“อภิสิทธิ์” เบรกคณะรัฐมนตรีพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ที่เพิ่มโทษหนักขึ้นและเปิดช่องให้ตีความการกระทำผิดกว้างขวางมากขึ้น ยืนยันสภาชุดนี้พิจารณากฎหมายไม่ทันเพราะจะถูกยุบต้นเดือนหน้าแน่นอน
ที่รัฐสภา น.ส.สฤนี อาชวนันทกุล ตัวแทนเครือข่ายพลเมืองเน็ต เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในการประชุมวันที่ 20 เม.ย. นี้ เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาหลายมาตราที่เพิ่มมานั้นทำให้ผู้ดูแลระบบหรือเจ้าของเซิร์ฟเวอร์ถูกเอาผิดได้ง่ายขึ้น และมีโทษหนักกว่าเดิม ขณะที่โปรแกรมหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและการเข้าถึงข้อมูลอาจกลายเป็นโปรแกรมที่ผิดกฎหมาย การสำเนาข้อมูลจึงเสี่ยงต่อการถูกตีความว่าผิดกฎหมาย
นอกจากนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไม่มีสัดส่วนที่เชื่อมโยงกับภาคประชาชน ขณะเดียวกันข้อกำหนดหลายมาตราก็ไม่มีความชัดเจน เพียงแต่กำหนดเอาไว้กว้างๆ เปิดช่องให้ผู้บังคับใช้กฎหมายตีความความผิดกว้างมากเกินไป ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีโอกาสทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว จึงอยากให้ทบทวนการออกกฎหมายและเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ ได้ยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่จำนวน 560 คน ให้นายกรัฐมนตรีประกอบการพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เชิญ น.ส.สฤนีเข้าไปพูดคุยในห้องทำงานเพื่อสอบถามรายละเอียด หลังการพูดคุย น.ส.สฤนีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีอธิบายเงื่อนเวลาที่เหลือของสภาให้ฟังว่าจะมีการยุบสภาต้นเดือนหน้า ดังนั้น สภาสมัยนี้จะพิจารณาร่างกฎหมายไม่ทันก่อนหมดวาระแน่นอน ส่วนการประชุม ครม. ในวันที่ 20 เม.ย. จะยังไม่พิจารณาร่างกฎหมาย สำหรับข้อเสนอเรื่องให้ถอนร่างกฎหมายออกมาทำประชาพิจารณ์ก่อนเพื่อเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมนั้น นายกรัฐมนตรีไม่รับปากว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554
ทางแพร่ง
โดย ฐากูร บุนปาน
ถ้าเป็นคติโบราณของไทย ผู้หลักผู้ใหญ่ก็สอนไว้ว่าอะไรที่มีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์อยู่ในตัว
หรือถ้าเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ เขาก็สอนไว้แทบทุกตำราว่า "There is no such thing as a free lunch." หรือ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี
แปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ ทุกอย่างในโลกนี้มีต้นทุนทั้งนั้น มีรายรับก็ต้องมีรายจ่าย มีได้ก็ต้องมีเสีย
จะได้อยู่ข้างเดียวฝั่งเดียวได้อย่างไร
สถานการณ์ก็คงจะคล้ายๆ กับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังประสบอยู่ในเวลานี้
นั่นคือหลังจากสิ้นอำนาจ ต้องหนีคดีออกไปอยู่ในต่างประเทศ แม้จะยังไม่พ่ายแพ้ชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่อาการก็หนักหนาสาหัสเต็มที
ที่ช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ (และอำนาจต่อรองทางการเมือง) ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีสามสี่ปัจจัยด้วยกัน
อำนาจเงินและผลงานเก่าๆ ที่ยังติดตรึงใจประชาชนจำนวนไม่น้อยนั้นก็ส่วนหนึ่ง
แต่ที่ออกแรงและมีบทบาทมากก็คือสององค์กรการเมืองที่ทำงานคู่ขนานกันอย่าง พรรคเพื่อไทย และ กลุ่มคนเสื้อแดง
ในภาวะที่ผลประโยชน์ยังสอดคล้องต้องตรงกัน คืออยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ จะต้องร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมมือกันป้องกันตัว (และตอบโต้)
