--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

แจ้ง ป.เอาผิดนายกฯมาร์คไม่นำนายพลเข้าเฝ้าฯ-ดอดไปจ้องานตลาดหลักทรัพย์


ข่าวสด : ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์ฯ แจ้งความกองปราบฯ ดำเนินคดี ดำเนินคดี “อภิสิทธิ์” กล่าวหาไม่ปฏิบัติหน้าที่นำนายพลทหาร-ตำรวจที่ได้รับพระราชทานยศสูงขึ้น เข้าเฝ้าฯ ในหลวงด้วยตัวเอง ตามที่ปฏิบัติมาเป็นโบราณราชประเพณี แต่กลับให้ “สุเทพ” ทำหน้าที่แทน เนื่องจากติดภารกิจไปปาฐกถาที่ตลาดหุ้น ระบุเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่เคยมีนายกฯ คนใดไม่ปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้ ทางด้านนายกฯ โต้ลั่นเปล่าหมิ่นเบื้องสูง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ก.ย. ที่กองปราบปราม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎ หมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่าย ได้เดินทางเข้าพบพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ เชื่อมสกุลรัตน์ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อแจ้งความ ดำเนินคดีความผิดทางอาญากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

นายพิชา กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ตามตำแหน่งหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสจะนำคณะนายพลทหารจำนวน 758 นาย และนายพลตำรวจ 93 นาย ที่ได้รับพระ ราชทานยศสูงขึ้น ประจำปี 2551 เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 19 พ.ค. 2552 เวลา 17.35 น. เมื่อถึงกำหนดเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ อาคารอเนกประสงค์ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นพระราชกรณียกิจ และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3,10,11 และ มาตรา 193

นายพิชากล่าวอีกว่า แต่นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐ มนตรี ดำเนินการดังกล่าวแทน ทั้งที่ตามโบราณราชประเพณีแล้วเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะต้องปฏิบัติเอง ไม่สามารถที่จะมอบหมายให้ผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการแทนได้ เพราะเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงในการถวายพระเกียรติต่อพระมหากษัตริย์ อันเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ในรัฐธรรมนูญ ม.157

นายพิชากล่าวต่อว่า โดยในวันเวลาดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ กลับมีกำหนดวาระที่เตรียมการและจงใจที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อเป็นการถือโอกาสให้ตนไปปาฐกถาพิเศษเรื่องการเมืองไทย 2020 ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มชุมชนออนไลน์ ณ ห้องประชุม ศ.สังเวียน อินทรชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือมิใช่เป็นงานราชการสำคัญใดเหนือกว่าการถวายความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี

ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นเรื่องที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในทางราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเข้าข่ายเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 11 และประ มวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 157 ดังนั้นตนเห็นว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์ มีความผิด อดีตนายกรัฐมนตรีในยุคที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยมีใครเขาเคยประพฤติปฏิบัติกัน จึงขอให้พนักงานสอบสวนของกองปราบปราม สอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายอภิสิทธิ์ต่อไป

เบื้องต้นทางพ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ได้สอบปากคำนายพิชา และลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนี้ก็จะนำเรื่องเสนอไปยังผู้บังคับบัญชา พิจารณาสั่งการต่อไป

หลังรับแจ้งความ พนักงานสอบสวนทำหนัง สือถึงพล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. มีความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้สรุปว่า 1.พระมหากษัตริย์ไทยทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณีและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2.ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2250 มาตรา 10 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย 3.การแต่งตั้งข้าราชการทหารตำรวจชั้นนายพลเข้ารับตำแหน่ง ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยองค์พระมหากษัตริย์ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ 4.เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว ข้าราชการทหารตำรวจชั้นนายพล ต้องเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ โดยมีนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ถวายราย งาน 5.ภารกิจดังกล่าวถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากการทำหน้าที่ผู้รับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ยังถือเป็นการถวายพระเกียรติต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งตามโบราณราชประเพณี ผู้รับสนองพระบรมราช โองการ ต้องทำหน้าที่สำคัญนี้ โดยไม่สามารถมอบหมายผู้อื่นทำหน้าที่แทนได้ 6.ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีไทยคนใดไม่ปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย อภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบุคคลไปร้องกับกองปราบปราม เพื่อแจ้งข้อหาเอาผิดในมาตรา 112 หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมาตรา 157 ในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ไม่ได้เป็นผู้นำข้าราชการตำรวจทหารระดับนายพลเข้าเฝ้าฯ เพื่อประดับยศว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาไปกล่าวหาตน เมื่อถามว่าแสดงว่าการมอบหมายให้นายสุเทพนำคณะเข้าเฝ้าฯ ทำได้ตามกฎหมาย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้ชัดเจนมาก แล้วก็ไม่มีกรณีใดๆ เป็นเรื่องที่ผมไปหมิ่นเบื้องสูง” เมื่อถามว่าตั้งข้อสังเกต หรือไม่ ว่าทำไมจึงมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ต้องไปพิจารณาต่อไป

ทางด้านนายสุชาติ ลายน้ำเงิน รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ไม่ไปร่วมงานพระราชทานยศทหารและตำรวจที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ว่า นายอภิสิทธิ์ทำหนังสือกราบบังคมทูล ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับไม่ไป มอบหมายให้นายสุเทพไปแทน นายอภิสิทธิ์ไปปาฐกถาที่ตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่เคยมีนายกฯ คนไหนที่ทำเช่นนี้ ชมรมทนายความไปแจ้งความกับกองปราบปราม ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์แล้ว

เทพเทือก"ซัดพันธมิตรทวง พระวิหาร ซ้ำเติมบ้านเมือง


มติชน : “สุเทพ”เตือนพันธมิตรอย่าซ้ำเติมบ้านเมือง ชี้สองชาติกำลังแก้ปัญหา”พระวิหาร” ไม่ควรเข้าไปวุ่นวาย ปธ.ศาลปกครองสูงสุดแนะรัฐบาลอย่าปล่อยไปตามบุญตามกรรม ต้องทำให้เห็นว่าพื้นที่ทับซ้อนเป็นของไทย

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 กันยายน กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมระดมพลวันที่ 19 กันยายนนี้ เพื่อขับไล่ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ว่า ไม่ทราบว่ากลุ่มคนที่จะไปเขาพระวิหารจะไปทำไม ถ้าไปเพียงเพื่อแสดงออกถึงความรักหวงแหนแผ่นดินก็แสดงได้ แต่ควรระมัดระวังอย่าไปกระทบกับทางกัมพูชา พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น ทั้งไทยและกัมพูชาก็ตกลงกันแล้วว่า จะให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนไปศึกษา ไม่ควรจะเข้าไปวุ่นวาย

ผมจะไม่ไปว่าใคร พูดถึงใครในแง่ร้าย ทุกคนก็รักชาติบ้านเมืองก็ช่วยกันดูแลแล้วกัน อย่าไปซ้ำเติมบ้านเมืองก็แล้วกันครับ” นายสุเทพกล่าว และว่า เรื่องนี้ประชาชนไม่ต้องออกแรง เพราะรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศกำลังแก้ไขปัญหา กันอยู่ ทุกอย่างทำตามอารมณ์ตามหัวใจไม่ได้ เพราะใจคนมันวูบวาบเหลือเกิน

น.ส.วิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์กัมพูชาที่อ้างว่าทหารไทยยิงวัยรุ่นกัมพูชาที่เข้าไปตัดไม้พร้อมกับเผาทั้งเป็นว่า กรมกิจการชายแดน กองบัญชาการกองทัพไทย ยืนยันว่าไม่ได้มีการจับกุมใครตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่รับว่าได้พบคนลักลอบเข้ามาตัดไม้จริงเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เพียงแต่เตือนให้ออกไปโดยไม่มีการจับกุมหรือปะทะกันแต่อย่างใด

กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้เชิญนายสุวัฒน์ แก้วสุข อุปทูตไทย ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงพนมเปญ ไปพบกับนายอึง เซียน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศกัมพูชาในวันที่ 15 กันยายน โดยฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความห่วงกังวลและไม่สบายใจกับรายงานข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์กัมพูชา และขอให้ฝ่ายไทยช่วยประสานกับหน่วยงานภายใน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งอุปทูตไทยรับว่าจะตรวจสอบและแจ้งผลให้ฝ่ายกัมพูชาทราบต่อไป โดยเชื่อว่าสามารถชี้แจงได้ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน” น.ส.วิมลกล่าว

นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงกรณีนาย เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระพร้อมพวกรวม 9 คน ยื่นฟ้องสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารและขับไล่

ประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่รอบบริเวณเขาพระวิหาร แต่ศาลแพ่งยกฟ้อง ว่าถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นเรื่อง หากเพียงแค่รัฐบาลไทยแก้ปัญหานี้ด้วยการเปิดเจรจากับประเทศกัมพูชาว่าพื้นที่เป็นอย่างไร เชื่อว่ากัมพูชาน่าจะยอม การทำให้ความจริงเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารปรากฏน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
นายอักขราทรกล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องทำให้กัมพูชาเห็นว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นที่ของไทย เพียงแต่ไม่กี่ปีที่

ผ่านมามีชาวบ้านกลุ่มนี้เข้ามาทำมาหากิน และไม่ถูกต้องอย่างไร โดยพื้นที่บริเวณนั้น มีทั้งทหารไทย และกัมพูชาเป็นพยานอยู่ รัฐบาลจึงต้องทำให้เกิดความเข้าใจ อย่าตั้งการ์ดเห็นเป็นศัตรู หรือเป็นคนละฝั่งมันจะจบปัญหานี้ไม่ได้ ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องทำความเห็นของคนในชาติให้เข้าใจ และหากมีบางส่วนที่บอกไม่ได้ก็ต้องบอกให้คนไทยรู้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเก็บไว้ใช้เจรจา ดังนั้นควรพูดให้รู้เรื่องอย่าปล่อยปัญหาทิ้งไว้อย่างนี้

ปัญหาบางอย่างหากมีความเห็นไม่ตรงกัน และใครผิดใครถูกยังไม่รู้ ผมคิดว่าเราสามารถพิสูจน์ความถูกต้องได้ด้วยข้อเท็จจริง เพราะหากปล่อยไปจะกลายเป็นไทยเรายอมรับแผนที่ และสิ่งที่เขากันไว้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เรามีนักกฎหมาย นักการต่างประเทศและมีคนกลางเก่งๆ มากในประเทศไทยที่จะออกมาช่วยรัฐบาลทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ดังนั้นไม่ควรนิ่งเฉย หรือให้เป็นไปตามบุญตามกรรม” นายอักขราทรกล่าว
ด้านเครือข่ายสภาประชาชน 4 ภาค และเครือข่ายสภาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด กว่า 200 คน นำโดย

นายประพาส โงกสูงเนิน ประธานสภาประชาชน 4 ภาค ชุมนุมบริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เขตเทศบาลนครนครราชสีมา เชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมทวงคืนเขาพระวิหาร รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาล โดย
เฉพาะกองทัพออกมาให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหาร บนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหลังมี

กระแสข่าวประเทศไทยเสียดินแดนดังกล่าวให้กับฝ่ายกัมพูชาไปแล้ว เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรสงขลาเพื่อประชาธิปไตย รวมตัวกันที่ลานประวัติศาสตร์หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ ก่อนเคลื่อนขบวนรถจักรยานยนต์และรถยนต์กว่า 20 คันไปรอบๆ ตัวเมืองหาดใหญ่ แจกจ่ายใบปลิวรณรงค์ให้ชาวหาดใหญ่เข้าร่วมชุมนุมใหญ่กับกลุ่มพันธมิตรทั่วประเทศเพื่อทวงคืนผืนแผ่นดินเขาพระวิหาร ในวันที่ 19 กันยายนนี้ ที่อุทยานปราสาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

แจง"นายกฯ"แจกสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ สวนทางการทำ "โฉนดชุมชน"

ตามนโยบายการกระจายการถือครองที่ดินของรัฐบาลที่นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศมาตรการที่เกี่ยวข้องและกำลังดำเนินการคือ โฉนดชุมชน การคุ้มพื้นที่เกษตรกรรม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และกองทุนธนาคารที่ดิน ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ทำพิธีตัดริบบิ้นเปิดการสัมมนาเรื่องโฉนดชุมชนที่ทำเนียบรัฐบาล และมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประเด็นเรื่องโฉนดชุมชนตามภูมิภาคต่างๆ อีก 4 ครั้ง ซึ่งได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

วานนี้ (15 ก.ย.52) ที่สมาคมนิสิตเก่า คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ มีการสัมมนา “โฉนดชุมชน และนโยบายการกระจายถือครองที่ดิน” โดยศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เพื่อรวมรวบความเห็นเสนอต่อตัวแทนรัฐบาล ในการเตรียมการออกระเบียบสำนักนายกสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน ซึ่งคาดว่าจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในเร็ววันนี้
ชี้ “นายก” แจกสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ เหมือนรับซื้อของโจรมาหาคะแนนนิยม

