่งในบรรดาแถวหน้านักการเมืองของไทยที่ไม่ธรรมดา ชาติตระกูลดี การศึกษาดี มีดีกรีระดับออกซ์ฟอร์ดมาเป็นแบคกราวด์ให้
จนทำให้ในภาพรวมนายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีภาพลักษณ์ภายนอกดูดีการเก็บอาการไว้ภายใต้สีหน้า จึงยังสามารถทำได้ดี ยังสามารถยิ้มได้แม้วันนี้จะรู้แล้วว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ไขว่คว้าทุกวิถีทางจนได้มานั้น ถือเป็น “ทุกข์ลาภ” ขนานแท้ยิ่งปัญหาหนักที่สุดในเวลานี้ ทั้งท้าทายความสามารถในการบริหารประเทศ ท้าทายภาพลักษณ์ ท้าทายการยอมรับจากบรรดาประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก ก็คือ กรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีปมปัญหามาจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณปราสาทเขาพระวิหารวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน ผู้นำประเทศกัมพูชา แสดงออกอย่างชัดเจน ถึงการไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งรับตำแหน่งเป็นประธานกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในเวลานี้ด้วย
การขีดเส้นตายสารพัดนั้น อาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นการพยายามแสดงท่าทีของกำลังทางทหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่บรรดาผู้นำทหารผู้นำเหล่าทัพต่างๆ ของไทยจะต้องรับผิดชอบในการรับมือตอบโต้แต่การที่ประกาศชัดเจนว่า จะไม่พูดกับนายอภิสิทธิ์ที่สำคัญพร้อมที่จะฉีกแผนที่ซึ่งนายอภิสิทธิ์ใช้ ต่อหน้าต่อตาโดยไม่ยี่หระนั้นเป็นการประกาศชัดทางการทูตระหว่างประเทศแล้วว่า หมดความเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้นแล้วซ้ำยังประกาศชัดเจนว่า อาจจะไม่มาประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ หากรัฐบาลไทยยังพูดไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่เขาพระวิหารนี่คือ การดิสเครดิตภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์โดยตรงเพราะต้องไม่ลืมว่า ประเทศกัมพูชานั้นเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียนหลังสุด โดยการสนับสนุนผลักดันของประเทศไทยนี่เองแล้วการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ ถือเป็นแมทช์แก้ตัว เป็นแมทช์เรียกภาพลักษณ์กลับคืน หลัง
จากที่การประชุมล่มจนบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ต้องรีบเดินทางหนีออกจากพื้นที่การประชุมที่จังหวัดชลบุรีมาแล้วครั้งนั้นประเทศไทย และนายอภิสิทธิ์ เสียหน้าเสียเครดิตเป็นอย่างมากเพราะประเมินไว้ว่าจะไม่มีปัญหา รัฐบาลคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่มือแน่ แต่กลับคุมกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ที่ยังคงมีบารมีการเมืองสูงมาก แม้จะถูกตัดสินให้เว้นวรรคการเมือง 5 ปี ก็ตามเกมให้คนมาก่อกวนและปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง จนเหตุการณ์บานปลาย ทำให้การประชุมสุดยอดอาเซียนล่ม ก็ยังเกิดขึ้นได้และวันนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่นายอภิสิทธิ์เข้าไปล้วงลูกควบคุม ยังไม่ได้มีการอะไรเพื่อเอาผิดกับกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเลยแม้แต่น้อยซึ่งจะต้องรวมไปถึงนายเนวิน ที่มีหลักฐานภาพถ่ายชัดเจนในการนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปดูแลถึงที่เกิดเหตุ และยืนชี้ไม้ชี้มืออย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง จนทำให้การประชุมระดับประเทศที่ไทยเป็นเจ้าภาพต้องพังลงอย่างไม่เป็นท่า
วันนี้พอรัฐบาลจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียนใหม่ เพื่อเรียกหน้าตาของการเป็นเจ้าภาพกลับคืนมาให้ได้ กลับมาเจอปัญหากับประเทศกัมพูชาเข้าให้อีกเพราะวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน แสดงแล้วว่า ไม่สนใจเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แม้ว่าไทยจะเป็นคนสนับสนุนให้กัมพูชาได้เข้ามาเป็นประเทศสมาชิกก็ตามนี่คือการตบหน้ากันตรงๆอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจุดระเบิดคำพูดแข็งกร้าวของสมเด็จฯฮุน เซน และการแสดงออกว่า ไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ อีกต่อไปแล้วก็เป็นเพราะความผิดพลาดของรัฐบาลไทยเอง 2 ประการด้วยกันทั้งการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และการปล่อยให้ม็อบพันธมิตร ที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ละเอียดอ่อน และอ่อนไหวระหว่างประเทศเพียงเพราะหนี้บุญคุณเท่านั้นหรือ ที่นายอภิสิทธิ์ คิดได้ เรื่องบานปลายมาจนถึงวันนี้
แทนที่จะหาทางแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศกลับยังใช้กลไกเดิมๆ ในการโยนบาป โดยให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นชุดที่แต่งตั้งขึ้นมาโดย คมช. และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ออกมาชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กรณีแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190
จนทำให้สังคมงงไปหมดว่า ตกลงหน้าที่ของ ป.ป.ช. คืออะไรกันแน่???เพราะออกมาในจังหวะนี้พอดี ซึ่ง นายกล้านรงค์ จันทิก ก็ยังต้องพูดออกตัวเลยว่า ไม่กังวลว่ามติของ ป.ป.ช.ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพราะถือว่าทำตามกฎหมายย่อมสามารถแปลได้ว่า ป.ป.ช.เองก็รู้ว่า ในจังหวะนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวและสุ่มเสี่ยงแต่ก็ยังเล่นเกมรับลูกสอดคล้องทางการเมืองให้กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นายกล้านรงค์ ยังอ่านคำแถลงด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ในการได้เสียดสีนายสมัคร ทั้งๆที่วันนี้นายสมัครพ้นจากเวทีการเมืองไปแล้วก็ตาม รวมทั้งอยู่ในระหว่างพักรักษาตัวด้วยจิตใจและท่าทีที่แสดงออกนั้น ต้องยอมรับว่าสะท้อนภาพให้สังคมได้เห็นอย่างชัดเจนความทุ่มเททำงานเช่นนี้ น่าจะให้ ป.ป.ช. ย้อนกลับไปลองสอบ พฤติกรรมในอดีตเกี่ยวกับการมีสัมพันธ์พิเศษกับเมียลูกน้องของผู้มีตำแหน่งหน้าที่ราชการในสังคมของใคร
บางคนเหลือเกิน ที่แทบทุกเช้าเป็นต้องร้อง “ขอกินนมสักจอก”อยู่เรื่อยๆ ... คงจะเป็นคดีที่สนุกพิลึกแต่ก็คงได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่คดีทุจริต จึงไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช. แม้ว่าจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ควรจะรู้ไว้บ้างก็ตามแต่เมื่อตอนนี้ทั้ง ป.ป.ช. และรัฐบาล รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่างเพราะมามะรุมมะตุ้มเรื่องพื้นที่เขาพระวิหาร ด้วยเกมการเมืองในประเทศ ก็คงต้องดูว่าสุดท้ายจะแก้เกมได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ไทยต้องเสียเครดิตไปมากกว่านี้เพราะแม้แต่สมเด็จฯฮุน เซน ยังพูดชัดว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเรื่องการเมืองภายในของไทยนั่นเองงามหน้ามั้ยล่ะ
การระบุว่าอาจจะไม่มาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในไทยของสมเด็จฯฮุน เซน กำลังทำให้เครดิตของไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ และบทบาทประธานกลุ่มประเทศอาเซียน สั่นคลอนอย่างรุนแรงความผิดพลาดของรัฐบาลไทย 2 ประการ
1. คือ การที่นายอภิสิทธิ์ ตกเป็นหนี้บุญคุณของกลุ่มพันธมิตรฯ ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบเร่งรัดตัดทาง จึงจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่า นายกษิต เคยกล่าววาจาพาดพิงถึงสมเด็จฮุน เซน เอาไว้เช่นไรดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นมา ตามหน้าที่แล้วกระทรวงต่างประเทศจะต้องมีบทบาทสูงในการเจรจาในการประนีประนอม และในการเดินเกมสันถวไมตรีแต่กระทรวงต่างประเทศทำไม่ได้ เพราะนายกษิตเข้าหน้าสมเด็จฯฮุน เซน ไม่ติด เนื่องมาจากคำพูดที่ไม่มีวุฒิภาวะในอดีตนั้นเองเหมือนๆ กับคำพูด “อาหารอร่อย สนุกดี ดนตรีเพราะ” ที่พูดออกมาแบบไร้วุฒิภาวะ เพราะเป็นเรื่องความเสียหายของประเทศชาติ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศป่นปี้หมด แต่กลับพูดออกมาหน้าตาเฉยจึงทำให้กลายเป็น “วลีบาป” ที่คงจะต้องถูกล้อเลียนไปตลอดชีวิตแน่ความผิดพลาดของนายอภิสิทธิ์ ในการตั้งนายกษิต จึงถือว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์สำหรับปัญหาไทย-กัมพูชาในขณะนี้
2. คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาม็อบพันธมิตรฯที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ที่ยกพลไปสร้างภาพความรุนแรง ความแตกแยก ที่บริเวณพื้นที่เขาพระวิหาร จนกลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลกชนิดที่แม้แต่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยังต้องกระโดดหนี อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย เป็นการดำเนินการไปเองของนายวีระสุดท้ายรัฐบาล และผู้นำทางทหาร จะเป็นเพราะติดค้างหนี้บุญคุณกลุ่มพันธมิตรฯหรืออะไรก็ตาม แต่กลับแก้ปัญหาซึ่งเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเหลือเชื่อ!!!ว่ารัฐบาลจะกระทำการเช่นนี้ จะเอาใจกลุ่มม็อบมีเส้นขนาดนี้คือให้กลุ่มม็อบของนายวีระ ขึ้นไปประกาศเยิ้วๆ บนพื้นที่พิพาททั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวในความรู้สึกของกัมพูชานั้นยังคิดว่าเป็นพื้นที่ของตนเองอยู่และไทยก็ยังเคลียร์ปัญหาในเรื่องนี้ไม่จบการให้กลุ่มม็อบของนายวีระขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ จึงทำให้ทางกัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก ดังนั้นหลังจากนั้น ทางสมเด็จฯฮุน เซน จึงได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้นมาในฉับพลัน
จนทำให้ในภาพรวมนายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีภาพลักษณ์ภายนอกดูดีการเก็บอาการไว้ภายใต้สีหน้า จึงยังสามารถทำได้ดี ยังสามารถยิ้มได้แม้วันนี้จะรู้แล้วว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ไขว่คว้าทุกวิถีทางจนได้มานั้น ถือเป็น “ทุกข์ลาภ” ขนานแท้ยิ่งปัญหาหนักที่สุดในเวลานี้ ทั้งท้าทายความสามารถในการบริหารประเทศ ท้าทายภาพลักษณ์ ท้าทายการยอมรับจากบรรดาประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก ก็คือ กรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีปมปัญหามาจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณปราสาทเขาพระวิหารวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน ผู้นำประเทศกัมพูชา แสดงออกอย่างชัดเจน ถึงการไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งรับตำแหน่งเป็นประธานกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในเวลานี้ด้วย
การขีดเส้นตายสารพัดนั้น อาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นการพยายามแสดงท่าทีของกำลังทางทหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่บรรดาผู้นำทหารผู้นำเหล่าทัพต่างๆ ของไทยจะต้องรับผิดชอบในการรับมือตอบโต้แต่การที่ประกาศชัดเจนว่า จะไม่พูดกับนายอภิสิทธิ์ที่สำคัญพร้อมที่จะฉีกแผนที่ซึ่งนายอภิสิทธิ์ใช้ ต่อหน้าต่อตาโดยไม่ยี่หระนั้นเป็นการประกาศชัดทางการทูตระหว่างประเทศแล้วว่า หมดความเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้นแล้วซ้ำยังประกาศชัดเจนว่า อาจจะไม่มาประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ หากรัฐบาลไทยยังพูดไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่เขาพระวิหารนี่คือ การดิสเครดิตภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์โดยตรงเพราะต้องไม่ลืมว่า ประเทศกัมพูชานั้นเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียนหลังสุด โดยการสนับสนุนผลักดันของประเทศไทยนี่เองแล้วการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ ถือเป็นแมทช์แก้ตัว เป็นแมทช์เรียกภาพลักษณ์กลับคืน หลัง