ความผิดแผกแตกต่างระหว่างสองส่วนนี้อาจจะยังไม่มากเท่าไหร่
แต่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป คือเห็นโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะอยู่ข้างหน้าไม่ไกล
ความต่างระหว่างสองส่วน คือขบวนการประชาชน (และนักการเมืองที่เกาะอยู่กับซีกนี้) กับนักการเมืองประเภทนักเลือกตั้งอาชีพ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
เพราะไม่ว่าข่าวเรื่อง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายเสนาะ เทียนทอง หรือ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ กำลังเกาะกลุ่มกันบ้าง หรือจะลาออกไปตั้งพรรคใหม่บ้าง จะเป็นจริงหรือไม่
แต่การออกมาเขย่ากันบ่อยๆ ว่าไม่พอใจหรือไม่สบายใจที่อีกฝ่าย ′ล้ำเส้น′ นั้นสะท้อนปรากฏการณ์นี้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
ส่วนการออกมาเขย่ากัน จะเป็นแค่กลยุทธ์เพื่อเรียกค่าตัวเพิ่มหรือไม่ ต้องให้ข้อเท็จจริงในระยะต่อไปเป็นเครื่องพิสูจน์
สถานการณ์แบบนี้แหละที่จะเป็นเครื่องทดสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นนักบริหารอยู่หรือไม่
จะจัดการกับความแตกต่างที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะหน้า แต่ว่าจะผูกพันไปถึงหลังการเลือกตั้งแล้วอย่างไร
มีข้อมูลเต็มมือจนกระทั่งตัดสินใจได้แน่นอนว่าจะเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หรือจะสามารถประสานจัดการกับความแตกต่างนี้ให้ทุเลาลงชั่วคราว เพื่อซื้อเวลาไปจนกว่ามีอำนาจรัฐในมือ แล้วค่อยว่ากันอีกที
หรือมีทางออกทางอื่นที่ ′เซอร์ไพรส์′ กว่านี้
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่ง่าย
เพราะทุกทางล้วนแต่มีเดิมพันสูงลิบลิ่ว
ทั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณเองและคนอื่นๆ
ที่มา.(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ถ้าเป็นคติโบราณของไทย ผู้หลักผู้ใหญ่ก็สอนไว้ว่าอะไรที่มีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์อยู่ในตัว
หรือถ้าเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ เขาก็สอนไว้แทบทุกตำราว่า "There is no such thing as a free lunch." หรือ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี
แปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ ทุกอย่างในโลกนี้มีต้นทุนทั้งนั้น มีรายรับก็ต้องมีรายจ่าย มีได้ก็ต้องมีเสีย
จะได้อยู่ข้างเดียวฝั่งเดียวได้อย่างไร
สถานการณ์ก็คงจะคล้ายๆ กับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังประสบอยู่ในเวลานี้
นั่นคือหลังจากสิ้นอำนาจ ต้องหนีคดีออกไปอยู่ในต่างประเทศ แม้จะยังไม่พ่ายแพ้ชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่อาการก็หนักหนาสาหัสเต็มที
ที่ช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ (และอำนาจต่อรองทางการเมือง) ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีสามสี่ปัจจัยด้วยกัน
อำนาจเงินและผลงานเก่าๆ ที่ยังติดตรึงใจประชาชนจำนวนไม่น้อยนั้นก็ส่วนหนึ่ง
แต่ที่ออกแรงและมีบทบาทมากก็คือสององค์กรการเมืองที่ทำงานคู่ขนานกันอย่าง พรรคเพื่อไทย และ กลุ่มคนเสื้อแดง
ในภาวะที่ผลประโยชน์ยังสอดคล้องต้องตรงกัน คืออยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำ จะต้องร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมมือกันป้องกันตัว (และตอบโต้)
ความผิดแผกแตกต่างระหว่างสองส่วนนี้อาจจะยังไม่มากเท่าไหร่
แต่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป คือเห็นโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะอยู่ข้างหน้าไม่ไกล
