--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

เศรษฐกิจไทย หลังสงกรานต์ หนักกว่า แฮมเบอร์เกอร์ ...........!!?


แม้ว่าทางรัฐบาลจะออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2 ของปีนี้ แต่ในความเป็นจริง ขณะนี้ชาวบ้านร้านรวงแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจซบเซาอย่างหนัก ส่วนจะถึงขั้นเกิดเป็นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เหมือนกับที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาให้ความเห็นหรือไม่นั้น ลองไปฟังความเห็นจากแวดวงนักวิชาการและนักธุรกิจดูว่า เศรษฐกิจไทยหลังเทศกาลสงกรานต์จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้แค่ไหน

นายนณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะยังอยู่ในช่วงซบเซา และยังไม่กลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก โอกาสจะกลับคืนมาได้น่าจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่า คือ ไตรมาสที่ 3-4 การฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะราคาสินค้าเกษตรยังตกต่ำและหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนส่งสัญญาณชะลอตัว ขณะที่การเบิกจ่ายภาครัฐ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 มีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำที่ใกล้เคียงกับเป้าหมาย แต่รายจ่ายเพื่อการลงทุนยังห่างเป้าพอสมควร จึงเป็นเครื่องจักรที่ยังเดินได้พอสมควร

สำหรับการส่งออก มีเพียงตลาดสหรัฐและตลาดอาเซียนโตสูงขึ้น แต่ตลาดอื่นๆ ยังคงซบเซา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปจีนหดตัวลงเยอะ จึงหวังอะไรกับภาคส่งออกในปีนี้ได้ไม่มากนัก ดังนั้น ปัจจัยบวกขณะนี้ที่เห็นได้ชัดคือภาคท่องเที่ยว น่าจะเป็นเครื่องจักรที่ทำงานได้ดีมากที่สุด รัฐบาลจึงควรจะศึกษาวิเคราะห์ จัดระเบียบ ให้เครื่องจักรด้านการท่องเที่ยวทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การบริหารจัดการภาครัฐในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ ควรจะพิจารณาในมิติด้านคุณภาพเป็นสำคัญ เน้นการใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ โครงการรายจ่ายเพื่อการลงทุน ควรเน้นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ มากกว่าเน้นการจ่ายเงินออกไปให้มากที่สุด

ส่วนการเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทย กับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐ คงเป็นได้ยาก เพราะว่ามีบริบทแตกต่างกัน วิกฤตไทยปัจจุบันมีปัญหามากกว่าปัญหาการส่งออก วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐในครั้งก่อนเป็นวิกฤตของสหรัฐแต่ส่งผลกระทบมาสู่ไทยทางอ้อมผ่านทางการส่งออก คือหัวใจหลักของวิกฤตครั้งนั้น แต่วิกฤตปัจจุบันมีปัญหามากกว่าแค่ปัญหาการส่งออก เพราะว่าวิกฤตคราวนี้ นอกจากจะมีปัญหาด้านการส่งออกแล้ว ยังมีปัญหาทางด้านอุปสงค์ภาคครัวเรือน คือ ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกต่ำ และหนี้สาธารณะสูงกว่าสมัยก่อนมาก

สมัยก่อนไทยยังมีอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์กำลังรุ่งเรือง แต่ปัจจุบันทั้งสองอุตสาหกรรมมีอัตราการเจริญเติบโตชะลอลง ทั้งสองส่วนจึงเป็นปัญหาที่ดูเศรษฐกิจไทยน่าจะมีปัญหามากกว่าเดิม

ด้านนักธุรกิจจากภาคเอกชนอย่าง นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานหอการค้าไทย และรองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยจะกลับมาในครึ่งปีหลัง หากรัฐบาลเร่งจัดการแก้ปัญหาในเรื่องของโครงสร้างสินค้าเกษตร และเร่งให้เกิดการลงทุนในประเทศ ปัจจุบันเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาสภาพตลาดในต่างประเทศไม่ดี ประกอบกับผลกระทบจากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในระดับสูง เป็นปัญหาสั่งสมเป็นระยะเวลานาน รวมถึงปัญหาด้านภาคการส่งออกชะลอตัวกระทบไปถึงการลงทุนต้องชะลอตามไปด้วย ระยะเวลานี้ก็ต้องช่วยกันประคองราคาสินค้าไม่ให้ขึ้นราคา คาดว่าราคาจะยังไม่ขึ้น เนื่องจากประชาชนยังไม่มีความต้องการซื้อสินค้ามากนัก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เพราะวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องของราคาสินค้าสูงลิบลิ่ว อเมริกามีเรื่องของราคาน้ำมัน ทั้งวิกฤตการเงินเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน มาเกี่ยวข้องด้วย ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐ ให้แย่ลง ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว ในขณะที่เศรษฐกิจไทยไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพียงแค่การส่งออกและการลงทุนชะลอตัว รัฐบาลจึงควรพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งปรับปรุงโครงสร้างสินค้าเกษตร และเร่งการลงทุนให้เห็นผล เกิดการจ้างงาน เพื่อพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง

นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การเมืองนิ่ง หากช่วงครึ่งปีหลังนี้ ภาครัฐสามารถผลักดันงบประมาณและเดินหน้าลงทุนโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้ง รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รถไฟทางคู่ รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ ที่ยังช้าอยู่ออกมาได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ค่อยๆ ฟื้นตัวได้ เพราะขณะนี้ไม่ว่าภาคอุตสาหกรรม การเกษตร ยังซบเซา เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ที่ยังไปได้ดีอยู่คือภาคการท่องเที่ยว หากสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามแผนที่วางไว้ จะให้เกิดความเชื่อมั่นและทำให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน เชื่อว่ากำลังซื้อจะเริ่มกลับมา

ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากการซื้อที่อยู่อาศัยจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้น

นายธำรงกล่าวด้วยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่าอาการหนักที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ถือว่ายังไม่เลวร้ายเท่าปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง เพราะสถาบันการเงินยังแข็งแกร่ง ผู้ประกอบการธุรกิจไม่มีหนี้สินเกินตัว ยังไม่มีการปลดคนงาน มองว่าสถานการณ์ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว หลังจากนี้จะเห็นการค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม มองว่าหากจะเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้กับวิกฤตซับไพรม์ของสหรัฐ หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นั้น อาจจะเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะขนาดเศรษฐกิจไทยและสหรัฐมีความแตกต่างกันมาก

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์เป็นต้นไปมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 คาดว่าจะได้รับผลดีจากการบริโภคภายในประเทศ คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัว รวมถึงงบลงทุนจากภาครัฐจะเริ่มไหลเข้าระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2558 เป็นต้นไป ส่วนการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เริ่มดีขึ้นชัดเจน เห็นได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ปีนี้ขยายตัวสูงกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปีที่แล้วไทยมีปัญหาเรื่องการเมือง สำหรับการส่งออกนั้นคงต้องยอมรับว่าตลาดหลักของไทยมีปัญหาน่าจะทำให้การส่งออกในไตรมาส 2 ยังอยู่ในระดับทรงตัวและดีขึ้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 0% จากขณะนี้ติดลบ

สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการคือให้ภาครัฐดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ากว่าเพื่อนบ้าน เพราะเอกชนเข้าใจดีในเรื่องของเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดหลักของการส่งออกมีปัญหา ดังนั้น การจะไปหาตลาดใหม่เพื่อมาทดแทนนั้นต้องใช้เวลาในช่วงนี้หากมีปัญหาค่าเงินมาซ้ำเติมกับปัญหาส่งออกแย่อีก ยิ่งทำให้สินค้าไทยส่งออกได้ยากขึ้น การส่งออกไทยจะมีปัญหามากขึ้น

ส่วนกรณีนายนายอภิสิทธิ์ระบุก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจในขณะนี้หนักกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ นายวัลลภกล่าวว่า ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่มีปัญหาเหมือนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่เริ่มฟื้นตัว ไม่เหมือนกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่กว่าจะเริ่มฟื้นตัวใช้เวลาหลายปี

ถ้าเทียบกันแล้วไทยใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ฟื้นตัวจากสภาวะเมื่อปี 2556-2557 ที่ผ่านมา

ที่มา : นสพ.มติชน
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

คนไทยขวัญเสีย ฝรั่งขำขัน !!?


โดย .วีรพงษ์ รามางกูร

ข่าวเรื่องการไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสริมดวงกับโหร คมช. ที่เป็นร่างทรงของฤๅษีเกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัย เป็นข่าวดังไปทั่วโลกว่า ผู้ทรงเจ้าเข้าผีได้ประกาศว่าผู้นำของประเทศไทยจะต้องอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก อย่างน้อย 2-3 ปี

ข่าวนี้เป็นที่ขำขันไปทั่วโลกเหมือนๆ ข่าวของประเทศด้อยพัฒนาในแอฟริกา ที่เราเคยเอามาเล่าเป็นที่ขำขัน แต่เมื่อเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ขำไม่ออกบอกไม่ถูก เหลือเชื่อว่าจะเกิดกับประเทศไทย

ขณะนี้ทุกวันศุกร์เวลา 20.00 น.เป็นต้นไป กลายเป็นเวลาประหยัดไฟไปเสียแล้ว เพราะเวลาดังกล่าวทุกบ้านปิดโทรทัศน์หมด เป็นเวลาที่โทรทัศน์ทุกช่องจะถ่ายทอดรายการขอคืนความสุขจากประชาชน ตอนมีรายการนี้ใหม่ๆ ผู้คนต่างก็ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ แต่พยายามตั้งใจฟังอย่างไรก็ฟังไม่เข้าใจ แม้ว่าจะเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ฟังแล้วก็จับใจความหาสาระไม่ได้ หนักๆ เข้าก็เลยปิดทีวีเสียดีกว่า รออ่านจากหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ก็นำมาเขียนไม่มาก อ่านไม่ถึง 1 นาทีก็จบ ทุกวันศุกร์เวลา 2 ทุ่มเป็นต้นไปจึงเป็นเวลาประหยัดไฟฟ้าไปโดยอัตโนมัติ

เนื่องจากเวลา 2 ทุ่มเป็นต้นไป เป็นเวลาพักผ่อนชมรายการละครโทรทัศน์ของครอบครัว ของชาวบ้านทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เมื่อได้ยินว่ารายการโทรทัศน์ดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อไป 2-3 ปี ก็รู้สึกใจเสียกันโดยทั่วไป

บรรยากาศทางเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนในขณะนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ได้ยินแล้วก็ทำให้ขวัญเสียทั้งนั้น

ราคาข้าว ราคายางพารา ราคาอ้อย ราคามันสำปะหลัง ราคาน้ำมันปาล์ม พากันเข้าแถวลดลงประมาณครึ่งหรือกว่าครึ่ง แต่ราคาหมูเห็ดเป็ดไก่ไม่ลด ค่าครองชีพไม่ลด ชาวไร่ชาวนาอ่านแล้วก็รู้สึกเสียขวัญ เราอยู่ในเมืองก็รู้สึกเสียขวัญ

เนื่องจากยอดขายของโรงงานอุตสาหกรรม ต่างๆ ลดลงครึ่งหนึ่งหรือกว่าครึ่ง การจ้างงานล่วงเวลาหรือการจ้างงานเพิ่มไม่มี ขณะนี้การลดจำนวนคนงานกำลังเริ่มขึ้น ที่เริ่มช้าเพราะนายจ้างพยายามรักษาคนงานไว้ เพราะถ้าจะจ้างกลับมาใหม่ก็เป็นเรื่องยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก มองไปข้างหน้าแล้วก็ต้องใจหายขวัญเสีย เพราะยังไม่เห็นอนาคตว่ายอดขายจะฟื้นตัวได้อย่างไร การเลิกจ้างคนงานจึงต้องทำและน่าจะรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

เมื่อได้ยินโหรรัฐบาล หลวงปู่เกวาลันแห่งขุนเขาหิมาลัย พูดปูทางให้รัฐบาลอยู่ต่อไปอีก 2-3 ปีก็ใจหาย เสียขวัญ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนักนี้ เพราะตลาดการส่งออกทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน ซบเซาไปหมด ส่วนหนึ่งเพราะเป็นตลาดโลก แต่อีกส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญมากคือเรามีรัฐบาลทหาร ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก เป็นการถอยหลังเข้าคลอง ข่าวเรื่องยุโรปตัดสิทธิการได้รับการลดหย่อนภาษีหรือจีเอสพี ซึ่งรัฐบาลทหารไม่สามารถจะเดินทางไปเจรจากับเขาได้ ข่าวรัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีพาณิชย์ ไม่อาจจะเดินทางไปเจรจาการค้ากับใครได้ ล้วนเป็นข่าวที่ทำให้ใจเสียทั้งนั้น

ปัญหาการส่งออกตกอย่างหนักนี้ คงจะแก้ไขโดยรัฐบาลทหารไม่ได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลเผด็จการทหารของพม่า ซึ่งมีหมอดูอีทีเป็นที่ปรึกษา เป็นสรณะที่พึ่ง พม่าก็เป็นที่ขำขันไปทั่วโลกมาก่อน

ที่ขวัญเสียอีกเรื่องก็คือ นักลงทุนญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนหลักของเรา ปกติแล้วนักลงทุนญี่ปุ่นจะชอบลงทุนในประเทศไทย เพราะเมืองไทยได้เปรียบประเทศอื่นหลายอย่าง เช่น แรงงานไทยมีคุณภาพสูงกว่าที่อื่น ฝึกฝนได้ง่าย เข้ากับญี่ปุ่นได้ดี รักงานที่ทำ แต่มองไปข้างหน้าถ้าผลิตในประเทศไทยแล้วจะมีปัญหาในการส่งออกไปอเมริกา ยุโรป และแม้แต่ญี่ปุ่นเอง เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นก็เกรงใจทั้งอเมริกาและยุโรป ก็มีความจำเป็นต้องหาที่ลงทุนใหม่ถ้าประเทศไทยจะหยุดมีรัฐบาลประชาธิปไตยไป อีกนาน อย่างที่เป็นข่าวหรืออย่างที่เล่าลือกันหรือจากสัญญาณที่ได้รับ ตลาดสินค้าอุตสาหกรรมจากประเทศไทยก็น่าจะมีปัญหาในการหาตลาดเพราะเหตุผลทาง การเมือง นอกเหนือไปจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ

