--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์..ยัน ชดใช้เสื้อแดง ต้องดูเรื่องงบ ยุทธศักดิ์. แนะปรองดอง เยียวยาทุกฝ่าย !!?

ทนาย น.ป.ช.เผยส.ส.เพื่อไทยผนึกกำลังเตรียมชดใช้ตำแหน่งยื่นประกันแนวร่วมเสื้อแดง 22 คนพ้นคุก ขณะที่กรมคุ้มครองสิทธิฯเล็งอนุมัติงบกองทุนยุติธรรมช่วยเหลืออีกแรง เผยดีเอสไอและ สตช.ไม่คัดค้านการประกันตัวแล้ว “ยิ่งลักษณ์” แย้มเงินชดใช้ให้เสื้อแดงที่เสียชีวิตต้องดูเรื่องงบฯ และความเหมาะสม “บิ๊ก อ๊อด” แนะเพื่อความปรองดองต้องเยียวยาทุกฝ่าย ขณะที่ “มท.1” ยันไม่มีนโยบายสลายหมู่บ้านเสื้อแดง ตราบใดที่ไม่ขัดหลักกฎหมาย ด้าน “มาร์ค” เผยเคยจ่ายเงินชดเชยให้คนตายไปแล้ว

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง เตรียมเข้าพบเพื่อขอค่าชดเชยให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมรายละ 10 ล้านบาทว่า คงเป็นการหารือในเชิงนโยบายก่อน ส่วนรายละเอียดตัวเลขคงต้องคุยกันทั้งงบประมาณและความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวว่า ถ้ามองถึงหลักความสามัคคีและความปรองดองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องให้การชดเชยทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดงอย่างเดียว หากจะชดเชยควรให้ทหารและเสื้อเหลืองด้วย เพื่อให้ทั้งหมดมีความสุขกัน ถ้วนหน้า

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจ่ายชดเชยเรื่องดังกล่าวว่า เห็นด้วย เพราะชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาท ที่สำคัญคนที่ตายถูกทำให้ตายจึงต้องชดใช้ คิดว่าคนเหล่านี้เป็นวีรบุรุษด้วยซ้ำ เมื่อถามว่า จะเอาเงินจากไหนมาจ่าย รมว.วิทยาศาสตร์ฯกล่าวว่า จะให้ตั้งกระทู้ถามในสภา ดีหรือไม่ว่า ให้เอาเงินที่รัฐบาลที่แล้วโกงไปมาแจกให้กับผู้เสียชีวิต โดยตั้งเป็น คตส.ภาค 2

ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงนโยบายเกี่ยวกับการสลายหมู่บ้านคนเสื้อแดงว่า ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้กฎหมายหรือข้อบังคับก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ ขอให้ไม่ขัดหลักการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนก็พอ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพรออกมาทวงให้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมเดือน เม.ย. คนละ 10 ล้านบาทว่า เรื่องนี้ทางคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดูแลอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และจ่ายค่าชดเชยไปแล้ว

นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า การเรียกร้องของนายจตุพรเป็นเพียงการหาคะแนนนิยมจากกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีเนื้อหาสาระใด ๆ และบุคคลที่นายจตุพรควรเรียกร้องให้รับผิดชอบเงินชดเชยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นต้นเหตุของการสูญเสียทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ

นายอรรถพรกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่เกิดความสูญเสียไม่เคยเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อประชาชนที่เสียชีวิตเพื่อตนเอง เช่น การชดเชย หรือช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีเงินหลายหมื่นล้านบาท ตนจึงขอเสนอแนะให้นายจตุพรเรียกร้องมนุษยธรรมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และควรเรียกร้องรวมไปถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ตากใบและกรือเซะด้วย

ด้านนายคารม พลทะกลาง ทนายความของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการยื่นประกันตัวแนวร่วม นปช. จำนวน 22 คน ที่ถูกยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดอุดรธานีรวม 4 คดีว่า ได้ประสานขอใบรับรองเงินเดือน ส.ส.อุดรธานี ทั้ง 9 คนของพรรคเพื่อไทย และ นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อจะใช้ตำแหน่ง ส.ส. ของทั้ง 10 คนเป็นหลักทรัพย์ในการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยหลักทรัพย์ที่จะเสนอต่อศาลขอประกันตัวจำเลยทั้ง 22 คนอยู่ที่คนละ 500,000 บาท ที่สำคัญจะชี้ให้ศาลเห็นถึงเรื่องความปรองดอง เพราะรัฐบาลใหม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ศาลจะพิจารณาอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำ นปช. ประธานชมรมคนรักอุดรธานี กล่าวว่า จำเลยทั้ง 22 คน ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปปลุกปั่นยุยง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจะเผาศาลากลางจังหวัด และอำเภอ โดยจำเลยได้ต่อสู้คดีมาโดยตลอดปีกว่า และก่อนหน้านี้มีจำเลยที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษแล้ว 3 คน ให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเราจะช่วยเหลือยื่นประกันตัวต่อไปด้วย

นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังเสื้อแดงว่า ตนเคยส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจกลุ่มผู้ต้องขังเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ที่ จ.อุดรธานีแล้ว แต่กลุ่มผู้ต้องขังแสดงความจำนงที่จะไม่รับการช่วยเหลือ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนใจยื่นเรื่องเข้ามาที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือในส่วนนี้มีขั้นตอนการตรวจสอบ เช่นการขอความเห็นจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยล่าสุดทั้งสองหน่วยงานตอบกลับความเห็นว่าจะไม่คัดค้านการประกันตัว ดังนั้นกรมคุ้มครองสิทธิฯ จะดำเนินการยื่นขอประกันผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง จ.อุดรธานี เข้าสู่ที่ประชุมกองทุนยุติธรรมเพื่อขออนุมัติเงินช่วยเหลือในการประกันตัว

นางสุวณา กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบทางการเมืองว่า ได้แยกการช่วยเหลือออกเป็น 2 กลุ่ม คือ การยื่นขอประกันตัวผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง และดูแลผู้ต้องขังคดีการเมืองให้ได้รับสิทธิตามกฎหมาย และการให้ความช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สำหรับความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประกอบด้วยผู้ยื่นเรื่องขอรับการเยียวยา 243 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือไปแล้ว 172 ราย รวมเป็นเงินกว่า 8 ล้านบาท ไม่ผ่านการอนุมัติ 49 ราย ทั้งนี้จากผู้ยื่นคำร้องขอรับการเยียวยา 243 ราย พิจารณาไปแล้ว 221 ราย ค้างพิจารณา 22 ราย.

ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จี้ ก.แรงงาน-สปส. บังคับเข้มให้นายจ้างขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนแรงงานข้ามชาติ !!?

องค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ ออกแถลงการณ์ร่วม กรณีแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติและมีใบอนุญาตทำงานถูกกฎหมาย ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาพยาบาลได้ เพราะนายจ้างไม่ได้นำชื่อเขาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม ส่งผลให้เขาเสียชีวิตหลังออกจากโรงพยาบาลได้ 2 วันเนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่ารักษาพยาบาลได้

แม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย" แถลงการณ์ร่วมระบุ

ทั้งนี้ องค์กรร่วมเสนอให้กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ ประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง รวมถึงเรียกร้องว่า กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย เพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์

000000

นโยบายการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติยังใช้ไม่ได้จริง
หลังแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายต้องเสียชีวิตโดยไร้การคุ้มครอง

สำหรับเผยแพร่วันที่ 15 สิงหาคม 2554

นับตั้งแต่ปลายปี 2552 แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติที่เป็นการเปลี่ยนสถานะของพวกเขาให้เป็นแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีของการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลไทยได้มีนโยบายชัดเจนที่ผลักดันให้แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการดังกล่าว รวมทั้งการรับรองว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติแล้วนั้น จะสามารถได้รับสิทธิต่างๆ เทียบเท่าแรงงานไทย โดยเฉพาะสิทธิในเรื่องประกันสังคม

นายทูเวนโก แรงงานข้ามชาติชาวพม่าที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ เป็นแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายได้รับอนุญาตทำงานและมีนายจ้างอย่างถูกต้องในประเทศไทยมานานกว่า 6 เดือน โดยได้เปลี่ยนนายจ้างมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่ที่ บริษัท เซ้าท์อีสต์เอเชียนแพคเกจจิงแอนด์แคนนิ่ง จำกัด ตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 นายทูเวนโกประสบอุบัติเหตุศีรษะกระแทกพื้น ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูของโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชัลแนล สมุทรสาคร (โรงพยาบาลศรีวิชัย 5) แต่เมื่อทางโรงพยาบาลตรวจสอบสิทธิทางการรักษา กลับแจ้งว่าเขาไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ เนื่องจากนายจ้างไม่ได้นำชื่อเขาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม ทำให้เขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง หลังจากรับการรักษาเพียงไม่กี่วัน ญาติต้องจำใจนำตัวเขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่ารักษากว่า 120,000 บาทได้ และเขาก็เสียชีวิตลงหลังจากออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 2 วัน

แม้ว่ากระทรวงแรงงานจะออกมายืนยันว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับใบอนุญาตทำงาน เป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย สามารถได้รับสิทธิตามกฎหมาย สามารถเข้าบริการของรัฐและระบบประกันสังคมได้ อีกทั้ง ตามกฎหมายประกันสังคม ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องนำลูกจ้างขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคมภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและรวมถึงกรณีของแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยด้วย แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและช่องว่างของระบบในการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย กรณีนี้สำนักงานประกันสังคมต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบ เนื่องจากสิทธิในการประกันสังคมของลูกจ้างนั้นมีอยู่แล้ว แต่เป็นความผิดของนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องที่ทางประกันสังคมต้องไปบังคับและไล่เบี้ยจากนายจ้างโดยตรง ลูกจ้างไม่ควรต้องมาแบกรับภาระนี้ด้วยตนเอง และสำนักงานประกันสังคมต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการเข้าไปตรวจสอบและลงโทษนายจ้างที่หลบเลี่ยงกฎหมายดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้น” นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กล่าว

เพื่อให้เกิดการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยอย่างแท้จริงและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ซ้ำ ทางองค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ จึงมีข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงาน ดังนี้
กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไปยังนายจ้าง แรงงานข้ามชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างเด็ดขาดกรณีที่นายจ้างหลีกเลี่ยงไม่ดำเนินการขึ้นทะเบียนลูกจ้างกับสำนักงานประกันสังคม
สำนักงานประกันสังคมจะต้องประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง
กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยเพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์

องค์กรลงนาม
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
เครือข่ายปฎิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ(ANM)
โครงการเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ
สหพันธ์คนงานข้ามชาติ

ที่มา.ประชาไท
*****************************************

วาทกรรม ดีแต่พูด ระวัง อาจตามหลอน พท..!!?