จากที่การประชุมล่มจนบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ต้องรีบเดินทางหนีออกจากพื้นที่การประชุมที่จังหวัดชลบุรีมาแล้วครั้งนั้นประเทศไทย และนายอภิสิทธิ์ เสียหน้าเสียเครดิตเป็นอย่างมากเพราะประเมินไว้ว่าจะไม่มีปัญหา รัฐบาลคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่มือแน่ แต่กลับคุมกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ที่ยังคงมีบารมีการเมืองสูงมาก แม้จะถูกตัดสินให้เว้นวรรคการเมือง 5 ปี ก็ตามเกมให้คนมาก่อกวนและปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง จนเหตุการณ์บานปลาย ทำให้การประชุมสุดยอดอาเซียนล่ม ก็ยังเกิดขึ้นได้และวันนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่นายอภิสิทธิ์เข้าไปล้วงลูกควบคุม ยังไม่ได้มีการอะไรเพื่อเอาผิดกับกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเลยแม้แต่น้อยซึ่งจะต้องรวมไปถึงนายเนวิน ที่มีหลักฐานภาพถ่ายชัดเจนในการนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปดูแลถึงที่เกิดเหตุ และยืนชี้ไม้ชี้มืออย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง จนทำให้การประชุมระดับประเทศที่ไทยเป็นเจ้าภาพต้องพังลงอย่างไม่เป็นท่า
วันนี้พอรัฐบาลจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียนใหม่ เพื่อเรียกหน้าตาของการเป็นเจ้าภาพกลับคืนมาให้ได้ กลับมาเจอปัญหากับประเทศกัมพูชาเข้าให้อีกเพราะวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน แสดงแล้วว่า ไม่สนใจเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แม้ว่าไทยจะเป็นคนสนับสนุนให้กัมพูชาได้เข้ามาเป็นประเทศสมาชิกก็ตามนี่คือการตบหน้ากันตรงๆอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจุดระเบิดคำพูดแข็งกร้าวของสมเด็จฯฮุน เซน และการแสดงออกว่า ไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ อีกต่อไปแล้วก็เป็นเพราะความผิดพลาดของรัฐบาลไทยเอง 2 ประการด้วยกันทั้งการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และการปล่อยให้ม็อบพันธมิตร ที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ละเอียดอ่อน และอ่อนไหวระหว่างประเทศเพียงเพราะหนี้บุญคุณเท่านั้นหรือ ที่นายอภิสิทธิ์ คิดได้ เรื่องบานปลายมาจนถึงวันนี้
แทนที่จะหาทางแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศกลับยังใช้กลไกเดิมๆ ในการโยนบาป โดยให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นชุดที่แต่งตั้งขึ้นมาโดย คมช. และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ออกมาชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กรณีแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190
จนทำให้สังคมงงไปหมดว่า ตกลงหน้าที่ของ ป.ป.ช. คืออะไรกันแน่???เพราะออกมาในจังหวะนี้พอดี ซึ่ง นายกล้านรงค์ จันทิก ก็ยังต้องพูดออกตัวเลยว่า ไม่กังวลว่ามติของ ป.ป.ช.ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพราะถือว่าทำตามกฎหมายย่อมสามารถแปลได้ว่า ป.ป.ช.เองก็รู้ว่า ในจังหวะนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวและสุ่มเสี่ยงแต่ก็ยังเล่นเกมรับลูกสอดคล้องทางการเมืองให้กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นายกล้านรงค์ ยังอ่านคำแถลงด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ในการได้เสียดสีนายสมัคร ทั้งๆที่วันนี้นายสมัครพ้นจากเวทีการเมืองไปแล้วก็ตาม รวมทั้งอยู่ในระหว่างพักรักษาตัวด้วยจิตใจและท่าทีที่แสดงออกนั้น ต้องยอมรับว่าสะท้อนภาพให้สังคมได้เห็นอย่างชัดเจนความทุ่มเททำงานเช่นนี้ น่าจะให้ ป.ป.ช. ย้อนกลับไปลองสอบ พฤติกรรมในอดีตเกี่ยวกับการมีสัมพันธ์พิเศษกับเมียลูกน้องของผู้มีตำแหน่งหน้าที่ราชการในสังคมของใคร
บางคนเหลือเกิน ที่แทบทุกเช้าเป็นต้องร้อง “ขอกินนมสักจอก”อยู่เรื่อยๆ ... คงจะเป็นคดีที่สนุกพิลึกแต่ก็คงได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่คดีทุจริต จึงไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช. แม้ว่าจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ควรจะรู้ไว้บ้างก็ตามแต่เมื่อตอนนี้ทั้ง ป.ป.ช. และรัฐบาล รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่างเพราะมามะรุมมะตุ้มเรื่องพื้นที่เขาพระวิหาร ด้วยเกมการเมืองในประเทศ ก็คงต้องดูว่าสุดท้ายจะแก้เกมได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ไทยต้องเสียเครดิตไปมากกว่านี้เพราะแม้แต่สมเด็จฯฮุน เซน ยังพูดชัดว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเรื่องการเมืองภายในของไทยนั่นเองงามหน้ามั้ยล่ะ
การระบุว่าอาจจะไม่มาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในไทยของสมเด็จฯฮุน เซน กำลังทำให้เครดิตของไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ และบทบาทประธานกลุ่มประเทศอาเซียน สั่นคลอนอย่างรุนแรงความผิดพลาดของรัฐบาลไทย 2 ประการ
1. คือ การที่นายอภิสิทธิ์ ตกเป็นหนี้บุญคุณของกลุ่มพันธมิตรฯ ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบเร่งรัดตัดทาง จึงจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่า นายกษิต เคยกล่าววาจาพาดพิงถึงสมเด็จฮุน เซน เอาไว้เช่นไรดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นมา ตามหน้าที่แล้วกระทรวงต่างประเทศจะต้องมีบทบาทสูงในการเจรจาในการประนีประนอม และในการเดินเกมสันถวไมตรีแต่กระทรวงต่างประเทศทำไม่ได้ เพราะนายกษิตเข้าหน้าสมเด็จฯฮุน เซน ไม่ติด เนื่องมาจากคำพูดที่ไม่มีวุฒิภาวะในอดีตนั้นเองเหมือนๆ กับคำพูด “อาหารอร่อย สนุกดี ดนตรีเพราะ” ที่พูดออกมาแบบไร้วุฒิภาวะ เพราะเป็นเรื่องความเสียหายของประเทศชาติ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศป่นปี้หมด แต่กลับพูดออกมาหน้าตาเฉยจึงทำให้กลายเป็น “วลีบาป” ที่คงจะต้องถูกล้อเลียนไปตลอดชีวิตแน่ความผิดพลาดของนายอภิสิทธิ์ ในการตั้งนายกษิต จึงถือว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์สำหรับปัญหาไทย-กัมพูชาในขณะนี้
2. คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาม็อบพันธมิตรฯที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ที่ยกพลไปสร้างภาพความรุนแรง ความแตกแยก ที่บริเวณพื้นที่เขาพระวิหาร จนกลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลกชนิดที่แม้แต่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยังต้องกระโดดหนี อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย เป็นการดำเนินการไปเองของนายวีระสุดท้ายรัฐบาล และผู้นำทางทหาร จะเป็นเพราะติดค้างหนี้บุญคุณกลุ่มพันธมิตรฯหรืออะไรก็ตาม แต่กลับแก้ปัญหาซึ่งเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเหลือเชื่อ!!!ว่ารัฐบาลจะกระทำการเช่นนี้ จะเอาใจกลุ่มม็อบมีเส้นขนาดนี้คือให้กลุ่มม็อบของนายวีระ ขึ้นไปประกาศเยิ้วๆ บนพื้นที่พิพาททั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวในความรู้สึกของกัมพูชานั้นยังคิดว่าเป็นพื้นที่ของตนเองอยู่และไทยก็ยังเคลียร์ปัญหาในเรื่องนี้ไม่จบการให้กลุ่มม็อบของนายวีระขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ จึงทำให้ทางกัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก ดังนั้นหลังจากนั้น ทางสมเด็จฯฮุน เซน จึงได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้นมาในฉับพลัน
'อดิศัย'ขอเลื่อนฟังคำตัดสินหวยบนดิน อ้างป่วยรักษาอยู่สหรัฐ 'เนวิน'ลั่นไปฟังคำตัดสินแน่นอน
"อดิศัย" ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาคดีหวยบนดิน อ้างป่วยบริเวณกระดูกสันหลัง รักษาตัวอยู่สหรัฐ "เนวิน" ประกาศลั่นพร้อมเดินทางไปรับฟังคำตัดสินแน่นอน
"เนวิน"พร้อมฟังคดีหวยบนดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดิน ที่ คตส.โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว) จำเลยที่ 1 , อดีตคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นจำเลยที่ 31-47 นั้น
มีรายงานว่า นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 21 ได้ยื่นคำร้องต่อองค์คณะผู้พิพากษาขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน โดยอ้างเหตุผลป่วยบริเวณกระดูกสันหลังและอยู่ระหว่างรักษาตัวที่สหรัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ศาลอาจมีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไป
ข่าวแจ้งว่านายสบโชค สุขารมณ์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน ยังคงกำหนดนัดประชุมองค์คณะคดีหวยบนดิน 9 คน เพื่อลงมติและออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดินในช่วงเช้าวันที่ 30 กันยายน ตามเดิม เพราะกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องทำคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นและพร้อมอ่านคำพิพากษาในวันที่ศาลนัดโจทก์และจำเลยมาฟังคำพิพากษา ประกอบกับในวันที่ 1 ตุลาคม นายสบโชค ต้องเลื่อนตำแหน่งไปเป็นประธานศาลฎีกา และนายพลรัตน์ ประทุมทาน ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา ต้องโยกย้ายไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสประจำสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ทำให้ต้องลงมติคำพิพากษาให้เสร็จ
ด้านนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน กล่าวว่า พร้อมที่จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาอย่างแน่นอน
อัยการแจงปมเป็นพยาน2คดี
ด้านสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงระบุว่า คดีทุจริตกล้ายางที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีข้าราชการระดับสูงของสำนักงานอัยการสูงสุดไปเบิกความนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีหมายศาลเรียกตัวนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยานตามที่มีการกำหนดประเด็นในการพิจารณาคดีคือ ข้อที่ไม่สมบูรณ์ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งไปที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐทรัพย์สิน(คตส.) สำหรับคดีหวยบนดิน ศาลฎีกาฯได้มีหมายศาลเรียกตัวนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รอง อสส. ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยาน ตามประเด็นที่ศาลกำหนด โดยการเบิกความนั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ต้องรับรองเอกสารซึ่งอยู่ในสำนวนการไต่สวนอยู่แล้ว
"การไปเป็นพยานเป็นไปตามหมายเรียกของศาล ซึ่งทุกคนมีหน้าที่ต้องไปเป็นพยานตามที่กฎหมายกำหนดและถือเป็นหน้าที่ของผู้รับหมายศาลที่จะต้องไปเบิกความ เพื่อให้ศาลได้ความจริงในการพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความ "แถลงการณ์ระบุ และว่า คดีทุจริตกล้ายางและคดีหวยบนดิน สำนักงานอัยการสูงสุดยังมิได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดย อสส. ยังมิได้พิจารณาสำนวน ขั้นตอน ณ ขณะนั้น คณะทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนแล้วพบข้อที่ไม่สมบูรณ์ จึงได้ดำเนินการแจ้งให้ คตส.ทราบข้อที่ไม่สมบูรณ์เพื่อร่วมกันแก้ไขให้ได้ความครบถ้วนก่อนจะนำขึ้นเสนอ อสส.เพื่อพิจารณาสั่งคดี แต่ทั้งสองคดียังไม่ทันร่วมกันดำเนินการในข้อที่ไม่สมบูรณ์ คตส. ก็ดำเนินการนำคดีไปฟ้องเสียเองก่อน
"เนวิน"พร้อมฟังคดีหวยบนดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดิน ที่ คตส.โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว) จำเลยที่ 1 , อดีตคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นจำเลยที่ 31-47 นั้น
มีรายงานว่า นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 21 ได้ยื่นคำร้องต่อองค์คณะผู้พิพากษาขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน โดยอ้างเหตุผลป่วยบริเวณกระดูกสันหลังและอยู่ระหว่างรักษาตัวที่สหรัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ศาลอาจมีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไป
ข่าวแจ้งว่านายสบโชค สุขารมณ์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน ยังคงกำหนดนัดประชุมองค์คณะคดีหวยบนดิน 9 คน เพื่อลงมติและออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดินในช่วงเช้าวันที่ 30 กันยายน ตามเดิม เพราะกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องทำคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นและพร้อมอ่านคำพิพากษาในวันที่ศาลนัดโจทก์และจำเลยมาฟังคำพิพากษา ประกอบกับในวันที่ 1 ตุลาคม นายสบโชค ต้องเลื่อนตำแหน่งไปเป็นประธานศาลฎีกา และนายพลรัตน์ ประทุมทาน ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา ต้องโยกย้ายไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสประจำสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ทำให้ต้องลงมติคำพิพากษาให้เสร็จ
ด้านนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน กล่าวว่า พร้อมที่จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาอย่างแน่นอน
อัยการแจงปมเป็นพยาน2คดี
ด้านสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงระบุว่า คดีทุจริตกล้ายางที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีข้าราชการระดับสูงของสำนักงานอัยการสูงสุดไปเบิกความนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีหมายศาลเรียกตัวนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยานตามที่มีการกำหนดประเด็นในการพิจารณาคดีคือ ข้อที่ไม่สมบูรณ์ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งไปที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐทรัพย์สิน(คตส.) สำหรับคดีหวยบนดิน ศาลฎีกาฯได้มีหมายศาลเรียกตัวนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รอง อสส. ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยาน ตามประเด็นที่ศาลกำหนด โดยการเบิกความนั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ต้องรับรองเอกสารซึ่งอยู่ในสำนวนการไต่สวนอยู่แล้ว
"การไปเป็นพยานเป็นไปตามหมายเรียกของศาล ซึ่งทุกคนมีหน้าที่ต้องไปเป็นพยานตามที่กฎหมายกำหนดและถือเป็นหน้าที่ของผู้รับหมายศาลที่จะต้องไปเบิกความ เพื่อให้ศาลได้ความจริงในการพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความ "แถลงการณ์ระบุ และว่า คดีทุจริตกล้ายางและคดีหวยบนดิน สำนักงานอัยการสูงสุดยังมิได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดย อสส. ยังมิได้พิจารณาสำนวน ขั้นตอน ณ ขณะนั้น คณะทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนแล้วพบข้อที่ไม่สมบูรณ์ จึงได้ดำเนินการแจ้งให้ คตส.ทราบข้อที่ไม่สมบูรณ์เพื่อร่วมกันแก้ไขให้ได้ความครบถ้วนก่อนจะนำขึ้นเสนอ อสส.เพื่อพิจารณาสั่งคดี แต่ทั้งสองคดียังไม่ทันร่วมกันดำเนินการในข้อที่ไม่สมบูรณ์ คตส. ก็ดำเนินการนำคดีไปฟ้องเสียเองก่อน
จตุพรเผยพันธมิตรใช้ คลิปพัทยา'แบล็กเมล์'มาร์ค ม.7

ข่าวสด : เมื่อเวลา 13.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณจากสำนักนายกรัฐมนตรี 300 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ทีเอเอ็น ที่มีน.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นผอ.สถานี ว่า ขณะนี้ตนมีหลักฐานเป็นเอกสารชัดเจนหมดแล้วว่ารัฐบาลโยกงบประมาณในส่วนไหนไป และจะเตรียมเป็นข้อมูล เพื่อนำไปตั้งกระทู้ถามในวันที่ 1 ต.ค. ที่จะถึงนี้
เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว หากในรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนายสมัคร สุนทรเวช ให้เงินสนับสนุนพีเพิลแชแนล ก็อยู่ไม่ได้ แต่นี่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอาเงินงบประมาณที่กู้มา ไปให้กับเครือข่ายเอเอสทีวีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย อย่างนี้ชาวบ้านจะยอมได้อย่างไร และจำนวนเงินที่มากถึง 300 ล้านบาท เอาไปใช้อะไร หากเอาเงินจำนวนนี้มาเปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมได้ตั้ง 40 กว่าสถานี ดังนั้นจึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าเป็นการสมยอมรับใช้เขา
“ผมเองก็สงสัยว่าทำไมต้องยอมเป็นทาสเขาอย่างนี้ ทั้งเรื่องโยนงบประมาณ 300 ล้านบาท หรือการแต่งตั้งผบ.ตร. ก็ไปได้ยินมาว่า ที่ยอมเป็นทาสเขาขนาดนี้ ก็เพราะไปถูกเขาแอบถ่ายคลิปที่พัทยาแล้วถูกเอามาแบล็คเมล์ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหน้าตาดีๆ จะไปมีพฤติกรรมอย่างนี้ได้ เรียกได้ว่ากลับบ้านไปถูกเมียตีแน่นอน” นายจตุพร กล่าว
“ผมเองก็สงสัยว่าทำไมต้องยอมเป็นทาสเขาอย่างนี้ ทั้งเรื่องโยนงบประมาณ 300 ล้านบาท หรือการแต่งตั้งผบ.ตร. ก็ไปได้ยินมาว่า ที่ยอมเป็นทาสเขาขนาดนี้ ก็เพราะไปถูกเขาแอบถ่ายคลิปที่พัทยาแล้วถูกเอามาแบล็คเมล์ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหน้าตาดีๆ จะไปมีพฤติกรรมอย่างนี้ได้ เรียกได้ว่ากลับบ้านไปถูกเมียตีแน่นอน” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ยอมช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรฯ โดยพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการผบ.ตร. ที่ไปลดข้อกล่าวหาการยึดทำเนียบรัฐบาล จากเดิมที่เป็นการก่อการร้าย ก่อกบฎในราชอาณาจักร ที่มีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต เป็นแค่การบุกรุกสถานที่ราชการ มีความเสียหายแค่ 6 ล้านบาท โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น แต่กับคนเสื้อแดงที่ชุมนุมข้างทำเนียบโดนข้อกล่าวหาจำคุกไม่เกิน 7 ปี แต่ยึดทำเนียบโดนแค่ 3 ปี แล้วขอให้คอยดูต่อไปว่าสุดท้ายคงมีแค่โทษปรับ เพราะเขาช่วยกันกันทั้งหมด จึงอยากบอกพล.ต.อ.ธานี ไว้ว่าเรื่องอย่างนี้คนเสื้อแดงยอมไม่ได้แน่นอน และขอให้ระวังว่าจะติดคุกตอนแก่ เพราะไปนั่งประชุมร่วมกับพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง เพื่อคลี่คลายคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยไปพูดจาว่าจะอุ้มคนนั้นคนนี้ แต่สุดท้ายโดนบันทึกคำสนทนาเหล่านี้ไว้ และจะถูกดำเนินคดีแน่นอน
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะภารกิจของสำนักนายกฯไม่มีหน้าที่สนับสนุนสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้านายจตุพร มีพยานหลักฐานขอให้เปิดเผยออกมา ตนพร้อมให้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการกุเรื่องเท็จ โกหกสร้างความเสียหายให้แก่สำนักนายกและตน ซึ่งพบว่าได้มีการขยายผลในวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งถ้านายจตุพร ไม่มีหลักฐานมายืนยัน เท่ากับว่าเป็นการโกหก ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยออกมายอมรับเสียว่าโกหกเพื่อหวังผลทางการเมือง
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ยังกล่าวถึงภาพเหตุการณ์กลุ่ม นปช. บุกเข้าไปในกระทรวงมหาดไทย และทุบรถนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกรณีที่กลุ่มนปช. ระบุว่านายกฯไม่ได้อยู่ในรถ ว่า ทางสำนักนายกฯ นำภาพเหตการณ์ดังกล่าวที่เห็นว่านายกฯนั่งอยู่ในรถ เผยแพร่ใน http://factreport.go.th/photo/2009-04-12/426 ซึ่งเป็นภาพที่มีช่างภาพหนังสือพิมพ์ถ่ายไว้ได้ แล้วนำมามอบให้กับนายกฯในภายหลัง ซึ่งภาพนี้เห็นชัดเจนว่านายกฯ อยู่ในรถตลอดเวลาที่กระทรวงมหาดไทย เพราะนักข่าวล่างภาพวิ่งถ่ายรูปตลอดเวลา ดังนั้นถือเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า นายจตุพร พูดนั้นไม่เป็นความจริง ถือเป็นความเท็จทั้งสิ้น ทั้งนี้จะส่งภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ไปให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสภา เพื่อตรวจสอบต่อไป
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552
ปฐมเหตุแห่งปัญหา
วันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆ พวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูป การเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ “เบี่ยงเบน”
ท่ามกลางความวิกฤติอันหนักหน่วงของชาติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย อันมีปฐมเหตุมาจากความต้องการ “ประชาธิปไตย” ตามกฎของทุนนิยมที่ครอบงำโลกคนไทยผู้รักชาติ ต่างคิดหามรรควิธีในการแก้ไขกันไปต่างๆ นานา แบบเดียวกับคนยุโรปก่อนการปฏิวัติเมื่อ 200 ปีก่อนแต่ด้วยอวิชาต่อกฎเกณฑ์ทุนนิยม ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งปัญหา ทำให้ผู้ไม่เข้าถึง ซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคทางการเมือง หลงเพียรไปด่าทอ “บุคคล” กันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว “ปัญหาหลักการ” ของขบวนเผด็จการต่างหาก ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องพังพินาศวันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆพวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูปการเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ“เบี่ยงเบน”ความสนใจของประชาชนที่เดือดร้อน อันเกิดจากระบอบเผด็จการอุบาทว์
เพื่อไม่ให้ประชาชนมองลึกลงไปถึงสมุทัยที่แท้แห่งปัญหาชาติตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการปกครองตามแนวทางระบอบเผด็จการตั้งแต่ พ.ศ.2475 จึงเห็นใครต่อใครต่างโยน ยาผีบอก แห่งการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาให้ประชาชนเป็นระยะๆเพื่อรักษา “การปกครองเผด็จการ” ที่สูบเลือดกินแรงประชาชนเอาไว้มาโดยตลอดด้วยเหตุนี้ พวกเผด็จการจึงโยน “การปฏิรูปทางการเมือง” ลงมาใส่ประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์
เพื่อลดการกดดันของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ “ทำนาอยู่บนหลังคน”แท้จริงแล้ว “การปฏิรูปการเมือง” (Political Reform)นั้นไม่มีในโลก เพราะ “การเมือง” เป็น Reality เช่นเดียวกับนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถไปปฏิรูปหรือปฏิวัติ เพราะเป็นนามธรรมมนุษย์ทำได้ก็แค่เพียงเปลี่ยนแปลง “การปกครอง”คือ เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่ถือครองจากคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำGovernment Reform คือ เปลี่ยนจากเวียง วัง คลัง นาเป็น กระทรวง ทบวง กรม และสถาปนาความเป็นรัฐแห่งชาติให้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อนเช่นเดียวกันคณะราษฎรก็ได้สร้าง “รูปการปกครอง”คือ “ระบบรัฐสภา” ให้เมื่อ พ.ศ.2475การต่อสู้กัน เองระหว่า่ง ผู้ปกครอง
ด้วยกันเองแบบทนุสามานย์ออกไป ทุนจัญไรกลับมา” โดยใช้สีเหลือง-แดงเป็นสัญลักษณ์ได้สร้างความวินาศให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างอเนกอนันต์
ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อพวกเผด็จการประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมด้วยการกำเนิดขึ้นของโรงสีไฟของชาวอเมริกันในปี 2401 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง”หลังจากที่ญี่ปุ่นถูกมหาอำนาจ อเมริกา อังกฤษเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย บีบให้เปิดประเทศ
และใช้สนธิสัญญาที่ได้เปรียบเข้ารุกรานทางเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างรุนแรงทำให้ญี่ปุ่นปรับตัวไม่ทัน เกิดวิกฤติข้าวยากหมากแพงรัฐบาลศักดินาขาดเงินตราในการบริหาร จึงจำต้องเก็บภาษีมหาโหดเมื่อชาวนาทั่วประเทศเดือดร้อนจึง “ลุกขึ้นสู้” (เกิดวิกฤติที่สุดในโลกของญี่ปุ่น) พวกเขาบุกเข้าไปทุบทำลายบ้านพักและทรัพย์สินของพวกขุนนางเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยสูง มีการเผาโฉนดที่ดินทำกินและสัญญากู้ยืมมหาโหดของพวกโชกุนเจ้าของที่ดินและเรียกร้องให้มีการ“ปฏิรูปที่ดิน” และ “ยกเลิกหนี้สิน” เฉลี่ยทรัพย์ให้เกิดความเป็นธรรมเรียกร้ององค์พระจักรพรรดิให้ขับไล่“บากุฝุ” รัฐบาลศักดินาป่าเถื่อนออกไปเพียงปีเดียวเกิดการจลาจลขนาดใหญ่ถึง43 ครั้ง
