มท.1เชื่อ"พล.ต.อ.สุเทพ"ไขก๊อกกระทบคะแนนเลือกผบ.ตร.คนใหม่ ให้นายกฯเคาะเลือกเลยหรือตั้งก.ต.ช.ใหม่ "ภูมิใจไทย"เตรียมโหวตตามเลขาฯ"อภิสิทธิ์" เชื่อปลัดยธ.ยกมือทางเดียวกัน ชี้"มาร์ค-สุเทพ-นิพนธ์"ต้องรับผิดชอบผลตามมา
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เพื่อแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แพ้โหวตการเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ 5 ต่อ 4 เสียง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา จึงสั่งเลื่อนการประชุมออกไปโดยยังไม่มีกำหนดนั้น ล่าสุด นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ หนึ่งใน ก.ต.ช. ซึ่งเคยคัดค้านการเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ได้ลาออกจากตำแหน่ง ก.ต.ช.ว่า การลาออกของ พล.ต.อ.สุเทพ ทำให้เหลือ ก.ต.ช. 10 คน ซึ่งอยู่ที่นายกฯว่าจะให้ประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือก ผบ.ตร.เลย หรือจะให้ตั้ง ก.ต.ช.ใหม่ก่อน แต่ยอมรับว่ามีผลต่อคะแนนเสียงแน่นอน เพราะคะแนนจะหายไป 1 เสียง
รายงานข่าวจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แจ้งว่า ภายหลังจากที่นายกฯมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ได้มีการประสานผ่านนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ไปแล้วว่ายังไม่ควรมีคำสั่งใดๆ ออกมา แต่ไม่ได้รับการสนองตอบจากนายกฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ทางพรรคภูมิใจไทยจะยุติการเคลื่อนไหวต่างๆ แต่จะปฏิบัติตามข้อมูลที่นายนิพนธ์ยืนยันข้อมูลเดิมในการโหวตชื่อ ผบ.ตร.โดยต่อจากนี้จะไม่มีการเช็คเสียงอีก แต่ยืนยันได้ว่าขณะนี้ปลัดกระทรวงยุติธรรม (นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์) ก.ต.ช.โดยตำแหน่งซึ่งเคยโหวตให้ฝ่ายพล.ต.อ.ปทีป พร้อมจะโหวตตามข้อมูลที่นายนิพนธ์ยืนยันมาและหากผลออกมาเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ นายสุเทพ และนายนิพนธ์ ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตามมาเอง
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกับนายสุเทพ ในฐานะประธาน ก.ตร.เรื่องการแต่งตั้งนายพลตามวาระประจำปี ส่วนจะแต่งตั้งในห้วง 19 วันที่อยู่ในตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร.หรือไม่ ต้องดูที่เงื่อนเวลาตามมติ ก.ตร.ที่ต้องแต่งตั้งก่อนวันที่ 30 กันยายน ถ้าเป็นไปตามเงื่อนไขนี้ก็แต่งตั้งได้ ถึงแม้ยังไม่มี ผบ.ตร.ใหม่ก็สามารถทำได้ ตอนนี้ยังไม่เตรียมข้อมูลอะไรไว้
การประชุมรอง ผบ.ตร.และจเรตำรวจแห่งชาติเมื่อเช้าวันนี้ (11 กันยายน) เพียงแจ้งที่ประชุมให้ทราบว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทำหน้าที่ รรท.ผบ.ตร.คำสั่งใดที่ พล.ต.อ.พัชรวาท มีอยู่แล้วให้ถือปฏิบัติตามเดิม"
พล.ต.อ.ธานีกล่าว
เมื่อถามว่ามีการหารือเสนอแนะข้อมูลอะไรหรือไม่ ในช่วงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ พล.ต.อ.ธานีกล่าวว่า ทุกคนมีหน้าที่ ทุกคนจะทำหน้าที่ของตนเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ธานี มีคำสั่งให้สำนักงานกำลังพล จัดเตรียมข้อมูล บัญชีตำแหน่งว่างระดับ พล.ต.ต.ขึ้นไป เพื่อเตรียมการแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพลวาระประจำปี
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
ฮากว่านี้มีอีกไหม!? 'ม.ล.วัลย์วิภา"ลุยฟ้อง "ฮุนเซน-ซกอาน-ฮอร์นัมฮง"

เอเอสทีวี-ผู้จัดการ : “ม.ล.วัลย์วิภา” นำทีมยื่นฟ้องศาลแพ่ง มี “ฮุนเซน” เป็นจำเลยที่ 1 ตามด้วย “ฮอร์ นัม ฮง” และ “ซก อาน” ข้อหาละเมิดสิทธิ์ตาม รธน.ขอให้ศาลชี้ว่า อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร และบริเวณพิพาทเป็นของไทย ให้มีคำสั่งขับจำเลยพร้อมบริวารออกจากพื้นที่ และเรียกร้องขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว พร้อมวอน “นายกฯมาร์ค” เข้าใจและเห็นใจในหัวใจรักชาติของประชาชน
วันนี้ (11 ก.ย.) ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ สถาบันไทยคดีศึกษา แกนนำกลุ่มภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร จำนวนกว่า 10 คน เดินทางไปยังศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นฟ้องสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา เป็นจำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศกัมพูชา เป็นจำเลยที่สอง ยื่นฟ้องนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา พร้อมบริวาร ในข้อหาละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมี นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ เป็นโจทก์รายที่ 1 และมีโจทก์ร่วมฟ้องในคดีนี้อีก 9 ราย
เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษา ว่า อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร และบริเวณพื้นที่ในคดีนี้เป็นของโจทก์ของคนไทยทั้งประเทศ และของราชอาณาจักรไทย ขอให้จำเลยทั้ง 3 พร้อมบริวาร ออกไปจากบริเวณอำนาจอธิปไตยของโจทก์ของปวงชนชาวไทย และของราชอาณาจักรไทย พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้จำเลยพร้อมพวกหยุดการกระทำที่ละเมิดต่อโจทก์
ศาลแพ่งประทับรับฟ้องคดีนี้เป็นคดีดำเลขที่ 5317/2552 ซึ่งเราดีใจมากที่ศาลประทับรับฟ้อง เพราะนั่นแสดงว่ามีมูล กรณีนี้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเราอยู่ในบ้านเรา ฮุนเซนเป็นเจ้าของสถานประกอบการที่มาลงทุนทำกิจการในประเทศไทยนานกว่า 2 ปี หลังจาก 2 ปีแล้วบริวารของเขาก็เข้ามารุกล้ำในบ้านเรา มาทำมาหากินหาประโยชน์ในบ้านเรา เราจึงฟ้องเพื่อให้บริวารของเขาออกไปจากบ้านเรา เพราะเราเหล่าบริวารของเขาแล้วก็ไม่ออก เราจึงต้องฟ้องเจ้าของสถานประกอบการ นี่คือเปรียบเทียบให้เห็นชัดแบบง่ายๆ นะคะ”
ม.ล.วัลย์วิภา ยังแสดงความเห็นต่อข่าวที่กองกำลังเขมรรุกคืบเข้ามาในบริเวณปราสาทตาเมือนธมของไทย และตั้งฐานปฏิบัติการส่วนหน้าอยู่ห่างไปเพียงแค่ 100 เมตร ว่า เป็นท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจนของกัมพูชา ที่ต้องการได้พื้นที่ของไทยตามแผนที่ที่เขาได้ประโยชน์
“เขาต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามแผนที่ฉบับอัตราส่วนพื้นที่ 1 ต่อ 2 แสน เห็นชัดมากว่าเขาต้องการพื้นที่ประเทศไทย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไทยต้องไปรื้อฟื้นคำตัดสินศาลโลกขึ้นมาตีความอีก จริงๆ ก็ยินดีหากต้องร่วมตีความในเชิงวิชาการ แต่คำตัดสินศาลโลกมันจบตั้งแต่ปี 2505 รัฐบาลไทยทำแบบนี้เหมือนไปเอื้อเขา ไปช่วยให้ ไปเอาคำพิพากษามาดูใหม่ในจังหวะที่มีเรื่องของวาระซ่อนเร้นกรณีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลบริเวณพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ม.ล.วัลย์วิภา ได้ฝากข้อความถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ขอให้เห็นใจและเข้าใจในความรักชาติรักแผ่นดินของคนไทยบ้าง ไม่ใช่ว่าขึ้นไปทำงานในระดับบริหารแล้วจะไม่สนใจ ไม่เข้าใจ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีประเทศ แต่รัฐบาลไทยกลับไม่ทำอะไร ปล่อยให้ประชาชนต้องออกมาเรียกร้องปกป้องประเทศกันเอง
วันนี้ (11 ก.ย.) ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ สถาบันไทยคดีศึกษา แกนนำกลุ่มภาคีเครือข่ายติดตามสถานการณ์กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร จำนวนกว่า 10 คน เดินทางไปยังศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นฟ้องสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา เป็นจำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศกัมพูชา เป็นจำเลยที่สอง ยื่นฟ้องนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา พร้อมบริวาร ในข้อหาละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมี นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ เป็นโจทก์รายที่ 1 และมีโจทก์ร่วมฟ้องในคดีนี้อีก 9 ราย
เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษา ว่า อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร และบริเวณพื้นที่ในคดีนี้เป็นของโจทก์ของคนไทยทั้งประเทศ และของราชอาณาจักรไทย ขอให้จำเลยทั้ง 3 พร้อมบริวาร ออกไปจากบริเวณอำนาจอธิปไตยของโจทก์ของปวงชนชาวไทย และของราชอาณาจักรไทย พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้จำเลยพร้อมพวกหยุดการกระทำที่ละเมิดต่อโจทก์
ศาลแพ่งประทับรับฟ้องคดีนี้เป็นคดีดำเลขที่ 5317/2552 ซึ่งเราดีใจมากที่ศาลประทับรับฟ้อง เพราะนั่นแสดงว่ามีมูล กรณีนี้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนเราอยู่ในบ้านเรา ฮุนเซนเป็นเจ้าของสถานประกอบการที่มาลงทุนทำกิจการในประเทศไทยนานกว่า 2 ปี หลังจาก 2 ปีแล้วบริวารของเขาก็เข้ามารุกล้ำในบ้านเรา มาทำมาหากินหาประโยชน์ในบ้านเรา เราจึงฟ้องเพื่อให้บริวารของเขาออกไปจากบ้านเรา เพราะเราเหล่าบริวารของเขาแล้วก็ไม่ออก เราจึงต้องฟ้องเจ้าของสถานประกอบการ นี่คือเปรียบเทียบให้เห็นชัดแบบง่ายๆ นะคะ”
ม.ล.วัลย์วิภา ยังแสดงความเห็นต่อข่าวที่กองกำลังเขมรรุกคืบเข้ามาในบริเวณปราสาทตาเมือนธมของไทย และตั้งฐานปฏิบัติการส่วนหน้าอยู่ห่างไปเพียงแค่ 100 เมตร ว่า เป็นท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจนของกัมพูชา ที่ต้องการได้พื้นที่ของไทยตามแผนที่ที่เขาได้ประโยชน์
“เขาต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามแผนที่ฉบับอัตราส่วนพื้นที่ 1 ต่อ 2 แสน เห็นชัดมากว่าเขาต้องการพื้นที่ประเทศไทย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไทยต้องไปรื้อฟื้นคำตัดสินศาลโลกขึ้นมาตีความอีก จริงๆ ก็ยินดีหากต้องร่วมตีความในเชิงวิชาการ แต่คำตัดสินศาลโลกมันจบตั้งแต่ปี 2505 รัฐบาลไทยทำแบบนี้เหมือนไปเอื้อเขา ไปช่วยให้ ไปเอาคำพิพากษามาดูใหม่ในจังหวะที่มีเรื่องของวาระซ่อนเร้นกรณีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลบริเวณพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ม.ล.วัลย์วิภา ได้ฝากข้อความถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ขอให้เห็นใจและเข้าใจในความรักชาติรักแผ่นดินของคนไทยบ้าง ไม่ใช่ว่าขึ้นไปทำงานในระดับบริหารแล้วจะไม่สนใจ ไม่เข้าใจ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีประเทศ แต่รัฐบาลไทยกลับไม่ทำอะไร ปล่อยให้ประชาชนต้องออกมาเรียกร้องปกป้องประเทศกันเอง
ปานเทพเตือน ป.ป.ช. ระวังตัวให้มากโดนเอาคืน-ปาบึ้มบ้าน วิชา มหาคุณ

กันยายน 11, 2009
ไอเอ็นเอ็น : ป.ป.ช.’สมลักษณ์ จัดกระบวนพล’ชี้เหตุปาระเบิดบ้าน ‘วิชา มหาคุณ’ เล่นแรงเกินไป ด้าน’ นายปานเทพ -กล้าณรงค์ราญ’ เตือนกรรมการคนอื่น ๆ ระวังตัวให้มากขึ้น
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยกับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ถึงกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ฟ้อง 8 ป.ป.ช. เสียงข้างมาก ที่ชี้มูลความผิดในคดี 7 ตุลา ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ วานนี้ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น มองว่า เป็นเรื่องความพยามที่จะต่อสู้ ในฐานะคนที่ถูกดำเนินคดี ส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว หรือ โกรธเคือง พล.ต.อ.พัชรวาท แต่อย่างใด เพราะถือเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แต่การฟ้องตนเรื่องขาดคุณสมบัติ เพราะประกอบอาชีพอิสระ เป็นอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมนั้น เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ศาลอาญา พร้อมยืนยันว่า ตนเองมาอย่างถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้น คงไม่สามารวินิจฉัยคดีได้ และที่ผ่านมา ตนก็ได้วินิจฉัยไปหลายคดีแล้ว ซึ่งศาลก็ได้ตัดสินคดีที่ตนวินิจฉัยไปแล้วหลายคดี
สอดคล้องกับ นายกล้านรงค์ จันทิก ป.ป.ช.เสียงข้างมาก ยืนยันว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหว ขณะที่ส่วนตัวนั้น เมื่อมาทำงานในหน้าที่นี้แล้ว ก็ต้องยอมรับสภาพ ถ้าไม่เสมอตัวก็ติดลบ เพราะที่ผ่านมา ตนก็โดนฟ้องหลายคดีแล้ว
ด้านนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ พล.ต.อ.พัชรวาท ยืนยันว่า การฟ้อง 8 ป.ป.ช. เสียงข้างมาก ไม่ได้ฟ้องแก้เกี้ยว แต่ฟ้องในฐานะผู้เสียหาย ส่วนกรณีการฟ้อง นายวิชา เรื่องขาดคุณสมบัติด้วยนั้น เพราะนายวิชา เป็นอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ถือว่าเข้าข่ายการทำธุรกิจการค้า ไม่ใช่เพื่อการศึกษาเพียงอย่างเดียว เพราะตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. บังคับว่า ไม่สามารถประกอบอาชีพอิสระได้
ปาระเบิดบ้านเก่า ป.ป.ช. วิชา มหาคุณ ไร้คนเจ็บ
เมื่อเวลา 02.00 น. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุคนร้าย ลอบปาระเบิด เข้าไปในบ้านเลขที่ 250 ซอยศิรินทร 2 แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กทม. ซึ่งเป็นบ้านเก่าของ นายวิชา มหาคุณ กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เบื้องต้น ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวบ้านได้รับความเสียหายเล็กน้อย และบ้านที่อยู่ข้างเคียงได้รับความเสียหายเล็กน้อย อีก 3 หลัง
ด้าน นายวิชา มหาคุณ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนเองอยู่ที่ต่างจังหวัด จึงไม่ทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้น แต่เบื้องต้นบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านเก่าของตนเอง ซึ่งเพิ่งขายให้กับคนที่รู้จักกันไปแล้ว ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมือง จากการตัดสิน คดีสลายม็อบ 7 ต.ค. หรือไม่นั้น นายวิชา กล่าวว่า ตนเองยังไม่ขอออกความเห็น เนื่องจากอยากขอทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้นก่อน แต่อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า บ้านหลังดังกล่าว มีตู้แดงแจ้งเหตุอยู่หน้าบ้านอยู่ด้วย แต่เหตุใดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงปล่อยให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นได้
ป.ป.ช.”สมลักษณ์ “ชี้เหตุปาระเบิดบ้าน “วิชา ” เล่นแรงเกินไป
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการปาระเบิดบ้านเก่าของนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า กรณีดังกล่าวเล่นกันแรงเกินไป ซึ่งขณะนี้ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เตือนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนระวังตัวให้มากขึ้น ภายหลังที่มีการวินิจฉัยชี้มูลความผิดคดีที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551
ขณะเดียวกันเห็นว่าการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นมองยากว่าผู้ใดกระทำ เพราะการทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีหน้าที่ระดับสูงรวมถึงนักการเมือง และเกิดขึ้นจากผู้ที่ไม่มีความเข้าใจงานของ ป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม ต่อไปคณะกรรมการ ป.ป.ช.คงต้องระมัดระวังในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนให้มีความเหมาะสมมากขึ้นเนื่องจากอาจจะส่งผลให้มีผู้นำคำให้สัมภาษณ์ไปตีความให้เกิดการเข้าใจผิดได้
กล้านรงค์ จันทิก แถลงยัน ป.ป.ช.ไม่เสียกำลังใจ
ขณะที่ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการปาระเบิดใส่บ้านเก่าของ นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลต้องใช้ดุลยพินิจว่าจะดูแลกรรมการ ป.ป.ช.อย่างไร เพราะทุกคนทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา รวมถึงไม่มีเครื่องมือที่จะดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับตัวเอง ทั้งนี้ ส่วนตัวคงไม่ร้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลเพิ่มเติม ซึ่งวันนี้มั่นใจว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนไม่เสียกำลังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เนื่องจากรู้ดีว่าการทำงานในหน้าที่ดังกล่าวต้องชี้มูลคดีใหญ่ทุกคดีและประสบปัญหากันมามากแล้ว รวมถึงตนไม่ได้คิดอะไรถือเสมอว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเพราะชีวิตมีเพียงเท่านั้นซึ่งถึงคราวต้องไปก็ต้องไป แต่หากยังไม่ถึงเวลาก็ต้องทำงานในหน้าที่จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่และเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสอบหาสาเหตุให้ได้ว่าเกิดจากอะไร
ไอเอ็นเอ็น : ป.ป.ช.’สมลักษณ์ จัดกระบวนพล’ชี้เหตุปาระเบิดบ้าน ‘วิชา มหาคุณ’ เล่นแรงเกินไป ด้าน’ นายปานเทพ -กล้าณรงค์ราญ’ เตือนกรรมการคนอื่น ๆ ระวังตัวให้มากขึ้น
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยกับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ถึงกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ฟ้อง 8 ป.ป.ช. เสียงข้างมาก ที่ชี้มูลความผิดในคดี 7 ตุลา ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ วานนี้ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น มองว่า เป็นเรื่องความพยามที่จะต่อสู้ ในฐานะคนที่ถูกดำเนินคดี ส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว หรือ โกรธเคือง พล.ต.อ.พัชรวาท แต่อย่างใด เพราะถือเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แต่การฟ้องตนเรื่องขาดคุณสมบัติ เพราะประกอบอาชีพอิสระ เป็นอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมนั้น เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ศาลอาญา พร้อมยืนยันว่า ตนเองมาอย่างถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้น คงไม่สามารวินิจฉัยคดีได้ และที่ผ่านมา ตนก็ได้วินิจฉัยไปหลายคดีแล้ว ซึ่งศาลก็ได้ตัดสินคดีที่ตนวินิจฉัยไปแล้วหลายคดี
สอดคล้องกับ นายกล้านรงค์ จันทิก ป.ป.ช.เสียงข้างมาก ยืนยันว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหว ขณะที่ส่วนตัวนั้น เมื่อมาทำงานในหน้าที่นี้แล้ว ก็ต้องยอมรับสภาพ ถ้าไม่เสมอตัวก็ติดลบ เพราะที่ผ่านมา ตนก็โดนฟ้องหลายคดีแล้ว
ด้านนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ พล.ต.อ.พัชรวาท ยืนยันว่า การฟ้อง 8 ป.ป.ช. เสียงข้างมาก ไม่ได้ฟ้องแก้เกี้ยว แต่ฟ้องในฐานะผู้เสียหาย ส่วนกรณีการฟ้อง นายวิชา เรื่องขาดคุณสมบัติด้วยนั้น เพราะนายวิชา เป็นอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ถือว่าเข้าข่ายการทำธุรกิจการค้า ไม่ใช่เพื่อการศึกษาเพียงอย่างเดียว เพราะตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. บังคับว่า ไม่สามารถประกอบอาชีพอิสระได้
ปาระเบิดบ้านเก่า ป.ป.ช. วิชา มหาคุณ ไร้คนเจ็บ
เมื่อเวลา 02.00 น. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุคนร้าย ลอบปาระเบิด เข้าไปในบ้านเลขที่ 250 ซอยศิรินทร 2 แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กทม. ซึ่งเป็นบ้านเก่าของ นายวิชา มหาคุณ กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เบื้องต้น ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวบ้านได้รับความเสียหายเล็กน้อย และบ้านที่อยู่ข้างเคียงได้รับความเสียหายเล็กน้อย อีก 3 หลัง
ด้าน นายวิชา มหาคุณ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนเองอยู่ที่ต่างจังหวัด จึงไม่ทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้น แต่เบื้องต้นบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านเก่าของตนเอง ซึ่งเพิ่งขายให้กับคนที่รู้จักกันไปแล้ว ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมือง จากการตัดสิน คดีสลายม็อบ 7 ต.ค. หรือไม่นั้น นายวิชา กล่าวว่า ตนเองยังไม่ขอออกความเห็น เนื่องจากอยากขอทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้นก่อน แต่อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า บ้านหลังดังกล่าว มีตู้แดงแจ้งเหตุอยู่หน้าบ้านอยู่ด้วย แต่เหตุใดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงปล่อยให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นได้
ป.ป.ช.”สมลักษณ์ “ชี้เหตุปาระเบิดบ้าน “วิชา ” เล่นแรงเกินไป
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการปาระเบิดบ้านเก่าของนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า กรณีดังกล่าวเล่นกันแรงเกินไป ซึ่งขณะนี้ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เตือนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนระวังตัวให้มากขึ้น ภายหลังที่มีการวินิจฉัยชี้มูลความผิดคดีที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551
ขณะเดียวกันเห็นว่าการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นมองยากว่าผู้ใดกระทำ เพราะการทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีหน้าที่ระดับสูงรวมถึงนักการเมือง และเกิดขึ้นจากผู้ที่ไม่มีความเข้าใจงานของ ป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม ต่อไปคณะกรรมการ ป.ป.ช.คงต้องระมัดระวังในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนให้มีความเหมาะสมมากขึ้นเนื่องจากอาจจะส่งผลให้มีผู้นำคำให้สัมภาษณ์ไปตีความให้เกิดการเข้าใจผิดได้
กล้านรงค์ จันทิก แถลงยัน ป.ป.ช.ไม่เสียกำลังใจ
ขณะที่ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการปาระเบิดใส่บ้านเก่าของ นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลต้องใช้ดุลยพินิจว่าจะดูแลกรรมการ ป.ป.ช.อย่างไร เพราะทุกคนทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา รวมถึงไม่มีเครื่องมือที่จะดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับตัวเอง ทั้งนี้ ส่วนตัวคงไม่ร้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลเพิ่มเติม ซึ่งวันนี้มั่นใจว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนไม่เสียกำลังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เนื่องจากรู้ดีว่าการทำงานในหน้าที่ดังกล่าวต้องชี้มูลคดีใหญ่ทุกคดีและประสบปัญหากันมามากแล้ว รวมถึงตนไม่ได้คิดอะไรถือเสมอว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเพราะชีวิตมีเพียงเท่านั้นซึ่งถึงคราวต้องไปก็ต้องไป แต่หากยังไม่ถึงเวลาก็ต้องทำงานในหน้าที่จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่และเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสอบหาสาเหตุให้ได้ว่าเกิดจากอะไร
"ธานี" ลงดาบแรกเด้ง "สุชาติ"ช่วยราชการ สตช.
