--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เป็นอะไรดี...!!!???


ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน

เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ดีๆ ตอนนี้นายอภิสิทธิ์ เละและเลอะไปเรียบร้อยเมื่อเข้ามาติดหล่มจมปลักกับมหกรรม

ขย้ำขยี้เก้าอี้ผบ.ตร.ที่มีวอลเปเปอร์ แอนด์ แก๊ง 4 สหาย อำนวยการสร้างควบกำกับการแสดงเสร็จสรรพ!จริง

ไม่จริง ใช่ไม่ใช่ วัดได้จากในสายตานักการเมืองด้วย กัน ระดับอดีตนายกฯ อย่างชวน กับบรรหารยัง

ต้องออกโรงแนะนำ ตักเตือน ด้วยความห่วงใยไม่นับเทพเทือก ผู้จัดการรัฐบาล คนกันเองแท้ๆยังพูดไม่ออก

บอกไม่ถูก ได้แต่ส่ายหน้า แล้วหลบฉากในสายตาประชาชน ผลสำรวจสำนักโพลดังๆ สะท้อนไว้ชัดงานนี้

นายกฯเสียหายกว่าใคร ไม่ควรเริ่ม ไม่ควรล้วง ไม่ควรยุ่งในสายตาองค์กรตำรวจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ท่านผู้นำเหมือนไม้หลักปักเลนจุดยืนไม่มี จุดแข็งไม่ปรากฏ หลักการก็ไม่แม่น หนักแน่นก็ไม่ใช่โยกไป โยก

มา ตามแรงปั่น แรงเป่า?ส่วนในสายตาแก๊ง 4 สหาย โดยเฉพาะหัวหน้าม็อบหนุ่มมาร์คไม่ต่างเบบี้เบบี๋ ยิ่ง

กว่าของเล่นไขลานตั้งแต่ต้นจนจบเป็นไปตามเส้นที่แก๊ง 4 สหายขีดไว้ยกเว้นเรื่องแต่งตั้งรักษาการผบ.ตร.

ซึ่งจำเป็นต้อง แตะเบรก เข้าเกียร์ถอย

ก่อนพากันลงเหวอนาคตทางการเมืองอันสดใส ต้องมาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนทั้งๆ ที่เพิ่งฉลองอายุ 45 ปี

เท่านั้นน่าเศร้า การเมืองไทยได้สูญเสียบุคลากร ที่ว่ากันว่า เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบและน่าเสียดาย เพราะ

ทำตัวเอง!ทั้งหลายทั้งปวงของมหกรรมขย้ำขยี้เก้าอี้ผบ.ตร.ครั้งนี้คนอีสานรุ่นเก่าก่อน มีคำเปรียบเทียบ สุด

แสบแซบหลาย"บักสีหาเหตุ"??ส่วนความหมายว่าอย่างไร ล้ำลึก คมคายขนาดไหนนั้นนายกฯอภิสิทธิ์ถาม

วอลเปเปอร์ ถาม ศิริโชค โสภา ไม่น่าจะรู้เพราะเป็นคนสงขลา

แถมไปเติบโตในดงผู้ดีอังกฤษถ้าอยากรู้ล้ำ รู้ลึก รู้ซึ้งจริงๆต้องคนนี้ โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม คนบุรีรัมย์

เจ้าของงาช้างของขวัญ ที่กำลังอื้อฉาวเวลานี้นี่แหละเพราะเข้าข่าย "บักสีหาเหตุ" คือกัน!?

ใครว่า หล่อ ฉลาด เลว เจ้าเลห์ ไปด้วยกันไม้ได้ !!!???



โดย คุณ กากบาทดำ
ที่มา เวบไซต์ บางกอกทูเดย์
5 สิงหาคม 2552
ฝีมือน่ะไม่เท่าไหร่? แต่กับฝีปากของคนจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ...พรรคอื่นกินยาก!ช่วงนี้ ...ยังมีอีกหลายเรื่อง ที่คนในวงการสื่อและนักวิชาการ ดูจะพูดกันน้อยไปหน่อย? ส่วนใหญ่จะเกาะติดอยู่กับข่าว รื้อโผนายพลตำรวจ และ เด้ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป้าจริง! ของ “ข่าวปล่อย-เจอตอ” ในคดี“ลอบยิง”

คุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็ต้องบอกอีกเรื่องที่ดูเหมือนว่า ...คนจาก พรรคประชาธิปัตย์ จะชำนาญเกมเอามากๆ ก็คือ ...การอาศัยห้วงชุลมุนชุลเกอย่างนี้ แอบสอดไส้ เรื่องที่ตัวเองจะได้เปรียบได้ประโยชน์เต็มๆข่าวการแพร่ระบาดของ ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่คร่าชีวิตคนไทยไปอย่างมากมาย ...ล่าสุด ก็อยู่ที่ 81 รายแล้ว และจนถึง
บัดนี้ ก็ยังจะหาทางป้องกันอะไรที่เป็นรูปธรรมได้ยากยิ่ง!ลำพัง วัคซีนต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ ที่เริ่มจะนำมาใช้กันบ้าง ผลของมันก็ยังไม่ชัวร์! ไม่แน่ว่า ...

จะเกิดอาการดื้อยากันอีกหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ข่าวนี้ ...เริ่มตกอันดับไปแล้วหรือข่าว “งาช้าง” ที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับมาจาก คุณโสภณ ซารัมย์ เมื่อครั้งลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์เดือนก่อน ...เรื่องนี้ ป.ป.ช. “รับลูก” ตรวจสอบแล้ว หากผิด! ถึงขั้น ...สิ้นสภาพความเป็นนายกฯ กันเลยทีเดียว ...เรื่องนี้ก็เงียบ?ข่าวทุจริตคอร์รัปชั่นที่ เหม็นโฉ่! กับ โครงการชุมชนพอเพียง ทำเอา “คนหน้าบาง” แทบต้องเอาหัวซุกปี๊บเดิน ...ก็ไม่ดังเท่ากับข่าวของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เรื่องนี้ ...ตัวละครที่โคตรโกงนั้น ว่ากันว่า ...เกี่ยวพันกับพรรคการเมืองหลายๆ พรรค

โดยเฉพาะพวกที่เคยหากินอยู่กับ ป้ายอัจฉริยะ ทั่วกรุงเทพฯยังจะมีเรื่องที่ กระทรวงการคลัง ยุค “หล่อโย่ง” เจ้าของความสูงที่ 193 ซม. อย่าง คุณกรณ์ จาติกวณิช ชงกฎหมายที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 400,000 ล้าน เข้าสู่ที่ ประชุมวุฒิสภาโดยเลื่อนการแถลงผลงาน 6 เดือน ของรัฐบาลออกไปก่อนทำเอา บรรดา ส.ว. หลายคน บ่นอุบ! กับอาการ “ลักไก่” ช่วงฝุ่นตลบอบอวลอย่างนี้ ...

ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมหยิบมาพอเป็นสังเขปนี้ ...มันเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน ชนิดประเดประดัง! จนผู้คนในสังคมไทยจัดชั้น ไม่ถูกว่า ...อะไรควรจะมีระดับความสำคัญก่อนหลังแต่คนที่เก่งและชำนาญเรื่อง การวางเกมข่าว ...อย่าง คุณสนธิ ก็สามารถทำให้ทั้งสื่อ ทั้งนักวิชาการ และสังคมไทย หันไปสนใจกับข่าวของตัวเอง คือ “ข่าวลอบยิง” ที่วันนี้ ...มันชัดเจนแล้วว่า ...

เป็นเพียง หน้าฉากของข่าวจริง! แย่งอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ?ก็อย่าได้แปลกใจ! ถ้า นายกฯ อภิสิทธิ์ จะเดินเกี่ยวก้อยไปกับ คุณสนธิ แยกให้ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนอยู่คนละฟาก ...ตามแผน ศรีธนญชัย!เช่นที่ผมเคยเขียนถึงไปเมื่อเดือนก่อน โดยที่ คุณสนธิสลับฉาก! ด่าทั้งคุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพ เพื่อให้ดูสมจริง! เกิดขึ้นสอดรับกับข่าว“การลอบยิง” และยังได้ของแถมเพิ่มอีก ...

บีบให้ตำรวจจัดการกับ พวก “เสื้อแดง” ที่อยู่ระหว่างการตรวจเช็กรายชื่อ 5.4 ล้านคนเศษ เพื่อทูลเกล้าฯถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรงานนี้...จัดว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง!เพราะปืนที่ว่า ...เป็นทั้ง ดาวกระจาย และ ผงฝุ่นตลบอบอวล จนมองอะไรไม่เห็นเด่นชัดนั่นเองใครว่า ...ความหล่อ ความฉลาด ความเลว ความเจ้าเล่ห์ และความเลว จะไปด้วยกันไม่ได้ ...ไม่จริงเสมอไปหรอกครับ หรือว่าไง?

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มหัศจรรย์แห่งแผ่นดิน กำลังจะเกิด



วันอังคารที่ 4 August พ.ศ.2552 19:19 น.

ในสถานการณ์การเมืองของไทยที่ความขัดแย้งยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะดูเหมือนว่ากลุ่มผู้ที่คิดว่ากุมกลไกอำนาจเอาไว้ในมือยังหวังว่าจะกุมอำนาจไปได้ตลอดในขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ด้วยความหวาดผวาที่เป็นพรรคฝ่ายค้านมานาน จึงไม่ต้องการที่จะกลับไปเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกกลายเป็นผลประโยชน์สอดประสาน

ที่ฝ่ายหนึ่งต้องการทำลายล้างด้วยความอาฆาต กับอีกฝ่ายหนึ่งต้องการที่จะให้หมดคู่แข่งทางการเมืองเมื่อเจอเข้าแบบนี้ แม้ว่าฝ่ายที่โดนกระทำอาจจะยวบเพราะถูกกระหน่ำหนักรอบด้าน แต่ธรรมชาติของการดำรงชีวิตตามทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ก็คือ ทุกชีวิตต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดด้วยเหตุนี้คนไทยจึงต้องตกอยู่ในบ่วงของการไล่ล้าง และการต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมแน่นอนว่าทั้ง 3 ฝ่ายต่างยืนยันในความถูกต้องชอบธรรมของตนเองอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่ประชาชนคนไทยรู้สึกอยู่ลึกๆในใจก็คือประเทศชาติและประชาชนผิดอะไรด้วย จึงต้องมารับเคราะห์เช่นนี้??

และเพราะสถานการณ์ดูเหมือนยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติง่ายๆเพราะจนถึงวันนี้กลุ่มคนที่เกรงกลัวจะสูญเสียอำนาจยังพยายามอย่างยิ่งที่จะลากทุกอย่างทุกประเด็นให้เป็นเรื่องการเมืองไปหมดทำให้กลายเป็นการยั่วยุพลังประชาชนไปอย่างช่วยไม่ได้การเผชิญหน้ายังคงปกคลุมสังคมไทยให้เจ็บปวด เพราะการแบ่งแยกที่เกิดขึ้นประเด็นนี้เองที่ลึกๆ แล้ว คนไทยจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสีเหลือง สีแดง หรือกลุ่มพลังเงียบ ต่างก็อดรู้สึกลึกๆในใจไม่ได้ว่า...เมื่อไรจะจบลงเสียที???

เมื่อไรจะมีคนกลางที่เหมาะสมเข้ามาทำให้ไฟร้อนที่แผดเผาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทย มอดดับลงไปได้เสียทีมหัศจรรย์หรือที่เรียกว่า Miracle นั้น จะมาช่วยดับไฟร้อนรอบนี้ได้หรือไม่??

นักคิดหลายคนพยายามมองหาทางออก โดยใครสักคนที่กล้าพอ เพียงแต่บุคคลที่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ เคารพเทิดทูน สถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต จะต้องมีจิตวิญญาณประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จะต้องมีความเป็นกลางเห็นประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้งรวมทั้งจะต้องมีบารมีพอสมควร โดยเฉพาะในแวดวงทหารเพราะต้องยอมรับความจริงว่า หลังรัฐประหาร 19 กันยายน2549 การกระทำของคณะนายทหาร คปค. ที่สุดท้ายต้องเปลี่ยนชื่อเป็น คมช.นั้น

ได้ทำให้แม้แต่ในแวดวงทหารก็ยังปั่นป่วนหนึ่งในผู้ที่ถูกมองว่าน่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ชื่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของไทยพล.อ.ชวลิต เป็นนักเรียนเก่ารุ่น “ลมหวน” โรงเรียนอำนวยศิลป์ ปากคลองตลาด ถือเป็นรุ่นรวมคนดังคนเก่งกล้าสามารถเลยก็ว่าได้ เพราะนักเรียนรุ่นลมหวนได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน เป็นรัฐมนตรี 15 คน เป็นนายทหาร ตำรวจดำรงยศ พล.อ. พล.ร.อ. พล.ต.อ. 17 คน เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญระดับ 11 ตำแหน่งปลัดกระทรวงอีก 9 คนคนที่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นอกจาก พล.อ.ชวลิต แล้วก็คือ “อานันท์ ปันยารชุน” นั่นเองทั้งคู่นั้น เพื่อนๆ ในรุ่นลมหวนรู้ดีว่าต่างมีเชาวน์ปัญญา เฉียบแหลม มีเกณฑ์เรียนดีมาก ดีเกิน 84 เปอร์เซ็นต์อย่างทัดเทียมกันตลอด ผลัดกันแพ้ชนะในผลสอบชนิดหายใจรดต้นคอกันอยู่เสมอซึ่งเพื่อนในรุ่นที่ดังๆ เช่น

ม.ร.ว.เกษมสโมสร เกษมศรีร.ต.อ.สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ นายนุกูล ประจวบเหมาะนายสิปปนนท์ เกตุทัต นายเอนก สิทธิประศาสน์นายเจริญจิตต์ ณ สงขลา นายไพโรจน์ นิงสานนท์นายวีระ สุสังกร์กาญจน์ น.พ.สมศักดิ์ วรคามินนายประพาส จักกะพาก นายเกษม ศิริสัมพันธ์ยิ่งคนในแวดวงทหาร ตำรวจ ก็ระดับ พล.อ.พล.ร.อ. พล.ต.อ. มากมายด้วยเช่นกัน

อาทิ พล.อ.วันชัยเรืองตระกูล พล.อ.จรวย วงศายัณห์ พล.อ.ชัยชนะ ธารีฉัตรพล.อ.เกษม สงวนชาติสรไกร พล.อ.สพรั่ง นุตสถิตย์พล.อ.งามพล นุตสถิตย์ พล.อ.สนั่น เศวตเศรณีพล.อ.โอภาส โพธิแพทย์ พล.อ.สมุทร นิลกุล พล.อ.อ.พิศิษฐ์ศาลิคุปต์ พล.ร.อ.บัณฑิต ชุณหะวัณ พล.ร.อ.ชัชวาล คงดิศพล.ร.อ.ไพรัช ชูธงไชย พล.ร.อ.สมพงษ์ กมลงามพล.ร.ท.โรช วิภัติภูมิประเทศ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร พล.ต.อ.สนั่น ตู้จินดา

ฉะนั้น พล.อ.ชวลิต จึงเป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ตามไม่อาจจะ มองข้ามจุดที่ทำให้มีการฝากความหวังไว้กับ พล.อ.ชวลิต ก็เพราะว่า แม้ พล.อ.ชวลิต จะมีการบอกปฏิเสธตำแหน่งทางการเมืองหรือพร้อมจะลาออกทางการเมืองได้ตลอดเวลา หากเห็นว่า มีอะไรที่ผิดหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ในเรื่องของความกล้าและความถูกต้องแล้ว คงต้อง ย้อนไปดูช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี พ.ศ.2535 พล.อ.ชวลิต เป็นหนึ่งในผู้ที่ปราศรัยขับไล่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่สนามหลวงเป็นคนแรกเพราะคนที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ชวลิต จะได้ยินเสมอๆกับประโยคที่ว่า

“เรื่องของบ้านเมืองเพิกเฉยไม่ได้ ละทิ้งไม่ได้”เพราะจุดยืนที่หนักแน่นชัดเจนดังกล่าว บวกกับคุณสมบัติ ที่เคยเป็นอดีตผู้นำทางการทหาร เป็นทั้งผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาแล้ว และที่สำคัญ คือ ถูกตั้งฉายาให้เป็น “ขงเบ้งแห่งกองทัพบก”พล.อ.ชวลิต จึงดูเหมือนว่า จะหลีกเลี่ยงภารกิจสมานฉันท์ที่แท้จริงได้ยากเต็มทีแม้หลายๆ คนโดยเฉพาะกลุ่มการเมือง กลุ่มอำนาจปัจจุบันอาจจะคิดว่า พล.อ.ชวลิต น่าจะพ้นยุครุ่งเรืองแล้ว

แต่หากใครคิดเช่นนั้นย่อมหมายความว่าตั้งตนอยู่ในความประมาทอย่างรุนแรงเพราะจะว่าไปแล้ว หลังรัฐประหาร กันยายน 2549พล.อ.ชวลิต เอง ก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับวังวนการเมืองอยู่หลายครั้งหลายครา เช่น ดูเหมือนว่ามีความพยายามลากพล.อ.ชวลิต ลงน้ำไปด้วย เพราะมีบางคนใน คมช. พยายามที่จะโยงว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิด 11 จุดในกรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่แต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริงที่สำคัญ หลังการรัฐประหาร พล.อ.ชวลิต พยายามจะเป็นผู้เสนอตัวไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้ที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มผู้ที่สนับสนุนให้ “สมานฉันท์” กัน โดยระบุว่าสังคมไทยต้องการ “โซ่ข้อกลาง” แต่เพราะสถานการณ์ขณะนั้น บรรยากาศของความผยองและกระหยิ่มย่ามใจยังมีสูง การเสนอตัวของ พล.อ.ชวลิตจึงถูกปฏิเสธอย่างน่าเสียดาย!!!

ซ้ำเมื่อ พล.อ.ชวลิต กลับมาร่วมรัฐบาลของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี การเมือง หลังรัฐประหารก็ยังคงหวาดระแวง ทำให้มีการยืมมือ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาว่า พล.อ.ชวลิต มีความผิดทางอาญา ในการสลายการชุมนุมม็อบพันธมิตรฯ วันที่ 7 ต.ค. ทั้งๆ ที่ พล.อ.ชวลิต ยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในวันนั้นได้มีการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว

จึงไม่มีส่วนในการบัญชาการ และงงๆ กับการกระทำของ ป.ป.ช. เนื่องจากได้ชี้แจงขั้นตอนทั้งหมดให้คณะอนุกรรมการทราบไปแล้ว แต่ยังถูกแจ้งข้อกล่าวหาอีกซึ่งทาง ป.ป.ช. ให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องของความผิดทางอาญา มาตรา 157 แม้จะลาออกจากตำแหน่งก็ยังต้องถือว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นนั่นทำให้ พล.อ.ชวลิต หนีไม่พ้นที่จะต้องสู้ เพื่อสร้างความสมานฉันท์และความยุติธรรมให้เกิดกับสังคมไทยตลอดจนไม่สามารถที่จะทนยืนดูอยู่เฉยๆ ได้อีกซึ่ง พล.อ.ชวลิต นั้น เคยสยบรัฐประหารมา 2 ครั้งจึงมีแง่คิดที่น่าสนใจว่า ผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหารอาจจะอยากแก้ไขปัญหาของชาติจริงๆ แต่เวลาทำแล้วไม่ได้แก้ ก็ทำให้เป็นปัญหา คนทำการปฏิวัติเขาห้ามว่าอย่าปฏิวัติครึ่งเดียว...ไม่เช่นนั้นอาจลงเหวไปตายหมด!!