ในขณะที่ประเด็นเรื่องโฉนดชุมชนยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยเฉพาะท่าทีของรัฐบาลต่อการจัดทำโฉนดซึ่งถูกมองว่าอาจจะเป็นเพียงการนำพื้นที่ป่ามาแจกสิทธิทำกิน (สทก.) แบบแปลงใหญ่ รัฐบาลได้จัดทำ “โครงการ 1 ล้านไร่มิติใหม่ราชพัสดุ” เดินหน้านำที่ราชพัสดุมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร โดยมีเป้าหมาย 1 ล้านไร่ภายในปี 2555 และเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ไปแจกสัญญาเช่าที่ดินทำกิน จำนวน 1,182 ราย ให้กับเกษตรกรที่ อ.หนองเสือ และอ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี อีกทั้งประกาศเดินหน้าให้เช่าที่ดินราชพัสดุต่อไป

ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงกรณี ที่ดิน อ.หนองเสือ และอ.ธัญญบุรี จ.ปทุมธานี ว่า เป็นปัญหาซับซ้อน เพราะที่ดินทั้งสองแปลงชาวบ้านได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินโดยยืมเงินมาจากกองทุนเพื่อจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกรตั้งแต่ปี 2513 เพื่อซื้อที่ดินที่เคยเช่ากันมายาวนานจาก กองมรดกของ ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ แต่เนื่องจากมีมติ มติ ครม.25 ธ.ค.2544 ห้ามนำที่ดินราชพัสดุมาดำเนินการจำหน่าย จ่าย โอน แก่ผู้อื่น ทำให้เกิดการส่งที่ราชพัสดุ คืนแก่กรมธนารักษ์

การที่นายกนำสัญญาเช่าที่ราชพัสดุไปแจก แล้วบอกว่าชาวบ้านจะมีที่ทำกิน โดยทำเหมือนเป็นที่ดินที่รัฐหาให้ เหมือนรัฐบาลปัจจุบันมาเป็นคนรับซื้อของโจร เนื่องจาก มติ ครม.2544 ที่ออกมาโดยรัฐบาลทักษิณถือเป็นการปล้นที่ดินไปจากชาวนาที่ต้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินที่ตนเอง แต่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์กลับรับซื้อของโจรเอาไปดำเนินการต่ออีก

ดร.ประภาส กล่าวต่อมาถึงการจัดการที่ดินของรัฐบาลว่า รัฐบาลคิดว่าที่ดินที่อยู่กับที่ราชพัสดุที่ถือเป็นที่ดินของรัฐนั้นจะไม่เปลี่ยนมือ แต่การให้เช่าเป็นรายๆ โดยกรมธนารักษ์ สามารถเปลี่ยนมือไปอยู่กับนายทุนได้ และไม่ผิดกฎหมาย เพราะการเช่าที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ไม่ได้ห้ามเปิดให้ใครก็ได้ที่เข้ามาเช่าที่ทำกิน มีการขายกรรมสิทธิ์ในการเช่าได้ สามารถเปลี่ยนจากที่เกษตรกรเป็นโรงงานอุตสาหกรรมได้ และสุดท้ายเกษตรกรจะฉิบหาย นอกจากนี้ยังถือเป็นการทำลายสหกรณ์ ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังมีมติ ครม.เมื่อปลายเดือนสิงหาคมให้กระทรวงการคลัง เข้ามาแจกที่ดินแทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย

รัฐบาลได้ดำเนินการในลักษณะที่สวนทางกับโฉนดชุมชน รวมทั้งในส่วนนโยบายที่ว่าจะหนุนเสริมเกษตรกร ให้มีการคุ้มครองพื้นที่เกษตร และพัฒนากองทุนที่ดิน และเอาที่ดินมาให้เช่าแบบนายทุนโรงสี นอกจากนี้ที่ผ่านมาโฉนดชุมชนจะพูดถึงเรื่องป่า เรื่องที่ดินของรัฐ แต่การจัดการที่ดินของเอกชนที่ยังคงมีการกระจุกตัวและเป็นปัญหาที่มีมานานจะจัดการตรงนี้อย่างไร ยังเป็นคำถาม ไม่เช่นนั้นการดำเนินการโฉนดชุมชนจะแคบมาก

นางสุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าว่า โฉนดชุมชนสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย และประชาชนเท่านั้นที่จะจัดการโฉนดได้ โดยประชาชนต้องตระหนักในการจัดการที่ดิน มีความคิดริเริ่ม และต้องการรักษาที่ดินของชุมชน ทั้งนี้การต่อสู้หลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยเรียกร้องลดค่าเช่านา แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรไม่มีที่นาของตนเอง ไม่มีที่อยู่ที่มั่นคง คนวันนี้ไม่มีที่มั่นคง ทั้งที่เริ่มต้นผู้คนไปบุกเบิกที่ไร่ที่นาและควรมีสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย การปฎิรูปที่ดินก็เพื่อความมั่นคง รักษาที่ดินให้อยู่ยั่งยืนไม่ถูกขายทอด

ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายที่ดี แต่หลายนโยบายถูกทักท้วง โดยเฉพาะจะเอาพื้นที่ราชพัสดุ จำนวน 1 ล้านไร่ มาให้เกษตรกรเช่า แต่ความเป็นจริงทุกพื้นที่มีคนอาศัยอยู่ อีกทั้งในพื้นที่นั้นๆ อาจมีปัญหาทับซ้อนระหว่างที่ดินของชาวบ้านกับเขตทหาร ที่ราชพัสดุ หรือที่ดินรัฐอื่น เกิดการยกที่ดินที่มี่ปัญหาขัดแย้งให้รัฐจัดการเวรคืน ทำให้ราษฎรกลายเป็นผู้บุกรุก ส่วนรัฐได้หน้าเสมือนว่าเอาที่มาแจกให้ชาวบ้าน

ส่วนที่คลองโยง จ.นครปฐม รัฐบาลได้ใช้นโยบายตามใจชอบ ใช้มติ ครม.ปี 2513 มีกองทุนเช่าซื้อให้เกษตรกร แต่มติสหกรณ์เช่าซื้อที่ดิน ทั้งที่คลองโยง ที่หนองสือและที่ดินธัญญบุรี มติ ครม.ปี 2544 สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกไปทั้งหมด โดยมาจบห้วนๆ ที่ให้เป็นที่ราชพัสดุของรัฐ และเมื่อระบบอุตสาหกรรมเข้ามาจะไปซื้อที่ราชพัสดุที่ใดก็ได้ ทำให้น่าวิตกที่ดินเหล่านี้เมื่อรัฐบาลแจกจัดสรรให้เกษตรกรผู้ยากไร้จะถูกขายทอดให้กับนายทุนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม นางสุนีแสดงความเห็นว่า ที่ดินสหกรณ์เช่าซื้อดังกล่าว ควรได้สิทธิสมบูรณ์ในการเป็นโฉนดที่เป็นกรรมสิทธิของบุคคล ส่วนการเป็นโฉนดชุมชนควรเป็นความสมัครใจร่วมกันของชุมชน ให้ได้รับสิทธิก่อน หากสมัครใจทำโฉนดชุมชนก็เป็นสิทธิที่รัฐควรให้การสนับสนุน

เรื่องที่ดินเป็นการเรียกร้องสิทธิไม่ใช่การแบมือขอที่รัฐจะให้อะไรก็ได้” นางสุนีกล่าว โดยให้ยกเว้นคนที่จนจริงๆ ที่ตกหล่นทางประวัติศาสตร์ ไม่มีที่ดินทำกินซึ่งรัฐต้องไปจัดสรรที่ดินให้

อดีตคณะกรรมการสิทธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าว่า ควรมีการสะสางประวัติศาสตร์เป็นชุมชน เป็นเรื่องๆ ไม่ใช่แก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายอย่างเดียว เพราะกฎหมายล้าหลังแทบทุกทั้งเรื่องป่า เรื่องที่ราษฎรชพัสดุ ทั้งนี้คิดว่ารัฐบาลได้เดินมาถูกทางแล้วที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา แต่หากไม่สางประวัติศาสตร์ที่รุงรังอยู่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้แก้

ด้านนายปัญญา คงปาน ตัวแทนชาวบ้านจากสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดินหนองเสือ กล่าวว่า มารดาเป็นผู้มีสัญญาเช่าซื้อกับสหกรณ์เช่าซื้อในพื้นที่ อ.หนองเสือ ขณะที่รัฐบาลตั้งแต่ปี 2513 จัดตั้งโครงการกองทุนเพื่อจัดหาที่ดินให้เกษตรกร ในรูปของนิคมสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดิน ซื้อสหกรณ์ได้มีการดำเนินการเช่าซื้อจนชาวบ้านได้กรรมสิทธิ์ไปแล้วส่วนหนึ่ง ปัจจุบันชาวบ้านยังเรียกว่า นากองทุนฯ ตั้งแต่คลอง 10-12 เนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ แต่ก็บังมีชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ที่เพราะติดมติ ครม.ปี 2544

เหมือนชาวบ้านถูกยึดที่แล้วนำมาจัดสรรใหม่ ชาวบ้านไม่รู้จะเคลื่อนอย่างไร เตรียมที่จะร่วมตัวกับกลุ่ม คลองโยง นครปฐม เพื่อเรียกร้องให้มีการออกโฉนดชุมชนดูแลกันเองในรูปแบบสหกรณ์ แทนที่จะนำไปจัดสรรก็จะอยู่ต่อไป แต่ถ้าให้กรมธนารักษ์ นำที่ราชพัสดูไปจัดสรรเช่าที่ทั้งหมด ก็จะตกไปอยู่กับนายทุนแน่ๆ เพราะสามารถเปลี่ยนมือหรือผู้เช่าได้ง่ายมากตลอดเวลาโดยไม่มีการตรวจสอบใดๆ” นายปัญญา กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อโครงการแจกเอกสารสัญญาเช่าที่ดินทำกินให้เกษตรกรในพื้นที่ อีกทั้งยังคาดหวังว่าโฉนดรวมโดยให้สหกรณ์ดูแลจะป้องกันการเปลี่ยนมือได้

นายไพโรจน์ พลเพชร ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวถึงปัญหาที่ดินในส่วนสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินว่า ต้องเคลื่อนไหวให้ปลดล็อคมติ ครม.ปี 2544 กลับไปสู่สิทธิการเช่าซื้อที่ดิน ที่มีสิทธิขององค์กรชุมชนคือสหกรณ์อยู่แล้ว แล้วถ้าประสงค์ทำโฉนดชุมชนก็ดำเนินการได้ แม้ระเบียบสำนักนายกฯ จะไม่รับรอง เพราะยังเป็นที่ดินของชุมชน ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องมุ่งกระจายสิทธิการถือครองที่ดินที่เป็นจริง ไม่ใช่เฉพาะที่ดินในเขตป่าและรัฐ และจะต้องสามารถนำนโยบายไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อื่นได้ และมีมาตราการเสริม

ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน วิจารณ์ถึงโครงการนำที่ราชพัสดุมาให้เกษตรกรเช่าว่า รัฐบาลกำลังสับสนโดยในมิติหนึ่งต้องการเสียง แจกที่ดินให้เช่า 1 ล้านไร่ใน 1 ปีโดยหารู้ไม่ว่าจะนำมาสู้การกระจุกตัวของที่ดิน กำลังจะแปลที่ดินของรัฐ ของหลวง ไปให้นายทุน เป็นการก่อการกระจุกตัวรอบใหม่ นอกจากนี้การครอบครองที่ดินโดยมีสัญญาเช่าถูกกว่าการซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำให้นายทุนยิ่งซื้อได้สบาย และที่สำคัญมากกว่านั้น มันจะถูกผูกขาดโดยนายทุนต่างชาติที่มีพร้อม

นโยบายฟอกที่ดินให้นายทุนโดยผ่านมือเกษตรกรก่อน” นายไพโรจน์กล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายฟอกที่ดิน ไม่สามารถแกปัญหาการกระจายสิทธิการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมได้ นอกจากนั้นคนทำโฉนดชุมชนต้องแสดงตัวว่าเป็นของแท้ ไม่ใช่หวังได้ที่ดินชั่วคราวแล้วเอาไปแบ่งกัน แต่จะรักษาไว้ให้ลูกหลาน

อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำถึง 3 เรื่องหลังกที่ต้องต่อสู้ว่า ประกอบด้วย 1.เรื่องโฉนดชุมชน ซึ่งใช้ประโยชน์เป็นเจ้าของร่วม คืออำนาจที่เคยมีอยู่ในรัฐหรือเอกชนไปให้ชุมชน เป็นการปฎิรูปอำนาจ มีคนอยู่ในที่ดินอยู่แล้วเพียงแต่ให้เป็นจริงในหลักการ 2.มีธนาคารที่ดิน เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นการปฏิรูปที่ดิน และ 3.ที่ถอยไปแล้วเรื่องภาษีที่ดิน ควรต้องจัดเก็บในอัตราก้าวหน้า สำหรับผู้ที่มีที่ดินมากเพื่อกระจายความเท่าเทียม
หวั่น คลอด “ระเบียบสำนักนายกฯ เรื่องโฉนดชุมชน” พิกลพิการ สร้างปัญหา

นายนิพนธ์ บุญญภัทโร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โฉนดชุมชนเป็นนโยบายรัฐบาลมีระบุตามรัฐธรรมนูญมาตรา 66 65 และ 85 เพื่อกระจายการถือครองที่ดินให้เกษตรกร แก้ปัญหาทำกินอย่างยั่งยืน ในส่วนการบุกรุกทำลายป่าหรือการตั้งชุมชนในพื้นที่ป่าที่มีข้อขัดแย้งว่าใครมาก่อนมาหลัง ที่มีกรณีปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐแผวถางทำลายทรัพย์สินชาวบ้านโดยอ้างข้อกฎหมาย รัฐบาลได้ให้ชะลอการดำเนินการในพื้นที่ไปก่อนจนกว่าจะมีการจัดการโฉนดชุมชนแล้วเสร็จ