ที่หนักกว่านั้นก็คือการ ให้เหตุผลว่า แม้รัฐบาลไม่ต้องการอยู่ต่อตามที่ประกาศไว้ แต่จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้รัฐบาลลงจากอำนาจไม่ได้ ต้องอยู่ต่อไปอีก 2-3 ปี เหตุการณ์ที่พระฤๅษีเกวาลัน

แห่งเขาหิมาลัยบอกนั้นคืออะไร คงจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เป็นไปในทางดี คงจะเป็นไปในทางร้าย ทุกคนจึงขวัญเสียว่าสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่นี้น่าจะเลวร้ายลงไปอีก จะยืดเยื้อเป็นเวลานาน รัฐบาลทหารจึงต้องอยู่เพื่อรอรับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โหรที่ทรงเจ้าเข้าผีอาจจะมีข้อมูลดีๆ เพราะลูกศิษย์บอกไว้ก่อนแล้วก็ได้ "ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่" หรือไม่ก็ช่วยลูกศิษย์โยนหินถามทาง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ทำให้ใจเสียทั้งนั้น เพราะบ้านเมืองเราให้โหรให้ฤๅษีที่อยู่ไกลถึงเขาหิมาลัยตัดสินใจให้

เมื่อ 40 สิบปีก่อนที่กัมพูชาจะตกอยู่กับเขมรแดงที่โหดร้าย รัฐบาลทหารของนายพล ลอน นอล ที่สหรัฐเป็นผู้สนับสนุน ก็ใช้วิธีเชิญพระเกจิอาจารย์มาทำการเสกน้ำมนต์กับทรายให้ศักดิ์สิทธิ์ แล้วท่านนายพลก็นำเอาทรายกับน้ำมนต์ที่ปลุกเสกนั้นขึ้นเครื่องบินออกไปบิน ซัดและพรมให้ทั่วประเทศ เพื่อหวังขับไล่เขมรแดง โดยเชื่อว่าเขมรแดงเป็นปีศาจร้ายที่ออกจากปราสาทหินจะมายึดกัมพูชา

แต่ในที่สุดนายพลลอน นอล ก็แพ้ เขมรแดงก็เป็นปีศาจร้ายจริงๆ

ภาวการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้าย ทั้งในต่างจังหวัด ทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ความมั่นใจในอนาคตจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ออกมาได้หดหายไปตามลำดับนั้น รัฐบาลควรจะต้องต่อสู้ข่าวร้ายด้วยการเสนอมาตรการและนโยบายที่มีเหตุผลและ ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ถูกกาลเทศะ ไม่ใช่แก้ไขโดยการขอร้องไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่ดี ให้เลือกพูดเฉพาะในสิ่งที่ดีๆ

นโยบายและมาตรการที่จะให้กำลังใจ เช่น นโยบายการลงทุนโครงการจัดการและบริหารน้ำ โครงการขยายท่าเรือน้ำลึก ขยายสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง รวมทั้งสนามบินอู่ตะเภา โครงการผลักดันการส่งออก การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว การเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจท่องเที่ยว การปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ชลประทานไปยังสินค้าอย่างอื่น การปลูกข้าวนาปรังราคาถูกนั้นหมดสมัยแล้ว

การจัดทัพเพื่อบริหาร จัดการสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจจะเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การเร่งเจรจาการค้าเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป การเร่งเจรจาเพื่อเปิดตลาดใหม่ เสถียรภาพทางการเงินต่าง ๆ แม้จะยากแต่ก็ควรทำเพื่อขวัญและกำลังใจ

สงกรานต์เถลิงศกใหม่ จุลศักราช 1377 ผ่านไปด้วยดี ไม่มีเหตุร้ายอย่างที่เล่าลือให้ใจเสีย หวังว่าปี 2558 นี้ทั้งปีไม่ต้องไปสะเดาะเคราะห์กับคนทรงเจ้าเข้าผีที่ไหนอีก ขอให้ "ขวัญ" ที่จะรบทัพกับศึกเสือเหนือใต้จงมีชัยชนะ

อย่าขวัญหนีดีฝ่อไปนักเลย

ที่มา : นสพ.มติชน
//////////////////////////////////////////////////

ดื่มกาแฟอย่างไร ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสัน !!?


วันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้ว
และโรคประจำของสังคมผู้สูงอายุทั่วโลกก็คือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer"s disease) ซึ่งเป็นโรคภาวะสมองเสื่อมที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 50-75 รองลงมาคือโรคพาร์คินสัน (Parkinson"s disease)

ในสังคมประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา คนอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมีอัตราป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ร้อยละ 10 ในขณะที่สังคมไทยพบร้อยละ 3.4 น้องๆ อเมริกาเลยทีเดียว

และความชุกของโรคจะพบมากขึ้นในสังคมที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังจะพบเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 5 ปีหลังอายุ 65 ปีไปแล้ว เห็นได้จากสถิติอัตราเกิดโรคในผู้สูงอายุ 65-69 ปี พบผู้ป่วย 3 คนต่อ 1,000 คน อายุ 70-74 ปี พบ 6 คน ในขณะที่ อายุ 75-79 ปี พบ 9 คน ตามลำดับและพบผู้ป่วยหญิงมากกว่าชาย

ในหมู่คนไทยเราเรียกโรคนี้ง่ายๆ ว่า "โรคความจำเสื่อม" เพราะในระยะสุดท้ายของโรค ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำทั้งหมด ต่อมาจะสูญเสียการทำงานต่างๆ ของร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด

หลังจากความจำเสื่อมและสูญเสียความสามารถทางภาษาแล้ว ผู้ป่วยจะมีชีวิตโดยเฉลี่ย 10 ปี

แม้จะค้นพบโรคนี้มากว่า 100 ปี โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ อาลอยส์ อัลไซเมอร์ (Alois Alzheimer) แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค นอกจากพบว่ามีความผิดปกติของโครโมโซมและเป็นโรคที่สืบทอดทางพันธุกรรม

โรคนี้ยังไม่มีใครพบวิธีป้องกัน ทั้งยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ข่าวดีสำหรับผู้สูงอายุ มีการค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัวที่ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ดีก็คือกาแฟถ้วย โปรดยามเช้าของทุกคนนั่นเอง เนื่องจากธุรกิจกาแฟแบรนด์ดังมีกำไรมหาศาล จึงมีทุนสนับสนุนงานวิจัยกาแฟว่ามีผลต่อสุขภาพของผู้ดื่มอย่างไร

แน่นอนผลเสียต่อสุขภาพของผู้เสพติดกาแฟ คือ ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง การสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก เช่น การเกิดภาวะกระดูกสะโพกหักซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงสูงอายุ

ก่อนอื่นควรทำความรู้จักสายพันธุ์กาแฟที่ปลูกและใช้บริโภคในบ้านเราเล็กน้อย แม้ทั่วโลกมีสายพันธุ์กาแฟมากกว่า 50 ชนิด แต่ที่นิยมปลูกในไทยมี 2 พันธุ์ คือ อราบิก้า (Coffea arabica L.) และ โรบัสต้า (Coffea robusta L.)

สายพันธุ์แรกนั้นชอบขึ้นบนดอยสูงทางภาคเหนือของไทย จุดเด่นคือมีกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง และมีปริมาณกาเฟอีนต่ำ

ส่วนสายพันธุ์หลังนั้นชอบพื้นที่ราบทางภาคใต้ จุดเด่น คือ มีรสชาติเข้มและมีกาเฟอีนสูงเป็นสองเท่าของพันธุ์อราบิก้า

กาเฟอีน (caffeine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ธรรมชาติ พบได้ในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น เมล็ดกาแฟ ใบชา เครื่องดื่มโคล่า เครื่องดื่มชูกำลัง และโกโก้ เป็นต้น แต่เมล็ดกาแฟเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่ที่สุด

ส่วนเมล็ดกาแฟจะมีกาเฟอีนมากหรือน้อย นอกจากขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการคั่ว

เมล็ดกาแฟที่คั่วนานจนสีเข้มจะมีกาเฟอีนน้อยกว่าที่คั่วสุกแต่ใช้เวลาไม่นาน เพราะกาเฟอีนจะสลายไปในระหว่างการคั่วนั่นเอง

โดยทั่วไปแล้ว น้ำกาแฟ 150 ซีซีจากเครื่องต้มทำกาแฟไม่มีกระดาษกรองจะมีกาเฟอีนสูงที่สุดถึง 115 มิลลิกรัม

ในขณะที่กาแฟกรองมีกาเฟอีน 80 ม.ก.

และกาแฟสำเร็จรูป 65 ม.ก. ตามลำดับ

เนื่องจากกาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมดังกล่าวแล้ว จึงมีการศึกษาทางระบาดวิทยาในต่างประเทศจำนวนมากเพื่อหาความสัมพันธ์ของ พฤติกรรมการดื่มกาแฟกับผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ในฟินแลนด์มีการศึกษาวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบไปข้างหน้าระยะยาวที่เรียกว่า โคฮอร์ต (cohort study) ซึ่งเก็บข้อมูลจากอาสาสมัครจำนวน 1,409 คนเริ่มต้นจากอายุเฉลี่ย 50 ปี เก็บข้อมูลไปข้างหน้า 21 ปี พบอาสาสมัครมีภาวะความจำเสื่อม 61 คน วินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึง 48 คน

ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟตั้งแต่มีอายุช่วงวัยกลางคนจนเข้าสู่วัยสูงอายุ มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟ

โดยดื่มกาแฟ 3-5 ถ้วย/วัน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคลดลงประมาณร้อยละ 65

ในขณะที่มีการศึกษาระยะยาวแบบโคฮอร์ตเป็นเวลา 10 ปีในสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาการดื่มกาแฟกับความเสี่ยงเกิดโรคพาร์คินสัน มีอาสาสมัครชายหญิงรวมถึง 135,916 คน พบว่าฤทธิ์ของกาเฟอีนมีผลทำให้ระดับสารสื่อประสาทโดพามีน (dopamine) ในสมองเพิ่มขึ้น

ทำให้สมองตื่นตัวป้องกันการเป็นโรคพาร์คินสันได้ทั้งในหญิงและชายโดยดื่มกาแฟวันละ 1-3 ถ้วย

ข้อพึงระวังสำหรับสตรีก็คือ ต้องไม่ดื่มกาแฟร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจนเพราะไม่เกิดผลเชิงบวกกรณีการป้องกันโรคพาร์คินสันเลย

นอกจากนี้ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงไม่ควรดื่มกาแฟเลยเพราะมีโทษมาก รวมถึงไม่ควรดื่มกาแฟร่วมกับการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม หรือยาแก้ปวดแก้ไข้ สำหรับปริมาณการดื่มกาแฟไม่เติมน้ำตาลต่อวันไม่ควรเกิน 1-2 ถ้วย (ถ้วยละ 150 ซีซี มีกาเฟอีนเฉลี่ย 115 ม.ก./ถ้วย) และควรดื่มกาแฟสดแบบกรอง จึงจะเกิดประโยชน์ทางยาสูงสุด เพราะถ้าบริโภคมากกว่านี้หรือดื่มกาแฟชนิดอื่นจะเกิดโทษมากกว่าคุณ

ท่านผู้อยู่ในวัย 50 ต้นๆ ทุกเช้าควรดื่มกาแฟสดกรองเพียง 1 ถ้วยเป็นประจำ เพื่อเตรียมตัวใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในสังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นสุขปลอดพ้น จากภาวะระบบประสาทเสื่อมตราบเท่าอายุขัย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

อสังหารายเล็กถอดใจ แบงก์เข้มปล่อยกู้ เร่ขายทิ้งยกโครงการ !!?


เศรษฐกิจ ฝืดพ่นพิษ อสังหาฯรายเล็กเดี้ยงหนัก ถอดใจเร่ขายโครงการ สาเหตุหลักยอดขายไม่เข้าเป้า-แบงก์เข้มปล่อยกู้กระทบสภาพคล่อง "กลุ่มเปี่ยมสุข-ศุภาลัย-แสนสิริ-วิวัฒน์ฯ" เผยได้รับข้อเสนอทั้งบ้านจัดสรร คอนโดฯ ที่ดินเปล่าโซนมีนบุรี หนองจอก พัทยา "เกียรตินาคิน" แบเบอร์มีทรัพย์รอขายค้างพอร์ต 6 พันล้าน แจงเป็นที่ดินเปล่าพร้อมพัฒนาโครงการได้ทันที

นับตั้งแต่ไตรมาส 4/57 เริ่มได้รับการติดต่อจากเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมและเจ้าของที่ดินที่เตรียมพัฒนาโครงการคอนโดฯเข้ามามากขึ้น เพื่อให้เป็นตัวกลางเจรจากับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ซึ่งมีทั้งให้เจรจาขายโครงการ ขายที่ดินที่ออกแบบโครงการไว้แล้ว และเป็นพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมทุน

เท่าที่ประมวลสาเหตุมาจาก 2-3 ส่วนคือ 1) เปิดตัวโครงการแล้วมียอดขายช้า 2) ภาวะเศรษฐกิจยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัว จึงตัดสินใจไม่เสี่ยงพัฒนาโครงการต่อ และ 3) มีปัญหาภายในกับหุ้นส่วน

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ 2 รายที่อยู่ระหว่างเจรจา รายแรกเป็นโครงการคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯที่เปิดขายแล้ว แต่ยอดพรีเซลไม่ค่อยดีนัก ประกอบกับติดปัญหาการขออนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ล่าช้า และรายที่สองเป็นเจ้าของที่ดินที่ได้ออกแบบโครงการไว้แล้ว แต่กังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจและอาจมีปัญหาภายในกับหุ้นส่วน จึงชะลอการขึ้นโครงการและติดต่อให้บริษัทช่วยขายที่ดิน