ยังไม่ทันจะ ได้แถลงนโยบาย "รัฐบาลปู 1" ที่กำหนดไว้คร่าวๆ เป็นวันที่ 24 ส.ค.ที่จะถึงนี้้ กลับปรากฎข่าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 โดยกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มแดง ให้กับ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่แดนไกล รวมทั้งเตรียมแต่งตั้งนายห้างดูไบห่อ ให้มาเป็นผู้แทนทางการค้า...
ต้องยอมรับว่า สร้างกระแสความไม่พอใจให้กับคนในสังคมส่วนหนึ่งทันที เนื่องจากแทนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งตั้งหน้าตั้งตาทำงาน โดยเฉพาะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ประสบอุทกภัยอย่างหนักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเต็มที่

แต่งานแรกกลับกลายเป็นรัฐบาล 300 เสียงเพื่อไทย เตรียมช่วยเหลือพี่ชายนายกรัฐมนตรีหญิง ซึ่งหากกล่าวไป เหมือนเป็นการช่วยเหลือคนๆ เดียวหรือไม่อย่างไรไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ร้อนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ คนใหม่ ที่ยังไม่ทันได้เข้าทำงานในกระทรวงบัวแก้วอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ต้องออกมาทำหน้าที่เคลียร์หน้าเสื่อ ยืนยันไม่มีเรื่องการพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มสีแดง หรือแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวแทนทูตการค้าแน่นอน แต่ถ้าจับลีลาการตอบคำถามของคนทั้งคู่ จะสังเกตเห็นว่าเป็นการตอบคำถามแบบที่เรียกว่า กั๊กๆ อยู่ในที เพราะไม่ได้ระบุว่าไม่คืนแน่นอน แต่บอกว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย หรือจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาเท่านั้น

ก็ไม่ทราบว่างานนี้เป็นการข่าวปล่อยของฝ่ายตรงกันข้าม ที่ต้องการทำให้รัฐบาลปู 1 เสียศูนย์ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าบริหารประเทศ หรือรัฐบาลในขณะนี้มีความพยายามที่จะดำเนินการจริงตามที่มีคนตั้งข้อสงสัย หรืออาจมีแรงกดดันจากคนที่มีอำนาจอยู่ดูไบ ประกอบกับเมื่อวานนี้ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประทศ ก็ออกมายอมรับว่า "ญี่ปุ่น" อนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศได้ตามคำเชิญของบริษัทเอกชนญี่ปุ่น เป็นกรณีพิเศษเสียด้วย

สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล

ส่วนนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยังออกมาสำทับอีกว่า รู้สึกพอใจที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศได้ ก็อาจทำให้หลายคนเกิดเชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะคืนพาสปอร์ตเล่มแดง หรือพยายามที่จะตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้แทนการค้าจริง อย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้

ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำที่ผ่านมาดังกล่าว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ทำให้รัฐบาลปู 1 เสียรังวัดไปพอสมควร เพราะประชาชนในสังคมบางกลุ่มอาจเห็นว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อคนๆ เดียว ขัดกับคำประกาศที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาประชาคม ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ไว้ภายหลังทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการ ชั้น 7 พรรคเพื่อไทย ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศนั่น เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะทำงานเอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และจะไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว

จากนี้ไป กาลเวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลเพื่อไทย จะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ นอกเหนือจากต้องตามติดว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ด้วย ไม่ว่านโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และคนจบปริญญาตรีใหม่ รายละ 15,000 บาท แจกแท๊บเล็ตนักเรียนชั้นป.1 นโยบายลดราคาน้ำมันเบนซิน 7.50บาท/ลิตร ฯลฯ

หากสุดท้าย สิ่งที่เคยประกาศให้คำมั่นว่า จะไม่ทำหรือช่วยเหลือใครเพียงแค่คนเดียว ที่นายกรัฐมนตรีหญิงประกาศไว้ ยังไม่สามารถกระทำได้ ก็น่าคิดแล้ว ถ้าเป็นนโยบายข้ออื่นที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ ยังจะสามารถฝากความหวังอะไรได้อีกหรือไม่? ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง อย่าให้คำนิยาม "ดีแต่พูด" ที่ พท.อุตส่าห์คิดและประดิษฐ์เป็นวาทกรรม ใช้ทิ่มแทงใส่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเลือกตั้งอย่างได้ผล จนทำให้ต้องยอมรับสภาพกลายเป็นฝ่ายค้าน ย้อนกลับมาหลอกหลอน "พท." แทนเองก็แล้วกัน แล้วจะหาว่าไม่เตือน...

ที่มา: ไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สวนดุสิตโพลเผย ปชช.พอใจ นายกฯหญิงมากสุด ร้อยละ 51 ผิดหวังสุรพงษ์ นั่งกต.!!?

จากกรณีที่สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,996 คน ในระหว่างวันที่ 10-13 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการประเมินผลงานรัฐบาลในระยะต่อๆ ไป นั้น จากการสำรวจพบว่า รัฐมนตรีที่ประชาชนสมหวังมากที่สุด อันดับ 1 คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร้อยละ73.18 อันดับ 2 พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร้อยละ 71.97 และอันดับ 3 พ.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร้อยละ 70.58

ด้าน รัฐมนตรีที่ประชาชนผิดหวัง อันดับ 1 คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร้อยละ 51.89 อันดับ 2 นางบุญรึ่น ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร้อยละ 49.13 และอันดับ 3 นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 47.25

ขณะที่ รัฐมนตรีที่ประชาชนรู้จักน้อยที่สุด อันดับ 1 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร้อยละ 17.23 อันดับ 2 นางบุญรื่น ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร้อยละ17.89 อันดับ 3 นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 18.14 อันดับ 4 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร้อยละ 18.39 และอันดับ 5 นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 18.89

ที่มา: มติชนออนไลน์
********************************************

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำลดตอผุด คอป.ชง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ บี้คนฆ่าลอยนวลไม่ยุติธรรม !!?

ศาสตราจารย์คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จัดเสวนาในหัวข้อ เรื่อง “การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงตามหลักสากล” โดยได้เปิดเผยรายงานฉบับที่ 2 พร้อมข้อเสนอแนะถึง รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

โดยตอนหนึ่งนายสมชาย หอมละออ กรรมการ คอป. เปิดเผยว่า มีผู้ร่วมชุมนุม โดนตั้งข้อกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะพนักงานสอบสวนถูกกดดันจากผู้บริหารระดับนโยบาย ชี้ชัดตั้งข้อหาก่อการร้ายเกินกว่าเหตุผลการเมืองสั่ง แต่กลับไม่ดำเนินคดีทหารฆ่า

นายสมชาย หอมละออ กรรมการ คอป. ในฐานะประธานอนุกรมการค้นหาข้อเท็จจริง ในงานด้านกฎหมาย เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบพบว่า ผู้ที่ถูกคุมขังนั้น ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาที่เกินเลยจากความเป็นจริง ซึ่งมีมากถึง 53 คน ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย และวางเพลิง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษถึงประหารชีวิต

ทั้งนี้จากการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน คือตำรวจ-DSI และพนักงานอัยการพบว่า การตั้งข้อหาดังกล่าวนั้นเกิดจากแรงกดดันของผู้บริหารระดับนโยบาย อีกทั้งการจับกุมและตั้งข้อกล่าวหายังเป็นในลักษณะของการเหวี่ยงแห ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ทั้งนี้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการยังไม่สามารถพิสูจน์พยานหลักฐาน

“จากการตรวจสอบพบว่ามูลเหตุสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงดำรงอยู่ คือ ความรู้สึกของผู้ที่ชุมนุมที่เห็นว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของการกระทำ และกระบวนการยุติธรรมเพียงฝ่ายเดียว ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เชื่อว่ามีส่วนกระทำความผิดทางอาญาไม่มากก็น้อย ยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม” นายสมชาย กล่าว

ทั้งนี้ คอป.จัดเวทีเสวนาในวันนี้เพื่อรับฟังความเห็นจากภาคนักวิชาการ ผู้แทนองค์กรด้านการต่างประเทศ เรื่อง การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความนรุนแรงตามหลักสากล ก่อนนำข้อมูลไปจัดทำรายงาน คอป.ฉบับที่ 2 นำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป
เผยยังโดนขังคุก105คน เครียดสูง10%มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย2
นพ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการการเยียวยา ฟื้นฟู และ ป้องกันความรุนแรง คอป. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจผู้ที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง รวมถึงประชาชนและเจ้าหน้าที่ พบว่าส่วนใหญ่ยังมีความเครียดสูง อีกทั้งยังไม่ได้รับการเยียวยา และการชดเชย

สำหรับผู้ที่ร่วมชุมนุมและเกี่ยวข้อง ที่ถูกคุมขัง จำนวน 105 คน นั้น จากการเข้าไปสำรวจ ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 54 พบว่า ร้อยละ 10 มีอาการเครียดสูงมาก ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมี 2 คนที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย
นพ.รณชัย กล่าวต่อว่าจากผลสำรวจดังกล่าว ทางอนุกรรมการฯ มีข้อเสนอแนะเบื้องต้นไปยังรัฐบาล จำนวน 8 ข้อ ได้แก่

1. เร่งเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจเหยื่อการชุมนุมให้มีความเข้มแข็งในใช้ชีวิต

2. รัฐบาลต้องเร่งรัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจ เป็นศูนย์กลางด้านงบประมาณพื่อเยียวยาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ เพราะจากการสำรวจพบว่าครอบครัวผู้ที่ถูกคุมขัง ต้องไปกู้เงินนอกระบบจำนวนมากเพื่อนำมาประกันตัว

3.รัฐบาลควรประเมินตัวเลขความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รวมถึงครอบครัว

4.รัฐบาลควรขยายขอบเขตการเยียวยา ฟื้นฟู ไปยังสังคมด้านอื่นๆ เช่น แหล่งที่อยู่ , แหล่งการค้า

5. ต้องจัดทำข้อเท็จจริง เผยแพร่ไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดทัศนคติที่ดี ให้อภัย เกิดความเห็นใจ รวมถึงจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณให้กับทุกฝ่าย

6. เร่งช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขัง ตามแนวทางของกฎหมาย เพราะบางรายมีภาวะของความเครียด ซึมเศร้า และมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย

7. รัฐบาลต้องเร่งรัดการประกันสิทธิ์ ผู้ที่ถูกคุมขัง รวมถึงตรวจสอบ จำแนกโทษที่แท้จริง

 8. ควรประสานความร่วมมือไปยังองค์กร หน่วยงานและทุกภาคส่วน และร่วมกับบูรณาการการทำงานภายใต้องค์กรกลางที่ดูแลข้อพิพาททางการเมือง ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพี่อให้การทำงานเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------------------------------------------

ทักษิณ. เป็นทูตพิเศษ !?

เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด

- ต้องยอมรับว่ากระทรวงหลัก นอกเหนือจาก ต่างประเทศแล้ว ยังต้องจับตา คมนาคม ที่ “เหลี่ยมจัด” ส่งเพื่อนซี้ ตท.10 คนสุดท้ายในกองทัพอย่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรทัต เข้ามาคุมเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีโปรเจ็กต์ยักษ์ รออยู่ข้างหน้านับแสนนับล้านล้านบาท ทั้งโครงการรถไฟฟ้าทั่วกรุงเชื่อมปริมณฑล รถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ-ภูมิภาค ขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯ นี่แหละคือคำตอบว่าทำไมต้องให้เพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้ และสั่งได้เข้ามากำกับดูแลโดยตรง

- อีกด้านหนึ่งสำหรับ “เสี่ยปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่อาสาเข้ามารับหน้าที่เป็น รมว.ต่างประเทศสำหรับภารกิจ “เฉพาะกิจ” ที่แพลมๆออกมาแล้วว่าเร่งด่วนจะต้อง “คืนพาสสปอร์ตสีแดง” ให้ “นายใหญ่” แต่ปัญหาก็คือจะหาเหตุผลอย่างไรที่คนอื่นฟังแล้วไม่ชวนโมโหเสียก่อน นอกจากนี้ภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่รออยู่ข้างหน้าก็คือการฟื้นฟูสัมพันธ์กับกัมพูชาให้กลับมาอีกครั้ง แต่อย่าเพิ่งเอ็ดไปเพราะมีคนกำลังสงสัยกันว่าจะพ่วงด้วยผลประโยชน์อะไรบ้าง

- งานนี้ไม่ต้องเดาก็พอจับทางออกว่า เรื่องหลักต้องมีเจรจาสานต่อธุรกิจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย ที่ค้างเอาไว้ตั้งแต่ปี 48-49 มีการขีดเส้นขีดวงกันไปบ้างแล้ว แฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย ทั้งฮุนเซน และ ทักษิณ แต่ที่ผ่านมาโดนพวก พันธมิตรฯมันรู้ทันคอยขัดคอ จนทำให้ทหารนำไปใช้เป็นสาเหตุก่อรัฐประหารในนามของ คมช.นั่นแหละ

- เริ่มแล้วสำหรับภารกิจพิเศษของ ทักษิณ ชินวัตร ล่าสุดเดินทางเข้าเยอรมันนีเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้รับ “ไฟเขียว” ไปเมื่อเดือนก่อน ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดเรื่องอายัดเครื่องบิน “โบอิ้ง 737” ที่นั่นพอดี ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าแต่เอาเป็นว่ามันประจวบเหมาะกันพอดี ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าการเมืองระหว่างประเทศมันก็อิงกับ “ผลประโยชน์” ด้วยกันทั้งสิ้น ตามการเมืองที่พลิกไปตามกระแส

- เชื่อว่าการเดินทางในลักษณะแบบนี้คงไม่หยุดแค่เยอรมันเท่านั้น เพราะเชื่อว่าเป้าหมายจะต้องเป็นยุโรปและอเมริกาในโอกาสต่อไป เพราะนี่คือ “ภารกิจพิเศษ” ไม่ต่างจาก “ทูตพิเศษ” เป็นการกรุยทางตามแผนกรุยทางสู่วีรบุรุษ เพื่อรับการแห่แหนกลับเข้าประเทศไทย หลังจากมีข้ออ้างประกอบคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองมากมาย และหากไปด้อมๆมองที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศเริ่มมีการเคลื่อนไหวตั้งเรื่องคืน “พาสปอร์ตสีแดง” กันแล้ว เพื่อรอจังหวะให้กับ ทั่น “รมต.ปึ้ง” ตัดสินใจเท่านั้นเอง !!

- กำหนดการออกมาแล้วว่า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 24 ส.ค.หลังจากนั้นก็จะได้เดินหน้ากันเต็มตัว แต่เชื่อว่าในวันนั้นจะเป็นที่น่าจับตาหลายอย่าง โดยเฉพาะบทบาทในสภาของนายกฯหญิงคนใหม่จะทำได้ดีแค่ไหน หรือจะต้องอ่านสคิปต์กันตลอดรายการ ซึ่งก็ต้องจับตามองว่าเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่าย ปชป.ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถนัดเรื่องพูดอยู่แล้ว รอลุ้นว่าผลจะออกมาอย่างไร !!

ที่มา: ผู้จัดการ
*******************************************************

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำไมรัฐบาลอังกฤษไม่ประกาศ state of emergency

โดย ชญานิน เตียงพิทยากร


การจลาจลในอังกฤษ 2011
ภาพจาก The Daily Bail
ล่าสุดรัฐบาลของเดวิด คาเมร่อน เพิ่งจะประกาศมาตรการใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงและกระสุนพลาสติกเพื่อต่อกรกับกลุ่มผู้ก่อจลาจล หลังความวุ่นวาย ทุบทำลายทรัพย์สิน เผาสิ่งปลูกสร้างใหญ่น้อย ลามไปทั่วในหลายเมืองสำคัญของอังกฤษมา 5 วันติดต่อกัน และรัฐบาลปฏิเสธที่จะใช้ ‘ไม้แข็ง’ ในการปราบปรามมวลชนมาตลอด
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลอังกฤษใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงในการสลายชุมนุม
‘ไม้แข็ง’ ที่ชาวอังกฤษพูดถึงกันว่ารัฐบาลควรงัดออกมาใช้ ก็จำกัดอยู่แค่การใช้กระสุนพลาสติกกับปืนฉีดน้ำแรงดันสูงนะครับ นี่คือแรงที่สุดที่เขาจะใช้กับคนที่ก่อจลาจลแล้ว

ท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่น ที่รัฐบาลถูกโจมตีว่าทำงานแย่ แก้ปัญหาล่าช้า กล้าๆ กลัวๆ ไม่เด็ดขาด ไร้ภาวะผู้นำ (รองนายกฯ นิค เคลกก์ รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่และนักการเมืองถึงกับโดนประชาชนโห่ไล่ตอนลงพื้นที่ บอกว่ากูทนมานานเกินไปแล้วโว้ย พวกมึงทำห่าอะไรกันอยู่วะ) และกลุ่มสันนิบาตเพื่อปกป้องอังกฤษ (EDL) ประกาศระดมพลต่อกรกับม็อบป่วนเมือง ไม่รับประกันว่าสองฝ่ายจะปะทะกันจนบาดเจ็บเสียชีวิตหรือไม่ หลังเห็นว่าตำรวจจัดการอะไรไม่ได้จนบานปลายเละเทะไปทั้งบ้านทั้งเมือง
โชคดีว่าไม่มีการปะทะกันจนเกิดเรื่องซ้อนเป็นม็อบปะทะ เมื่อกรุงลอนดอนเริ่มสงบลงบ้าง ทาง EDL ก็ระดมพลเรียกร้องให้ออกมาทำความสะอาดเมืองหลวง ทูเกตเตอร์วีแคนกันให้พร้อมเพรียงหลังเหตุเผาเหตุปล้นสะดม

ขออนุญาตไม่วิเคราะห์อะไรถึงสถานการณ์การเมืองอังกฤษ ประเด็นทางสังคมชนชั้น เศรษฐกิจ ชาติพันธุ์วรรณา ฯลฯ (ผู้สนใจไปอ่านได้ ที่นี่ - ที่นี่ และ ที่นี่) แต่เห็นความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างที่อดจะเอามาพูดถึงไม่ได้เสียจริงๆ เพราะเหล่าคนไทยในเฟซบุคที่สถิตอยู่ตามว่านเครือต่างๆ ของเฟรนด์รอบตัว เล่นประเด็นนี้เป็นสำคัญกันก็มาก เพื่อนพี่น้องที่ตอนนี้ไปเรียนต่อไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษก็มากหลาย บางคนอยู่อพาร์ตเมนต์ห่างจากจุดจลาจลไม่กี่ร้อยเมตร บางคนออกไปถ่ายรูปเหตุการณ์แล้วถูกหนึ่งใน rioter เข้ามาข่มขู่ให้ลบรูปในกล้องทิ้งซะ

ข้อที่น่าสนใจคือกลุ่มคนไทย (ทั้งในไทยและในอังกฤษ) ที่เอาจลาจลเที่ยวนี้มาโยงกับการชุมนุมของเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว ด้วยประเด็น ‘เผาบ้านเผาเมือง’ อ่านไปอ่านมาแล้วก็อดหัวร่อมิได้กลั้นไว้มิอยู่ไปประมาณ 112 นาที – หยิบมายกตัวอย่างพอสังเขปให้ได้ยลกันโดยไม่ต้องขอเจ้าตัว
“ทำไมรัฐบาลอังกฤษไม่ประกาศ state of emergency วะ!”
“นึกถึงภาพทหารไทย ถูกฝูงควายแดงรุมกระหน่ำปางตาย”
“อังกฤษเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตย แต่ยังตามหลังไทยในด้านการเผาเมือง”
“นักก่อจลาจลในอังกฤษยังตามหลังไทยในเรื่องการยิงทหาร ยิง M79 ฆ่าคนที่คิดต่าง”
“คนพวกนี้ไม่รู้รึไงว่าตัวเองกำลังทำให้เศรษฐกิจโลกเสื่อมถอย และกำลังทำให้โลกร้อนไม่รู้เท่าไหร่ด้วยการเผาร้าน”