การไม่ยอมรับการปกครอง ของประชาชนขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางส่งผลทำให้ผู้ปกครองเกิดการต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งอำนาจการปกครอง ระหว่าง “นายทุนผูกขาดใหม่” กับ “อำนาจชนชั้นสูงเก่า” ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์พ.ศ.2406 รัฐบาลศักดินาตระกูลโชกุนโตกูกาวา ชื่อ อิเอโมฉิพยายามแก้ไขวิกฤติด้วยการประกาศดำเนินการปกครองแบบใหม่ (ปฏิรูปการเมือง) ด้วยการทำรัฐประหารเพื่อปราบปรามฝ่ายก้าวหน้าและรักษาอำนาจการควบคุมองค์จักรพรรดิไว้ในกำมือตนแต่ก็ล้มเหลวเพราะเป็นฝ่ายล้าหลัง!พ.ศ.2410 การต่อสู้ของ “ชาวนา” ได้ประสานเข้ากับ“กรรมกร” ในเขต “ควานโต” ซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของรัฐบาลต่อมา “กรรมกรญี่ปุ่น” ในแคว้นอื่นๆ ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการขับไล่รัฐบาล ทำให้โชกุนโตกูกาวาที่ครองอำนาจมานานถึง 200 ปี ต้องยอมถวายอำนาจคืนให้แก่องค์จักรพรรดิ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2411พ.ศ.2411 รัฐบาลเมจิรวมศูนย์อำนาจเป็นรัฐเดียว และทรงทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ด้วยการยกเลิก“ระบอบเผด็จการ”ปฏิรูปที่ดินให้ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
และทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างเต็มตัว หลังจากใช้“กองทัพแห่งชาติ” ปราบขบถในแคว้น “ชัตสุมา”ของตระกูลโตกูกาวาอย่างราบคาบในปี 2420การปฏิวัตินี้เรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตยของกรรมกร” เพราะเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปอย่างกว้างขวางแล้วทั่วประเทศ ส่งผลทำให้การปฏิวัติของพระจักรพรรดิมีกำลังเข้มแข็งเอาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ การปฏิวัติของญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติในอังกฤษหรือประเทศใดๆ ที่ไม่ได้ถูกมหาอำนาจรุกราน (จนต้องทำการ “ปฏิวัติประชาชาติ”เพื่อให้ได้ปฏิวัติประชาธิปไตยไปด้วย)ไม่ได้บอกเป็นนัยยะอะไรว่า ประเทศไทยกำลังเดินตามประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ท่ามกลางความวิกฤติอันหนักหน่วงของชาติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย อันมีปฐมเหตุมาจากความต้องการ “ประชาธิปไตย” ตามกฎของทุนนิยมที่ครอบงำโลกคนไทยผู้รักชาติ ต่างคิดหามรรควิธีในการแก้ไขกันไปต่างๆ นานา แบบเดียวกับคนยุโรปก่อนการปฏิวัติเมื่อ 200 ปีก่อนแต่ด้วยอวิชาต่อกฎเกณฑ์ทุนนิยม ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งปัญหา ทำให้ผู้ไม่เข้าถึง ซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคทางการเมือง หลงเพียรไปด่าทอ “บุคคล” กันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว “ปัญหาหลักการ” ของขบวนเผด็จการต่างหาก ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องพังพินาศวันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆพวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูปการเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ“เบี่ยงเบน”ความสนใจของประชาชนที่เดือดร้อน อันเกิดจากระบอบเผด็จการอุบาทว์
เพื่อไม่ให้ประชาชนมองลึกลงไปถึงสมุทัยที่แท้แห่งปัญหาชาติตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการปกครองตามแนวทางระบอบเผด็จการตั้งแต่ พ.ศ.2475 จึงเห็นใครต่อใครต่างโยน ยาผีบอก แห่งการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาให้ประชาชนเป็นระยะๆเพื่อรักษา “การปกครองเผด็จการ” ที่สูบเลือดกินแรงประชาชนเอาไว้มาโดยตลอดด้วยเหตุนี้ พวกเผด็จการจึงโยน “การปฏิรูปทางการเมือง” ลงมาใส่ประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์
เพื่อลดการกดดันของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ “ทำนาอยู่บนหลังคน”แท้จริงแล้ว “การปฏิรูปการเมือง” (Political Reform)นั้นไม่มีในโลก เพราะ “การเมือง” เป็น Reality เช่นเดียวกับนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถไปปฏิรูปหรือปฏิวัติ เพราะเป็นนามธรรมมนุษย์ทำได้ก็แค่เพียงเปลี่ยนแปลง “การปกครอง”คือ เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่ถือครองจากคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำGovernment Reform คือ เปลี่ยนจากเวียง วัง คลัง นาเป็น กระทรวง ทบวง กรม และสถาปนาความเป็นรัฐแห่งชาติให้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อนเช่นเดียวกันคณะราษฎรก็ได้สร้าง “รูปการปกครอง”คือ “ระบบรัฐสภา” ให้เมื่อ พ.ศ.2475การต่อสู้กัน เองระหว่า่ง ผู้ปกครอง
ด้วยกันเองแบบทนุสามานย์ออกไป ทุนจัญไรกลับมา” โดยใช้สีเหลือง-แดงเป็นสัญลักษณ์ได้สร้างความวินาศให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างอเนกอนันต์
ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อพวกเผด็จการประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมด้วยการกำเนิดขึ้นของโรงสีไฟของชาวอเมริกันในปี 2401 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง”หลังจากที่ญี่ปุ่นถูกมหาอำนาจ อเมริกา อังกฤษเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย บีบให้เปิดประเทศ
และใช้สนธิสัญญาที่ได้เปรียบเข้ารุกรานทางเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างรุนแรงทำให้ญี่ปุ่นปรับตัวไม่ทัน เกิดวิกฤติข้าวยากหมากแพงรัฐบาลศักดินาขาดเงินตราในการบริหาร จึงจำต้องเก็บภาษีมหาโหดเมื่อชาวนาทั่วประเทศเดือดร้อนจึง “ลุกขึ้นสู้” (เกิดวิกฤติที่สุดในโลกของญี่ปุ่น) พวกเขาบุกเข้าไปทุบทำลายบ้านพักและทรัพย์สินของพวกขุนนางเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยสูง มีการเผาโฉนดที่ดินทำกินและสัญญากู้ยืมมหาโหดของพวกโชกุนเจ้าของที่ดินและเรียกร้องให้มีการ“ปฏิรูปที่ดิน” และ “ยกเลิกหนี้สิน” เฉลี่ยทรัพย์ให้เกิดความเป็นธรรมเรียกร้ององค์พระจักรพรรดิให้ขับไล่“บากุฝุ” รัฐบาลศักดินาป่าเถื่อนออกไปเพียงปีเดียวเกิดการจลาจลขนาดใหญ่ถึง43 ครั้ง
การไม่ยอมรับการปกครอง ของประชาชนขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางส่งผลทำให้ผู้ปกครองเกิดการต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งอำนาจการปกครอง ระหว่าง “นายทุนผูกขาดใหม่” กับ “อำนาจชนชั้นสูงเก่า” ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์พ.ศ.2406 รัฐบาลศักดินาตระกูลโชกุนโตกูกาวา ชื่อ อิเอโมฉิพยายามแก้ไขวิกฤติด้วยการประกาศดำเนินการปกครองแบบใหม่ (ปฏิรูปการเมือง) ด้วยการทำรัฐประหารเพื่อปราบปรามฝ่ายก้าวหน้าและรักษาอำนาจการควบคุมองค์จักรพรรดิไว้ในกำมือตนแต่ก็ล้มเหลวเพราะเป็นฝ่ายล้าหลัง!พ.ศ.2410 การต่อสู้ของ “ชาวนา” ได้ประสานเข้ากับ“กรรมกร” ในเขต “ควานโต” ซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของรัฐบาลต่อมา “กรรมกรญี่ปุ่น” ในแคว้นอื่นๆ ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการขับไล่รัฐบาล ทำให้โชกุนโตกูกาวาที่ครองอำนาจมานานถึง 200 ปี ต้องยอมถวายอำนาจคืนให้แก่องค์จักรพรรดิ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2411พ.ศ.2411 รัฐบาลเมจิรวมศูนย์อำนาจเป็นรัฐเดียว และทรงทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ด้วยการยกเลิก“ระบอบเผด็จการ”ปฏิรูปที่ดินให้ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
และทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างเต็มตัว หลังจากใช้“กองทัพแห่งชาติ” ปราบขบถในแคว้น “ชัตสุมา”ของตระกูลโตกูกาวาอย่างราบคาบในปี 2420การปฏิวัตินี้เรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตยของกรรมกร” เพราะเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปอย่างกว้างขวางแล้วทั่วประเทศ ส่งผลทำให้การปฏิวัติของพระจักรพรรดิมีกำลังเข้มแข็งเอาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ การปฏิวัติของญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติในอังกฤษหรือประเทศใดๆ ที่ไม่ได้ถูกมหาอำนาจรุกราน (จนต้องทำการ “ปฏิวัติประชาชาติ”เพื่อให้ได้ปฏิวัติประชาธิปไตยไปด้วย)ไม่ได้บอกเป็นนัยยะอะไรว่า ประเทศไทยกำลังเดินตามประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
พันธมิตรคลั่งชาติก่อเรื่องสมใจ-ฮุนเซนสวมบทกร้าวสั่งยิงไทยรุกพระวิหาร
ไอเอ็นเอ็น : สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ระหว่างไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดอาคารกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ เมื่อ 28 ก.ย. นายกรัฐมนตรีฮุน เซน แห่งกัมพูชา มีคำสั่งให้ทหารกัมพูชาตามพรมแดนยิงคนไทยทุกคนที่ล่วงล้ำดินแดนกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหาร ซึ่งถือว่าเป็น “ศัตรูผู้บุกรุก” เข้าไปในกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย ทหาร ตำรวจ และกองกำลังติดอาวุธทั้งหมดของกัมพูชาต้องยึดมั่นในคำสั่งนี้ สำหรับผู้บุกรุก ไม่ต้องใช้โล่ แต่ให้ใช้กระสุนปืน
ฮุน เซน ยังกล่าวโจมตีที่ไทยอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และว่าอาจหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดระหว่างการประชุมอาเซียนในเดือนหน้า เรื่องนี้เป็นการกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียว ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะยึดครองดินแดนของกัมพูชา ถ้านายกรัฐมนตรีของไทยหยิบแผนที่ที่เขียนขึ้นแต่ฝ่ายเดียวมาวางตรงหน้าตน ตนจะฉีกมันทิ้ง กัมพูชาไม่ต้องการสงคราม แต่มีสิทธิ์ที่จะทำลายศัตรูในดินแดนของตัวเอง ตนจะยื่นเรื่องนี้ถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถ้าไทยมีพฤติกรรมรุกรานใดๆ
เอเอฟพีระบุด้วยว่า คำกล่าวของฮุน เซน มีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังกลุ่มผู้ประท้วงชาวไทยไปชุมนุมกันบริเวณพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร เพื่อทวงดินแดนคืน ซึ่งบริเวณดังกล่าวทหารไทยและกัมพูชาเคยปะทะกันแล้วหลายครั้งตั้งแต่ความขัด แย้งปะทุขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตแล้ว 7 นาย
ฮุน เซน ยังกล่าวโจมตีที่ไทยอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และว่าอาจหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดระหว่างการประชุมอาเซียนในเดือนหน้า เรื่องนี้เป็นการกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียว ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะยึดครองดินแดนของกัมพูชา ถ้านายกรัฐมนตรีของไทยหยิบแผนที่ที่เขียนขึ้นแต่ฝ่ายเดียวมาวางตรงหน้าตน ตนจะฉีกมันทิ้ง กัมพูชาไม่ต้องการสงคราม แต่มีสิทธิ์ที่จะทำลายศัตรูในดินแดนของตัวเอง ตนจะยื่นเรื่องนี้ถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถ้าไทยมีพฤติกรรมรุกรานใดๆ
เอเอฟพีระบุด้วยว่า คำกล่าวของฮุน เซน มีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังกลุ่มผู้ประท้วงชาวไทยไปชุมนุมกันบริเวณพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร เพื่อทวงดินแดนคืน ซึ่งบริเวณดังกล่าวทหารไทยและกัมพูชาเคยปะทะกันแล้วหลายครั้งตั้งแต่ความขัด แย้งปะทุขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตแล้ว 7 นาย
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552
ภูมิซรอล(ตอนวิหารแห่งความเขลา)

Mekong Review : ภูมิซรอลเป็นแค่หนึ่งในนั้น แต่มีหมู่บ้านเป็นจำนวนมากในเขตพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร ที่พิจารณาแล้วว่า ยังไม่มีความเป็นไทยมากพอ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามความเห็นของ ไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา หนึ่งในกลุ่ม 40 สว. ผู้มีจิตใจรักชาติรักแผ่นดินกว่าคนอื่นทั้งหมดในประเทศไทย
แต่เพื่อความสะอาดสดใสของภาษาไทย ก่อนที่จะได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้าน เห็นสมควรเสนอให้ท่านวุฒิสมาชิก เสนอร่างกฎหมายสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อยกเลิกราชาศัพท์ และ ภาษาราชการจำนวนมากที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร จากนั้นจึงดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้านให้สอดคล้องกับภาษาไทยที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว
หมู่บ้านและตำบลที่จะต้องเปลี่ยนชื่อให้เรียงตามลำดับความใกล้ชิดกับปราสาทพระวิหารเป็นสำคัญ กล่าวคือ
อำเภอ กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มี 20 ตำบล ปรากฏว่ามีหมู่บ้านที่มีชื่อไม่เป็นไทยมากกว่าครึ่งดังต่อไปนี้