ถ้าเศรษฐกิจยังซึม ๆ แบบนี้ต่อไป มีโอกาสจะเห็นผู้ประกอบการรายเล็กถอดใจขายโครงการมากขึ้น เท่าที่วิเคราะห์เกิดจากเรื่องทำเลที่ยังไม่ดีพอ คอนเซ็ปต์และการดีไซน์ ขาดประสบการณ์" แหล่งข่าวกล่าว

สาเหตุหลักขาดสภาพคล่อง

นายปรีชา กุลไพศาลธรรม กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทเปี่ยมสุข เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับการติดต่อผ่านนายหน้า เสนอขายโครงการคอนโดฯและบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพัทยา 3-4 ราย ติดต่อเสนอขายโครงการ ส่วนใหญ่เป็นของผู้ประกอบการรายเล็ก มูลค่าโครงการเฉลี่ย 300-400 ล้านบาท

สาเหตุมาจากเมื่อเปิดตัวแล้ว ทำยอดขายไม่ได้ตามเป้าหมายที่ธนาคารกำหนดไว้ จึงถูกธนาคารลดวงเงินปล่อยกู้ลง ผู้ประกอบการบางรายที่เปิดขายโครงการไปแล้วจึงตัดสินใจคืนเงินลูกค้า หรืออีกกรณีเป็นโครงการคอนโดฯโลว์ไรส์มีทั้งหมด 3-4 อาคาร ปรากฏว่าอาคารที่ 1-2 ก่อสร้างคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ขายดีเฉพาะอาคารแรก ส่วนอาคารที่ 2 ขายได้ช้า ทำให้ธนาคารระมัดระวังการปล่อยกู้เพิ่ม จึงถอดใจนำโครงการมาเสนอขาย

เศรษฐกิจแบบนี้ทำให้ธนาคารเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กที่ยังขาดประสบการณ์ แบงก์ติดตามยอดขายต่อเนื่อง ถ้าผ่านไป 3 เดือนแล้วต้องขายได้เท่าไหร่ และเมื่อสร้างเสร็จผ่านไปอีก 3 เดือนต้องโอนได้เท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้ก็ไม่ปล่อยกู้เพิ่ม แต่ยังไม่สามารถตกลงราคาได้ เพราะผู้ประกอบการเองก็ไม่อยากตัดใจขายขาดทุน" นายปรีชากล่าว

ทาบขายศุภาลัย-แสนสิริ

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัยเปิดเผยว่า บริษัทได้รับข้อเสนอขายโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดฯ เหมือนกัน เข้าใจว่าเป็นเพราะขาดประสบการณ์เรื่องการออกแบบโครงการ เช่น โครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งออกแบบพื้นที่ส่วนกลางครึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งหมด ทำให้ไม่คุ้มค่าการลงทุน ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวส่งผลให้การขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

แหล่งข่าวจาก บมจ.แสนสิริเปิดเผยว่า เริ่มได้รับข้อเสนอขายโครงการบ้านจัดสรรซึ่งประสบปัญหายอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่เมื่อเจรจาเรื่องราคาแล้วไม่สามารถจบดีลได้ เนื่องจากเจ้าของต้องการขายในราคาที่ยังพอมีกำไรหรือไม่ขาดทุน ส่วนคอนโดฯยังไม่ได้รับข้อเสนอแต่เชื่อว่ามีโครงการของผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่สามารถขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้และถูกสถาบันการเงินกดดันจนต้องนำโครงการมาเสนอขาย

โซนมีนบุรี-หนองจอกหนักสุด

นายฐิติวัฒน์ สุวิวัฒน์ชัย รองประธานกรรมการ บริษัท วิวัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดฯแบรนด์ "พิบูลย์" เปิดเผยว่า ได้รับข้อเสนอขายโครงการบ้านจัดสรรโซนมีนบุรี เป็นของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ทดลองเข้ามาทำอสังหาฯและเพิ่งเริ่มพัฒนาโครงการ โดยให้เหตุผลว่า ที่ต้องการขายโครงการเพราะเมื่อเข้ามาทำแล้วไม่ถนัดจึงไม่ต้องการทำต่อ

นายวิสิฐ กิตติอุดม ประธานกลุ่มบริษัทอาร์เคกรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการแนวราบโซนตะวันออกของกรุงเทพฯเปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาได้รับข้อเสนอขายโครงการบ้านจัดสรรย่านหนองจอก ที่เปิดขายและก่อสร้างบ้านแล้วบางส่วน แต่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเนื่องจากขายไม่ดี อย่างไรก็ตาม การเจรจาไม่ได้ข้อสรุปเนื่องจากตกลงราคากันไม่ได้ นอกจากนี้มีผู้ประกอบการเสนอขายที่ 7 ไร่ ซึ่งขอจัดสรรไว้แล้วเพื่อเตรียมพัฒนาโครงการ แต่มองว่าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงจึงตัดสินใจขายที่ดินแทนที่จะพัฒนาโครงการเอง

บริษัท รื่นฤดี ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ที่มีนายศุภโชค ปัญจทรัพย์ หลานชายนายโชคชัย ปัญจทรัพย์ หนึ่งในดีเวลอปเปอร์ที่มีชื่อเสียงในยุคก่อนฟองสบู่แตก ก็ได้รับข้อเสนอขายคอนโดฯในทำเลแครายและโครงการจัดสรรโซนมีนบุรี เนื่องจากประสบปัญหายอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด รายงานผลสำรวจอสังหาฯ ปี 2557 มีโครงการหยุดขายรวม 122 โครงการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 21 โครงการ ในจำนวนนี้สาเหตุเกิดจากสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ 38 โครงการ ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 24 โครงการ และไม่ได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) 23 ราย

KK แบเบอร์ทรัพย์รอขายเพียบ

นางสุวรรณี วัธนเวคิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK เปิดเผยเพิ่มเติมว่า KK มีทรัพย์รอการขายหรือ NPA เหลืออยู่ในพอร์ตประมาณ 6,000 ล้านบาท จากเดิมที่เคยมี 2 หมื่นล้านบาท เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุนอสังหาฯ

ก่อนหน้านี้ธนาคารเพิ่งจะเปิดผลวิจัยหัวข้อ 16 จังหวัดดาวรุ่งลงทุนอสังหาฯ โดยรวมกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เนื่องจากพบว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยผลตอบแทนการลงทุนอสังหาฯประเภทที่ดินเปล่าสูงถึง 9% ดีกว่าลงทุนทองคำซึ่งมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนติดลบ 11% สูงกว่าหุ้น บ้านเดี่ยว คอนโดฯ ที่ค่าเฉลี่ย 2-3.7% ต่อปี

เนื่องจากทรัพย์รอขายของ KK เป็นแปลงใหญ่ เพราะธนาคารปล่อยกู้พรีเซลไฟแนนซ์ หรือปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการที่จะลงทุนพัฒนาโครงการ โดยราคาต่ำสุดเริ่มต้น 30 ล้านบาท ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการคำแนะนำว่า ถ้าซื้อแลนด์แบงก์จากพอร์ตของเราไปแล้วจะทำอะไรได้บ้าง ทางธนาคารก็ยินดีให้คำปรึกษา เพราะมีแผนกวิจัยข้อมูลโครงการอสังหาริมทรัพย์รองรับโดยตรงอยู่แล้ว" นางสุวรรณีกล่าว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทางรอดของชนชั้นกลาง (ต่อ) !!?


โดย.วีรพงษ์ รามางกูร

วิวัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุค Baby Boomer ส่งผลให้ชนชั้นกลางขยายตัวอย่างรวดเร็วสำหรับประเทศเศรษฐกิจใหม่อย่างไทย การเติบโตทางเศรษฐกิจในอดีตเพียงพอที่จะสร้างความสำเร็จของชนชั้นกลาง "ยุคแรก" แต่ความยากลำบากของชนชั้นกลางไทยสำหรับ GEN X, GEN Y ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 70% เริ่มเห็นภาพมากขึ้น แม้ว่าราคาบางสิ่งบางอย่างจะถูกลงอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่คุณภาพชีวิตกลับลำบากมากกว่าเดิม ซึ่งมีการศึกษาปัญหานี้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งนำเสนอวิธีแก้มากมาย ซึ่งผมจะสรุปทางรอดของชนชั้นกลางว่ามีอะไรบ้าง

สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องมี "ภาวะผู้นำ" และ "กล้าคิดใหญ่" เราพูดกันบ่อยครั้งว่าประเทศไทยมีภูมิศาสตร์และศักยภาพที่จะเป็น "ศูนย์กลาง" ของอาเซียน แต่น้อยครั้งจะมีคนคิดว่า "อยาก" จะเป็น "ผู้นำ" อาเซียน อดีตนายกฯ ลี กวน ยู บอกว่า ประเทศสิงคโปร์ขึ้นมาถึงทุกวันนี้ได้มีเหตุผลเดียวเพราะ "คน" ประเทศที่ใช้เวลาสร้างมาแค่หนึ่งช่วงชีวิตคน สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำอาเซียนและมุ่งสู่ระดับโลกได้ เพราะพวกเขามีภาวะผู้นำสูงในคนทุกระดับ ประเทศไทยมีนักศึกษาจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจำนวนมาก แต่น้อยครั้งที่จะถูกปลูกฝังให้ "กล้า" เป็น "ผู้นำ" ที่จะคิดสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อะไรบางอย่าง

สิ่งที่สองคือ การใช้ "ประสิทธิภาพ" และ "ประสิทธิผล" ในตัวเองอย่างเต็มที่ จงเลือกองค์กรที่ให้ "โอกาส" และมองศักยภาพคนที่ความสามารถ ขณะเดียวกัน ต้องพยายาม "สร้าง" สิ่งใหม่ ๆ ทำงานให้มากกว่าเงินเดือน และความคาดหวังของทุกคนในบริษัท เพราะต้นทุนสำคัญของชนชั้นกลาง คือ "แรง" "เวลา" และ "ไอเดีย" บ่อยครั้งเราจะทำงานน้อยกว่าศักยภาพ เพราะคิดว่าทำงานหนักไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงเราก็โตขึ้นตามลำดับอาวุโสของบริษัท ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเรามี 2 ทางเลือก คือ ไม่สนใจ และทำงานหนักจนกว่าบริษัทจะเห็นคุณค่า หรือไม่ก็หาบริษัทใหม่ที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ จงอย่ายอมรับชะตากรรม

สิ่งที่สามคือ พยายามสร้าง "เศรษฐกิจพอเพียง" ในตัวเองให้ได้ อย่าไปใช้จ่ายตามกระแส ใช้ชีวิตต่ำกว่าความสามารถในการหารายได้ให้มากที่สุด และมองหาชีวิต "ที่มีอิสรภาพจากเงิน" อย่าติดกับดักการมีชีวิต "เพื่อบอกว่าเรามั่งคั่ง" กับดักเหล่านี้ทำให้เราสร้างภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าในอนาคต ซึ่งเป็นการทำลายศักยภาพตัวเองอย่างช้า ๆ

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่การคิดเล็ก แต่เป็นการเริ่มต้นคิดใหญ่ การที่เราสามารถสร้าง "งบดุลของตัวเอง" ที่แข็งแรง ไม่มีหนี้ ไม่มีภาระ คือการปลดล็อก "ข้อจำกัด" เพราะเราไม่สามารถทำงานออกมาให้ดีได้ ถ้าเต็มไปด้วยหนี้ที่ต้องจ่ายทุกเดือน

สิ่งที่สี่คือ "จงสร้างครอบครัว" การสร้างครอบครัวคือการสร้างฐานที่แข็งแรงในชีวิต มีบทวิจัยมากมายที่บอกว่า คนที่มีครอบครัวมักจะมีผลผลิตสูงกว่า มีชีวิตที่มีเป้าประสงค์มากกว่า การมีลูกเป็นอีกส่วนสำคัญ คือครอบครัวจะเป็นแรงขับดัน แรงบันดาลใจ ไม่ใช่ภาระ เพราะดูแลครอบครัวแบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้แพงเลย เมื่อเทียบกับ Synergy ที่คุณจะมีกับคู่ชีวิตและลูก เพียงแต่คุณต้องเหนื่อยบ้างในวันนี้เพื่อวันข้างหน้า นี่คือปรัชญาการลงทุน และมีบทวิจัยจำนวนมากบอกว่า ยิ่งคุณประหยัดต่อลูกเท่าไหร่ โอกาสที่คุณและลูกจะเป็นเศรษฐีจะสูงขึ้นเท่านั้น

สิ่งที่ห้าคือ "อย่าหยุดเรียนรู้" ชนชั้นกลางต้องรู้จักความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยง จงเริ่มทำให้เร็ว เริ่มเล็ก ๆ และเชี่ยวชาญในตลาดนั้น ๆ ปลาเล็กสามารถมีชีวิตที่แข็งแรงได้ ถ้ายืดหยุ่นกว่า เร็วกว่า และอยู่ในพื้นที่ที่ตัวเองชำนาญ ระบบเศรษฐกิจใหม่หรือดิจิทัลอีโคโนมีสร้างโอกาสมากมายให้ชนชั้นกลางยุคปัจจุบัน การทำงานมากกว่าหนึ่งอย่างก็เป็นทางออกที่ดีในยุคนี้

สิ่งที่หกคือ "การลงทุน" โดยเฉพาะการลงทุนหุ้น ช่วยให้ชนชั้นกลางสามารถเกาะ "ชนชั้นนายทุน" ได้ดีที่สุด แนวคิดการลงทุนที่สำคัญที่สุดคือ จงลงทุนให้เร็ว อย่าจับจังหวะตลาด ค่อย ๆ ลงทุนตามสัดส่วนอย่างน้อย 20% ของรายได้ สร้างวินัยการออมอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ "ห้าม" แตะต้องเงินก้อนนี้เป็นอันขาดจนกระทั่งวันที่คุณจะเลิกทำงานหรือเกษียณ หุ้นจะดีหรือร้ายคุณก็ยังต้องลงทุน ถ้าทำไม่ได้ควรมีที่ปรึกษาทางการเงินที่ดี เพราะ 90% ของคนลงทุนในตลาดหุ้นมักไม่ประสบความสำเร็จด้วยสาเหตุหลาย ๆ อย่าง และคนส่วนมากต้องการโค้ชด้านการเงิน เพียงแต่พวกเขาไม่รู้เท่านั้น

ถ้าทำได้ตามนี้อีก 10-15 ปีข้างหน้า คุณจะเป็นชนชั้นกลาง "ที่รอด" ในเศรษฐกิจทุนนิยมยุคนี้แน่นอน และนี่ไม่ใช่แค่ทางรอดของชนชั้นกลาง แต่นี่คือ ทางรอดของประเทศไทย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

อาเซียนสะดุดปัญหาพลังงาน ASEAN Power Grid ....!!?