ไปจนถึงคอลัมนิสต์คนหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวันที่ “คิดว่าเหตุการณ์ร้ายอย่างนี้มีโอกาสที่จะลามปามไปยังเมืองใหญ่ในประเทศอื่น เป็นลัทธิเอาอย่าง อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ” (อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกโชคดีอย่างวิปริตที่ชาวซีเรียส่วนใหญ่ไม่น่าจะอ่านภาษาไทยได้)
ถ้าไม่นับว่าอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยมาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ผมคงไม่ชินกับการเชื่อมโยงที่มั่วซั่ว แถแหลก ไร้ตรรกะขนาดนี้มาเป็นทุนจนต้องหัวเราะลั่น

เพราะพอลองเข้าออฟฟิเชียลเว็บไซต์ของกลุ่มสันนิบาตฯ EDL ก็พบว่า นี่ขนาดกลุ่มการเมืองขวาจัดที่สนับสนุนการสังหารหมู่ในนอร์เวย์ ก็ยังดูมีเหตุมีผล และจับตาสถานการณ์ในอังกฤษได้น่ารับฟัง อย่างน้อยก็ไม่งี่เง่าเหมือนกลุ่มขวาจัดในหลายๆ ประเทศ ที่เอะอะก็โยนบาปให้มุสลิม ให้พวกต่างด้าวอพยพ ว่าเป็นต้นตอความฉิบหายทั้งมวลในบ้านเมืองอันศิวิไลซ์
อย่างน้อย EDL ก็รู้ว่า 3 ใน 4 ผู้เสียชีวิตระหว่างการจลาจลเป็นมุสลิมที่ออกมาปกป้องชุมชนและศาสนสถานของตัวเองจากพวก rioter และออกตัวว่าพวกเขาไม่คิดจะโจมตีกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงสำหรับการจลาจลเที่ยวนี้
รู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ถ้าคนไทย (ที่ก่นด่าความวุ่นวายอย่างไร้แก่นสารและเชื่อมโยงอย่างไร้รายละเอียด) จะไม่รู้เรื่องนี้ หรือไม่เห็นว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะเอามาพิจารณาเหตุการณ์ มากไปกว่าเอามาเชื่อมโยงกับเสื้อแดงเพื่อความสะใจมันส์ปากไปเรื่อยๆ
ก็ขนาดชาวชุมชนนางเลิ้งที่ถูกยิงเสียชีวิตตอนจลาจลเสื้อแดงเมื่อปี 2552 (และไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง) ยังถูกลืมไปจากสารบบการเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย

ถึงได้กล้าไปพูดปาวๆ อวดฉลาดว่า ทำไมรัฐบาลอังกฤษไม่ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน (แบบประเทศชั้น!)
สมาชิก EDL ที่อ่านภาษาไทยออกคงตกใจสิ้นสติ “โอ้ว คนไทยนี่มันขวาจัดกว่ากูอีกนะนี่ มิติแห่งการเป็นฝ่ายขวามีอะไรให้ศึกษาอีกมาก เรายังอ่อนยังด้อยนัก สมแล้วที่เป็นประเทศบาร์บาเรี่ยนเล็กจ้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะนอกจากขวาจัดแบบไม่เอาม็อบอย่างสิ้นเชิง สนับสนุนรัฐอย่างสุดเหยียด (ยิงมันเลยค่า ยิงมันเลย) ยังขวาจัดคลั่งชาติว่า ‘พวกมึงเลียนแบบกู’ อีกแน่ะ – อ่านแล้วกูดูเป็น moderate ขึ้นมาทันทีทันใด”
คนที่มองว่า riot นี้เป็น “ลัทธิเอาอย่าง” แล้วเอาไปเทียบกับเสื้อแดงไทย เทียบกับเหตุการณ์ในตูนีเซีย, ลิเบีย, ซีเรีย, อียิปต์, เยเมน, โมร็อคโค นี่ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกเขาแยกระหว่าง ‘การเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงทางการเมือง’ กับ ‘การจลาจล’ ไม่ได้หรืออย่างไร
ลำพังแค่ลักษณะของเหตุการณ์ก็ต่างกันแล้วไม่ว่าจะทางทฤษฎีหรือทางปฏิบัติ

เหมือนกับว่าการเรียกร้องทางการเมืองทุกครั้ง ประชาชนต้องอาศัยแต่สถานการณ์ไม่สงบ เพื่อจะได้ฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง และเมื่อพวกนี้สร้างความวุ่นวาย รัฐก็ต้องปราบให้หนักเพื่อความสงบ – สุดแสนจะเดินตามสเต็ป อย่างกับเป็นเทมเพลตพื้นฐานตอนทำพาวเวอร์พอยนต์ส่งอาจารย์
รณรงค์ทำความสะอาดกรุงลอนดอน หลังจลาจล
UK's Together We Can (ภาพจากหนังสือพิมพ์ Herald Sun)
คนที่พูดได้เช่นนี้คือคนที่ไม่สนใจความตึงเครียดรอบๆ ตัวเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นเหตุของจลาจลในอังกฤษ เกิดจากตำรวจวิสามัญฆาตกรรมชายคนหนึ่ง เหมือนกับคราวที่ตำรวจฝรั่งเศสบีบคนต่างด้าวอพยพคนหนึ่งจนเสียชีวิต แล้วเกิดจลาจลเมื่อปี 2005 ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายกลายเป็นปล้นสะดมและเผาสถานที่ต่างๆ ด้วยความคึกคะนอง
การหยิบเอาการชุมนุมรวมตัวของประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง และเป้าประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจน ไปตีขลุมรวมกับการจลาจล (และคนที่พยายามอธิบายการจลาจลเพื่อความคึกคะนอง และพฤติกรรมแบบอาชญากร ให้ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์อันหนักแน่นอย่างโรแมนติก) แสดงให้เห็นชัดว่าคนที่พูดเช่นนั้น ‘ไร้การศึกษา’ อย่างไม่น่าให้อภัย

ผมเคยพูดอย่างคะนองปากในเฟซบุคทำนองว่า ดูสิ อังกฤษก่อจลาจลบ้านเมืองวอดวายแค่เพราะตำรวจยิงคนตายคนเดียว ส่วนเมืองไทยยังมีพวกเรียกร้องให้ฆ่าคนที่คิดต่างอยู่ คิดเอาเองแล้วกันว่าอีกกี่สิบกี่ร้อยปีถึงจะตามเขาทัน แต่จากความคิดทางการเมืองของคนไทยต่อเหตุจลาจลครั้งนี้ กว่าจะตามเขาทันคงนานกว่าที่ผมสันนิษฐานไว้แต่แรก ในเมื่อคำว่า การชุมนุมทางการเมือง ได้ถูกริบเรือนไปจากพจนานุกรมของประชาชนในประเทศนี้เสียแล้ว
หลังจากนี้ก็จะไม่มีใครสนใจจลาจลในอังกฤษมากไปกว่าเป็นแค่เหตุการณ์โลกที่ผ่านมาผ่านไป (เร็วพอๆ กับตอนบินละดินตาย) แต่ก็ไม่แน่… ถ้าบอลพรีเมียร์ลีกต้องเลื่อนเปิดฤดูกาล

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จารีต-ธรรมเนียม-ราชสำนัก อำนาจในทำเนียบ ที่ ยิ่งลักษณ์. ไม่อาจปฏิเสธ !!?


แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เปลี่ยนสถานะจากซีอีโอ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ยักษ์จัดสรรขาใหญ่ของตระกูล "ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 28

ทิ้งสถานภาพเจ้าของธุรกิจบ้านเศรษฐี มีกำลังลงทุนปีละหลายพันล้าน เข้ารับเงินเดือนเดือนละ 121,1990 บาท ไปเป็นผู้ "อนุมัติ" รายจ่ายรัฐบาลปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท

ทิ้งห้องทำงานสุดหรูหราจากตึกชินวัตร เข้าประจำการที่ตึกไทยคู่ฟ้า ที่พี่ชาย-อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 "พ.ต.ท.ทักษิณ" เคยบ่นว่า "เป็นห้องที่อึดอัด ไม่มีหน้าต่างกระจก จะเปิดดูเดือนดูตะวันก็ไม่ได้"

ภารกิจข้างหน้าของเธอ นอกจากงานใหญ่หลวง นำพาประเทศให้พ้นจากหลุมดำ-ความขัดแย้ง และมรสุมเศรษฐกิจ ยังมีงานย่อย-รูทีน หลายสิบแฟ้ม ให้เธอต้องพิจารณาตัดสินใจ

อย่างน้อยก็มีงานในหมวดหมู่ที่เรียกว่า "หน่วยงานอิสระภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรี" 2 หน่วยงาน ที่มีทั้งงานจารีตและธรรมเนียมปฏิบัติ ที่ต้องศึกษา

ทั้งสำนักพระราชวัง (Bureau of the Royal Household) สำนักงานเก่าแก่ ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลและรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชวัง ตลอดจนดูแลรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ในองค์พระมหากษัตริย์ โดยมีเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารราชกิจราชการ

ปีที่ผ่านมา (2554) ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 2,606.2 ล้านบาท มี นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เป็นเลขาธิการ สืบทอดจาก นายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ตั้งแต่ปี 2530 ถึงปัจจุบัน

ยังมีสำนักราชเลขาธิการ (ร.ล.) ที่เป็นหน่วยงานราชการ ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเลขานุการในพระองค์พระมหากษัตริย์ เกี่ยวกับงานหนังสือ ที่หน่วยราชการ เอกชน และบุคคลทั่วไป ส่งเข้ามา เพื่อขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต พระบรมราชวินิจฉัย และพระมหากรุณา แล้วแต่กรณี