ความต่างระหว่างสองส่วน คือขบวนการประชาชน (และนักการเมืองที่เกาะอยู่กับซีกนี้) กับนักการเมืองประเภทนักเลือกตั้งอาชีพ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
เพราะไม่ว่าข่าวเรื่อง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายเสนาะ เทียนทอง หรือ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ กำลังเกาะกลุ่มกันบ้าง หรือจะลาออกไปตั้งพรรคใหม่บ้าง จะเป็นจริงหรือไม่
แต่การออกมาเขย่ากันบ่อยๆ ว่าไม่พอใจหรือไม่สบายใจที่อีกฝ่าย ′ล้ำเส้น′ นั้นสะท้อนปรากฏการณ์นี้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
ส่วนการออกมาเขย่ากัน จะเป็นแค่กลยุทธ์เพื่อเรียกค่าตัวเพิ่มหรือไม่ ต้องให้ข้อเท็จจริงในระยะต่อไปเป็นเครื่องพิสูจน์
สถานการณ์แบบนี้แหละที่จะเป็นเครื่องทดสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นนักบริหารอยู่หรือไม่
จะจัดการกับความแตกต่างที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะหน้า แต่ว่าจะผูกพันไปถึงหลังการเลือกตั้งแล้วอย่างไร
มีข้อมูลเต็มมือจนกระทั่งตัดสินใจได้แน่นอนว่าจะเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หรือจะสามารถประสานจัดการกับความแตกต่างนี้ให้ทุเลาลงชั่วคราว เพื่อซื้อเวลาไปจนกว่ามีอำนาจรัฐในมือ แล้วค่อยว่ากันอีกที
หรือมีทางออกทางอื่นที่ ′เซอร์ไพรส์′ กว่านี้
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่ง่าย
เพราะทุกทางล้วนแต่มีเดิมพันสูงลิบลิ่ว
ทั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณเองและคนอื่นๆ
ที่มา.(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แผนสุดท้าย
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
บทบาทของผู้นำกองทัพ นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่หลักของทหารหาญอยู่แล้ว
การแสดงออกของผบ.ทบ.ถึงความไม่พอใจต่อคำปราศรัยของแกนนำเสื้อแดง ไม่ใช่เรื่องแปลก
ทั้งเป็นความไม่พอใจในฐานะนายทหารที่ต้องพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์ด้วยชีวิต!
เมื่อฟังอะไรที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ทหารเขาก็ต้องแสดงออกทันที ต้องปรามอย่างทันควัน
จะให้ใครมาละเมิดสถาบันที่คนไทยเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด ไม่ได้เป็นอันขาด
เพียงแต่คำปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงดังกล่าว จะเข้าข่ายหมิ่นสถาบันตามกฎหมายหรือไม่ ยังต้องไปพิสูจน์กันตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมต่อไป
แต่อีกมุมหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายนักการเมืองและกลไกราชการบางหน่วยที่อยู่ในมือฝ่ายการเมือง
มุ่งจะขยายผลจากเหตุการณ์นี้เพื่อนำแกนนำเสื้อแดงกลับเข้าไปในคุกอีกหนให้ได้ น่าจะหวังผลแอบแฝงทางการเมือง
นั่นเพราะรู้กันดีว่า รัฐบาลจำเป็นต้องยุบสภาก่อน 19 พฤษภาฯจะเวียนมาบรรจบครบปี
อีกทั้งยุบเพื่อเลือกตั้งใหม่ ในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์คะแนนกำลังตกรูด!?
เพราะบริหารประเทศชาติอย่างผิดพลาด
การเมืองแตกแยก การกินอยู่ของประชาชนเต็มไปด้วยความยากลำบาก ยุคข้าวยากหมากแพงกลับมาให้เห็นกันจะจะในวันนี้
ทั้งหลายทั้งปวงมองไม่ออกว่า ชาวบ้านจะกาบัตรเลือกตั้ง เพื่อเลือกรัฐบาลแบบนี้กลับมาทำไม
โอกาสของพรรคเพื่อไทยจึงสว่างสดใส
หรือไม่เช่นนั้นชาวบ้านก็อาจจะหันไปหาพรรคอื่น พรรคกลางๆ เพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง
แต่ทั้งหลายทั้งปวง มองไม่เห็นโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะกลับมาได้เลย!?