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม
นายพลไม้บรรทัด “ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” ลงดาบแรกหลังมีอำนาจเต็มรักษาการ ผบ.ตร.มีคำสั่ง “สุชาติ เหมือนแก้ว” ตำรวจติดบ่วงคดีปราบม็อบ 7 ตุลาเลือด ช่วยราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้าน “สุชาติ” ยันพร้อมปฏิบัติตาม ไม่โต้แย้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งเลขที่ 447/2552 ให้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.นี้ เป็นต้นไป
เพื่อรอพิจารณาความผิดตามมติ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิด พล.ต.ท.สุชาติ คดี 7 ตุลาฯ ในฐานผิดวินัยร้ายแรงและความผิดอาญามาตรา 157 ในคำสั่งเดียวกันได้อาศัยมาตรา 72 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ แต่งตั้ง พล.ต.ต.เฉลิมชัย จงศิริ รองผู้บัญชาการ ภ.4 ที่มีอาวุโสสูงสุดรักษาการแทน
ต่อมาเวลา 19.50 น.ผู้สื่อข่าวเอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ ได้โทรศัพท์สอบถาม พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ถึงคำสั่งโยกย้ายให้มาประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ผมยังไม่ทราบด้วยวาจา และยังไม่เห็นคำสั่งดังกล่าว แต่ขอบคุณที่สื่อแจ้งให้ทราบ ผมพร้อมเสมอหากจะถูกโยกย้าย ไม่เห็นมีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องดี และมีความสุขจะตาย ผมไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งใดๆ อยู่แล้ว ไม่เคยคิดครอบครองสิ่งใด แต่จะอยู่กับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งอย่าไปสนใจเลยว่าจะถูกย้ายหรือไม่ถูกย้าย โดยคนที่มีอำนาจเค้าก็ทำไปตามอำนาจ จะให้ออก ผมก็พร้อมจะออก จะให้อยู่ต่อหรืออยู่ตรงไหนผมก็อยู่ได้ หากจะให้ออกเมื่อมีคำสั่งมา ผมก็จะเซ็นรับทราบทันที โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ซึ่งต้องเป็นไปตามกติกาบ้านเมือง จะไปโวยวายอะไรไม่ได้
ไม่เห็นมีอะไร ดีเสียอีกจะได้เก็บกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่องบินเพียง 50 นาที ก็ถึงกรุงเทพฯแล้ว ผมมีความสุขจะตาย ดีจะได้อยู่ใกล้กับครอบครัว เพราะที่นี่ไกล ดีมากที่โทร.มาบอกจะได้จัดกระเป๋ารอถ้าคำสั่งมาก็ไปได้เลย แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้จะย้ายผมจริงหรือเปล่า ยังไม่มีใครโทร.มาบอกด้วยวาจา” พล.ต.ท.สุชาติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่คิดจะโต้แย้งคำชี้มูลของ ป.ป.ช.ในเรื่องการสั่งสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ เลยหรือ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ป.ป.ช.เค้ามีอำนาจ จะทำไปอย่างไร หรือทำอะไรก็ให้ทำไป
เมื่อถามย้ำว่า ทำไมต้องยอมรับผิดง่ายๆ ไม่มีสิ่งใดมาคัดค้านยืนยันความเป็นจริงว่าตนเองไม่ผิดได้เลยหรือ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ผมอยู่กับความสุข ตอนนี้ก็ดื่มอยู่ ซึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า ดื่มอยู่คนเดียวหรือกับพรรคพวก พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวด้วยน้ำเสียงเครียด ปนหัวเราะ ว่า ไม่หรอกล้อเล่นไม่ได้ดื่มอะไร แต่ขอบคุณนะที่โทร.มาบอก
พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวต่อไปว่า คนเราหากไม่ยึดติด 3 อย่าง คือ ยศ ตำแหน่ง เงิน ก็จะอยู่ได้อย่างสบายใจ ซึ่งในชีวิตผมมีอยู่ขณะนี้ก็ดีอยู่แล้ว เพราะผมเป็นเด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง ชีวิตไม่มีอะไรสบายกว่านี้อีกแล้ว หากจะถูกย้ายไปกรุงเทพฯ และมีเหตุการณ์อื่นๆ ตามมากระทบชีวิตราชการผม ก็พร้อมรับทุกสถานการณ์ ไม่เคยคิดจะต่อสู้ หรือชี้แจงใดๆ เพราะไม่เกิดประโยชน์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยู่จังหวัดขอนแก่นได้ควบคุมดูแลพื้นที่กว้าง มีอำนาจเต็มที่ แต่ถ้าย้ายมาประจำ สตช.อำนาจก็ถูกทอนลง เหมือนเก็บเข้ากรุ รอวันถูกลงโทษ นั้น พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ไม่เป็นไรยังไงก็ได้ พร้อมกล่าวด้วยเสียงเค้นหัวเราะตลอดเวลาว่า ไม่เป็นไร ดีๆ พร้อมอยู่แล้ว
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ และเป็นเจ้าของพื้นที่ มีความผิดวินัยร้ายแรงและอาญา เช่นกัน โดยที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1 ระบุมูลความผิด พล.ต.ท.สุชาติ ว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของ พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ตามแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) ได้ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การเข้าดำเนินการผลักดันผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดทุกสถานการณ์
เมื่อทราบเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ได้มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่นั้น ได้ใช้แก๊สน้ำตายิงและขว้างใส่กลุ่มประชาชนที่ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมากแล้ว ในเวลาประมาณ 16.00 น.พลตำรวจโทสุชาติ เหมือนแก้ว ยังคงสั่งให้มีการใช้กำลังเข้าผลักดันกลุ่มประชาชน โดยใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวอีก จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลและภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ยังคงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มประชาชนที่ร่วมชุมนุมกับพันธมิตร ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส ขาขาด มือขาด และบาดเจ็บที่ต่างๆ จำนวนมากอีก
พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ทราบว่า การใช้แก๊สน้ำตาเข้าผลักดันประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน กลับไม่ดำเนินการทบทวนวิธีการหรือหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว กลับสั่งให้ดำเนินการเช่นเดิมอีกในตอนบ่ายและกระทำซ้ำอีกในตอนค่ำ การกระทำของพลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทำร้ายประชาชนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (3) (5) (6) และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
นายพลไม้บรรทัด “ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” ลงดาบแรกหลังมีอำนาจเต็มรักษาการ ผบ.ตร.มีคำสั่ง “สุชาติ เหมือนแก้ว” ตำรวจติดบ่วงคดีปราบม็อบ 7 ตุลาเลือด ช่วยราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้าน “สุชาติ” ยันพร้อมปฏิบัติตาม ไม่โต้แย้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งเลขที่ 447/2552 ให้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.นี้ เป็นต้นไป
เพื่อรอพิจารณาความผิดตามมติ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิด พล.ต.ท.สุชาติ คดี 7 ตุลาฯ ในฐานผิดวินัยร้ายแรงและความผิดอาญามาตรา 157 ในคำสั่งเดียวกันได้อาศัยมาตรา 72 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ แต่งตั้ง พล.ต.ต.เฉลิมชัย จงศิริ รองผู้บัญชาการ ภ.4 ที่มีอาวุโสสูงสุดรักษาการแทน
ต่อมาเวลา 19.50 น.ผู้สื่อข่าวเอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ ได้โทรศัพท์สอบถาม พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ถึงคำสั่งโยกย้ายให้มาประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ผมยังไม่ทราบด้วยวาจา และยังไม่เห็นคำสั่งดังกล่าว แต่ขอบคุณที่สื่อแจ้งให้ทราบ ผมพร้อมเสมอหากจะถูกโยกย้าย ไม่เห็นมีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องดี และมีความสุขจะตาย ผมไม่เคยยึดติดกับตำแหน่งใดๆ อยู่แล้ว ไม่เคยคิดครอบครองสิ่งใด แต่จะอยู่กับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งอย่าไปสนใจเลยว่าจะถูกย้ายหรือไม่ถูกย้าย โดยคนที่มีอำนาจเค้าก็ทำไปตามอำนาจ จะให้ออก ผมก็พร้อมจะออก จะให้อยู่ต่อหรืออยู่ตรงไหนผมก็อยู่ได้ หากจะให้ออกเมื่อมีคำสั่งมา ผมก็จะเซ็นรับทราบทันที โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ซึ่งต้องเป็นไปตามกติกาบ้านเมือง จะไปโวยวายอะไรไม่ได้
ไม่เห็นมีอะไร ดีเสียอีกจะได้เก็บกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่องบินเพียง 50 นาที ก็ถึงกรุงเทพฯแล้ว ผมมีความสุขจะตาย ดีจะได้อยู่ใกล้กับครอบครัว เพราะที่นี่ไกล ดีมากที่โทร.มาบอกจะได้จัดกระเป๋ารอถ้าคำสั่งมาก็ไปได้เลย แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้จะย้ายผมจริงหรือเปล่า ยังไม่มีใครโทร.มาบอกด้วยวาจา” พล.ต.ท.สุชาติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่คิดจะโต้แย้งคำชี้มูลของ ป.ป.ช.ในเรื่องการสั่งสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ เลยหรือ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ป.ป.ช.เค้ามีอำนาจ จะทำไปอย่างไร หรือทำอะไรก็ให้ทำไป
เมื่อถามย้ำว่า ทำไมต้องยอมรับผิดง่ายๆ ไม่มีสิ่งใดมาคัดค้านยืนยันความเป็นจริงว่าตนเองไม่ผิดได้เลยหรือ พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ผมอยู่กับความสุข ตอนนี้ก็ดื่มอยู่ ซึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า ดื่มอยู่คนเดียวหรือกับพรรคพวก พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวด้วยน้ำเสียงเครียด ปนหัวเราะ ว่า ไม่หรอกล้อเล่นไม่ได้ดื่มอะไร แต่ขอบคุณนะที่โทร.มาบอก
พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวต่อไปว่า คนเราหากไม่ยึดติด 3 อย่าง คือ ยศ ตำแหน่ง เงิน ก็จะอยู่ได้อย่างสบายใจ ซึ่งในชีวิตผมมีอยู่ขณะนี้ก็ดีอยู่แล้ว เพราะผมเป็นเด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง ชีวิตไม่มีอะไรสบายกว่านี้อีกแล้ว หากจะถูกย้ายไปกรุงเทพฯ และมีเหตุการณ์อื่นๆ ตามมากระทบชีวิตราชการผม ก็พร้อมรับทุกสถานการณ์ ไม่เคยคิดจะต่อสู้ หรือชี้แจงใดๆ เพราะไม่เกิดประโยชน์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยู่จังหวัดขอนแก่นได้ควบคุมดูแลพื้นที่กว้าง มีอำนาจเต็มที่ แต่ถ้าย้ายมาประจำ สตช.อำนาจก็ถูกทอนลง เหมือนเก็บเข้ากรุ รอวันถูกลงโทษ นั้น พล.ต.ท.สุชาติ กล่าวว่า ไม่เป็นไรยังไงก็ได้ พร้อมกล่าวด้วยเสียงเค้นหัวเราะตลอดเวลาว่า ไม่เป็นไร ดีๆ พร้อมอยู่แล้ว
พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ และเป็นเจ้าของพื้นที่ มีความผิดวินัยร้ายแรงและอาญา เช่นกัน โดยที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1 ระบุมูลความผิด พล.ต.ท.สุชาติ ว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของ พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ตามแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) ได้ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์การเข้าดำเนินการผลักดันผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดทุกสถานการณ์
เมื่อทราบเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ได้มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่นั้น ได้ใช้แก๊สน้ำตายิงและขว้างใส่กลุ่มประชาชนที่ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมากแล้ว ในเวลาประมาณ 16.00 น.พลตำรวจโทสุชาติ เหมือนแก้ว ยังคงสั่งให้มีการใช้กำลังเข้าผลักดันกลุ่มประชาชน โดยใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวอีก จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากแก๊สน้ำตาอีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่บริเวณด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลและภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ยังคงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มประชาชนที่ร่วมชุมนุมกับพันธมิตร ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส ขาขาด มือขาด และบาดเจ็บที่ต่างๆ จำนวนมากอีก
พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ทราบว่า การใช้แก๊สน้ำตาเข้าผลักดันประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน กลับไม่ดำเนินการทบทวนวิธีการหรือหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว กลับสั่งให้ดำเนินการเช่นเดิมอีกในตอนบ่ายและกระทำซ้ำอีกในตอนค่ำ การกระทำของพลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทำร้ายประชาชนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (3) (5) (6) และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ผบ.ตร.ฟ้อง 8 ป.ป.ช.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ที่มา MCOT News
กรุงเทพฯ 10 ก.ย.- ผบ.ตร. ฟ้อง 8 ป.ป.ช.เสียงข้างมากปฏิบัติหน้าที่มิชอบไต่สวนชี้มูลสลายม็อบเสื้อเหลือง 7 ต.ค. ขัดกฎหมาย ไม่เปิดโอกาสให้นำพยานเข้าสอบเพิ่ม แถม “วิชา” ขาดคุณสมบัตินั่งเก้าอี้กรรมการ ศาลนัดไต่สวน 14 ธ.ค.นี้
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง เมื่อเวลา 15.00 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มอบอำนาจให้ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. , นายกล้านรงค์ จันทิก นายใจเด็ด พรไชยา นายประสาท พงษ์ศิวาภัย นายภักดี โพธิศิริ นายเมธี ครองแก้ว นายวิชา มหาคุณ และ นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป.ป.ช. เสียงข้างมาก 8 เสียง ที่มีมติชี้มูลความผิด คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณหน้าอาคารรัฐสภาฯ วันที่ 7 ต.ค.51 เป็นจำเลยที่ 1- 9 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า ระหว่างเดือน ต.ค.51 - ก.ย.52 จำเลยทั้ง 9 ร่วมกันวินิจฉัยชี้มูลความผิดโจทก์ โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 86 (2) เนื่องจากก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ซึ่งมีชื่อถูกตรวจสอบด้วย
ได้ยื่นฟ้องพวกจำเลยต่อศาลอาญาในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบที่ไม่ยุติการสอบสวนเพื่อชี้มูลความผิด หลังจากที่คดีดังกล่าวมีผู้ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ตัวโจทก์ และ พล.ต.ต.อำนวย กับพวกไว้แล้ว นอกจากนี้จำเลยทั้ง 9 ยังกระทำการขัดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 19 (3) และมาตรา 26 (1) ที่ไม่รวบรวมพยานหลักฐานข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน หลังจากที่โจทก์ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้ไต่สวนพยานเอกสารเพิ่มเติม ขณะเดียวกันระหว่างการไต่สวนเรื่องนี้เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 52 โจทก์ยัง
ได้ยื่นหนังสือคัดค้านคุณสมบัติการดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช.ของ นายวิชา มหาคุณ ด้วยว่าขาดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 11 (1) เพราะระหว่างดำรงตำแหน่ง นายวิชา ประกอบอาชีพอิสระอื่น เป็นอาจารย์บรรยายพิเศษหลักสูตรนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และที่สำคัญในการไต่สวนชี้มูลความผิดจำเลยทั้ง 9 ยังได้นำเอกสารการตรวจสอบกรณีดังกล่าวของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาพิจารณาประกอบ ทั้งที่เอกสารดังกล่าวไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ข้อ 22
การที่พวกจำเลยได้ร่วมกันวินิจฉัยชี้มูลความผิดโจทก์ ในการสั่งสลายการชุมนุม และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทำนองว่าโจทก์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าทันทีหลังถูกชี้มูลความผิด เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และต้องพ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ก่อนเกษียณอายุ จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ 2172 /2552 โดยนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
ด้าน นายบัญชา กล่าวว่า นอกจากศาลกำหนดวันนัดไต่สวนแล้ว เบื้องต้นยังได้กำหนดนัดคู่ความเพื่อไกล่เกลี่ยกัน ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งตนจะแจ้งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ทราบต่อไป แต่ พล.ต.อ.พัชรวาท จะตัดสินใจร่วมไกล่เกลี่ยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง .
- สำนักข่าวไทย
กรุงเทพฯ 10 ก.ย.- ผบ.ตร. ฟ้อง 8 ป.ป.ช.เสียงข้างมากปฏิบัติหน้าที่มิชอบไต่สวนชี้มูลสลายม็อบเสื้อเหลือง 7 ต.ค. ขัดกฎหมาย ไม่เปิดโอกาสให้นำพยานเข้าสอบเพิ่ม แถม “วิชา” ขาดคุณสมบัตินั่งเก้าอี้กรรมการ ศาลนัดไต่สวน 14 ธ.ค.นี้
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง เมื่อเวลา 15.00 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มอบอำนาจให้ นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. , นายกล้านรงค์ จันทิก นายใจเด็ด พรไชยา นายประสาท พงษ์ศิวาภัย นายภักดี โพธิศิริ นายเมธี ครองแก้ว นายวิชา มหาคุณ และ นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป.ป.ช. เสียงข้างมาก 8 เสียง ที่มีมติชี้มูลความผิด คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณหน้าอาคารรัฐสภาฯ วันที่ 7 ต.ค.51 เป็นจำเลยที่ 1- 9 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า ระหว่างเดือน ต.ค.51 - ก.ย.52 จำเลยทั้ง 9 ร่วมกันวินิจฉัยชี้มูลความผิดโจทก์ โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 86 (2) เนื่องจากก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ซึ่งมีชื่อถูกตรวจสอบด้วย
ได้ยื่นฟ้องพวกจำเลยต่อศาลอาญาในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบที่ไม่ยุติการสอบสวนเพื่อชี้มูลความผิด หลังจากที่คดีดังกล่าวมีผู้ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ตัวโจทก์ และ พล.ต.ต.อำนวย กับพวกไว้แล้ว นอกจากนี้จำเลยทั้ง 9 ยังกระทำการขัดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 19 (3) และมาตรา 26 (1) ที่ไม่รวบรวมพยานหลักฐานข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน หลังจากที่โจทก์ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้ไต่สวนพยานเอกสารเพิ่มเติม ขณะเดียวกันระหว่างการไต่สวนเรื่องนี้เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 52 โจทก์ยัง
ได้ยื่นหนังสือคัดค้านคุณสมบัติการดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช.ของ นายวิชา มหาคุณ ด้วยว่าขาดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 11 (1) เพราะระหว่างดำรงตำแหน่ง นายวิชา ประกอบอาชีพอิสระอื่น เป็นอาจารย์บรรยายพิเศษหลักสูตรนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และที่สำคัญในการไต่สวนชี้มูลความผิดจำเลยทั้ง 9 ยังได้นำเอกสารการตรวจสอบกรณีดังกล่าวของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาพิจารณาประกอบ ทั้งที่เอกสารดังกล่าวไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ข้อ 22
การที่พวกจำเลยได้ร่วมกันวินิจฉัยชี้มูลความผิดโจทก์ ในการสั่งสลายการชุมนุม และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทำนองว่าโจทก์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าทันทีหลังถูกชี้มูลความผิด เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และต้องพ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ก่อนเกษียณอายุ จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ 2172 /2552 โดยนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
ด้าน นายบัญชา กล่าวว่า นอกจากศาลกำหนดวันนัดไต่สวนแล้ว เบื้องต้นยังได้กำหนดนัดคู่ความเพื่อไกล่เกลี่ยกัน ในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งตนจะแจ้งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ทราบต่อไป แต่ พล.ต.อ.พัชรวาท จะตัดสินใจร่วมไกล่เกลี่ยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง .
- สำนักข่าวไทย
วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552
ซัด ป.ป.ช.โหมไฟขัดแย้ง"บิ๊กจิ๋ว"ถามผู้ใหญ่ในชาติคิดอะไรจึงสร้างปัญหา

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
“บิ๊กจิ๋ว” ผิดหวังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดสลายม็อบพันธมิตรฯ ทั้งที่ตลอดชีวิตไม่นิยมความรุนแรง มุ่งแต่แนวทางสมานฉันท์ ตั้งคำถามปริศนาผู้ใหญ่ในประเทศชาติคิดอะไร แทนที่จะใช้ ป.ป.ช. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแต่กลับสร้างปัญหาขึ้นมาอีก “สมชาย” ให้เปรียบใช้แก๊สน้ำตาสลายม็อบพันธมิตรฯกับ “อภิสิทธิ์” ใช้ทหารถือปืนสลายเสื้อแดงอันไหนแรงกว่ากัน สงสัยเชื่อมโยงเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ เพราะทำให้ “พัชรวาท” ร่วมลงมติไม่ได้ ด้านทนายนำ 6 เสื้อแดงที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเข้าแจ้งความเอาผิดนายกฯ-ผบ.สส. ฐานสั่งการและคุมปฏิบัติสลายการชุมนุม เล่นข้อหาหนักพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เตรียมยื่น ป.ป.ช. สอบเอาผิดพร้อมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย ด้าน ผบ.สส. ไม่วิตก มั่นใจทำตามกรอบกฎหมาย
หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ในฐานะอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้มีความผิดร้ายแรงกรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เนื่องจากเห็นว่าเป็นการประทำที่รุนแรง ทำให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต
เสื้อแดงดำเนินคดีนายกฯ-ผบ.สส.
จากมติดังกล่าวทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมของตำรวจและทหารระหว่างวันที่ 12-14 เม.ย. ที่ผ่านมา 6 คน พร้อมนายคารม พลทะกลาง ทนายความ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้ประกาศให้พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นพื้นที่ที่มีสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีในการสลายการชุมนุม ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และในฐานะเป็นผู้ใช้ผู้อื่นพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 และ 84
ยื่น ป.ป.ช. สอบเอาผิดพ่วงฟ้องแพ่ง
นายคารมระบุว่า ที่เข้ามาแจ้งความเพราะเห็น ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นรุนแรงน้อยกว่าการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง เพราะไม่มีการใช้อาวุธปืน
ผมได้นำเทปบันทึกเหตุการณ์และคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีที่สั่งสลายการชุมนุมมาเป็นหลักการฐานด้วย และวันที่ 11 ก.ย. นี้จะไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบเอาผิดเหมือนกับกรณีของนายสมชาย และสัปดาห์หน้าจะไปฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายด้วย” นายคารมกล่าว
ผบ.สส. ไม่วิตกเพราะทำตามกฎหมาย
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. กล่าวว่า ไม่กังวลที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงแจ้งดำเนินคดี เพราะทำหน้าที่ตามกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญและระเบียบกองทัพ
ผมไม่เห็นต้องเกรงอะไรกับการต้องทำหน้าที่นี้ต่อไป เกรงไม่ได้ ถ้าเกรงก็ต้องลาออกไป และไม่จำเป็นต้องเตรียมข้อมูลอะไรเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด” ผบ.สส. กล่าว
“สมชาย” ชี้ม็อบ พธม. มีทั้งปืน-ระเบิด
ที่พรรคเพื่อไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงอีกครั้งถึงมติชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เกิดจากกลุ่มคนไปปิดล้อมรัฐสภาและนำอาวุธปืน ระเบิด และมีดไปด้วย ตำรวจจึงต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องให้กำลังใจตำรวจในการทำหน้าที่ไม่ใช่ได้รับข้อกล่าวหา ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไปหากเกิดเหตุอะไรขึ้นตำรวจก็ไม่กล้าทำงาน บ้านเมืองก็จะยิ่งวุ่นวาย
ยันมติ ครม. ให้รักษาความสงบ
นายสมชายยืนยันว่า มติการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษวันที่ 6 ต.ค. 2551 ได้มอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ติดตามตรวจสอบสถานการณ์และกำกับดูแลการรักษาความสงบเรียบร้อยในวันประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยให้ประสานสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ให้เทียบสลายเสื้อเหลือง-เสื้อแดง
มติ ครม. มีเพียงเท่านี้ ไม่มีเรื่องสั่งสลายการชุมนุม ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่เอาความจริงมาเล่าให้ฟัง และผมอยากให้นำเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. มาเปรียบเทียบกับการสลายการชุมนุมในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านจะเห็นว่าแตกต่างกันมาก” นายสมชายกล่าวและว่า ที่ผ่านมาพยายามแก้ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. พยายามขอตรวจเอกสารตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิกับผู้ถูกกล่าวหา โดยร้องไปที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารแห่งชาติและศาลปกครอง แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช. ไม่รอ รีบตัดสิน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตัดสินของ ป.ป.ช. จะเกี่ยวข้องกับการเลือก ผบ.ตร.คนใหม่หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ผลคือ พล.ต.อ.พัชรวาทจะเข้าประชุมคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เพื่อเลือก ผบ.ตร. คนใหม่ไม่ได้
“บิ๊กจิ๋ว” ผิดหวังคำตัดสิน ป.ป.ช.
พล.ท.เชวงศักดิ์ ทองสลวย นายทหารคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตรู้สึกเสียใจที่ ป.ป.ช. วินิจฉัยออกมาแบบนี้ เพราะตลอดชีวิต พล.อ.ชวลิตไม่มีแนวคิดเรื่องใช้ความรุนแรง ยึดแนวทางสมานฉันท์มาโดยตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งให้เจ้าหน้าที่เข่นฆ่าประชาชน
ตั้งคำถามปริศนาผู้ใหญ่ในชาติคิดอะไร
หนังสือลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีระบุชัดเจนว่า หากยังไม่สามารถเปิดเส้นทางได้ก็ให้ยุติไว้ก่อนเพื่อให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมือง น่าเสียใจที่ ป.ป.ช. ไม่ใช้เอกสารดังกล่าวประกอบการวินิจฉัย” พล.ท.เชวงศักดิ์กล่าวและว่า พล.อ.ชวลิตรู้สึกเสียใจ และไม่ทราบว่าผู้ใหญ่ในประเทศชาติคิดอะไร เพราะ ป.ป.ช. ตั้งขึ้นมาเพื่อหาความยุติธรรม เป็นองค์กรอิสระเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แต่ ป.ป.ช. กลับมาสร้างปัญหาเองในที่สุด
“พัชรวาท” เข้าทำงานตามปรกติ
ด้านความเคลื่อนไหวของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ยังเข้าทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตามปรกติ และยังมีท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส โดยได้ทักทายกับสื่อมวลชนที่มารอสัมภาษณ์สั้นๆว่า “ยังทำงานตามปรกติและจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน เว้นแต่จะมีภารกิจไปข้างนอก”
ขณะที่การเคลื่อนไหวของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ไม่ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 4 จังหวัดขอนแก่น โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า พล.ต.ท.สุชาติเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และมีกำหนดปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพฯประมาณ 1 สัปดาห์
ป.ป.ช. ยันต้องหยุดทำหน้าที่ทันที
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า พล.ต.อ.พัชรวาทและ พล.ต.ท.สุชาติที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที การสั่งการใดๆหลัง ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจะไม่มีผลทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การจะให้ข้าราชการยุติการปฏิบัติหน้าที่ขึ้นอยู่กับคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาด้วย
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกชี้มูลความผิดไม่พอใจมติของ ป.ป.ช. นั้น น.ส.สมลักษณ์กล่าวว่า ต้องไปต่อสู้ในชั้นศาล เพราะการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. สิ้นสุดแล้ว
“มาร์ค” ยังไม่เชือด ผบ.ตร.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้รับมติจาก ป.ป.ช. อย่างเป็นทางการ ก่อนจะมีคำสั่งใดกับ พล.ต.อ.พัชรวาทต้องรอให้ ป.ป.ช. ยืนยันมติมาก่อน ซึ่งตนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนที่เกรงกันว่าอาจทำให้มีปัญหากับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาทนั้น คิดว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นเรื่องกฎหมายที่ทุกคนทราบดีว่ากระบวนการเป็นอย่างไร
พันธมิตรฯไล่ฟ้องแพ่ง-อาญาผู้เกี่ยวข้อง
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า แม้มติ ป.ป.ช. ที่ออกมายังไม่น่าพอใจ 100% เพราะยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายคนที่ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ทนายพันธมิตรฯจะเดินหน้าฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางแพ่งและอาญาจนถึงที่สุดต่อไป และจะติดตามว่านายอภิสิทธิ์จะมีความกล้าหาญดำเนินการกับ พล.ต.อ.พัชรวาทอย่างไร จะเลือกผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือตัวเอง
“บิ๊กจิ๋ว” ผิดหวังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดสลายม็อบพันธมิตรฯ ทั้งที่ตลอดชีวิตไม่นิยมความรุนแรง มุ่งแต่แนวทางสมานฉันท์ ตั้งคำถามปริศนาผู้ใหญ่ในประเทศชาติคิดอะไร แทนที่จะใช้ ป.ป.ช. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแต่กลับสร้างปัญหาขึ้นมาอีก “สมชาย” ให้เปรียบใช้แก๊สน้ำตาสลายม็อบพันธมิตรฯกับ “อภิสิทธิ์” ใช้ทหารถือปืนสลายเสื้อแดงอันไหนแรงกว่ากัน สงสัยเชื่อมโยงเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ เพราะทำให้ “พัชรวาท” ร่วมลงมติไม่ได้ ด้านทนายนำ 6 เสื้อแดงที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเข้าแจ้งความเอาผิดนายกฯ-ผบ.สส. ฐานสั่งการและคุมปฏิบัติสลายการชุมนุม เล่นข้อหาหนักพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เตรียมยื่น ป.ป.ช. สอบเอาผิดพร้อมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย ด้าน ผบ.สส. ไม่วิตก มั่นใจทำตามกรอบกฎหมาย
หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ในฐานะอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้มีความผิดร้ายแรงกรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เนื่องจากเห็นว่าเป็นการประทำที่รุนแรง ทำให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต
เสื้อแดงดำเนินคดีนายกฯ-ผบ.สส.
จากมติดังกล่าวทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมของตำรวจและทหารระหว่างวันที่ 12-14 เม.ย. ที่ผ่านมา 6 คน พร้อมนายคารม พลทะกลาง ทนายความ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้ประกาศให้พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นพื้นที่ที่มีสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีในการสลายการชุมนุม ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และในฐานะเป็นผู้ใช้ผู้อื่นพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 และ 84
ยื่น ป.ป.ช. สอบเอาผิดพ่วงฟ้องแพ่ง
นายคารมระบุว่า ที่เข้ามาแจ้งความเพราะเห็น ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นรุนแรงน้อยกว่าการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง เพราะไม่มีการใช้อาวุธปืน
ผมได้นำเทปบันทึกเหตุการณ์และคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีที่สั่งสลายการชุมนุมมาเป็นหลักการฐานด้วย และวันที่ 11 ก.ย. นี้จะไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบเอาผิดเหมือนกับกรณีของนายสมชาย และสัปดาห์หน้าจะไปฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายด้วย” นายคารมกล่าว
ผบ.สส. ไม่วิตกเพราะทำตามกฎหมาย
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. กล่าวว่า ไม่กังวลที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงแจ้งดำเนินคดี เพราะทำหน้าที่ตามกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญและระเบียบกองทัพ
ผมไม่เห็นต้องเกรงอะไรกับการต้องทำหน้าที่นี้ต่อไป เกรงไม่ได้ ถ้าเกรงก็ต้องลาออกไป และไม่จำเป็นต้องเตรียมข้อมูลอะไรเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด” ผบ.สส. กล่าว
“สมชาย” ชี้ม็อบ พธม. มีทั้งปืน-ระเบิด
ที่พรรคเพื่อไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงอีกครั้งถึงมติชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เกิดจากกลุ่มคนไปปิดล้อมรัฐสภาและนำอาวุธปืน ระเบิด และมีดไปด้วย ตำรวจจึงต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องให้กำลังใจตำรวจในการทำหน้าที่ไม่ใช่ได้รับข้อกล่าวหา ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไปหากเกิดเหตุอะไรขึ้นตำรวจก็ไม่กล้าทำงาน บ้านเมืองก็จะยิ่งวุ่นวาย
ยันมติ ครม. ให้รักษาความสงบ
นายสมชายยืนยันว่า มติการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษวันที่ 6 ต.ค. 2551 ได้มอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ติดตามตรวจสอบสถานการณ์และกำกับดูแลการรักษาความสงบเรียบร้อยในวันประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยให้ประสานสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ให้เทียบสลายเสื้อเหลือง-เสื้อแดง
มติ ครม. มีเพียงเท่านี้ ไม่มีเรื่องสั่งสลายการชุมนุม ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่เอาความจริงมาเล่าให้ฟัง และผมอยากให้นำเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. มาเปรียบเทียบกับการสลายการชุมนุมในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านจะเห็นว่าแตกต่างกันมาก” นายสมชายกล่าวและว่า ที่ผ่านมาพยายามแก้ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. พยายามขอตรวจเอกสารตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิกับผู้ถูกกล่าวหา โดยร้องไปที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารแห่งชาติและศาลปกครอง แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช. ไม่รอ รีบตัดสิน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตัดสินของ ป.ป.ช. จะเกี่ยวข้องกับการเลือก ผบ.ตร.คนใหม่หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ผลคือ พล.ต.อ.พัชรวาทจะเข้าประชุมคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เพื่อเลือก ผบ.ตร. คนใหม่ไม่ได้
“บิ๊กจิ๋ว” ผิดหวังคำตัดสิน ป.ป.ช.