รวมทั้งทำหน้าที่รับพระราชทานพระราชดำริ และพระราชดำรัส เพื่อเชิญไปยังหน่วยงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีบทบาทเป็นผู้ประสานงาน ระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และบุคคลทั่วไป ทั้งที่เป็นราชการแผ่นดิน และการส่วนพระองค์

ในวาระที่ผ่านมา หากนายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯกราบบังคมทูล และทรงมีพระราชดำรัส มีพระราชดำริ หรือมี พระราชเสาวณีย์ เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง นายกรัฐมนตรีมักจะนำกระแสพระราชดำรัสนั้นมาถ่ายทอดต่อให้คณะรัฐมนตรี รับสนองไปปฏิบัติ ในระดับกระทรวง กรม และสำนัก

ในยุค "ทักษิณ 1" เคยมีคนใกล้ชิด เสนอให้แต่งตั้ง "รัฐมนตรีประสานงานกับราชสำนัก" อย่างไม่เป็นทางการ แต่ก็ไม่ได้แต่งตั้งจวบจนจบสมัย

อนึ่ง ในปีที่ผ่านมา ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 474.1 ล้านบาท ภายใต้การบริหารของ "ราชเลขาธิการ" ที่ชื่อ นายอาสา สารสิน

ที่เหลือเป็น "ส่วนราชการ ที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี" มีทั้งงานเศรษฐกิจ-ความมั่นคงและกฎหมาย ภายใต้คณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนากฎหมายและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ยังมีงานด้านความมั่นคง แม้นายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้ "รองนายกรัฐมนตรี" กำกับ แต่ยังอยู่ภายใต้การ รับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี ตามหลัก "นิติธรรม" ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550

และเพื่อไม่ให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" พลาดตั้งแต่วันรุ่งขึ้นที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำแนะนำของ "วิษณุ เครืองาม" เธอจึงจำเป็นต้อง "ปฏิบัติตาม" ข้อเสนอของส่วนราชการทั้งสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ, สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ อย่างเคร่งครัด

งานบริหารบุคคลภาครัฐ ที่ถูกจับตาตั้งแต่ก้าวแรก ในนโยบายหาเสียง "ข้าราชการเงินเดือน 15,000 บาท" ทำให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ไม่อาจละสายตา-วางมือจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

ไม่นับรวมมาตรการ-พิมพ์เขียว ตั้งรับมรสุมเศรษฐกิจ และรุกขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้าหมาย ปีละ 6%

ด้วยการทุ่มงบประมาณลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์นับแสนล้าน แต่แทบทุกโครงการ ก่อนถึงมือ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ต้องผ่านการวิเคราะห์จากสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่อยู่ภายใต้การกำกับโดยตรงเสียก่อน

ในยุค 2 นายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และ ยุค "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เลือกกำกับส่วนราชการด้านเศรษฐกิจ 2 หน่วยงานนี้ ด้วยตัวเอง เป็นลำดับต้น ๆ

ในแต่ละวัน ความสูงของแฟ้ม-พันธะ-ภาระตามจ็อบเดสคริปชั่นของ "ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี" ที่รออยู่ให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ลงนาม-อนุมัติ จึงมีอย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่า 1 ฟุต

จากนี้ไป ภารกิจ-พายุอำนาจในทำเนียบรัฐบาล ล้วนอยู่ในมือของเธอ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สามัคคีคือพลัง

ทำชาติให้สงบ..สถานการณ์กลับมาปกติสุข ถือว่า, เป็นเรื่องที่น่าดีใจจัง??
เมื่อ ๒ คนดัง, “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” กับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” มาเป็นทองแผ่นเดียวกันได้
ไม่มี “เสื้อแดง” และ “เสื้อเหลือง” ทุกอย่าง ก็กลับมาสดใส
ยิ่งถ้า “ซุเปอร์ป๋า” เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วยอีกคนแล้ว...ปัญหาของชาติ ก็จะไม่ต้องวุ่น!!
โกรธเกลียดกันจนวันตาย....เป็นเรื่องดีเสียที่ไหน?...รักกันเข้าไว้ ดีจริงๆ นะคุณ??
////////////////////////////////
เชื่อมั่นใน “ศักยภาพ”!!
ถึงนาทีนี้ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ยังคิดแง่บวก ตัวเอง จะได้เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” หรือไม่ก็ “รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” ขอรับ??
ด้วยความเป็นรุ่นพี่ “จปร.๗” เชื่อว่า คุมเหล่าทัพอยู่ในแถว ได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับ “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” , “พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ๒ เพื่อนรักหนุนหลังอย่างเต็มที่
ปัญหาทหารแข็งข้อ หรือคิด จะออกมาเอ็กเซอร์ไซด์ คงจะไม่มีให้เห็น!!
“บิ๊กพัลลภ”นั้นสมองไบร์ท....เรื่องที่จะให้ใครมาลบลาย?...คงยอมไม่ได้ นี่มิใช่ล้อเล่น?
////////////////////////////////
ยิ่งสูงยิ่งหนาว,ใครก็รู้ดี!!
มีข่าวว่า, “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. จะไขก๊อกลาออก ก่อนเกษียณในเดือนกันยาฯนี้??
โดย “บิ๊กน้อย” ใช้กำลังภายใน เพื่อผลักดัน “พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต” รองผบ.ตร. (ปป.๑)เพื่อนร่วมรุ่น ให้เข้ามาโซ้ย ตำแหน่ง นั่งเก้าอี้แทนที่
แต่คงไม่สมใจนึกบางลำพู ที่ได้วาดฝัน เอาไว้ดอกคุณพี่
ต้องขอบอกว่า “พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต” เหมือนคนมีบุญแต่กรรมมาบัง?..เพราะสมัยหนึ่งมีชื่อถูกเสนอเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” แต่ก็ถูก “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตีชื่อร่วง อดเป็นอย่างน่าเสียดาย!!!
ผิดหวังตั้งสองครั้งติด...เป็นใครก็ต้องหงุดหงิด?...ก็ต้องคิดมากเหมือนกันล่ะเจ้านาย??
///////////////////////////////
ถี่รอดตาช้าง ห่างรอดตาเลน!!
สร้างหนี้เอาไว้ชาติบักโกรก ทีหยั่งงี้ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มองไม่เห็น??
แต่ตัวเองกลับมาจับประเด็น, เน้น อย่าให้ “ว่าที่นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นชูชกเที่ยวขอทาน กู้เงินเขาไปเรื่อย
ที่ชาติวิกฤติ ก็เพราะผลงาน ของ “นายกฯมาร์ค” ก่อหนี้ไว้บานตะไท จนชาวบ้านเหนื่อย
ท่านอย่ามาอวดดี ว่ามีวินัยการคลัง...จงหันไปดู “รัฐบาลมาร์ค” กู้เงินมาละลายแม่น้ำจมกระเบื้อง ทีหยั่งงี้หุบปาก ไม่ยอมแถลงให้ชาวบ้านได้ยิน
ทางที่ดีทุกเช้า..ท่านควรส่องกระจกชะโงกดูเงา?...ไอ้ที่ด่าเขา ตัวเองทำมาทั้งสิ้น???
//////////////////////////////
เล็ก ๆ ไม่..แต่ใหญ่ ๆ เอา!!
“กรณ์ จาติกวณิชย์” ขุนคลังก้านยาว???
หมายปองตำแหน่งหนึ่งเดียว คือการได้เป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์”ที่อยากเป็นจนตัวสั่น
ก้อ,เพื่อเป้าหมายสูงสุด ในการไต่บันไดลิง ขึ้นไปเป็น “นายกรัฐมนตรี” ไงล่ะท่าน
แต่โอกาสได้นั่งแท่น เป็น “หัวหน้าพรรค” นั้น...ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ.. พอหมดสมัย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไร้คนอุปถัมภ์เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว...ท่านก็ต้องไปชิงดำ กับ “คุณพี่สุรินทร์ พิศสุวรรณ” เลขาธิการอาเซียนที่ใกล้หมดวาระเต็มแก่!!!
สู้กับ “คุณพี่สุรินทร์”วันใด.... “ขุนคลังกรณ์”ไม่มีวันได้ชัย?...ดูยังไงท่านก็ต้องแพ้??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส่งเพื่อไทยถึงฝั่งครองอำนาจรัฐแล้ว วันนี้วันที่ต้องกลับสู่โลกความเป็นจริงเสื้อแดงแท้ต้องดูแลตัวเอง

 
ถึงฝั่ง-รัฐบาลยิ่งลักษณ์จัดตั้งครม.ปู1แล้ว โดยไม่มีแกนนำเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี ภารกิจสำคัญแรกๆที่ประกาศคือจัดงานเทิดพระเกียรติในหลวง และราชินีในวาระมหามิ่งมงคล และแก้ปัญหาปากท้องประชาชนที่รออยู่..ส่วนประเด็นความยุติธรรม ยังไม่มีใครพูดถึง คนเสื้อแดงต้องช่วยกันดูแลตัวเอง
คนเสื้อแดงตื่นมาในเช้าวันพุธที่ 10 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 16 เดือนเหตุการณ์ 10 เมษา 53 เพื่อที่จะพบว่า พวกเขาได้ส่งพรรคเพื่อไทยถึงฝั่งฝันในการยึดครองอำนาจรัฐ ด้วยการประนีประนอมกับอำนาจเก่าแก่ แลกกับการไม่ยินยอมให้มีแม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีสักตัวในรัฐบาลใหม่ และคนเสื้อแดงแท้ก็ต้อง"ดูแลตัวเอง"
ข้อเสนอเร่งด่วนผมต่อพรรคเพื่อไทย และ นปช.คือวันนี้ต้องยื่นประกันผู้หญิงคนนี้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ายิงฮ.ที่โปรยแก๊สน้ำตา วันที่ ๑๐ เมษา ๕๓ "จ๋า นฤมล !" และขอเชิญท่านที่สะดวกร่วมให้กำลังใจเธอในวันฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดพระโขนง ๐๙.๐๐ น.
เป็นข้อความจากอานนท์ นำภา ทนายความที่อาสาว่าความให้นักโทษเสื้อแดง และคดี112


แต่สำหรับ"ผู้หญิงยิงฮ.แล้ว"เธอบอกว่า อยากเชิญชวนให้ทุกคนมาฟังคำพิพากษาคดีของเธอ และพร้อมจะเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันเพื่อพิสูจน์ความเป็นธรรมในประเทศไทย ขณะเดียวกันเธอประณามฝ่ายที่จับกุมเธออย่างดุดันว่าดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้ พร้อมระบุไม่หวังกับนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดนอกจากพลังของประชาชนด้วยกันเอง

"ผู้หญิงยิงฮ."หรือนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ จะถูกศาลพระโขนงพิพากษาในเวลา 9 โมงเช้าวันนี้ พร้อมกับพวกอีก 2 คนเป็นจำเลยคือ สุรชัย นิลโสภา อายุ 33 ปี อาชีพขับแท็กซี่ และ ชาตรี ศรีจินดา อายุ 28 ปี อาชีพทำสวน

เปิดปม ก่อนพิพากษาคดี “ผู้หญิง ยิง ฮ. (10 เมษา)

ประชาไท รายงานว่า ในการสืบพยานโจทก์ พยานปากหนึ่งระบุว่า เห็นนำปืนไปใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์ของทหาร เมื่อวันที่ 10 เม.ย. จำเลยทั้ง 3 ก็อยู่ในเรือนจำมาปีกว่า โดยไม่ได้รับการประกันตัว แม้จะยื่นประกันตัวถึง 3 ครั้ง จนเมื่อเรื่องนี้เป็นที่รับรู้เพราะอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช.เข้าเยี่ยม มีการเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง คนจึงเรียกกันติดปากว่า “คดีผู้หญิงยิง ฮ.”