เหลือเวลาเพียงไม่กี่อึดใจสำหรับการรวมกลุ่มเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ขณะที่หลายโครงการที่ชาติสมาชิกได้ตกลงที่จะร่วมกันพัฒนา ดูเหมือนว่ายังไม่คืบหน้าเท่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะประเด็นด้าน "พลังงาน" กับยุทธศาสตร์ "ASEAN Vision 2020 Energy" ที่ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับการเจรจาเพื่อให้บรรลุผลตามเป้า

โครงการ "ASEAN Power Grid" สู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ให้มีความเชื่อมโยงกันและพร้อมรองรับการค้าและการลงทุน ซึ่งได้วางวิสัยทัศน์เอาไว้ว่า "ไทยจะเป็นสมาชิกที่เข้มแข็งและสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนอาเซียนร่วมกัน" โดยจะเชื่อมโยงกับ ลาว, เมียนมาร์, กัมพูชา, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เกาะบอร์เนียว และฟิลิปปินส์

โดยโครงการหลัก (Flagship Project) ในการเชื่อมโยงสายส่ง ASEAN Power Grid ประกอบด้วย โครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์, โครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการไซยะบุรี, โครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเซเปียนเซน้ำน้อย ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงจำปาสักและแขวงอัตตะปือ ตอนใต้ของ สปป.ลาว ซึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของกลุ่มนักลงทุนจากเกาหลี ไทย และลาว โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งจะขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ด้วยการส่งเข้าทางจังหวัดอุบลราชธานี และส่วนหนึ่งจะเข้าสู่ระบบของการไฟฟ้าลาว

นายวิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ ผู้อำนวยการเครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาลุ่มน้ำโขง (TERRA) มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ มองว่า ความร่วมมือและความมั่นคงด้านพลังงานในอาเซียนยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร เนื่องจากพฤติกรรมการใช้พลังงานของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนถึงความกระจุกตัวของพลังงานในภูมิภาค

ผลสำรวจเมื่อปี 2553 ระบุถึงอัตราการเข้าถึงไฟฟ้าของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีการใช้ไฟฟ้ามากที่สุด 99% ของประชากรทั้งประเทศ รองลงมา คือ เวียดนาม 95% และ สปป.ลาว, กัมพูชา, เมียนมาร์ ราว 69% 26% และ 23% ตามลำดับ

ยิ่งกว่านั้น การไฟฟ้านครหลวงของไทย เผยผลสำรวจประจำปี 2549 ว่า การใช้ไฟฟ้าของ 3 ห้างยักษ์ใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้แก่ สยามพารากอน มาบุญครอง และเซ็นทรัลเวิลด์ รวมกันมากถึง 278 ล้านกิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี (Gwh) ขณะที่สามเขื่อนของไทย ได้แก่ เขื่อนปากมูล, เขื่อนสิรินธร และเขื่อนอุบลรัตน์ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกันได้เพียง 266 ล้านกิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี

ฉะนั้นการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากลาวและเมียนมาร์ จึงมีความจำเป็นอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาค อีกทั้งนโยบายการผลิตกระแสไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ ยังเอื้อต่อการส่งออกไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคด้วย

ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ลาวมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าสูงถึง26,000 เมกะวัตต์ ทั้งจากพลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานถ่านหิน โดยถือว่า ลาว เป็น "Battery of Asia" แต่ดูเหมือนศักยภาพการผลิตไฟฟ้าของลาวมีไว้เพื่อส่งออกไม่ใช่เพื่อคนในประเทศซึ่งวีโอเอ ภาษาลาว รายงานว่า นายวีระพน วีระวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ของลาว กล่าวถึงแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำอีก 4 เท่าตัวของระดับปัจจุบัน ที่ผ่านมา ลาวส่งออกราว 2 ใน 3 ของไฟฟ้าที่ผลิตได้ 3,200 เมกะวัตต์ และกำลังก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีก 6,000 เมกะวัตต์

"เราคาดว่าภายในปี 2563 เราจะมีกำลังผลิต 12,000 เมกะวัตต์ ราว 2 ใน 3เป็นไฟฟ้าเพื่อการส่งออก และภายในปี 2573 จะผลิตเพิ่มเป็น 24,000 เมกะวัตต์ซึ่งนับว่าเกือบเต็มศักยภาพของไฟฟ้า พลังน้ำในลาว ซึ่งไทยเป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายใหญ่และลาวก็มีข้อตกลงขายไฟฟ้าให้เวียดนามและกัมพูชาด้วย อีกทั้งผู้ส่งออกพลังงานกำลังดูลู่ทางที่จะแลกเปลี่ยนไฟฟ้ากับจีนในอนาคต" นายวีระพนกล่าว

ขณะเดียวกัน ลาวกำลังหาทางแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างมณฑลยูนนานของจีน เวียดนาม ไทย และกัมพูชา รวมทั้งการส่งออกไฟฟ้าจากลาวผ่านไทยและมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ด้วย ขณะที่เมียนมาร์ อีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพการผลิตไฟฟ้าอย่างมาก โดยเฉพาะพลังน้ำ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ โดยแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในทะเลที่เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ คือ ยาดานา คาดว่าจะมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองรวมทั้งสิ้น 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และเยตากุนอีก 1.2 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต

ปัญหาที่เกิดขึ้นและชวนให้คิดก็คือ หากแหล่งพลังงานทั้งลาวและเมียนมาร์มีอย่างล้นหลาม แล้วทำไมการเข้าถึงไฟฟ้าของประชาชนในประเทศจึงยังไม่ครอบคลุม แม้ที่ผ่านมารัฐบาลเมียนมาร์รับรู้ถึงปัญหาและพยายามแก้ไข ด้วยการร่างกฎหมายพลังงาน เพื่อเตรียมลดการส่งออกก๊าซธรรมชาติลง เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศก็ตาม

ทั้งนี้ โครงการ ASEAN Power Grid ที่ประเทศสมาชิกพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นจริง แต่กลับชะงักไม่มีความคืบหน้า อันเนื่องมาจากการจัดตั้งศูนย์ควบคุม หรือศูนย์สั่งการ ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าประเทศไหนจะเป็นผู้ควบคุมศูนย์ในภูมิภาค เพราะการควบคุมศูนย์ดังกล่าวมันหมายถึง "การกุมอำนาจ" ในการสั่งจ่ายไฟฟ้าของแต่ละประเทศ

สถานการณ์ด้านพลังงานนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงระดับความไว้เนื้อเชื่อใจของภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างดีเพราะปัญหาด้านพลังงานถือเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของผู้ร่วมชะตากรรม ซึ่งหากเกิดการรวมประเทศภายใต้ผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว อุปสรรคข้างหน้าจะเป็นเหมือนตัวทดสอบว่า ชาติสมาชิกจะจริงใจหรือต้องการฉกฉวยผลประโยชน์จากการเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น

เรียบเรียงโดย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

อันตรายตัวจริง !!?


โดย.วีรพงษ์ รามางกูร

ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกของเราในเดือนมกราคมปีนี้ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว หดตัวลงถึงร้อยละ 3.46 ตัวเลขเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วก็ลดลงอีกร้อยละ 2.4 ตัวเลขทั้งปีอาจจะเป็นไปได้ว่ารายได้จากการส่งออกของเราก็คงจะไม่ดีไปกว่าตัวเลขของเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์

ที่เคยหวังว่า จีนจะเป็นตลาดที่จะช่วยรองรับสินค้าส่งออกของเรา เพื่อชดเชยการชะลอตัวของการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยของตลาดยุโรปและตลาดอเมริกา เพราะเหตุผลที่ยุโรปได้ตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรไปแล้ว และเรายังไม่สามารถเดินทางไปเจรจากับเขาได้ สหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกัน

แต่กลับกลายเป็นว่า การส่งออกของเราไปยังตลาดจีนในเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ กลับหดตัวมากกว่าการส่งออกไปยุโรปและอเมริกาเสียอีก กล่าวคือ ในเดือนมกราคม การส่งออกของเราไปจีนหดตัวถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกุมภาพันธ์ก็หดตัว 20 เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน และยังเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน

ตกลงจีนก็คงจะไม่ใช่ตลาดที่เราจะหวังพึ่งเพื่อชดเชยการชะลอตัวของการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆของเราได้

ในสุนทรพจน์กล่าวเปิดประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีนเมื่อวันพฤหัสบดีที่5มีนาคมที่ผ่านมา ได้ประกาศนโยบายเศรษฐกิจใหม่เรียกว่า "ความเป็นปกติใหม่" หรือ "new normal" กล่าวคือลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลงให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ จากที่ขยายตัวร้อยละ 7.4 ในปี 2557 ลงเป็น 7 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 และเป็น 6.8 เปอร์เซ็นต์ในปี 2559 พร้อมๆ กับประกาศลดดอกเบี้ยลงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 เดือน ลดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจลง หันกลับมากระตุ้นการบริโภคของครัวเรือนภายในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเวลากว่า 20 ปี อัตราการขยายตัวของการลงทุนทั้งของภาคเอกชนและรัฐบาลขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าอัตราการขยายตัวของการบริโภคอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนขยายตัวอย่างรวดเร็วแต่สัดส่วนของการบริโภคของครัวเรือนในบัญชีรายได้ประชาชาติกลับลดลง

ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนขยายตัวอย่างรวดเร็วปัญหาสำคัญที่ติดตามมาก็คือปัญหาเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงและปัญหามลภาวะซึ่งเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างถึงที่สุด

การลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ลดการลงทุนของภาครัฐวิสาหกิจซึ่งเคยมีสัดส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 40 ลง เพื่อให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในการลงทุน พร้อมๆ กับลดอัตราการขยายตัวของการลงทุนลง เพื่อให้การบริโภคของภาคครัวเรือนได้มีโอกาสขยายตัวให้มากกว่าในปัจจุบัน

การที่รัฐบาลจีนประกาศลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลงก็ย่อมจะหมายความว่าการนำเข้าสินค้าและบริการของจีนจะต้องลดลงเป็นเงาตามตัวไปด้วยส่วนการส่งออกของจีนนั้นได้เริ่มลดลงอยู่แล้ว

การที่เราหวังว่าจีนจะเป็นตลาดของสินค้าส่งออกของเราเพื่อทดแทนการชะลอตัวของการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยของยุโรปและอเมริกาจึงอาจจะเป็นความหวังที่เลื่อนลอย

การลงทุนต่างประเทศของจีนนั้น จีนก็มุ่งที่จะลงทุนสำหรับสินค้าประเภทวัตถุดิบและสินค้าขั้นปฐม เช่น น้ำมัน พลังงาน และวัตถุดิบขั้นปฐม สำหรับป้อนโรงงานในประเทศจีน ประเทศของเรามิใช่ประเทศที่ผลิตสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ แร่ธาตุต่างๆ ส่วนวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตร เช่น ยางพาราหรือมันสำปะหลัง และอื่นๆ จีนก็ส่งเสริมพัฒนาเพื่อทดแทนการนำเข้า

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ก็จะไม่ช่วยการส่งออกของเรามากนักเพราะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จะส่งเข้าไปในตลาดสหรัฐกลายเป็นสินค้าจากประเทศในแถบละตินอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ และการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกาก็ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นอยู่แล้ว แต่เมื่อยุโรปและญี่ปุ่นประกาศนโยบาย คิว.อี.หรือเพิ่มปริมาณเงินยูโรและเงินเยนเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของเขา ก็จะยิ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นเป็นทวีคูณ

ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้นก็จะหิ้วค่าเงินบาทของเราให้แข็งตามขึ้นไปด้วยเพราะธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยเพราะการลดดอกเบี้ยอาจจะกระทบกระเทือนรายได้ของสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์

การที่ธนาคารกลางของเราทำ 2 หน้าที่ที่ขัดแย้งกันคือ เป็นผู้กำหนดนโยบายการเงิน ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้กำกับตรวจสอบและดูแลสถาบันการเงินด้วย สองหน้าที่นี้ขัดแย้งกัน หรือมี "conflict of interest" ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาที่จะเห็นชัดยิ่งขึ้นในช่วงเศรษฐกิจขาลง หลายๆ ประเทศจึงมักจะให้มีการแยกกัน ระหว่างฝ่ายกำกับดูแลสถาบันการเงินกับผู้กำหนดนโยบายการเงิน ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้สำหรับประเทศไทย เพราะสังคมไทยไม่เข้าใจระบบการตัดสินใจนโยบายสาธารณะ ความเป็นอิสระอย่างสุดโต่งของธนาคารกลางจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่เล็กและเปิดอย่างประเทศไทยวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งเป็นตัวอย่างอันดีที่สังคมไทยไม่ยอมเรียนรู้เพราะมีอคติกับฝ่ายการเมืองจนเสียความสมดุล

ความเป็นความตายของรัฐบาลทหารในขณะนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่การมีหรือไม่มีกฎอัยการศึก หรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้เบาบางลงไปมากแล้ว แต่จะอยู่ที่การล่มสลายและการล้มละลายของธุรกิจ ซึ่งเห็นชัดขึ้นทุกที การหดตัวของการส่งออก การลดลงของราคาสินค้าเกษตร การลดลงของราคาส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม การลดลงของธุรกิจการท่องเที่ยว ย่อมทำให้รายได้ของครัวเรือนลดลง ไม่ใช่เฉพาะเกษตรกรเท่านั้น แต่รวมถึงประชากรในส่วนอื่นของระบบเศรษฐกิจด้วย