พล.ท.เชวงศักดิ์ ทองสลวย นายทหารคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตรู้สึกเสียใจที่ ป.ป.ช. วินิจฉัยออกมาแบบนี้ เพราะตลอดชีวิต พล.อ.ชวลิตไม่มีแนวคิดเรื่องใช้ความรุนแรง ยึดแนวทางสมานฉันท์มาโดยตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งให้เจ้าหน้าที่เข่นฆ่าประชาชน
ตั้งคำถามปริศนาผู้ใหญ่ในชาติคิดอะไร
หนังสือลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีระบุชัดเจนว่า หากยังไม่สามารถเปิดเส้นทางได้ก็ให้ยุติไว้ก่อนเพื่อให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมือง น่าเสียใจที่ ป.ป.ช. ไม่ใช้เอกสารดังกล่าวประกอบการวินิจฉัย” พล.ท.เชวงศักดิ์กล่าวและว่า พล.อ.ชวลิตรู้สึกเสียใจ และไม่ทราบว่าผู้ใหญ่ในประเทศชาติคิดอะไร เพราะ ป.ป.ช. ตั้งขึ้นมาเพื่อหาความยุติธรรม เป็นองค์กรอิสระเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แต่ ป.ป.ช. กลับมาสร้างปัญหาเองในที่สุด
“พัชรวาท” เข้าทำงานตามปรกติ
ด้านความเคลื่อนไหวของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ยังเข้าทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตามปรกติ และยังมีท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส โดยได้ทักทายกับสื่อมวลชนที่มารอสัมภาษณ์สั้นๆว่า “ยังทำงานตามปรกติและจะอยู่ที่นี่ทั้งวัน เว้นแต่จะมีภารกิจไปข้างนอก”
ขณะที่การเคลื่อนไหวของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ไม่ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 4 จังหวัดขอนแก่น โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า พล.ต.ท.สุชาติเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และมีกำหนดปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพฯประมาณ 1 สัปดาห์
ป.ป.ช. ยันต้องหยุดทำหน้าที่ทันที
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า พล.ต.อ.พัชรวาทและ พล.ต.ท.สุชาติที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที การสั่งการใดๆหลัง ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดจะไม่มีผลทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การจะให้ข้าราชการยุติการปฏิบัติหน้าที่ขึ้นอยู่กับคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาด้วย
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกชี้มูลความผิดไม่พอใจมติของ ป.ป.ช. นั้น น.ส.สมลักษณ์กล่าวว่า ต้องไปต่อสู้ในชั้นศาล เพราะการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. สิ้นสุดแล้ว
“มาร์ค” ยังไม่เชือด ผบ.ตร.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้รับมติจาก ป.ป.ช. อย่างเป็นทางการ ก่อนจะมีคำสั่งใดกับ พล.ต.อ.พัชรวาทต้องรอให้ ป.ป.ช. ยืนยันมติมาก่อน ซึ่งตนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนที่เกรงกันว่าอาจทำให้มีปัญหากับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาทนั้น คิดว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นเรื่องกฎหมายที่ทุกคนทราบดีว่ากระบวนการเป็นอย่างไร
พันธมิตรฯไล่ฟ้องแพ่ง-อาญาผู้เกี่ยวข้อง
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า แม้มติ ป.ป.ช. ที่ออกมายังไม่น่าพอใจ 100% เพราะยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายคนที่ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ทนายพันธมิตรฯจะเดินหน้าฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางแพ่งและอาญาจนถึงที่สุดต่อไป และจะติดตามว่านายอภิสิทธิ์จะมีความกล้าหาญดำเนินการกับ พล.ต.อ.พัชรวาทอย่างไร จะเลือกผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือตัวเอง
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ลูกกระแป่งศาสดาโกเด๊กซ์จีบปากจีบคอด่า"กษิต ภิรมย์"ฮีโร่พันธมิตรตกกระป๋อง

เอเอสทีวี-ผู้จัดการ : เสียดาย กษิต ภิรมย์!โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ประชาชนที่เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บจำนวนมากในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้นได้เสียสละเพื่อรักษาชาติ และราชบัลลังก์ ตลอดจนรักษาหลักนิติรัฐให้ดำรงอยู่ได้ในสังคมไทย ด้วยการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง และขับไล่รัฐบาลให้พ้นจากการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดระยะเวลา 193 วันของการต่อสู้ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถจะลืมเลือนได้
หนึ่งในหลายเหตุผลสำคัญที่ต้องขับไล่รัฐบาลในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช นั้นก็คือการลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552 กรณีการยกปราสาทพระวิหารและ “พื้นที่โดยรอบ” ให้กับประเทศกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 190
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกรัฐบาลชุดนั้นในแถลงการณ์หลายฉบับว่า “รัฐบาลขายชาติ”!
คดีแถลงการณ์ร่วมฯ ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 โดยศาลรัฐธรรมนูญว่าแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แล้วยังมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551 โดยศาลปกครองสูงสุดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยื่นคำร้องกับ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ช.กลับต้องใช้เวลานานมากกว่าคดี 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเสียอีก
เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2551 ภริยานายกรัฐมนตรีฮุนเซนแห่งกัมพูชา และคณะ ได้เดินทางบุกรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยบริเวณเขาพระวิหาร เพื่อไปทำพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดแก้วสิขาคีรีศวร ซึ่งในคืนนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 18/2551 ทันที เพื่อประท้วงและประณามกัมพูชากรณีรุกล้ำอธิปไตยบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งนอกจากการประท้วงและประณามกัมพูชาแล้ว ยังมีเนื้อความคัดย่อบางส่วนในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมีข้อความดังต่อไปนี้
เรายืนยันว่า วัดแก้วสิขาคีรีศวร และพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รอบนอกทั้งหมดเป็นดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ ผู้บุกรุกทั้งหมดจะต้องออกไปจากดินแดนของราชอาณาจักรไทย
เรายังคงเรียกร้องให้รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการรุกล้ำอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยดังกล่าว และเร่งผลักดันบรรดาผู้บุกรุกชาวกัมพูชาทั้งหมดออกไปจากดินแดนของราชอาณาจักรไทย
เราเรียกร้องให้กองทัพไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาผู้บุกรุกอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทยออกไปจากเขตแดนของประเทศไทยโดยเร็ว”
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่งจะมาคิดค้นวิธีการต่อสู้ในประเด็นนี้ แต่เป็นจุดยืนเดิมที่ยืนหยัดปกป้องดินแดนและอธิปไตยไทยอย่างหนักแน่น มั่นคง มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยที่มีท่านทูตกษิต ภิรมย์ อยู่ในฐานะผู้ปราศรัยร่วมกับขบวนการที่มีจุดยืนดังกล่าวชัดเจนต่อกรณีการถูกรุกล้ำอธิปไตยไทย
มาปีนี้ภายใต้การนำของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝ่ายกัมพูชาเหิมเกริมมากขึ้น ถึงขั้นมีทหารและประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ของราชอาณาจักรไทยหลายจุด โดยที่ประชาชนชาวไทยทั่วไม่สามารถเข้าไปได้ เช่น ทางเดินจากผามออีแดงถึงวัดแก้วสิขาคีรีศวร บริเวณวัดแก้วสิขาคีรีศวรตลอดแนวถึงปราสาทพระวิหาร บนยอดภูมะเขือ ตลอดจนทางขึ้นตัวปราสาทที่ปิดด้วยรั้วประตูเหล็กที่คนไทยไม่สามารถขึ้นไปบนตัวปราสาทได้ ส่วนทหารไทยที่ต้องการขึ้นไปวัดแก้วสิขาคีรีศวรไม่สามารถพกพาอาวุธได้
นอกจากนี้ยังมีการสร้างถนนลำเลียงเสบียงและยุทโธปกรณ์เข้ามาให้ฝ่ายทหารกัมพูชาที่อยู่ในดินแดนไทยในหลายจุด เช่น ถนนจากบ้านโกมุยในฝั่งกัมพูชา-วัดแก้วสิขาคีรีศวร-ปราสาทพระวิหารเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัฐบาลชุดนี้ บันไดทางขึ้นภูมะเขือเสร็จสิ้นแล้ว และถนนทางขึ้นตัวปราสาทพระวิหารจากด้านหน้าผาเพื่อขึ้นสันปันน้ำใกล้เสร็จ นอกจากนี้ยังมีถนน 4 เลนเข้าช่องตาเฒ่า ซึ่งบริเวณดังกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร
ฝ่ายกัมพูชายังสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้างเพื่อเตรียมยึดพื้นที่ดินแดนฝั่งไทยเพิ่มเติมอีก เช่น ถนนเข้าปราสาทตาเมือนธม และมีการสร้างที่พักของทหารระดับสูงหลายหลัง และสร้างสิ่งปลูกสร้างของประชาชนชาวกัมพูชาอีกหลายจุด
เฉพาะการถูกรุกล้ำอธิปไตยดังกล่าวข้างต้น นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2552 ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์อธิบายความว่า:
สาเหตุที่ทำให้ไทยไม่สามารถขึ้นไปชมเขาวิหารได้ เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างรอการเจรจาเกี่ยวกับเขตแดนที่ไทยอ้างเป็นเจ้าของทั้งหมด ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส โดยยึดเขตสันปันน้ำเป็นหลัก ส่วนกัมพูชายึดแผนที่ฝรั่งเศส จึงทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ปกติต้องยึดหลักตามกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เมื่อผู้นำทั้งสองประเทศตกลงยึดหลักเจรจา ก็ต้องว่ากันด้วยการเจรจาตกลงกัน
ทั้งนี้เมื่อการเจรจายังไม่แล้วเสร็จ หากถามว่า อธิปไตยไทยเป็นอย่างไร นายกษิต ตอบว่า ที่พิพาทตรงนี้ไทยได้ประกาศว่าเป็นของเราหลายครั้ง และที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาเราก็ได้ประท้วงไปแล้ว แต่กัมพูชาซึ่งก็อ้างสิทธิในแผนที่ฝรั่งเศสว่าเป็นพื้นที่ของเขา ทำให้มีการตรึงกำลังกันอยู่อย่างที่เห็น ด้วยเหตุนี้ไทยจึงไม่ได้สูญเสียอธิปไตยแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านกังวล ว่า การที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาอยู่ในพื้นที่หากไม่ทำอะไรเลยจะเป็นการรับสภาพโดยปริยาย นายกษิต ตอบว่า เรื่องนี้เคยมีการเสนอต่อรัฐบาลชุดก่อนๆ ให้มีการใช้กำลังขับเคลื่อน แต่ได้ถูกระงับไว้ แต่มาถึงรัฐบาลปัจจุบันได้ตกลงที่จะทำการเจรจา จึงต้องว่ากันตามนั้น และเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ก็สามารถที่จะเจรจา ให้ย้ายวัด ประชาชนออกไปได้ อย่างไรก็ตามระหว่างที่ยังไม่ผ่านสภา หากไปไล่ชาวกัมพูชาออกไป ก็จะผิดวัตถุประสงค์ตามที่ผู้นำระหว่างประเทศได้ตกลงกันไว้”
ถ้าจะให้ความเป็นธรรม ต้องเข้าใจว่านายกษิต ภิรมย์ ซึ่งถูกมอบหมายให้มาเป็นหนังหน้าไฟแทนรัฐบาลนั้น “ไม่ได้เป็นคนถือกำลังทหาร” ที่จะไปผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทยได้ และสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็คือ “การประท้วง” เพื่อประกาศรักษาสิทธิ์ในดินแดน
นายกษิตยังได้พยายามบอกกับประชาชนว่า “ผู้นำประเทศ” ไม่มีวัตถุประสงค์ในการผลักดันฝ่ายกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย ดังนั้นในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงทำได้เพียงแค่เจรจา ซึ่งต้องขอความเห็นชอบในกรอบการเจรจาจากรัฐสภาก่อน
การผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกไปจากอธิปไตยไทยได้หรือไม่ จึงอยู่ที่ผู้นำประเทศที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว!
ดังนั้น ดูจะเป็นการ “อำมหิต” ไปสักหน่อย ที่รัฐบาลมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาตอบแทนรัฐบาลในเรื่อง “การถูกรุกล้ำอธิปไตยอย่างชัดเจนที่สุด” โดยที่คนตอบคำถามไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องงานความมั่นคง ถึงได้โดนประชาชนในเว็บไซต์เข้ามาด่าถล่มเละเพราะพูดว่าเรารักษาดินแดนและอธิปไตยไทยได้เพราะเพียงแค่ “การยื่นหนังสือประท้วง”
ส่วนกรอบการเจรจาที่เตรียมจะขอผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ได้ระบุว่าให้ฝ่ายทหารทั้งสองฝ่ายถอนออกจากดินแดนไทยไปก่อน เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดน โดยยังคงเหลือมีประชาชนชาวกัมพูชาและสิ่งปลูกสร้างอยู่ จะต่างอะไรที่จะเรียกว่าเป็นดินแดนอาศัยของชาวกัมพูชาในทางพฤตินัย โดยที่ไม่มีทหารทั้งสองฝ่ายมารบกวน
บังเอิญว่าร่างข้อตกลงชั่วคราวฉบับนี้ระบุเอาไว้ว่า “ข้อตกลงชั่วคราวฯ จะมีผลบังคับใช้จนกว่าการจัดทำหลักเขตแดนจะเสร็จสิ้นลง” ซึ่งไม่มีกำหนดว่าจะจบลงเมื่อใด และถ้าไม่มีวันจัดทำหลักเขตแดนเสร็จสิ้นหรือตกลงกันไม่ได้ ดินแดนไทยที่มีแต่ถนน สิ่งปลูกสร้าง วัด ประชาชนชาวกัมพูชาซึ่งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบสิ้น และราชอาณาจักรไทยอาจจะไม่สามารถทวงดินแดนส่วนนั้นกลับมาได้อีกเลย ซึ่งฝ่ายกัมพูชาย่อมพอใจที่จะถ่วงเวลาในการปักปันเขตแดนภายใต้ร่างกรอบการเจรจานี้ตลอดกาล
เมื่อถามว่า อีก 10 ปีเรื่องนี้จะจบไหม นายกษิต ตอบในรายการที่ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวว่า เกาะเล็กๆ ระหว่างประเทศสิงคโปร์กับประเทศมาเลเซีย ยังใช้เวลาถึง 30 ปี อย่างไรก็ตามรัฐบาลทั้งสองประเทศไม่ได้เอาเรื่องระยะเวลามาบีบบังคับ คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
ก็แปลว่าดินแดนของไทยในส่วนที่ถูกรุกล้ำ “มาไม่กี่ปี” นี้ อาจจะไม่มีวันกำหนดทวงคืนเลยก็เป็นได้!
นอกจากนั้น ยังมีทหารบางคนทำมาหากินกับการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ทั้งการค้าขายสินค้า รับงานก่อสร้าง การค้าขายรถขโมยจากประเทศไทย ฯลฯ จึงอยู่ที่ผู้นำไทยจะรู้เท่าทันกับความเลวร้ายของทหารขายชาติเหล่านี้หรือไม่?
17 ธันวาคม 2544 – 30 พฤษภาคม 2546 เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ฝ่ายไทยได้ปิดทางขึ้นเขาพระวิหารให้คนไทยทั้งหมดออกนอกพื้นที่ แทนที่จะผลักดันให้ประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่ กลับปล่อยให้ประชาชนกัมพูชาอยู่ด้านบนเขาพระวิหารตลอดระยะเวลาเกือบปีครึ่ง มีคำถามให้น่าที่จะตั้งข้อสังเกตอยู่ว่าประชาชนและทหารชาวกัมพูชามีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ถนนที่ตัดผ่านจากฝั่งกัมพูชาข้ามาฝั่งไทยในเวลานั้นก็ยังไม่แล้วเสร็จ หรือว่ามีการปล่อยให้มีการส่งเสบียงหรือการค้าขายให้กับทหารและชาวกัมพูชาที่อยู่บนเขาพระวิหาร ใช่หรือไม่?
ในทางตรงกันข้ามการผลักดันให้ทหารและประชาชนชาวกัมพูชา ถ้าจะทำกันจริงๆก็ย่อมทำได้ เหมือนกับกรณีตัวอย่างเหตุการณ์ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม 2548 ที่ฝ่ายทหารไทยเตรียมกำลังส่งสัญญาณ คำรามพร้อมที่จะใช้กำลังผลักดันให้ฝ่ายกัมพูชาออกนอกพื้นที่เพราะเริ่มมีการปรับปรุงถนนเข้าสู่ปราสาทพระวิหารจากบ้านโกมุยของฝ่ายกัมพูชา ปรากฏว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ปิดทางขึ้นปราสาทพระวิหาร และอพยพครอบครัวบนพื้นที่รอบปราสาทได้เกือบหมดในระยะเวลาอันสั้น แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตกลงถอนทหารกลับไปและเปิดทางขึ้นปราสาทอีกครั้งเป็นปกติ
แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตย เพราะเรามีทหารและนักการเมืองบางคนขายชาติและติดผลประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป แต่ในยุคนี้เราถูกรุกล้ำอธิปไตยเพราะเรามีผู้นำที่อ่อนแอเกินไป
จึงเป็นที่น่าเสียดายที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องกลายมาเป็นหนังหน้าไฟแบกรับความอ่อนแอด้านความมั่นคงของรัฐบาลอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งไม่มีทางที่จะแบกรับความจริงที่ประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตยอยู่ในขณะนี้ได้
ถ้านายกษิต ภิรมย์ มีจิตใจอยู่เคียงข้างการต่อสู้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและไม่ยึดติดอยู่ในตำแหน่ง ควรจะต้องส่งสัญญาณถึงรัฐบาลให้ใช้งานความมั่นคงเพื่อรักษาดินแดนได้แล้ว และถ้าอึดอัดใจที่รัฐบาลไม่รักษาหรือทวงคืนดินแดนทางบกของไทยและผลประโยชน์ทางทะเลของชาติเอาไว้ได้…
ลาออกไปเสียดีกว่า อย่าได้เข้าร่วมกับความล้มเหลวครั้งนี้เลย!