ในคำฟ้องระบุว่า เจ้าหน้าที่จับกุมตัวทั้งสามได้ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.53 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา จำเลยว่า
“ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม"
รายการอาวุธแนบท้ายคำฟ้องที่ระบุว่าจับได้มี ปืนเล็กกล AK47 จำนวน 5 กระบอก, ปืนเล็กกล M16 จำนวน 1 กระบอก ระเบิดสารพัดชนิดเกือบ 20 ลูก กระสุนปืนแบบต่างๆ เกือบพันลูก ไม่นับตะไล ปืนคาร์ไบน์ ระเบิดเพลิง

ในสืบพยาน มีพยานโจทก์ปากหนึ่งระบุว่า ในวันที่ 10 เม.ย.53 ประมาณเกือบ 17.00 น. เห็นกลุ่มคน 4 คน นั่งรถฮอนด้า ซีอาร์วี มาจอดบริเวณซอยแถวแยกมหานาค ซึ่งอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ชัดเจน เห็นชาย 2 คนถืออาวุธปืน คนหนึ่งในนั้นถืออาวุธปืนไม่ทราบชนิด ยิงเฮลิคอปเตอร์ของทหารที่บินผ่าน ประมาณ 3 วินาที ก่อนจะขึ้นรถขับออกไปจากบริเวณเกิดเหตุ ซึ่งใกล้กันนั้นมีผู้ชุมนุมกำลังชุมนุมกันอยู่ พยานผู้เห็นเหตุการณ์ได้โทรแจ้งยังกรุงเทพมหานคร หมายเลข 1555 และ 191 จากนั้นเมื่อเห็นข่าวทหารบาดเจ็บจากการโดนยิงเฮลิคอปเตอร์จึงไปเยี่ยมเพื่อบอกว่ายินยอมเป็นพยานให้ในคดีนี้ เพราะรู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เวลาดังกล่าวใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่มีปฏิบัติการทิ้งแก๊สน้ำตา ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมบริเวณสี่แยกคอกวัว และหน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นทหาร 5 คน และพลเรือน 21 คน ในจำนวนนั้นเป็นนักข่าวชาวญี่ปุ่น 1 คน

ความพิลึกของคดีผู้หญิงยิงฮ. แฉถูกขังในร.11ขู่เผาทั้งเป็นก่อนยัดคุกปีเศษ
สำหรับ ‘จ๋า’ เป็นหญิงห้าวแห่งสนามหลวง เธอออกมาประท้วงรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 โดยรวมกลุ่มกับ ‘กุล่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ’ เพราะเธอชื่นชอบนโยบายของพรรคไทยรักไทย และเกลียดชังการรัฐประหาร อาชีพเดิมเคยเป็นแม่ค้าขายผัก มีนิสัยตรงไปตรงมา โผงผาง ใจดี แต่ค่อนข้างปากร้าย เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอกกล่าว จากนั้นแม้กลุ่มจะสลายหายไปแล้ว แต่จ๋ายังคงวนเวียนอยู่กับการชุมนุมโดยตลอด อาศัยรายได้จากการขายสมุนไพร และทำแชมพูสำหรับสุนัข เนื่องจากเธอเป็นคนรักสุนักเหมือนลูกแท้ๆ เธออยู่กับลูกๆ 7 ตัวเพียงลำพัง สามีของเธอที่เป็นนายตำรวจเสียชีวิตไปในปี 2535

จ๋าเล่าขณะติดคุกอยู่ทัณฑสถานหญิงกลางว่า รู้จักกับสุรชัย จำเลยที่ 1 จากการชุมนุมเมื่อปี 2552 เพราะเป็นแท็กซี่เสื้อแดง จากนั้นจึงว่าจ้างมารับส่งในการชุมนุมมาโดยตลอด จนเป็นเพื่อนสนิทกัน ขณะที่รู้จักกับจำเลยที่ 3 หรือชาตรีในการชุมนุมปี 52 เช่นกัน ขณะเขากำลังขายเสื้อผ้าหมาและเธอเดินซือเสื้อผ้าหมา ทั้งหมดมาเจอกันอีกที่การชุมนุมปีถัดมา

ในวันที่โดนจับ คืนนั้นกว่าจะกลับมาถึงบ้านของจ๋าก็ตีสี่ครึ่ง สุรชัยและชาตรีจึงงีบหลับที่บ้านจ๋าก่อนกลับบ้านในตอนเช้า

จากนั้นเวลาประมาณ 9.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 30 คน อาวุธครบมือได้บุกเข้ามาในบ้าน และจับกุมทั้งสามคน นำตัวขึ้นรถแยกคนละคัน ทั้งสามให้การตรงกันว่า เมื่อคุมตัวสักพักก็ขับรถวนไปวนมาพักใหญ่ก่อนกลับมาที่บ้านพักที่จับกุม

สุชัย บอกว่า ขณะอยู่บนรถก่อนจะถึงที่บ้านพักของจ๋า เจ้าหน้าที่ก็ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่เอามือทุบหน้าอกของเขา และถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาก็ตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่ถามพร้อมกับทุบที่หน้าอกของเขาสลับไปมาประมาณ 20 ครั้ง

เมื่อรถวิ่งมาถึงบ้านที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาไปที่ห้องนอน ตอนที่จะเดินไปในห้องนอน ก็ปรากฎว่ามีอาวุธกองอยู่ในบ้านจำนวนเยอะมาก มีปืนอาก้า ระเบิด กระสุนเป็นถุง ๆ

เจ้าหน้าที่ถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธ อยู่ไหน เขาก็ตอบอีกครั้งว่า เขาไม่รู้ หลังจากนั้น เขาก็โดนเจ้าหน้าที่เตะเข้าที่ลำตัว จนเขาล้มทั้งยืน และเขาถูกกุญแจมือไขว่หลัง พอเขาล้มลงก็กระทืบเขาทั้งหน้าและหลังหลายครั้ง

หลังจากนั้นก็พาเขาออกมาจากห้อง แล้วก็ใส่กุญแจมือให้เขาใหม่ โดยเอากุญแจมือใส่ที่ด้านหน้า และจากนั้นก็ให้เขาถือกระป๋องแก๊สน้ำตา แล้วถ่ายรูปเขา ก่อนจะให้ชี้ไปที่กองอาวุธและถ่ายรูปเขาไว้อีกครั้ง

เขาเล่าว่าตลอดเวลานั้น เขาไม่มีโอกาสคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่มีโอกาสถามว่าทำไมมาจับเขาและตรวจค้นเขา เขาไม่ทราบด้วยว่าเจ้าหน้าที่ มีหมายจับและหมายค้นหรือไม่ แต่ไม่เห็นเจ้าหน้าที่แสดงหมายใดๆ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกว่า เขาสามารถติดต่อเพื่อน ญาติ หรือทนายได้ แต่ถึงให้ติดต่อ เขาไม่อยากติดต่อเพราะกลัวว่าญาติพี่น้องจะเดือดร้อน

ยิ่งไปกว่านั้น สุรชัยยังระบุว่าเขาทั้งสามถูกนำตัวไปยัง กองพันทหารราบที่ 11 ในช่วงเย็น โดยถูกแยกขังคนละแห่งเพื่อทำการสอบสวน
ห้องที่เขาถูกนำไปสอบสวนเหมือนเป็นโกดังเก็บถังน้ำมัน มีถังน้ำมัน 200 ลิตร ตั้งเรียงรายอยู่ ประมาณ 20 ถัง กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปหมด มีเจ้าหน้าที่สอบสวนนั่งในห้องเขาประมาณ 3-4 คน มีคนถาม 1 คน และมีคนจดบันทึก 2 คน

เจ้าหน้าที่ในราบ 11 ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน และข่มขู่ว่าหากเขาไม่ยอมรับจะจับเขาไปใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร เอาผ้าปิดปาก แล้วเอาน้ำมันราดเมื่อเขาโดนขู่เขาจึงตอบคำถามทั้งหมดเรื่องไหนไม่รู้ก็พยายามตอบๆ ไป เพื่อจะไม่ถูกทำร้าย แต่บางเรื่องเขาก็ตอบตามจริง เช่นการปลอมทะเบียนรถ เนื่องจากตอนที่ชุมนุมนั้นมีข่าวว่า มีคนจดทะเบียนรถยนต์คนเสื้อแดงแล้วจะไปตามทำร้ายจึงทำให้เขาต้องปลอมทะเบียนรถยนต์เพื่อความปลอดภัย จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงให้มีการเซ็นเอกสารต่างๆ ซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้อ่าน แล้วค่อยนำตัวไปให้ดีเอสไอในตอนกลางคืน
ขณะที่ผู้ใช้นามแฝงในโลกอินเตอร์เน็ตว่า “ป้านินจา” อดีตสมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ตั้งข้อสังเกตว่า จากการสอบถามกับจ๋าในเรือนจำ พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารเอาปืนขู่ชาวบ้านที่ออกมาดูเหตุการณ์ให้กลับเข้าบ้านจนหมด จึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง มีการเอาตัวจำเลยทั้งหมดออกจากบ้านไป แล้วจากนั้นจึงนำกลับมาพร้อมกับบอกว่าพบอาวุธปืนและกระสุนปืนจำนวนมากใส่ไว้ในถุงกอล์ฟซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำที่นอกตัวบ้าน ซึ่งในความเป็นจริงท่อระบายน้ำดังกล่าวกว้างเพียง 14 เซ็นติเมตร ไม่มีทางจะนำถุงกอล์ฟยัดลงไปได้