เมื่อรายได้ของครัวเรือนลดลง ข่าวเรื่องหนี้สินของครัวเรือนก็จะเป็นข่าวสำคัญตามมา ข่าวต่อมาก็คงจะลุกลามไปที่ข่าวหนี้เสีย การผิดนัดในการชำระหนี้ของสถาบันการเงินก็คงจะเป็นข่าวตามมา

ครั้นจะมองไปในระบบการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจก็มองไม่เห็นว่ารัฐบาลโดยข้าราชการและบรรยากาศภายใต้กฎอัยการศึกจะมีผู้ใดกล้าหาญพอที่จะออกมาเสนอหรือวิพากษ์วิจารณ์นโยบายหรือมาตรการทางเศรษฐกิจ แม้แต่สถาบันธุรกิจต่างๆ ส่วนสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารหรือ กลุ่มหรือชมรมทางเศรษฐกิจการค้า บรรยากาศเช่นนี้จึงน่าจะเป็นอันตรายต่อรัฐบาลเอง การวิพากษ์วิจารณ์ก็จะเป็นไปในทางยกย่องชมเชยเสียมากกว่า

การส่งออกของเราขยายตัวในอัตราที่ลดลงจนกลายเป็นหดตัวมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วไตรมาสแรกของปีนี้ก็น่าจะหดตัวอย่างน้อย3-4 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนไม่มีเลย เรื่องเหล่านี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนเท่าที่เคยทำงานทางเศรษฐกิจมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี แม้จะมีทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมากก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจอุตสาหกรรมและธุรกิจการเงินจะล่มสลายไม่ได้ที่พูดเอาใจกันว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว3-4 เปอร์เซ็นต์นั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ เศรษฐกิจปีนี้น่าจะหดตัวหรือขยายตัวติดลบ

อันตรายตัวจริงของรัฐบาลจึงอยู่ที่เศรษฐกิจไม่ใช่การชุมนุม

ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

สอท. ค้านเก็บภาษี ที่ดิน จี้รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ !!?

ชี้เศรษฐกิจยังทรุดไม่เหมาะเก็บภาษี ที่ดิน เพิ่ม VAT ชี้จะซ้ำเติมสถานการณ์แย่ลงอีก

-ที่อยู่อาศัยเสียภาษีไม่เกินพัน

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางการลดหย่อนภาษีในร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่า การพิจารณาแนวทางการลดหย่อนภาษีนี้ จะอยู่บนหลักการที่ว่าจะไม่มีการกำหนดอัตราพิเศษหรือปรับลดอัตราภาษี และจะไม่ปรับลดการคำนวณจากราคาประเมิน แต่จะใช้วิธีการลดหย่อนจากภาระภาษีหลังการคำนวณแล้ว โดยจะกำหนดเป็นวงเงินที่ผู้เสียภาษีจะไม่มีภาระภาษีเกินกว่านั้น

แหล่งข่าวกล่าวว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการลดหย่อนสำหรับที่ดินเชิงเกษตรกรรมและที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย โดยที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยจะลดหย่อนให้สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทที่เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งต้องพิสูจน์ทางสายเลือดได้ และอยู่มาก่อนที่กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะมีผลบังคับใช้ โดยจะกำหนดเป็นวงเงินที่จะต้องเสียภาษีว่าไม่ควรเสียเกินจำนวนเท่าใด เบื้องต้นหารือกันว่าสำหรับภาษีที่อยู่อาศัยโดยรวมที่จะต้องเสียนี้ จะอยู่ในหลักร้อยบาทหรือหลักพันบาทต่อปีเท่านั้น

สมมุติว่ามีบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ 1 ไร่ อยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ในอดีตซื้อมาราคาตารางวาละ 5 สลึง แต่ปัจจุบันตารางวาละ 5 แสนบาท คิดเป็นมูลค่าที่ดินรวม 200 ล้านบาท ถ้าคิดภาษีในอัตรา 0.1% ของราคาประเมิน จะต้องเสียภาษี 2 แสนบาทต่อปี ซึ่งไม่ใช่ความผิดที่เขามีที่ดินราคาสูง แต่กรณีที่เจ้าของบ้านดั้งเดิมดังกล่าวมีการเปลี่ยนเจ้าของการเสียภาษีจะเข้าสู่เกณฑ์ปกติ" แหล่งข่าวกล่าว

- 2 แนวลดหย่อนที่เกษตรกรรม

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับเพดานการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยนี้ จะกำหนดที่ 0.5% ของราคาประเมิน แต่การจัดเก็บจริงจะอยู่ที่ 0.1% ของราคาประเมิน โดยยกเว้นภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 3 ล้านบาท จะจัดเก็บ 50% ของอัตรา 0.1% ของราคาประเมิน ส่วนที่เกินกว่า 3 ล้านบาท จะเสียภาษี 0.1% ของราคาประเมิน ส่วนที่ดินเชิงเกษตรกรรม ขณะนี้มี 2 แนวทางการพิจารณาลดหย่อน คือ 1.ยกเว้นเป็นขนาดพื้นที่เลย เช่น ขนาด 15-20 ไร่ ได้รับการยกเว้น หรือ 2.ยกเว้นบนฐานมูลค่าของที่ดิน

"ส่วนที่อยู่อาศัยที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ที่ทำเกษตรกรรมด้วย จะพิจารณาบนหลักการที่ว่า จำนวน 3 ใน 4 ของพื้นที่นั้นๆ ใช้เป็นพื้นที่สำหรับอะไร เช่น พื้นที่ปลูกบ้านถึง 3 ส่วน ก็จะคิดบนฐานที่อยู่อาศัย หากทำเกษตรกรรมถึง 3 ส่วน จะคิดบนฐานที่ดินเชิงเกษตรกรรม โดยเพดานภาษีที่ดินเชิงเกษตรกรรมกำหนดไว้ที่ 0.25% ของราคาประเมิน ส่วนอัตราการจัดเก็บจริง ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา" แหล่งข่าวกล่าว

- ย้ำที่ดินพาณิชย์ไม่มียกเว้นภาษี

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับที่ดินเชิงพาณิชย์ เพดานการจัดเก็บจะอยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน เบื้องต้นจะไม่มีการยกเว้น แต่หากที่ดินเชิงพาณิชย์นั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอยู่อาศัยด้วย จะคิดบนฐานที่อยู่อาศัยตามการใช้พื้นที่จริง และคิดบนฐานเชิงพาณิชย์ตามการใช้พื้นที่จริง อัตราการจัดเก็บจะแบ่งตามขนาดการประกอบธุรกิจ เช่น ห้องแถวขนาดเล็ก จะมีอัตราจัดเก็บที่ต่ำกว่าห้างสรรพสินค้า ส่วนที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า จะไม่ได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษี

แหล่งข่าวกล่าวว่า การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ ไม่ได้เป็นการจัดเก็บภาษีตัวใหม่ แต่เป็นภาษีที่มาทดแทนการจัดเก็บภาษี 2 ฉบับที่ล้าสมัย คือภาษีที่ดินและโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งมีการยกเว้นการเสียภาษีหลากหลายรูปแบบ ทำให้ผู้เสียภาษีแทบจะไม่มีภาระภาษี ดังนั้น การจัดเก็บภาษีตามกฎหมายใหม่นี้ ถือเป็นการเสียภาษีบนฐานที่ควรจะเสีย และช่วยให้ท้องถิ่นมีรายได้เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่น

- 4 สมาคมรอคลังเคาะตัวเลขภาษี

นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ทีเอสเอและ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ คือ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย จะยังไม่เข้าไปหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้ทบทวนการคิดอัตราการจัดเก็บของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะรอให้สรุปตัวเลขที่ชัดเจนก่อน เชื่อว่ารัฐจะไม่เก็บเต็มเพดานภาษีอยู่แล้ว

"ภาษีเดิมคือภาษีโรงเรือนและที่ดิน เก็บจากรายได้ค่าเช่า ที่ผ่านมาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีเพดานจัดเก็บที่ 3% แต่จัดเก็บจริงเพียง 0.8% หรือไม่เกิน 1% แต่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะจัดเก็บจากมูลค่าทรัพย์สินตามราคาประเมิน อาจเกิดความไม่เป็นธรรมกับโรงแรมที่อยู่ในทำเลใจกลางเมืองที่มีราคาประเมินที่ดินสูง จึงอยากให้พิจารณาฐานการเก็บภาษีเดิมประกอบด้วยเพื่อให้ได้ตัวเลขที่เหมาะสมในการจัดเก็บภาษี" นายสุรพงษ์กล่าว

นายเกียรติ สิทธีอมร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า การจะจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ควรมีหลักการที่ชัดเจนก่อน สมัยที่พรรค ปชป.เป็นรัฐบาลเคยผลักดันเรื่องภาษีทรัพย์สิน ขณะนั้นเองมีความชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายไม่ได้ต้องการภาษีเพิ่ม แต่ต้องการให้ความเป็นธรรม อุดช่องโหว่ทุจริต การใช้ดุลพินิจของข้าราชการ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลนี้ประกาศชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการภาษีเพิ่ม ต้องการสร้างความเป็นธรรม และอุดช่องโหว่ในสังคม ผู้เสียภาษีก็จะสบายใจ

- สอท.ชี้ยังไม่เหมาะรีดภาษีที่ดิน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศยังไม่ดี ดังนั้น การที่รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นการซ้ำเติม ควรจะจัดเก็บช่วงเวลาที่เหมาะสม ขณะที่นโยบายการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) นั้นไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ควรดำเนินการตอนนี้ เพราะจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและแย่ลง เนื่องจากปัจจุบันการบริโภคภายในประเทศค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว หากจะขึ้นภาษีแวตควรปรับขึ้นช่วงเศรษฐกิจดีและอัตราเจริญเติบโตของประเทศ ขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีละ 4-4.5%

นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ปรับขึ้นภาษีแวตในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน เพราะภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ยังไม่ดี แม้อยากจะปรับขึ้นก็คงไม่สามารถทำได้

แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก กล่าวว่า ขณะนี้ไม่เหมาะที่จะขึ้นแวต ควรรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นก่อน หากรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวดีขึ้นมากกว่านี้ การขึ้นแวตน่าจะทำได้ แต่ควรทยอยปรับขึ้นจากปัจจุบัน 7% เป็น 8% จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นเล็กน้อย แต่จะไม่เกิดความตระหนกจนถึงขั้นกักตุนสินค้า

- SMEโอดรายได้หด 30%

นางเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอทีเอสเอ็มอี) กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังไม่ดีนัก รายได้ลดลงประมาณ 20-30% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศยังไม่ฟื้นตัว จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวมากขึ้นเพราะไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม อยากเสนอให้จัดงานอาเซียนเที่ยวไทยภายในปีนี้ เป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เชื่อว่าจะกระตุ้นรายได้ให้ภาคเอสเอ็มอีได้รวดเร็ว

"จากการสอบถามเอสเอ็มอีที่เป็นสมาชิก หลายคนพูดตรงกันว่า รายได้ลดลงประมาณ 20-30% หลายคนไม่อยากรอมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศอย่างเดียวเพราะล่าช้า จึงอยากให้ภาครัฐโปรโมตให้อีก 9 ประเทศในอาเซียนมาเที่ยวไทย เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม เรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่แล้วแต่อยากให้อำนวยความสะดวกเพิ่มเติม อาทิ การให้วีซ่าเพราะบางประเทศยังต้องใช้วีซ่าเข้าไทยอยู่ หากกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้ จะทำให้ภาคเอสเอ็มอี ได้รับอานิสงส์โดยตรง เพราะรายได้หลักของหลายธุรกิจของเอสเอ็มอี มาจากภาคการท่องเที่ยว" นางเพ็ญทิพย์กล่าว

-หนี้เน่าเพิ่ม-จี้รัฐเร่งกระตุ้น ศก.

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีกำลังประสบปัญหาสภาพคล่องจากภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกชะลอตัว ส่งผลให้เริ่มเป็นเอ็นพีแอลในอัตราที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและหามาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องเอสเอ็มอีอย่างเร่งด่วน

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เริ่มเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในอัตราที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังการส่งออกชะลอตัวลง และแรงซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้จำหน่ายสินค้าลดลง และยังเผชิญการแข่งขันที่สูง ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

"การส่งออกเดือนมกราคมที่ผ่านมาลดลง ขณะที่แรงซื้อในประเทศไม่ฟื้นตัว ดังนั้นสิ่งที่เอกชนรอดูคือการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่จะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พบว่าเดือนมกราคมรัฐเบิกจ่ายงบลงทุนเพียง 5 หมื่นกว่าล้านบาท คิดเพียง 13% จากที่ตั้งเป้าไว้ ทำให้การลงทุนทั้งรัฐและเอกชนบางส่วนชะลอออกไป" นายเกรียงไกรกล่าว

ที่มา : นสพ.มติชน
///////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ซึมยาว !!?