ประชาชนที่เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บจำนวนมากในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้นได้เสียสละเพื่อรักษาชาติ และราชบัลลังก์ ตลอดจนรักษาหลักนิติรัฐให้ดำรงอยู่ได้ในสังคมไทย ด้วยการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง และขับไล่รัฐบาลให้พ้นจากการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดระยะเวลา 193 วันของการต่อสู้ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถจะลืมเลือนได้
หนึ่งในหลายเหตุผลสำคัญที่ต้องขับไล่รัฐบาลในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช นั้นก็คือการลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552 กรณีการยกปราสาทพระวิหารและ “พื้นที่โดยรอบ” ให้กับประเทศกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 190
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกรัฐบาลชุดนั้นในแถลงการณ์หลายฉบับว่า “รัฐบาลขายชาติ”!
คดีแถลงการณ์ร่วมฯ ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 โดยศาลรัฐธรรมนูญว่าแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แล้วยังมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551 โดยศาลปกครองสูงสุดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยื่นคำร้องกับ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ช.กลับต้องใช้เวลานานมากกว่าคดี 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเสียอีก
เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2551 ภริยานายกรัฐมนตรีฮุนเซนแห่งกัมพูชา และคณะ ได้เดินทางบุกรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยบริเวณเขาพระวิหาร เพื่อไปทำพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดแก้วสิขาคีรีศวร ซึ่งในคืนนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 18/2551 ทันที เพื่อประท้วงและประณามกัมพูชากรณีรุกล้ำอธิปไตยบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งนอกจากการประท้วงและประณามกัมพูชาแล้ว ยังมีเนื้อความคัดย่อบางส่วนในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมีข้อความดังต่อไปนี้
เรายืนยันว่า วัดแก้วสิขาคีรีศวร และพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รอบนอกทั้งหมดเป็นดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์ ผู้บุกรุกทั้งหมดจะต้องออกไปจากดินแดนของราชอาณาจักรไทย
เรายังคงเรียกร้องให้รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการรุกล้ำอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยดังกล่าว และเร่งผลักดันบรรดาผู้บุกรุกชาวกัมพูชาทั้งหมดออกไปจากดินแดนของราชอาณาจักรไทย
เราเรียกร้องให้กองทัพไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำเนินการผลักดันชาวกัมพูชาผู้บุกรุกอธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทยออกไปจากเขตแดนของประเทศไทยโดยเร็ว”
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่งจะมาคิดค้นวิธีการต่อสู้ในประเด็นนี้ แต่เป็นจุดยืนเดิมที่ยืนหยัดปกป้องดินแดนและอธิปไตยไทยอย่างหนักแน่น มั่นคง มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยที่มีท่านทูตกษิต ภิรมย์ อยู่ในฐานะผู้ปราศรัยร่วมกับขบวนการที่มีจุดยืนดังกล่าวชัดเจนต่อกรณีการถูกรุกล้ำอธิปไตยไทย
มาปีนี้ภายใต้การนำของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฝ่ายกัมพูชาเหิมเกริมมากขึ้น ถึงขั้นมีทหารและประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ของราชอาณาจักรไทยหลายจุด โดยที่ประชาชนชาวไทยทั่วไม่สามารถเข้าไปได้ เช่น ทางเดินจากผามออีแดงถึงวัดแก้วสิขาคีรีศวร บริเวณวัดแก้วสิขาคีรีศวรตลอดแนวถึงปราสาทพระวิหาร บนยอดภูมะเขือ ตลอดจนทางขึ้นตัวปราสาทที่ปิดด้วยรั้วประตูเหล็กที่คนไทยไม่สามารถขึ้นไปบนตัวปราสาทได้ ส่วนทหารไทยที่ต้องการขึ้นไปวัดแก้วสิขาคีรีศวรไม่สามารถพกพาอาวุธได้
นอกจากนี้ยังมีการสร้างถนนลำเลียงเสบียงและยุทโธปกรณ์เข้ามาให้ฝ่ายทหารกัมพูชาที่อยู่ในดินแดนไทยในหลายจุด เช่น ถนนจากบ้านโกมุยในฝั่งกัมพูชา-วัดแก้วสิขาคีรีศวร-ปราสาทพระวิหารเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัฐบาลชุดนี้ บันไดทางขึ้นภูมะเขือเสร็จสิ้นแล้ว และถนนทางขึ้นตัวปราสาทพระวิหารจากด้านหน้าผาเพื่อขึ้นสันปันน้ำใกล้เสร็จ นอกจากนี้ยังมีถนน 4 เลนเข้าช่องตาเฒ่า ซึ่งบริเวณดังกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร
ฝ่ายกัมพูชายังสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้างเพื่อเตรียมยึดพื้นที่ดินแดนฝั่งไทยเพิ่มเติมอีก เช่น ถนนเข้าปราสาทตาเมือนธม และมีการสร้างที่พักของทหารระดับสูงหลายหลัง และสร้างสิ่งปลูกสร้างของประชาชนชาวกัมพูชาอีกหลายจุด
เฉพาะการถูกรุกล้ำอธิปไตยดังกล่าวข้างต้น นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2552 ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์อธิบายความว่า:
สาเหตุที่ทำให้ไทยไม่สามารถขึ้นไปชมเขาวิหารได้ เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างรอการเจรจาเกี่ยวกับเขตแดนที่ไทยอ้างเป็นเจ้าของทั้งหมด ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส โดยยึดเขตสันปันน้ำเป็นหลัก ส่วนกัมพูชายึดแผนที่ฝรั่งเศส จึงทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ปกติต้องยึดหลักตามกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เมื่อผู้นำทั้งสองประเทศตกลงยึดหลักเจรจา ก็ต้องว่ากันด้วยการเจรจาตกลงกัน
ทั้งนี้เมื่อการเจรจายังไม่แล้วเสร็จ หากถามว่า อธิปไตยไทยเป็นอย่างไร นายกษิต ตอบว่า ที่พิพาทตรงนี้ไทยได้ประกาศว่าเป็นของเราหลายครั้ง และที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาเราก็ได้ประท้วงไปแล้ว แต่กัมพูชาซึ่งก็อ้างสิทธิในแผนที่ฝรั่งเศสว่าเป็นพื้นที่ของเขา ทำให้มีการตรึงกำลังกันอยู่อย่างที่เห็น ด้วยเหตุนี้ไทยจึงไม่ได้สูญเสียอธิปไตยแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านกังวล ว่า การที่ชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาอยู่ในพื้นที่หากไม่ทำอะไรเลยจะเป็นการรับสภาพโดยปริยาย นายกษิต ตอบว่า เรื่องนี้เคยมีการเสนอต่อรัฐบาลชุดก่อนๆ ให้มีการใช้กำลังขับเคลื่อน แต่ได้ถูกระงับไว้ แต่มาถึงรัฐบาลปัจจุบันได้ตกลงที่จะทำการเจรจา จึงต้องว่ากันตามนั้น และเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ก็สามารถที่จะเจรจา ให้ย้ายวัด ประชาชนออกไปได้ อย่างไรก็ตามระหว่างที่ยังไม่ผ่านสภา หากไปไล่ชาวกัมพูชาออกไป ก็จะผิดวัตถุประสงค์ตามที่ผู้นำระหว่างประเทศได้ตกลงกันไว้”
ถ้าจะให้ความเป็นธรรม ต้องเข้าใจว่านายกษิต ภิรมย์ ซึ่งถูกมอบหมายให้มาเป็นหนังหน้าไฟแทนรัฐบาลนั้น “ไม่ได้เป็นคนถือกำลังทหาร” ที่จะไปผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทยได้ และสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็คือ “การประท้วง” เพื่อประกาศรักษาสิทธิ์ในดินแดน
นายกษิตยังได้พยายามบอกกับประชาชนว่า “ผู้นำประเทศ” ไม่มีวัตถุประสงค์ในการผลักดันฝ่ายกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย ดังนั้นในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงทำได้เพียงแค่เจรจา ซึ่งต้องขอความเห็นชอบในกรอบการเจรจาจากรัฐสภาก่อน
การผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกไปจากอธิปไตยไทยได้หรือไม่ จึงอยู่ที่ผู้นำประเทศที่ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว!
ดังนั้น ดูจะเป็นการ “อำมหิต” ไปสักหน่อย ที่รัฐบาลมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาตอบแทนรัฐบาลในเรื่อง “การถูกรุกล้ำอธิปไตยอย่างชัดเจนที่สุด” โดยที่คนตอบคำถามไม่มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องงานความมั่นคง ถึงได้โดนประชาชนในเว็บไซต์เข้ามาด่าถล่มเละเพราะพูดว่าเรารักษาดินแดนและอธิปไตยไทยได้เพราะเพียงแค่ “การยื่นหนังสือประท้วง”
ส่วนกรอบการเจรจาที่เตรียมจะขอผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ได้ระบุว่าให้ฝ่ายทหารทั้งสองฝ่ายถอนออกจากดินแดนไทยไปก่อน เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดน โดยยังคงเหลือมีประชาชนชาวกัมพูชาและสิ่งปลูกสร้างอยู่ จะต่างอะไรที่จะเรียกว่าเป็นดินแดนอาศัยของชาวกัมพูชาในทางพฤตินัย โดยที่ไม่มีทหารทั้งสองฝ่ายมารบกวน
บังเอิญว่าร่างข้อตกลงชั่วคราวฉบับนี้ระบุเอาไว้ว่า “ข้อตกลงชั่วคราวฯ จะมีผลบังคับใช้จนกว่าการจัดทำหลักเขตแดนจะเสร็จสิ้นลง” ซึ่งไม่มีกำหนดว่าจะจบลงเมื่อใด และถ้าไม่มีวันจัดทำหลักเขตแดนเสร็จสิ้นหรือตกลงกันไม่ได้ ดินแดนไทยที่มีแต่ถนน สิ่งปลูกสร้าง วัด ประชาชนชาวกัมพูชาซึ่งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบสิ้น และราชอาณาจักรไทยอาจจะไม่สามารถทวงดินแดนส่วนนั้นกลับมาได้อีกเลย ซึ่งฝ่ายกัมพูชาย่อมพอใจที่จะถ่วงเวลาในการปักปันเขตแดนภายใต้ร่างกรอบการเจรจานี้ตลอดกาล
เมื่อถามว่า อีก 10 ปีเรื่องนี้จะจบไหม นายกษิต ตอบในรายการที่ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวว่า เกาะเล็กๆ ระหว่างประเทศสิงคโปร์กับประเทศมาเลเซีย ยังใช้เวลาถึง 30 ปี อย่างไรก็ตามรัฐบาลทั้งสองประเทศไม่ได้เอาเรื่องระยะเวลามาบีบบังคับ คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
ก็แปลว่าดินแดนของไทยในส่วนที่ถูกรุกล้ำ “มาไม่กี่ปี” นี้ อาจจะไม่มีวันกำหนดทวงคืนเลยก็เป็นได้!
นอกจากนั้น ยังมีทหารบางคนทำมาหากินกับการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ทั้งการค้าขายสินค้า รับงานก่อสร้าง การค้าขายรถขโมยจากประเทศไทย ฯลฯ จึงอยู่ที่ผู้นำไทยจะรู้เท่าทันกับความเลวร้ายของทหารขายชาติเหล่านี้หรือไม่?
17 ธันวาคม 2544 – 30 พฤษภาคม 2546 เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ฝ่ายไทยได้ปิดทางขึ้นเขาพระวิหารให้คนไทยทั้งหมดออกนอกพื้นที่ แทนที่จะผลักดันให้ประชาชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่ กลับปล่อยให้ประชาชนกัมพูชาอยู่ด้านบนเขาพระวิหารตลอดระยะเวลาเกือบปีครึ่ง มีคำถามให้น่าที่จะตั้งข้อสังเกตอยู่ว่าประชาชนและทหารชาวกัมพูชามีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ถนนที่ตัดผ่านจากฝั่งกัมพูชาข้ามาฝั่งไทยในเวลานั้นก็ยังไม่แล้วเสร็จ หรือว่ามีการปล่อยให้มีการส่งเสบียงหรือการค้าขายให้กับทหารและชาวกัมพูชาที่อยู่บนเขาพระวิหาร ใช่หรือไม่?
ในทางตรงกันข้ามการผลักดันให้ทหารและประชาชนชาวกัมพูชา ถ้าจะทำกันจริงๆก็ย่อมทำได้ เหมือนกับกรณีตัวอย่างเหตุการณ์ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม 2548 ที่ฝ่ายทหารไทยเตรียมกำลังส่งสัญญาณ คำรามพร้อมที่จะใช้กำลังผลักดันให้ฝ่ายกัมพูชาออกนอกพื้นที่เพราะเริ่มมีการปรับปรุงถนนเข้าสู่ปราสาทพระวิหารจากบ้านโกมุยของฝ่ายกัมพูชา ปรากฏว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ปิดทางขึ้นปราสาทพระวิหาร และอพยพครอบครัวบนพื้นที่รอบปราสาทได้เกือบหมดในระยะเวลาอันสั้น แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตกลงถอนทหารกลับไปและเปิดทางขึ้นปราสาทอีกครั้งเป็นปกติ
แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตย เพราะเรามีทหารและนักการเมืองบางคนขายชาติและติดผลประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป แต่ในยุคนี้เราถูกรุกล้ำอธิปไตยเพราะเรามีผู้นำที่อ่อนแอเกินไป
จึงเป็นที่น่าเสียดายที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องกลายมาเป็นหนังหน้าไฟแบกรับความอ่อนแอด้านความมั่นคงของรัฐบาลอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งไม่มีทางที่จะแบกรับความจริงที่ประเทศไทยถูกรุกล้ำอธิปไตยอยู่ในขณะนี้ได้
ถ้านายกษิต ภิรมย์ มีจิตใจอยู่เคียงข้างการต่อสู้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและไม่ยึดติดอยู่ในตำแหน่ง ควรจะต้องส่งสัญญาณถึงรัฐบาลให้ใช้งานความมั่นคงเพื่อรักษาดินแดนได้แล้ว และถ้าอึดอัดใจที่รัฐบาลไม่รักษาหรือทวงคืนดินแดนทางบกของไทยและผลประโยชน์ทางทะเลของชาติเอาไว้ได้…
ลาออกไปเสียดีกว่า อย่าได้เข้าร่วมกับความล้มเหลวครั้งนี้เลย!