“เท่าที่มีการสืบพยาน ลายนิ้วมือแฝงบนอาวุธก็ไม่มีเลย พยานคนเดียวที่บอกว่าเห็นก็เบิกความว่าพี่จ๋าผมยาวประบ่า ทั้งที่จริงๆ แกตัดผมสั้นตลอด”
“คดีนี้ไม่มีใครช่วยเลย วอล์กอินไปที่ไหนเขาก็กระโดดหนีหมด เพราะกลัวจะถูกโยงมาเกี่ยวพัน คดีมันหนัก โทษหนัก แต่ที่สุดก็มีทนายพรรคมาช่วย แล้วก็ได้ทนายอาวุโสอีกคนที่เขาอาสามาช่วยในช่วงหลังเพราะสงสาร ญาติๆ เขาก็รวมเงินให้ทนายไปไม่กี่พันบาท” ป้านินจากล่าว 
"ถ้าพี่จ๋าไม่โดนจับเสียก่อน แล้วอยู่รอดจนเขาสลายการชุมนุม ต้องโดนยิงตายแน่ๆ เพราะแกต้องวิ่งไปอยู่ด่านหน้าอย่างแน่นอน" ป้านินจากล่าว

ขณะที่เจ้าหน้าที่จากศูนย์ข้อมูลประชานผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.- พ.ค.53 หรือ ศปช. ซึ่งติดตามการพิจารณาคดีมาโดยตลอด ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งข้อหานั้นตั้งเรื่องการครอบครองอาวุธสงคราม แต่ดูเหมือนในการสืบพยานโจทก์จะเน้นไปสู่เรื่องการยิงเฮลิคอปเตอร์ เพื่อทำให้เห็นแรงจูงใจในการครอบครองอาวุธเสียมากกว่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็น่าแปลกที่ไม่มีการตั้งข้อหาพยายามฆ่า และไม่มีการเบิกตัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บมาให้การแต่อย่างใด

สำหรับจ๋าที่ใช้ชีวิตอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง 1 ปี กับ 3 เดือนกว่า เธอบอกก่อนจะมีการตัดสินคดีในไม่กี่วัน หลังจากเรื่องของเธอถูกเผยแพร่ในโลกอินเตอร์เน็ตว่า เธออยากเชิญชวนให้ทุกคนมาฟังคำพิพากษาคดีของเธอ และพร้อมจะเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันเพื่อพิสูจน์ความเป็นธรรมในประเทศไทย ขณะเดียวกันเธอประณามฝ่ายที่จับกุมเธออย่างดุดันว่าดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้ พร้อมระบุไม่หวังกับนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดนอกจากพลังของประชาชนด้วยกันเอง

จดหมายจากคุกที่คนเสื้อแดงต้องอ่าน


นักโทษเสื้อแดงรายหนึ่งได้เขียนจดหมายจากคุกถึงทนายอานนท์ นำภา เมื่อวันที่ 26 กรกาคม 2554 เล่าสภาพที่นักโทษการเมือง"คนรากหญ้าต้องเจอ"หลังจากที่ทนายอานนท์นำคนเสื้อแดงจัดกิจกรรม"ของขวัญเสื้อแดงแด่นักโทษเสื้อแดง"เพื่อให้กำลังใจนักโทษการเมืองในคุก เนื้อความสะท้อนสภาพที่เป็นจริงถึงสาเหตุการติดคุก และสภาพที่ต้องเผชิญ และการไร้การแลเหลียว แม้พวกเขาได้เอาตัวอุทิศเข้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ตาม ดังรายละเอียดต่อปนี้

เรียน คุณอานนท์และทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม

กระผม พศิน แสนจิตต์ แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้ต้องหาคดีพรบ.อาวุธปืนและรับของโจร, ข้อหาเสื้อแดง, ก่อการร้ายเหมือนพี่น้องทั้งหลายที่มีอุดมการณ์เหมือนพี่น้องเรา

พอมีโอกาสได้รู้จักคุณหนุ่ม (ธันย์ฐวุฒิ) และครอบครัวบ้าน112 และชาวรากหญ้า(รากหญ้าจริงๆ หลายคนหลายชีวิต ช่วยกันกับคุณหนุ่มเก็บรายละเอียดของทุกคนทีละเล็กละน้อย ซึ่งกว่าจะได้ยากมากเพราะอยู่ในคุกคนละแดน ส่งจดหมายของรายละเอียด ความเป็นมา สารทุกข์สุขดิบ อันใหนพอแบ่งกันได้ในข้อกฎหมาย ของกินของใช้ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เพราะแต่ละคนมาคนละทิศละทาง

บางคนคิดนี่หรือคือเหยื่อของสงครามการเมือง
การถูกขังในกรงนาน มนุษย์เป็นสัตว์แม้จะประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานแต่มันคือสัตว์โลก แต่ด้วยโดนขังโดยที่ตัวเองไม่ผิด จากการต่อสู้พวกเขาจุดจบต้องเป็นแบบนี้หรือ!!

คืนวันฟังไฮปาร์คมีเสียงเพลงขับกล่อม ยกตีนตบขึ้นลงตามแกนนำบอกซ้ายไปซ้าย บอกขวาไปขวา เฮไปใหนไปกัน ขอกำลังเสริมตรงนั้นทีตรงโน้นที
 
“จับมือกันไว้พี่น้อง ตั้งกำแพงไว้ มันไม่กล้าทำอะไรหรอก”
“มหาสารคามมาอีกหนึ่งรถบัสไปรับหน่อยเร็ว”
ทุกคำพูดมันวนเวียนไปมาตลอดเวลา แม๊เฮกันไป พอถูกสลายจริงๆไม่รู้ใครเป็นใครจนถูกจับ ความรู้สึกต่อต้านโดยจิตสำนึก ความเครียด ความหดหู่เพิ่มขึ้นไปตามวันเวลาสะสมไปทุกๆวัน

ต้องการใครก็ได้ให้ความหวังว่ายังมีใครสักคนห่วงเราอยู่ ก็เพิ่งได้รับน้ำใจจากพวกคุณๆพี่ๆทั้งหลายมาให้กำลังใจ ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน การได้ออกมาเยี่ยมพร้อมหน้าพร้อมตา แม้ไม่รู้จักกัน แต่ความรู้สึกอบอุ่นการมีพวกพ้อง ยังไงเราก็มีกันและไม่ทิ้งกัน เดินออกมาจากแดนขังแต่ละแดน เดินไปคุยกันไป
“ใครเข้ามาเยี่ยมพวกเรา” “แล้วเราจะพูดอะไรกับพวกพี่ๆเขาดีหล่ะ”
“เขาจะรังเกียจเราไหมเรามีคดีลักทรัพย์” “แต่เราเป็นเสื้อแดงนะแดงจริงๆ” 
หลากหลายคำพูดตื่นเต้น ดีใจคุยกันไป เหมือนมีพลังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาหลากหลายของรากหญ้าแท้ๆบางคนมีอาชีพเป็นยาม พอออกเวรยามก็มานั่งฟังปราศรัย บางคนทำงานโรงงานออกกะก็รวมกลุ่มกันมา บางคนโดยเฉพาะ”ยัยเปิ้ล”(อาทิตย์ เบ้าสุวรรณ) แดน4ที่บ้านเป็นคนทรงเจ้าอุตส่าห์มากะเขา เขาเคยเข้าไปช่วยคนไฟไหม้ชั้น2เซนทรัลเวิลด์กลับถูกจับข้อหาเผาห้างฯ
กรณีของสุรชัย(ปลา) ชาตรี และนฤมล(จ๋า) วิ่งเข้าออกเวทีรู้จักกันดีกับแกนนำ มันเป็นตลกร้ายทางการเมืองหาเสียงทางทีวี วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง(3ก.ค.54) เอาชีวิตเอาตัวเป็นๆมาติดคุก โดนตำรวจซ้อม โดนทหารเอาไปขังในค่ายทหารไอ้ค่ายที่เรีกยว่าราบ11(ศอฉ.) เอาไปขังข้างถังน้ำมัน เอาถัง200ลิตรมาตั้ง ผูกตากะจะเผาทั้งเป็นๆให้รับสารภาพ จนสูญสิ้นอิสรภาพมาทุกวันนี้ มันป็นนิยายการเมือง

แต่คนถูกกระทำมันไม่ใช่ ยื่นประกันครั้งแล้วครั้งเล่า ขายสวนขายไร่ขายนามาเป็นบ้าเป็นหลังทั้งบ้านทั้งหมู่บ้าน ศาลก็ค้านครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกัน ทั้งที่คดีเหมือนกันได้ !!
ผมเองอาวุโสกว่าน้องๆทั้งหลายคอยปลอบคอยโยนเท่าที่ทำได้
“เอาน่าเค้าไม่ทิ้งพวกเราหรอก” “มาด้วยการเมืองไปด้วยการเมือง”
พยายามพูดให้ท่ออาไว้ เช่นคดีของสุรชัย(ปลา) โทษสูงถึงตลอดชีวิตก็พยายามเปรียบให้ฟัง กบฏบวรฯยังไม่ประหารเลย มีหลายชีวิตเขาได้โอกาส จะเอาเขียนมาเล่าสู่กันฟังอีก

พอยามบ่ายกลับมาจากห้องเยี่ยมก็ถามกันแกได้อะไรบ้าง ชั้นได้โน่นเราได้นี่ตามประสา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ผมเองแอบนั่งทำตาแดงๆคนเดียว…..ขอบคุณ ขอบคุญจริงๆสำหรับบุญอันยิ่งใหญ่นี้ จิตใจไม่ท้อสู้ต่อไป คุยกับคุณหนุ่มตื้นตันใจจนพูดกันไม่ออก ได้แต่มองหน้ากันไปมา มาม่าหนึ่งลังบางคนต้มกินกับข้าวเปล่าไปได้หลายอาทิตย์

พยายามสื่อสารกับพวกพี่ๆแกนนำทั้งผอ.นิสิต คุณจตุพร อ.สุรชัย คุณสมยศ ทุกวันที่เสวนากันพี่ๆก็บอกตามระบบ เลือกนายกฯ รัฐบาล เจ้ากระทรวง กรมสิทธิฯ

แต่สภาพการเป็นอยู่มันต่างกัน รากหญ้าก็เป็นรากหญ้า

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ดีดีแบบนี้ จากท่านๆพี่ๆทั้งหลายที่ทำให้พวกเรารู้ว่ายังมีคนห่วงเราว่าเราไม่ได้เดินหลงทางคนเดียว ยังมีคนนำพา ประคับประคองเดินไปสู่จุดหมายปลายทางของเราต่อไปด้วยใจมั่น

กราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยใจ

พศิน
 
ที่มา.ไทยอีนิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โผ ครม.ปู เริ่มนิ่งแล้วกระทรวงใหญ่ เกรดเอ.ครบ ยิ่งลักษณ์คุมเศรษฐกิจเอง กระจาย รมช.ให้ส.ส. !!?