“ส่วนมากคนที่ทำจะอายไม่กล้าทำต่อ หากประธาน คมช.เป็นนายกฯ เองก็จบแล้ว แต่ต่อมาอยากจะเป็นก็ไม่ได้แล้วเพราะจะยุ่ง”หลายคนมองว่าที่เข้ามายุ่งเพราะต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า

“ผมไม่หวังเป็นอะไรอีกแล้ว แต่ยังหยุดทำหน้าที่เพื่อแผ่นดินไม่ได้”นั่นทำให้ที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิต ได้มีการออกมาแสดงความเห็นกับสังคมเป็นระยะๆ

“ผมอ่านสารนิพนธ์ของเหมาเจ๋อตุง อดีตผู้นำของจีนท่านบอกว่าถ้าจะเอาชนะเผด็จการได้ต้องใช้การเมืองนำการทหาร คือ การเมืองนำจริงๆ และการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีหลัก 5 ข้อ คือ

1. อธิปไตยของปวงชน
2. เสรีภาพ
3. ความเสมอภาพ
4. นิติรัฐ
5. รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง

วันนี้มีคนพูดเยอะ ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย แต่ของเรายังไม่เพื่อประชาชนเสียที” และ พล.อ.ชวลิต นี่แหละที่กล้าพูดชัดๆ ว่า ความแตกแยกเกิดจากความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบจึงจำเป็นต้องแก้ไขการเมืองการปกครองให้เป็นธรรมนอกจากนี้ พล.อ.ชวลิต ยังได้กล่าวระหว่างการบรรยายหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่น 1 ถึงกรณีที่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า คนไทยเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา

มีปัญหาอะไรก็อโหสิให้กันเป็นเรื่องของความรู้สึกของประชาชนส่วนรวม ส่วนเรื่องโอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับประเทศนั้น เป็นเรื่องของผู้ที่มีอำนาจที่จะช่วยกันคิดช่วยกันทำ และได้ฝากถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขอให้อดทน คิดถึง ส่วนรวมและประชาชนเอาไว้รวมทั้งกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งข้อความผ่าน Twitter ถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าพร้อมจะช่วยงานนั้นพล.อ.ชวลิต ก็ยังเห็นว่า “ดี ประเทศจะได้สบาย”

และประเด็นที่กำลังถกเถียงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงเตรียม ยื่นถวายฎีกาอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น พล.อ.ชวลิต เห็นว่าเป็นความพยายามของคนที่รักในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนรักกันก็ต้องช่วยเหลือกันจนเมื่อเหตุการณ์คัดค้านการลงชื่อถวายฎีกาออกมาทำให้สังคมส่อเค้าวุ่นวายรุนแรงขึ้น พล.อ.ชวลิต ซึ่งรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมานาน เป็นนายทหารที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูงสุด ชนิดที่เครื่องราชอิสริยาภรณ์ซึ่ง พล.อ.ชวลิตได้รับนั้น ต้องถือว่าเป็นระดับเจ้าพระยาเลยทีเดียวอาทิ

เหรียญทองมงกุฎไทย (ร.ท.ม.) เบญจมาภรณ์ช้างเผือก(บ.ช.) จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย (จ.ม.) จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.) ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.) ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.)ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ต.จ.ว.)ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)ทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.) มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) และปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.)

ดังนั้น มุมมองของ พล.อ.ชวลิต ที่ให้สัมภาษณ์ บางกอกทูเดย์กรณีประชาชนเป็นล้านคนจะถวายฎีกา จึงออกมาในลักษณะที่เห็นว่าสามารถจะทำได้“อาจจะมากกว่า 1 ล้านคนก็ได้ เป็นเรื่องความทุกข์ของคนยากคนจนทั้งแผ่นดินไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะดูให้ชัดต้องดูเสด็จพ่อฯ ดูพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระราชหฤทัยของพระองค์ท่านเป็นอย่างไรมา ท่านได้ทรงกระทำสิ่งใดมาใครจะไปพูดบอกว่าพระองค์ท่านไม่ได้คิดถึง ไม่ได้ระลึกถึงนั่นไม่จริง”ที่สำคัญ พล.อ.ชวลิต ได้กล่าวความรู้สึกที่ว่า จะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ไม่ได้

วันนี้ถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นพี่ว่า…พี่ยังยืนยันในความมหัศจรรย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา และบ้านเมืองของเราก็รอดมาแล้วทุกครั้ง รับรอง...นี่คือหัวใจเพราะฉะนั้น 1. ใครคือผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย 2. พระองค์ท่านทรงเป็นผู้รับ แบบนี้เป็นเรื่องสมบูรณ์แบบ”ส่วนที่ขณะนี้มีการต่อต้านแนวคิดถวายฎีกา โดยอ้างเรื่องการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทนั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า

“เป็นเรื่องมองกันคนละเรื่องคนละทาง มองจากด้านที่อยู่บนอำนาจอะไรแบบนั้น แต่หากจะมองจากด้านของคนที่มีทุกข์อยู่ทั้งแผ่นดินก็จะเห็นไปอีกอย่างหนึ่ง นี่คือหัวใจ”และที่สำคัญ พล.อ.ชวลิต มองไปถึงความหวังที่จะยุติปัญหาในขณะนี้ด้วย

“แต่สิ่งที่พี่เชื่อและยังระลึกถึงอยู่เสมอก็คือ จะต้องมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น และมีอยู่พระองค์เดียวที่จะทรงกระทำสิ่งนี้ได้ คือ การสร้างความสงบสุขให้กับแผ่นดิน นี่คือสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น”แม้ พล.อ.ชวลิต จะบอกว่าเป็นเพียงการประมาณสถานการณ์ของคนที่อยู่ห่าง แต่ก็เป็นการจุดประกายความหวังให้กับประเทศชาติและคนทั้งแผ่นดินมหัศจรรย์แห่งแผ่นดินที่กำลังจะเกิด จะทำให้ประเทศไทยกลับมาสมานฉันท์ที่แท้จริงอีกครั้ง!! ■

ผลักดัน 5 ล้าน 4 แสน เจตจำนงค์ ไปสู่การสร้างชาติไทยใหม่


โดย คุณ อริน

ที่มา เวบบอร์ด ประชาไท

5 สิงหาคม 2552

ทันทีที่การประกาศจำนวนประชาชนที่ร่วมลงชื่อใน "ฎีการ้องทุกข์" ว่าสูงถึง 5,363,429 คน ความเคลื่อนไหวจากปีกปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ก็ดาหน้ากันออกมา แสดงอาการร้อนรุ่มทุรนทุรายไปตามๆ กัน

กระทั่งล่าสุดจากข่าว มติชนออนไลน์ ที่พาดหัวแบบจุดพลุว่า จม.เปิดผนึก อ.จุฬาฯกว่า 1500 คน ค้านฎีกาอภัยโทษ "แม้ว" ชี้อันตราย กดดัน-กระทบศรัทธาสถาบัน

หากในเนื้อหาข่าวกลับโอละพ่อ เป็น "จนกระทั่งเย็นวันที่ 4 สิงหาคม มีคณาจารย์จุฬาฯ ลงชื่อแล้วกว่า 300 คน และบุคคลากรรวมกว่า 1,500 คน และคาดว่า ในวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งมีการประชุมคณบดี จะนำจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวให้คณบดีที่เห็นด้วย ลงนาม"

ตลอดระยะเวลาประมาณ 1 เดือน นับจากการประกาศในที่ชุมนุมกลางพายุฝน ณ เวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ท้องสนามหลวง เมื่อวันนี่ 27 มิถุนายน จนช่วงเวลาก่อนและหลังวันดี-เดย์ เพื่อนับจำนวนผู้ร่วมลงรายชื่อ ปฏิกิริยาแทบจะในลักษณะรายวันจากผู้คนทุกๆ ฝ่าย ล้วนพุ่งเป้าไปที่ "จุดมุ่งหมาย" ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังการเคลื่อนไหวรอบนี้ของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน

ฝ่ายรัฐอาศัยเครื่องมือประชาสัมพันธ์สำเร็จรูป นั่นคือ ฟรีทีวี ทั้งระบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานี "หอยม่วง" ที่เกิดจากภาษีอากรของประชาชนล้วนๆ พุ่งเป้าโจมตีไปที่ความ "ควร-ไม่ควร" "ทำได้-ไม่ได้" อยู่แทบจะตลอดเวลา

ทั้งโหมประโคมเภทภัยทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น แก่ประชาชนที่ร่วมลงชื่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พร้อมกับความพยายามที่จะรุกกลับ ด้วยการใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆ นานา ให้ประชาชนถอนรายชื่อ "อย่างเป็นทางการ"
มีสภาวะน่าจับตามองในช่วงเวลาท้ายๆ ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม ปรากฏอยู่ตามเว็บบอร์ดและห้องสนทนาทุกรูปแบบ ในโลกไซเบอร์ของพลังประชาธิปไตย คือคำถามระหว่างกัน ว่า

"ถ้าได้จำนวนผู้ลงรายชื่อสัก 5 ล้าน แล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้น จะทำอย่างไรกันต่อไป"
และยิ่งกลายเป็นคำถามดังขึ้นทุกที ตามเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงตามภูมิภาค
แต่สำหรับฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยแล้ว เป้าหมายของการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงหนนี้ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป อาการลุกลี้ลุกลน หรือแทบจะเรียกได้ว่าพล่าน นั้น อยู่ที่ปริมาณของประชาชนที่เดินเปิดหน้าออกมาแสดงเจตนารมณ์ ด้วยการให้ทั้งชื่อและรายละเอียดระบุบุคคล ในการสะท้อนความคับข้องใจ กับกระบวนการยุติธรรมชนิด 2 มาตรฐาน

หากย้อนกลับไป ครั้งการลงประชามติ "รัด-ทำ-มะ-นูน-2550" ที่ผลออกมาว่า มีผู้เห็นชอบ 14,727,407 คน และไม่เห็นชอบ 10,747,310 คน ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า แม้ในจำนวนผู้เห็นชอบเอง ก็ลงคะแนนไปโดยจุดยืนที่เชื่อถือการโฆษณาชวนเชื่อ จากฝ่ายสนับสนุนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ว่า รับไปก่อนแล้วค่อยแก้กันทีหลัง

นั่นหมายความว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ประเทศนี้ ประชาชนที่ใส่ใจกับปัญหาทิศทางและการพัฒนาการของชาติบ้านเมือง ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนนั้น มีจำนวนถึงครึ่งต่อครื่ง ที่แสดงเจตจำนงต่อต้านระบอบเผด็จการ และผลิตผลของระบอบเผด็จการ ซึ่งก็คือกฎหมายสูงสุดของระบอบการปกครอง

คำถามคือ ก็ในเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยเชื่อมั่นในพลังประชาชน ที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตใจกล้าสู้กล้าชนะ เริ่มจากกลุ่มคนจำนวนหยิบมือเดียว แสดงตัวคัดค้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และต่อมาขยายจำนวนเพิ่มขึ้น แม้กระทั่งหลัง "สงกรานต์เลือด 2552" ซึ่งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ "กฎอัยการศึก" หรือ "สถานการณ์ฉุกเฉิน"

นั้นหมายความว่า ประชาชนได้ยกระดับความเข้าใจ และจิตสำนึกต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์

เป็นไปได้ไหม ที่พลังฝ่ายประชาธิปไตยจะร่วมกันอีกครั้ง ระดมสรรพกำลัง แสดงเจตจำนงในฐานะเสรีชน ขับเคลื่อนให้เกิดการยกระดับพัฒนาการทางการเมืองของปิตุภูมิ ไปสู่ความมีอารยะ ด้วยการสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ หลังจากถูกแย่งยึด บิดเบือนไปโดยฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย อันประกอบไปด้วยกลุ่ม "อำมาตย์-อภิชน-ขุนศึกฟาสซิสต์" นับจากวินาทีแรกของการทำรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ที่นำโดยขุนศึก ผิน ชุณหะวัน

สร้างขบวนแถวผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม ออกมาสำแดงกำลัง รณรงค์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอำนาจอธิปไตย ให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ด้วยการผลักดันให้สร้างรัฐธรรมนูญประชาชน ที่ประชาชนสามารถ "เลือกผู้นำฝ่ายบริหาร" หรือ "นายกรัฐมนตรี" ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่นนานาอารยะประเทศ

และใช้การลงคะแนนเสียงในกระบวนการยุติธรรมด้วยระบบ "ลูกขุน" ที่อำนาจในการพิพากษาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ตกอยู่ใน "กำมือ" ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่ผู้เดียว
ถ้าเราไม่ตั้งต้น ริเริ่ม ออกแบบสังคมที่พึงปรารถนา สำหรับอนุชนที่เป็นลูกหลานของเรา ให้พวกเขาเกิดและเติบโตขึ้นมาในสังคมอารยะ อย่างไม่ต้องเผชิญกับ "การปกครองแบบเผด็จอำนาจ" ที่กดหัว-ปิดปาก จนเสรีชนไม่อาจมีชีวิตเยี่ยงเสรีชนได้ อย่างที่เห็น และเป็นอยู่ จะมีประโยชน์อะไรกับการเรียกขานปิตุภูมิของเราว่า "ไทย" ตามเสียงพ้องของที่มาของชนชาติบรรพบุรุษ ที่เรียกตนเองว่า "ไท"

ด้วยภราดรภาพ

อริน

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จักภพ เพ็ญแข : ลุงชัย ไปกัมพูชา



โดย คุณจักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ สายตาโลก

นสพ.“แนวร่วม Red”4 สิงหาคม 2552

ไม่ทราบว่า เป็นข่าวมากน้อยขนาดไหนในเมืองไทย แต่การเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของประธานรัฐสภาไทย นายชัย ชิดชอบ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามหลังไม่น้อยในหมู่นักการทูตอาเซียน
ต่างก็ตีความว่า นี่เป็นสัญญาณประเภทไหน ต่อสถานการณ์การเมืองไทยที่ผันผวน

จนเพื่อนร่วมประชาคมวิเคราะห์ไม่ออก บอกไม่ได้แล้วว่า จะเป็นอย่างไรต่อไปตำแหน่งประธานรัฐสภา มีความสำคัญและมีความหมายมากในระบอบประชาธิปไตย

โดยเฉพาะตีคู่มากับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างของลุงชัยแล้ว ก็ถือกันว่าสลักสำคัญตำแหน่งขนาดนี้ จะไปเยี่ยมเยือนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งคราว ก็ไม่ถือว่าแปลกประหลาด และออกจะเสริมทางพระราชไมตรีดีอยู่แต่เสียงกระซิบกระซาบที่ล่องลอยไปในหลายๆ ประเทศอาเซียน เขาไม่ได้พูดกันในประเด็นนั้นเขาพูดว่า ลุงชัยมาเยือนครั้งนี้ เพื่อเตรียมการอะไรบางอย่างให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

ที่มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของรัฐบาลไทยชุดนี้ ลูกชายคนที่ชื่อเนวิน และกำลังรอฟังคำพิพากษาของศาล ในวันที่ ๗ สิงหาคม ที่จะถึงนี่ล่ะครับคดีที่คุณเนวินเผชิญอยู่นั้น เป็นข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง ในการจัดซื้อกล้ายาง ด้วยงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยที่ลูกชายลุงชัย เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการอยู่ในกระทรวงนั้นอยู่หลายปีบริษัทที่พัวพันไปถึง คือยักษ์ใหญ่ในวงการที่ค่ายการเมืองรู้จักกันทั้งนั้น

นั่นคือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ผู้เลื่องชื่อถ้าพบว่าผิด คุณเนวิน ชิดชอบ จะมีคุกตะรางมารออยู่ถึง ๑๐ ปีเต็มๆคดีกล้ายางนี้ ออกจะเป็นเรื่องประหลาด หากทบทวนความจำให้ดี หลายท่านจะจำได้ว่า เมื่อเกิดรัฐประหารในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เพื่อล้มรัฐบาลทักษิณนั้น ชื่อคุณเนวิน ถูกจุดโพลงขึ้น คู่กับคำว่า กล้ายางเป็นชื่อแรกๆ ก่อนข้อกล่าวหาทั้งปวงของตัวคุณทักษิณเองด้วยซ้ำไป นัยว่า คนที่เป็น “นักรบ”

คนสำคัญของฝ่ายทักษิณ อย่างคุณเนวิน คงจะต้องกลายเป็นเหยื่อรายแรกๆ ของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยแต่แล้ว เรื่องก็แผ่วบาง จนหายสาบสูญไป พร้อมกับ “ข่าวลือ” ว่า คุณเนวินเปลี่ยนข้างย้ายพรรค และย้ายพวก เมื่อเวลาผ่านไปสี่เดือน โดยไม่มีการติดต่อใดๆ ระหว่างสามีภรรยาฝ่ายประชาธิปไตย กับตัวคุณเนวิน ข่าวลือที่ว่า ก็เริ่มจริงขึ้นโดยลำดับจนเมื่อคุณเนวิน ต้อนรับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงบ้าน และสวมกอดว่าที่นายกรัฐมนตรีอย่างหวานชื่นเป็นที่สุด ต่อหน้ากล้องและผู้สื่อข่าวหมู่ใหญ่

จนเป็นข่าวไปทั่วแล้วคุณเนวิน ก็กลายเป็นนักการเมืองที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาทันตาเห็น ไม่เสี่ยงภัยต่อการถูกกล่าวโทษแบบวันต่อวัน หรือเดือนต่อเดือนอีกต่อไป เกิด เนวิน ชิดชอบคนใหม่ ที่ไม่เป็นเหยื่อ แต่ออกล่าเหยื่ออย่างเข้มข้นเพื่อให้นายที่อยู่เหนือขึ้นไปพอใจว่า ย้ายข้างอย่างหมดจดชนิดเก็บทุกเม็ดการเอาใจเขา ด้วยการให้ประโยชน์ยังไม่พอ ต้องสังหารผู้นำของฝ่ายที่ตนเคยสังกัดอย่างชนิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และต้องทำลายชื่อเสียงความนิยมที่ผู้นำคนเดิมเขามีอยู่ ให้หมดสิ้นไปด้วย ไม่ทำอย่างนั้น สถานะของเขาในโลกใบใหม่

จะขาดความแน่นอนปัญหาคือ เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างนิ่งลงแล้ว ความแน่นอนมีมากขึ้นในบรรยากาศแล้ว คุณเนวิน ซึ่งบัดนี้มีพรรคภูมิใจไทยเป็นเครื่องมือใหม่ ที่กินจุ และต้องเติมน้ำมันมากตลอดเวลา ก็เร่งปฏิกิริยาเคมีทางการเมือง จนออกมาเป็นโครงการรถเมล์ ๔,๐๐๐ คัน ของกระทรวงคมนาคมแทบทุกคนในวงการเมือง และภายนอก ต่างเห็นว่า เป็นเรื่องที่คุณเนวินต้องได้โดยฉลุย และไม่มีปัญหาใดๆ พรรคการเมืองและผู้สมัคร ก็เริ่มคำนวณกันว่า งบลงทุนสำหรับการเลือกตั้งของค่ายคุณเนวิน จะมากหรือน้อยกว่าคนอื่นๆ

โดยเฉพาะคนที่ตัวกำลังสังกัดอยู่ด้วย และก็ตามมา ด้วยการย้ายพรรคแยกพวก ตามประสาสัตว์โลก นี่ยังไม่รวมอีกประมาณ ๘๐ โครงการ ที่มีจุดประสงค์ทางการเมืองอย่างเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนแต่แล้ว ผู้สังเกตการณ์ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าเจ้าของโครงการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เขาไม่ได้รู้สึกว่า ต้องตามใจคุณเนวินถึงขนาดนั้น ชะรอยจะคิดว่า หลอกเนวินมาฆ่าทักษิณแล้ว ก็ฆ่าเนวินอีกต่อหรืออย่างไรก็ไม่รู้ได้ เพราะความคิดบาปกรรมระดับระบอบแบบนี้ ผมไม่มีปัญญาความสามารถที่จะคิดถึงและเมื่อ

สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ ทั้งความไม่เอาอ่าวของรัฐบาล ที่มีพรรคประชาธิปัตย์ถือธงนำ สภาพการระบาดของไข้หวัดพันธุ์ใหม่ ที่ความกะล่อนของวิถีการเมืองแบบประชาธิปัตย์ ไม่อาจดูแลได้ เศรษฐกิจที่ผอมลงไปจนเหลือแต่กระดูก รวมทั้งรายได้จากการท่องเที่ยว ที่ลดลงฮวบฮาบ กว่า ๑ ใน ๓ และความขัดแย้งแย่งเศษเนื้อ ของคนในฝ่ายรัฐบาลคนที่กุมบังเหียนอยู่ข้างหลัง เขาก็อ่านได้ว่า แบบนี้ไม่นานนัก วิกฤติการเมืองก็จะลามมาจนถึงตัวเขา เขาก็ต้องตัดเชือกหรือตัดวงจรนั้นเสีย คดีกล้ายางของคุณเนวิน ก็ไหลกลับเข้ามาสู่ความรับรู้สาธารณะในจังหวะเดียวกันนั่นล่ะครับจะเรียกว่ากรรมเวรอย่างไร

ผมก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน แต่ตัวคุณเนวินเป็นคนประเภทที่มีสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดสูง การที่จะเดินทระนงองอาจไปเข้าคุก โดยเสี่ยงกับการสูญเสียทุกอย่างในทางการเมือง เพราะตัวติดคุกแล้ว ก็คงถูกจำกัดทางจนแทบจะทำอะไรไม่ได้ และอาจสูญเสียพรรคให้คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หรือใครต่อใครนั้น

ไม่ใช่สิ่งที่นักการเมืองคนนี้จะเลือกแน่ถ้าเจรจานอกรอบไม่สำเร็จ และเลือดรัฐบาลยังไหลออกจากตัวมากขึ้นทุกวัน คำพิพากษาของศาล ก็จะเป็นไปตามครรลองที่ไร้การบริหารจัดการจากฝ่ายคุณเนวิน และฝ่ายอำมาตย์เขาก็จะกำกับแทน โดยเอาประโยชน์สูงสุดทางการเมืองเป็นตัวตั้ง โดยเอาร่างของคุณเนวิน เป็นเครื่องมือในการซักล้างภาพลักษณ์ของตัวเอง เพื่อหลอกต้มประชาชนในฉากต่อไป และหาตัวละครใหม่มาเสี่ยงแทนตามกลเกมเดิมที่เล่นมาตลอดชีวิตของเขาทั้งหมดนี้ วงการทูตเขาเชื่อว่า เป็นแรงผลักดันสำคัญ ที่พาร่างอันชราของลุงชัย ชิดชอบ มาจนถึงกัมพูชา และเข้าพบสมเด็จนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้น

โดยไม่ยอมพูดภาษาเขมรที่ลุงชัยเองก็พูดได้ แต่กลับผ่านล่ามแทนโดยตลอดด้วยเหตุผลคือ ฝ่ายโน้นเขาคงไม่ประสงค์จะรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมมากนัก เขาก็เอาภาษาอังกฤษมากั้นไว้เสียชั้นหนึ่ง เหมือนกำแพง คนเขาก็แปลความกันว่า ฝ่ายพนมเปญต้องรู้ดีทีเดียวว่า ลุงชัยมาหาทำไม และต้องการสิ่งใด ให้ตามที่ขอหรือไม่ เป็นเรื่องที่วงการทูตกำลังจับตากันอยู่การเมืองอันผันผวนของไทย ที่ทำให้คุณทักษิณและผู้สนับสนุนหลายคนมาลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ

ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดแล้วแต่คดีความที่อาจทำให้คนอย่าง คุณเนวิน ชิดชอบ หรือแม้แต่ พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ต้องกระเซอะกระเซิงออกจากเมืองไทยมาตามเส้นทางสายเดียวกันในไม่ช้านั้น น่าจะเป็นเรื่องพิศวงที่สุดเรื่องหนึ่งของการเมืองใหม่ (สายพันธุ์เก่า)นี่คือคำพยากรณ์หรืออย่างไรว่า เมืองไทยกำลังไหลสู่สภาพที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดทางการเมือง ตามทฤษฎีรัฐศาสตร์โลกนั่นคือภาวะที่คาดการณ์ใดๆ ไม่ได้อีกต่อไป (state of unpredictability).

เสื้อแดง ยังไม่ถอย 17 ส.ค. ยื่นฎีกา ขู่ รบ.ยังขวางจะล่าต่อรอบใหม่ คุย TV 100 ช่องประเดิม 1 พ.ย.


ที่มา มติชนออนไลน์"
เสื้อแดง"ไม่ถอย เมินกลุ่มออกมาต่อต้าน นัด 17 ส.ค.นี้ ยื่นถวายฏีกาขออภัยโทษให้"แม้ว" ขู่หาก รบ.ไม่ยังยอมยุติขัดขวาง จะล่าชื่อต่อรอบใหม่สนับสนุนรายชื่อเดิม "นพดล"คุยทีวี 100 ช่อง ประเดิมออกอากาศวันแรก 1 พ.ย.นี้

เสื้อแดง"เล็ง 17 ส.ค.ยื่นถวายฎีกา
นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) -แดงทั้งแผ่นดิน แถลงที่ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้า อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมว่า ขอขอบคุณประชาชนที่มาร่วมลงชื่อกว่า 5 ล้านคน ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถระบุตัวเลขประชาชนได้แน่นอน เพราะยังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 15-16 สิงหาคม หลังจากนั้น แกนนำคนเสื้อแดง พร้อมด้วยพานทองขนาดใหญ่ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อบรรจุใบฎีกานับแสนใบ ไปยื่นที่สำนักพระราชวัง เพื่อถวายให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 17 สิงหาคม ส่วนใบฎีกาที่เหลือจะใช้คนเสื้อแดงประมาณ 1 พันคน ช่วยกันลำเลียงไปพร้อมกัน ซึ่งการไปยื่นถวายฎีกาครั้งนี้ไม่ได้เป็นการนัดชุมนุมใหญ่ ดังนั้น หากคนเสื้อแดงคนใดที่จิตใจอยากไปร่วมก็เป็นเรื่องของแต่ละคน

นายวีระ กล่าวว่า สำหรับคนที่คัดค้านการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงนั้น คนเสื้อแดงพร้อมที่จะพูดคุยและโต้แย้งด้วยทุกประการทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายชวรัตน์ แต่สำหรับนายอภิสิทธิ์นั้น ที่ผ่านมามีท่าทีทำนองท้าทายใน 2 ประการคือ 1.การใช้ให้หน่วยงานของรัฐไปชี้แจงกับประชาชนว่า ประชาชนไม่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นการโต้แย้งทางกฎหมาย และ 2.การประกาศจะตรวจสอบ 5 ล้านรายชื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการท้าทายว่าประชาชนนั้นไม่สามารถลงชื่อได้จริงและคนเสื้อแดงเป็นผู้จัดทำขึ้น แสดงให้เห็นความต่ำศักดิ์ ต่ำทราม ของผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำประชาชนกว่า 60 ล้านคน แต่ก็ยินดีที่จะได้รับการตรวจสอบทุกทาง

ขู่ล่าชื่อต่อหนุนรายชื่อฎีกาเดิม
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า ต้องถามว่าที่เตรียมล่ารายชื่อประชาชนนั้นต้องการล้มฎีกาฯ หรือล้มคดีกล้ายาง โดยประชาชนที่จะไปลงชื่อคัดค้านควรพิจารณาให้ดีว่ารายชื่อที่ถูกระดมไปจะเป็นไปหน้าตักให้คดีกล้ายางหรือไม่ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยต้องตอบคำถามว่าการอ้างสถาบันเบื้องสูงมาล่ารายชื่อประชาชนนั้นมีเจตนาแท้จริงอย่างไร

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า หากรัฐบาลยังคงล่ารายชื่อประชาชนมาคัดค้านการถวายฎีกา คนเสื้อแดงก็จะดำเนินการตั้งโต๊ะ ล่ารายชื่อประชาชนที่สนับสนุนการถวายฎีกา โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม ซึ่งจะเป็นแบบฟอร์มการสนับสนุนการถวายฎีกา ที่จะต้องมีชื่อพร้อมเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน โดยรายชื่อผู้สนับสนุนการถวายฎีกานั้นจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับรายชื่อประชาชน 5 ล้านรายชื่อที่ร่วมถวายฎีกา เราจะแยกออกต่างหากจากกัน แล้วจะได้มาดูกันว่าผู้สนับสนุนกับผู้คัดค้านใครจะมีจำนวนมากกว่ากัน แต่ถ้าจะให้ดีรัฐบาลควรใจถึงทำประชามติระหว่างผู้สนับสนุนกับผู้คัดค้านการถวายฎีกาเลยก็ได้Ž นายณัฐวุฒิกล่าว
คุยทีวี100ช่องแรกประเดิม1พ.ย.

นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ระบุประชาชนถูกหลอกให้ร่วมลงชื่อว่า ประชาชนไม่ได้ถูกหลอกลวง รวมถึงประชาชนอีก 60 ล้านคน ที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วยกับการถวายฎีกาตามที่นายศุภชัยคิดตื้นๆ ง่ายๆ อย่างนั้น

นายนพดล ยังกล่าวถึงการตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม 100 ช่อง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการซึ่งคาดว่าจะสามารถทดลองออกอากาศได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นวันแรก สำหรับช่วงทดลองออกอากาศนั้นสถานีจะเปิดทีวีด้วยกัน 4 ช่อง ดังนี้ 1.ช่องเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2.ช่องขายสินค้าโอท็อป 3.ช่องการศึกษา และ 4.ช่องเรียลิตี้คนจน โดยมีระยะเวลาทดลองออกอากาศ 3 เดือน ก่อนที่จะมีการเพิ่มช่องทีวีให้มากขึ้นต่อไป สำหรับการรับชมนั้นฝ่ายเทคนิคกำลังอยู่ระหว่างการหาช่องทางให้ประชาชนสามารถรับชมทีวี 100 ช่อง ผ่านจานดาวเทียมของพีเพิล ชาแนลให้ได้ เพื่อช่วยประชาชนประหยัดค่าใช้จ่าย

แดงบุกมท.จี้"ชวรัตน์"ยุติขวางฎีกา
นายวรัญชัย โชคชนะ นายสิรวิชญ์ พิมพ์กลาง ประธานสภาประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่สวมใส่ชุดสีดำ เดินทางไปชุมนุมที่หน้ากระทรวงมหาดไทย เมื่อเวลา 09.30 น. โดยนายวรัญชัย และนายสิริวิชญ์ ผลัดกันปราศรัยโจมตีนายชวรัตน์ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย ที่มีท่าทีต่อต้านการลงชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งการสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งโต๊ะรับการถอนชื่อ โดยระบุว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กรณีคดีทุจริตกล้ายาง ที่มีนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินเป็นจำเลย ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ได้จัดกำลังกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ประมาณ 30 นาย คอยดูแลความเรียบร้อย ร่วมกับตำรวจจาก บก.น.6 และ สน.สำราญราษฎร์ ซึ่งนายพิรสิญจ์ พันธุ์เพ็ง หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี ออกมารับหนังสือของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ขอให้นายชวรัตน์ และ ม.ล.ปนัดดา ยุติการต่อต้านการถวายฎีกา จากนั้น นายวรัญชัยอ่าน

แถลงการณ์ขอให้ยุติการต่อต้าน และนำพวงหรีดใส่ชื่อนายชวรัตน์มาแขวนไว้ที่หน้าประตูกระทรวง และนำหุ่นฟางติดชื่อนายชวรัตน์มาเผา พร้อมสวดสาปแช่ง

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไทยโพสต์แทบลอยด์ สัมภาษณ์ "พิชญ์ พงษสวัสดิ์" : 6 เดือนระบอบไม่เอาทักษิณ



ที่มา ประชาไท
"เรากำลังเจอสถานการณ์โฆษกธิปไตยปะทะโฟนอินธิปไตย ขณะที่พวกม็อบธิปไตยลดบทบาทลงไปแล้วในวันนี้ ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยโฆษก ตัวนายกฯเองก็แถลงผลงานทุกสัปดาห์ มีโฆษกรัฐบาลซึ่งตำแหน่งก็ไม่ชัดเจน มีโฆษกประจำตัวนายกฯ เอาไว้โต้ตอบนักการเมือง และยังมีโฆษกพรรคอีก ฟาดเข้าไป 4 โฆษก ก็คือคุณบริหารงานผ่านโฆษก ขณะที่อีกฝ่ายก็โฟนอินกับประชาชน"

"ระบอบไม่เอาทักษิณซึ่งใหญ่กว่ารัฐบาลกำลังจะทรุด เราจะเห็นว่ามันมีรอยปริ ระบอบไม่เอาทักษิณเป็นระบอบใหญ่ และมีจุดร่วมมีจุดเดียวจริงๆ คือไม่เอาทักษิณ แต่สุดท้ายก็ทำงานด้วยกันไม่ได้ คุณสามารถสร้างจุดร่วมเพื่อเกลียดคนคนหนึ่งได้ ทำลายคนคนหนึ่งได้ แต่การ move สังคมไปในอนาคต คุณทำไม่ได้"
"สงครามสื่อจะเป็นสงครามใหญ่ ถ้าพรุ่งนี้คุณทักษิณสามารถจัดรายการวิทยุ หรือจัดรายการทีวีเองทุกสัปดาห์เหมือนเดิม คุณว่าใครจะไม่ฟัง โดยธรรมชาติคุณทักษิณเข้าใจสื่ออยู่แล้ว สื่อก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปซักคุณอภิสิทธิ์ เดี๋ยวคุณอภิสิทธิ์พูดเสร็จคุณทักษิณโต้ ยังไงก็เพลี่ยงพล้ำ"
นักวิชาการรัฐศาสตร์ คนรุ่นใหม่ไม่ใส่เสื้อกั๊ก ใส่ต่างหูข้างเดียว แต่วิพากษ์วิจารณ์ได้แหลมคมโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ .. “พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์”

ในขณะที่รัฐบาลกำลังจะแถลงผลงานครบ 6 เดือน และถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายด้าน พิชญ์กลับบอกว่าการวิพากษ์วิจารณ์เฉพาะรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้นไม่ยุติธรรม เพราะหลังจากโค่น "ระบอบทักษิณ" แล้ว ผู้ที่กำลังมีอำนาจและใช้อำนาจอยู่ในขณะนี้คือ "ระบอบไม่เอาทักษิณ" ที่ไม่ใช่เฉพาะประชาธิปัตย์
แม้จะมีส่วนที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ "ระบอบไม่เอาทักษิณ" ที่มีจุดร่วมกันเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีความเป็นเอกภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ และทำงานไม่ได้
โฆษกธิปไตย

"ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดในทางการเมือง สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจก่อนคือขอบเขตของคำว่ารัฐบาล ในระบอบการเมืองแบบไม่เอาทักษิณ มันกินความแค่ไหน ฉะนั้นถ้าจะประเมินรัฐบาลมันแฟร์กับรัฐบาลไหม คุณมองว่ารัฐบาลคือใครล่ะ รัฐบาลที่เห็นเป็นทางการคือมีนายกอภิสิทธิ์กับรัฐมนตรี แค่นั้นเรียกว่ารัฐบาล หรือเรากำลังพูดถึงระบอบหลังรัฐประหารที่ไม่เอาทักษิณ ซึ่งประกอบด้วยทหาร พันธมิตร และพลังอื่นๆ ที่เรามองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ คำว่ารัฐบาลก็กว้างกว่านั้นเพราะมันคือระบอบที่ไม่เอาทักษิณซึ่งเป็นระบอบใหญ่"

"ฉะนั้นการจะไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเราต้องมีความระมัดระวัง เพราะถ้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมันเป็นการทำให้รัฐบาลนี้ถูกใช้แล้วถูกเตะออกไป แต่ระบอบยังดี แล้วมีการเปลี่ยนหัว การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแบบนี้พูดในทางหนึ่งมันก็ไม่แฟร์กับรัฐบาลเหมือนกัน มันต้องวิพากษ์วิจารณ์ทุกส่วนด้วย มันเกี่ยวข้องกับสถาบันตุลาการด้วยหรือเปล่า เกี่ยวกับสถาบันทหารด้วยหรือเปล่า มันเกี่ยวข้องกับพันธมิตรประชาชนด้วยหรือเปล่า เพราะทั้งหมดก็คือกลุ่มที่แชร์อำนาจกัน เป็นกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณและระบอบหลังทักษิณซึ่งมาจากนอมินีของทักษิณ การเมืองไทยต้องมองในระดับที่กว้างขึ้นไป ผมไม่คิดว่าเราจะประเมินนโยบายรัฐบาลได้ เพราะผมไม่รู้ว่ารัฐบาลคืออะไร ถ้าเราจะดูในภาพแคบ มันต้องตอบอย่างน้อย 2-3 ส่วน ถ้าจะประเมินจริงๆ ควรจะประเมินไปเลยคือประเมินการบริหารประเทศโดยพรรคประชาธิปัตย์ มันจะชัดกว่า"
พิชญ์เริ่มต้นจากเฉพาะส่วนการบริหารของประชาธิปัตย์ก่อน

"ถ้าเราประเมินอันนี้ คุณดูตัวนายกอภิสิทธิ์ ก็จะมีลักษณะทำงานร่วมกันบ้างไม่ร่วมกันบ้าง ประเด็นอยู่ที่การบริหารงานของนายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งวันนี้มีปัญหามากคือนายกฯอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค อย่างน้อยเราเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ประกอบด้วย 3-4 ส่วน คือตัวนายกอภิสิทธิ์ ตัวคุณสุเทพ และคนอื่นๆ ที่มาร่วมงานกับนายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งเราไม่เคยเห็นภาพความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ เราเห็นภาพแต่อภิสิทธิ์-กรณ์ อภิสิทธิ์-สุเทพ คนอื่นๆ ของพรรคผมไม่เห็น แปลกนะ คือสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านก็จะมีคนออกมา มีกอร์ปศักดิ์ อลงกรณ์ พวกนี้หายไปหมด ทั้งหมดถูกลดทอนโดยเหลือแต่โฆษกพรรค โฆษกประจำตัว ตัวพรรคเองก็แทบจะไม่เห็นบทบาทด้วยซ้ำ ทุกอย่างโฟกัสที่ตัวคุณอภิสิทธิ์ โอเค พรรคจะมีบทบาทก็ตอนมีตัวช่วยคือคุณชวนมาช่วยคุณอภิสิทธิ์ แต่เราไม่ค่อยเห็นภาพพรรค"
"การบริหารงานของรัฐบาลประกอบด้วย 2-3 ส่วน หนึ่งคือตัวคุณอภิสิทธิ์ คุณกรณ์ และคุณสาทิตย์ ดูเรื่องเศรษฐกิจและสื่อ ขณะเดียวกันอีกกลุ่มหนึ่งคือยืมจมูกคนอื่นหายใจ ดึงเอากลุ่มทักษิณเก่ามาช่วย กลุ่มที่เคยสวามิภักดิ์กับทักษิณ ก็คือกลุ่มเนวิน ภารกิจของคนเหล่านี้คือการลดความนิยมของทักษิณ โดยยอมให้ใช้กลไกทุกอย่างที่เป็นโครงการต่างๆ เพื่อไปแก้โครงการของทักษิณ ไม่ว่าจะมหาดไทย คมนาคม"
"อีกกลุ่มหนึ่งก็คือคุณกษิต ซึ่งก็มีหน้าที่ไล่ล่าคุณทักษิณเป็นหลัก งานอื่นๆ เราไม่เห็นชัด เขาคงมีงานรูทีนของกระทรวงอยู่ แต่ปัญหาหลักของงานต่างประเทศมี 2 ส่วนคือปัญหาเขาพระวิหาร ซึ่งสุดท้ายเหมือนกับว่าคุณกษิตก็ต้อง fade ตัวเองออกไป ให้คุณสุเทพรับแทน อีกอันที่สำคัญคือการไล่ล่าทักษิณตามประเทศต่างๆ ซึ่งกลายเป็นภารกิจหลัก"

"ผมคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งสำคัญ ถ้ากล้ารับกันจริงๆ ก็ควรจะตั้งกระทรวงจัดการทักษิณไปเลย แทนที่จะปล่อยให้มีการทับซ้อนเชิงวาระซ่อนเร้นต่างๆ ในการจัดการคุณทักษิณ ทำเป็นกระทรวงจัดการคุณทักษิณเลย แล้วดึงทุกคนที่ไม่ชอบทักษิณไปอยู่ในกระทรวงนี้ ทำให้เป็นระบบไปเลย จะตั้งคณะกรรมการก็ได้ ไม่เห็นแปลก คตส.ยังทำได้ ตั้งคณะกรรมการไล่ล่าทักษิณแห่งชาติ ก็ทำไปเลย เป็นวาระแห่งชาติอยู่แล้ว ทำจริงๆ จังๆ ไปเลย ไม่ใช่ว่าทำแล้วไปทำซ้อนกับแนวนโยบายแห่งรัฐอื่นๆ ซึ่งควรจะต้องทำ แล้วแยกกันไม่ขาดว่าจะต้องทำอะไร"

"ประเด็นที่สองก็คือปัญหาของคุณอภิสิทธิ์เอง ปกครองสังคมโดยระบบโฆษกธิปไตย อันนี้ไม่ใช่การตั้งคำเล่นๆ เรากำลังเจอสถานการณ์โฆษกธิปไตยปะทะโฟนอินธิปไตย ขณะที่พวกม็อบธิปไตยลดบทบาทลงไปแล้วในวันนี้ เพราะม็อบธิปไตยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถจะมีบทบาทหลัก โฆษกธิปไตยกับโฟนอินธิปไตย ปะทะกัน ฝ่ายหนึ่งก็เต็มไปด้วยโฆษก ตัวนายกฯเองก็แถลงผลงานทุกสัปดาห์ และมีโฆษกรัฐบาลซึ่งตำแหน่งก็ไม่ชัดเจน มีโฆษกประจำตัวนายกฯ เอาไว้โต้ตอบนักการเมือง และยังมีโฆษกพรรคอีก ฟาดเข้าไป 4 โฆษก ก็คือคุณบริหารงานผ่านโฆษก ขณะที่อีกฝ่ายก็โฟนอินกับประชาชน มันก็เห็นภาพอยู่"
"คุณอภิสิทธิ์ใช้เครือข่ายต่างๆ ที่ไม่เอาทักษิณหรือเครือข่ายที่จำเป็นต้องไม่เอาทักษิณเพื่อความอยู่รอด สิ่งที่คุณทำได้คือคิดว่าต้องสร้างคะแนนนิยมโดยการเป็นมิสเตอร์คลีน แต่โดยการที่ไปไล่บล็อคคนอื่นเวลาเขาชงโครงการต่างๆ ขึ้นมา พอสังคมสงสัยเรื่องทุจริตคุณก็มาจัดการ บริหารงานในฐานะเป็นประธานของ ครม. แต่ไม่ได้บริหารงานผ่านเรื่องอื่นๆ"

"มติ ครม.ในการปกครองของไทยมันทำงานมากกว่าสภา ในประเทศไทยมติ ครม.กลายเป็นการปกครองหลักของประเทศ มติครม.เปิดปิดเขื่อนก็ได้ เปิดวันหยุดปิดวันหยุดก็ได้ เลื่อนนโยบายก็ได้ อนุมัติอะไรก็ได้ แต่ปัญหาคือมติครม.เป็นการประชุมลับ ไม่มีการถ่ายทอดการประชุม มติครม.ก็มีนัยที่เป็นประชาธิปไตยที่ต้องตั้งคำถามเหมือนกัน เพราะเราเปลี่ยนมติ ครม.ได้ง่ายๆ ชาวบ้านม็อบหน้าทำเนียบก็เปลี่ยนมติ ครม. ปิดถนนเข้าเขื่อนก็เปลี่ยนมติ ครม. ประชาธิปไตยไทยกลายเป็นอยู่ที่มติ ครม.มากกว่าสภา ทั้งๆ ที่นัยของสภามีคุณูปการ เช่นกว่าคุณจะออกกฎหมาย จะออกได้ต้องผ่านคณะกรรมการกี่ขั้น ถ่ายทอดถึงประชาชน มีการตั้งกรรมการเยอะแยะ มันไม่ใช่เป็นการชงจากข้าราชการสู่เจ้ากระทรวงแล้วส่งมาเป็นโครงการ"

"มันไม่ใช่เฉพาะสมัยคุณอภิสิทธิ์ สมัยก่อนก็เป็น แต่คุณอภิสิทธิ์ไปสร้างตัวเองให้กลายเป็นคนซึ่งมาจัดการ กลายเป็นพระเอกในหมู่ผู้ร้าย แต่คำถามคือนโยบายมันไม่มาถึงประชาชน พอนโยบายไม่ออกใครรับล่ะทีนี้ คือทางหนึ่งคุณก็ต้องการนโยบายประชานิยมจำนวนมากเพื่อจะไปลดความนิยมของทักษิณ แต่ขณะเดียวกันนโยบายก็แฝงไปด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคอร์รัปชั่น ผมคิดว่าปัญหาของคุณอภิสิทธิ์อยู่ตรงนี้ และก็ยังแก้ไม่ได้เพราะเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด"

"คุณคิดว่าการปกครองประเทศคือการตอบคำถามสื่อหรือ ผมเห็นว่าเขาให้น้ำหนักกับการตอบคำถามสื่อมาก และให้น้ำหนักกับการไปเปิดงานมาก มีภาพถ่ายออกงานโน่นนี่ แต่ออกชนบทน้อยมาก และออกทีภาพลักษณ์ที่คุณออกก็คือไม่มีความมั่นใจอะไรเลย คุณต้องใส่เสื้อเกราะออกไป มีคนมาล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เวลาไปออกงานในหมู่คนที่นิยมคุณในเมืองคุณออกได้ทุกวัน ผมไม่ได้บอกว่าคุณไม่ทำงาน แต่ผมไม่ได้บอกว่าคนอื่นเขาไม่ทำงาน ทุกรัฐบาลเขาทำงาน แต่ภาพลักษณ์ของคุณมีปัญหา ขนาดพวกเดียวกัน คมช.เขายังด่าคุณเลย เขายังด่าว่าคุณออกงานทุกวัน ประชาชนเข้าไม่ถึงตัวนายกรัฐมนตรี เขาไม่ไปไหนเลย"

"คนที่สอบผ่านคนเดียวในรัฐบาลนี้คือคุณสุเทพ ผมคิดว่าคุณสุเทพควรจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะคุณสุเทพทำทุกอย่างให้คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพทำทุกเรื่องที่นายกรัฐมนตรีควรจะทำ คุณเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วคุณปล่อยให้รองนายกฯ ทำหน้าที่ในการแก้ปัญหากัมพูชา แก้ปัญหาภาคใต้ คุณเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม ก็แปลว่าคุณไม่มีความสามารถในการทำงานจริงๆ เศรษฐกิจก็ให้คุณกรณ์อยู่แล้ว หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี คุณเป็นนายกรัฐมนตรีหรือคุณเป็นโฆษก ผมพูดทีไรมีคนเขียนด่าทุกทีบอกว่าผมจิตใจคับแคบ ผมไม่คิดว่าคนคนนี้คือนายกรัฐมนตรี ผมคิดว่าเขาคือโฆษกคณะรัฐมนตรี-ตัวจริง คือผมก็เข้าใจว่าเขาพยายามจะคิดว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีคือการกระจายงานให้คนอื่น แต่สุดท้ายแล้วมันมีการแสดงภาวะผู้นำอะไรบ้างที่เป็นนายกรัฐมนตรี"
แต่คนกรุงเทพฯคนชั้นกลางอาจต้องการนายกฯสไตล์อย่างนี้

"ผมไม่แน่ใจนะว่าคนชั้นกลางพอใจคุณอภิสิทธิ์ในฐานะที่เป็นนายกฯ ผมคิดว่าคนชั้นกลางพอใจคุณอภิสิทธิ์ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน คนชั้นกลางพอใจคุณอภิสิทธิ์ในฐานะนักการเมืองที่มีประวัติดี แต่ผมถามว่าคนชั้นกลางพอใจคุณอภิสิทธิ์ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีหรือเปล่า อะไรคือหลักฐาน ล่าสุดคะแนนนิยมต่ำกว่านายกรัฐมนตรีคนเก่า"

"ประเด็นต่อมา สิ่งสำคัญของคุณอภิสิทธิ์คือคุณอภิสิทธ์บริหารประเทศผ่านสื่อ สิ่งนี้เกิดมาได้ไม่ใช่ความผิดคุณอภิสิทธิ์ แต่เป็นเพราะที่ผ่านมาสื่อบริหารประเทศจริงๆ คือสื่อมวลชนเป็นมาเฟียที่สามารถกำหนดประเด็นทุกอย่างได้ เอาทักษิณก็ได้ ฆ่าทักษิณก็ได้ ฉะนั้นวันนี้งานหลักของรัฐบาลคือการเอาอกเอาใจสื่อ การตอบคำถามสื่อ แต่มันมากเกินไป จนงานคือการตอบคำถามสื่อมากกว่าการแก้ปัญหาประชาชน ถ้าคุณทำให้สื่อพอใจ สื่อก็จะไม่ถามคุณว่าคุณแก้ปัญหาประชาชนหรือเปล่า สื่อก็จะทำหน้าที่รายงานว่ารัฐบาลพูดว่าอะไร ผมไม่ได้คิดว่าคุณอภิสิทธิ์เลวร้ายอะไรนะ แต่พัฒนาการของสังคมในช่วงที่ผ่านมาที่คุณมีสื่อจำนวนมาก มันก็ไม่แปลกที่สุดท้ายรัฐบาลจะต้องเอาอกเอาใจสื่อ"
ระบอบที่ไร้ระบบ

"ภาพที่สองที่ต้องประเมินก็คือถ้าจะวิเคราะห์รัฐบาลปัจจุบัน มันต้องวิเคราะห์ทั้งระบบ และถามว่าระบบต้านทักษิณทำงานสำเร็จไหม อย่าไปโยนความผิดให้รัฐบาล แต่ต้องเห็นว่าระบบนี้มันไม่มีแกน ในเมื่อมันไม่มีแกน ลักษณะเครือข่ายพันธมิตรต้านทักษิณซึ่งเป็นระบอบพันธมิตรต้านทักษิณขนาดใหญ่ มันมีปัญหามาก ตุลาการก็ทำงานไม่ link กับตัวรัฐบาล ผมคิดว่าต้องดูทั้งระบบ มันเป็นระบบที่ปกครองสังคมไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าระบอบตุลาการทำงานอย่างไร คำว่าระบอบตุลาการไม่ใช่ศาลนะ ระบอบตุลาการเป็นคำใหญ่ มันกินความมากกว่าศาล มันมีตุลาการรัฐธรรมนูญ มี ปปช. มี กกต.เป็นระบอบองค์กรอิสระซึ่งทำหน้าที่ตัดสินต่างๆ ซึ่งก็ไม่ได้ link กับรัฐบาลหรือเจตจำนงทางการเมือง มันเชื่อมบ้างไม่เชื่อมบ้าง ระบอบมันพลิกผันได้ง่ายขนาดนี้จนทำให้ผลลัพธ์ของการเมืองในแต่ละช่วงเปลี่ยนได้เร็ว"
เช่นการที่ กกต.ชี้เรื่องหุ้นของ ส.ส. สว.ใช่ไหม

"โดยอุดมคติคือการตรวจสอบซึ่งกันและกัน แต่ในความเป็นจริงมันพันกัน จนรัฐบาลก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไร เพราะกลัวจะผิด ทุกอย่างก็เลยล่าช้า การกระทำทุกอย่างไม่แน่นอน ทำแล้วมันจะย้อนกลับได้ไหม มันเกิดการที่ระบอบทำงานโดยไม่สัมพันธ์กัน และไม่มีแกน"

"ในยุคหนึ่งเราเชื่อว่ามีปีศาจร้ายหนึ่งตัว แต่ในปัจจุบันเรากำลังเจอปัญหาระบอบมันไม่สัมพันธ์กันเลย ทุกเรื่องเปลี่ยน พลิกผันได้หมด วันนี้ทำงาน link กัน ศาลมาตัดสินอย่างนี้ อีกวันศาลตัดสินอีกอย่าง หรือยังไม่ตัดสิน เรื่องมันวุ่นวายไปหมด จนกระทั่งถ้ามองในทั้งระบอบต้านทักษิณแล้ว มันมีปัญหาของมัน และสุดท้ายถ้าเราไม่เข้าใจระบอบต้านทักษิณ ที่เป็นระบบจริงๆ มันก็จะเสี่ยงมาก เราจะยินยอมสังเวยคุณอภิสิทธิ์ เพื่อเอาคนอื่นขึ้นมาแทนตลอด ทั้งๆ ที่เราเห็นว่ามันมีทั้งระบอบ แต่เราไปโฟกัสวิพากษ์วิจารณ์คุณอภิสิทธิ์คนเดียว"

"คุณวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของทหารไหม คุณวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของฝ่ายตุลาการในการตัดสินคดีต่างๆ ไหม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวแค่การตัดสิน มันเกี่ยวกับความเร็วในการตัดสิน มันเกี่ยวกับเรื่องอะไรอีกเยอะแยะ ถามว่ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ทำงานแค่ไหน เขาทำงาน แต่ว่าสุดท้ายแล้วมีปัญหาภาพลักษณ์ การบริหารความรู้สึกของคน มันมีปัญหา เรื่องหวัด 2009 ก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็เริ่มจะต้องถอยตัวเองออกมา คือเลิกมองว่าเป็นปัญหาการเมือง จะเริ่มเห็นแล้วว่าเป็นปัญหาซึ่งจำเป็นต้องใช้การเมืองในการแก้ ก็คือใช้ประชาธิปไตยในการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ เลิกมองว่าทุกคนถามคำถามนี้โดยมีจุดประสงค์ทางการเมือง เนื่องจากเรากำลังเผชิญปัญหาที่ไม่มีใครรู้ทางออก ฉะนั้นการเปิดให้เกิดสังคมประชาธิปไตยจึงสำคัญ มันสำคัญกว่าการมีเพียงผู้บริหารโปร่งใสหรือไม่โปร่งใส มันเป็นเรื่องที่คุณกำลังเผชิญความเสี่ยงร่วมกันทั้งโลก"

ถ้าเราดูหลังสงกรานต์ที่เสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำ เหมือนอภิสิทธิ์มั่นคงมาก มีเวลา แต่ทำไมตกเร็วมาก กระทั่งฝ่ายทักษิณกลับมาชนะเลือกตั้งและมีคะแนนนิยมสูงขึ้น

"ผมตอบ 2 อย่างนะ อย่างแรกคือในทางวิชาการ เราค่อนข้างละเลยการศึกษาประชาชนมาเป็นเวลานาน คือในสมัยโบราณ ศัพท์ฝ่ายซ้ายต่างๆ เราเคยศึกษาเรื่องจิตสำนึกชาวนา จิตสำนึกปฏิวัติ แม้กระทั่งพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน ช่วงหลังเราไม่ค่อยศึกษา เราศึกษาเพียงวาทกรรม ศึกษาอุดมการณ์ต่างๆ ศึกษานโยบาย ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกล่อมเกลา ครอบงำ ซื้อเอาใจประชาชน แต่เราขาดการศึกษาวิเคราะห์ประชาชน งานทางวิชาการว่าด้วยการศึกษาวิเคราะห์ประชาชนน้อย มีแต่งานวิเคราะห์นโยบาย วิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดการเมือง วิเคราะห์โครงสร้างอำนาจในรัฐธรรมนูญ นอกรัฐธรรมนูญ แต่เราขาดความเข้าใจที่มีกับประชาชน นี่ก็เป็นส่วนแรก"

"คำถามต่อมาที่ทำไมมันมีการพลิกผัน ผมคิดว่าสถานการณ์โลกสำคัญ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลกมาโดยตลอด เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยน แนวนโยบายที่ไม่ได้เน้นความเข้าใจและการกำหนดจังหวะท่าทีในการเกี่ยวพันกับโลกอย่างชัดเจน มันทำให้เมื่อมีปัญหาขึ้นมาก็ตอบปัญหาได้ยาก พูดง่ายๆ คุณมีระบอบ 2 ระบอบ ระบอบแบบทักษิณคือระบอบที่กระโจนเข้าสู่โลก กับระบอบที่เน้นความเข้มแข็งของตัวเอง เห็นว่าโลกมันผันผวนคุณต้องเข้มแข็งก่อนที่จะก้าวเข้าสู่โลก มันก็เกิดปัญหาขึ้นมาทันทีว่าในความผันผวนของโลก เมื่อคุณไม่ยอมกระโจนเข้าสู่โลก แต่คุณกำหนดจังหวะที่จะสัมพันธ์กับโลกไม่ได้ คนที่เดือดร้อนเขาก็ไม่ฟังคุณแล้ว ในขณะที่อีกคนพยายามจะสร้างภาพว่าเขาจะทำให้คุณก้าวเข้าสู่โลกได้ เขาจะทำให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของโลก เขาจะทำทีวีให้มี 3 ช่องให้คุณฟรีๆ ขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้มีคำตอบเลยว่าประชาชนจะเกี่ยวพันกับโลกอย่างไร ตั้งแต่เป็นรัฐบาลมาเดินสายกับนายทุนตลอดเวลา คุณต้องพยายามเอาอกเอาใจนายทุน โยนเงิน 2,000 บาทให้คนเอาเงินไปโยนให้นายทุนเร็วที่สุด แต่สิ่งสุดท้ายคือคุณไม่เคยตอบคำถามเชิงรูปธรรมว่าคนยากคนจนจะเกี่ยวพันกับโลกอย่างไร"
ดูเหมือนรัฐบาลก็พยายาม เช่นตอนนี้บอกว่าจะเอาเงินลงชนบทลงจังหวัดต่างๆ

"แต่ปัญหาคือการทำโครงการอย่างนั้นไม่มีรูปธรรม มีความพยายามที่บอกว่าจะทำ แต่คุณดันไปมองว่านั่นเป็นการจะทำในระยะยาว แต่ระยะสั้นคุณแก้ปัญหาโดย 2,000 บาท คุณไม่มีโครงการระยะสั้นให้คนจน คุณแก้โดยการใช้วาทกรรมพอเพียงตลอด คุณโยนเข้าไปในเรื่องพอเพียง หรือโยนให้เป็นโครงการที่มาจากพรรคอื่นๆ ซึ่งมีหน้าที่แย่งคะแนนเสียงคุณทักษิณ แต่พอทำจริงๆ ก็มีปัญหาทุจริต สุดท้ายประชาชนก็ไม่ได้"

"ความรู้สึกสัมพันธ์กับรัฐบาล ผู้นำรัฐบาลเป็นผู้นำซึ่งความทุกข์ยากของประชาชน มันไม่มี สิ่งนี้เป็นปัญหาในเชิงภาวะผู้นำมาก เพราะคุณทักษิณรวยกว่าคุณอภิสิทธิ์กี่เท่า ทำไมชาวบ้านเขารู้สึกว่าคุณทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของเขา คุณทักษิณใช้คำว่าผมเคยจนมาก่อน ทั้งๆ ที่รวยตลอด แต่ชาวบ้านรู้สึกว่าคุณทักษิณเข้าใจและเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาชาวบ้าน ทั้งๆ ที่ในภาพรวมคือเมื่อแก้ปัญหาแล้วมันก็มีปัญหาทุจริต ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมาก แต่อย่างน้อยชาวบ้านเขารู้สึกว่าคุณทักษิณเข้าใจเขา มันก็คงเหมือนเซลส์แมนที่เข้าไป ชาวบ้านรู้สึกว่าเข้าใจเขาแต่จะโกงเขา ขณะที่ชาวบ้านไม่รู้ว่าคุณอภิสิทธิ์เข้าใจปัญหาของชาวบ้านหรือเปล่า"