"พิชิต"ไม่ยอมรับคำตัดสินสภาทนายฯลบชื่อออกจากทะเบียน มั่นใจไม่เคยทำผิด
"ทนายแม้ว"ไม่ยอมรับคำตัดสิน
นายพิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังคณะกรรมการมารยาท สภาทนายความ มีมติลงโทษลบชื่อจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความว่า ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ประธานกรรมการมารยาทของทนายความ เป็นทนายความที่รับทำคดีหวยบนดินจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อีกทั้งยังมีความพยายามเสนอตัวลงรับเลือกสมัคร ส.ว.ในสัดส่วนของสภาทนายความ แล้วตนจะได้รับความเป็นธรรมที่ตรงไหน ทั้งนี้ กรรมการส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือน คตส.แต่บางคนก็เป็นคนดี ขอขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรม
ผมไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะกรรมการ ผมประกอบอาชีพทนายความมา 30 ปี ต่อสู้ด้วยเนื้อหาข้อกฎหมาย มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยประพฤติผิดมารยาททนายความ แต่กรรมการส่วนใหญ่ที่ตัดสินว่าผมผิด เพราะผมเป็นทนายความให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังทำการตัดสินผมท่ามกลางสิ่งที่ผมกำลังตีกลับข้อกฎหมายที่ไม่ถูกต้องกับคนของอำมาตย์ คือ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต จะต่อสู้ยื่นอุทธรณ์ต่อ รมว.ยุติธรรมและทางศาลปกครองต่อไป ยังมีความสุขที่จะให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณตลอดไป" นายพิชิตกล่าว
สภาทนายฯฟันทีมทนายแม้ว
ก่อนหน้านี้ นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ กล่าวถึงการพิจารณาข้อกล่าวหานายพิชิฏ กับพวกซึ่งเป็นเสมียนทนายความ และผู้ประสานงานคดี รวม 3 คน กระทำผิดข้อบังคับมรรยาททนายความ ว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการมรรยาทจำนวน 13 คนที่เข้าร่วมประชุมจากจำนวนทั้งหมด 15 คน ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ข้อ 6 ที่ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล หรือกระทำการใดอันเป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา
และข้อ 18 ที่ประกอบอาชีพ ดำเนินธุรกิจ หรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีหรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ จากการที่บุคคลทั้งสามได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล ที่นายธนาผู้ประสานงานคดีได้นำเงินสด 2 ล้านบาทที่บรรจุในซองสีน้ำตาล เพื่อจะมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง ในวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ที่ผ่านมา หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานเดินทางไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาฯคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก" นายสิทธิโชคกล่าว
ลงโทษหนักลบชื่อจากวิชาชีพ
นายสิทธิโชคกล่าวว่า คณะกรรมการมรรยาทลงมติเสียงข้างมาก 9 ต่อ 3 เสียง ให้ลงโทษหนักสุด ตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 ด้วยการการลบชื่อทนายความทั้งสามออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้เป็นเวลา 5 ปี หลังจากนี้ต้องทำรายงานการลงมติ พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดเสนอคณะกรรมการสภาทนายความ จำนวน 25 คนที่มีนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เป็นประธาน พิจารณาตามขั้นตอนปฏิบัติต่อไป
นายพิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังคณะกรรมการมารยาท สภาทนายความ มีมติลงโทษลบชื่อจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความว่า ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผู้ที่ทำหน้าที่ประธานกรรมการมารยาทของทนายความ เป็นทนายความที่รับทำคดีหวยบนดินจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อีกทั้งยังมีความพยายามเสนอตัวลงรับเลือกสมัคร ส.ว.ในสัดส่วนของสภาทนายความ แล้วตนจะได้รับความเป็นธรรมที่ตรงไหน ทั้งนี้ กรรมการส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือน คตส.แต่บางคนก็เป็นคนดี ขอขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรม
ผมไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะกรรมการ ผมประกอบอาชีพทนายความมา 30 ปี ต่อสู้ด้วยเนื้อหาข้อกฎหมาย มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยประพฤติผิดมารยาททนายความ แต่กรรมการส่วนใหญ่ที่ตัดสินว่าผมผิด เพราะผมเป็นทนายความให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังทำการตัดสินผมท่ามกลางสิ่งที่ผมกำลังตีกลับข้อกฎหมายที่ไม่ถูกต้องกับคนของอำมาตย์ คือ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต จะต่อสู้ยื่นอุทธรณ์ต่อ รมว.ยุติธรรมและทางศาลปกครองต่อไป ยังมีความสุขที่จะให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณตลอดไป" นายพิชิตกล่าว
สภาทนายฯฟันทีมทนายแม้ว
ก่อนหน้านี้ นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ กล่าวถึงการพิจารณาข้อกล่าวหานายพิชิฏ กับพวกซึ่งเป็นเสมียนทนายความ และผู้ประสานงานคดี รวม 3 คน กระทำผิดข้อบังคับมรรยาททนายความ ว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการมรรยาทจำนวน 13 คนที่เข้าร่วมประชุมจากจำนวนทั้งหมด 15 คน ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ข้อ 6 ที่ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล หรือกระทำการใดอันเป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา
และข้อ 18 ที่ประกอบอาชีพ ดำเนินธุรกิจ หรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดีหรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ จากการที่บุคคลทั้งสามได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล ที่นายธนาผู้ประสานงานคดีได้นำเงินสด 2 ล้านบาทที่บรรจุในซองสีน้ำตาล เพื่อจะมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง ในวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ที่ผ่านมา หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานเดินทางไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาฯคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก" นายสิทธิโชคกล่าว
ลงโทษหนักลบชื่อจากวิชาชีพ
นายสิทธิโชคกล่าวว่า คณะกรรมการมรรยาทลงมติเสียงข้างมาก 9 ต่อ 3 เสียง ให้ลงโทษหนักสุด ตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 ด้วยการการลบชื่อทนายความทั้งสามออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้เป็นเวลา 5 ปี หลังจากนี้ต้องทำรายงานการลงมติ พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดเสนอคณะกรรมการสภาทนายความ จำนวน 25 คนที่มีนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เป็นประธาน พิจารณาตามขั้นตอนปฏิบัติต่อไป
เศรษฐศาสตร์ มธ.ถล่มโครงการ"ไทยเข้มแข็ง"ของมาร์ค ม.7 ทำไทยไม่เข้มแข็ง หนี้มหาศาล
โพสต์ทูเดย์ : เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ สับแหลกโครงการไทยไม่เข้มแข็ง แต่ก่อหนี้มหาศาล พบส่วนใหญ่ทำได้แค่ ปะผุ ล้างท่อ รายได้ภาษีไม่พอจ่ายแน่
นักวิชาการกลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่าแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง วงเงิน 1.43 ล้านล้านบาทของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีพลังในการตอบโจทย์รัฐบาลเรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้ในระยะปานกลางและยาว ผลที่เกิดจากมาตรการนี้ทำได้เพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นโครงการปะผุและไม่กระจายตัว นักวิชาการกลุ่มนี้ กลัวว่ารายได้จากภาษีที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นไม่เพียงพอรองรับภาระหนี้
นางปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า โครงการส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ไม่มีมาตรการที่สามารถแก้ปัญหาเชิงคุณภาพและเชิงโครงสร้างได้ และโครงการส่วนใหญ่เป็นการสานต่อโครงการเดิมๆ ที่มีอยู่ในระบบงบประมาณที่ยังไม่ได้ทำ หรือทำไปบ้างแล้ว จากนั้นก็นำมาจัดสรรเพิ่ม เสมือนเป็นการปะผุ หรือล้างท่อโครงการต่างๆ ของรัฐบาลเท่านั้นเห็นได้จากการลงทุนในระบบรถไฟฟ้า
“โครงการใหม่ที่เสนอมาถือว่ายังเป็นโครงการที่ยังขาดทิศทาง และเป้าหมายที่ชัดเจน เหมือนเป็นงบแค่ปะผุ หรือจะเรียกว่างบล้างท่อก็ได้ และเมื่อลองเอาโครงการย่อยมาดูจะพบว่า ไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในระยะปานกลางหรือยาวได้เลย จึงเห็นว่างบส่วนที่เหลือหลังจากกดปุ่มลงไป 2 แสนล้านบาทแรก หากรัฐบาล จะปรับโครงการเพื่อเสริมความ เข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจได้อีกก็จะดี” นางปัทมาวดี กล่าว
นางปัทมาวดี กล่าวว่า สิ่งที่ยังขาดในโครงการไทยเข้มแข็งคือ ด้านพลังงานและขนส่งที่ได้รับการจัดสรรงบไปกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ปรากฏว่าด้านพลังงานมีการทำแผนพัฒนาพลังงานทดแทนน้อยมาก ไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่พยายามพูดเรื่องนี้ว่านโยบายที่สำคัญข้อหนึ่งของประเทศ
ขณะที่การพัฒนาด้านขนส่ง มีการใช้งบส่วนใหญ่เกือบครึ่งในการซ่อมถนน ที่เหลือนำไปลงทุนในระบบราง แต่ไม่มีการจัดสรรเงินลงทุนในระบบทางน้ำตามแผนโลจิสติกส์ งบพัฒนาทางด้านการศึกษาที่ได้รับการจัดสรรงบถึง 1.3 แสนล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ใช้ในการพัฒนาครู ไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาทางด้านระบบการศึกษาของไทยในระยะยาวได้
ด้านการเกษตรได้รับการจัดสรรงบประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท งบส่วนใหญ่ใช้ในการพัฒนาระบบชลประทานเดิมที่มีอยู่แล้ว 23% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด เท่ากับเป็นการใช้งบพัฒนาแบบกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดิม ทำให้ภาคการเกษตรโดยรวมไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ไม่มีงบสำหรับวิจัยและพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น
ทั้งนี้ กลุ่มจับตานโยบายรัฐบาลเสนอให้รัฐบาลกำหนดเป้าหมายและทิศทางในการใช้งบให้สอดคล้องกับทิศทาง และจุดอ่อนในการพัฒนาประเทศ เช่น การพึ่งพาการส่งออก การพึ่งพาพลังงานนำเข้าสูง และระบบการศึกษาขาดคุณภาพ
นอกจากนี้ ยังควรทำนโยบายในเชิงกลยุทธ์และจัดทำให้เป็นแพ็กเกจ หรือมาตรการเพื่อให้เกิดพลัง และควรคิดกลไกในการขับเคลื่อน ติดตาม และตรวจสอบการใช้เงิน โดยใช้กลไกในท้องถิ่นเข้ามาช่วย
นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า งบไทยเข้มแข็งในช่วง 3 ปี คิดเป็นสัดส่วนได้เท่ากับการขาดดุลประมาณ 5% ของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เกือบทั้งหมดมาจากการกู้ จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่ารายได้จากภาษี หรือรายได้ของภาคเอกชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะเพียงพอต่อความสามารถในการชำระหนีได้หรือไม่ เพราะโครงการส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดรายได้ มีความซ้ำซ้อน
นักวิชาการกลุ่มจับตานโยบายรัฐบาล คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่าแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง วงเงิน 1.43 ล้านล้านบาทของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีพลังในการตอบโจทย์รัฐบาลเรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้ในระยะปานกลางและยาว ผลที่เกิดจากมาตรการนี้ทำได้เพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นโครงการปะผุและไม่กระจายตัว นักวิชาการกลุ่มนี้ กลัวว่ารายได้จากภาษีที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นไม่เพียงพอรองรับภาระหนี้
นางปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า โครงการส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ไม่มีมาตรการที่สามารถแก้ปัญหาเชิงคุณภาพและเชิงโครงสร้างได้ และโครงการส่วนใหญ่เป็นการสานต่อโครงการเดิมๆ ที่มีอยู่ในระบบงบประมาณที่ยังไม่ได้ทำ หรือทำไปบ้างแล้ว จากนั้นก็นำมาจัดสรรเพิ่ม เสมือนเป็นการปะผุ หรือล้างท่อโครงการต่างๆ ของรัฐบาลเท่านั้นเห็นได้จากการลงทุนในระบบรถไฟฟ้า
“โครงการใหม่ที่เสนอมาถือว่ายังเป็นโครงการที่ยังขาดทิศทาง และเป้าหมายที่ชัดเจน เหมือนเป็นงบแค่ปะผุ หรือจะเรียกว่างบล้างท่อก็ได้ และเมื่อลองเอาโครงการย่อยมาดูจะพบว่า ไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในระยะปานกลางหรือยาวได้เลย จึงเห็นว่างบส่วนที่เหลือหลังจากกดปุ่มลงไป 2 แสนล้านบาทแรก หากรัฐบาล จะปรับโครงการเพื่อเสริมความ เข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจได้อีกก็จะดี” นางปัทมาวดี กล่าว
นางปัทมาวดี กล่าวว่า สิ่งที่ยังขาดในโครงการไทยเข้มแข็งคือ ด้านพลังงานและขนส่งที่ได้รับการจัดสรรงบไปกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ปรากฏว่าด้านพลังงานมีการทำแผนพัฒนาพลังงานทดแทนน้อยมาก ไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่พยายามพูดเรื่องนี้ว่านโยบายที่สำคัญข้อหนึ่งของประเทศ
ขณะที่การพัฒนาด้านขนส่ง มีการใช้งบส่วนใหญ่เกือบครึ่งในการซ่อมถนน ที่เหลือนำไปลงทุนในระบบราง แต่ไม่มีการจัดสรรเงินลงทุนในระบบทางน้ำตามแผนโลจิสติกส์ งบพัฒนาทางด้านการศึกษาที่ได้รับการจัดสรรงบถึง 1.3 แสนล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ใช้ในการพัฒนาครู ไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาทางด้านระบบการศึกษาของไทยในระยะยาวได้
ด้านการเกษตรได้รับการจัดสรรงบประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท งบส่วนใหญ่ใช้ในการพัฒนาระบบชลประทานเดิมที่มีอยู่แล้ว 23% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด เท่ากับเป็นการใช้งบพัฒนาแบบกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดิม ทำให้ภาคการเกษตรโดยรวมไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ไม่มีงบสำหรับวิจัยและพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น
ทั้งนี้ กลุ่มจับตานโยบายรัฐบาลเสนอให้รัฐบาลกำหนดเป้าหมายและทิศทางในการใช้งบให้สอดคล้องกับทิศทาง และจุดอ่อนในการพัฒนาประเทศ เช่น การพึ่งพาการส่งออก การพึ่งพาพลังงานนำเข้าสูง และระบบการศึกษาขาดคุณภาพ
นอกจากนี้ ยังควรทำนโยบายในเชิงกลยุทธ์และจัดทำให้เป็นแพ็กเกจ หรือมาตรการเพื่อให้เกิดพลัง และควรคิดกลไกในการขับเคลื่อน ติดตาม และตรวจสอบการใช้เงิน โดยใช้กลไกในท้องถิ่นเข้ามาช่วย
นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า งบไทยเข้มแข็งในช่วง 3 ปี คิดเป็นสัดส่วนได้เท่ากับการขาดดุลประมาณ 5% ของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เกือบทั้งหมดมาจากการกู้ จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่ารายได้จากภาษี หรือรายได้ของภาคเอกชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะเพียงพอต่อความสามารถในการชำระหนีได้หรือไม่ เพราะโครงการส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดรายได้ มีความซ้ำซ้อน
ปณิธานแฉแม้วอยู่ชายแดนหวังเผด็จศึก

คมชัดลึก :
โฆษกรัฐ” แฉแผน "ทักษิณ" ป้วนเปี้ยนชายแดนไทย เตรียมเผด็จศึก “ก่อนตุลา” วางแผนล้มประชุมอาเซียน หักหน้ารัฐตามรอยพัทยา เพิ่มกำลังเฝ้าทำเนียบ “3กองร้อย” แย้มหนทางเคลียร์คดีแม้ว ให้ยอมรับโทษก่อน แล้วจะผ่อนหนักเป็นเบา หลายประเทศก็เป็นแบบนี้
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประเมินการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและกลุ่มเสื้อแดง ว่า ต้องจับตาในช่วงเดือนก.ย.และต.ค.จะเป็นช่วงที่อ่อนไหวที่สุด จากประวัติศาสตร์แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกันในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งจะมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ เป็นช่วงที่งบประมาณเริ่มไหลลงพื้นที่จะเกิดแรงกระเพื่อมสูง รวมทั้งกลุ่มองค์กรภาคประชาชนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง รวมทั้งกลุ่มคนเดือนตุลาจะมีกิจกรรมเคลื่อนไหวกันมาก ขณะที่รัฐบาลเอง เมื่อผ่านการบริหารงานหลายเดือนความแตกต่างทางความคิดก็จะเริ่มมีมากขึ้น กลุ่มเสื้อแดงก็จะใช้จังหวะนี้สร้างความรุนแรง อาจจะล้มประชุมอาเซียนเพราะคิดว่าครั้งที่แล้วทำสำเร็จครั้งนี้ก็ทำได้
“
รัฐบาลได้รับข่าวว่าในวันที่ 19 ก.ย.จะมีการระดมผู้มาชุมนุมหลายหมื่นคน จากหลากหลายกลุ่มทั่วประเทศ ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรจะรู้ได้ล่วงหน้าก่อน 2 สัปดาห์ แต่รัฐบาลได้วางมาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเพิ่มกำลังทหารในการดูแลทำเนียบรัฐบาลจาก 1 กองร้อย เป็น 3 กองร้อย และใช้แผนปฎิบัติการที่เคยเตรียมไว้ในวันที่ 30 ส.ค.มาใช้รับมือกลุ่มผู้ชุมนุม”โฆษกรัฐบาล กล่าว
นายปณิธาน กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าใจดีว่ารัฐบาลอ่อนไหวมากในช่วงนี้ เขาจึงพยายามสร้างแรงกระเพื่อมระดับสูง เห็นได้จากการใช้สื่อสมัยใหม่อย่างทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค หรือแทรกตัวเข้ามาในสื่อรัฐ ก็เป็นความตั้งใจที่จะจุดกระแสโจมตีรัฐบาล เพื่อเผด็จศึกในช่วงนี้ เพราะถ้าผ่านเดือนก.ย.และต.ค.ไป บรรยากาศของประเทศจะเปลี่ยนไป เพราะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นอยู่ในช่วง “ตัววี” ขาขึ้น ขณะที่ประชาชนก็เข้าสู่เทศกาลฉลอง ท่องเที่ยวในช่วงปลายปีไม่มีใครสนใจการเมือง ขณะที่กระแสยุบสภาก็ปลุกไม่ขึ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่พร้อมที่จะเลือกตั้ง ประชาชนก็ไม่ต้องการเลือกตั้งใหม่
ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจะเปิดการเจรจานั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เป็นการเดินยุทธวิธีที่หลากหลายของพ.ต.ท.ทักษิณ สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะเจรจามี 2 ข้อเท่านั้นก็คือคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท คดีของคนในครอบครัว แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากที่จะเจรจา เพราะนายกฯก็ย้ำหลายครั้งว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องกลับมารับโทษ หรือมีแนวโน้มว่าจะยอมรับกระบวนการยุติธรรมก่อน ประตูการเจรจาจึงจะถูกเปิดออก
“ในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อดีตผู้นำก็ต้องเข้ารับโทษก่อนแล้วหลังจากนั้นจะมีการกระบวนการสื่อสารเพื่อเปลี่ยนแปลงโทษได้ เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ใดๆเลยก็ยาก คุณทักษิณ อยากจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง อยากจะเอาทุกอย่าง โดยที่ไม่เสียอะไรเลย เหมือนสมัยที่เป็นนายกฯซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้คุณทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ หากยังยื้ออยู่แบบนี้ แล้วโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้ในช่วงต.ค.โอกาสของเขาจะน้อยลงมาก เพราะสภาพเศรษฐกิจสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เขาก็จะกลายเป็นอดีตนายกฯคนหนึ่งที่ร่อนเร่อยู่ในต่างประเทศและเคลื่อนไหวทางการเมืองลำบากมากขึ้น หลังจากนี้ยุทธวิธีของเขาอาจจะปรับมาเคลื่อนไหวตามชายแดน เพื่อให้ใกล้ประเทศไทยมากขึ้นเพื่อกระตุ้นมวลชนในประเทศ โดยพร้อมที่จะเข้าประเทศไทยได้ทุกเมื่อ” นายปณิธาน กล่าว
ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเจาะเข้ามาที่สื่อของรัฐ ทั้งที่รัฐเป็นเจ้าของเครือข่ายนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้เปิดกว้างให้กับคนทุกกลุ่มได้แสดงความคิดเห็น แบบไม่มีการปิดกั้น อย่างไรก็ตามก็มีคำถามตามมาว่าคนที่มีคดีติดตัวนั้นมีสิทธิจะเข้าถึงสื่อของรัฐได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับที่นายจอม เพ็ชรประดับ ประกาศยุติการทำรายการก็เป็นการแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป ไม่ใช่เกิดจากการกดดันหรือแทรกแซงจากรัฐบาลแต่อย่างใด แต่หลังจากนี้ก็เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเทคนิคใหม่ๆในการสื่อสารกับประชาชน เพราะมีคนที่แนะนำให้พ.ต.ท.ทักษิณใช้สื่อใหม่จำนวนมาก
โฆษกรัฐ” แฉแผน "ทักษิณ" ป้วนเปี้ยนชายแดนไทย เตรียมเผด็จศึก “ก่อนตุลา” วางแผนล้มประชุมอาเซียน หักหน้ารัฐตามรอยพัทยา เพิ่มกำลังเฝ้าทำเนียบ “3กองร้อย” แย้มหนทางเคลียร์คดีแม้ว ให้ยอมรับโทษก่อน แล้วจะผ่อนหนักเป็นเบา หลายประเทศก็เป็นแบบนี้
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประเมินการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและกลุ่มเสื้อแดง ว่า ต้องจับตาในช่วงเดือนก.ย.และต.ค.จะเป็นช่วงที่อ่อนไหวที่สุด จากประวัติศาสตร์แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกันในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งจะมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ เป็นช่วงที่งบประมาณเริ่มไหลลงพื้นที่จะเกิดแรงกระเพื่อมสูง รวมทั้งกลุ่มองค์กรภาคประชาชนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง รวมทั้งกลุ่มคนเดือนตุลาจะมีกิจกรรมเคลื่อนไหวกันมาก ขณะที่รัฐบาลเอง เมื่อผ่านการบริหารงานหลายเดือนความแตกต่างทางความคิดก็จะเริ่มมีมากขึ้น กลุ่มเสื้อแดงก็จะใช้จังหวะนี้สร้างความรุนแรง อาจจะล้มประชุมอาเซียนเพราะคิดว่าครั้งที่แล้วทำสำเร็จครั้งนี้ก็ทำได้
“
รัฐบาลได้รับข่าวว่าในวันที่ 19 ก.ย.จะมีการระดมผู้มาชุมนุมหลายหมื่นคน จากหลากหลายกลุ่มทั่วประเทศ ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรจะรู้ได้ล่วงหน้าก่อน 2 สัปดาห์ แต่รัฐบาลได้วางมาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเพิ่มกำลังทหารในการดูแลทำเนียบรัฐบาลจาก 1 กองร้อย เป็น 3 กองร้อย และใช้แผนปฎิบัติการที่เคยเตรียมไว้ในวันที่ 30 ส.ค.มาใช้รับมือกลุ่มผู้ชุมนุม”โฆษกรัฐบาล กล่าว
นายปณิธาน กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าใจดีว่ารัฐบาลอ่อนไหวมากในช่วงนี้ เขาจึงพยายามสร้างแรงกระเพื่อมระดับสูง เห็นได้จากการใช้สื่อสมัยใหม่อย่างทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค หรือแทรกตัวเข้ามาในสื่อรัฐ ก็เป็นความตั้งใจที่จะจุดกระแสโจมตีรัฐบาล เพื่อเผด็จศึกในช่วงนี้ เพราะถ้าผ่านเดือนก.ย.และต.ค.ไป บรรยากาศของประเทศจะเปลี่ยนไป เพราะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นอยู่ในช่วง “ตัววี” ขาขึ้น ขณะที่ประชาชนก็เข้าสู่เทศกาลฉลอง ท่องเที่ยวในช่วงปลายปีไม่มีใครสนใจการเมือง ขณะที่กระแสยุบสภาก็ปลุกไม่ขึ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่พร้อมที่จะเลือกตั้ง ประชาชนก็ไม่ต้องการเลือกตั้งใหม่
ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจะเปิดการเจรจานั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เป็นการเดินยุทธวิธีที่หลากหลายของพ.ต.ท.ทักษิณ สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะเจรจามี 2 ข้อเท่านั้นก็คือคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท คดีของคนในครอบครัว แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากที่จะเจรจา เพราะนายกฯก็ย้ำหลายครั้งว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องกลับมารับโทษ หรือมีแนวโน้มว่าจะยอมรับกระบวนการยุติธรรมก่อน ประตูการเจรจาจึงจะถูกเปิดออก
“ในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อดีตผู้นำก็ต้องเข้ารับโทษก่อนแล้วหลังจากนั้นจะมีการกระบวนการสื่อสารเพื่อเปลี่ยนแปลงโทษได้ เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ใดๆเลยก็ยาก คุณทักษิณ อยากจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง อยากจะเอาทุกอย่าง โดยที่ไม่เสียอะไรเลย เหมือนสมัยที่เป็นนายกฯซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้คุณทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ หากยังยื้ออยู่แบบนี้ แล้วโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้ในช่วงต.ค.โอกาสของเขาจะน้อยลงมาก เพราะสภาพเศรษฐกิจสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เขาก็จะกลายเป็นอดีตนายกฯคนหนึ่งที่ร่อนเร่อยู่ในต่างประเทศและเคลื่อนไหวทางการเมืองลำบากมากขึ้น หลังจากนี้ยุทธวิธีของเขาอาจจะปรับมาเคลื่อนไหวตามชายแดน เพื่อให้ใกล้ประเทศไทยมากขึ้นเพื่อกระตุ้นมวลชนในประเทศ โดยพร้อมที่จะเข้าประเทศไทยได้ทุกเมื่อ” นายปณิธาน กล่าว
ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเจาะเข้ามาที่สื่อของรัฐ ทั้งที่รัฐเป็นเจ้าของเครือข่ายนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้เปิดกว้างให้กับคนทุกกลุ่มได้แสดงความคิดเห็น แบบไม่มีการปิดกั้น อย่างไรก็ตามก็มีคำถามตามมาว่าคนที่มีคดีติดตัวนั้นมีสิทธิจะเข้าถึงสื่อของรัฐได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับที่นายจอม เพ็ชรประดับ ประกาศยุติการทำรายการก็เป็นการแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป ไม่ใช่เกิดจากการกดดันหรือแทรกแซงจากรัฐบาลแต่อย่างใด แต่หลังจากนี้ก็เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเทคนิคใหม่ๆในการสื่อสารกับประชาชน เพราะมีคนที่แนะนำให้พ.ต.ท.ทักษิณใช้สื่อใหม่จำนวนมาก
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
ระหว่างบันทัด จาก กกต. ฝันไปเถอะยุบพรรค ปชป.