ครั้นมองไปยังแกนนำเสื้อแดง และมวลชนเสื้อแดงที่ขยายตัวไปทั่วประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าคงจะเป็นฐานใหญ่ให้กับพรรคเพื่อไทย
สองส่วนนี้ คือ โอกาสของพรรคเพื่อไทยบวกกับคะแนนเสียงอันมหาศาลของเสื้อแดง
ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ผลเลือกตั้ง
การรุกไล่บดขยี้เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจึงต้องเปิดฉากอย่างขนานใหญ่
เอาเข้าคุกให้ได้ แยกสลายตีทลายให้ได้
เป็นวิธีสุดท้ายที่ต้องกระทำก่อนเลือกตั้ง!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วงค์ ตาวัน
บทบาทของผู้นำกองทัพ นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่หลักของทหารหาญอยู่แล้ว
การแสดงออกของผบ.ทบ.ถึงความไม่พอใจต่อคำปราศรัยของแกนนำเสื้อแดง ไม่ใช่เรื่องแปลก
ทั้งเป็นความไม่พอใจในฐานะนายทหารที่ต้องพิทักษ์รักษาราชบัลลังก์ด้วยชีวิต!
เมื่อฟังอะไรที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ทหารเขาก็ต้องแสดงออกทันที ต้องปรามอย่างทันควัน
จะให้ใครมาละเมิดสถาบันที่คนไทยเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด ไม่ได้เป็นอันขาด
เพียงแต่คำปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงดังกล่าว จะเข้าข่ายหมิ่นสถาบันตามกฎหมายหรือไม่ ยังต้องไปพิสูจน์กันตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมต่อไป
แต่อีกมุมหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายนักการเมืองและกลไกราชการบางหน่วยที่อยู่ในมือฝ่ายการเมือง
มุ่งจะขยายผลจากเหตุการณ์นี้เพื่อนำแกนนำเสื้อแดงกลับเข้าไปในคุกอีกหนให้ได้ น่าจะหวังผลแอบแฝงทางการเมือง
นั่นเพราะรู้กันดีว่า รัฐบาลจำเป็นต้องยุบสภาก่อน 19 พฤษภาฯจะเวียนมาบรรจบครบปี
อีกทั้งยุบเพื่อเลือกตั้งใหม่ ในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์คะแนนกำลังตกรูด!?
เพราะบริหารประเทศชาติอย่างผิดพลาด
การเมืองแตกแยก การกินอยู่ของประชาชนเต็มไปด้วยความยากลำบาก ยุคข้าวยากหมากแพงกลับมาให้เห็นกันจะจะในวันนี้
ทั้งหลายทั้งปวงมองไม่ออกว่า ชาวบ้านจะกาบัตรเลือกตั้ง เพื่อเลือกรัฐบาลแบบนี้กลับมาทำไม
โอกาสของพรรคเพื่อไทยจึงสว่างสดใส
หรือไม่เช่นนั้นชาวบ้านก็อาจจะหันไปหาพรรคอื่น พรรคกลางๆ เพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง
แต่ทั้งหลายทั้งปวง มองไม่เห็นโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะกลับมาได้เลย!?
ครั้นมองไปยังแกนนำเสื้อแดง และมวลชนเสื้อแดงที่ขยายตัวไปทั่วประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าคงจะเป็นฐานใหญ่ให้กับพรรคเพื่อไทย
สองส่วนนี้ คือ โอกาสของพรรคเพื่อไทยบวกกับคะแนนเสียงอันมหาศาลของเสื้อแดง
ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ผลเลือกตั้ง
การรุกไล่บดขยี้เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจึงต้องเปิดฉากอย่างขนานใหญ่
เอาเข้าคุกให้ได้ แยกสลายตีทลายให้ได้
เป็นวิธีสุดท้ายที่ต้องกระทำก่อนเลือกตั้ง!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554
กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ
เหตุผลที่...ชุมชนไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์!
“กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับท้าลมร้อนรับมหาสงกรานต์ ขอนำเสนอเรื่องร้อนในประเทศไทย แต่สูญเสียแล้วในประเทศญี่ปุ่น กับเหตุการณ์ รั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีนิวเคลียร์อันมีต้นสายปลายเหตุ มาจากเหตุธรณีพิบัติใหญ่ 9 ริกเตอร์ ที่สั่นสะเทือนดัง แรงมาถึงโครงการสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ 5 แห่งในประเทศไทย
อันเป็นสาเหตุที่ฝ่ายคัดค้านในจังหวัดอุบลราชธานีอย่าง “ดร.ประกอบ วิโรจนกุฏ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ออกมาให้ความ เห็นถึงเหตุผลที่ชุมชนในจังหวัดอุบลราชธานีออกมาต่อต้าน และไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไว้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
>> สุด “วิน วิน” ซื้อไฟฟ้าจากลาวใช้
“ที่บอกกันว่าข้างบ้านเราก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คงไม่ต้องอ้างถึงข้างบ้านหรอก ในประเทศญี่ปุ่นก็มี อเมริกาก็มี มันเป็นเหตุผลของเด็กอนุบาล แต่ถามกลับว่า แล้วจะพอนึกออกหรือเปล่าถึงเหตุผลที่เรา ควรจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เอาเป็นว่าข้อ แรกของผมถามว่า จำเป็นหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเราซื้อจากลาวใช้ และลาวมีความ สามารถในการผลิตไฟทั้งหมดทั้งมวลประมาณ 5 หมื่นเมกะวัตต์ ซึ่งเป็น 2 เท่ากว่า ที่ประเทศไทยใช้ไฟตลอดทั้งปี ผมว่า อีก 50 ปี เราก็สามารถซื้อไฟฟ้าจากลาวได้อย่างสบายๆ แถมเรายังได้สานสัมพันธ์กับ ประเทศเพื่อนบ้านในอีกทางหนึ่ง บ้านเรา พัฒนากว่าเขา เราก็ใช้เงินซื้อกระแสไฟฟ้า จากเขา แล้วเอามาแปลงเป็นการผลิตสินค้า เอามาแปลงใช้ในภาคอุตสาหกรรมแล้วขายคืนให้เขามันไม่ดีกว่าหรือ อย่างนี้ผมว่า วิน วิน กว่า”
>> อานิสงส์เพิ่มอำนาจต่อรองกับเพื่อนบ้าน
“ลาวก็ขายไฟฟ้าได้ เราก็ขายสินค้า ได้ ลาวก็รวย ไทยก็รวย ดีกับทั้งสองฝ่าย เราก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์เลย ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรงก็ผลิตไฟฟ้าได้แค่ 1,500 เมกะวัตต์ แต่เราต้องลงทุนต่อ โรงเป็นแสนล้านบาท แล้วทำไมเราไม่ซื้อจากลาว เขาผลิตได้ตั้ง 50,000 เมกะวัตต์ ผมว่ายิ่งเราซื้อไฟฟ้าจากลาวมากเท่าไร เราก็จะยิ่งกุมอำนาจทางเศรษฐกิจในลาวมาก ขึ้นเท่านั้น เพราะไฟฟ้าที่ลาวผลิตได้ทั้งปี เราซื้อมาใช้สักกว่าครึ่ง มันย่อมมีผลถึงอำนาจ ต่อรองในหลายๆ เรื่อง”