โดย. วีรพงษ์ รามางกูร
ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่หน่วยงานราชการประกาศออกมาสอดคล้องกันกับบรรยากาศทางเศรษฐกิจของประชาชนไม่ว่าจะเป็นประชาชนระดับใด ต่างก็มีความรู้สึกว่าการทำมาหากินฝืดเคือง ไม่คล่องตัวเหมือนกับเมื่อ 2-3 ปีก่อน

สำหรับเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่เล็กและเปิด ลำพังแต่จะใช้ตลาดภายในประเทศย่อมจะไม่เพียงพอที่จะรองรับปริมาณการผลิตสินค้าและบริการเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรหรือสินค้าอุตสาหกรรม รวมทั้งยังต้องพึ่งพาภาคบริการอันได้แก่ การท่องเที่ยว สถานที่ที่นักท่องเที่ยวมาใช้บริการ โรงแรม ที่พัก รีสอร์ต สถานบริการ สถานพักผ่อนหย่อนใจต่างๆ

สถานการณ์เศรษฐกิจของโลกในขณะนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีว่ายังอยู่ในภาวะซบเซาตลาดสำคัญๆ ของสินค้าและบริการ อันเป็นแหล่งที่มาของเงินที่นำมาซื้อสินค้าและบริการของเรา อย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ยุโรปก็ยังมีปัญหาหนี้สินของประเทศบางประเทศที่เป็นตัวดึงรั้งเศรษฐกิจของตนไว้ไม่ให้ฟื้นตัว ทั้งประเทศของเราเองก็เข้าเกณฑ์ที่เขาจะต้องตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยการเจรจาเขตเศรษฐกิจเสรีกับยุโรปก็ดำเนินต่อไปไม่ได้ เพราะเขาไม่เจรจากับรัฐบาลของเราซึ่งเป็นรัฐบาลทหารหลังจากการทำรัฐประหาร

องค์ประกอบสำคัญที่ประกอบกันเป็นรายได้ประชาชาติได้แก่ การบริโภคของครัวเรือน การลงทุนของภาคเอกชน การลงทุนของภาครัฐบาลของรัฐวิสาหกิจ การส่งออกสินค้า

สําหรับการส่งออก ในบรรยากาศเศรษฐกิจของโลกและบรรยากาศทางการเมืองของไทย ตัวเลขที่ทางการประกาศออกมา การส่งออกของเราขยายตัวเพียง 0.7 เปอร์เซ็นต์ อัตราการขยายตัวในระดับนี้เป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ไม่แน่ใจว่าถ้าคิดเป็นปริมาณของสินค้าที่ส่งออกอาจจะลดลงก็ได้ ส่วนปีนี้อัตราการขยายตัวของการส่งออกก็ไม่น่าจะสดใสอะไรนัก เพราะเริ่มต้นเดือนมกราคมก็พบว่าการส่งออกหดตัวถึง 3.46 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ทั้งปีก็อาจจะหดตัวแทนที่จะขยายตัว

การส่งออกที่ซบเซาอย่างนี้ เกิดขึ้นทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ประเทศไทยแม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศเกษตรกรรม เพราะผลิตผลทางการเกษตรมีเพียงร้อยละ 10 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด แต่ผลิตภัณฑ์จากภาคเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องจากภาคเกษตรก็มีสัดส่วนที่สูงในบรรดาสินค้าส่งออกทั้งหมด

เมื่อการส่งออกซบเซาก็เป็นผลทำให้รายได้ของเกษตรกรหดตัวแทนที่จะเพิ่มขึ้นตลาดภายในของสินค้าภาคอุตสาหกรรมจึงหดตัวลงไปด้วย การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานล่วงเวลาจึงลดลง

ในสถานการณ์อย่างนี้ ที่ตลาดภายในประเทศซบเซาพร้อมๆ กับตลาดต่างประเทศ การผลิตของภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนปริมาณร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม จึงไม่สามารถผลิตได้เต็มกำลังการผลิต เมื่อการผลิตไม่สามารถผลิตได้เต็มกำลังการผลิต การลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานหรือการลงทุนเพื่อผลิตสินค้าใหม่ๆ ก็ไม่เกิด การลงทุนของภาคเอกชนจึงไม่เกิด นอกจากนั้น ระดับการพัฒนาของการขนส่งก็ยังล้าหลังประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่ง เช่น จีน มาเลเซีย ไม่ต้องพูดถึงเกาหลีใต้ ไต้หวัน และอื่นๆ

เมื่อการบริโภคของครัวเรือนและภาคเอกชนหดตัว การลงทุนภาคเอกชนคงไม่เกิดขึ้น การส่งออกก็พอมองเห็นว่าคงจะหดตัว ก็เหลือการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐบาล ที่จะเป็นตัวดึงให้ภาวะเศรษฐกิจของเราไม่ทรุดตัวหนักไปกว่าปีที่แล้ว

ที่น่าห่วงก็คือเศรษฐกิจของเรากำลังจะเคลื่อนตัวจากภาวะเงินฝืดหรือdeflation เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือ "recession" และเข้าสู่ภาวะ "กับดักสภาพคล่อง"

ภาวะเงินฝืดหรือ deflation เกิดขึ้นแล้ว ที่เห็นได้ก็คืออัตราเงินเฟ้อเป็นตัวเลขติดลบ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจึงเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด ซึ่งเป็นผลให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลหลักของโลกแข็งกว่าค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งเท่ากับเป็นการให้แต้มต่อประเทศที่เป็นคู่แข่ง

เครื่องชี้อีกอันหนึ่งก็คือภาวะเงินล้นตลาดการเงิน ทาง ธปท.ได้ประกาศว่ามีเงินที่ล้นระบบอยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้หมายความว่า การลงทุนยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการออมอยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาท หากเศรษฐกิจยังซบเซาต่อไป ตัวเลขนี้จะขยายตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ นักเศรษฐศาสตร์เรียกภาวะเช่นนี้ว่าภาวะ "กับดักสภาพคล่อง" หรือ "liquidity trap" เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่สภาพนี้แล้วการจะดึงออกจากสภาพเช่นนี้จะทำได้ยาก

การแก้ไขต้องรีบทำโดยด่วน นโยบายอันแรกก็คือผลักดันการส่งออกทุกวิถีทาง อะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกต้องขจัดออกไป อุปสรรคสำคัญของการส่งออกก็คือ "ค่าเงิน" ควรจะอ่อนกว่าประเทศคู่แข่ง ดอกเบี้ยก็ควรจะต่ำกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ธนาคารกลางควรให้ความร่วมมือ

อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบเป็นอันตรายกับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ปกติจะไม่เกิดขึ้นบ่อย ยกเว้นในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซามากๆ เพราะอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบจะทำให้ธุรกิจทุกประเภทขาดทุน อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดมาก เพราะอัตราเงินเฟ้อติดลบต้องดึงกลับมาให้เป็นบวก

ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้มากขึ้นควรจะมีแผนการท่องเที่ยวร่วมมือกับภาคเอกชน ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวในตลาดระดับบนให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ต้องถือเป็นนโยบายสำคัญที่สุด

การลงทุนโดยภาครัฐบาลก็เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อชดเชยการหดตัวของการลงทุนภาคเอกชนการลงทุนของภาครัฐบาลนั้นอาจจะให้กระทรวงทบวงกรมทำเอง เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบทและกรมชลประทาน ขณะนี้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญๆ ก็จัดทำโดยรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น การลงทุนของรัฐวิสาหกิจจึงเป็นเรื่องจำเป็นและรีบด่วน

เงินทุนสำหรับการลงทุนก็ไม่ควรจะไปกู้จากต่างประเทศควรจะออกพันธบัตรกู้ยืมเป็นเงินบาทจากตลาดภายในประเทศ จะเป็นการช่วยให้ภาวะเงินล้นตลาดลดลง หากไปกู้มาจากต่างประเทศก็จะไม่ช่วยลดปริมาณเงินที่ล้นตลาด ไม่ช่วยให้เศรษฐกิจออกจากสภาวะ "กับดับสภาพคล่อง" การที่รัฐบาลไม่ลงทุนหรือลงทุนน้อยเกินไปจะเป็นอันตราย จะทำให้เศรษฐกิจที่ถดถอยอยู่แล้วเดินเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาเร็วยิ่งขึ้น

ควรจะต้องช่วยกันคิดมิฉะนั้นอาจจะต้องลำบากกันอีก

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บรรยากาศเละเทะ อึดอัด !!?


โดย.วีรพงษ์ รามางกูร

ทุกวันนี้จะหยิบปากกามาเขียนอะไร หรือจะเปิดปากคุยอะไรกับใคร ดูจะอึดอัดใจไปหมด เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ถ้าจะเขียนเรื่องในบ้าน วัตถุดิบที่จะนำมาเขียนหรือนำมาคุยมีค่อนข้างจำกัด แต่ถ้าเป็นเรื่องต่างประเทศก็มีวัตถุดิบมากมายไม่จำกัด ที่สำคัญก็คือไม่รู้ว่าคนที่เรากำลังพูดกำลังคุยอยู่เขาเป็นพวกไหน เขาเชื่ออะไร เช่น เขาชอบอะไร เขาเกลียดอะไร เขาคิดแบบไหน ต้องระวังตัวกันอย่างไม่เป็นปกติ

การจะพูดกันด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริง เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ต้องรอฟังเขาพูดเสียก่อน ว่าเขาสังกัดอะไร คุยเรื่องแนวไหน แล้วค่อยพูด ขืนพูดไม่ระมัดระวังไป โอกาสที่จะเสียเพื่อนมีสูงมาก

คนไทยด้วยกันบัดนี้พูดกันคนละภาษา พูดกันคนละเรื่องไปเสียแล้ว จะใช้เหตุผลกันไม่ได้ ต้องใช้ "ศรัทธา" พูดกัน ในวงสนทนาที่มี "ศรัทธา" เดียวกัน ในขณะที่คนไทยด้วยกันพูดกันคนละภาษา ฝรั่งต่างชาติเสียอีกกลับพูดภาษาเดียวกัน สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้

ที่ประหลาดก็คือมีข่าว "เขาว่า" เรื่องแปลกๆ ออกมาให้ตื่นเต้นอยู่เสมอ โดยไม่สามารถบอกได้ว่า "เขาว่า" เป็นใคร มาจากแหล่งใด แต่เพราะเป็นข่าวที่ผู้คนสนใจจึงมีผู้พยายามค้นหา แต่ก็ไม่มีทางหาได้ ก็เคยต้องหาเอาจากเฟซบุ๊กหรืออินเตอร์เน็ต แล้วก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่เป็นข่าวเท็จ

ความอึดอัดใจเกิดจากสิ่งที่ได้รับการบอกกล่าว สิ่งที่ฟัง สิ่งที่อ่าน แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ยกตัวอย่าง รัฐบาลก็ดี หน่วยราชการก็ดี ต่างก็บอกว่าเศรษฐกิจดี ราคายาง กก.ละ 80 บาท ข้าวเกวียนละ 10,000 บาท อ้อยน้ำตาลราคาดี แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น จะส่งเรื่องบอกกล่าวสื่อมวลชนก็ไม่ลงข่าวให้ แต่ก็อยู่กันได้ ไม่มีปัญหาอะไร สงบเรียบร้อยดี

สหภาพยุโรปตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีขาเข้าและไม่เจรจาเรื่องเขตการค้าเสรี ก็ไม่กระทบการส่งออกของเรา สหรัฐอเมริกายกเรื่องการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาส เพื่อตัดสิทธิทางภาษีขาเข้ากับเราและไม่ยอมเจรจาด้วย เพราะประเทศเราไม่มีประชาธิปไตย ก็ไม่เป็นไร ไม่กระทบต่อการส่งออกของเรา ค่าเงินบาทแข็งเพราะธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมลดดอกเบี้ย เพราะดอกเบี้ยไม่มีผลต่อค่าเงิน ก็ไม่เป็นไรไม่กระทบต่อการส่งออก จะวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ผิดกฎอัยการศึก พ่อค้านักอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของเราก็ต้องพึ่งการส่งออกทั้งนั้น พูดอะไรก็ไม่ได้ ต้องนั่ง "อึดอัดใจ" กันไป

การที่เราถูกตัดจีเอสพี โดยยุโรป อเมริกา ออสเตรเลียและอื่นๆ ย่อมเป็นที่ยินดีของเพื่อนประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกัน เพราะเขาจะได้ส่งออกแทนของไทย ตลาดที่เราเสียไปให้กับเพื่อนอาเซียนนั้นจะเสียไปอย่างถาวร ไม่ใช่ชั่วคราว เพราะเมื่อผู้ซื้อเปลี่ยนผู้ขายแล้วยากที่จะกลับคืนมา

การลงทุน ไม่ต้องพูดถึง ขณะนี้เราผลิตอยู่เพียงครึ่งเดียวของกำลังการผลิต เหตุผลทางเศรษฐกิจจึงไม่มีอยู่แล้ว แต่ยังมีเหตุผลเพิ่มเติม นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศย่อมไม่กล้าลงทุนกับประเทศที่ตลาดยุโรปและอเมริกา หรือที่อื่นๆ เพราะเขาไม่ยอมรับประเทศที่ปกครองด้วยระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือประเทศที่ไม่เป็น "นิติรัฐ"

เศรษฐกิจการค้าการขายในทุกวันนี้ล้วนผูกพันกับการเมืองอย่างใกล้ชิด เราเคย "อึดอัดใจ" ที่มีประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ที่ปกครองด้วยระบอบ "เผด็จการทหาร" แล้วเราก็เป็นผู้นำทางประชาธิปไตยในกลุ่มอาเซียน ได้รับมอบหมายให้ทำงานกับรัฐบาลทหารในพม่า ในการเข้าไปสร้างสรรค์กลวิธีการดำเนินการ สร้างแผนการและกรอบเวลาเพื่อนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย อันเป็นเงื่อนไขของการรับพม่าเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน บัดนี้ต้อง "อึดอัดใจ" ที่ได้ยินผู้นำพม่าเตือนเราว่า ให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว

เรื่องทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ การดำรงตนอย่างมีศักดิ์ศรีในประชาคมโลก ในฐานะอารยประเทศ มีความสำคัญเท่าๆ กับการอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ที่ "อึดอัดใจ" มากขึ้น เมื่อเห็นสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นในวงการสงฆ์ โดยที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นคนจุดพลุริเริ่มขึ้นด้วยเรื่องที่ได้ยุติไปแล้ว มติของมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี 2542 ได้กลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เกิดการจาบจ้วงหยาบคายต่อองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยอันได้แก่มหาเถรสมาคม ซึ่งประกอบด้วยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ชั้นสมเด็จพระราชาคณะชั้นรอง สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนไม่ว่าจะสมัยใด ย่อมเป็นการแสดงอาการป่วยของสังคมไทยที่ "อึดอัด" แปลกใจกับการไม่มีปฏิกิริยาคัดค้านการกระทำดังกล่าวจากคณะสงฆ์อื่นๆ และประชาชนชาวพุทธเลย อึดอัดจนไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร

บรรยากาศแห่งความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นจากการปะทุขึ้นของเรื่องต่างๆ ที่ปกปิดกันมาเป็นเวลานานกำลังผุดขึ้นเหมือนพลุที่ถูกจุดขึ้นในยามค่ำคืน


เริ่มต้นตั้งแต่ความสับสนของขบวนการใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นไปตามปกติ มีความผิดปกติที่วิญญูชนทั่วไปคาดไม่ถึง ความสับสนปนเปเละเทะของหน่วยงานใหญ่ที่เป็นผู้ดูแลความสงบสุขและปราบปรามอาชญากรรม อย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การล่มสลายของสถาบันนิติบัญญัติและรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย การปฏิเสธประชาธิปไตย การเรียกร้องให้มีการทำรัฐประหาร รวมทั้งการสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคาดได้ ในประเทศที่กำลังจะก้าวข้ามการเป็นประเทศกึ่งพัฒนา แล้วไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 ความเละเทะ ไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์ ไม่มีเหตุผล เต็มไปด้วยอคติและอารมณ์ คงจะดำรงอยู่ในสังคมไทยไปอีกระยะหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดกาล

ในบรรยากาศที่แสนจะอึดอัดดังกล่าวนี้ ทุกคนอยู่กับความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น สังคมที่เละเทะ ไม่คงเส้นคงวา วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ เต็มไปด้วยข่าวลือที่พิสูจน์ไม่ได้ ย่อมคาดการณ์อะไรข้างหน้าได้ยาก

ทุกคนคิดว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ คงจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติขึ้น ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร รู้แต่ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งไม่ดี ไม่น่าพึงประสงค์ แต่ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่และไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ไม่ทราบว่าจะป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่ดีนั้นได้อย่างไร เพราะยังไม่รู้ชัดว่ามันคืออะไร เพราะการพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งต้องห้าม

บรรยากาศแบบนี้จึงเป็นบรรยากาศที่อึดอัด คนที่มีพลังหนุนหลังจึงแสดงออกอย่างเต็มที่ในการโจมตีทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้าม ที่น่ากลัวก็คือจากองค์กรทางการเมืองมาสู่รัฐบาลขณะนี้กำลังคืบคลานเข้าไปสร้างความแตกแยกในวงการศาสนา การเข้าไปในวงการศาสนาเป็นเรื่องที่อันตราย เพราะเป็นการเข้าไปท้าทายต่อศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก

ศรัทธาเป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้ อธิบายไม่ได้ ถ้าไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วก็ไม่ควรไปท้าทาย

สถานการณ์ที่น่ากลัวนี้จะพัฒนาไปอย่างไร

ที่มา.มติชน
///////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หนี้ครัวเรือน..!?


โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

ระยะนี้มีการกล่าวถึงเรื่องหนี้ครัวเรือน หนี้รัฐบาลและหนี้ต่างประเทศกันมาก อาจจะเป็นเพราะประเทศไทยของเรามาถึงจุดที่จะต้องลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการขนส่งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ เพราะเหตุที่ประเทศของเราได้ว่างเว้นการลงทุนโครงการพื้นฐานมาเป็นเวลานาน จนเป็นเหตุให้ประเทศล้าหลังประเทศอื่น เช่น จีน เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือแม้แต่อินโดนีเซีย

ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมาตลอดตั้งแต่หลังเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ต่อเนื่องมาโดยตลอดเป็นเวลากว่า 17-18 ปีแล้ว จึงมีแรงกดดันให้มีการพูดถึงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น การลงทุนในระบบราง การลงทุนในระบบการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ซึ่งจะต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล

การที่เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทุกปี ก็แปลว่าประเทศของเรา "ออม" มากกว่า "ลงทุน" สะสมมาเรื่อย ๆ หรือจะกล่าวว่าเราลงทุนน้อยเกินไป หรือ "underinvest" มาตลอดเวลาก็ได้

ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างบริษัท 2 บริษัท ที่ผลการดำเนินงานมีกำไรเท่า ๆ กัน บริษัทหนึ่งถือโอกาสนำกำไรไปลงทุนต่อ ขยายตลาดต่อ กับอีกบริษัทนำกำไรไปฝากธนาคารไว้เพื่อความมั่นคง ต่อมาอีก 10 ปี บริษัทที่นำเอากำไรไปลงทุนต่อก็จะมีกิจการใหญ่โต และถ้ารู้จักระมัดระวัง ไม่ลงทุนเกินตัวจนมีหนี้สินมากเกินไป ก็จะมีการเติบโตพร้อม ๆ กับมีความมั่นคงด้วย ส่วนบริษัทที่นำกำไรไปฝากธนาคารเป็นเงินออมของบริษัท แม้จะมีความมั่นคงระดับหนึ่ง แต่ก็จะแคระแกร็นและอาจจะอยู่ไม่ได้ เพราะไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นได้ ประเทศก็เช่นเดียวกัน ถ้าสามารถสร้างเงินออมได้แต่ไม่รู้จักลงทุน อีกทั้งยังนำเงินออมของประเทศไปซื้อพันธบัตรของสหรัฐอเมริกาก็เท่ากับนำเอาเงินออมของตนไปให้อเมริกาใช้ชดเชยการลงทุนของเขา เราไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์

การลงทุนโครงการใหญ่จึงเป็นของจำเป็น โดยรัฐบาลเป็นผู้ลงทุนจากการกู้ยืม "เงินบาท" จากประชาชน ฉะนั้นจึงไม่มีอันตรายอะไรเลย เมื่อจะนำเข้าสินค้าหรือบริการก็นำเงินบาทไปซื้อเงินตราต่างประเทศในตลาดเงินหรือตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศได้ ไม่มีปัญหาอะไร ในกรณีที่รัฐบาลกู้เงินบาทครัวเรือนก็เป็นเจ้าหนี้

สำหรับหนี้ของรัฐบาลและภาครัฐ ที่เป็นหนี้ภายในประเทศควรจะเกินเท่าใดจึงจะไม่เป็นอันตรายต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศนั้น ไม่มีสูตรแน่นอนตายตัว แต่มักจะวัดกันว่ามีสัดส่วนเท่าใดของรายได้ประชาชาติบ้าง เช่น เราตั้งเพดานไว้ว่าไม่ควรเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ แต่แม้จะเกินก็ไม่เป็นไร มีหลายประเทศที่หนี้สาธารณะมีจำนวนสูงกว่ารายได้ประชาชาติก็มีมาก เช่น ญี่ปุ่นมีสูงกว่า 250 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ เป็นต้น

ที่สำคัญก็คือ "ภาระการชำระหนี้" ทั้งที่เป็นเงินต้นและดอกเบี้ย เรากำหนดไว้ใน พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณว่าไม่ให้เกินร้อยละ 25 ของงบประมาณรายจ่าย มีบางช่วงหลังวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 รายได้จากภาษีอากรไม่เข้าเป้า ก็มีการแปลงหนี้โดยการกู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า เพื่อยืดอายุการชำระหนี้ออกไปก็มี เป็นเรื่องที่จัดการได้

หนี้ของรัฐบาลและของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งหนี้ของบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่เป็นเงินบาท ในแง่มหภาคหรือเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวมจึงเป็นหนี้ของตัวเอง กล่าวคือ ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต่างก็เป็นคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจอันเดียวกัน ดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จ่ายก็เป็นรายได้ของเจ้าหนี้ รวมแล้วรายได้ของคนในระบบมีเท่าเดิม

สำหรับหนี้ของครัวเรือนที่มีการพูดถึงกันมากว่า จะเป็นอันตรายต่อระบบการเงินและเสถียรภาพของครอบครัว โดยมีการรายงานหนี้ของครัวเรือนว่ามีเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้แล้ว รายงานหนี้ของครัวเรือน น่าจะแฝงอคติเข้าไปด้วยว่าการเป็นหนี้ของครัวเรือนเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย

ขณะเดียวกันกับความวิตกว่าหนี้ของครัวเรือนหรือหนี้ส่วนบุคคลมีจำนวนสูงขึ้น ก็มีอีกฝ่ายหนึ่งชี้ให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างรายได้ของบุคคลหรือครัวเรือนนั้น เป็นเพราะคนในระดับ "รากหญ้า" ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้

เนื่องจากเงินทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต นอกเหนือไปจากแรงงานในประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศกำลังพัฒนา
ที่ค่าตอบแทนต่อแรงงานมักจะต่ำ เพราะปริมาณแรงงานมีมากเมื่อเทียบกับความต้องการ ขณะเดียวกันค่าตอบแทนต่อเงินทุนมีสูง เพราะเงินทุนมีจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการ การเข้าถึงเงินทุนอย่างทั่วถึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะทำให้คนในระดับรากหญ้าสามารถเปลี่ยนอาชีพจากผู้ใช้แรงงานมาเป็นผู้ประกอบการรายย่อยได้ เป็นผู้ประกอบการที่สามารถใช้เงินทุนให้ได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่า "ดอกเบี้ย" และในขณะเดียวกันกับหนี้สินในระบบที่อัตราดอกเบี้ยไม่สูง ย่อมจะทำให้ครัวเรือนสามารถสร้างทรัพย์ของครัวเรือนได้

ด้วยเหตุที่ธนาคารพาณิชย์ไม่อาจจะสนองตอบต่อความต้องการของครัวเรือนระดับล่างในการให้กู้ยืมเพื่อการผลิตในระดับครัวเรือนได้ จึงเป็นหน้าที่ของ "รัฐ" ที่จะจัดตั้งสถาบันการเงินภาครัฐ เช่น ธ.ก.ส.ก็ดี ธนาคารออมสินก็ดี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ก็ดี หรือแม้แต่ธนาคารเพื่อวิสาหกิจขนาดย่อม เพื่อทำหน้าที่จัดระดมเงินฝากจากครัวเรือนรายย่อยและจัดหาสินเชื่อให้กับครัวเรือนในกรณีที่ตลาดการเงินไม่ทำงาน


คนชั้นสูงมักจะมองว่าคนชั้นล่างไม่ควรเป็นหนี้เพื่อซื้อรถยนต์ จักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องไฟฟ้าในครัวเรือน และอื่น ๆ โดยลืมไปว่าสิ่งของอย่างเดียวกันที่คนระดับล่างซื้อหามาใช้ในครัวเรือนมิใช่เป็นสินค้าเพื่อการบริโภคอย่างเดียว แต่มีลักษณะเป็นสินค้าทุนด้วย เช่น ยานพาหนะที่ใช้ในการประกอบอาชีพเพื่อการขนส่ง โทรศัพท์มือถือก็ใช้ในการประกอบอาชีพ รวมทั้งเครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือนก็อาจจะเป็นเครื่องผ่อนแรง ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ค่าแรงงานที่เขาสามารถทำมาหาได้ ความจริงแล้วส่วนใหญ่ต่างก็เป็น "สัตว์เศรษฐกิจ" ทั้งนั้น

การรายงานตัวเลขหนี้สินของครัวเรือนอย่างเดียวโดยไม่ได้ดูทางด้านทรัพย์สินและรายได้ของครัวเรือน จึงเป็นการมองที่ผิวเผินและอาจจะนำไปสู่การดำเนินนโยบายที่ผิด ๆ ด้วย ถ้าเปรียบเทียบหนี้ของครัวเรือนของไทยน่าจะมีอัตราสูงกว่าหนี้ของครัวเรือนในพม่าหรือประเทศอินโดจีน แต่ไม่ได้หมายความว่า เสถียรภาพทางการเงินของครัวเรือนในพม่า ในเวียดนามหรือประเทศอื่นจะดีกว่าเสถียรภาพทางการเงินของครัวเรือนในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม น่าจะมีครัวเรือนบางแห่งที่สมาชิกในครัวเรือนไม่รับผิดชอบ ติดยาเสพติด ติดสุรายาเมา เมื่อถึงเวลาชำระหนี้ก็ผิดนัด กลายเป็นหนี้เสีย แต่น่าจะเป็นส่วนน้อย ในที่สุดกลุ่มคนส่วนนี้ก็อาจจะลงไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ ที่มีอัตราดอกเบี้ยแพงและเป็นข่าว ซึ่งน่าจะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่ก็เป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องยื่นมือเข้ามาป้องกันการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเหล่านั้น

สังคมที่พัฒนาแล้วเช่นสหรัฐอเมริกาและยุโรป ประชาชนเริ่มต้นชีวิตและครอบครัวโดยการเป็นหนี้ก่อน เพราะในช่วงอายุยังน้อยรายได้ยังต่ำ การเป็นหนี้คือการดึงเอารายได้ในอนาคตมาใช้ก่อน โดยเริ่มจากการกู้ยืมเพื่อการศึกษา ซื้อยานพาหนะ บ้านและที่ดิน แล้วก็ค่อย ๆ ผ่อนส่งไปจนถึงเวลาเกษียณอายุ ความเสี่ยงย่อมเป็นความเสี่ยงของเจ้าหนี้ หรือสถาบันการเงินที่ให้กู้ยืมด้วย ไม่ใช่ของครัวเรือนเท่านั้น ส่วนลูกหลานจบการศึกษาแล้วหาเอาเอง

แต่ค่านิยมของพวกเราชาวตะวันออกมิได้เป็นเช่นนั้น พ่อแม่จึงต้องออมไว้เป็นมรดกสำหรับลูกหลาน

คิดไม่เหมือนกัน ระบบภาษีก็ไม่ควรเหมือนกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ธุรกิจรอเก้อ-ลงทุนรัฐล่าช้า เศรษฐกิจรากหญ้ากระตุ้นไม่ขึ้น..!!?