"คุณอภิสิทธิ์เคยมีทฤษฎีในการอธิบายความยากจนของชาวบ้านไหม ถ้าคุณทักษิณมีทฤษฎีว่าความยากจนนั้นเกิดจากการที่คุณไม่เข้าไปเกี่ยวพันกับโลก ถ้าคุณทักษิณมีคำอธิบายว่าความยากจนคือคุณยังขาดโอกาส คุณต้องการโอกาส รัฐบาลมีหน้าที่เสริมโอกาสให้คุณ และคุณเข้าไปในเชิงรูปธรรม เช่น OTOP พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีทฤษฎีในการอธิบายกับคนยากคนจนว่าจะต้องมีความเข้มแข็งก่อนที่จะเกี่ยวพันกับโลก คุณอภิสิทธิ์มีทฤษฎีอะไร คุณกรณ์มีทฤษฎีอะไร ในการอธิบายให้คนยากคนจนฟังว่าเขาเข้าใจปัญหาของคนยากคนจน นี่คือปัญหาสำคัญ คุณมีโฆษกจำนวนมาก แต่โฆษกมีหน้าที่โต้ตอบ ไม่เคยมีหน้าที่อธิบายได้ โครงการไทยเข้มแข็งอธิบายได้ไหมว่าไทยไม่เข้มแข็งเพราะอะไร อธิบายและให้ประชาชนเชื่อมั่นในสิ่งซึ่งเขาอธิบายได้อย่างไร"

รัฐบาลก็จะทำโครงการลงจังหวัดต่างๆ เช่นถนนปลอดฝุ่น

"เวลาที่คุณอภิสิทธิ์พูดถึงตัวโครงการไม่ได้พูดถึงโครงการ แต่พูดถึงนโยบายกว้างๆ โครงการมันก็ลงกับพรรคต่างๆ คือเป็นเรื่องน่าสงสาร คุณอภิสิทธิ์ไม่พร้อมแต่จำเป็นต้องขึ้น เพราะระบอบนี้เอาใครไม่ได้แล้ว เพราะคนก่อนหน้าระดับองคมนตรียังเอาไม่อยู่ พอกลับมาหานักการเมืองคุณก็เจอนักการเมืองแบบนี้ เพราะคุณมี choice แค่ 2 แบบคือนักการเมืองที่ clean แต่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ กับนักการเมืองที่ corrupt แต่มีโปรเจ็คให้ประชาชน ได้รับความนิยม"

"ปัญหาความชอบธรรมขนาดใหญ่อีกอันหนึ่งของระบอบใหม่ ไม่ใช่ปัญหาคุณอภิสิทธิ์ แต่เป็นระบอบที่เอาคุณอภิสิทธิ์ขึ้นมา ผมไม่อยากเรียกว่าเป็นระบอบอำมาตยาธิปไตย มันเป็นระบอบของคนที่ไม่เอาทักษิณ ระบอบของพลพรรคที่ไม่เอาทักษิณ อย่าไปมองว่าเป็นอำมาตย์ มันมีนายทุน มันมีชนชั้นผู้ดี มันมีคนชั้นกลางบางกลุ่ม คนจนที่ไม่เอาทักษิณก็มี เราเรียกว่าระบอบของคนที่ไม่เอาทักษิณก็ได้"

"ระบอบนี้มีปัญหาคือมันไม่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง การเข้าใจประชาธิปไตยต้องแบ่งเป็น 3 ส่วน ประชาธิปไตยที่ชอบพูดกันในเชิงคลาสสิค อธิบายได้ว่าประชาธิปไตยมีที่มาจากประชาชน และทำประโยชน์เพื่อประชาชน แต่ไม่ให้ความสำคัญกับมิติที่ 3 ที่สำคัญคือกระบวนการ เมื่อคุณไม่เข้าใจกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นหนึ่งในนั้น ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องกระบวนการประชาธิปไตย การอ้างที่มาและเป้าหมายและประชาธิปไตยมันทำให้ระบอบอื่นเข้ามาอยู่ในระบอบประชาธิปไตยได้ คุณสามารถมีระบอบรัฐประหารที่อ้างว่ามาจากประชาชนและทำเพื่อประชาชน แต่กระบวนการที่ทำมันไม่เป็นประชาธิปไตย ในเมื่อการเมืองไทยในระบอบนี้ไม่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง และรู้ว่าถ้าเลือกตั้งอีกก็แพ้อีก ประชาธิปไตยของไทยก็จะมีปัญหาไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นประชาธิปไตยที่มีแต่หลักนามธรรม แต่คุณไม่สามารถแก้ปัญหากระบวนการประชาธิปไตยได้ คุณสามารถมีศาลซึ่งทำงานเพื่อประชาธิปไตยได้ อ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่กระบวนการไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าพูดถึงประชาธิปไตยต้องตอบด้วยว่าที่มา เป้าหมาย และกระบวนการ เป็นประชาธิปไตยไหม กระบวนการไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะมันบี้กันอยู่ในสภาในการตั้งรัฐบาลนี้ และรัฐบาลนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ทั้งหมดที่ทำมันอยู่ในกระบวนการประชาธิปไตย มันเป็นปัญหาตั้งแต่จุดตั้งต้นของรัฐบาล"
ถ้าเรามองความหวังของรัฐบาลตอนนี้ก็คือหวังว่าจะกระจายงบประมาณ ดึงไปให้ถึงปลายปีที่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะเป็นบวกแล้วไปรอดได้

"นี่ก็เป็นปัญหาเพราะปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่มาจากภายนอก คำถามคือถ้าคุณไม่เกี่ยวพันกับโลกภายนอกคุณจะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าคุณเกี่ยวพันกับโลกภายนอกคุณสามารถที่จะวัดอัตราการเติบโตได้ แต่คุณวัดการกระจายรายได้ไม่ได้ แต่ในปัจจุบันคุณวัดอัตราการเติบโตก็ไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถวัดการกระจายได้ด้วย คุณจะเอา index อะไร เอาตัวชี้วัดอะไร ถ้าคุณคิดว่าไม่ต้องการอัตราการเติบโต คือถ้าติดลบ แต่บอกได้ไหมความเท่าเทียมกันในสังคมเพิ่มขึ้น ไม่มีเลย ตัวแปรปัจจุบันนี้เป็นตัวแปรความรู้สึกหมดเลย ความสุข แล้วคุณวัดอะไรทางเศรษฐกิจได้ และคุณก็กอดนายทุนตลอดเวลา นายทุนไม่มีความจงรักภักดีกับใคร และไม่มีความจงรักภักดีกับรัฐบาล วันนี้เขาบอกว่าบ้านเมืองแตกแยกแล้วให้เงียบซะ วันรุ่งขึ้นเขาอาจจะบอกว่ารัฐบาลไม่ได้เรื่องแล้วควรจะออกไป อย่าไปพึ่งพานายทุน คุณต้องพึ่งพาประชาชน และเขาจะเป็นคนมาโอบล้อมคุณ ถ้าคุณจะจัดการนายทุนถ้าคุณมีประชาชนเป็นพวก นายทุนก็ทำอะไรคุณไม่ได้ แต่คุณไปกอดนายทุน ชาวบ้านเขาไม่เอาคุณ นายทุนก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่"
สงครามสื่อ
ถ้าคะแนนนิยมยังตกอยู่อย่างนี้และไม่มีจุดพลิก จะไปสู่ทางตันไหม

"รัฐบาลอาจจะเพลี่ยงพล้ำลง แต่ถ้าเรามองภาพรวมระบอบ เขาคิดว่าเขามีไม้ตาย เพราะถ้าเริ่มตัดสินคดีทักษิณมากขึ้น สังคมก็จะเปลี่ยนมุมมอง โดยเขาก็รอให้ส่วนนี้ทำงานมากขึ้น ก็คือให้ตัดสินคดีทักษิณมากขึ้นแล้วเชื่อว่าประชาชนจะไม่สนับสนุนทักษิณ ทักษิณก็จะเป็นอาชญากรมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าลืมว่าคดีความต่างๆ มีความล่าช้าอยู่แล้ว กระบวนการมันไม่ได้รวดเร็ว แต่รัฐบาลต้องตอบคำถามประชาชนทุกวัน"
แต่ถ้าคะแนนนิยมรัฐบาลไม่ขึ้น ทักษิณโดนกี่คดี คนก็ยังนิยมทักษิณอยู่

"ก็ต้องใช้กระบวนการศาลในการกันทักษิณไม่ให้เข้ามามีบทบาททางการเมือง ก็ทำได้เท่านี้ ทำไปเรื่อยๆ"
จะถึงทางตันไหม

"ไม่หรอก สุดท้ายไม้สองของเขาก็คือพยายามดึงคนสนับสนุนทักษิณมาอยู่ฝั่งเขา ถ้าเขาจัดการตัวทักษิณไม่ได้ก็ต้องบี้ให้พรรคเล็กทั้งหลายดึงคนออกจากเพื่อไทย และก็กำหนดกระบวนการต่างๆ ให้กลับไปสู่การเลือกตั้งแบบยุคเก่า อาจจะย้อนไปก่อนชาติชาย กลับไปในยุคเปรม นักการเมืองทุกพรรคไม่สามารถที่จะเป็นรัฐบาลโดยไม่มีการสนับสนุนจากสถาบันอื่นๆ ก็คือต้องย้อนกลับไปในการเมืองยุคนั้น"
ให้เป็นการเมืองหลายพรรคอย่างนั้นหรือ

"ทำอย่างไรก็ได้ให้เกิดกระบวนการที่ลดทอนพรรคของทักษิณลง ซึ่งสามารถจะทำโดยใช้กระบวนการที่มี เช่นการเข้าไปจัดการตัวกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย หรือความเชื่อที่ว่าจะใช้กระบวนการเลือกตั้ง ก็อาจต้องไปเสี่ยงในการเลือกตั้งว่าปล่อยให้มีการทุจริตซะ จะได้ยุบพรรคอีกสักรอบ"

"สิ่งที่เรากำลังจะเจอในระยะต่อไปนี้คือสงครามสื่อ ผมคิดว่าการประกาศบิ๊กเซอร์ไพรส์ของคุณทักษิณเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์จริงๆ ในแง่ความรู้สึกของประชาชน ในเชิงเทคนิคก็คือถ้าคุณสามารถยิงดาวเทียมโดยไม่เกี่ยวพันกับสังคมไทย คุณสามารถอัพสัญญาณขึ้นไป ทุกบ้านรับได้ สงครามสื่อจะเกิดจริง และปิดไม่ได้ มันจะปิดอย่างไรในเมื่อถ่ายทอดออกมาแล้วทุกบ้านรับได้หมด คุณไม่สามารถกันได้หมดหรอก เข้าอินเตอร์เน็ตได้ คุณไม่มีทางที่จะดูไม่ได้ ถ้ารายการโทรทัศน์พวกนี้เขาออนไลน์โดยสามารถใช้โปรแกรมพร็อคซี่ดู การอัพสัญญาณขึ้นมันอัพจากที่อื่น การจัดรายการจัดในประเทศอื่น ยิงสัญญาณขึ้นไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน คุณจะไปจับเขาอย่างไร ตรงนี้คือการทำลายอำนาจของการควบคุมสื่อทั้งหมด ก็เขาพิสูจน์แล้วว่าเขาทำอะไรเล็กๆ ไม่ได้ เขาพิมพ์หนังสือก็ไม่ได้ ทำวิทยุ ทำทีวีในประเทศก็ไม่ได้ ในระยะนี้ผลจริงๆ คือมันสะเทือน ถ้าเขาทำสถานีมาจากข้างนอก คนรับได้ ยุ่งล่ะทีนี้ ถ้าเขาออกในประเทศไม่ได้แต่ออกต่างประเทศได้มันก็ยุ่งแล้ว ฐานของสังคมเปลี่ยน สังคมมันเกี่ยวพันกับโลกมากขึ้น มันกันไม่อยู่หรอก และโลกเขาไม่ฟังคำอธิบายทางการเมืองแบบที่คุณพยายามพูดตลอดเวลา เขามีสิทธิ์ถามเขามีสิทธิ์สงสัย ผมคิดว่าสงครามสื่อจะเป็นสงครามระยะนี้ และยิ่งถ้ารัฐบาลมีการทุจริตไปเรื่อย คือรัฐบาลตกอยู่ในฐานะที่จะต้องโดนอยู่แล้ว"
อย่างนี้รัฐบาลมีแต่ทรงกับทรุดสิ

"รัฐบาลทรงกับทรุดอีกเรื่องหนึ่ง แต่ระบอบไม่เอาทักษิณซึ่งใหญ่กว่ารัฐบาลจะทรุด ระบอบนี้ที่ไม่เอาทักษิณและกำลังจะทรุดก็จะลำบากกว่า และเราจะเห็นเองว่ามันมีรอยปริ ซึ่งอาจกดดันรัฐบาลภายในโดยระบอบนี้ เพราะระบอบไม่เอาทักษิณเป็นระบอบใหญ่ และมีจุดร่วมมีจุดเดียวจริงๆ คือไม่เอาทักษิณ อย่าไปเรียกว่าระบอบอำมาตยาธิปไตย ถ้าวาทกรรมระบอบทักษิณทำให้คุณทักษิณถูกถามคำถามได้ วาทกรรมระบอบไม่เอาทักษิณก็ต้องเป็นคำถามที่ถามพวกไม่เอาทักษิณเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไร คุณไม่สามารถขี่กระแสไม่เอาทักษิณปกครองประเทศไปได้เรื่อยๆ หรอก คุณต้องมีผลงานมากกว่าสร้างคุณทักษิณเป็นปีศาจอย่างเดียว การที่คุณต้องตอบคำถามเรื่องทักษิณกับสังคมมันเรื่องหนึ่ง แต่การบริหารประเทศคุณจะมาอ้างตลอดว่าทำโน่นไม่ได้ทำนี่ไม่ได้เพราะคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังทุกเรื่อง วันหนึ่งมนต์ตรงนี้จะคลาย และมันจะตอบได้ว่าคุณมีความสามารถเพียงพอหรือเปล่า"

"ปัญหาใหญ่คือ 6 เดือนของรัฐบาลกับ 6 เดือนของระบอบไม่เอาทักษิณ ซึ่งเป็นระลอก 2 มันน่าสนใจ เพราะระลอกแรกมันคือระบอบตรงๆ ระบอบหลังรัฐประหาร แต่นี่มันคือระบอบการรัฐประหารเงียบ ซึ่งเป็นระบอบที่มาจากการบี้กันจนทำให้พรรคนั้นถูกยุบ 2 ครั้ง และก็ทำให้รัฐบาลนี้ขึ้นมาได้ รัฐบาลไม่ใช่หัวของระบอบ ระบอบนี้เป็นความเชื่อมโยงของกลุ่มคนจำนวนมาก ซึ่งอาจจะไม่มีใครเป็นหัวเลย แต่มันมีผลประโยชน์มันมีความเชื่อร่วมกันของนักวิชาการ ของคนนั้นคนนี้จำนวนมาก ล่าสุดคุณก็เห็นมีนักวิชาการออกมาให้ความรู้เรื่องการถวายฎีกา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านเขาทำกันมานานแล้ว มันเป็นหนึ่งในระบอบไม่เอาทักษิณ ระบอบนี้คือรอบ 2 แล้ว รอบแรกก็พังไปแล้วกับสุรยุทธ์ การเลือกตั้งพิสูจน์แล้วว่าคุณพัง รอบนี้จะจบอย่างไร นี่ต่างหาก"

"ผมอยากใช้โอกาสนี้ชี้ว่าอย่าเอาอภิสิทธิ์เป็นแพะ อภิสิทธิ์ไม่ใช่แพะ ฉะนั้นห่วยไม่ห่วย ต้องมองทั้งระบอบว่ามีใครบ้างที่ไม่เอาทักษิณ และคนพวกนี้จะตอบคำถามสังคมเรื่องอื่นอย่างไร จะแก้ปัญหาสังคมอย่างไร"

"อย่าปล่อยให้คนในระบอบนี้ฉวยโอกาสความไม่พอใจของเราที่มีต่อรัฐบาล ในความไร้ประสิทธิภาพของอภิสิทธิ์ ไปกดอภิสิทธิ์ออกแล้วเอาคนอื่นขึ้นมาแทน คนที่จะไปกดอย่างนั้นต้องถูกตั้งคำถามด้วย เช่นคนที่เชียร์ คมช. และไปด่าว่าอภิสิทธิ์เอาแต่เปิดงาน ต้องถูกถามด้วยว่าแล้วคุณเป็นส่วนหนึ่งของการให้คุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาตั้งแต่แรกไหมเล่า อย่าปล่อยให้คนเหล่านี้ลอยนวลแล้วไปบี้รัฐบาลหรือเปลี่ยนหัวรัฐบาลอย่างเดียว คนเหล่านี้ต้องรับผิดชอบด้วย คุณอภิสิทธิ์เป็นเพียงปัญหาเดียวของระบอบ มันมีอะไรมากกว่านี้"
มองว่าจะไปลงเอยแบบไหน

"ผมคิดว่าโดยอุดมคติก็คือการอยู่ในระบอบนี้เพื่อทำให้คุณทักษิณโดนข้อหาให้ได้มากที่สุด เพิ่มคดีความ ทำตรงนี้ออกมาให้ได้มากที่สุด ก็คือทำลายทางการเมืองให้ได้มากที่สุด และหวังพึ่งเศรษฐกิจโลกว่ามันจะบูม แต่มันบูมไม่ได้หรอก อย่างที่เคยบอกว่านัยของพันธบัตรรัฐบาลมีปัญหา คือโอเครัฐบาลระดมทุนได้แต่การที่คุณเอาเงินของคนรวยเข้ามา มันจะตอบปัญหาความเท่าเทียมในสังคมอย่างไร ในเมื่อคุณระดมเงินได้ คุณก็มีสิทธิ์เอาเงินก้อนนี้ไปทำโครงการให้กับคนในเมืองได้เพราะคุณระดมเงินมาจากคนในเมือง คุณก็สามารถทำรถไฟฟ้าได้ ทั้งที่จริงๆ มันก็เหมือนเดิม มันคือการกู้เงินแบบหนึ่งที่คนทั้งประเทศต้องแบกหนี้ แล้วคุณจะมาทำรถไฟฟ้าได้อย่างไรล่ะในเมื่อมีปัญหาอีกเยอะในประเทศ มันทำให้รู้สึกว่าคนกลุ่มหนึ่งสามารถที่จะมีส่วนในประเทศได้มากกว่าคนกลุ่มอื่น เรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ"

"คือถ้าจะให้ผมพูดตอนนี้มันจะเหมือนซินแสที่มาบอกว่ารัฐบาลจะอยู่ได้กี่วันกี่เดือน ผมอยากจะบอกเพียงว่าอย่าประเมินผลงานรัฐบาลอย่างเดียว ต้องประเมินผลงานบรรดาพันธมิตรของรัฐบาลว่าเขามีส่วนอะไรในการทำให้การบริหารประเทศเป็นแบบนี้"
ตอนนี้ก็สะเปะสะปะอย่างเห็นได้ชัด พันธมิตรไปทาง ทหารลอยหนีไปอีกทาง