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
8 กันยายน 2552สัมภาษณ์พิเศษ:ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.):ไขรหัสคดียุบพรรค ประชาธิปัตย์ ? ในวิกฤตศรัทธา-ไม่เป็นกลาง
คดีเงินบริจาค 258 ล้านให้พรรคประชาธิปัตย์ ผมมองแล้วเหมือนกับมีแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล อยู่ๆ ดีเอสไอก็ร้อนรนโยนเรื่องนี้มาให้ กกต. ในความเห็นส่วนใหญ่ผมและ กกต.ทุกท่าน และอีกหลายคนในประเทศไทยก็คงอยากเห็นพรรคการเมืองมีความมั่นคง เป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคเกิดแล้ววันดีคืนดีก็ถูกยุบ เป็นหนังหน้าไฟรับแรงร้อน-แรงหนาวจากพายุ-มรสุมการเมืองทุกระลอกทั่วสารทิศ"ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ" ในหัวโขนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเปิดตำรา-พลิกกฎหมาย ทุกมาตรา
ในวาระที่ต้องเชื่อมั่นประเทศไทย ด้วยคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ที่ไหลจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ไปปรากฏตัวเลขบนบัญชีที่อาจพัวพันถึงอดีตผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคน แถมท้ายด้วยแฟ้มคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมืองอีก 29 ล้านบาท ซึ่งทำให้ "ประชาธิปัตย์" ต้องร้อนยิ่งกว่าที่เคยร้อนในรอบ 63 ปี เมื่อนักการเมืองทั้งรัฐสภาล้วนรอฟังการตัดสินความ "44 นักการเมือง" ที่อาจ "ไม่มี" คุณสมบัติการเป็น ส.ส. และคดีความสำคัญเรื่องเงินๆ ทองๆ ของพรรคแกนนำรัฐบาล "ดร.สุทธิพล" ที่ชาชิน-ชำนาญกับการเป็นคนหน้าไมค์-ไฟส่องหน้า-มาตั้งแต่อยู่ในร่มเงาศาลยุติธรรม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตศรัทธา ความไม่เชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระ สิ่งที่เขาเป็นห่วงและแคร์ คือ "ความรู้สึกของชาวบ้าน"- ช่วง 3 ปีที่ทำงานมามีปัญหาอะไรบ้างอันดับแรกคือ วิกฤตศรัทธา เป็นผลจากการทำงานของกรรมการการเลือกตั้งก่อนที่ กกต.ชุดนี้จะเข้ามา วิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปฏิวัติ แล้วปัญหาที่เกิดจากการทำงานของ กกต.โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นองค์กรอิสระแต่ไม่อิสระจริง ไม่เป็น กลางทางการเมืองวิกฤตศรัทธานั้นก็เป็นผลทำให้ กกต.ชุดก่อนถูกศาลพิพากษาจำคุก และขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างอุทธรณ์ ฎีกาอยู่ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อผมเข้ามาแล้วประชาชนหลายคนมององค์กร กกต.เป็นลบ
แล้วส่งผลถึงกำลังใจของพนักงานที่เป็นบุคลากรในองค์กร รวมทั้งแขนขาของ กกต.ที่ กกต. มอบให้ปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาคก็คือ กกต. จังหวัด และปัญหา คุณภาพของบุคลากร พนักงานที่อยู่ภูมิภาคก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม คนไหนอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ก็จะได้ดิบได้ดี ผมเข้ามาก็เห็นว่าผู้บริหารหลายคนผิดฝาผิดตัว...ทำงานที่ไม่ถนัด - ในฐานะเลขาฯ กกต. มองวิกฤตการเมืองขณะนี้อย่างไรผมมองว่าเป็นปัญหาของการไม่เคารพกฎกติกา อาจจะกล่าวได้ว่า บางทีประชาชนถูกใช้เป็นเครื่องมือ เขาไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ทุกคนอ้างว่าตัวเองถูกหมด ทุกคนอ้างประชาธิปไตยหมด ก็เลยไม่รู้ว่าประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร ประชาชนถูกดึงไปเป็นพวก วิกฤตของเราอาจจะไม่ได้เกิดจากระบบการเมือง ผม คิดว่าวิกฤตของเราเกิดจากกลุ่มบุคคลมากกว่าที่เขาไม่ยอมกัน
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ผมเห็นว่าถ้าเราไม่รีบแก้ไขให้มันเข้ารูปเข้ารอยมันก็จะส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่างไม่เฉพาะระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ขณะนี้มันลามไปถึงสถาบันเบื้องบนลามไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่สามารถที่จะจับมือก้าวเดินเพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้พอคำตัดสินวินิจฉัยออกมาไปกระทบต่อประโยชน์ของขั้วการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง ผมก็สังเกตว่ามักจะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ บางครั้งผมคิดว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผล แต่ตั้งอยู่ในความรู้สึกที่ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของ กกต. - 5 เสือ กกต.มาจากการสรรหา ควรแก้รัฐธรรมนูญให้มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ในองค์กรที่ดูแลกรอบกติกา ระบบเลือกตั้งอาจจะไม่เหมาะ
ในลักษณะบางอย่างที่จะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วต้องเป็นกลาง ระบบเลือกตั้งอาจจะไม่เหมาะ ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องมีผู้พิพากษาที่มาจากการเลือกตั้ง ประเทศเยอรมนี กกต.มาจากสภา ในหลายๆ ประเทศประธานาธิบดีเป็นคน แต่งตั้ง ซึ่งก็ทำงานได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามาประเทศไทยแล้วบอกว่าให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้ง ผมคิดว่าจะเกิดปัญหาทันที- อำนาจในมือ กกต.มีมาก ใช้หรือไม่ใช้ก็โดนด่า กกต.ควรจะอยู่ตรงไหนของการใช้อำนาจ ในสถานการณ์ความขัดแย้งขณะนี้ กำหนดภารกิจให้ กกต.มีความรับผิดชอบมาก ขณะนี้ดูเหมือนว่าภารกิจต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมันจะมาอยู่ที่ กกต. ซึ่งเรื่องของการขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกภาพ ซึ่งมันผ่านกระบวนการเลือกตั้งไปเรียบร้อยแล้ว บทบาทอย่างนี้ บางครั้งทำให้ประชาชนก็ไม่เข้าใจนักการเมืองก็ไม่เข้าใจ ก็ไปคิดว่า กกต. จ้องจะจับผิด ซึ่งจะเป็นอันตรายเพราะผมคิดว่าการทำงานของ กกต.จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง - คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท กับคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท คือการสร้างวิกฤตศรัทธาให้กลับมาอีกครั้งหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนแล้วก็เป็นเรื่องใหญ่
ซึ่งผมมองแล้วเหมือนกับมีแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล เรื่องอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วอยู่ๆ ดีเอสไอก็ทำเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอยู่ๆมันก็มีการร้อนรนโดยโยนเรื่องนี้มาให้ กกต. ทำ เรื่องนี้มันก็ไม่ปกติตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องระมัดระวัง แล้วเรื่องยังมาไม่ถึงเราก็เกิดเป็นข่าวเป็นประเด็นขึ้นมา มีความพยายามที่จะนำเรื่องนี้เข้ามาในช่วงที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แล้วการทำงานของบางหน่วยงานก็ไปสอดรับกัน แล้วก็มีการเร่งส่งเรื่องมาให้ กกต.เอกสารที่เข้ามาเราก็ถามทางดีเอสไอว่ามีการสอบอะไรเสร็จเรียบร้อยไหม ทาง ดีเอสไอบอกว่ามีการสอบประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ก็เลยถามว่าแล้วทำไมไม่สอบให้เสร็จก่อน โดยดีเอสไอตอบว่าเรื่องนี้คิดว่าสามารถที่จะส่งมาให้ กกต.ได้แล้ว พอดูเอกสารที่ส่งมาแล้วมันก็ไม่ได้สมบูรณ์ที่เราจะดูจากเอกสารแล้วก็สอบดำเนินการไปได้ เพราะว่าเอกสารที่ส่งมาเป็นการสอบเนื่องจากเรื่องของคดีปัญหาความผิดต่อหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถเอาเอกสารที่เขาสอบมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาก็ให้ข่าวออกมาว่าสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่พอเข้าไปจริงๆ แล้วเราถาม เขาก็บอกว่าสอบเสร็จแค่ 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์นี้เอกสาร 3,000-4,000 หน้า พอเรามาตรวจดูแล้วก็เป็นการสอบเพื่อที่จะให้มันเข้าองค์ประกอบความผิดหลักทรัพย์หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมันเป็นคนละองค์ประกอบของความผิด เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องเข้ามาถึง กกต.ต้องใช้เวลา เคยถามดีเอสไอว่าพยานปากสำคัญทำไมคุณไม่ไปดำเนินการสอบเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องภาษีเงินได้ ทำไมคุณไม่ไปขอจากสรรพากร ทำไมไม่ไปประสานกับสรรพากรให้เรียบร้อย ซึ่งผมมองว่าท่าน กกต.ที่ผ่านมาเป็นผู้พิพากษามา 30 ปี อีกท่านเป็นอัยการ การมองพยานหลักฐานท่านย่อมมีความรอบคอบมากกว่า จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่พอเรามีคำวินิจฉัยออกไปแล้วเราสามารถที่จะชี้แจงโดยอาศัยหลักการและเหตุผลได้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการรอบคอบกว่า เรื่องที่นำไปสู่การยุบพรรคผมคิดว่าเป็นเรื่องความมั่นคง เป็นความมั่นคงในระบอบประชาธิปไตย
ในความเห็นส่วนใหญ่ผมและ กกต.ทุกท่าน และอีกหลายคนในประเทศไทยก็คงอยากเห็นพรรคการเมืองมีความมั่นคง เป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคเกิดแล้ววันดีคืนดีก็ถูกยุบ แต่ว่าบางครั้งถ้ามันเข้าองค์ประกอบของความผิด มันมีเหตุ แล้วกฎหมายกำหนดให้เป็นเช่นนั้น ข้อเท็จจริงมันนำไปสู่การยุบ มันก็ต้องดำเนินการ ทั้งๆ ที่เราไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
8 กันยายน 2552สัมภาษณ์พิเศษ:ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.):ไขรหัสคดียุบพรรค ประชาธิปัตย์ ? ในวิกฤตศรัทธา-ไม่เป็นกลาง
คดีเงินบริจาค 258 ล้านให้พรรคประชาธิปัตย์ ผมมองแล้วเหมือนกับมีแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล อยู่ๆ ดีเอสไอก็ร้อนรนโยนเรื่องนี้มาให้ กกต. ในความเห็นส่วนใหญ่ผมและ กกต.ทุกท่าน และอีกหลายคนในประเทศไทยก็คงอยากเห็นพรรคการเมืองมีความมั่นคง เป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคเกิดแล้ววันดีคืนดีก็ถูกยุบ เป็นหนังหน้าไฟรับแรงร้อน-แรงหนาวจากพายุ-มรสุมการเมืองทุกระลอกทั่วสารทิศ"ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ" ในหัวโขนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเปิดตำรา-พลิกกฎหมาย ทุกมาตรา
ในวาระที่ต้องเชื่อมั่นประเทศไทย ด้วยคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ที่ไหลจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ไปปรากฏตัวเลขบนบัญชีที่อาจพัวพันถึงอดีตผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคน แถมท้ายด้วยแฟ้มคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมืองอีก 29 ล้านบาท ซึ่งทำให้ "ประชาธิปัตย์" ต้องร้อนยิ่งกว่าที่เคยร้อนในรอบ 63 ปี เมื่อนักการเมืองทั้งรัฐสภาล้วนรอฟังการตัดสินความ "44 นักการเมือง" ที่อาจ "ไม่มี" คุณสมบัติการเป็น ส.ส. และคดีความสำคัญเรื่องเงินๆ ทองๆ ของพรรคแกนนำรัฐบาล "ดร.สุทธิพล" ที่ชาชิน-ชำนาญกับการเป็นคนหน้าไมค์-ไฟส่องหน้า-มาตั้งแต่อยู่ในร่มเงาศาลยุติธรรม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตศรัทธา ความไม่เชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระ สิ่งที่เขาเป็นห่วงและแคร์ คือ "ความรู้สึกของชาวบ้าน"- ช่วง 3 ปีที่ทำงานมามีปัญหาอะไรบ้างอันดับแรกคือ วิกฤตศรัทธา เป็นผลจากการทำงานของกรรมการการเลือกตั้งก่อนที่ กกต.ชุดนี้จะเข้ามา วิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปฏิวัติ แล้วปัญหาที่เกิดจากการทำงานของ กกต.โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นองค์กรอิสระแต่ไม่อิสระจริง ไม่เป็น กลางทางการเมืองวิกฤตศรัทธานั้นก็เป็นผลทำให้ กกต.ชุดก่อนถูกศาลพิพากษาจำคุก และขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างอุทธรณ์ ฎีกาอยู่ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อผมเข้ามาแล้วประชาชนหลายคนมององค์กร กกต.เป็นลบ
แล้วส่งผลถึงกำลังใจของพนักงานที่เป็นบุคลากรในองค์กร รวมทั้งแขนขาของ กกต.ที่ กกต. มอบให้ปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาคก็คือ กกต. จังหวัด และปัญหา คุณภาพของบุคลากร พนักงานที่อยู่ภูมิภาคก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม คนไหนอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ก็จะได้ดิบได้ดี ผมเข้ามาก็เห็นว่าผู้บริหารหลายคนผิดฝาผิดตัว...ทำงานที่ไม่ถนัด - ในฐานะเลขาฯ กกต. มองวิกฤตการเมืองขณะนี้อย่างไรผมมองว่าเป็นปัญหาของการไม่เคารพกฎกติกา อาจจะกล่าวได้ว่า บางทีประชาชนถูกใช้เป็นเครื่องมือ เขาไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ทุกคนอ้างว่าตัวเองถูกหมด ทุกคนอ้างประชาธิปไตยหมด ก็เลยไม่รู้ว่าประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร ประชาชนถูกดึงไปเป็นพวก วิกฤตของเราอาจจะไม่ได้เกิดจากระบบการเมือง ผม คิดว่าวิกฤตของเราเกิดจากกลุ่มบุคคลมากกว่าที่เขาไม่ยอมกัน
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ผมเห็นว่าถ้าเราไม่รีบแก้ไขให้มันเข้ารูปเข้ารอยมันก็จะส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่างไม่เฉพาะระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ขณะนี้มันลามไปถึงสถาบันเบื้องบนลามไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่สามารถที่จะจับมือก้าวเดินเพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้พอคำตัดสินวินิจฉัยออกมาไปกระทบต่อประโยชน์ของขั้วการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง ผมก็สังเกตว่ามักจะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ บางครั้งผมคิดว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผล แต่ตั้งอยู่ในความรู้สึกที่ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของ กกต. - 5 เสือ กกต.มาจากการสรรหา ควรแก้รัฐธรรมนูญให้มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ในองค์กรที่ดูแลกรอบกติกา ระบบเลือกตั้งอาจจะไม่เหมาะ
ในลักษณะบางอย่างที่จะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วต้องเป็นกลาง ระบบเลือกตั้งอาจจะไม่เหมาะ ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องมีผู้พิพากษาที่มาจากการเลือกตั้ง ประเทศเยอรมนี กกต.มาจากสภา ในหลายๆ ประเทศประธานาธิบดีเป็นคน แต่งตั้ง ซึ่งก็ทำงานได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามาประเทศไทยแล้วบอกว่าให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้ง ผมคิดว่าจะเกิดปัญหาทันที- อำนาจในมือ กกต.มีมาก ใช้หรือไม่ใช้ก็โดนด่า กกต.ควรจะอยู่ตรงไหนของการใช้อำนาจ ในสถานการณ์ความขัดแย้งขณะนี้ กำหนดภารกิจให้ กกต.มีความรับผิดชอบมาก ขณะนี้ดูเหมือนว่าภารกิจต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมันจะมาอยู่ที่ กกต. ซึ่งเรื่องของการขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกภาพ ซึ่งมันผ่านกระบวนการเลือกตั้งไปเรียบร้อยแล้ว บทบาทอย่างนี้ บางครั้งทำให้ประชาชนก็ไม่เข้าใจนักการเมืองก็ไม่เข้าใจ ก็ไปคิดว่า กกต. จ้องจะจับผิด ซึ่งจะเป็นอันตรายเพราะผมคิดว่าการทำงานของ กกต.จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง - คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท กับคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท คือการสร้างวิกฤตศรัทธาให้กลับมาอีกครั้งหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนแล้วก็เป็นเรื่องใหญ่
ซึ่งผมมองแล้วเหมือนกับมีแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล เรื่องอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วอยู่ๆ ดีเอสไอก็ทำเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอยู่ๆมันก็มีการร้อนรนโดยโยนเรื่องนี้มาให้ กกต. ทำ เรื่องนี้มันก็ไม่ปกติตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องระมัดระวัง แล้วเรื่องยังมาไม่ถึงเราก็เกิดเป็นข่าวเป็นประเด็นขึ้นมา มีความพยายามที่จะนำเรื่องนี้เข้ามาในช่วงที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แล้วการทำงานของบางหน่วยงานก็ไปสอดรับกัน แล้วก็มีการเร่งส่งเรื่องมาให้ กกต.เอกสารที่เข้ามาเราก็ถามทางดีเอสไอว่ามีการสอบอะไรเสร็จเรียบร้อยไหม ทาง ดีเอสไอบอกว่ามีการสอบประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ก็เลยถามว่าแล้วทำไมไม่สอบให้เสร็จก่อน โดยดีเอสไอตอบว่าเรื่องนี้คิดว่าสามารถที่จะส่งมาให้ กกต.ได้แล้ว พอดูเอกสารที่ส่งมาแล้วมันก็ไม่ได้สมบูรณ์ที่เราจะดูจากเอกสารแล้วก็สอบดำเนินการไปได้ เพราะว่าเอกสารที่ส่งมาเป็นการสอบเนื่องจากเรื่องของคดีปัญหาความผิดต่อหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถเอาเอกสารที่เขาสอบมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาก็ให้ข่าวออกมาว่าสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่พอเข้าไปจริงๆ แล้วเราถาม เขาก็บอกว่าสอบเสร็จแค่ 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์นี้เอกสาร 3,000-4,000 หน้า พอเรามาตรวจดูแล้วก็เป็นการสอบเพื่อที่จะให้มันเข้าองค์ประกอบความผิดหลักทรัพย์หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมันเป็นคนละองค์ประกอบของความผิด เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องเข้ามาถึง กกต.ต้องใช้เวลา เคยถามดีเอสไอว่าพยานปากสำคัญทำไมคุณไม่ไปดำเนินการสอบเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องภาษีเงินได้ ทำไมคุณไม่ไปขอจากสรรพากร ทำไมไม่ไปประสานกับสรรพากรให้เรียบร้อย ซึ่งผมมองว่าท่าน กกต.ที่ผ่านมาเป็นผู้พิพากษามา 30 ปี อีกท่านเป็นอัยการ การมองพยานหลักฐานท่านย่อมมีความรอบคอบมากกว่า จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่พอเรามีคำวินิจฉัยออกไปแล้วเราสามารถที่จะชี้แจงโดยอาศัยหลักการและเหตุผลได้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการรอบคอบกว่า เรื่องที่นำไปสู่การยุบพรรคผมคิดว่าเป็นเรื่องความมั่นคง เป็นความมั่นคงในระบอบประชาธิปไตย