1 ตำบลเสาธงชัย ซึ่งเป็นเขตปกครองของบ้าน ภูมิซรอล ที่ประชาชนในเขตบ้านนี้ได้แสดงการเป็นปรปักษ์ต่อผู้รักชาติรักแผ่นดินอย่างโจ่งแจ้ง ถึงขนาดใช้กำลังเข้าประทุษร้ายคณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึง 2 ครั้ง 2 คราในระยะแค่ปีเดียว มีรายชื่อหมู่บ้านที่จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงคือ บ้านภูมิซรอล เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยภูมิซรอล 2 และภูมิซรอลใหม่ นอกจากนี้ยังมีบ้าน ซำเม็ง ที่อยู่ใกล้กัน ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย
2 ตำบล บึงมะลู ให้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยถนนวิหาร โนนเยาะ โนนเปือย โนนดู่ โนนแสนคำ โนนศิริ (โนน เป็นภาษาลาว ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย) ศรีสะอาด (คำว่าสะอาดเป็นภาษาเขมร)
3 ตำบลรุง ประกอบด้วย บ้านโดนเอาว์ และ โดนเอาว์ใต้ เป็นอันดับแรก ตามด้วยบ้านตาทวด
4 ตำบลทุ่งใหญ่ ประกอบไปด้วยบ้าน กระมอล บ้านตาซุน โนนสะอาด ทุ่งประทาย
5 ตำบลกุดเสลา ให้เปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป และหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยน คือ บ้านกันจาน บ้านซะวาซอ
6 ตำบลสังเมก ให้เปลี่ยนชื่อตำบลด้วยเช่นกัน ส่วนหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยนคือ บ้านตาเหมา บ้านนากันตรม บ้านกันตรมพัฒนา บ้านศรีพนมทอง บ้านสังเม็กตะวันตก บ้านสำโรง
7 ตำบลตระกาจ มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยบ้านซำตารมย์
8 ตำบลภูเงิน เริ่มจากบ้านไพรงาม บ้านนาซำ ซำผักแว่น หนองตระกาศ
9 ตำบลซำ อาจจะต้องเปลี่ยนทั้งตำบล เพราะไม่มีชื่อหมู่บ้านใดแสดงออกถึงความเป็นไทยเลยแม้แต่บ้านเดียว ตั้งแต่บ้านซำ บ้านแจงแมง แจงแมงน้อย แจงแมงเหนือ ซำม่วง 1 และ 2
10 ตำบลกระแซง ยิ่งแล้วใหญ่ ประกอบไปด้วยหมู่บ้านจำนวนมากที่หาความเป็นไทยอะไรไม่ได้เลย เช่นบ้านเขวา บ้านระโยง บ้านซำเบง บ้านจำนรรจ์ บ้านซำเบ็งน้อย บ้านศรีษะอโศก ด้วย หาความเป็นไทยไม่ได้สักคำ
11 ตำบลโนนสำราญ ให้เปลี่ยนชื่อบ้านกระหวัน เป็นอย่างอื่น เพื่อความเป็นไทย
12 ตำบลขนุน ประกอบไปด้วยบ้าน โตนด ตาเครือ นาขนวน บ้านโตนดกลาง
13 ตำบลสวนกล้วย ให้เริ่มตั้งแต่บ้านทุ่งขนวน เป็นต้นไป เพราะมีทั้งเหนือและใต้
14 ตำบลภูผาหมอก ก็ใช่ว่าจะรอด ท่านวุฒิสมาชิกได้สั่งการให้ศึกษาว่า หมู่บ้าน โศกขามป้อม เป็นไทยแค่ไหน ทำไมจึงไม่ชื่อว่า บ้านโคกมะขามป้อม คำว่า โศก สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า โศรก
อำเภอกันทรรมย์ อยู่ใกล้กับอำเภอกันทรลักษ์ ซ้ำยังชื่อพ้องกัน อาจจะได้อิทธิพลจากเขมร เมื่อสำรวจดูแล้ว ปรากฏว่ามีหลายหมู่บ้านในหลายตำบล ไม่มีชื่อเป็นภาษาไทยเลย เช่น ตำบลละทาย มีชื่อหมู่บ้านแปลกๆ เช่น บ้าน เหม้า บ้านกอก บ้านละทาย
อำเภอขุนหาญ แม้ว่า ไม่ติดกับปราสาทพระวิหาร แต่ปรากฏว่ามีชื่อตำบลและหมู่บ้านที่ส่อออกไปทางเขมรเป็นจำนวนมาก เห็นสมควรให้พิจารณาด้วย เริ่มตั้งแต่ตำบลไพร กระหวัน กันทรอม และหลายหมู่บ้านในตำบลเหล่านี้ไม่ได้เป็นภาษาไทยเลยแม้แต่น้อย เช่นบ้านซำเสียน บ้านซำสะโหมง ในตำบลไพรเป็นต้น
อำเภอภูสิงห์ ก็มีหลายหมู่บ้านที่ชื่อเป็นภาษาเขมร เช่นหนองแบกชะนัง โคกทะลอก ฟังยังไงก็ไม่มีทางเป็นภาษาไทยเด็ดขาด
ในจังหวัดศรีสะเกษ นั้นไม่ว่าจะสุ่มจากอำเภอใด ตำบลใด จะต้องปรากฏว่ามีหมู่บ้านและตำบลที่มีชื่อเป็นภาษาเขมรเสมอ หนักเข้าบางหมู่บ้านเป็นส่วย หรือ กุย ด้วยซ้ำไป หากจะสร้างความเป็นไทยกันแล้ว จังหวัดนี้ทั้งหวัดอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อ ยังไม่นับจังหวัดใกล้เคียงที่ก็ไม่ได้น้อยหน้ากัน สุรินทร์ และ บุรีรัมย์ ไม่ได้เป็นรองศรีสะเกษเลยในการเอาภาษาเขมรมาตั้งชื่อหมู่บ้านของตัว
บางทีท่านสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติ อาจจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาเรื่องชื่อเป็นการเร่งด่วน เพราะไม่เพียงชื่อหมู่บ้าน ตำบล หรือแม้แต่อำเภอ เช่น อำเภอสตึก ไม่ได้เป็นภาษไทยแล้ว ยังปรากฏว่าประชาชนในบริเวณนั้นก็ไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองและลูกหลานเป็นภาษาไทย เช่น บางคนชื่อ เนวิน ฟังยังไง ก็ไม่มีทางเป็นไทยไปได้ (ชื่อไพบูลย์นั้นก็น่าสงสัยยิ่งนักว่าเป็นไทยยังไง) อีกทั้งไม่ได้พากันพูดภาษาไทยอีกด้วย
ในครอบครัวของประชาชนเหล่านี้กลับพากันพูดภาษาเขมรทั้งสิ้น
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ใช้สติปัญญาประกอบการดำเนินการ
แต่เพื่อความสะอาดสดใสของภาษาไทย ก่อนที่จะได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้าน เห็นสมควรเสนอให้ท่านวุฒิสมาชิก เสนอร่างกฎหมายสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อยกเลิกราชาศัพท์ และ ภาษาราชการจำนวนมากที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร จากนั้นจึงดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้านให้สอดคล้องกับภาษาไทยที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว
หมู่บ้านและตำบลที่จะต้องเปลี่ยนชื่อให้เรียงตามลำดับความใกล้ชิดกับปราสาทพระวิหารเป็นสำคัญ กล่าวคือ
อำเภอ กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มี 20 ตำบล ปรากฏว่ามีหมู่บ้านที่มีชื่อไม่เป็นไทยมากกว่าครึ่งดังต่อไปนี้
1 ตำบลเสาธงชัย ซึ่งเป็นเขตปกครองของบ้าน ภูมิซรอล ที่ประชาชนในเขตบ้านนี้ได้แสดงการเป็นปรปักษ์ต่อผู้รักชาติรักแผ่นดินอย่างโจ่งแจ้ง ถึงขนาดใช้กำลังเข้าประทุษร้ายคณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึง 2 ครั้ง 2 คราในระยะแค่ปีเดียว มีรายชื่อหมู่บ้านที่จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงคือ บ้านภูมิซรอล เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยภูมิซรอล 2 และภูมิซรอลใหม่ นอกจากนี้ยังมีบ้าน ซำเม็ง ที่อยู่ใกล้กัน ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย
2 ตำบล บึงมะลู ให้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยถนนวิหาร โนนเยาะ โนนเปือย โนนดู่ โนนแสนคำ โนนศิริ (โนน เป็นภาษาลาว ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย) ศรีสะอาด (คำว่าสะอาดเป็นภาษาเขมร)
3 ตำบลรุง ประกอบด้วย บ้านโดนเอาว์ และ โดนเอาว์ใต้ เป็นอันดับแรก ตามด้วยบ้านตาทวด
4 ตำบลทุ่งใหญ่ ประกอบไปด้วยบ้าน กระมอล บ้านตาซุน โนนสะอาด ทุ่งประทาย
5 ตำบลกุดเสลา ให้เปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป และหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยน คือ บ้านกันจาน บ้านซะวาซอ
6 ตำบลสังเมก ให้เปลี่ยนชื่อตำบลด้วยเช่นกัน ส่วนหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยนคือ บ้านตาเหมา บ้านนากันตรม บ้านกันตรมพัฒนา บ้านศรีพนมทอง บ้านสังเม็กตะวันตก บ้านสำโรง
7 ตำบลตระกาจ มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยบ้านซำตารมย์
8 ตำบลภูเงิน เริ่มจากบ้านไพรงาม บ้านนาซำ ซำผักแว่น หนองตระกาศ
9 ตำบลซำ อาจจะต้องเปลี่ยนทั้งตำบล เพราะไม่มีชื่อหมู่บ้านใดแสดงออกถึงความเป็นไทยเลยแม้แต่บ้านเดียว ตั้งแต่บ้านซำ บ้านแจงแมง แจงแมงน้อย แจงแมงเหนือ ซำม่วง 1 และ 2
10 ตำบลกระแซง ยิ่งแล้วใหญ่ ประกอบไปด้วยหมู่บ้านจำนวนมากที่หาความเป็นไทยอะไรไม่ได้เลย เช่นบ้านเขวา บ้านระโยง บ้านซำเบง บ้านจำนรรจ์ บ้านซำเบ็งน้อย บ้านศรีษะอโศก ด้วย หาความเป็นไทยไม่ได้สักคำ
11 ตำบลโนนสำราญ ให้เปลี่ยนชื่อบ้านกระหวัน เป็นอย่างอื่น เพื่อความเป็นไทย
12 ตำบลขนุน ประกอบไปด้วยบ้าน โตนด ตาเครือ นาขนวน บ้านโตนดกลาง
13 ตำบลสวนกล้วย ให้เริ่มตั้งแต่บ้านทุ่งขนวน เป็นต้นไป เพราะมีทั้งเหนือและใต้
14 ตำบลภูผาหมอก ก็ใช่ว่าจะรอด ท่านวุฒิสมาชิกได้สั่งการให้ศึกษาว่า หมู่บ้าน โศกขามป้อม เป็นไทยแค่ไหน ทำไมจึงไม่ชื่อว่า บ้านโคกมะขามป้อม คำว่า โศก สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า โศรก
อำเภอกันทรรมย์ อยู่ใกล้กับอำเภอกันทรลักษ์ ซ้ำยังชื่อพ้องกัน อาจจะได้อิทธิพลจากเขมร เมื่อสำรวจดูแล้ว ปรากฏว่ามีหลายหมู่บ้านในหลายตำบล ไม่มีชื่อเป็นภาษาไทยเลย เช่น ตำบลละทาย มีชื่อหมู่บ้านแปลกๆ เช่น บ้าน เหม้า บ้านกอก บ้านละทาย
อำเภอขุนหาญ แม้ว่า ไม่ติดกับปราสาทพระวิหาร แต่ปรากฏว่ามีชื่อตำบลและหมู่บ้านที่ส่อออกไปทางเขมรเป็นจำนวนมาก เห็นสมควรให้พิจารณาด้วย เริ่มตั้งแต่ตำบลไพร กระหวัน กันทรอม และหลายหมู่บ้านในตำบลเหล่านี้ไม่ได้เป็นภาษาไทยเลยแม้แต่น้อย เช่นบ้านซำเสียน บ้านซำสะโหมง ในตำบลไพรเป็นต้น
อำเภอภูสิงห์ ก็มีหลายหมู่บ้านที่ชื่อเป็นภาษาเขมร เช่นหนองแบกชะนัง โคกทะลอก ฟังยังไงก็ไม่มีทางเป็นภาษาไทยเด็ดขาด
ในจังหวัดศรีสะเกษ นั้นไม่ว่าจะสุ่มจากอำเภอใด ตำบลใด จะต้องปรากฏว่ามีหมู่บ้านและตำบลที่มีชื่อเป็นภาษาเขมรเสมอ หนักเข้าบางหมู่บ้านเป็นส่วย หรือ กุย ด้วยซ้ำไป หากจะสร้างความเป็นไทยกันแล้ว จังหวัดนี้ทั้งหวัดอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อ ยังไม่นับจังหวัดใกล้เคียงที่ก็ไม่ได้น้อยหน้ากัน สุรินทร์ และ บุรีรัมย์ ไม่ได้เป็นรองศรีสะเกษเลยในการเอาภาษาเขมรมาตั้งชื่อหมู่บ้านของตัว
บางทีท่านสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติ อาจจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาเรื่องชื่อเป็นการเร่งด่วน เพราะไม่เพียงชื่อหมู่บ้าน ตำบล หรือแม้แต่อำเภอ เช่น อำเภอสตึก ไม่ได้เป็นภาษไทยแล้ว ยังปรากฏว่าประชาชนในบริเวณนั้นก็ไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองและลูกหลานเป็นภาษาไทย เช่น บางคนชื่อ เนวิน ฟังยังไง ก็ไม่มีทางเป็นไทยไปได้ (ชื่อไพบูลย์นั้นก็น่าสงสัยยิ่งนักว่าเป็นไทยยังไง) อีกทั้งไม่ได้พากันพูดภาษาไทยอีกด้วย
ในครอบครัวของประชาชนเหล่านี้กลับพากันพูดภาษาเขมรทั้งสิ้น
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ใช้สติปัญญาประกอบการดำเนินการ
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552
ย้อนคดีหวยบนดิน ให้ ครม.'แม้ว'ชดใช้ 3.6หมื่นล้าน ลุ้นศาลฎีกาเลื่อนตัดสิน 30 ก.ย.อดีด ผอ.กลองสลาก ล่องหน
ย้อนรอยคดีหวยบนดินซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอษยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดจำลยทั้ง 47 คนฟังคำพิพากษา แต่มีปัญหาว่า "สุรสิทธิ์ สังขพงศ์" อดีคผู้อำนวยการกองสลากบินไปต่างประเทศตั้งแต่เดือนสิงหาคม ต้องต้องลุ้นว่า จะต้องเลื่อนอ่านคำตัดสินหรือไม่
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"-ในวันที่ 30 กันยายน 2552 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาการทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งมีจำเลยถึง 47 คน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม มีจำเลย 1 ใน 47 รายคือ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และอดีตรองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลาออกจากราชการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2552 จึงต้องดูว่า พล.ต.ต.สุรสิทธิ์จะเดินืทางกลับมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาหรือไม่
***************
สำหรับคดีดังกล่าว คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียแก่รัฐ(คตส. )ได้ยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ให้ลงโทษทางอาญาแก่จำเลยและเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 36,000 ล้านบาท โดยองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีนายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษา เจ้าของสำนวน
ทั้งนี้จากการสอบสวนของ คตส. ในคดีดังกล่าวสรุปว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มีการประชุมและมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)และได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหนังสือที่ กค 0100/11415 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2546 เสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 3 ประเด็น คือ
1. ให้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบนดิน)