ข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ว่า สำหรับรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ล่าสุดภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศว่าได้เสร็จเรียบร้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และจะเร่งดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯภายใน 1-2 วันนั้น ทำให้เกิดความชัดเจนในหลายตำแหน่ง โดยรองนายกรัฐมนตรียังมีชื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ทำหน้าที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดูแลงานด้านสังคมและกฎหมาย ซึ่งเบื้องต้นหากแกนนำพรรคไม่สามารถประสานนักธุรกิจหรือมือเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงมารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจได้ เนื่องจากติดปัญหาหลายคนปฏิเสธไปก่อนหน้านี้ ก็มีแกนนำพรรคเพื่อไทยเสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ กำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยตัวเองไปเลย โดยจะมีทีมที่ปรึกษาคอยให้การช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีภาพของนักธุรกิจติดตัวอย่างชัดเจนอยู่แล้ว สำหรับ รมว.มหาดไทยนั้นนิ่งมาตลอดคือชื่อ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

รายงานข่าว เปิดเผยว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จเรทหารทั่วไป เตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อนสนิท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ลงตัวที่เก้าอี้ รมว.คลัง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยังมีชื่อในเก้าอี้ รมว.แรงงาน แต่ล่าสุดชื่อของนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่บางกระแสระบุว่าถูกโยกมานั่งในตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ก็ยังปรากฏอยู่ที่ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยในส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศ ยังเป็นชื่อนายวิกรม คุ้มไพโรจน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน โดยชื่อที่แรงมากขึ้นคือนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย โดยมีชื่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ที่ตลอดมาชื่อแกว่งไปมาหลายตลบนั้น ล่าสุดก็ยังเป็นชื่อของนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา เป็น รมว.พาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ใกล้ชิด คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ มาเป็น รมว.พลังงาน โดยที่ตำแหน่ง รมว.ยุติธรรมซึ่งเป็นที่หมายปองของแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน แต่เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้ได้นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด โดย พล.อ.สมทัต อัตนันทน์ อดีต ผบ.ทบ. กลายเป็นชื่อแคนดิเดตที่แรงที่สุดในช่วงหลัง

ด้านกระทรวงศึกษาธิการนั้น แน่นอนแล้วว่า พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำคนเสื้อแดง จะมาเป็น รมว.ศึกษาธิการ โดยชื่อนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. ยังอยู่ที่ รมว.สาธารณสุข สำหรับตำแหน่ง รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่หมายปองของกลุ่มวังบัวบานของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ และภาค กทม. ที่มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ คอยให้การสนับสนุนนั้น ล่าสุดชื่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่ ใกล้ชิดนางเยาวภา มีชื่อเป็นแคนดิเดตคนสำคัญ

ส่วนตำแหน่งที่รายชื่อยังไม่นิ่งนั้น เนื่องจาก ส.ส.หลายกลุ่มของพรรคเพื่อไทยพยายามล็อบบี้อย่างหนักในช่วงโค้งสุดท้าย เพื่อแกนนำพรรคสนับสนุนให้ตัวเองและแกนนำกลุ่มของตัวเองได้เป็นตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงขนาดกลางและขนาดเล็กหลายกระทรวง ทำให้เก้าอี้ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รมช.คมนาคม รมช.เกษตรและสหกรณ์ รมช.ศึกษาธิการ และ รมช.มหาดไทย ยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะ ส.ส.ภาคอีสาน ที่พยายามกดดันไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เพิ่มโควตารัฐมนตรีให้กับ ส.ส.ภาคอีสาน ซึ่งทำให้มีชื่อ ส.ส.หลายคนร่วมเป็นแคนดิเดต ทั้งนายภูมิ สาระผล ส.ส.ขอนแก่น นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. นางบุญรื่น ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย และนายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี ซึ่งแกนนำพรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจใส่ชื่อลงในช่วงโค้งสุดท้ายและสลับสับเปลี่ยนกระทรวง ก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ

ที่มา: มติชนออนไลน์

เหตุจลาจลในอังกฤษ ลามถึงเบอร์มิ่งแฮม !!?

ได้เกิดความรุนแรงและการปล้นสะดม ลุกลามเข้าไปในพื้นที่ใหม่ ๆ ในกรุงลอนดอนของอังกฤษเมื่อวันจันทร์ รวมถึงเมืองใหญ่อันดับที่สอง ซึ่งร้านค้าหลายแห่งและรถยนต์หลายคันถูกจุดไฟเผา ขณะที่ทางการพยายามหาทางรับมือกับสถานการณ์ที่ล่วงเข้าสู่วันที่ 3 แล้ว ทำให้หลายพื้นที่เต็มไปด้วยอาคาร รถยนต์และถังขยะที่ถูกจุดไฟเผาทำลาย ร้านค้าถูกปล้นสะดมภ์ ตำรวจถูกขว้างปาด้วยขวดและดอกไม้ไฟ ขณะที่พวกวัยรุ่นที่ก่อเหตุได้ออกอาละวาดไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองหลวง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้พยายามควบคุมเพลิงที่กำลังลุกลามไปยังร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวหนึ่งที่สืบทอดกันมานับร้อยปีในย่านครอยดอน ทางใต้ของลอนดอน ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในตามบ้านใกล้เคียงต้องอพยพหนีไฟ ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สองของประเทศ พบว่า มีผู้ก่อเหตุหลายร้อยคน บุกเข้าไปตามร้านค้าในย่านค้าปลีกทำให้เหตุการณ์ความไม่สงบขยายตัวออกนอกกรุงลอนดอน เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดเหตุรุนแรงเมื่อคืนวันเสาร์

พวกปล้นสะดมภ์ยังได้บุกโจมตีในย่านช็อปปิ้งชั้นสูง แคลปแฮม จังชั่น ซึ่งคับคั่งไปด้วยสถานีรถไฟที่มีคนใช้บริการมากที่สุดแห่งหนึ่งของอีงกฤษ ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่ง เปิดเผยต่อสถานีโทรทัศน์สกาย นิวส์ ว่า เห็นการปล้นสะดมภ์นานประมาณชั่วโมงครึ่ง โดยปราศจากการขัดขวางของตำรวจ และที่สำคัญคือ พวกที่ร่วมปล้นสะดมภ์และทุบทำลายหน้าต่าง มีเด็กอายุประมาณ 13 และ 14 ปี รวมอยู่ด้วย นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ได้ลดเวลาการไปพักร้อนที่อิตาลีลง และจะเรียกประชุมคณะกรรมการแก้วิกฤติในรัฐบาล ในวันนี้ เพื่อหามาตรการที่แข็งกร้าวรับมือกับเหตุรุนแรงที่ขยายขึ้นเรื่อย ๆ

. เหตุการณ์รุนแรงนี้ ได้เริ่มที่เขตท็อตแน่ม ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน เมื่อวันเสาร์ หลังการประท้วงโดยสันติ เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ตำรวจยิงชายคนหนึ่ง และเรื่องได้บานปลายกลายเป็นความรุนแรง ทำให้พื้นที่หลายแห่งในย่านชั้นสูงถูกเผาและร้านค้าถูกปล้นสะดมภ์

มีบางคนเชื่อว่า เหตุที่ทำให้สถานการณ์ลุกลาม ได้มาจากปัญหาการว่างงาน จากการที่นโยบายของรัฐบาลบไม่ได้รัดเข็มขัดของรัฐบาล สร้างความไม่พอใจให้คนทั่วประเทศ เนื่องจากจะนำไปสู่การตัดงบด้านการบริการสังคมและสวัสดิการต่าง ๆ ขณะที่ตำรวจ 1,700 นาย ที่ประจำการอยู่ทั่วกรุงลอนดอน ได้พยายามเข้าระงับเหตุแต่ไม่สำเร็จ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ได้ร้องขอให้ตำรวจใช้สายดับเพลิงฉีดใส่ผู้ก่อเหตุ หรือไม่ก็ขอกำลังจากทหารมาช่วยระงับเหตุ

ผู้เห็นเหตุการณ์ในหลายพื้นที่ ระบุว่า ตำรวจรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างล่าช้า ในขณะที่ความรุนแรงได้ขยายตัวไปยังหลายชุมชน ทั้งทางตะวันออกและทางใต้ของกรุงลอนดอน ซึ่งไม่เคยสัมผัสกับความรุนแรงมาก่อน ซึ่งพบว่า พวกวัยรุ่นพากันจุดไฟเผาและลักขโมยของในย่านหรูกันอย่างคึกคะนอง โดยพวกวัยรุ่นเหล่านี้ ที่เป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่วนใหญ่คลุมศีรษะและใบหน้าได้ใช้การส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ หรือ SMS , การส่งข้อความทางแบล็คเบอร์รี่ และใช้หน้าสังคมออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ ในการประสานการโจมตีหรือลวงตำรวจให้หลงกล

ที่มา.เนชั่น
*******************************