ในความเห็นส่วนใหญ่ผมและ กกต.ทุกท่าน และอีกหลายคนในประเทศไทยก็คงอยากเห็นพรรคการเมืองมีความมั่นคง เป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคเกิดแล้ววันดีคืนดีก็ถูกยุบ แต่ว่าบางครั้งถ้ามันเข้าองค์ประกอบของความผิด มันมีเหตุ แล้วกฎหมายกำหนดให้เป็นเช่นนั้น ข้อเท็จจริงมันนำไปสู่การยุบ มันก็ต้องดำเนินการ ทั้งๆ ที่เราไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
ต้องไล่-ปลดออกภายใน 30 วัน หลังป.ป.ช.ชี้มูลอาญา-วินัย"พัชรวาท-สุชาติ"พร้อม"สมชาย-จิ๋ว คดีม็อบ 7 ตุลาฯ
คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติแล้ว ฟันอาญา"สมชาย-บิ๊กจิ๋ว"คดี 7 ตุลาเลือด ส่วน"พัชรวาท-สุชาติ"เจอ2เด้งพวงวินัยร้ายแรง ฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องถูกไล่ออก-ปลดออกภายใน 30 วัน ขณะที่ 5 บิ๊กสีกากีระดับ รอง ผบ.ตร.-รองผบช.น.รอดเพราะทำตามคำสั่ง
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 กันยายน ภายหลังการประชุม ป.ป.ช. ซึ่งพิจารณาสำนวนการไต่สวนคดีการสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากว่า ที่ประชุมมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนั้น ยังมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา และวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียว กับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ แต่กลับไม่มีการสั่งให้หยุดการสลายการชุมนุม ทั้งที่มีผู้บาดเจ็บและชีวิตในช่วงเช้า
นายวิชา กล่าวว่า สำหรับผู้ถูกกล่าวหาอีก 5 คน ระดับรองผบ.ตร. และรองผบช.น. คณะกรรมการฯ เห็นว่าไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา รายละเอียดทั้งหมดจะแถลงในเวลา 15.00 น. วันเดียวกันนี้ โดยนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับความผิดในคดีอาญา ป.ป.ช.จะต้องส่งสำนวนของบุคคลทั้ง 4 ให้กับอัยการสูงสุดภายใน 14 วันซึ่งอัยการสูงสุดต้องพิจารณาส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 30 วัน(พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542(มาตรา 10) เว้นต่อัยการสูงสุดเห็นว่า สำนวนไม่สมบูรณณ์ต้องตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมาระหว่างอัยการสุงสุดกับ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาสำนวนดังกล่าว
ส่วนความผิดวินัยร้ายแรง ของ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ป.ป.ช.จะต้องส่งสำนวนให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)และฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณาโทษซึ่งนายอภิสิทธิ์ จะต้องนำกรณีของ พล.ต.อ.พัชรวาท เข้าพิจารณาใน ก.ต.ช. ส่วนพล.ต.ท.สุชาติ เข้าใน ก.ตร. เพื่อพิจารณาลงโทษภายใน 30 วัน ซึ่งมีเพียงไล่ออกหรือปลดออกเท่านั้น จากนั้นจะต้องแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ ภายใน 15 วัน
ด้านนายวัฒนา เตียงกูล ทนายความส่วนตัวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมาได้รับมอบอำนาจจากนายสมชาย ให้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อดำเนินการตามกฏหมายกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฐานหลีกเลี่ยง ละเว้นการเข้าพบคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งถือเป็นกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และขอให้มีคำสั่งให้ ป.ป.ช.เข้าพบคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารก่อนชี้มูลความผิดนายสมชายและคณะจากเหตุการณ์สลายชุมนุมหน้ารัฐสภาวันที่ 7 ตุลาคม
นายวัฒนา กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายสมชายได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเพื่อขอให้ ป.ป.ช.เข้ารับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบด้านก่อนที่จะชี้มูลความผิด เมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (7) ว่าด้วยในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบได้รับพยานหลักฐานตามสมควร จากนั้นคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารได้นัดปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.เข้าพบในวันที่ 8 กันยายนที่จะถึงนี้ แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช.กลับไม่ยอมเข้าพบและเร่งรัดชี้มูลความผิดนายสมชายและคณะมาเป็นวันที่ 7 กันยายนถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอน อีกทั้งที่ผ่านมาป.ป.ช.ก็ไม่เคยเรียกนายสมชายและพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายรัฐมนตรีเข้าชี้แจง ดังนั้นคำวินิจฉัยของป.ป.ช.ในวันที่ 7 กันยายนจึงถือว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบ และเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157
อนึ่ง ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช.เปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 6 กันยายนว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.นัดพิเศษวันที่ 7 กันยายน มีวาระพิจารณาคดีสำคัญ 2 คดี
คดีแรกคือพิจารณาสำนวนคดีไต่สวนเจ้าหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบกรณีสั่งการให้สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นการพิจารณาต่อเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันอังคารที่ 1 กันยายน ทั้งนี้หลังจากให้เจ้าหน้าทที่ที่รับผิดชอบไปปรับปรุงสำนวนมาใหม่แล้ว คาดว่า คณะกรรมการจะลงมติชี้มูลผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 9 คนด้ ตั้งแต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รองผบช.น. พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น.
คดีที่สอง คือ คดีถอดถอนคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายรัฐมนตรีพร้อมคณะกรณีออกมติ ครม.การออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งคดีดังกล่าวติดอยู่ที่การพิจารณาว่า ผู้ถูกกล่าวหากว่า 30 คนซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรี 28 คนแบะข้าราชการประจำ 5 คน "จงใจ"หรือมีเจตนาพิเศษที่จะฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา มีการถกเถียงกันในประเด็นนี้อย่างมาก
อย่างไรก็ตามมีข่าวว่า กรรมการ ป.ป.ช.บางคนพยายามบีบมิให้เจ้าหน้าที่สรุปสำนวนว่า อดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายสมัครมีความผิด
สำหรับรายชื่อรัฐมนตรี 28 คนในสมัยรัฐบาลนายสมัคร ที่ถูกป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาประกอบด้วย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯและรมว.กลาโหม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกฯ นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง, ร.ต.(หญิง)ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ
นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายบุญลือ ประเสริฐโสภา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายพงศกร อรรณนพพร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายมั่น พัธโนทัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีตรมว.แรงงาน
ส่วนรัฐมนตรี 6 คน คนที่ไม่ถูกป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่ได้เข้าประชุม ครม.เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง นายสหัส บัณฑิตกุล อดีตรองนายกฯ พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
สำหรับข้าราชการประจำที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ได้ แก่ 1.นายกฤช ไกรกิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย 2.นายเชิดชู รักตบุตร อัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส 3.นายพิษณุ สุวรรณรชฎ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก 4.นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ 5 .พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรดารัฐมนตรีที่ถุกแจ้งข้อกล่าวหามีอยู่ 3 คนที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แก่ พล.ต..สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ,นายประดิษฐ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนกล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะพิจารณาสำนวนเขาพระวิหารต่อจากสำนวนคดี 7 ตุลาซึ่งจะพิจารณาในช่วงเช้า แต่ขึ้นอยู่กับว่า ที่ประชุมจะสามารถชี้ขาดคดี 7 ตุลาฯได้หรือไม่ ถ้ายังไม่สามารถสรุปได้อาจต้องเลื่อนคดีเขาพระวิหารออกไปอีก
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 กันยายน ภายหลังการประชุม ป.ป.ช. ซึ่งพิจารณาสำนวนการไต่สวนคดีการสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากว่า ที่ประชุมมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนั้น ยังมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา และวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียว กับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ แต่กลับไม่มีการสั่งให้หยุดการสลายการชุมนุม ทั้งที่มีผู้บาดเจ็บและชีวิตในช่วงเช้า
นายวิชา กล่าวว่า สำหรับผู้ถูกกล่าวหาอีก 5 คน ระดับรองผบ.ตร. และรองผบช.น. คณะกรรมการฯ เห็นว่าไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา รายละเอียดทั้งหมดจะแถลงในเวลา 15.00 น. วันเดียวกันนี้ โดยนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับความผิดในคดีอาญา ป.ป.ช.จะต้องส่งสำนวนของบุคคลทั้ง 4 ให้กับอัยการสูงสุดภายใน 14 วันซึ่งอัยการสูงสุดต้องพิจารณาส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 30 วัน(พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542(มาตรา 10) เว้นต่อัยการสูงสุดเห็นว่า สำนวนไม่สมบูรณณ์ต้องตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมาระหว่างอัยการสุงสุดกับ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาสำนวนดังกล่าว
ส่วนความผิดวินัยร้ายแรง ของ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ป.ป.ช.จะต้องส่งสำนวนให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)และฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณาโทษซึ่งนายอภิสิทธิ์ จะต้องนำกรณีของ พล.ต.อ.พัชรวาท เข้าพิจารณาใน ก.ต.ช. ส่วนพล.ต.ท.สุชาติ เข้าใน ก.ตร. เพื่อพิจารณาลงโทษภายใน 30 วัน ซึ่งมีเพียงไล่ออกหรือปลดออกเท่านั้น จากนั้นจะต้องแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ ภายใน 15 วัน
ด้านนายวัฒนา เตียงกูล ทนายความส่วนตัวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมาได้รับมอบอำนาจจากนายสมชาย ให้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อดำเนินการตามกฏหมายกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฐานหลีกเลี่ยง ละเว้นการเข้าพบคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งถือเป็นกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และขอให้มีคำสั่งให้ ป.ป.ช.เข้าพบคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารก่อนชี้มูลความผิดนายสมชายและคณะจากเหตุการณ์สลายชุมนุมหน้ารัฐสภาวันที่ 7 ตุลาคม
นายวัฒนา กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายสมชายได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเพื่อขอให้ ป.ป.ช.เข้ารับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบด้านก่อนที่จะชี้มูลความผิด เมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (7) ว่าด้วยในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบได้รับพยานหลักฐานตามสมควร จากนั้นคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารได้นัดปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.เข้าพบในวันที่ 8 กันยายนที่จะถึงนี้ แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช.กลับไม่ยอมเข้าพบและเร่งรัดชี้มูลความผิดนายสมชายและคณะมาเป็นวันที่ 7 กันยายนถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอน อีกทั้งที่ผ่านมาป.ป.ช.ก็ไม่เคยเรียกนายสมชายและพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายรัฐมนตรีเข้าชี้แจง ดังนั้นคำวินิจฉัยของป.ป.ช.ในวันที่ 7 กันยายนจึงถือว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบ และเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157
อนึ่ง ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช.เปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 6 กันยายนว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.นัดพิเศษวันที่ 7 กันยายน มีวาระพิจารณาคดีสำคัญ 2 คดี
คดีแรกคือพิจารณาสำนวนคดีไต่สวนเจ้าหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบกรณีสั่งการให้สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นการพิจารณาต่อเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันอังคารที่ 1 กันยายน ทั้งนี้หลังจากให้เจ้าหน้าทที่ที่รับผิดชอบไปปรับปรุงสำนวนมาใหม่แล้ว คาดว่า คณะกรรมการจะลงมติชี้มูลผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 9 คนด้ ตั้งแต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รองผบช.น. พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น.
คดีที่สอง คือ คดีถอดถอนคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายรัฐมนตรีพร้อมคณะกรณีออกมติ ครม.การออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งคดีดังกล่าวติดอยู่ที่การพิจารณาว่า ผู้ถูกกล่าวหากว่า 30 คนซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรี 28 คนแบะข้าราชการประจำ 5 คน "จงใจ"หรือมีเจตนาพิเศษที่จะฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา มีการถกเถียงกันในประเด็นนี้อย่างมาก
อย่างไรก็ตามมีข่าวว่า กรรมการ ป.ป.ช.บางคนพยายามบีบมิให้เจ้าหน้าที่สรุปสำนวนว่า อดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายสมัครมีความผิด
สำหรับรายชื่อรัฐมนตรี 28 คนในสมัยรัฐบาลนายสมัคร ที่ถูกป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาประกอบด้วย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯและรมว.กลาโหม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกฯ นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง, ร.ต.(หญิง)ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ
นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายบุญลือ ประเสริฐโสภา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นายพงศกร อรรณนพพร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายมั่น พัธโนทัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีตรมว.แรงงาน
ส่วนรัฐมนตรี 6 คน คนที่ไม่ถูกป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่ได้เข้าประชุม ครม.เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง นายสหัส บัณฑิตกุล อดีตรองนายกฯ พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
สำหรับข้าราชการประจำที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ได้ แก่ 1.นายกฤช ไกรกิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย 2.นายเชิดชู รักตบุตร อัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส 3.นายพิษณุ สุวรรณรชฎ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก 4.นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ 5 .พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรดารัฐมนตรีที่ถุกแจ้งข้อกล่าวหามีอยู่ 3 คนที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แก่ พล.ต..สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ,นายประดิษฐ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนกล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะพิจารณาสำนวนเขาพระวิหารต่อจากสำนวนคดี 7 ตุลาซึ่งจะพิจารณาในช่วงเช้า แต่ขึ้นอยู่กับว่า ที่ประชุมจะสามารถชี้ขาดคดี 7 ตุลาฯได้หรือไม่ ถ้ายังไม่สามารถสรุปได้อาจต้องเลื่อนคดีเขาพระวิหารออกไปอีก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)