2 .ให้นำรายได้ส่วนเกินของกองทุนเงินรางวัลหลังหักค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและการจ่ายเงินรางวัลกลับคืนสู่สังคม
3.ได้รับยกเว้นและลดหย่อนภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310 ) และภาษีการพนันตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. ในวาระเพิ่มเติม และมีมติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2546 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอทั้ง 3 ข้อ และมีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตามโครงการตั้งแต่งวดวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ถึงงวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เริ่มนำเงินที่ได้จากโครงการไปใช้ตามมติข้อที่ 2 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 ถึง 14 กันยายน 2549 เป็นเงิน 16,027,505,235.94 บาท และตามมติข้อ 3 ในเรื่องการยกเว้นและลดหย่อนภาษีอากรที่เกี่ยวข้อง คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ไม่ได้ชำระจำนวน 8,809,155,737.38 บาท , ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของส่วนลดการจำหน่ายขาดไป 161,585,172.84 บาท ภาษีตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ1 (4) ขาดไปจำนวน 12,792,152,581.50 บาท และภาษีท้องที่ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 17 ข้อที่ไม่ได้ชำระจำนวน 336,635,594.25 บาท
จากการไต่สวนรวมถึงการสอบปากคำพยาน คตส.มีความเห็นว่าโ ครงการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการออกสลากการกุศลหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่เป็นการออกสลากกินรวบโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย และเห็นว่าการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังนี้
1. มติข้อ 1. ที่ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบดิน) ถือเป็นสลากกินรวบเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 5 และมาตรา 9 ในส่วนของ ครม. ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติอนุมัติให้ดำเนินการออกสลากฯ โดยฝ่าฝืนนั้น เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากกินแบ่งฯ โดยจะต้องใช้ทรัพย์สินและบุคคลของสำนักงานฯ มาดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เป็นความเสียหายที่เห็นได้อยู่ในตัว
การอนุมัติข้อ 1 เพื่อให้เกิดข้อ 2 เป็นข้อบ่งบอกให้เห็นว่า ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ ที่ได้จากการดำเนินการตามมติข้อ 1 ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เข้าหลักเกณฑ์ ของการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งเข้าองค์ประกอบทั้งสองประการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เร่งรัดให้ในการดำเนินการในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้มีการกระทำความผิด
ส่วนครม.ที่เข้าร่วมประชุม นั้นได้เข้าประชุมโดยรู้สำนึกในการกระทำและประสงค์ต่อผลในเรื่องที่เข้าประชุม การมีมติอย่างหนึ่งอย่างใดไปนั้น ก็มีมติไปในขณะที่รู้สำนึกในการกระทำมีความรับผิดชอบตามหน้าที่ ส่วนที่จะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่น่าจะอ้างได้ จึงถือว่า ครม.ที่เข้าร่วมประชุมทุกคน และมีมติมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157 ด้วย
สำหรับคณะกรรมการสลากกินแบ่งนั้น มีฐานะเป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติไว้ในกฎหมาย การที่ร่วมกันมีมติเสนอโครงการจนกระทั่ง ครม.มีมติอนุมัติ ถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตที่บัญญัติไว้ในพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
2. มติข้อ 2 ที่ให้นำรายได้คืนสู่สังคมนั้นเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491มาตรา 4 และ มาตรา 13 และพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 23และ มาตรา 27 ทั้งนี้ การปฎิบัติหน้าที่ในฐานะครม. มีมติให้นำเงินของหน่วยงานรัฐออกไปใช้ โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะนำออกไปใช้หรือมีมติให้นำออกไปใช้นั้น
-เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ คือ สำนักงานสลากกินแบ่ง และเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่แสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบเป็นการทุจริตอันเข้าลักษณะที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
-มติดังกล่าวนั้นเป็นการก่อให้เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด จ่ายทรัพย์ไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153
-ก่อให้พนักงานซึ่งมีหน้าที่จ่ายทรัพย์นั้นเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นตามกฎหมาย จึงต้องถือว่า ครม. ที่มีมติดังกล่าวนั้นเป็นผู้ใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153 และเป็นผู้ใช้ให้พนักงานในองค์การของรัฐกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดต่อพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานขงอรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 10
สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง และนายวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานสลากฯ นั้นมีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่จะต้องดูแลสำนักงานสลากฯ การที่บุคคลทั้งสาม เข้าไปร่วมมีมติให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม ซึ่งฝ่าฝืนต่อพ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 เป็นการเข้าไปมีสว่นได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นอันเนื่องด้วยกิจการของสำนักงานสลากฯ เข้าลักษณะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 อีกบทหนึ่งด้วย
ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติให้เสนอโครงการและต่อมามีมติให้ดำเนินการจ่ายเงินตามมติครม.นั้น คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น ถือว่า เป็นพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการของสำนักงานสลากฯ การที่เสนอ ให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ. สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 นั้นการกระทำของคณะกรรมการสลากฯ เป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 และเป็นผู้ใช้พนักงานที่มีหน้าที่จ่ายทรัพย์จ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่ายมาตรา 10 การกระทำของครม.และคณะกรรมการสลากฯ เป็นทั้งตัวการร่วมกันและเป็นผู้ใช้และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3. มติข้อ 3 ที่ให้ลดหย่อนและยกเว้นภาษีนั้น คตส. พิจารณาแล้วเห็นว่า มติ นี้ เป็นการขัดต่อกฎหมายฝ่าฝืน พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310) พ.ศ. 2540 มาตรา 5 จตุทศ และฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2543 ) ออกตามความในพรย.การพนัน พ.ศ. 2478 และถือเป็นคำบงการหรือเป็นส่วนก่อให้เกิดการละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรของเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1574 นอกเหนือจากการมีมติในส่วนนี้จะเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157
คตส.จึงมีมติเห็นว่า
1.การกระทำของครม. ที่มีมติ ในส่วนนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,86,154 และ 157 และเป็นความคิดตามพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานจของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ส่วนคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติเกี่ยวข้อง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,84,86 , 154 และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
สำหรับหน่วยงานที่ได้รับความเสียหายจากโครงการฯ นี้ ประกอบไปด้วย สำนักงานสลากฯ แยกเป็นเงินที่มีการอนุมัติให้นำไปจ่ายตามโครงการฯ ต่าง จำนวน 13,679,596,802.79 บาท และจ่ายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2,347,908,433.15 บาท รวมจำนวนเงินทั้งหมด 16,027,505,235.94 บาท (ระหว่างการไต่สวน มีหน่วยงานที่รับเงินไปคืนมาให้สำนักงานสลากฯ จำนวน 1,165,206,460.00 บาท คงเหลือส่วนที่เสียหายจำนวน 14,862,298,775.94 บาท
2. กระทรวงการคลัง ในส่วนของการขาดภาษีอากรที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ หัก ณ ที่ จ่าย จากส่วนลดการจำหน่ายไว้จำนวน 161,585,172.84 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายได้จากการจำหน่ายสลากตามราคาทั้งหมด เป็นยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่กระทรวงการคลัง ต้องขาดรายได้ไป จำนวน 8,809,155.737.38 บาท ซึ่งถือว่า เป็นค่าเสียหายในส่วนของกระทรวงการคลัง จำนวน 8,970,740,910.22 บาท
3. กระทรวงมหาดไทย ในส่วนของภาษีตามพรบ.การพนัน ที่ต้องชำระ ในส่วนที่หักไม่ครบถ้วน โดยจะต้องชำระ ร้อยละ 10 ของยอดราคาสลากแต่หักไว้เพียงร้อยละ 0.5 รวมเป็นจำนวนเงิน 12,792,152,581.50 บาท
4. กรุงเทพมหานคร ในฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่นขาดรายได้ภาษีท้องถิ่น ไป รวมเป็นเงิน 336,635,594.25 บาท
รวมค่าเสียหายของหน่วยงานทั้งหมดเป็นเงิน 36,961,827,861.91 บาท โดยในส่วนของ ครม. ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนความเสียหาย ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ จะต้องรับผิดชอบตามจำนวนเงินที่แต่ละคนเข้าไปร่วมประชุมและมีมติอนุมัติไป
สำหรับรายชื่อของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ มีจำนวน 47 คน ประกอบไปด้วย
1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 4.นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี 5.นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี
6.ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 7.นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี 8.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรี (รมว.) ว่าการกระทรวงกลาโหม 9.ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีต รมว.คลัง 10.นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วย (รมช.) ว่าการกระทรวงการคลัง
11.นายสนธยา คุณปลื้ม อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 12.นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 13.นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ 14.นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ 15.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม
16.นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีตรมช.คมนาคม 17.นายนิกร จำนง อดีต รมช.คมนาคม 18.นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 19.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 20.นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีต รมว.พลังงาน
21.นายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ 22.นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมช.พาณิชย์ 23.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีต รมว.มหาดไทย 24.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ยุติธรรม 25.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมว.แรงงาน
26.นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีต รมว.วัฒนธรรม 27.นายพินิจ จารุสมบัติ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 28.นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สาธารณสุข 29.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีต รมช.สาธารณสุข 30.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.อุตสาหกรรม