ลงทุนภาครัฐ.. เครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 58 ไม่ขยับ-เบิกจ่ายล่าช้า ส่งผลภาคธุรกิจไม่กล้าลงทุนใหม่ เอกชนร้องขอภาครัฐเร่งเครื่องสร้างความชัดเจนการลงทุน ด้าน รัฐบาลคาดโทษ "ปลัด-อธิบดี" เบิกจ่ายล่าช้า "ทนง พิทยะ" ชี้เศรษฐกิจชนบททรุดหนักจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
เอกชนยังชะลอลงทุน

จากรายงานผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือน ม.ค. 2558 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ภาวะธุรกิจในไตรมาส 1/58 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในด้านการลงทุนภาคเอกชนยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน เมื่อพิจารณาจากความต้องการขอสินเชื่อที่แม้จะปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในอัตราชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้า และความต้องการสินเชื่อ

ส่วนใหญ่ยังเป็นสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น สอดคล้องกับความเห็นของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ยังชะลอการลงทุนเพื่อรอดู ความสามารถในการเบิกจ่ายงบฯลงทุนของภาครัฐที่จะส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ ประกอบการและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ

อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในภาคก่อสร้างและจำนวนโครงการที่ได้ รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องดื่ม ธุรกิจปิโตรเลียมและธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ มีแผนการลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน

สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในเดือนธันวาคม 2557 ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยพบว่าการลงทุนเครื่องจักรชะลอลงตามการนำเข้าสินค้าทุน อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม พลังงานหมุนเวียน ค้าปลีกค้าส่ง และอสังหาริมทรัพย์ ยังมีการลงทุนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในประเทศ

รายงานระบุว่า ภาคธุรกิจยังไม่เพิ่มการลงทุนใหม่มากนัก เพราะรอประเมินความชัดเจนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้น ฐานของภาครัฐดังนั้นความต่อเนื่องและความชัดเจนของนโยบายภาครัฐจะเป็นปัจจัย สำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กับภาคธุรกิจ

อุปโภคบริโภคไม่ฟื้นตัว

ขณะ ที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในเดือนธันวาคม 2557 พบว่าชะลอจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงและราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำทำให้ครัว เรือนระมัดระวังการใช้จ่าย สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นต่อรายได้ในอนาคตของผู้บริโภคที่ทรงตัวต่อ เนื่อง ประกอบกับความระมัดระวังของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้การใช้จ่ายในสินค้าคงทนโดยเฉพาะในรถยนต์ยังไม่ฟื้น รวมทั้งการใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนที่อ่อนแรงลง หลังจากปรับตัวดีขึ้นก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มในช่วงต้นปี 2558 จะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมากที่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อภาคครัว เรือน

"ประสาร" ชี้ค่อยเป็นค่อยไป

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรื่องการอุปโภคบริโภค การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการลงทุนเริ่มกลับมาเล็กน้อย

ขณะที่ภาคการส่งออกเป็นส่วนที่ยัง ไม่ดี โดยคาดว่าครึ่งแรกของปี"58 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี จะขยายตัวเฉลี่ยกว่า 4% ส่วนครึ่งปีหลังน่าจะเห็นการเติบโตกว่า 3% ทำให้ทั้งปีน่าจะเติบโตตามเป้าหมายที่ ธปท.ตั้งไว้ 4%

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไปจะต้องพิจารณาข้อมูลที่สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จะประกาศในวันจันทร์ที่ 16 ก.พ.นี้ก่อน ซึ่งจะมีรายละเอียดของแต่ละภาคส่วนเป็นสำคัญ

นายประสารกล่าวว่า ในส่วนข้อกังวลเรื่องภาวะเงินฝืดที่อาจจะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของประชาชนที่ มีการระมัดระวังเรื่องของการใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อรอดูทิศทางของเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบายของรัฐบาลนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของความรู้สึก แต่เวลาที่ ธปท.พิจารณาก็จะมองในภาพรวมเป็นหลัก ซึ่งจะมองจากการอุปโภคบริโภค โดยเท่าที่รับรู้ข้อมูลก็มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น แม้จะไม่ได้รวดเร็วมากนัก

ด้านนายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึงทิศทางการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจปี"58 ว่า มีแนวโน้มเติบโตหากเทียบกับช่วงที่ผ่านมา โดยสินเชื่อธุรกิจที่ยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะกลุ่มสาธารณูโภคที่ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากที่ยังคงมีความ ต้องการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้า เช่นเดียวกับภาคก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ที่ยังเติบโตได้

"แม้สัญญาณจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็ต้องติดตามการลงทุนของภาครัฐด้วยว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะพูดว่าสินเชื่อธุรกิจจะโตหรือไม่"

เบิกจ่ายช้าคาดโทษปลัด-อธิบดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2558 ที่ยังล่าช้าส่งผลต่อเนื่องต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากเงินหมุนเวียนเข้าไปในระบบน้อย ทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการเข้มข้นในการเร่งรัดผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายงบฯเป็นพิเศษ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ คสช. ได้สั่งการให้หน่วยงานราชการทุกแห่งเร่งรัดทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างให้แล้ว เสร็จภายในเดือน มี.ค.นี้ เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้า และให้สำนักงบประมาณรายงานความคืบหน้าต่อ ครม. และ คสช.

ขณะเดียวกัน ให้ 9 หน่วยงาน ประกอบด้วยกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับจัดสรรงบฯรายจ่ายด้านการลงทุนจำนวนมาก รายงานผลการจัดซื้อจัดจ้าง และจัดทำแผนเร่งรัดเบิกจ่ายงบฯเสนอ ครม.พิจารณา วันที่ 18 ก.พ.นี้

พร้อมกับมอบหมายให้ รองนายกฯและ รมต.แต่ละกระทรวงไปเร่งรัดหน่วยงานในการกำกับดูแลให้เร่งเบิกจ่ายงบฯให้เป็น ไปตามเป้าที่วางไว้ หากหน่วยงานใดไม่เร่งรัดติดตามและการเบิกจ่ายยังล่าช้า ผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป จนถึงรองปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวง จะต้องรับผิดชอบ และจะมีผลต่อการพิจารณาประเมินผลการปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าวด้วย

ยอดเบิกจ่าย 4 เดือนแรกต่ำเป้า

รายงาน ข้อมูลจากกระทรวงการคลังพบว่า ช่วงต้นปีงบประมาณ 2558 (ต.ค. 2557-ม.ค. 2558) มียอดเบิกจ่ายดังนี้ 1.เงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี 2548-2556 มียอดเบิกจ่ายที่ 16,790.5 ล้านบาท ต่ำกว่าวงเงินที่มี 24,892.4 ล้านบาท 2)เงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี 2557 มียอดเบิกจ่าย 78,786 ล้านบาท ต่ำกว่าวงเงินวางไว้ที่ 147,050.8 ล้านบาท

3)งบฯลงทุนปีงบประมาณ 2558 เบิกจ่ายได้ 58,082 ล้านบาท ขณะที่มีการตั้งเป้าหมายจะเร่งเบิกจ่ายในไตรมาสแรก 129,522.2 ล้านบาท และ 4)งบฯกลางที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีและงบฯไทยเข้มแข็งปี 2552 ส่วนที่เหลือ ซึ่งพบว่ามีการเบิกจ่าย1,426 ล้านบาท จากวงเงินรวมที่มี 23,000 ล้านบาท

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การใช้จ่ายภาครัฐในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมา มีการเบิกจ่ายในส่วนงบฯลงทุนยังต่ำ เนื่องจากเป็นเรื่องเทคนิคที่ต้องมีการปรับงบฯลงทุนบางส่วนไปเป็นงบฯประจำ แต่หากมองภาพรวมทั้งงบประมาณ เงินนำส่งรัฐวิสาหกิจ เงินจากโครงการไทยเข้มแข็ง พบว่าถึงสิ้นเดือน ธ.ค. มีการเบิกจ่ายกว่า 9 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นโมเมนตัมให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีในไตรมาสแรกจากนี้ไป

"เพราะจะมีเงินออกใหม่อีกหลายตัว โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐในด้านคมนาคม ถึงสิ้นปีจะมีเม็ดเงินออกมาราว 1 แสนล้านบาท" นายวิสุทธิ์กล่าว

สำหรับ การใช้จ่ายบริโภคเอกชนนั้น หากพิจารณาจากตัวเลขภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการบริโภคในเดือน ม.ค. จัดเก็บได้ 4.2 หมื่นล้านบาท หากคำนวณเป็นตัวเลขการใช้จ่ายด้านบริโภคที่เกิดขึ้นก็จะอยู่ที่กว่า 5 แสนล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงกว่าในรอบหลายไตรมาสที่ผ่านมา

"ทนง" ห่วง "เศรษฐกิจชนบท"

นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2558 นี้ คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 3-3.5% หากวิเคราะห์ในรายละเอียดจะพบว่า เศรษฐกิจในเมืองใหญ่ยังมีทิศทางการขยายตัวที่ดี เนื่องจากมีสัดส่วนของประชากรที่มีรายได้สูงช่วยขับเคลื่อน

ภาคการบริโภค แต่เศรษฐกิจภาคชนบทจะค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงอย่างมาก ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใช้วิธีให้เงินอุดหนุน ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลชุดก่อนหน้าทำได้ ส่งผลให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไม่ขยายตัวเท่าที่ควร

"เศรษฐกิจชนบท กำลังมีปัญหาเพราะราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงอย่างมาก เราต้องหาทางแก้ ไม่อย่างนั้นจะติดกับดักรายได้ ซึ่งหมายถึง ทุกคนในประเทศมีงานทำ การว่างงานในประเทศมีน้อย แต่เศรษฐกิจกลับไม่โต ทั้งที่ความจริงถ้าทุกคนมีงานทำ เราควรจะโตอย่างน้อย 6-8% แต่นี่เรากลับโตแค่ 1-3% เท่านั้น" นายทนงกล่าวว่า

อสังหาฯรายกลางรีวิวแผนลงทุน

นายปรีชา กุลไพศาลธรรม กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทเปี่ยมสุข ผู้พัฒนาโครงการจัดสรรแบรนด์บ้านเปี่ยมสุข เปิดเผยว่า บริษัทได้รีวิวแผนลงทุนปี 2558 เนื่องจากกำลังซื้อที่อยู่อาศัยยังฟื้นตัวช้า และการเบิกจ่ายงบฯภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่เห็นผลชัดเจน จากเดิมมีแผนเปิดโครงการใหม่ปีนี้ 4 โครงการ ขณะนี้ปรับลดเหลือ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทาวน์โฮม3 ชั้น ทำเลกาญจนาภิเษก-พระราม 5 มูลค่า700 ล้านบาท และโครงการบ้านแฝดทำเลทางด่วนศรีสมาน มูลค่า 400-500 ล้านบาท

สำหรับ อีก 2 โครงการ คือ ทาวน์โฮมทำเลรัตนาธิเบศร์ มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท และทาวน์โฮมทำเลบางบัวทอง มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ตัดสินใจชะลอไปเป็นต้นปีหน้า ยกเว้นกำลังซื้อช่วงครึ่งปีแรกจะกลับมาฟื้นตัวชัดเจน อาจเลือกเปิดขายอีก 1 โครงการ

ด้านนายศุภชัย แจ่มมโนวงศ์ กรรมการบริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัดที่ปรึกษาการลงทุนและรับบริหารงานขายโครงการอสังหาฯ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ โครงการคอนโดฯบัดเจ็ท ไบร์ท บนถนนจรัญสนิทวงศ์ได้ชะลอเปิดตัวโครงการเป็นทางการจากไตรมาส 1 เป็นไตรมาส 2 เพื่อรอดูความชัดเจนเศรษฐกิจ นอกจากนี้มีโครงการคอนโดฯอีก 1-2 โครงการที่บริษัทกำลังเจรจารับบริหารงานขาย แต่ยังไม่เซ็นสัญญารับงานเลื่อนเปิดตัวจากต้นปีเป็นครึ่งปีหลัง

เอกชนขอความชัดเจนลงทุนรัฐ

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการ หอการค้าไทย กล่าวว่า การที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐล่าช้าหรือไม่ชัดเจนก็จะส่งผลต่อ บรรยากาศการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งกลุ่มห้างสรรพสินค้าก็จะได้รับผลกระทบตามมาเช่นกัน ดังนั้นโครงการลงทุนของภาครัฐควรจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3/2558 เพื่อจะเห็นการลงทุนและเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบได้ภายในปีหน้า

ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) และรองประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตโดยเฉลี่ยของภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่เพียง 60% เท่านั้นซึ่งยังไม่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าภาคธุรกิจก็ยังไม่มีการลงทุนเพิ่ม

ขณะที่การบริโภคภายในประเทศที่ยังชะลอตัว ในส่วนของศรีไทยฯจึงเน้นขยายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งการผลิตของบริษัทส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าส่งออก ส่วนที่รองรับตลาดในประเทศค่อนข้างน้อย

อย่างไรก็ตาม มองว่าภาครัฐควรทำให้การลงทุนของภาครัฐมีความชัดเจน เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุน การบริโภคภายในประเทศกลับมา

7-11 มองความหวังครึ่งปีหลัง

นาย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่าสภาพตลาดและเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เชื่อว่าภาคธุรกิจยังเดินหน้าลงทุน โดยการเปิดเออีซีก็เป็นโอกาสที่ดี ทำให้เกิดการลงทุน ซึ่งไทยก็จะได้รับโอกาสจากการเป็นศูนย์กลางภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ในแง่ของจิตวิทยาก็มีผลบ้าง คือมองว่าเศรษฐกิจซึม ก็อาจจะทำให้ธุรกิจและผู้บริโภคยังไม่ต้องการใช้เงิน

"เซเว่นฯจะขยาย สาขาใหม่ 700 สาขา จากที่มีอยู่ 8,100 สาขา ปีนี้น่าจะโต 11-12%ปลายปีที่แล้วเราไม่รู้ว่าน้ำมันจะลดลงมกราคมที่ผ่านมาก็ไม่รู้ว่า เงินยูโรจะอ่อนค่าลงมาก มีผลต่อต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวลดลง บรรยากาศตลาดกำลังซื้อลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าเมืองไทยไม่ดี ผมไม่ได้มองทั้งปี แต่มองอีก 6 เดือนจะเปลี่ยนไปดูครึ่งปีหลังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง"

ที่มา.ปประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////