"ทุกคนก็มีผลประโยชน์ของเขา ระบอบนี้ให้ผลประโยชน์กับเขาโดยตรงไม่ได้ ระบอบนี้ไม่สามารถให้งบประมาณทหารจำนวนมหาศาลได้ ระบอบนี้ไม่สามารถทำให้พันธมิตรยึดสื่อหลักได้ทั้งหมด ขนาดสมัยสุรยุทธ์ยังทำได้แค่ไม่กี่วัน นี่ก็เหมือนกัน การปกครองประเทศมันไม่ง่ายอย่างนั้น ผมวิจารณ์อย่างนี้และไม่ได้วิจารณ์ว่าอย่างนั้นสมควรจะชื่นชมถ้าระบอบนี้จัดการทักษิณได้ ไม่ใช่ ผมพยายามจะบอกว่ากระบวนการที่ไม่เอาทักษิณ สุดท้ายคุณก็ทำงานด้วยกันไม่ได้ คุณสามารถสร้างจุดร่วมเพื่อเกลียดคนคนหนึ่งได้ ทำลายคนคนหนึ่งได้ แต่การ move สังคมไปในอนาคต คุณทำไม่ได้ คุณไม่มีความสามารถพอที่จะจัดการกับระบบเศรษฐกิจโลก ขณะที่ประเทศไทยมันผูกพันกับโลก"
และจัดการกับคนจนไม่ได้ด้วย

"คุณเข้าไม่ถึงเขา โอเคคนที่เข้าถึงก่อนเขาโกง แต่ตัวคุณก็แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้"
ถ้าเลือกตั้งก็กลัวทักษิณชนะอีก ก็พยายามจะไม่ให้มีเลือกตั้งเร็ว
"ประการแรกคือไม่มีโดยเร็ว สองมี ก็รอไปบี้ จัดการทุจริต ซึ่งการทุจริตเกิดแน่นอน แต่วิธีคิดในเรื่องการจัดเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมโดยใช้การยุบพรรคมันไม่ได้สร้างศรัทธาให้กับประชาชน มันเป็นการปฏิเสธอำนาจประชาธิปไตยของประชาชนในหลายๆ พื้นที่ซึ่งกรรมการพรรคเขาไม่ได้โกงในเขตนั้น ต่อให้สมมติว่าคนคนนี้เขารู้เห็นในกระบวนการยุบพรรค แต่ในพื้นที่เขาไม่ได้โกง แล้วคุณไปตัดสิทธิประชาชนที่จะให้คนเหล่านี้เป็นส.ส.ได้อย่างไร มันผิดหลักประชาธิปไตย โอเคมันถูกหลักประชาธิปไตย ตรงที่การเลือกตั้งในพื้นที่ที่ถูกกล่าวหามันไม่บริสุทธิ์ แต่การลงโทษโดยยุบพรรค มันไม่ได้ตอบคำถามว่าคุณให้ความสำคัญกับประชาชนที่เขาเลือกกรรมการพรรคเหล่านั้นอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างไร เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้ผิดในพื้นที่ของเขาเอง อันนี้เป็นประเด็นใหญ่นะ มันก็เลยทำให้ศรัทธาที่มีกับระบอบประชาธิปไตยสั่นคลอน"
ที่บอกว่าในทางวิชาการละเลยการศึกษาประชาชน หมายถึงคนชนบทนิยมทักษิณเพราะเข้าถึงเขามากกว่าใช่ไหม

"ผมคิดว่ามันเกิดลักษณะสำคัญขึ้นมาในสังคมในยุคทักษิณ คือทักษิณทำให้เห็นว่านอกเหนือจากผู้อุปถัมภ์ในระดับท้องถิ่นแล้ว ทักษิณเองสามารถเป็นผู้อุปถัมภ์ในระดับชาติได้ ดังนั้นประชาชนมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ถ้าทักษิณให้เขาไม่ได้ วันนี้เขาก็ยังมีผู้อุปถัมภ์เดิม ถ้าผู้อุปถัมภ์เดิมไม่ทำงานร่วมกับทักษิณ เขาอาจจะถามคำถาม เขาอาจจะเคลือบแคลงใจมากกว่า แต่ขณะเดียวกันถ้าผู้อุปถัมภ์เดิมกับทักษิณจับมือกัน เขาก็อาจจะรู้สึกว่าเขาได้ความมั่นคงหลายๆ มุมมากกว่า ผมไม่เชื่อว่าชาวบ้านเลือกอะไรแบบขาวดำ ผมคิดว่าเวลาชาวบ้านมอง การมีทักษิณมันเป็นการเพิ่มช่องทางให้เขา และช่องทางนี้ถูกตัด แต่ในทุกๆ ครั้งทักษิณให้ความหวังกับเขา เขาก็จะรู้สึกว่ามีความหวังมากขึ้น จากช่องทางปกติที่เขามีอยู่แล้ว เขาไม่ได้คิดว่าการเลือกทักษิณจะทำให้เขาได้อะไร มันเป็นการเพิ่มช่องทางให้เขามากกว่า"
ถ้าอย่างนี้ทักษิณก็จะได้ความนิยมอยู่ตลอด

"ไม่ เพราะตัวทักษิณเองก็ขึ้นลงตามจังหวะเหมือนกัน กว่าจะกลับมาสู่วันนี้เขาก็เพลี่ยงพล้ำไปมาก หลังจากกระแสเสื้อแดงลง เพราะตอนนั้นเขามาโหนกระแสเสื้อแดง แต่ตอนนี้เขาเริ่มเห็นแล้วว่าสิ่งที่เขาควรจะทำคือทำด้วยตัวเขาเอง ความนิยมของเขาในช่วงนี้ก็เกิดจากตัวเขาเอง ไม่ได้เกิดจากการโหนกระแส ผมคิดว่าเขาเริ่มกลับมาเรียนรู้แล้วว่าเขามีหน้าที่กำหนด agenda โดยตรง ไม่ใช่ทำงานเบื้องหลังแก๊งสามคน พอมีกระแสแล้วค่อยออก แต่เขามีความสามารถในการลงไปถึงประชาชนเอง การโฟนอินของคุณทักษิณมีลักษณะพิเศษก็คือเขาเข้าหาคนในหลายๆ ที่ และมีลักษณะเฉพาะ เขาพูดภาษาอีสานเขาพูดภาษาเหนือ ขณะที่นายกอภิสิทธิ์บอกว่าเข้าถึงประชาชน แต่เป็นการเข้าถึงที่ประชาชนเข้าไม่ถึง"

"ล่าสุดที่เพลี่ยงพล้ำที่สุดก็คือการมาอ้างว่าใน twitter ไม่ได้เขียนเอง เป็นอีกกลุ่มหนึ่งเขียน ควรจะบอกไปเลยว่าให้คนกลุ่มนั้นเขียน เพราะมันทำให้คนรู้สึกว่าคุณอภิสิทธิ์มีตัวตนจริงๆ การที่คุณไปใช้วิธีบอกว่าคนกลุ่มนั้นไม่เกี่ยว ทำเองโดยไม่ปรึกษาคุณอภิสิทธิ์ มันไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์คุณดีขึ้น ถ้าคุณบอกว่าคุณเขียนเอง มันก็จะมีคนที่คิดว่าคุณอภิสิทธิ์มีความกล้าหาญ แต่ไม่จำเป็นที่คุณอภิสิทธิ์จะเขียนเอง บอกว่าทีมงานเขียนตามเจตจำนงคุณอภิสิทธิ์ก็ได้ และคำพูดคุณก็ไม่มีใครว่าผิด แต่นี่ไปทำให้คนที่เชียร์รู้สึกว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่มีตัวตน ไม่แท้ คุณอภิสิทธิ์จะลำบากกว่าเดิมอีก ในสงครามสื่อ เพราะฉะนั้นปัจจุบันนี้ก็จะมีหน้าที่ตอบคำถามสื่อเป็นหลัก และคนยังจะรู้สึกว่าไม่สามารถค้นพบความเป็นตัวตนคุณอภิสิทธิ์"
อุ้มกันมาอย่าลอยนวล
ถ้าทักษิณสามารถใช้สื่อของตัวเองอย่างที่ว่า ก็เป็นการเข้าถึงประชาชนโดยไม่ต้องผ่านสื่อกระแสหลัก

"ตรงนี้จะอันตรายเพราะดาวเทียมต่างๆ มันถึงประชาชนในชนบทมากกว่าคนชั้นกลางในเมืองแล้วนะ เคเบิลท้องถิ่นที่เขาสอยสัญญาณฟรีพวกนี้ราคาไม่แพง ราคามันเท่ากับหนังสือพิมพ์ สมมติเดือนละ 300 บาท ก็คือหนังสือพิมวันละ 10 บาท มันมีทฤษฎีอยู่ 2 ทฤษฎี ทฤษฎีแรกบอกว่าคนจนไม่มีปัญญาซื้อ แต่สองคุณลืมไปว่าคนจนมีปัญญาที่จะลงทุน เช่นคนจนรู้สึกว่าถ้าซื้อน้ำเสียก็ไม่ต้องเดิน 3 ชั่วโมงไปตักน้ำ ก็เอาเวลาไปทำมาหากินอย่างอื่น ถ้าคนจนรู้สึกว่าการที่เขาซื้อข้อมูลข่าวสารเหล่านี้แล้วทำให้เขาเข้าใจโลกมากขึ้น ขายของได้ ลูกได้เรียนหนังสือ เขาเพิ่มเงินอีก 300 บาท แล้วลูกเขาได้เรียนพิเศษ ความรู้สึกมันเปลี่ยน โลกของคุณทักษิณเป็นโลกที่ก้าวไปข้างหน้า มันพูดถึงคนรุ่นต่อไปว่าจะได้อะไรมากขึ้น ขณะที่โลกที่รัฐบาลหรือระบอบที่ไม่เอาทักษิณพยายามบอกก็คือ ให้พอใจกับสิ่งที่ตัวคุณมีในขณะนี้ ในขณะที่คนชนบทมีความรู้สึกตลอดเวลาว่าเขาไม่เท่าเทียมกับคนอื่น การไปบอกว่าการไม่เท่าเทียมกับคนอื่นเป็นสิ่งที่คุณต้องทำใจ มันตอบคำถามในสังคมประชาธิปไตยไม่ได้"

"เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สงครามสื่อจะเป็นสงครามใหญ่ ถ้าพรุ่งนี้คุณทักษิณสามารถจัดรายการวิทยุ หรือจัดรายการทีวีเองทุกสัปดาห์เหมือนเดิม คุณว่าใครจะไม่ฟัง โดยธรรมชาติคุณทักษิณเข้าใจสื่ออยู่แล้ว สื่อก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปซักคุณอภิสิทธิ์ เดี๋ยวคุณอภิสิทธิ์พูดเสร็จคุณทักษิณโต้ ยังไงก็เพลี่ยงพล้ำ เส้นแบ่งของความเป็นสื่อแท้กับสื่อเทียมจะหายไป การที่สื่อกลุ่มหนึ่งอ้างอภิสิทธิ์ว่าตัวเองเป็นสื่อแท้จะหมดไป เพราะสุดท้ายแล้วการเข้าถึงประชาชนจะเป็นหัวใจสำคัญของสื่อ"

"และความสัมพันธ์ระหว่างสื่อกับคุณอภิสิทธิ์ก็จะไม่แนบแน่น เพราะว่าสื่อก็ต้องขาย โดยธรรมชาติของสื่อ ผมไม่ได้มองว่าสื่อมีอุดมการณ์อะไร เป็นเรื่องที่คุณต้องมีอยู่แล้ว แต่ความสามารถในการขายข่าวของคุณ คุณจะจบ"
ที่บอกว่าจะเปิดช่อง OTOP อาจจะขายไม่ออกก็ได้ แต่ทำให้ชาวบ้านมีความหวังใช่ไหม

"มันอาจจะขายไม่ได้ แต่มันเป็นความสามารถทำให้สิ่งซึ่งอยู่ในแต่ละที่ไปปรากฏตัวในโลก มันคือปม ปมหนึ่งของชาตินิยมคือการทำให้คุณรู้สึกว่าคนอื่นยอมรับคุณ คุณมีที่ทางในโลก มันก็เป็นหลักการเดียวกับคุณต้องการมีธูปใหญ่ที่สุดในโลก ยาวที่สุดในโลก คุณต้องการการยอมรับ การมี OTOP มันคือตรงนี้ มันคือจิตวิทยาที่ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าวันหนึ่งเขาจะได้ไปปรากฏตัวในโลก เขาไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ ช่องที่ 2 เรียลลิตี้คนจนมันเป็นการพิสูจน์ว่าเขาต้องการมีที่ทาง เขาต้องการถูกนำเสนอในโลก และอันสุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือช่องกวดวิชา กวดวิชามันคือการที่คุณรู้สึกว่าระบบรัฐหรือใครต่างๆ มาสนใจอนาคตของพวกคุณ ทุกคนยอมทำงานหนักเพื่อให้ลูกหลานมีอนาคตที่ดี ความรู้สึกต่ำต้อยของคนที่รู้สึกว่าไม่มีเงินจะไปซื้อ service แล้วเขาได้ฟรี ซึ่งจริงๆ ไม่ฟรีเพราะเขาต้องจ่ายเงิน แต่มันคุ้มหรือเปล่าล่ะ 300 กว่าบาท เขามีทีวีดู ที่จริงอาจจะไม่เสียเลยเพราะเพิ่มจากเคเบิลเก่า เขาก็สอยเพราะช่องพวกนี้ฟรี"
รัฐบาลอาจจะสกัดเคเบิลเหล่านี้ได้

"จะไปจับทันยังไง ถ้าเขามีจานของเขาเอง หรือต่อเน็ตของเขา คุณจะไปจับยังไงหมด คุณไล่จับเขาแล้วคุณตอบคำถามโลกยังไง คุณปิดกั้นสื่อหรือเปล่า วาทกรรมเรื่องสื่อแท้สื่อเทียมจะหมดไป"
"อย่าลืมว่าก่อนที่คุณทักษิณจะได้รับความนิยมในวันนี้ คุณทักษิณเคยเป็นฝ่ายค้าน การเติบโตของพรรคไทยรักไทยเห็นชัดว่าเกิดจากกระแสที่ประชาธิปัตย์ทำงานไม่ได้ ทั้งที่ประชาธิปัตย์ตอนนั้นขึ้นมาโดยที่ประชาชนสรรเสริญว่าจะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทนบิ๊กจิ๋ว อย่าลืมนะตอนนี้คุณทักษิณย้ายไปเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว"
หันมามองอีกด้านทักษิณก็เดินเกมกดดันเรื่องถวายฎีกา ก็เป็นการรุกอยู่เรื่อยๆ

"เกมการถวายฎีกามี 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการแสดงพลังของประชาชนเพื่อที่จะเข้าถึงสถาบันที่พวกเขารัก เขาอยากเข้าถึง แต่สิ่งที่สอง สิ่งที่เขาไม่เสียเลย คือการถวายฎีกาจะเปิดโปงให้เห็นว่าระบอบไม่เอาทักษิณจะปรากฏตัวอย่างไร จะปรากฏตัวว่ามีใครบ้าง ซึ่งมันก็ทำให้ฝ่ายนั้นเห็นเองว่าใคร"
ซึ่งปรากฏว่าฝ่ายไม่เอาทักษิณเต้นรุนแรงมาก

"และการเต้นรุนแรงเป็นคุณกับทักษิณ เป็นคุณกับคนที่สนับสนุนทักษิณ เพราะมันทำให้เห็นว่าทำไม
ต้องเต้นแรงขนาดนี้"

"การเต้นเป็นผลร้ายต่อระบอบไม่เอาทักษิณ เพราะเต้นแรงและเต้นเป็นขบวนการ มันก็จะปรากฏตัวในที่สว่าง ประชาชนจะเห็นว่าใครที่เต้นแรง และมันน่ากลัวตรงที่คนที่เต้นแรงไม่ใช่ม็อบ ไม่มีม็อบที่เต้นแรงนะ ไม่มีม็อบต้าน แต่เป็นคนซึ่งใช้ต้นทุนทางสังคมออกมาต้านทั้งนั้น และคนเหล่านี้จะอยู่ต่อไปอย่างไรในสังคมประชาธิปไตย คนเหล่านี้ก็อยู่ในเรื่องถูกผิดมาโดยตลอด และตัวเองก็ถวายฎีกามาเองด้วย"
พิชญ์ย้ำทิ้งท้ายว่า 6 เดือนที่ผ่านมาไม่ใช่แค่รัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบ แต่ระบอบไม่เอาทักษิณต้องรับผิดชอบร่วมกัน

"ปัญหาใหญ่ไม่ใช่รัฐบาล ปัญหาใหญ่คือระบอบไม่เอาทักษิณ ต้องใช้คำนี้ในทางการเมือง เพราะสมัยผมต่อต้านรัฐประหาร พวกคุณก็ด่าว่าผมเป็นพวกทักษิณ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนด่าทักษิณเป็นคนแรกๆ ฉะนั้นพวกคุณก็ต้องเจอคำถามนี้เหมือนกันว่าพวกคุณคือระบอบไม่เอาทักษิณ พวกคุณใช้วิธีนี้ในการสร้างอำนาจมาแต่แรก ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกับรัฐบาล จะมาด่ารัฐบาลโดยที่เอาตัวรอดไปวันๆ ไม่ได้ พวกคุณด่าว่าพวกผมเป็นสองไม่เอา แล้วจะโยนบาปให้คุณอภิสิทธิ์ทุกๆ เรื่องได้ยังไง ไม่ได้ ระบอบนี้ต้องรับผิดชอบทั้งระบอบ ใน 6 เดือนที่ผ่านมาสื่อได้ทำหน้าที่เปิดโปงคุณทักษิณมากขึ้นหรือเปล่า ก็ไม่ได้ทำอะไร สื่อไม่ได้ทำอะไรที่เป็นระบบเพียงพอที่จะเป็นข้อมูลทำให้คนไม่เอาทักษิณมากขึ้น ทำให้ศาลมีคนโอบล้อมมากขึ้น ไม่มี ไม่ทำ เมื่อทำได้แค่นี้ก็ต้องเจออย่างนี้ แล้วก็โยนขี้ให้อภิสิทธิ์”

เผยแพร่ครั้งแรกในไทยโพสต์ แทบลอยด์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2552

กลิ่นโชยใกล้เข้ามา

ที่มา ไทยรัฐ
หาที่อุ่นใจยากจริงๆยามนี้ ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีคิวบินลงพื้นที่ปักษ์ใต้ ที่จังหวัดสงขลานับเป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 6 เดือนแต่ก็เป็นอะไรที่ไม่วายต้องคอยระแวงหลังตลอดเวลา

ขนาดในโซนที่น่าจะปลอดภัยสุดในอาณาจักรภาคใต้ของยี่ห้อประชาธิปัตย์ ยังมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ในพื้นที่จังหวัดสงขลา สนธิกำลังอารักขาวีไอพีกันทุกฝีก้าวเพราะได้รับรายงานว่า จะมีเครือข่ายคนเสื้อแดงในจังหวัดสงขลา พัทลุง สตูล และตรัง เตรียมเดินทางไปกดดันนายกรัฐมนตรีฝ่ายตรงข้ามก็ไล่จิกติด

ฝ่ายเดียวกันก็ไว้ใจไม่ได้ภายใต้เงื่อนไขที่ยังไม่พ้นบรรยากาศของเกม "ลับ ลวง พราง ล่อกันเอง"แม้จะผ่านห้วงนาทีวัดใจ และก็เป็นนายกฯอภิสิทธิ์ที่เป็นคนพูดเองเออเอง ยืนยัน "บิ๊กป๊อด" พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ได้เสนอวิธีเคลียร์หน้าเสื่อ ด้วยการขอลาพักยาวเดินทางไปต่างประเทศ

และแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการยกยอดบัญชีโยกย้ายนายตำรวจไปให้ ผบ.ตร.คนใหม่ที่จะรับหน้าที่ในเดือนตุลาคมเป็นคนดำเนินการเปิดทางให้เคลียร์ "ตอ" คดีลอบสังหาร "เดอะลิ้ม" นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำใหญ่ ม็อบพันธมิตรฯโดยไม่ต้องปลดเก้าอี้ ผบ.ตร.ออกลูกเจ๊ากันไปในอารมณ์ที่นายกฯอภิสิทธิ์อมยิ้มกริ่มกับเหลี่ยมเหนือชั้น