31.นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล 32.นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง 33.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย 34.นายพรชัย นุชสุวรรณ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 35.นางสาวสุรีพร ดวงโต ในฐานะผู้แทนกรมบัญชีกลาง
36.นายณัฐวิช อินทุภูมิ ในฐานะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 37.นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 38.นายกำธร ตติยกวี 39.พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 40.นายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
41.นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 42.พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ 43.นางสตรี ประทีปปะเสน ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 44.นายอำนวยศักดิ์ พูลศิริ 45.พล.ต.ท.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
46.นายบัณฑูร สุภัควณิช ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ และ 47.นางอรอนงค์ มณีกาญจน์ ผู้แทนกรมบัญชีกลางซึ่งเป็นกรรมการ (บอร์ด) สลากกินแบ่งรัฐบาล
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"-ในวันที่ 30 กันยายน 2552 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาการทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งมีจำเลยถึง 47 คน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม มีจำเลย 1 ใน 47 รายคือ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และอดีตรองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลาออกจากราชการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2552 จึงต้องดูว่า พล.ต.ต.สุรสิทธิ์จะเดินืทางกลับมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาหรือไม่
***************
สำหรับคดีดังกล่าว คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียแก่รัฐ(คตส. )ได้ยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ให้ลงโทษทางอาญาแก่จำเลยและเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 36,000 ล้านบาท โดยองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีนายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษา เจ้าของสำนวน
ทั้งนี้จากการสอบสวนของ คตส. ในคดีดังกล่าวสรุปว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มีการประชุมและมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)และได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหนังสือที่ กค 0100/11415 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2546 เสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 3 ประเด็น คือ
1. ให้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบนดิน)
2 .ให้นำรายได้ส่วนเกินของกองทุนเงินรางวัลหลังหักค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและการจ่ายเงินรางวัลกลับคืนสู่สังคม
3.ได้รับยกเว้นและลดหย่อนภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310 ) และภาษีการพนันตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. ในวาระเพิ่มเติม และมีมติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2546 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอทั้ง 3 ข้อ และมีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตามโครงการตั้งแต่งวดวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ถึงงวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เริ่มนำเงินที่ได้จากโครงการไปใช้ตามมติข้อที่ 2 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 ถึง 14 กันยายน 2549 เป็นเงิน 16,027,505,235.94 บาท และตามมติข้อ 3 ในเรื่องการยกเว้นและลดหย่อนภาษีอากรที่เกี่ยวข้อง คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ไม่ได้ชำระจำนวน 8,809,155,737.38 บาท , ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของส่วนลดการจำหน่ายขาดไป 161,585,172.84 บาท ภาษีตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ1 (4) ขาดไปจำนวน 12,792,152,581.50 บาท และภาษีท้องที่ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 17 ข้อที่ไม่ได้ชำระจำนวน 336,635,594.25 บาท
จากการไต่สวนรวมถึงการสอบปากคำพยาน คตส.มีความเห็นว่าโ ครงการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการออกสลากการกุศลหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่เป็นการออกสลากกินรวบโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย และเห็นว่าการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังนี้
1. มติข้อ 1. ที่ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบดิน) ถือเป็นสลากกินรวบเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 5 และมาตรา 9 ในส่วนของ ครม. ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติอนุมัติให้ดำเนินการออกสลากฯ โดยฝ่าฝืนนั้น เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากกินแบ่งฯ โดยจะต้องใช้ทรัพย์สินและบุคคลของสำนักงานฯ มาดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เป็นความเสียหายที่เห็นได้อยู่ในตัว
การอนุมัติข้อ 1 เพื่อให้เกิดข้อ 2 เป็นข้อบ่งบอกให้เห็นว่า ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ ที่ได้จากการดำเนินการตามมติข้อ 1 ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เข้าหลักเกณฑ์ ของการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งเข้าองค์ประกอบทั้งสองประการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เร่งรัดให้ในการดำเนินการในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้มีการกระทำความผิด
ส่วนครม.ที่เข้าร่วมประชุม นั้นได้เข้าประชุมโดยรู้สำนึกในการกระทำและประสงค์ต่อผลในเรื่องที่เข้าประชุม การมีมติอย่างหนึ่งอย่างใดไปนั้น ก็มีมติไปในขณะที่รู้สำนึกในการกระทำมีความรับผิดชอบตามหน้าที่ ส่วนที่จะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่น่าจะอ้างได้ จึงถือว่า ครม.ที่เข้าร่วมประชุมทุกคน และมีมติมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157 ด้วย
สำหรับคณะกรรมการสลากกินแบ่งนั้น มีฐานะเป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติไว้ในกฎหมาย การที่ร่วมกันมีมติเสนอโครงการจนกระทั่ง ครม.มีมติอนุมัติ ถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตที่บัญญัติไว้ในพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
2. มติข้อ 2 ที่ให้นำรายได้คืนสู่สังคมนั้นเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491มาตรา 4 และ มาตรา 13 และพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 23และ มาตรา 27 ทั้งนี้ การปฎิบัติหน้าที่ในฐานะครม. มีมติให้นำเงินของหน่วยงานรัฐออกไปใช้ โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะนำออกไปใช้หรือมีมติให้นำออกไปใช้นั้น
-เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ คือ สำนักงานสลากกินแบ่ง และเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่แสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบเป็นการทุจริตอันเข้าลักษณะที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
-มติดังกล่าวนั้นเป็นการก่อให้เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด จ่ายทรัพย์ไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153
-ก่อให้พนักงานซึ่งมีหน้าที่จ่ายทรัพย์นั้นเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นตามกฎหมาย จึงต้องถือว่า ครม. ที่มีมติดังกล่าวนั้นเป็นผู้ใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153 และเป็นผู้ใช้ให้พนักงานในองค์การของรัฐกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดต่อพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานขงอรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 10
สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง และนายวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานสลากฯ นั้นมีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่จะต้องดูแลสำนักงานสลากฯ การที่บุคคลทั้งสาม เข้าไปร่วมมีมติให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม ซึ่งฝ่าฝืนต่อพ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 เป็นการเข้าไปมีสว่นได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นอันเนื่องด้วยกิจการของสำนักงานสลากฯ เข้าลักษณะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 อีกบทหนึ่งด้วย
ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติให้เสนอโครงการและต่อมามีมติให้ดำเนินการจ่ายเงินตามมติครม.นั้น คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น ถือว่า เป็นพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการของสำนักงานสลากฯ การที่เสนอ ให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ. สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 นั้นการกระทำของคณะกรรมการสลากฯ เป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 และเป็นผู้ใช้พนักงานที่มีหน้าที่จ่ายทรัพย์จ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่ายมาตรา 10 การกระทำของครม.และคณะกรรมการสลากฯ เป็นทั้งตัวการร่วมกันและเป็นผู้ใช้และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3. มติข้อ 3 ที่ให้ลดหย่อนและยกเว้นภาษีนั้น คตส. พิจารณาแล้วเห็นว่า มติ นี้ เป็นการขัดต่อกฎหมายฝ่าฝืน พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310) พ.ศ. 2540 มาตรา 5 จตุทศ และฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2543 ) ออกตามความในพรย.การพนัน พ.ศ. 2478 และถือเป็นคำบงการหรือเป็นส่วนก่อให้เกิดการละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรของเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1574 นอกเหนือจากการมีมติในส่วนนี้จะเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157
คตส.จึงมีมติเห็นว่า
1.การกระทำของครม. ที่มีมติ ในส่วนนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,86,154 และ 157 และเป็นความคิดตามพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานจของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ส่วนคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติเกี่ยวข้อง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,84,86 , 154 และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
สำหรับหน่วยงานที่ได้รับความเสียหายจากโครงการฯ นี้ ประกอบไปด้วย สำนักงานสลากฯ แยกเป็นเงินที่มีการอนุมัติให้นำไปจ่ายตามโครงการฯ ต่าง จำนวน 13,679,596,802.79 บาท และจ่ายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2,347,908,433.15 บาท รวมจำนวนเงินทั้งหมด 16,027,505,235.94 บาท (ระหว่างการไต่สวน มีหน่วยงานที่รับเงินไปคืนมาให้สำนักงานสลากฯ จำนวน 1,165,206,460.00 บาท คงเหลือส่วนที่เสียหายจำนวน 14,862,298,775.94 บาท
2. กระทรวงการคลัง ในส่วนของการขาดภาษีอากรที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ หัก ณ ที่ จ่าย จากส่วนลดการจำหน่ายไว้จำนวน 161,585,172.84 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายได้จากการจำหน่ายสลากตามราคาทั้งหมด เป็นยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่กระทรวงการคลัง ต้องขาดรายได้ไป จำนวน 8,809,155.737.38 บาท ซึ่งถือว่า เป็นค่าเสียหายในส่วนของกระทรวงการคลัง จำนวน 8,970,740,910.22 บาท
3. กระทรวงมหาดไทย ในส่วนของภาษีตามพรบ.การพนัน ที่ต้องชำระ ในส่วนที่หักไม่ครบถ้วน โดยจะต้องชำระ ร้อยละ 10 ของยอดราคาสลากแต่หักไว้เพียงร้อยละ 0.5 รวมเป็นจำนวนเงิน 12,792,152,581.50 บาท
4. กรุงเทพมหานคร ในฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่นขาดรายได้ภาษีท้องถิ่น ไป รวมเป็นเงิน 336,635,594.25 บาท