โฉนดชุมชนเมื่อแก่ตัวจะเป็นรูปแบบการปกครองตนเอง โดยประชาชน เพื่อประชาชน อีกรูปแบบหนึ่ง” นายนิพนธ์แสดงความเห็น

ในส่วนการให้ความหมาย นายนิพนธ์ กล่าวว่า โฉนดชุมชนเป็นพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยปะปนกันไป โดยที่สำคัญต้องมีภาครัฐสนับสนุน ในส่วนงบประมาณเพื่อจัดทำแผน ให้ความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่มีโฉนดของปัจเจกอยู่ในนั้นให้เป็นผืนดินเดียว มีอาณาเขตชัดเจน เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ดั่งเดิม มีกติกาในการอยู่ร่วมกันซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้อนาคตอาจต้องมีการอบรม มีพี่เลี้ยงในเรื่องฉโนดชุมชน โดยรัฐสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรม วิถีชีวิตที่ถูกต้องเป็นธรรม

นายนิพนธ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาความขัดแย่งที่มีในระดับพื้นที่ด้วยว่า แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน เหมารวมไม่ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ใดมีความขัดแย้งรัฐกับชุมชน กรมป่าไม้ต้องตกลงและยอมถอย และคณะรัฐมนตรีก็ต้องดำเนินการได้ เพราะกฏหมายรัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ เช่นพื้นที่ อ.เคียนซา เป็นที่ราชพัสดุที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าทำเหมืองลิกไนต์ สามารถทำเป็นโฉนดชุมชนได้ พื้นที่อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่ป่าสงวนที่นายทุนบุกรุกเมื่อปี 2528 มีนายทุนเช่าเป็นเวลา 15 ปี ครบสัญญาเช่าปลูกปาล์ม รัฐบาลต้องตัดสินใจให้ชัดเจน เมื่อรัฐประกาศเป็นพื้นที่สปกงแล้วจะต้องขับไล่ให้นายทุนออกไป แต่นายทุนก็มีอิทธิพล ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมีอิทธิพล จึงไม่มีใครแก้ปัญหาได้ ดังนั้นโฉนดชุมชน จึงต้องดูเป็นแต่ละพื้นที่ไป

พื้นที่เอกชนต้องเปิดโอกาสให้ทำโฉนดชุมชน แต่ให้ชุมชนร้องขอยื่นเข้ามาหลังระเบียบสำนักนายกฯ ประกาศออกมา แต่ขณะนี้ยังเป็นร่างอยู่ จึงต้องรับฟังประชาชน และกระบวนการการมีส่วนร่วมที่ถูกต้อง การประชุม ครม.ก็ไม่มีร่างระเบียบฯ เสนอเข้าไป อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ยังคงเห็นภาคประชาชนขับเคลื่อนมีข้อคิดเห็น แต่ตอนนี้ยังมีความสับสนมากมายที่ดินหนองเสือ ธัญญบุรีที่นายกฯ ไปแจกที่ดิน ก็ยังมีความสับสนอยู่" นายนิพนธ์ กล่าว

นายวีรวัธน์ ธีรประสาธน์ ประธานคณะทำงานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาที่ปรึกษาฯ กล่าวว่าสิทธิร่วมในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม โดยโฉนดชุมชนมีปัญหาตรงที่การมุงเน้นเอาแต่เอกสาร ทั้งที่การจัดการทรัพยากรร่วมในกฎหมายมีการเปิดช่องไว้ ทั้งกฎหมายอุทยานแห่งชาติ มาตร 19 และกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติมาตรา 15-16 สามารดำเนินการโดยไม่ต้องออกกฎหมายได้เลย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าเอาจริงหรือเปล่า ส่วนตัวคิดว่าการออกระเบียบ หรือกฎหมายที่เป็นสูตรสำเร็จเพื่อใช้ทั่วประเทศจะเป็นปัญหา และห่วงระเบียบสำนักนายกฯ ที่จะออกมา เพราะเชื่อว่าถึงปัจจุบันหลักการยังจูนกันไม่ตรงกัน การจัดการร่วมกันของชุมชนไม่ใช่เรื่องใหม่ หากติดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ดินเป็นของแม่ธรณี ไม่มีกรรมสิทธิเป็นเพียงการขออนญาติใช้ หรือไร่หมุนเวียนของภาคเหนือไม่มีใครเป็นเจ้าของแต่หมุนเวียนใช้ร่วมกัน เรื่องการจัดการอย่างมีส่วนร่วมไม่จำเป็นต้องมีกฎหมาย แต่ว่ากันในการจัดการแต่ละเรื่อง ในแต่ละพื้นที่มีสภาพแตกต่างกัน

นายวีรวัธน์ กล่าวต่อมาถึงข้อเสนอในเรื่องหลักการโฉนดชุมชน 6 ข้อ ประกอบด้วย 1.สิทธิการใช้ร่วมกัน ทำได้ทุกพื้นที่ไม่ว่าที่ดินรัฐหรือเอกชน หากอยู่บนหลักการว่าทำให้เกิดความเป็นธรรมได้ แม้จะมีกรรมสิทธิเป็นราย แต่หากมีรูปแบบการจัดการร่วมกันก็สามารถทำได้ 2.ต้องเป็นการจัดการร่วมของชุมชน ชุมชนทำกฎเกณฑ์ของตนเองออกมาอย่างชัดเจน รัฐทำหน้าที่สนับสนุนให้กฎเกณ์นั้นเดินต่อไปได้ 3.ต้องยั่งยืน อยู่ไปชั่วลูกหลาน 4.สอดคลองวัฒนธรรมความเชื่อแต่ละพื้นที่ 5.มีกฎเกณฑ์ ที่เป็นที่รู้ ยอมรับ เช่นการใช้จารีตประเพณี หรืออาจเขียนขึ้นมาเป็นธรรมนูญ 6.การจัดการเรื่องที่ดิน ต้องจัดการเป็นองค์รวม อย่างมองเรื่องเดียว

อย่างไรก็ตามยังมีตัวขวาง 2 ส่วน คือ 1.ผู้ปฎิบัติการในพื้นที่ใช้กฎหมายเล่นงานชาวบ้าน และ 2 ซึ่งถือเป็นตัวขัดขวางใหญ่ คือสาธารณะชน สิทธิร่วมถูกขวางโดยทุนนิยม ต้องมีการทำความเข้าใจ

ด้าน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รัฐบาลต้องออกกฏระเบียบชัดเจน และไม่มีกติกาไหนใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่วิตกว่ากฏระเบียบสำนักนายกฯ ออกมาปฏิบัติไม่ได้ เพราะหลักการไม่ชัดเจน หากหลักการชัดเจนกฏระเบียบต้องกลับมาที่เจตนารมย์ ซึ่งหากไม่ชัดเจนทำให้ราชการสับสน และผลักดันโฉนดชุมชนยาก

โฉนดชุมชนสะท้อนการกระจายอำนาจที่แท้จริง เพราะเป็นเรื่องวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการจัดการทรัพยากรของชุมชน” ดร.นวลน้อย กล่าว

นายประยงค์ ดอกลำใย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ กล่าวว่า เรื่องนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน มีการพูดชัดเจนใน 3 เรื่อง คือคุ้มครองพื้นที่เกษตร รับรองสิทธิชุมชนโดยโฉนดชุมชน และจัดหาที่ดินรูปในแบบธนาคารที่ดิน ซึ่งนโยบายเหล่านี้เป็นความหวังของเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมมีช่องว่าในการถือครองที่ดินสูง มีการถือครองที่ดินไม่ถูกต้อง มีที่ดินเอ็นพีแอล ที่ดินเช่าซื้อ (ที่ดินสีเทา) ในกรณีที่ดินสหกรณเช่าซื้อที่ถูกเปลี่ยนเป็นที่ราชพัสดุ ให้เช่าไม่จำกัดผู้ซื้อสิทธิ และสามารถซื้อสิทธิติดๆ กันได้ ไม่มีการกำหนดจำนวนการซื้อ

โฉนดชุมชนที่พูดในวันนี้ เป็นฟางเส้นสุดท้ายของรัฐกับประชาชน” นายประยงค์แสดงความเห็น และกล่าวว่าระเบียบสำนักนายกฯ ที่ระบุถึงการจัดการโฉนดชุมชนในที่ดินของรัฐ แต่ในพื้นที่ อ.โนนดินแดง เป็นที่ดินรัฐก็ยังมีปัญหาการข่มขู่คุกคาม และการกดดันในพื้นที่ ทำให้ไม่แน่ใจว่าระเบียบสำนักนายกฯ ที่คาดว่าจะออกในสัปดาห์หน้า จะเป็นเครื่องมือกระจายการถือครองที่ดินได้จริง ซึ่งถ้าออกได้ตามความต้องการของประชาชนได้ถือว่าดี เพราะจะช่วยแก้ปัญหาประชาชนได้ แต่หากไม่ดีก็เป็นปัญหา คำถามคือประชาชนต้องเดินหน้าต่อ หรือจะทำให้แท้ง เพราะร่างระเบียบสำนักนายกไม่ใช้แก้วสารพัดนึก ที่คิดว่าจะเป็นปัญหาได้ทุกอย่าง อีกทั้งยังหวั่นว่าจากออกมาแบบพิกลพิการ

ระเบียบสำนักนายฯ ยกสะท้อนความล้มเหลวในการกระจายการถือครองที่ดินของรัฐบาล” นายประยงค์กล่าวย้ำ

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

หญิงอ้อ’ ขึ้นศาลเบิกความคดียึดทรัพย์ทักษิณ




ข่าวสด : เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 15 ก.ย. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ไต่สวนพยานครั้งแรก คดีหมายเลข อม.14/2551 ที่อัยการสูงสุด ร้องขอให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุคคลในครอบครัว มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ โดยขณะดำรงตำแหน่งใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น

โดยการไต่สวนวันนี้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเบิกความเป็นพยานฝ่ายผู้คัดค้าน ระบุถึงขั้นตอนการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในราคาทุนให้กับนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดาซึ่งมีความผูกพันกันมาก จนต่อมาทั้งคู่ได้ตัดสินใจขายหุ้นดังกล่าวให้กับกลุ่มทุนเทมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางมาศาลของคุณหญิงพจมาน ในวันนี้มีนายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว รวมทั้งนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายต่างมารดา เดินทางมาให้กำลังใจท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่มาติดตามทำข่าวจำนวนมาก

มติ ครม.ประกาศ พรบ.มั้นคง 18-22 ก.ย.

คมชัดลึก : ประชุม ครม.เห็นชอบประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคงช่วง 18-22 ก.ย. เฉพาะพื้นที่เขตดุสิต “ธานี”รับฟังแผนงานของการทำงานควบคุมฝูงชน

(15ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมครม.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบ ประกาศ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 18 – 22 ก.ย. โดยผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมจะได้รับการคุ้มครองดูแลที่ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.จะไม่กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยจะมีการใช้กฎหมาย 13 ฉบับและกฎหมายอาญา เป็นข้อกำหนดในการปฏิบัติงาน เช่น อาจมีการตั้งจุดตรวจค้นอาวุธในบางจุด ซึ่งจะใช้กำลังตำรวจเป็นผู้ปฏิบัติงานหลัก

และจะมีกำลังทหารเข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมา แต่โดยภาพรวมจากการประกาศใช้พ.ร.บ.ดังกล่าวมา 2 ครั้ง ถือว่าก็ไม่มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิของประชาชนแต่อย่างใด ทั้งนี้รัฐบาลขอขอชวนให้สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของกองอำนวยการรักษาความสงบ(กอรส.) ซึ่งต่างกับต่างประเทศหากมีการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะไม่อนุญาตให้สื่อเข้ามาสังเกตการณ์ พร้อมทั้งชี้แจงไปยังสถานทูตทั่วประเทศไทย ได้รับทราบด้วย

รัฐบาลได้รับรายงานว่าในการชุมนุมครั้งนี้ ตัวเลขของผู้จะมาร่วมชุมนุมนั้น มากกว่าครั้งที่ผ่านมา เพราะเขาสามารถระดมมวลชนได้รวดเร็ว ขึ้นอยู่กับผู้ที่สนับสนุนอยู่ข้างหลังว่าจะสั่งการอย่างไร ซึ่งวันที่ 16 ก.ย.นี้ จะมีการประชุมกอ.รมน. เพื่อประเมินสถานการณ์และตัวเลขของผู้ชุมนุมอีกครั้ง โดยนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้อำนวยการกอรส. เพื่อกำหนด ซึ่งรูปแบบคาดว่าจะคล้ายกับเมื่อครั้งที่ผ่านมา ” นายปณิธาน กล่าว