แก้เกมได้แบบเนียนๆขณะที่ม็อบพันธมิตรฯก็ยังหงุดหงิด "อภิสิทธิ์" เล่นบท "กั๊ก" ไม่กล้าล้มโต๊ะ ผบ.ตร.เพราะแหยง "พี่ใหญ่" อย่าง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และขุมกำลังสีเขียวบวกน้ำเงินแต่ที่ฉุนกึกยิ่งกว่า โดยอาการที่เจ้าตัว พล.ต.อ.พัชรวาท รีบออกมายืนยัน ไม่ได้ลาพักยาวอย่างที่นายกฯอภิสิทธิ์ออกมา "มัดมือชก"และเบื้องหลังว่ากันว่า "บิ๊กป้อม" ก็ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ กับมุกที่

นายกฯอภิสิทธิ์และทีมกุนซือใกล้ชิด ล็อกโปรแกรมให้ พล.ต.อ.พัชรวาทลาพักยาว ตั้งให้คนอื่นมารักษาราชการแทน ในอารมณ์ของคนที่อยู่ในขุมข่ายอำนาจรู้ทันมุกนี้คือการ "ปลดเงียบ"เอาเป็นว่า โดยปมลับ ลวง พราง ล่อกันเองก็คาราคาซัง กัดกร่อนรัฐบาลให้อยู่ในภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง แถมยังมาเจอโรคทุจริตแทรกซ้อน นอกจากคิว "ชุมชนพอเพียง" ที่เพี้ยนเป็น "ชุมชนแพงเพียบ" ท้าทายมาตรฐาน "มิสเตอร์คลีน" ของนายกฯอภิสิทธิ์ล่าสุดยังมีคิว "รื้อวอลเปเปอร์"กับกระแสข่าววีรกรรมของบุคคลแวดล้อมของนายกฯอภิสิทธิ์ ที่เล่นบท "ไอ้หนุ่มรถไถ" อาละวาดในหมู่นักธุรกิจจนเป็นที่เลื่องลือ

แถมยังมีโพยแนบนามบัตรที่ถูกฝ่ายของตำรวจใหญ่ "กั๊ก" ไว้แฉบัญชีหางว่าวฝากโยกย้ายนายตำรวจว่ากันว่า ถ้าโชว์ของออกมาได้เห็นธาตุแท้คนรุ่นใหม่แน่และมาถึงตรงนี้ ด้วยสภาพที่รัฐบาลภูมิคุ้มกันบกพร่องจากคิวลับ ลวง พราง ล่อกันเอง ยังมาเจอโรคทุจริตแทรกซ้อน

ทั้งรายการชักหัวคิวโครงการชุมชนพอเพียง และกำลังจะมีรายการ "รื้อวอลเปเปอร์"รัฐบาล "อภิสิทธิ์ชน" นับวันจะยิ่งเดินเข้าสู่หนทางตีบตันมันก็ไม่น่าจะพูดเพ้อเจ้อลอยๆกับปมที่ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ออกมาตีฆ้องร้องป่าว ทราบว่ามีความเคลื่อนไหวในกองทัพที่จะปฏิวัติเงียบโดยไม่ต้องใช้กำลัง แต่จะเรียกฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ มานั่งแถลงชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์ว่า

วันนี้บ้านเมืองเดินต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่และได้มีการวางตัวนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯและ รมว.คลัง ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ไว้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีปัญหาเรื่องการล้างโทษเว้นวรรคที่จะหมดไปกับการใช้ อำนาจปฏิวัติเงียบรับมุกกับนายวีระ สมความคิด แนวร่วมคนสำคัญของม็อบพันธมิตรฯ ก็ฟันธง สาเหตุที่ "บิ๊กป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. บอกว่า ไม่มีความเห็น

เรื่องกลุ่มคนเสื้อแดงล่ารายชื่อถวายฎีกาช่วยอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ก็คงเพราะต้องการปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงลุยเต็มที่แล้วทหารจะใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิวัติโดยอ้างว่าปกป้องสถาบัน แต่ความจริงพวกนี้ตั้งใจปราบทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลืองพร้อมไปกับการสถาปนาอำนาจใหม่ตบท้ายที่ "บิ๊กตุ้ย" พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ญาติผู้พี่ของอดีตนายกฯทักษิณ ออกมาคาดการณ์เชิงส่งสัญญาณกันในที เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแล้ว ก็อาจมีการใช้กำลังสู้กัน วิเคราะห์แล้วน่าจะเกิดประมาณเดือนตุลาคมนี้มันมีกลิ่นแรงๆโชยใกล้เข้าเป็นระยะ.

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยอมจำนนหรือจะสู้ต่อ..หนทางเลือกสุดทายที่อมาตย์จำเป็นต้องเลือก



โดย คุณ poonnook
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
2 สิงหาคม 2552

เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนสิ้นสุดสงครามอเมริกาได้ยื่นคำขาดให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ จะยอมจำนน หรือจะต่อสู้ต่อไป ไม่มีหนทางอื่นให้เลือกได้ แม้ว่ารัฐบาลทหารของญีุ่ปุ่นจะรู้ว่าตนเองถูกรุกไล่ และพ่ายแ้พ้ในทุกสมรภูมิ แต่ก็ยังรักเกียรติของตนเองมากกว่ารักประชาชน จึงปฏิเสธข้อเสนอนั้น และขอสู้ต่อโดยหวังว่า “สงครามครั้งสุดท้าย” คือการยกพลขึ้นบก เข้ายึดครองประเทศญี่ปุ่น

ของอเมริกา จะเป็นสงครามชี้ชะตากันว่า ใครจะแพ้ใครจะชนะแต่หลังจากที่อเมริกายกพลขึ้นบกครั้งสุดท้ายที่โอกินาวาแล้ว อเมริกาก็เลือกใช้ยุทธวิธี ที่ไม่ต้องเสี่ยงกับชีวิตทหารอีก ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า นั่นคือใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ 2 เมือง พร้อมทั้งชีวิตชาวญี่ปุ่นนับแสนคน ต้องสังเวยไปเพราะการตัดสินใจของคนเพียงกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวเท่านั้นยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ ที่ท่านนายกฯทักษิณ

และกลุ่มคนผู้รักประชาธิปไตย ที่กำลังดำเนินการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์อยู่ในขณะนี้ เริ่มส่งผลให้เห็นเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้ วิสัยทัศน์ ความคิด และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเผด็จการอมาตย์ อย่างเทียบกันไม่ติด โลกจึงเริ่มแคบลงสำหรับเผด็จการอมาตย์ ที่ครอบครองประเทศนี้อยู่ในขณะนี้ทุึกสมรภูมิในโลกนี้ เผด็จการอมาตย์เริ่มพ่ายแพ้ และลามเข้ามาถึงในบ้านของตนเองแล้วในขณะนี้การที่

รัฐบาลนี้ เป็นศัตรูกับประเทศรอบบ้าน, การเป็นรัฐบาลที่ไม่มีจุดยืนในทางการเมืองระหว่างประเทศ, การเป็นรัฐบาลที่ต่อท่ออำนาจ มาจากการรัฐประหาร, และเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แม้แต่ ABAC โพล ที่เคยเป็นโพลสำรวจที่เข้าข้างเผด็จการอมาตย์ตลอดมา แบบสำรวจที่ำทำออกมา ยัีงแสดงให้เห็นว่า ท่านนายกฯทักษิณ ที่มิได้อยู่ในประเทศไทย และถุกกล่าวหาตลอดมาว่า เป็น น.ช.ทักษิณ

ได้รับความนิยมมากกว่านายกอภิสิทธิ์ ที่เป็นนายกคนปัจจุบันของประเทศนี้เสียด้วยซ้ำสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกสมรภูมิรอบ ๆ ตัวของเผด็จการอมาตย์ที่เคยครองอำนาจอยู่เริ่มหมดอำนาจลง และเิริ่มเสื่อมความนิยมลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว รอเพียงวันพ่ายแพ้เท่านั้น ซึ่งจะมาถึงแน่ ๆ เพียงแต่ว่า จะถึงเมื่อไรเท่านั้นหมุดตัวสำคัญที่เหมือนกับการยื่นคำขาดกลาย ๆ จากประชาชนผู้รักประชาธิปไตย

มายังกลุ่มเผด็จการอมาตย์ก็คือ ประชาชนไทยทั่วทั้งประเทศนับแสนคน ร่วมกันจัดงานทำบุญวันเกิดครบรอบ 60 ปี ให้กับท่านนายกฯทักษิณโดยมิได้นัดหมายโดยรอบประเทศไทยถึง 61 จังหวัดและมีเสียงเรียกร้องกระหึ่มไปทั่วทั้งประเทศ โดยผ่านทางการถวายฎีกานับล้านรายชื่อว่า “ขอให้ท่านนายกฯทักษิณ ได้รับการอภัยโทษ และกลับมาสู่ประเทศไทย”นี่คือสัญญาณที่บอกออกมาแล้วว่า เผด็จการอมาตย์ ท่านกำลังสู้อยู่กับคู่่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด

เท่าที่ชั่วชิวิตนี้ท่านเคยพบมานั่นคือ “ประชาชนทั้งชาติ”ทางเลือกเวลานี้ของเผด็จการอมาตย์ มีหนทางให้เลือกเดินเพียงสองเส้นทางเท่านั้นคือ

1.ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก โดยยอมเปลี่ยนระบอบการปกครอง มาเป็นประชาธิปไตย โดยถอยตัวเองและพวกพ้อง ออกไปจากศูนย์อำนาจ ปล่อยให้ประชาชนในประเทศนี้ ตัดสินใจเลือกทางเดินของเขาเองตามวิถีทางประชาธิปไตย ผลก็คือ จะเกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสงบสุข และเผด็จการอมาตย์ก็ยังคงได้รับการยอมรับ เคารพนับถือ และรักษาสถานภาพจากประชาชนในชาติได้ต่อไป หรือ

2. ปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ยังคงใช้อำนาจที่เหลืออยู่ กดขี่คนในชาติต่อไป อาจจะโดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจอีกครั้ง แบบเบ็ดเสร็จ หรือการใช้อำนาจอิทธิพลที่มีอยู่ จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติก็ตามที ผลที่จะเกิดตามมาก็คือการนองเลือด การฆ่าฟันทำลายล้างกันของคนในชาติอย่างรุนแรง และสุดท้าย สถานภาพของเผด็จการอมาตย์ ก็จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด แม้ว่าประชาชนจะเป็นฝ่ายสูญเสียอย่ีางมากก็ตาม...ผมเชื่อว่า

ด้วยความเป็นคนไทย เป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทยเหมือนกัน มีเชื้อสายเดียวกัน เผ่าพันธุ์เดียวกัน สิ่งนี้เป็นเหมือนสายโซ่ที่มองไม่เห็น ที่ผูกพันความเป็นชาติไทย และคนเชื้อชาติไทยเอาไว้ด้วยกันผมมองด้วยมุมมองที่ดีว่า ในที่สุดแล้ว เผด็จการอมาตย์จะมีจิตใจที่มีความเป็นคนไทย รักประชาชนในประเทศ มากกว่าความยิ่งใหญ่ หรืออำนาจของตนเอง

โดยยอมปล่อยอำนาจที่อยู่ในมือให้ประชาชนเสีย โดยไม่ต้องมีใครเสียเลือดเนื้ออีกต่อไป....แต่ถ้าการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ทหารเกิดขับรถถังออกมา แล้วประกาศยึดอำนาจในประเทศนี้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ครั้งนี้คงจะไม่ง่ายดายเหมือนเมื่อครั้ง 19 กันยาน 2549 อีกแล้วขณะนี้กลุ่มขั้วอำนาจในประเทศนี้ ก็แบ่งขั้วกันชัดเจน กระแสข่าวการปลด พล.ต.อ. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นชัด ถึงความขัดแย้งกันระหว่างขั้วอำนาจเดิม ที่มีอามาตย์สี่เสาเป็นแกนหลัก

กลับกลุ่มขั้วอำนาจใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น โดยมีอำนาจรัฐและกองทัพเป็นฐานกำลังนี่คือความแตกร้าวของฐานอำนาจที่เคยทรงพลัง ของเผด็จการอมาตย์ในคราวที่รวมพลังกันล้มล้างรัฐบาลของท่านนายกฯทักษิณ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ....

ความขัดแย้งอย่างหนัก ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาล ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ที่ส่งผลกระทบกับประชาชนในวงกว้าง, ความล้มเหลวในการป้องกันไข้หวัด 2009 ที่ทำให้ประเทศไทย กลายเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตติดอันดับโลก, แรงกดดันของประชาชน จากกลุ่มประชาชนผู้รักประชาธิปไตย

ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขารวมตัวกันมากยิ่งขึ้น และแสดงให้เห็นมากขึ้นทุกทีว่าไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ อีกต่อไป....การรวบรวมรายชื่อถวายฎีกา ที่มีคนมาร่วมลงชื่อมากกว่า 5 ล้านชื่อนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ พร้อมแล้ว ที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจอันไม่เป็นธรรม

ที่ครอบคลุมประเทศนี้อยู่สงครามประชาชนอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ ถ้าเผด็จการอมาตย์เกิดหน้ามืด ใช้กองทัพเข้ายึดอำนาจเพื่อปิดประเทศเวลานี้เส้นแบ่งระหว่างความสงบในชาติ กับการที่ประเทศชาติจะลุกเป็นไฟด้วยสงครามประชาชนนั้น มีเส้นแบ่งที่บางมาก ทุกอย่างอยู่ที่ความต้องการของเผด็จการอมาตย์ว่า “ต้องการให้ประเทศนี้จะมีสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างไร”และแน่นอนว่า ผลที่เกิดจากเลือกของพวกเขานี้ จะส่งผลที่จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ฏีกาจะถึงหรือโดนตัดตอนไม่สำคัญ ที่สำคัญคนไม่ต่ำกว่า 5.4 ล้านคน ส่งเสียงออกมาแล้ว



โดย คุณ ลูกชาวนาไทย
ที่มา เวบไซต์ thaifreenews
1 สิงหาคม 2552

เมื่อเห็นภาพการเข้าร่วมชุมนุม เพื่อปิดรับฎีกาของคนเสื้อแดงที่สนามหลวงเมื่อคืนนี้ ที่มีคนประมาณไว้ว่า มีคนเข้าร่วมชุมนุม 80,000-100,000 คน หรืออาจกว่านั้น จากคนเข้าไปร่วมการชุมนุมครั้งนี้ประมาณการเมื่อคืนมีแฟนคลับบทความของผม ที่อ่านจากในไทยฟรีนิวส์ และประชาไท และเคยถ่ายเอกสารบทความแจกไปตามชาวบ้านสี่ห้าร้อยชุดก็มี พี่คนนี้โทรเข้ามาหาผม

โดยผ่านทางคุณแป๊ก เขาบอกว่า เขาและพรรคพวก มาจากอุบลราชธานี โดยเช่ารถบัสมาสองคัน 100 กว่าคน ต้องเรี่ยไรเงินออกกันเอง รวมทั้งเรี่ยไรเงินสนับสนุนจากคนเสื้อแดง และแกนนำในจังหวัดอุบลฯ หมดเงินค่าจ้างรถบัสไปกว่า 80,000 บาท โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก สส.ในจังหวัดอุบลฯ เท่าไหร่นักเครือข่ายของพี่คนนี้สามารถล่ารายชื่อได้กว่า 20,000 ชื่อ ไม่รวมเครือข่ายคนเสื้อแดงในจังหวัดอุบลฯอื่นๆ ที่น่าจะรวมกันได้มากกว่าแสนรายชื่อนี่คือตัวอย่างเชิงลึก

ให้เห็นองค์ประกอบว่า คนเสื้อแดงมาจากที่ใดบ้าง มีความเป็นมาอย่างไรสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนี้ของเหตุการณ์ การล่ารายชื่อถวายฎีกาคือ ประชาชนรากหญ้า และคนชั้นกลางก้าวหน้าในเมือง ไม่ต่ำกว่า 5.4 ล้านคน ได้ส่งเสียงของพวกเขาออกมาแล้ว อย่างดังและหนักแน่นครับใครจะสนใจ จะแคร์หรือไม่แคร์ ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป

คนเสื้อแดงที่ลงนามในฎีกาเหล่านี้ เป็นเสียงที่มีสติ และผ่านกระบวนการใคร่ครวญ ไตร่ตรองของพวกเขาออกมาแล้ว ก่อนลงนาม เพราะพวกเขาลงนามท่ามกลางการชี้แจง ต่อต้านจากเครือข่ายนักวิชาการอำมาตย์ องคมนตรี ภาครัฐ รวมทั้งสื่อต่างๆมีการต่อต้านจากอำนาจรัฐศักดินาเดิม คือ กระทรวงมหาดไทยที่สั่งการลงไปโดยตรง ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ผู้ว่าฯ ต่อต้านการล่ารายชื่อลงนามครั้งนี้

แต่ก็มีคนลงนามถึงกว่า 5 ล้านคนในเวลาเพียงเดือนเดียวนัยยะทางการเมืองครั้งนี้ หากอำมาตยาธิปไตยทั้งหลาย ฟังพวกเขา สงครามการเมืองก็สงบ ประเทศไทยก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้หากไม่ฟังพวกเขา ก็คงรบกันต่อไปจนถึงจุดสุดท้าย ความขัดแย้งทางการเมืองจะยังไม่จบ และการต่อสู้กันทางการเมือง จะเข้มข้นขึ้น และผมไม่เชื่อว่า คน 5.4 ล้านคน

จะสามารถโดนปราบได้หมด หรือแพ้ หรือถอดใจ กลายเป็นพวกสีเหลือง ยอมก้มหัวกราบกรานพวก "ศักดินาอำมาตย์" อีกต่อไปนี่คือ "สาระสำคัญ" ให้โอกาสอำมาตย์และสังคมทั้งหลาย ยุติสงครามกลางเมืองผมวิเคราะห์ได้อย่างนั้นครับ จะหาว่าขู่หรือไม่ขู่ มันไม่มีความหมายอะไร ที่จะต้องโวยวาย เพราะนัยยะทางการเมืองมันเป็นเช่นนั้น จะแปรเป็นอย่างอื่น ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่กำลังคนขนาดนี้ ย่อมไม่ไร้น้ำยา

ผมวิเคราะห์ได้อีกอย่างว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในการล่ารายชื่อ ฎีกาครั้งนี้ อย่างน่าตระหนกสำหรับ "ศักดินาอำมาตย์" แต่น่าดีใจสำหรับคนเสื้อแดงคือ"เครือข่ายของคนเสื้อแดงใหญ่โตและมีประสิทธิภาพสูง" โยงใยครอบคลุมสังคม และเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบ การเกิดขึ้นของเครือข่ายนี้ มาจากการต่อสู้ทางการเมืองอันยาวนานไม่ต่ำกว่าสามปี ซึ่งได้พัฒนาแกนนำ โครงสร้าง

ช่องทางการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการขึ้นไม่มีอำนาจใดของระบบราชการ หรือ กอ.รมน.จะสามารถเจาะทะลวง หรือทะลายเครือข่ายอันมหึมานี้ได้ มันใหญ่โตและมีประสิทธิภาพสูง เกินกำลังคนของระบบราชการ และที่สำคัญ "เป็นอิสระจากสื่อกระแสหลัก" อย่างสิ้นเชิงนี่คือ เครือข่าย และช่องทางสื่อสารอิสระ เป็นเอกเทศ

ปลอดจากการควบคุมหรือแทรกแซงจากอำนาจรัฐใด ๆ ทั้งสิ้นรัฐไม่มีช่องทางใดเข้าไปสอดแทรกเครือข่ายการสื่อสารของคนเสื้อแดงที่เกิดขึ้นแล้วนี้ได้ผมคาดว่าเครือข่ายเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการชุมนุมหลายสิบครั้งของคนเสื้อแดง ทั้งในภูมิภาค กทม.และที่อื่นๆ บวกอินเตอร์เน็ต และเครื่องมืออื่นๆ เช่น มือถือ อีเมล์ เว็บไซต์ อีเอ็มเอส เป็นต้น พวกเขาผ่านการเจ็บปวด โดนไล่ฆ่าด้วยอาวุธสงคราม