รวมค่าเสียหายของหน่วยงานทั้งหมดเป็นเงิน 36,961,827,861.91 บาท โดยในส่วนของ ครม. ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนความเสียหาย ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ จะต้องรับผิดชอบตามจำนวนเงินที่แต่ละคนเข้าไปร่วมประชุมและมีมติอนุมัติไป
สำหรับรายชื่อของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ มีจำนวน 47 คน ประกอบไปด้วย
1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 4.นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี 5.นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี
6.ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 7.นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี 8.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรี (รมว.) ว่าการกระทรวงกลาโหม 9.ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีต รมว.คลัง 10.นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วย (รมช.) ว่าการกระทรวงการคลัง
11.นายสนธยา คุณปลื้ม อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 12.นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 13.นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ 14.นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ 15.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม
16.นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีตรมช.คมนาคม 17.นายนิกร จำนง อดีต รมช.คมนาคม 18.นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 19.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 20.นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีต รมว.พลังงาน
21.นายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ 22.นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมช.พาณิชย์ 23.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีต รมว.มหาดไทย 24.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ยุติธรรม 25.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมว.แรงงาน
26.นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีต รมว.วัฒนธรรม 27.นายพินิจ จารุสมบัติ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 28.นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สาธารณสุข 29.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีต รมช.สาธารณสุข 30.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.อุตสาหกรรม
31.นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล 32.นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง 33.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย 34.นายพรชัย นุชสุวรรณ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 35.นางสาวสุรีพร ดวงโต ในฐานะผู้แทนกรมบัญชีกลาง
36.นายณัฐวิช อินทุภูมิ ในฐานะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 37.นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 38.นายกำธร ตติยกวี 39.พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 40.นายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
41.นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 42.พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ 43.นางสตรี ประทีปปะเสน ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 44.นายอำนวยศักดิ์ พูลศิริ 45.พล.ต.ท.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
46.นายบัณฑูร สุภัควณิช ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ และ 47.นางอรอนงค์ มณีกาญจน์ ผู้แทนกรมบัญชีกลางซึ่งเป็นกรรมการ (บอร์ด) สลากกินแบ่งรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552
ไทม์ชี้'มาร์ค'แค่ภาพลักษณ์ดี ปลอดโกง แก้วิกฤตไม่ได้ ระบุมะกันวิตกสถานการณ์การเมือง ให้เงินฟื้น ปชต.
นิตยสารไทม์แพร่บทความ เปรียบ "มาร์ค" สะพานเชื่อม 2 ขั้ว ฟื้นฟูความเชื่อมั่นประชาธิปไตย บอกแค่ภาพลักษณ์ดี ปลอดคอร์รัปชั่นแก้วิกฤตไม่ได้ อ้างสหรัฐเป็นกังวลสถานการณ์ ให้เงินฟื้นปชต.ที่ไม่เคยเกิดในรอบ 15 ปี
"ไทม์"ระบุ"มาร์ค"พยายามฟื้นฟูปชต.
เมื่อวันที่ 26 กันยายน รายงานข่าวแจ้งว่า นิตยสารไทม์ รายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกา ฉบับตีพิมพ์วันที่ล่วงหน้าวันที่ 5 ตุลาคม เผยแพร่บทความของฮันนาห์ บีช ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย ที่เข้าพบสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และร่วมสังเกตการณ์การประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือจี 20 ในฐานะประธานอาเซียน โดยผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนตรีวัย 45 ปีของไทยดูสบายๆ กับการทำหน้าที่เชิงการทูตระหว่างประเทศ มากกว่าการต้องเผชิญหน้ากับหลากหลายประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะความขัดแย้งรุนแรงในประเทศ
ฮันนาห์ บีช ระบุว่า ความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวนายกรัฐมนตรี ตรงกันข้ามนายอภิสิทธิ์กลับพยายามอย่างมากที่จะฟื้นฟูสถาบันประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยลงอย่างมากจากความแตกแยกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และอ้างความเห็นของสุนัย ผาสุก ตัวแทนองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทยไว้ว่า นายกฯคนนี้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งคนแรกที่ประกาศจะใช้สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนำหน้าในการบริหารของรัฐบาลเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติขึ้น แต่ไม่มีอำนาจพอที่จะขับเคลื่อนรัฐบาลผสมให้แปรคำพูดเป็นการกระทำจริงๆ ได้ ซึ่งนายกฯปฏิเสธ โดยระบุว่า ทุกอย่างยังคงรุดหน้าเพียงแต่จำเป็นต้องให้แน่ใจว่า คนกลุ่มน้อยที่โน้มเอียงไปในทางใช้ความรุนแรงและก่อเหตุโกลาหล จะไม่สามารถสร้างความยากลำบากให้เกิดขึ้นกับประเทศได้เท่านั้น
ชี้สหรัฐวิตกให้เงินสร้างปชต.ในไทย
ผู้สื่อข่าวไทม์ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองในไทยยังอยู่ในสภาพน่าวิตก ความขัดแย้งทางการเมืองมักนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มและฝักฝ่าย ทำให้การสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศเมื่อไม่นานมานี้มีคนไทยเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เห็นว่า ประเทศกำลังเดินไปถูกทาง
"จริงๆ แล้ว สหรัฐวิตกกับสภาวการณ์ในเมืองไทยมากถึงขนาดตัดสินใจมอบเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเสด) เพื่อดำเนินการสร้างประชาธิปไตยขึ้นในไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมายาวนานเกือบ 15 ปีแล้ว"ข้อเขียนดังกล่าวระบุ
เปรียบ"มาร์ค"เป็นสะพานเชื่อม2กลุ่ม
บทความของไทม์เปรียบเปรยนายกฯไทยว่าเป็นเสมือน "คนที่อยู่ตรงกลาง"ซึ่งนอกจากจะต้องพยายามทำตัวเป็นสะพานระหว่าง 2 กลุ่ม และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้ง แต่เพียงแค่มีภาพลักษณ์สะอาด ปลอดคอร์รัปชั่นเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการเมืองภายใน ต้องเริ่มตั้งแต่ภายในรัฐบาลผสมด้วยกันเองก่อน
ฮันนาห์ บีช ยังระบุว่า นายอภิสิทธิ์ยอมรับตรงๆ ถึงความยากลำบากที่ประเทศไทยและรัฐบาลของตนเองกำลังเผชิญอยู่ แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่ได้มีผู้นำทางการเมืองที่มีศักยภาพมากมายเพียงพอที่จะทำอะไรๆ ได้ดีกว่าที่นายอภิสิทธิ์กำลังดำเนินการ
"เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราต้องให้แน่ใจว่าสามารถสถาปนาเสาหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยให้เข้าที่เข้าทางได้โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับสิ่งที่มองกันว่าประชาธิปไตยคือการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ เราต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวให้ได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว
"ไทม์"ระบุ"มาร์ค"พยายามฟื้นฟูปชต.
เมื่อวันที่ 26 กันยายน รายงานข่าวแจ้งว่า นิตยสารไทม์ รายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกา ฉบับตีพิมพ์วันที่ล่วงหน้าวันที่ 5 ตุลาคม เผยแพร่บทความของฮันนาห์ บีช ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย ที่เข้าพบสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และร่วมสังเกตการณ์การประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือจี 20 ในฐานะประธานอาเซียน โดยผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนตรีวัย 45 ปีของไทยดูสบายๆ กับการทำหน้าที่เชิงการทูตระหว่างประเทศ มากกว่าการต้องเผชิญหน้ากับหลากหลายประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะความขัดแย้งรุนแรงในประเทศ
ฮันนาห์ บีช ระบุว่า ความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวนายกรัฐมนตรี ตรงกันข้ามนายอภิสิทธิ์กลับพยายามอย่างมากที่จะฟื้นฟูสถาบันประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยลงอย่างมากจากความแตกแยกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และอ้างความเห็นของสุนัย ผาสุก ตัวแทนองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทยไว้ว่า นายกฯคนนี้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งคนแรกที่ประกาศจะใช้สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนำหน้าในการบริหารของรัฐบาลเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติขึ้น แต่ไม่มีอำนาจพอที่จะขับเคลื่อนรัฐบาลผสมให้แปรคำพูดเป็นการกระทำจริงๆ ได้ ซึ่งนายกฯปฏิเสธ โดยระบุว่า ทุกอย่างยังคงรุดหน้าเพียงแต่จำเป็นต้องให้แน่ใจว่า คนกลุ่มน้อยที่โน้มเอียงไปในทางใช้ความรุนแรงและก่อเหตุโกลาหล จะไม่สามารถสร้างความยากลำบากให้เกิดขึ้นกับประเทศได้เท่านั้น
ชี้สหรัฐวิตกให้เงินสร้างปชต.ในไทย
ผู้สื่อข่าวไทม์ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองในไทยยังอยู่ในสภาพน่าวิตก ความขัดแย้งทางการเมืองมักนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มและฝักฝ่าย ทำให้การสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศเมื่อไม่นานมานี้มีคนไทยเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เห็นว่า ประเทศกำลังเดินไปถูกทาง
"จริงๆ แล้ว สหรัฐวิตกกับสภาวการณ์ในเมืองไทยมากถึงขนาดตัดสินใจมอบเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเสด) เพื่อดำเนินการสร้างประชาธิปไตยขึ้นในไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมายาวนานเกือบ 15 ปีแล้ว"ข้อเขียนดังกล่าวระบุ
เปรียบ"มาร์ค"เป็นสะพานเชื่อม2กลุ่ม
บทความของไทม์เปรียบเปรยนายกฯไทยว่าเป็นเสมือน "คนที่อยู่ตรงกลาง"ซึ่งนอกจากจะต้องพยายามทำตัวเป็นสะพานระหว่าง 2 กลุ่ม และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้ง แต่เพียงแค่มีภาพลักษณ์สะอาด ปลอดคอร์รัปชั่นเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการเมืองภายใน ต้องเริ่มตั้งแต่ภายในรัฐบาลผสมด้วยกันเองก่อน
ฮันนาห์ บีช ยังระบุว่า นายอภิสิทธิ์ยอมรับตรงๆ ถึงความยากลำบากที่ประเทศไทยและรัฐบาลของตนเองกำลังเผชิญอยู่ แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่ได้มีผู้นำทางการเมืองที่มีศักยภาพมากมายเพียงพอที่จะทำอะไรๆ ได้ดีกว่าที่นายอภิสิทธิ์กำลังดำเนินการ
"เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราต้องให้แน่ใจว่าสามารถสถาปนาเสาหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยให้เข้าที่เข้าทางได้โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับสิ่งที่มองกันว่าประชาธิปไตยคือการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ เราต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวให้ได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)