นายปณิธาน กล่าวว่า จากการประเมินของหน่วยงานด้านความมั่นคงมีการรายงานว่าจะมีผู้เข้ามาร่วมชุมนุมจำนวนมากขึ้น จากครั้งที่ผ่านได้ประเมินว่ามีผู้เข้ามาชุมนุม 2-3 หมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ กทม.และปริมณฑล แต่ในครั้งนี้มีการประกาศรวมตัวกันทั่วประเทศ ดังนั้นรัฐบาลต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เนื่องจากเป้าหมายหลักของการชุมนุมจะเคลื่อนขบวนไปชุมนุมบ้านพักของบุคคลสำคัญ สถานที่ราชการ ที่ทำการของรัฐ ที่ตั้งทหาร และสร้างสถานการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรง ดังนั้นภายในเวลา 5 วันของการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เชื่อว่ารัฐบาลจะควบคุมสถานการณ์และป้องกันเหตุได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในคดีสลายการชุมนุม 7 ต.ค. 51 จะส่งผลให้ตำรวจที่จะปฏิบัติหน้าที่ใส่เกียร์ว่างหรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า คิดว่าตำรวจสามารถแยกแยะได้ ขอย้ำว่าการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นเพียงการเฝ้าระวังเหตุ และให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมาย โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กอรส.ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมสถานการณ์ใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน และขอให้ครม.ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ

เมื่อถามว่าเหตุใดจึงประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไปถึงวันที่ 22 ก.ย. เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะไม่ชุมนุมยืดเยื้อ และจะสลายตัวในวันที่ 20 ก.ย นายปณิธาน กล่าวว่า ทราบว่ามีประชาชนหลายกลุ่มที่จะมาชุมนุม ซึ่งบางส่วนอาจจะเดินทางกลับไม่ทัน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่จะเตรียมตัวเดินทางกลับ ได้แยกย้ายกันโดยสวัสดิภาพ
เมื่อถามต่อว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีกลุ่มมือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง นายปณิธาน กล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ จึงขอความร่วมมือจากภาคประชาชน ให้เข้ามาร่วมสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม ถึงแม้จะมีแนวโน้มว่าไม่มีเหตุที่ต้องกังวลก็ตาม

ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลได้ประเมินหรือไม่ ในกรณีที่มีกระแสข่าวว่าการชุมนุมจะนำไปสู่เงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติ นายปณิธาน กล่าวว่า ครม. ไม่ได้ประเมินเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่ามีบางกลุ่มที่ปฏิเสธ การเมืองตามแนวทางประชาธิปไตย แต่สถานการณ์ขณะนี้ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และประชาชนยังให้การเมืองให้โอกาสรัฐบาลเข้ามาฟื้นฟูเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และสถานการณ์ทางการเมืองให้กลับสู่ภาวะปกติ

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

สมชาย วงค์สวัสดิ์ เปิดบัญชีกรรม...จารึกแค้น


มติชน : สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคิดแค้นบ้างไหม? “ลองคิดดูสิ… ผมก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเทพหน้าเขียวๆ นี่”

ผมไม่ได้ตั้งใจทำความชั่ว ไม่ได้ตั้งใจเบียดเบียนผู้อื่น ไม่อยากมีศัตรู และไม่อยากสร้างเวรกรรมกับใคร” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ตัดพ้อกับ “มติชน” ถึงชะตากรรมของตัวเองหลังพ้นวงโคจรอำนาจ หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีสั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พร้อมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.

ซึ่งทำให้วันนี้คนที่เป็นถึง “นายกรัฐมนตรี คนที่ 26″ ต้องตกอยู่ในสถานะของ “จำเลย” ที่ต้องคดีอาญา ทั้งๆ ที่เขายืนยันว่า “ไม่ได้ทำ”

แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น… สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร ?
เขาต้องรับกรรมจากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำจริงหรือ …หรือเป็นการรับเคราะห์แทนคนจากแดนไกล ?
จากบรรทัดนี้ไปมีคำตอบ …

หมดวาระนายกรัฐมนตรีแล้ว เคยคิดไหมว่าทำไมยังถูกเบียดเบียนอีก
การมีผู้อื่นเบียดเบียนมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องทำใจว่าถ้าทำดีและบริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องไปวิตกกังวล ใครทำบาปก็ได้บาป ทำบุญก็ได้บุญ แต่เราจะเป็นคนรับเคราะห์จากความบาปตรงนั้นหรือเปล่า อันนี้ยังไม่รู้ ไม่ได้คิดจองเวรจองกรรมกับใคร มันก็ไม่น่าจะส่งผลให้ผมจะต้องถูกกระทำการอย่างเลวร้าย หรือถ้าเป็นไปจริงก็อาจจะเป็นกรรมเก่ามั้ง

แล้วรู้สึกเจ็บปวดไหม
เจ็บอยู่แล้ว ที่เจ็บ เพราะผมเคยเป็นศาลตัดสินคนอื่น รู้สึกเลยว่าเวลาผมตัดสินคดีไป เวลาอ่านคำตัดสินไปถ้าตรงตามคดี จำเลยจะไม่ปริปากเพราะสำนึกผิดในสิ่งที่ถูกลงโทษ ซึ่งมีน้อยคนที่ผิดแล้วจะมาโวยวายว่าไม่ผิด แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ทำผิด แค่อ่านเรื่องเท้าความถึงการเบิกความตอนต้นมันจะเกิดปฏิกิริยาทำให้เรารู้ว่าไม่ใช่

สิ่งที่เกิดขึ้นมีคนตั้งใจทำให้ท่านต้องเจ็บ หรือต้องการให้เรื่องนี้ส่งสัญญาณความเจ็บไปถึงใคร
การที่คนไม่ได้รับความเป็นธรรมมันหนักกว่าต้องอดข้าวอดน้ำ หนักกว่าถูกตี ถูกทุบอีก ถ้าทะเลาะกันแล้วถูกทำร้ายก็จบกันไป แต่ความรู้สึกของการไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นกลางนั้นมันเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะบรรยาย

เพราะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลชินวัตรหรือไม่ ถึงต้องเจอกับปัญหาแบบนี้
มันไม่เกี่ยวกันหรอก ไม่ว่าใครจะยุ่งกะใคร ไอ้คนรักษาความเป็นกลางมันก็ต้องเป็นกลาง ถ้าคิดว่าเพราะผมไปยุ่งกับตระกูลชินวัตรแล้วผมต้องโดน อย่างนี้แปลว่าบ้านเมืองก็ไม่มีความเป็นกลางสิ ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเป็นมาตรฐานเดียวสิ ถ้าผมอยู่ในตระกูลชินวัตรแต่ไม่ได้ทำความผิดแปลว่าผมต้องผิดหรือ มันไม่ใช่ แต่มันต้องมีสปิริตและวิญญาณของผู้ทรงความเป็นกลางและเป็นธรรม และตระกูลนี้มันต้องเลวทั้งโคตร ตลอดเวลาการทำหน้าที่ของผมก็ตั้งใจทำงานตามหน้าที่ ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับชินวัตร หรือไม่ชินวัตรหรอก
มองจุดผิดพลาดของตัวเองในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 อยู่ตรงไหน

ผมไม่มีพลาดตรงไหน …ข้อหาที่ผมได้รับคือ 1.เรียกประชุม ครม.แล้วมีมติให้สลายการชุมนุม 2.ให้คนนำมติ ครม.ไปให้ตำรวจเพื่อดำเนินการปฏิบัติการสลายการชุมนุม 3.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ห้ามตำรวจมิให้ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อทำร้ายประชาชน ซึ่งมติ ครม. ที่ประชุมกันวันที่ 6 ตุลาคม นั้นผมได้เชิญประชุม ครม.แล้วก็แจ้งให้ทราบว่าบัดนี้มีผู้มาล้อมสภาทั้งที่สภาอยู่เฉยๆ แต่จู่ๆ กลับมีคนมาล้อมไม่ให้เข้าไปทำงาน ซึ่งก็มีรัฐมนตรีฝ่ายหนึ่งบอกว่าเราต้องย้ายที่ประชุมเพื่อไม่ให้ทะเลาะกันหรือเลื่อนวันประชุมออกไป ก็เลยสั่งให้ท่านชูศักดิ์ (ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี) โทรศัพท์ไปหาท่านชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าจะเลื่อนหรือย้ายที่ประชุมดีกว่าไหม ซึ่งท่านชัยบอกว่า สภามีไว้สำหรับประชุมสมาชิก ไม่สามารถย้ายไปประชุมที่อื่นได้ และยังไม่สามารถเลื่อนการประชุมได้ ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ก่อน จึงสรุปเป็นมติของ ครม.ว่า

วันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม) ให้รอดูว่าเข้าไปในสภาได้หรือไม่ ถ้าเข้าไปไม่ได้ก็ให้รอฟังประธานสภาจะว่าอย่างไร พร้อมกับมีมติให้ พล.อ.ชวลิต (ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ไปดูแลสถานการณ์ความสงบเรียบร้อย
ลองไปอ่านมติ ครม.สิ มันมีตรงไหนที่สั่งให้สลายการชุมนุม นี่แปลว่าผมได้รับข้อหาที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีใครจะเอามติ ครม.นี้ไปให้ตำรวจ ไม่มีใครหรอกที่ถือมติ ครม. เป็นคำสั่งให้สลายการชุมนุม มันเป็นไปไม่ได้ ส่วนที่ว่าผมไม่ห้ามให้ตำรวจยิงแก๊สน้ำตานั้น เข้าใจกันหรือไม่ว่าคนเป็นนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นมีหน้าที่ให้นโยบายในการทำงาน การพัฒนาสำนักงานตำรวจฯ นโยบายเพิ่มอัตราเพื่อให้เพียงพอกับความเป็นอยู่ของประชาชน จัดงบประมาณ สรรหาวัสดุอุปกรณ์และอาวุธยุทโธปกรณ์

ส่วนการปฏิบัติการสั่งให้จับกุมคนร้ายนั่นเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ที่ให้อำนาจไว้ ซึ่ง ผบ.ตร.มีอำนาจดำเนินการรักษาความสงบเรียบร้อย นายกฯไม่มีอำนาจไปสั่งให้จับใครได้หรือสั่งสลายม็อบได้ แล้ววันนั้นผมก็ยังไม่ได้ให้นโยบายตำรวจเพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภา หรือถ้าจะให้นโยบายก็ไม่เกี่ยวกับการสลายม็อบหรือปราบคน เพราะไอ้คนที่มาอย่างนั้นมันผิดกฎหมายและตำรวจก็ต้องดำเนินการอยู่แล้ว
ในคืนนั้นได้ให้คนโทรศัพท์ไปเชิญ พล.ต.อ.พัชรวาท มาให้ข้อมูลกับ ครม. แต่เผอิญวันนั้นผมไปสาย พล.อ.ชวลิต กับ พล.ต.สนั่น (ขจรประศาสน์) ก็บอกว่าคุยกันแล้วไม่มีอะไร เลยให้กลับไปรักษาความสงบเรียบร้อย ผมก็โอเค ไม่มีปัญหา นั่นเป็นสิ่งที่ได้พูดกับตำรวจ วันรุ่งขึ้นผมก็ไปที่สภา รู้ว่ามีการใช้แก๊สน้ำตา แล้วผมจะห้ามได้อย่างไร เพราะเลิกประชุม ครม. ก็ไปนอนอยู่บ้าน ไม่มีโอกาสรู้ว่าเขาทำอะไรกัน ถึงรู้ก็สั่งอะไรไม่ได้ เพราะตำรวจทำงานเฉพาะหน้า มีนายกฯคนไหนได้รับรายงานการสั่งยิง มีหรือไม่ วันนั้นพวกที่มาชุมนุมก็มีคนใช้ปืน ใช้ระเบิด อะไรต่อมิอะไร

พอเข้าสภา แถลงนโยบายเสร็จ เขาบอกว่าท่านนายกฯต้องรีบหนีแล้วเพราะเขาจะบุกเข้ามา บอกว่าจะฆ่ามัน ตำรวจก็จะใช้แก๊สน้ำตาเปิดทางให้ออกข้างหน้า ผมบอกว่าไม่ต้องใช้ ห้ามใช้แก๊สน้ำตา ตำรวจก็บอกว่ามีวิธีเดียวคือปีนหนีออกจากทางด้านหลัง ผมก็บอกว่าโอเค ไปพาดบันไดปีนหนีกัน ผมยอมเสียศักดิ์ศรีความเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจสั่งการได้ เพราะผมจะออกนอกสภา แต่มีคนมาล้อมไว้ คุณมีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังคนอื่นนะ แต่เพื่อไม่ให้มีเรื่อง ผมก็ปีนหนีไปพระที่นั่งวิมานเมฆ คนในพระที่นั่งบอกว่าท่านนายกฯอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะเขาล้อมจะเข้ามาทำร้ายแล้ว พระที่นั่งจะเสียหายไปด้วย ก็ต้องประสานขออนุญาตเอาเฮลิคอปเตอร์มารับ พอออกไปได้ก็ไปประชุมร่วมกับทหารและกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องชายแดนกัมพูชาต่อ จนเย็นก็ได้ข่าวทีหลังว่า ส.ส.กับรัฐมนตรีออกจากสภาไม่ได้ จนตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาอีกครั้ง แล้วผมจะไปนั่งห้ามตำรวจไม่ให้ใช้แก๊สน้ำตาได้อย่างไร