โดนกระทำโดยอำนาจรัฐ ผ่านสงคราม เป็นสหายศึกกันมาอย่างยาวนาน จึงเกิดการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การติดต่อกันขึ้นผมถือว่า "กองทัพคนเสื้อแดงพร้อมแล้ว" มีแม่ทัพนายกอง หัวหน้าหมู่ พลทหารที่สมบูรณ์แล้ว ระบบบังคับบัญชา เป็นแบบเครือข่าย ไม่มีนาย

ไม่มีจุดวิกฤติให้ตัดตอนได้ที่สำคัญ พวกเราพร้อมทางด้านอุดมการณ์ และจิตสำนึกของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วหากอำมาตย์จะรบต่อ ก็เชิญครับ คนเสื้อแดงพร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้งด้านกำลังคน การสื่อสาร ทรัพยากร และสื่อของคนเสื้อแดงเองด้วยเราพร้อมแล้วกับสงครามในยกต่อไป แม้จะเป็นสงครามยืดเยื้อและยาวนานก็ตาม พวกเราไม่แพ้อย่างแน่นอนแต่พวกท่านหากแพ้ครั้งเดียวก็ม้วนเสื่อกลับบ้านเก่าไปได้เลย

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มาร์คหน้าแหก"พัชรวาท"สวนไม่ได้ลาพัก-ไปจีน 10 วัน กลับลุยงานต่อ

Posted on กรกฎาคม 31, 2009
คมชัดลึก: “ผบ.ตร.” ยังยิ้มร่า สวน “อภิสิทธิ์” ไม่ได้ทำหนังสือลาพักร้อนยาว แจงเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่จีนตามวงรอบแค่ 10 วัน ยันไม่ขอลาต่อ ติงนายกฯระวังระงับโผนายพลตำรวจตามโครงสร้างใหม่เจอฟ้องกลับแน่ ยันยังสบายดีอยู่ แฉคนใกล้ชิดนายกฯ เต้นหลังมีเอี่ยวแทรกแซงโผตำรวจ ขอเอกสารคืนวุ่น
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่านมกลางความวุ่นวายและความไม่ชัดเจนในเสถียรภาพของตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตลอดทั้งวัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ไม่ได้เข้ามาปฏิบัติราชการภายใน ตร. กระทั่งเวลา 17.20น.จึงเข้ามายังห้องสำนักงาน ชั้น 7 อาคาร 1 ตร. โดยมีคำสั่งห้ามผู้สื่อข่าวขึ้นไปยังสำนักงาน

กระทั่งเวลา 20.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ออกจากสำนักงาน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทักทายหยอกล้อผู้สื่อข่าว โดยไม่แสดงสีหน้าวิตกกังวลแต่อย่างใด และให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องการลาพักงานไม่มีอยู่แล้ว เรื่องที่นายกรัฐมนตรีออกมาพูดตนไม่ได้ฟัง และไม่ได้ทำหนังสือเสนอทางออกอะไรขึ้นไป เป็นเพียงการหารือกัน และไม่มีการยื่นหนังสือเพื่อขอลาพักไปต่างประเทศแต่อย่างใด แต่มีทริปต้องเดินทางไปราชการที่ประเทศจีน ในฐานะผบ.ตร.ตามการแลกเปลี่ยน เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยปีหนึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องไปประเทศจีน 3 ครั้ง ปกติครั้งละประมาณ 10 วัน ซึ่งผบ.ตร.ต้องไป 1 ครั้ง ครั้งนี้ก็เป็นจังหวะที่ต้องไปพอดี ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าไปเมื่อไหร่อย่างไร ปกติก็ไป 10 วันแต่ก็ไม่ได้จะลาต่อ ตอนนี้ก็ยังปฏิบัติราชการปกติวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม ก็ยังจะมาปฏิบัติราชการปกติ

เมื่อถามว่าช่วงที่ไปราชการที่ประเทศจีนจะให้ใครปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร.กล่าวว่า ตรงนี้ดูตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 72 วรรคแรก ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อถามถึงที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าระงับการแต่งตั้งโยกย้ายทั้งหมดผบ.ตร.กล่าวว่า ตอนนี้ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ก็เหลือเพียงการประกาศในราชกิจจา ตามกำหนดการเดิมวางไว้ว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้มีผลในวันนี้ 16 สิงหาคม แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องดูอีกครั้ง

“แต่ปัญหามีที่การแต่งตั้งนายพล 152 ตำแหน่งนั้นผ่านการพิจารณาของ ก.ตร.ไปแล้ว ซึ่งถ้ามีการปรับเปลี่ยนผู้ที่มีชื่อในการแต่งตั้งแล้วอาจมีปัญหา กลับฟ้องร้องกันได้ ตรงนี้ก็ต้องดูให้ดี” ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามถึงระดับรองผบก.ลงมา จะต้องระงับการแต่งตั้งตามที่นายกรัฐมนตรีระบุหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังที่นายกรัฐมนตรีพูด แต่ไม่รู้ว่าเป็นการเข้าใจผิดกันอย่างไรหรือเปล่า ก็ต้องดูไปตามกฎหมาย
เมื่อถามว่าการทำแบบนี้การเมืองล้วงลูกเรื่องการแต่งตั้งหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังที่นายกรัฐมนตรีพูด อย่างไรก็ตาม ตนสบายอยู่แล้ว ก็ทำงานต่อไป เรื่องการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของตนที่เป็นกระแสในช่วงนี้ก็เป็นแค่ข่าว ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าการพูดของนายกรัฐมนตรีที่บอกว่าผบ.ตร.ไม่อยู่ คดีนายสนธิจะคืบหน้าฟังดูเหมือนผบ.ตร.เป็นอุปสรรคในคดีนายสนธิ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนไปทำอะไรในคดีนี้ เป็นอุปสรรคตรงไหน คิดกันไปเองตีความกันไปเอง ผมไม่ได้ได้ทำอะไร

เมื่อถามว่าการเมืองกดดันหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่มีอะไรกดดัน ก็เป็นเพียงข่าว
ขณะที่มีรายงานข่าวแจ้งว่า กระแสกดดันการปลด ผบ.ตร.นั้นเกิดจากกลุ่มนักการเมืองที่เป็นคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี พยายามแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ เนื่องจากการแต่งตั้งระดับนายพลครั้งที่ผ่านมา รายชื่อตำรวจที่คนใกล้ชิดดังกล่าวเสนอขึ้นมาไม่ได้รับการพิจารณามากนัก จนสร้างความไม่พอใจและสร้างกระแสข่าวกดดันให้นายกรัฐมนตรีปลดผบ.ตร.พ้นตำแหน่ง โดยหยิบโยงเอาคดีของนายสนธิมาผูกเป็นประเด็นเพื่อสร้างความสับสนให้สังคมและหาความชอบธรรมเป็นข้ออ้างในการปลด

ทั้งนี้รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้คนใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าว เริ่มแสดงความวิตกกังวลและพยายามขอเอกสารบางอย่างที่ระบุถึงการวิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ คืนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากการแทรกแซงการแต่งตั้งนั้นผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ที่ระบุว่า 266 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้ฯ ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ อาจทำให้บุคคลผู้นั้นมีความผิดได้

ทั้งนี้สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจทั่วประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ นั้นมีวาระสำคัญคือการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บังคับการ(รองผบก.) จนถึง ผู้บังคับหมู่ ตามการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ ตร. รวมกว่า105,000 ตำแหน่ง ขณะที่การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพล ในตำแหน่งผู้บัญชาการถึง ผู้บังคับการ 152 ตำแหน่ง ซึ่งผ่านการอนุมัติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร)แล้ว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

สำหรับกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า พล.ต.อ.พัชรวาทมีภารกิจต้องไปต่างประเทศและจะถือลาราชการต่อเนื่องเพื่อเปิดโอกาสให้การทำคดีลอบยิงนายสนธิ สำเร็จโดยสะดวก นั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงเวลาดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจ ที่ผบ.ตร.จะต้องเดินทางไปเยเยี่ยมคาวระ ผบ.ตร. จีน เพื่อสานสัมพันธ์อันดีระหว่างตำรวจไทยจีน นอกจากนี้มีรายงานว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะถือโอกาสนี้ ไปเยือนตำรวจในกลุ่มประเทศอาเซียน

ทั้งนี้กรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ เนื่องจากไปราชการต่างประเทศ ตาม พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ มีข้อกฎหมายว่าด้วย การรักษาราชการแทนและการปฏิบัติราชการแทน ดังนี้มาตรา 72 ในกรณีที่ตำแหน่งข้าราชการตำรวจในส่วนราชการหรือหน่วยงานใดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่างลง หรือผู้ดำรงตำแหน่งใดไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้บังคับบัญชาดังต่อไปนี้สั่งให้ข้าราชการตำรวจซึ่งเห็นสมควรรักษาราชการแทนในตำแหน่งนั้นได้ (1) นายกรัฐมนตรี สำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (2) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำหรับตำแหน่งตั้งแต่จเรตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือตำแหน่งเทียบเท่าลงมา (3) ผู้บัญชาการหรือตำแหน่งเทียบเท่า สำหรับตำแหน่งตั้งแต่ผู้บังคับการ พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ หรือตำแหน่งเทียบเท่าลงมาในส่วนราชการนั้น (4) ผู้บังคับการ หรือตำแหน่งเทียบเท่า สำหรับตำแหน่งตั้งแต่ผู้กำกับการ พนักงานสอบสวน ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือตำแหน่งเทียบเท่าลงมาในส่วนราชการนั้น

อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไม่มีการแต่งตั้งให้ข้าราชการตำรวจผู้ใดรักษาราชการแทนและมีผู้ดำรง ตำแหน่งรองของตำแหน่งนั้น ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีผู้ดำรง ตำแหน่งรองหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และมีผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยของตำแหน่งดังกล่าวให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเป็นผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่งนั้น ถ้ามีผู้ดำรงตำแหน่งรองหรือผู้ช่วยหลายคน ให้ผู้มีอาวุโสตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. เป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีทั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองหรือผู้ช่วย หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ก็ให้ข้าราชการตำรวจชั้น สัญญาบัตรผู้มีอาวุโสตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. ในส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้นเป็นผู้รักษาราชการแทน

ระวังรัฐประหารล้มฎีกา เสื้อแดงเตรียมลุกฮือต้าน



ที่มา ประชาไทบอร์ด
1 สิงหาคม 2552

หลังประชาชนเข้าชื่อฎีกาท่วมท้นมากเกินกว่า5ล้านรายชื่อ ฝ่ายอำมาตย์มารยังไม่ยอมรับมหาประชามติ ลือกระหึ่มเตรียมก่อรัฐประหารอ้างสูตรเดิมปกป้องราชบัลลังก์ จับตาต้นเดือนสิงหาคมสร้างสถานการณ์หวังกวาดล้างปราบปรามเสื้อแดง

เพื่อไม่ให้ฎีกาถึงพระหัตถ์ในหลวง จตุพรลั่นหากเกิดรัฐประหารเสื้อแดงลุกฮือขึ้นต้านทั่วประเทศนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคนเสื้อแดงกล่าวว่า หลังจากการรวบรวมรายชื่อประชาชนได้เกินกว่า 5 ล้านรายชื่อและถวายฎีกาไปแล้ว ทางเสื้อแดงจะยุติการพูดถึงเรื่องฎีกานี้ไปตลอด และให้เป็นเรื่องพระบรมราชวินิจฉัย โดยเสื้อแดงจะหันไปยกระดับการชุมนุมจากเดิมเรียกร้องยุบสภา เป็นการขับไล่รัฐบาลอย่างไรก็ตามนายจตุพรกล่าวบนเวทีปราศรัยว่า

พอประชาชนมีการลงชื่อถวายฎีกาท่วมท้นก็มีความพยายามขัดขวางกันทุกวิถีทาง แม้กระทั่งวิถีทางอย่างการทำรัฐประหารยึดอำนาจ ตอนนี้ก็มีกระแสข่าวลือกัน อย่างไรก็ตามเสื้อแดงรังเกียจรัฐประหาร แม้จะเป็นการยึดอำนาจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ พวกเราก็พร้อมออกมาต่อต้านกันทั้งประเทศ"หากอภิสิทธิ์มันจะออกไปก็ด้วยตีนตบของพวกเรา ไม่ใช่การรัฐประหารยึดอำนาจ หากมีการยึดอำนาจเราจะต่อต้านเต็มที่แน่นอน"นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช.อีกรายกล่าวว่า หลังการยื่นฎีกาไปแล้วเชื่อว่า 7 วันนับจากนี้จะเป็นการต่อสู้ขับเคี่ยวที่แหลมคมมากทางความคิด

และต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดณ เวลา 24.00 น.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศว่า เมื่อนับถึงเวลา24.00น. ซึ่งยังนับไม่เสร็จ รวบรวมผู้ลงชื่อฎีกาได้แล้ว 5,411,928 รายชื่อ ชุมชนเวบบอร์ดประชาไท ได้หยิบยกเรื่องภายหลังคนเสื้อแดงผู้สนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้ลงชื่อกันท่วมท้นมากกว่า 5 ล้านรายชื่อ และกำลังจะยื่นถวายฎีกาว่า อาจมีการตัดตอนด้วยการทำรัฐประหารก่อน โดยที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์รู้เห็นโอนอ่อนให้กับการรัฐประหาร

เพื่อหวังปราบปรามคนเสื้อแดงให้ราบคาบผู้ใช้นามแฝง"น่ารัก"เขียนใน
กระทู้เรื่อง กลิ่นไม่ดีเท่าไร... เรื่องที่เราต้องคิดตาม อ้างว่า เมื่อวานหมาดๆ ผมได้เจอกับพี่ท่านหนึ่งที่เป็นผู้ที่ให้ข่าวกับผมมาตลอด และข่าวเขาไม่เคยพลาด ซึ่งผมก็นำมาบอกเล่าให้ฟังกันที่นี่หลายหน ได้กล่าวกับผมว่า เขาได้รับทราบการดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงอย่างหนึ่งของทหาร

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ด้วยปัจจัยรวมกันหลายอย่าง ซึ่งครั้งนี้นั้นจะเป็นการเข้ามาแก้ปัญหาของ “เขา” และ “พวกเขา” ทั้งสิ้น จากการที่มีการล่ารายชื่อถวายฎีกาของคนเสื้อแดงที่มีทีท่าว่าจะมีจำนวนมากกว่าที่เขาทั้งหลายได้ประเมิน(แม้แต่คนเสื้อแดงเอง) งานนี้จึงต้องหาทางจัดการอะไรสักอย่างในส่วนนี้ด้วย อีกทั้งโรคระบาดบางโรคที่ร้ายแรงยิ่งว่าหวัด 2009 กำลังระบาดไปในวงกว้าง และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และประเด็น
สุดท้ายนั้นก็คือรัฐบาลนี้บริหารประเทศย่ำแย่จนไม่อาจที่จะพลิกท้นสถานการณ์ให้กลับมาอยูในร่องในรอยได้

ปฏิทินเรื่องนี้ได้ถูกว่าไว้อย่างนี้ครับ คือ หลังจากที่มีการดำเนินการถวายฎีกา สถานการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้น (ช่วงนี้อยู่หลังจากสภาเปิดงบประมาณผ่านแล้ว..จำตรงนี้ไว้นะครับ) สถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นลักษณะการปราบปรามแบบเบาๆ คล้ายๆกับการที่ปราบปรามพันธมิตรหน้าสภา แต่งานนี้จะมีคนมารับจ้างบาดเจ็บรุนแรง แต่คิดว่าคงไม่พลาดจนตาย และเช้าวันต่อมา ภาพที่ติดอยู่ตามถนนหลายภาพ จะโดนทำลาย พ่นทับด้วยสีแดงเพื่อสร้างสถานการณ์อีกคำรบ เมื่อมีสิ่งนี้เกิดขึ้น

เรื่องราวเหตุผลที่จะทำให้กองกำลังที่จัดเตรียมไว้(จริงแล้วตั้งแต่เดือนเมษา) ก็จะออกมาทำการรัฐประหารด้วยสาเหตุข้างต้น โดยเบลมไปว่า รัฐบาลไม่สามารถดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ได้ และไม่สามารถพิทักษ์ ชาติ ราชบัลลังก์ได้ แต่งานนี้รัฐบาลนี้สมยอมเพราะว่า ไม่สามารถหาทางลงจากอำนาจได้เลย หากจะลาออกหรือโดนอภิปรายจนรัฐนาวานี้ล่ม ก็จะเสียหน้าอย่างย่อยยับ ดังนั้นวิธีนี้ก็จะเป็นการสร้างภาพผู้ถูกกระทำได้อย่างดี และยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีกด้วยเพราะโดนยึดอำนาจไปหมดแล้ว

อีกทั้งงบประมาณที่ผ่านสภามาหมาดๆ นั้นก็สามารถทำให้คณะยึดอำนาจเข้ามาใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และอย่างที่ทราบตอนนี้รัฐบาล(ปชป.) กินอิ่มแล้ว แต่ยังหาเรื่องไปขี้ไม่ได้เท่านั้นเอง และสิ่งหนึ่งที่เขาจะทำและต้องทำคือ การสลายแนวร่วมเสื้อแดงทั้งหมด ด้วยยุทธการกวาดล้าง จะด้วยวิธีใดนั้นอันนี้ยังไม่ได้ประเมิน เพราะที่ผ่านมานั้นเขาคิดว่าจับแกนนำแล้วจบ แต่งานนี้อาจจะต้องติดมากกว่าเดิม ถึงขั้นปิดประเทศ เพราะเขาไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ดีกว่านี้ ข่าวที่ออกไปทุกวันมันสร้างความสูญเสียให้เขาเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นการให้ข่าวโดยแหล่งข่าวที่ผมเชื่อถือ แต่พี่ท่านนี้ก็คิดอยู่ในทาง 50 /50 ในความน่าจะเป็น แต่หากพิจารณาองค์ประกอบต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แล้วเทียบกับเหตุการณ์ก่อน 19 กันยายน 2549 ครับ หากจำได้ ก็จะมีการออกมาพูดโดยคนโตๆ บางคน การออกมาเคลื่อนไหวโดยกลุ่มบางกลุ่มที่อ้างว่าต่อต้านการกระทำที่ละเมิดต่อราชบัลลังก์ (ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนตัวละครเท่านั้น แต่บทเดิม)ทุกอย่างนี้จะเกิดขั้นหลังการพิจารณางบประมาณผ่านไปแล้วทั้งสิ้นเรื่องราวข้างต้น อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเลย หากเราเตรียมพร้อมบางอย่างไว้ ผมต้องบอกว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ผมเขียนเลยก็ได้ หรืออาจจะหนักกว่าที่ผมเขียนไว้ก็ได้ ทุกอย่างมันเป็นไปได้ทั้งนั้นในสารขัณฑ์แลนด์ ดินแดนอ๊อฟสตูปิทงานนี้เขาออกมายิงนัดเดียวได้ 3 อย่าง
1. แก้โรคระบาด
2. กวาดล้างเสื้อแดง
3. หาทางออกให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเชื่อผมครับ แต่อยากให้อ่านและวิเคราะห์กัน ผมคงไม่วิเคราะห์อะไร ได้ข่าวอย่างไรก็เอามาบอกอย่างนั้น จะจริงหรือไม่จริงให้มองให้ละเอียด เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มาน้อยแค่ไหน พี่น้องพิจารณาเอาครับ ขอเพียงให้มีสติ ครับ เขากำลังเพลี่ยงพล้ำ เราก็รอจังหวะเอาแล้วกันนะ พี่น้อง