คิดว่าสาเหตุที่โดนชี้มูลความผิดครั้งนี้จริงๆ แล้วคืออะไร
ไม่รู้…ก็ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ แต่เมื่อตกเป็นผู้ต้องหา ผมก็ไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่นอะไร เพราะเป็นผู้พิพากษามา 20 กว่าปี รู้สิทธิของจำเลยและผู้ต้องหาว่ามีแค่ไหน พอเห็นข้อหาที่ตั้งมา…เราก็ เฮ้ย! มันไม่ถูก คือถ้าคุณจะดำเนินคดี จับกุม คุมขังใคร กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าจะต้องมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้ ผมจึงขอตรวจพยานหลักฐานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 40 (2) ว่าใช้หลักฐานอะไรในการกล่าวหา ท่านก็บอกว่าไม่ได้ ผมจึงร้องต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เพื่อขอให้ ป.ป.ช.เปิดข้อมูล ก็ไม่ส่งให้ อ้างเป็นความลับ แต่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารก็แจ้งเป็นหนังสือให้มาให้ถ้อยคำ เขาก็บอกว่าจะส่งให้วันที่ 15 สิงหาคม แต่พอถึงวันก็ไม่ส่ง คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารก็ให้ประธาน ป.ป.ช.มาให้ถ้อยคำวันที่ 8 กันยายน แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช.นัดชี้มูลวันที่ 7 กันยายน ผมก็เลยไปฟ้องศาลปกครองว่าการนัดชี้มูลไม่ถูกต้อง เพราะผมไม่ได้มีสิทธิแก้ข้อกล่าวหาสมบูรณ์ ผมได้รับการปฏิบัติในการดำเนินคดีไม่สมบูรณ์ ทำให้การสอบสวนน่าจะไม่ชอบ

คิดว่าคดีนี้มีจุดที่เลวร้ายที่สุดอยู่ที่ตรงไหน
มันก็เลวร้ายอยู่แล้วแหละตรงนี้ (ยิ้มเครียดๆ)
ติดว่าการต่อสู้ครั้งนี้มีความหวังไหม

ผมก็ต้องต่อสู้ต่อไป เพราะผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไอ้ที่คนบาดเจ็บก็เห็นอยู่ ศาลปกครองก็ชี้ว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธ ในจอโทรทัศน์ก็เห็นอยู่ แล้วหลังเกิดเหตุผมไปเยี่ยมตำรวจ 60 กว่าที่คนได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกอาวุธ ถูกยิง นี่หรือการชุมนุมโดยสงบ ไม่รุนแรง นี่หรือที่ว่าตำรวจไปดำเนินการแล้วตำรวจต้องมีความผิด ผมเห็นใจตำรวจนะ ถ้าไม่ทำก็จะถูกฟ้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อีก คนจะฆ่ากันทำไมไม่ไปดู คนจะฆ่าตำรวจ คุณอยู่เฉยๆ หรือ แล้วต่อไปตำรวจจะทำงานได้อย่างไร ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านพัชรวาท (วงษ์สุวรรณ) เป็น ผบ.ตร. มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เมื่อไปแตะต้องกลุ่มคนที่ถือว่าเป็นโจร มีอาวุธแล้วมีความผิด บ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร คิดแบบคอมมอนเซนส์ คิดแบบแม่ค้า ไม่ต้องเป็นนักกฎหมายหรอก แล้วถ้าต่อไปมีคนไปล้อมกรอบจะทำร้าย ป.ป.ช. ตำรวจบอกผมไม่ไปหรอก ถ้าไปผมก็โดนแล้วจะทำอย่างไร

ตอนนี้มีอดีตนายกฯ 2 คนโดนคดีอาญาและอาจจะต้องติดคุก

นั่นสิ เพราะอะไรล่ะ…ที่เล่ามาทั้งหมด คือความเป็นธรรมมันคลอนแคลน

มีแนวร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้บ้างหรือไม่

ผมก็สู้ไปตามวิถีทางตามกฎหมาย ผมไม่มีกองกำลังที่ไหนมาสู้กับใคร

เสื้อแดงเป็นกองกำลังและแนวร่วมในการช่วยเหลือได้เปล่า

เสื้อแดงเกี่ยวอะไรกับผม (ย้อนเสียงสูง)…จะมาช่วยอะไรผมได้ สำหรับเรื่องมวลชนก็โอเคเพราะเดี๋ยวนี้คนก็ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของ ป.ป.ช.เยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเพราะเขารักผม แต่เป็นเพราะเห็นความไม่เป็นธรรม ไม่ใช่ว่าผมจะต้องให้เขาทำอะไร

ไม่กี่วันนี้ก็เหตุปาระเบิดบ้าน ป.ป.ช. ซึ่งคนก็คิดว่าเชื่อมโยงกับการชี้มูลคดีนี้
จะคิดเชื่อมโยงอะไรก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับผม เพราะผมไม่ทำร้ายใคร ผมสู้ตามวิถีทางกฎหมายไปเรื่อย
จะมีคนที่รักท่านแล้วไปทำการอะไรบางอย่างแทนหรือไม่
ผมจะรู้ไหมนั่น ! (หัวเราะขื่นๆ)

ในทางการเมืองเหมือนถูกทิ้งให้สู้โดดเดี่ยว
ไม่มีใครทิ้งผมหรอก แต่กระบวนการมันยังไม่จบ ถ้าได้ฟังผมจนจบหรือยอมให้ผมสู้จนจบ มันอาจจะออกมาอีกแบบหนึ่งก็ได้ ผมไม่ได้บอกว่าท่านมีอคติกับผมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ยังไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมจะนำเสนอตามกฎหมายให้หมดสิ้นกระบวนการ สิ่งที่เกิดขึ้นเผอิญว่าคนบังคับใช้กฎหมายไม่ค่อยปฏิบัติให้ตรงตามกฎหมายสิ่งที่ผมได้รับไม่เป็นไปตามกติกา ผมก็ต้องสู้

วิจารณ์กันว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนสำคัญที่ทำให้ได้ขึ้นเป็นนายกฯและต้องพบกับชะตากรรมแบบนี้

ผมเป็นตัวผมเอง ตอนเป็นนายกฯก็ไม่มีใครบังคับให้เป็น และเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นผมก็ไม่โทษใคร
เป็นเพราะคนอื่นเดิมเกมผิดจนต้องร่วงหล่นจากอำนาจหรือไม่
ไม่มี…ผมตัดสินใจผมเองทุกอย่างแหละ เวลาทำงาน ไม่มีใครมาบงการ

กลัวการติดคุกไหม
คนทำผิด เขาไม่กลัวติด เพราะผิดก็ต้องติดไม่เป็นไร แต่คนไม่ทำผิด ถามว่ามันควรติดหรือไม่
ได้เป็นนายกฯ 67 วันถือว่าคุ้มค่าหรือไม่กับสิ่งที่ต้องเจอหรือไม่

ไม่ใช่ว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม แต่นั่นเป็นวิถีชีวิตที่มันต้องเดินไป ตอนผมเป็นนายกฯก็ไม่มีปัญหา แต่มีคนอันธพาลเข้ามาถ้าผมพูดอย่างนี้อาจจะบอกว่าแรงไป แล้วมันใช่หรือไม่ ยึดทำเนียบฯอยู่ ทำผิดกฎหมายเป็นร้อยๆ วันแล้วไปยึดสภา เหมือนห้ามไม่ให้เร้าเข้าบ้านเรา อย่างนี้มันอันธพาลไหม
เหตุการณ์ 7 ตุลาคมถือว่าอัปยศที่สุดในชีวิตแล้วหรือไม่

ไม่ใช่ (พูดเน้นเสียง) ที่โดนแบบนี้เพราะอะไร เพราะผมทำชั่วหรือเพราะความไม่เป็นธรรม เพราะผมทำหรือเพราะคนอื่นทำ ไม่ใช่โดนเพราะผมชั่วนี่ เพื่อนผมบอกว่ามันเป็นวิบากกรรม ผมก็อือ… ถ้าผมทำกรรมก็ต้องรับกรรม แล้วถ้าผมไม่ได้ทำกรรม…ผมจะต้องมารับกรรมไหม

มองว่าเป็นการรับกรรมแทน พ.ต.ท.ทักษิณ
คือ… ทำไมมันมาตกที่ผม ผมไม่ได้ทำ…แต่ใครเป็นคนทำก็ไม่รู้ (หัวเราะ )
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคิดแค้นบ้างไหม

ลองคิดดูสิ (ตอบสวนทันที มือที่กุมที่พักแขนเริ่มเกร็ง) ผมก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเทพหน้าเขียวๆ นี่
แค้นใครบ้าง

ไม่หรอก ใครทำกรรมอะไรก็รับไป (พูดช้าๆ) ผมไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งนั้น ถามว่าความแค้นความโกรธผมสลัดออกไป เพราะความโกรธฆ่าผู้โกรธ ผู้ถูกโกรธไม่ได้ถูกทำลายจิตใจไปด้วย เราจึงต้องทำใจเป็นปกติ ต่อสู้ด้วยสติ

จดชื่อคนที่แค้นลงบัญชีดำไว้เลยหรือไม่

หึ หึ (ไม่มีคำตอบ)

มีบัญชีแค้นหรือยัง
บัญชีอยู่ที่ยมบาล (เสียงต่ำ) ไม่ได้อยู่ที่ผม (หัวเราะเบาๆ) เพราะผมไม่ได้ทำอะไรใคร
ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ามีความคับแค้นซ่อนอยู่จนต้องลุกขึ้นมาสู้

ผมต้องสู้ต่อไป ทั้งหมดที่ผ่านมายังเป็นแค่เบื้องต้น ป.ป.ช.ไม่ได้ตัดสินว่าผมต้องมีความผิดในขั้นสุดท้าย ผมยังคิดว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ คนเรามีอายุ ผมก็ 60 กว่าแล้วอีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว
บางคนตายเพราะอยู่ฝ่ายชนะ แต่บางคนต้องตายอยู่กับฝ่ายพ่ายแพ้

ตายฝ่ายไหนกรรมก็ถูกจดกรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมถูกทำแบบนี้แล้วจะแพ้ พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนจนต้องตายเหมือนจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่สุดท้ายก็ชนะใจคนทั้งโลก ดังนั้น ถึงผมจะไปฆ่าคนคนนี้ตายแล้วต่อไปผมก็ตายพร้อมกับความชนะ มันก็ไม่มีประโยชน์

ประเมินว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะมีโอกาสชนะบ้างไหม
การต่อสู้ด้วยความที่รู้สึกว่าผมบริสุทธิ์ จึงหวังว่าในอนาคตจะต้องหวังพึ่งความยุติธรรม เพราะในช่วงที่ผมเป็นปลัดกระทรวงได้แก้กฎหมายเพิ่มเงินเดือนให้ผู้พิพากษา เพราะต้องการให้ท่านอยู่อย่างสบายไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับสถานะทางเศรษฐกิจ แม้จะไม่ร่ำรวยแต่ก็อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน ผมจึงมั่นใจว่าศาลยังมีความเป็นธรรมเสมอต้นเสมอปลาย เพราะท่านไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรเพื่อหาผลประโยชน์อีก
ไม่กลัวเรื่องตุลาการภิวัตน์หรือ

มันไม่มีหรอก ตุลาการภิวัตน์น่ะ ตุลาการก็คือตุลาการ ผมก็เคยเป็นตุลาการคือผู้ทรงความเป็นธรรมและอยู่เป็นกลางแค่นั้น ถ้าจะภิวัตน์ก็ต้องเป็นกลางและเคร่งครัดขึ้น ซึ่งผมมั่นใจว่าทุกคนต้องเป็นกลาง คำว่าตุลาการภิวัตน์ผมไม่เข้าใจ มันมีแต่ประเทศเราเหรอ ตุลาการต้องเคร่งครัดไม่มายุ่งกับการเมือง ไม่มายุ่งกับอะไรทั้งนั้น ต้องอยู่ตรงกลางอย่างเดียว ถ้าการเมืองทะเลาะกันถึงให้ศาลตัดสิน

ก็ไม่ใช่เพราะกระบวนการดังว่าหรือถึงทำให้นักการเมืองต้องออกมานั่งตบยุงกัน
ก็วิเคราะห์ดูว่ามันเป็นอย่างไรล่ะ เพราะอะไร มันจะมาภิวัตน์ทำไม ถ้าภิวัตน์แล้วมีปัญหา อยู่เฉยๆ แหละดีแล้ว

พล.ต.อ.พัชรวาทมีโอกาสเป็นแนวร่วมมุมกลับกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่
มันไม่ต้องมาพูดว่าเป็นแนวร่วมมุมกลับอะไรหรอก ผมว่าท่านก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน ก็ต่อสู้ไปมีอะไรก็ปรึกษาหารือกันได้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ตอนหลังยังไม่ได้คุยกันเลย ผมกำลังยุ่ง ท่านเองก็คงหัวปั่นอยู่มั้ง (หัวเราะ) ผมเองก็เห็นใจนะ ข้าราชการถ้าถูกบีบคั้น ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็อึดอัด ผมเข้าใจเพราะเคยเป็นทั้งข้าราชการและนักการเมืองมาก่อน เข้าใจมุมมองเรื่องเหล่านี้ดี

ศาลนัดสืบพยานคดีนักรบศรีวิชัย บุกยึด NBT ต้นปี 53


ศาลอาญา 14 ก.ย.- ศาลนัดสืบพยานคดีนักรบศริวิชัยบุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT นัดแรก ต้นปีหน้า โจทก์นำสืบพยาน 200 ปาก 36 นัด ส่วนทนายจำเลยนำสืบพยาน 115 ปาก 15 นัด ขณะเดียวกันมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลย 3 คน ที่ไม่มาศาล

ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (14 ก.ย.) ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันสืบพยานคดีหมายเลขดำ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายธเนศร์ คำชุม กับพวก ที่เป็นนักรบศรีวิชัยและการ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-82 ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไป หรือซ่อนตัวในเคหสถาน หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น

โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 210, 215, 309, 358, 364, 365 และ 371 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2545 และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2535 กรณีระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค.51 จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันประชุมวางแผนระดมคนบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT และร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 7.62 มม. จำนวน 1 กระบอก และซองกระสุนปืนจำนวน 1 ซอง กระสุนปืนไม่ทราบขนาด จำนวน 5 นัด และอาวุธปืนพกสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .38 และกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 45 นัด โดยไม่รับอนุญาต

จำเลยทั้งหมดเดินทางมาศาล ยกเว้นนายธนพัฒน์ วิไลภรณ์ จำเลยที่ 12 นายศุภชัย สมทอง จำเลยที่ 28 และนายมานิตย์ อรรถรัฐ จำเลยที่ 42 ซึ่งทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยที่ 12 ถูกคุมขังในคดีอื่นยู่ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี จำเลยที่ 28 ได้รับหมายเกณฑ์เป็นทหาร และถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่ จ.นราธิวาส ไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนจำเลยที่ 42 ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัดตรัง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 12 ศาลได้หมายเรียกไปยังเรือนจำพิเศษธนบุรี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงไม่ทราบว่าจำเลยได้รับการปล่อยตัวแล้วหรือไม่ ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 28 และ 42 เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าของเพื่อนจำเลย ไม่มีเอกสารหลักฐาน หรือใบรับรองแพทย์ยืนยัน กรณีจึงมีเหตุให้สงสัยว่า จำเลยที่ 12, 28 และ42 อาจหลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับและปรับนายประกัน

ฝ่ายพนักงานอัยการโจทก์แถลงขอนำสืบพยาน รวม 200 ปาก ประกอบด้วยผู้สื่อข่าว และพนักงาน สถานีโทรทัศน์ NBT กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม โดยใช้เวลาพิจารณารวม 36 นัด ส่วนทนายจำเลยขอสืบพยาน 115 ปาก ใช้เวลา 15 นัด ทั้งนี้ จำเลยทั้งหมดยังขอให้ศาลสืบพยานลับหลัง เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด มีภารกิจต้องประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ศาลสอบถามฝ่ายโจทก์แล้วขอค้านว่า ในการสืบพยานโจทก์ช่วงแรก พยานส่วนใหญ่เป็นประจักษ์พยานที่จะต้องชี้ตัวจำเลย ศาลพิจารณาแล้วจึงยังไม่อนุญาตให้สืบพยานลับหลังจำเลย

ในช่วงการสืบพยานโจทก์ 18 นัดแรก แต่หลังสืบพยานโจทก์ดังกล่าวเสร็จสิ้น ให้ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังเข้ามาอีกครั้ง ส่วนวันนัดสืบพยานให้โจทก์และจำเลย กำหนดนัดกันอีกครั้ง โดยให้เริ่มต้นสืบพยานโจทก์นัดแรกในช่วงต้นปี 53.

-สำนักข่าวไทย

"แม้ว"ไฟเขียวโครงการ"ลาวาแดง"ต่อยอดโรงเรียน นปช.หวังดึงมวลชนปูทางเลือกตั้ง เพื่อไทย

ทักษิณ"อนุมัติเสื้อแดงผุดโครงสร้าง"ลาวาสีแดง"ทั่วประเทศ สานต่อโรงเรียนนปช. หวังผลสร้างมวลชนให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง "ณัฐวุฒิ"ปั้นคนจบหลักสูตรรุ่นแรกเป็นครูบ้านนอกแต่ละพื้นที่

ณัฐวุฒิ"ตีปี๊บ"ลาวาสีแดง"ทั่วปท.
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และแดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า แกนนำเสื้อแดงจะยุติการเคลื่อนไหวจัดอบรมแกนนำคนเสื้อแดงไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นชุมนุมใหญ่ วันที่ 19 กันยายน เพื่อให้เวลาที่เหลือเตรียมความพร้อมชุมนุมใหญ่ แต่หลังเสร็จสิ้นจะหารือกำหนดจุดจัดอบรมในพื้นที่ต่างจังหวัด ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ตั้งเป้าว่าจะมีผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรแรกครบทุกภาคอย่างน้อย 3,000 คน ภายในเดือนกันยายน

คนที่ผ่านอบรมรุ่นแรกจะยกระดับเป็นแกนนำเสื้อแดงแต่ละพื้นที่ แล้วจะให้แต่ละกลุ่มจัดหลักสูตรของตัวเองเพื่อจัดอบรมสัมมนาแลกเปลี่ยนกันในระดับกลุ่ม ตามยุทธศาสตร์ "ครูบ้านนอก" เพื่อสานสัมพันธ์ในแต่ละพื้นที่ให้เหนียวแน่น เพื่อให้เข้าสู่โครงสร้างของ "ลาวาสีแดง" ที่แกนนำคนเสื้อแดงต้องการให้สมาชิกเสื้อแดงเคลื่อนที่ตลอดเวลาในทุกภูมิภาคของประเทศ" นายณัฐวุฒิกล่าว
เผย"แม้ว"ไฟเขียวสร้างมวลชน

แหล่งข่าวจากแกนนำคนเสื้อแดง เปิดเผยว่า โครงสร้างลาวาสีแดง เป็นเป้าหมายใหญ่ที่ต่อยอดจากโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช. "แดงทั้งแผ่นดิน" นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบให้แกนนำคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวดำเนินการเพื่อนำร่องสร้างมวลชนให้กับพรรคเพื่อไทย หวังผลระยะยาวไปที่การเลือกตั้ง ที่มั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้ามากกว่าการสร้างมวลชนเพื่อเอาโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์และอำมาตยาธิปไตยในระยะสั้นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบการหาเสียงที่ได้มาจากการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ที่ จ.สกลนคร และ จ.ศรีสะเกษ

เข็นโครงการไทยสามัคคีสู้20ก.ย.
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กลุ่มเสื้อแดงมีแนวคิดจะชุมนุมโดยกว้างขวาง และพยายามหยิบยกเงื่อนไขต่างๆ มาสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การสถาปนารัฐใหม่ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องชี้แจงเรื่องการรวมพลังเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยจะขอความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม. ในวันที่ 15 กันยายน ให้อนุมัติโครงการ "ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง" หลังได้รับความเห็นชอบจากนายอภิสิทธิ์เบื้องต้นแล้ว คาดว่าจะแถลงเปิดตัวโครงการได้ในวันที่ 17-18 กันยายน

สำหรับรูปแบบโครงการจะให้แต่ละจังหวัดรวมพลังมวลชนออกมาแสดงออกถึงความรักชาติของคนไทย มีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพร่วมกับฝ่ายต่างๆ ทำกิจกรรมที่สื่อถึงความสามัคคี โดยไม่ให้ยึดติดตัวบุคคล แต่ให้ยึดติดประเทศชาติ ทั้งนี้ จะดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน-4 ธันวาคม" นายสาทิตย์ระบุ

"เรืองไกร"ร้อง กกต.สอบนายกฯและครม. ขัด ม.268


วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2009 เวลา 12:48
14 กย. 2552 11:34 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้ส่งหนังสือร้องเรียนผ่านทางไปรษณีย์ เพื่อขอให้ กกต. ตรวจสอบนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่ากระทำการขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ เนื่องจาก มติ ครม. เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2552 ในโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่งตามแผนดังกล่าว มีการอ้างถึงงบลงทุนในส่วนของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 156,621 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าเป็นการก้าวก่ายบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพราะศาลปกครองเคยมีคำพิพากษาว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ถือเป็นบริษัทเอกชน

โดยมีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 52 % ดังนั้นจึงน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 268 และ 266 (1) ที่ระบุห้าม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น และอาจทำให้ต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีตาม มาตรา 182 ด้วย

โรงเรียนเสื้อแดงกำหนด 7 ยุทธวิธีไล่ รบ.อำมาตย์ ขัดขืนอำนาจรัฐ-ไล่ รมต.ทุกที่



เป้าผลิต1ล้านนักเรียนนปช.โรงเรียนเสื้อแดง สรุปแผนไล่รบ.อำมาตย์ กำหนด 7ยุทธวิธี ขัดขืนการใช้อำนาจรัฐ ฮือไล่รมต.-องค์กรอิสระทุกที่ วางเป้าผลิตนักเรียนนปช. 1 ล้านคน ขยายผลไปยังคนหนุ่มสาว ดึงคนใกล้ตัว-น.ศ.ร่วมขบวน โอ่ 19ก.ย.มีหมัดเด็ดน็อครัฐบาล

พท.ขู่"มาร์ค"ซ้ำรอย"ทักษิณ"
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงเมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่พรรคเพื่อไทย ถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายนนี้ว่า ขณะนี้มีแนวโน้มว่ารัฐบาลอาจจะประกาศใช้ พ.ร.บ.การความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อควบคุมและใช้กำลังทหารเป็นหลัก ดังนั้น พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้ทบทวนถึงผลดีและผลเสียของการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ เพราะน่าจะเป็นการยั่วยุทหารและประชาชนให้เกิดการเผชิญหน้าอีกครั้ง ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้วิเคราะห์แล้วว่าในวันที่ 19 กันยานยน จะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมนับแสนคน ดังนั้น ขอให้นายกรัฐมนตรีลดการเผชิญหน้า โดยใช้กฎหมายเท่าที่มีอยู่ก็น่าจะเพียงพอ

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า พรรคยังทราบว่าสายฮาร์ดคอร์ในหลายจังหวัดเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ซึ่งจะทำให้มือที่ 3 เข้ามาแทรกแซง จนทำให้อำนาจนอกระบบเข้ามาควบคุมสถานการณ์ อาจจะทำให้นายอภิสิทธิ์ตกเก้าอี้ เข้าลักษณะกงเกวียนกำเกวียนเหมือนกับกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไปประชุมที่สหรัฐอเมริกาแล้วไม่ได้กลับประเทศไทย จึงขอให้นายอภิสิทธิ์ทบทวนให้รอบด้าน อย่าฟังที่ปรึกษาสายเหยี่ยวเพียงอย่างเดียว ให้ยึดผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง

จตุพร" ชี้นายกฯเข้ามุมอับเอง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ให้สัมภาษณ์ที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 6 ถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงขว้างปาสิ่งของใส่นายกรัฐมนตรี ที่ จ.ลพบุรี ว่า เรื่องนี้ถือเป็นเพียงน้อยนิดกับสิ่งที่นายอภิสิทธิ์เคยทำ หากเทียบกับสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ถูกต่อต้าน กับที่นายอภิสิทธิ์สั่งสลายชุมนุมถือเป็นเรื่องเล็กน้อย และคนเสื้อแดงทำเต็มที่ก็ได้เพียงแค่นี้ ดังนั้น สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ต้องกลัวไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่ต้องกลัวพวกเดียวกันเองที่ไปทรยศหักหลังใครมา นายอภิสิทธิ์ต้องรู้ว่าในโลกความเป็นจริงประชาชนไม่ได้เลือกให้นายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ แต่ใช้วิธีอำมาตย์อุ้มมาเป็นรัฐบาล และบรรดาอำมาตย์ที่อุ้มนายอภิสิทธิ์ก็เริ่มมีปัญหาแล้ว

นายจตุพรกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 กันยายนนี้ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษว่า ยืนยันว่าหากวันดังกล่าวไม่มีเหตุการณ์อะไรก็จะชุมนุมถึงเพียง 24.00 น.เท่านั้น และหากมีการสร้างสถานการณ์ก็จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่หายนะ

นายอภิสิทธิ์ต้องรู้ดีกว่าทำอะไรกับใคร อีกทั้งการตั้ง ผบ.ตร ลึกๆ แล้วต้องการชนะใคร แล้วคุณมีอะไรถึงกล้าไปชนะเขา ชนะแล้วจะได้อะไร ผมขอเตือนสติว่าสถานการณ์วันนี้คุณอภิสิทธิ์ทำตัวเองเข้ามุมอับเอง" นายจตุพรกล่าว

ลั่น"ป๋าเปรม"คือต้นตอปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 19 กันยายน พล.อ.เปรมจะไม่พักอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ จะยังมีเป้าหมายบุกไปเหมือนเดิมหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า พล.อ.เปรมไม่มีทางอยู่ แต่วันที่ 19 กันยายน คือสัญลักษณ์แห่งการยึดอำนาจล้มล้างประชาธิปไตย คนที่เป็นแก่นแท้ยึดอำนาจคือ พล.อ.เปรม แม้ พล.อ.เปรมจะอยู่หรือไม่อยู่ที่บ้านสี่เสาฯก็มีค่าเท่ากัน และจะยังคงชุมนุมที่หน้าสี่เสาฯต่อไป ซึ่งหาก พล.อ.เปรมอยู่ในบ้าน คนเสื้อแดงก็จะไม่ทำอะไร แค่ชุมนุมเท่านั้น เพียงแต่มาบอกว่า พล.อ.เปรมคือต้นตอของปัญหาของประเทศเมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจะโฟนอินมาในวันดังกล่าวหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า ยังไม่มีการคุยกัน ยังไม่แน่นอน พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแค่คนคน หนึ่งในกระบวนการประชาธิปไตย และทาง นปช.ต้องคุยเป็นมติก่อนว่าจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณมาโฟนอินหรือไม่

เดินหน้ายุทธศาสตร์2ขา2แขน
นายจตุพรกล่าวถึงยุทธศาสตร์การต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงโค่นล้มรัฐบาลอำมาตยาธิปไตยภายใต้ยุทธศาสตร์ "เดินด้วย 2 ขา ทำงานด้วย 2 แขน" ว่า คนเสื้อแดงต้องจัดแถวจัดระเบียบ เพราะต่อสู้กับอำมาตย์ที่บงการประเทศนี้มายาวนาน มีกลไกประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง และเราจะต่อสู้โดยไม่จัดวางยุทธศาสตร์ก็จะต่อสู้ไม่ได้ การเปิดโครงการโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช.นั้น ก็คือจัดหมวดหมู่ จัดแนวทางให้การต่อสู้มีเป็นระบบ และหากไม่จัดระบบแบบนี้ก็จะเจอปัญหาการต่อสู้เหมือนเช่นในอดีตที่ได้ประสบมา
การสถาปนารัฐใหม่ตามที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.ได้พูดนั้น เพราะรัฐไทยวันนี้ได้ตายไปแล้ว ตายเพราะอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการได้ตายไปแล้วในวันนี้ ตายด้วยการหมดความน่าเชื่อถือ ซึ่งการยึดอำนาจ 19 กันยายนได้ดึงเอาสถาบันตุลาการมาเกี่ยวข้องกับการเมือง จนกระทั่งเมื่อบางคนกลับไปที่ศาล ความน่าเชื่อถือก็หมดไป ความหมายที่นายวีระพูดจึงต้องกระทำการในสิ่งที่ถูกต้องกระบวนการยุติธรรมต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม และนิติบัญญัติควรมีที่มาจากประชาชน บริหารต้องมาจากประชาชน และทำตามประกาศต่อประชาชน คือทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตัวเองไม่ก้าวล่วงกัน ซึ่งตอนนี้ทุกฝ่ายได้เละไปหมดแล้ว" นายจตุพรกล่าว

ร.ร.เสื้อแดงสรุป7ยุทธวิธีไล่รบ.
ด้านการอบรมโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช. "แดงทั้งแผ่นดิน" วันที่ 2 ที่ห้องแกรนด์บอลรูมฮอลล์ ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 6 ปรากฏว่า แกนนำกลุ่ม นปช.ได้แบ่งกลุ่มนักเรียนคนเสื้อแดงออกเป็น 10 กลุ่ม โดยจะมีแกนนำประกอบด้วย นายวิสา คัญทัพ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นางดารุณี กฤตบุญญาลัย นายประมวล ชูกลอง หรือ "เจ๋ง ดอกจิก" นายพายัพ ปั้นเกตุ นายประแสง มงคลศิริ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เป็นต้น ร่วมเป็นคณะครูผู้รับผิดชอบแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ทุกกลุ่มได้แลกเปลี่ยนความเห็นในตลอดช่วงเช้าว่า จะนำนโยบาย นปช.ไปขยายผลในทางปฏิบัติอย่างไร และกำหนดยุทธวิธีการขับไล่รัฐบาลอำมาตยาธิปไตยและระบอบอำมาตยาธิปไตย

เวลา 15.30 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. สรุปรายงานผลการศึกษาของทั้ง 10 กลุ่ม ว่า หลังจากทุกกลุ่มได้เสนอความเห็นแล้วสามารถสรุปในส่วนการจะนำหลักนโยบาย นปช.ไปขยายผลในทางปฏิบัติได้ดังนี้


1.จัดศูนย์กลางให้ความรู้เรื่องวินัย โดยทำสื่อเป็นทั้งไทยและภาษาอังกฤษ


2.จัดสัมมนาในทุกพื้นที่
3.เสนอให้ นปช.ส่วนกลางจัดนิทรรศการ


4.ขยายผลไปยังคนหนุ่มคนสาว


5.ตั้งกรรมการแต่ละกลุ่มเพื่อประสานส่วนกลาง


6.เดินหน้าตามโครงการ 1 อำเภอ 1 วิทยุชุมชม 1 คน 1 เสื้อแดง โดยต้องสร้างคนเสื้อแดงให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ


7.ทำคนใกล้ตัวหรือสมาชิกในครอบครัวให้เป็นคนเสื้อแดงให้ได้

ประกาศไม่หนุนสินค้าอำมาตย์

ส่วนยุทธวิธีการขับไล่รัฐบาลอำมาตยาธิปไตยและระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้น สามารถสรุปจากทุกกลุ่มได้ อาทิ เคลื่อนไหวกดดันทุกที่ที่รัฐบาลอำมาตย์ไปโดยสันติวิธี สร้างห้องเรียนยุทธวิธีโดยมีรหัสคำสั่งและพร้อมที่จะเปลี่ยนรหัสคำสั่งเพื่อความปลอดภัย รณรงค์ให้คนใส่เสื้อแดง ขุดคุ้ยตีแผ่จุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามต่อเนื่อง ขัดขืนต่อการใช้อำนาจของรัฐบาลชุดนี้โดยสันติวิธี หลีกเลี่ยงใช้คำว่าอารยะขัดขืน ประกาศตัวอย่างเป็นทางการไม่สนับสนุนสินค้าของระบอบอำมาตย์ เรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับคืนมา ถ้าหากเครือข่ายคนเสื้อแดงได้อำนาจรัฐกลับมาจะต้องสร้างเสรีภาพสื่อให้ไม่ตกอยู่ภายในสื่อกระแสหลัก โจมตีแขนขาระบอบอำมาตย์ตลอดไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรอิสระ, เปิดรับสมัครแนวหน้าจรยุทธ์ เพื่อประสานกับกลุ่มเสื้อแดงในแต่ละพื้นที่เพื่อกดดันรัฐบาลอำมาตย์" นายณัฐวุฒิกล่าว

นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่ม นปช. ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช. "แดงทั้งแผ่นดิน" กล่าวปิดงานสัมมนาโรงเรียน นปช.รุ่นที่ 1 ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ว่า ขณะนี้จำเป็นอย่างยิ่งต้องสร้างมวลชนเพื่อให้ได้มวลชนที่มีคุณภาพ เพราะเวลานี้มีคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินกว่าล้านคนกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ จึงมีคนถามว่า เมื่อไรเราจะชนะ จึงบอกว่า อีกไกล แต่หนทางที่จะชนะอย่างแท้จริงคือ ต้องมีมวลชนที่มีคุณภาพ ซึ่งตอนนี้เรามีมวลชนเสื้อแดงคุณภาพอยู่ 1,107 คน ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่เป็นมวลชนมาตรฐานหรือมวลชนคุณภาพของรัฐไทยใหม่ ซึ่งเป็นรัฐที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นรัฐที่ต้องปกครองโดยใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม มีนิติรัฐ และนิติธรรม ทั้งนี้ หลักนิติธรรม เป็นหลักแห่งฟ้าดิน ซึ่งจะบิดเบือนไม่ได้ ดังนั้น ต้องขอแสดงความภาคภูมิใจต่อพี่น้องทั้งหลายว่าพวกท่านคือ นปช.ที่มีคุณภาพ

ตั้งเป้าผลิตนักเรียนนปช.1ล้านคน

หากเราสามารถผลิตนักเรียน นปช.ได้ 1 ล้านคน ก็จะสามารถได้คนเสื้อแดงนักประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะชิ้วนี้ไปทางไหนประเทศนี้เป็นตามนิ้วที่คนเสื้อแดงชี้ ดังนั้น พวกเราต้องเป็นครูเพื่อหาลูกศิษย์สอนให้รู้จักแดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งไม่ต้องไปวิตกว่าจะเป็นแดงคอมมิวนิสต์ เดี๋ยวนี้ใครเรียกแบบนี้ถือว่าเชยแหลก ดังนั้น ท่านทั้งหลายต้องทำให้มีคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินเร็ว" นายวีระกล่าว และว่า ถ้ามีนิสิตนักศึกษามารับรู้ปัญหา ก็จะได้พลังอันบริสุทธิ์ที่จะช่วยได้มาก ซึ่งจำเป็นที่จะต้องตั้งชมรมนิสิตนักศึกษาแดงไปทุกมหาวิทยาลัยให้ได้ รวมทั้งจะเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดงในภาคใต้ด้วย

นายวีระกล่าวว่า คนเสื้อแดงมีหมัดน็อครัฐบาลชุดนี้แน่ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องระวัง เพราะไม่ต้องการน็อคเพื่อนบ้าน เพราะคนเสื้อแดงจะพูดเรื่องนี้เฉพาะปัญหาของคนไทยเท่านั้น โดยจะไม่ปลุกระดมให้ไปเกลียดชังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะในวันที่ 19 กันยายนนี้ที่จะชุมนุมใหญ่ จะใช้อาวุธนี้ซัดรัฐบาลเพื่อฟ้องคนไทย 64 ล้านคน ว่าที่แท้จริงแล้วรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ที่ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ไม่ใช่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงการปิดสัมมนาอบรมโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช. "แดงทั้งแผ่นดิน" บรรดาแกนนำ นปช.ได้มอบเกียรติบัตรให้แก่นักเรียน นปช.รุ่นที่ 1 ที่เข้าอบรมด้วย

เสื้อแดงเมินมาร์คประกาศ พรก.นัดชุมนุมใหญ่ 19 กันยายน ยันไม่ดาวกระจาย


โพสต์ทูเดย์ : วันนี้ (12กันยายน) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แวะดื่มกาแฟที่ร้านแบล็คแคนยอน คอฟฟี่ ภายในปั๊มน้ำมัน ปตท. อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังเสร็จสิ้นภาระกิจบันทึกเทปรายการเชื่อมั่นประเทศไทยที่จ.ลพบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าตามโครงการไทยเข้มแข็ง และการรับประกันราคาสินค้าเกษตร โดยใช้เวลาในการหารือกับ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเดินทางไปร่วมปฎิบัติภารกิจที่จ.ลพบุรีด้วย

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไม่ได้มีการหารือกรณีความคืบหน้าคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่หารือเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายนนี้ โดยยอมรับว่ามีแนวโน้มจะประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในช่วงเวลาดังกล่าว

นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวว่า ในวันที่19กันยายนกลุ่มคนเสื้อแดงจะนัดชุมนุมใหญ่ ที่บริเวณลานพระราชวังดุสิต หรือ พระบรมรูปทรงม้า และจะเคลื่อนขบวนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งเป็นบ้านพักของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมยืนยันจะไม่มีการเคลื่อนดาวกระจายไปตามสถานที่ต่างๆ นอกจากนี้ยังได้หารือร่วมกับกลุ่มแกนนำ นปช. เพื่อเคลื่อนขบวนไปยังหน้าที่ทำการสำนักงานป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เพื่อทดสอบถึงวิธีการป้องกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าจะมีวิธีป้องกันอย่างไร

อย่างไรก็ตามการชุมนุมครบรอบ 3 ปี รัฐประหาร นายจตุพร กล่าวด้วยว่า แม้รัฐบาลจะประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่ยังยืนยันที่จะมีการชุมนุมต่อไป ตราบใดที่ยังมีรัฐธรรมนูญมาตรา 63 บังคับใช้ ประชาชนยังคงที่จะมีสิทธิ์ที่จะชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ โดยการชุมนุมในวันที่ 19 กันยายนนี้ จะสิ้นสุดในช่วงเวลาเที่ยงคืน

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

ชาวบ้านแฉถูกยัดเยียดถังปุ๋ยหมักผลิตก๊าซ-ตู้เย็นโครงการพอเพียง ไม่อยากได้ ถูกคะยั้นคะยอ เลยทิ้งไร้ค่า

พบ10ชุมชนกทม.ในโครงการพอเพียงโดนยัดเยียดถังปุ๋ยหมักผลิตก๊าซ-ตู้เย็น ชาวบ้านไม่ได้ร่วมคิดปล่อยทิ้งอย่างไร้ค่า ผู้นำท้องถิ่นยันไม่อยากได้แต่ถูกคะยั้นคะยอ เคยใช้ก๊าซออกน้อย ตู้เย็นใหญ่เกินความจำเป็น

ทีมข่าว "มติชน" ยังคงเดินหน้าตรวจสอบโครงการทุจริตการจัดซื้อสินค้าโครงการชุมชนพอเพียงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจสอบสินค้าชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญพลังงานแสงอาทิตย์ เสาไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ปุ๋ยอินทรีย์ รถนวดสีข้าว แล้ว ล่าสุดตรวจสอบโครงการเครื่องผลิตปุ๋ยหมักและก๊าซชีวภาพ และตู้เย็นชุมชนในชุมชนประมาณ 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) อาทิ ดินแดง ห้วยขวาง และบางกะปิ ปรากฏพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองท้องถิ่น ตัวแทนบริษัทขายสินค้าเข้ามาจัดการทุกอย่างผ่านผู้นำชุมชน ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการทำประชาคมอย่างถูกต้อง เมื่อคนในชุมชนส่วนใหญ่ไม่มีส่วนร่วม จึงทำให้สินค้าดังกล่าวถูกตั้งทิ้งไว้สูญเปล่า

นายฉลาด เพชรี ประธานชุมชนคลองจั่น แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ ซึ่งได้โครงการเครื่องผลิตปุ๋ยฯ กล่าวว่า นายพงษ์ศักดิ์ วุฒิวัย สมาชิกสภาเขต (ส.ข.) บางกะปิมาเสนอสินค้าให้ อ้างว่าสินค้าได้ฟรี เห็นว่าเมื่อเป็นของฟรี และชุมชนน่าจะได้ประโยชน์ ก็เลือกสินค้า 2 ชิ้น คือ ตู้น้ำดื่ม และเครื่องผลิตปุ๋ยฯ ราคาเครื่องละ 250,000 บาท รวมราคา 500,000 บาท ตู้น้ำดื่มใช้ประโยชน์ได้ แต่เครื่องผลิตปุ๋ยฯตั้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้งานอะไร เพราะชุมชนยังไม่มีเวลาใช้ประโยชน์ร่วมกัน

ผมไม่รู้ว่าราคาสินค้าเท่าไหร่ จนกระทั่งเอาของมาส่งและให้เซ็นรับสินค้า จึงรู้ว่าราคาสินค้าก็สูงพอสมควร เมื่อได้มาฟรีๆ ก็ต้องรับเอาไว้เพื่อให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย" นายฉลาดกล่าว
จากนั้นนายฉลาดนำเอกสารการมาให้ผู้สื่อข่าวดู เป็นใบสั่งซื้อสินค้าเครื่องผลิตปุ๋ยหมักและก๊าชชีวภาพ แสดงให้เห็นว่า มีบริษัท 2 รายซึ่งอยู่ในเครือเดียวกันเป็นนายหน้า ไม่ใช่ผู้ผลิต แต่ใช้วิธีสั่งซื้อต่อกันมาเป็นทอด เอกสารระบุเล่มที่ 066 เลขที่ PO.PG 0206/51 ชื่อลูกค้าผู้สั่งซื้อ บริษัท บีเอ็นบี อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่อยู่ 1213/343 ถนนลาดพร้าว ซอยลาดพร้าว 94 แขวงและเขตวังทองหลวง กทม. ออกใบสั่งซื้อ โดยบริษัท ซันไชน์ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด 155 หมู่ 2 ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. นอกจากนี้ บริษัท ซันไชน์ฯ ยังระบุโรงงานผลิตเครื่องผลิตปุ๋ยฯ ที่อยู่ 92/2 หมู่ 7 ถนนมิตรภาพ ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี อีกส่วนเป็นใบตรวจส่งมอบสินค้า และใบตรวจรับการสาธิต อย่างละ 1 ใบ ออกโดยบริษัท คาร์เทล เทคโนโลยี จำกัด 111/206 หมู่ 11 ซอยเรวดี ถนนติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี มีชื่อนายฉลาดเซ็นรับ

ด้านนายปรุง ฤทัยธรรม ประธานชมรมผู้สูงอายุ ในฐานะอดีตประธานชุมชนดินแดง 1 (แฟลต 21-32) เขตดินแดง กล่าวว่า นายจเด็จ โพธิมาก สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้มาเสนอสินค้าเครื่องผลิตปุ๋ยฯ และห้องเย็นให้ชุมชน บอกให้ตนเซ็นรับ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงเลือกตั้งประธานชุมชนใหม่ จึงไม่กล้ารับ แต่นายจเด็จบอกว่าเป็นของฟรีที่ชุมชนต้องได้ จึงตัดสินใจรับเอาไว้ หลังจากนั้นได้ประมาณ 15 วัน บริษัทนำเครื่องผลิตปุ๋ยฯ 1 เครื่อง มาวางไว้ที่ชุมชน อีก 15 วันก็นำมาลงให้อีก 1 เครื่อง และพยายามติดต่อขอเข้ามาสาธิตการใช้งาน แต่ตนปฏิเสธที่จะรับฟัง หลังจากเลือกตั้งได้ประธานชุมชนคนใหม่ บริษัทจึงนำเครื่องผลิตปุ๋ยฯมาให้ประธานคนใหม่ไว้ใช้ประโยชน์ แต่ประธานชุมชนปฏิเสธ เครื่องจึงวางไว้ที่ข้างแฟลต ไม่ได้มีใครมาใช้งานใดๆ

ส่วนห้องเย็นชุมชนขนาด 3 เมตรนั้น นายปรุงกล่าวว่า ได้ปฏิเสธที่จะรับสินค้า เนื่องจากไม่ได้เป็นประธานชุมชนแล้ว แต่เจ้าหน้าที่บริษัทบอกว่าถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นเสาไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 6 ตัว มาใช้ในชุมชน ต่อมาก็ส่งคนมาติดตั้งระหว่างแฟลต 21-32 รวม 12 แฟลต เฉลี่ย 1 ต้น ต่อ 2 แฟลต
ด้านนายพูนผล สังข์สูงเนิน ประธานชุมชนเคหะดินแดง 1 (แฟลต 1-20) เขตดินแดง กล่าวว่า นายจเด็จเข้ามาเสนอสินค้า 2 ชิ้นให้ คือ เครื่องผลิตปุ๋ยฯ และห้องเย็นชุมชน แต่เนื่องจากชุมชนไม่ต้องการห้องเย็นชุมชน เพราะเป็นเพียงตลาดเล็กๆ ไม่ได้ต้องการตู้แช่ขนาดใหญ่ จึงขอเปลี่ยนเป็นตู้น้ำหยอดเหรียญแทน เพราะน่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า เจ้าหน้าที่จึงนำเครื่องผลิตปุ๋ยหมักฯ และตู้น้ำหยอดเหรียญ แถมพัดลมไอน้ำอีก 2 ตัว รวมมูลค่าทั้งสิ้น 250,000 บาท มาให้ ปัจจุบันตู้หยอดน้ำยังใช้การได้ แต่เครื่องผลิตปุ๋ยนั้นวางไว้ใต้ถุนแฟลต 14 ไม่มีใครใช้งานแต่อย่างใด จากเดิมตั้งใจจะให้โรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่พอเกิดข่าวอื้อฉาว ผู้อำนวยการโรงเรียนขอให้เรื่องยุติลงก่อน จึงจะรับไปใช้ประโยชน์

ผมไม่รู้ว่าสินค้าแต่ละชิ้นราคาเท่าไร รู้แต่ตอนที่เจ้าหน้าที่ให้ไปเปิดบัญชีบอกว่าของทั้งหมดราคารวม 250,000 บาท คิดว่าราคาอาจจะสูงไป เมื่อรับสินค้ามาแล้ว และเกิดเรื่องตรวจสอบขึ้น ผมและชุมชนคุยกันว่า ต่อจากนี้การรับสินค้าจากโครงการใดๆ ก็ตาม ประชาชนจะเอากรณีนี้เป็นบทเรียนและจะรอบคอบให้มากขึ้น" นายพูนผลกล่าว

ที่ชุมชนซอยแสนสุข ถนนประชาสงเคราะห์ 24 เขตดินแดง ได้รับโครงการห้องเย็นชุมชนไว้ แต่ไม่ได้เอาไว้ใช้ในชุมชน เนื่องจากห้องเย็นมีขนาดใหญ่ และไม่ใช่สิ่งที่ชุมชนต้องการ จึงนำไปให้โรงเรียนวิชูทิศ เขตดินแดงได้ใช้ประโยชน์

นางเพทาย ปทุมจันทรัตน์ ประธานชุมชนซอยแสนสุข กล่าวว่า บริษัทนำแค็ตตาล็อกมาให้ดูบอกว่าตู้แช่ผักผลไม้ขนาดประมาณ 1.5 เมตร แต่เมื่อนำมาติดตั้งจริง กลับมีขนาด 3 เมตร บอกว่าไม่รับไว้เนื่องจากขนาดใหญ่เกินไป ในชุมชนไม่มีที่วางตู้แช่ขนาดใหญ่ แต่บริษัทอ้อนวอนให้รับเอาไว้ จึงใจอ่อนนำไปให้โรงเรียนวิชูทิศใช้ประโยชน์ บริษัทยังบอกอีกว่าจะเอาตู้น้ำเย็นมาให้ชุมชนอีก พอเอามาเข้าจริงๆ กลายเป็นตู้หยอดเหรียญพลังแสงอาทิตย์ซึ่งไม่ตรงกับที่ตกลงเอาไว้ บริษัทคะยั้นคะยอให้รับอ้างว่าเป็นของฟรี ก็ใจอ่อนยอมรับเอาไว้

ตอนเซ็นรับสินค้า พอเห็นราคาห้องเย็น 500,000 บาท ตู้น้ำหยอดเหรียญราคา 200,000 บาท ก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะแพงขนาดนี้ หลังจากเซ็นรับ บริษัทเอาเอกสารมาให้เซ็นเปิดบัญชีธนาคารออมสิน โดยฝากเงินและถอนออกหมดวงเงินเพื่อไปจ่ายค่าสินค้าภายในวันเดียว" นางเพทายกล่าว นางกุลธิดา ชื่นวัฒนา ครูโภชนาการ โรงเรียนวิชูทิศ กล่าวว่า ใช้ห้องเย็นได้หลายเดือนแล้ว โดยนำน้ำดื่ม ผัก นม ไข่มาแช่ ในอุณหภูมิ 5-6 องศา พนักงานติดตั้งอ้างว่ากินไฟเพียง 800-900 บาทต่อเดือนเท่านั้น ก็ไม่เคยคำนวณว่าเสียค่าไฟเท่านั้นจริงหรือไม่ แต่ยังใช้งานได้ตามปกติ

ขณะที่ชาวบ้าน ชุมชนบึงพระราม 9 เขตห้วยขวาง นายอานนท์ สันลี ประธานชุมชนคนใหม่ กล่าวว่า นายซอลีม บินเจริญ อดีตประธานชุมชน เป็นผู้รับสินค้าห้องเย็นชุมชน และตู้น้ำหยอดเหรียญเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว นายซอลีมบอกว่าเป็นของฟรีก็รับเอาไว้ ประกอบกับชุมชนมีชาวไทยมุสลิมมาก ทำบุญกันบ่อย จึงรับห้องเย็นชุมชนไว้ใช้แช่ของทำบุญ แต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่มีใครใช้งาน อุปกรณ์ยังวางกองระเกะระกะในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บึงพระราม 9 (โรงเรียนยามิอุ้ลอิสลาม ปากคลองลาดพร้าว) ไม่ได้ติดตั้งอะไร เพราะไม่มีใครกล้าใช้ กลัวจะจ่ายค่าไฟฟ้าแพง ชุมชนอยากให้เอาไปไว้ที่อื่นด้วยซ้ำ

กรรมการชุมชนบึงพระราม 9 ผู้หนึ่ง กล่าวว่า นึกไม่ออกเลยว่าตู้เย็นใหญ่ขนาดแช่วัวแช่ควายได้ 2-3 ตัวจะเอามาทำอะไรได้บ้างในชุมชน หนำซ้ำบริษัทยังบอกว่ามีตู้นี้แล้วชุมชนจะเจริญขึ้น รัฐบาลก็คิดดูว่าจะทำให้ชุมชนเจริญได้อย่างไร เพราะไม่ใช่เครื่องผลิตเงินที่จะทำให้ชุมชนมีรายได้งอกเงยขึ้นมาเลย นอกจากเป็นแค่เศษเหล็กสนิมเกาะ ไม่มีใครใช้ประโยชน์ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทพยายามติดต่อเข้ามาสาธิตการใช้งาน แต่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ยอมรับการใช้งานดังกล่าว ทำให้ภายในตู้มีเพียงตะแกรงแช่สินค้า และเครื่องทำความเย็นตั้งไว้ โดยปราศจากการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มแต่อย่างใด

จากการตรวจสอบเอกสารคุณสมบัติห้องเย็นชุมชน รุ่น CB-500 ราคา 280,373.83 บาท ภาษี 19,626.17 บาท รวมราคาสุทธิ 300,000 บาทถ้วน ตู้น้ำหยอดเหรียญ รุ่น W-50 ระบุราคา 186,915.89 บาท ภาษี 13,084.11 บาท รวมราคาสุทธิ 200,000 บาทถ้วน ใบส่งมอบสินค้าระบุชื่อบริษัท เอ็นเนอร์ยี โปร เทคโนโลยี จำกัด เลขที่ 27/73 หมู่ 3 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กทม. ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มเดียวกับที่ขายสินค้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ชุมชนทั่ว กทม.

ขณะที่ชุมชนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องผลิตปุ๋ยฯ และตู้เย็น คงมีเพียงชุมชนสามัคคีพัฒนา แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ ที่ได้มอบให้ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนภายในชุมชนนำไปใช้ประโยชน์

นางสะละเมาะห์ เจ๊ะดิ แม่ครัวศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ชุมชนสามัคคีพัฒนา กล่าวว่า ได้ทดลองใช้เครื่องผลิตปุ๋ยฯ โดยนำเศษอาหาร และเปลือกผลไม้ต่างๆ ใส่ลงไปในถังตามขั้นตอน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์จึงนำสายยางมาต่อนำแก๊สมาใช้หุงต้มอาหาร แม้ว่าถังจะใหญ่มาก แต่จำนวนแก๊สที่ออกมานั้นน้อยเกินไป และเอื่อยมาก ใช้ต่อได้เพียงหัวแก๊สเล็กๆ เท่านั้น ใช้ได้ 2 วันก็หมดแล้ว