“ระหว่างเรากับลาว นั่นก็จะพัฒนา ความมีมิตรไมตรีต่อกันมากขึ้น นอกจากมิตรแล้ว เรายังเป็นพี่ไทยกับน้องลาว ในความหมายที่ไม่ใช่ไปดูถูกเขา เพราะเราซื้อ ไฟฟ้าจากเขาเป็นจำนวนมาก เพราะจีนจะ ซื้อมันก็ลำบาก เวียดนามจะซื้อมันก็มีภูเขา กั้น ถ้าจะซื้อมันต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่เราอยู่ใกล้แค่นี้ ทำไมเราไม่ซื้อ จะมาตั้ง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เป็นพิษเป็นภัยต่อชุมชนทำไม ผมไม่เห็นเหตุผลเลยว่าเราจะ มาดิ้นรนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำไม แค่คุณซื้อไฟฟ้าจากลาวมาใช้มันก็เพียงพอ และที่สำคัญคุณซื้อไฟฟ้าจากลาวมาใช้ คุณต้องฉลาดพอที่จะรู้ว่าคุณจะใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร”
>> พร้อมหรือยังที่จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
“ในทางกลับกัน ถ้าคุณจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ถามว่าคุณต้องเตรียมความ พร้อมอะไร อย่างไรบ้าง แต่เนื้อหาหลักๆ มันต้องเป็นอำนาจของชุมชนที่จะอนุมัติ เช่นในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ชุมชนเขาอาจเอา เพราะเขาใช้ไฟมากแต่ที่สำคัญเขาติดทะเลซึ่งสามารถช่วยระบายความร้อนลงสู่ทะเลได้ เขาก็มีความพร้อมใน ส่วนหนึ่ง ที่สำคัญคือประโยชน์ที่คุณควรได้ เช่น ใช้ไฟตลอด หรือมีกองทุนช่วยเหลือชุมชน ซึ่งตรงนี้ที่อื่นเขามีแต่ประเทศไทยไม่มี เพราะอำนาจชุมชนไม่มี อำนาจมันอยู่ ที่กรุงเทพฯ ที่อื่นเขาสร้างเขาใช้ระบบไฟใครไฟมัน ชุมชนไหนสร้างก็ใช้ในชุมชนนั้น เพราะการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มันต้อง สูญเสียทรัพยากรชุมชน ชุมชนก็ต้องได้ใช้ แต่เมืองไทยไม่ใช่อย่างนั้น อย่างมาสร้างที่อุบลราชธานี แต่คนอุบลฯ ไม่ได้ใช้ แต่กลับส่งไปในพื้นที่อุตสาหกรรม อย่างนี้มัน ก็ไม่แฟร์ ขยะบ้านคุณมันก็ต้องทิ้งบ้านคุณ ไม่ใช่เอามาทิ้งบ้านผม”
>> ขาดองค์ความรู้มีไปก็ไม่คุ้ม
“อย่างไรก็ดี ผมไม่ได้บอกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มันไม่เหมาะที่จะสร้าง แต่มันต้องมีเงื่อนไขอย่างไรที่ต้องทำให้เหมาะ แต่ว่าเงื่อนไขเหล่านี้เมืองไทยไม่มี โดยเฉพาะการจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เราต้องใช้คนมีความรู้ ยิ่งความรู้ในเรื่องของซัพพลายเออร์ เพราะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้พรูโตเนี่ยมที่มีกัมมันตภาพรังสี ซึ่งในโลกนี้มีผู้ผลิตอยู่ไม่กี่ประเทศ หากเราไม่มีความรู้ไม่มีการพัฒนาในด้านเหล่านี้ ประเทศผู้ผลิตหลักมันก็สามารถโก่งราคาวัตถุดิบเหล่านี้กับเราได้ มันก็จะเป็นเงื่อนไข เรื่องต้นทุนที่มันจะงอกออกมา จากเดิมที่เขาว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นพลังงานที่ประหยัดที่สุด แต่หากเราขาดเทคโนโลยีขาดองค์ความรู้ เงื่อนไขในเรื่องต้นทุนมัน ก็แทบจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไร และสมมติ ว่าเราจะทำจริงๆ มันก็ต้องส่งนักวิทยาศาสตร์ไปศึกษาที่เมืองนอกอีก 300-500 คน ก็คง ต้องใช้เวลาอีกเป็น 20 ปี แค่เงื่อนไขข้อนี้เรา ยังไม่พร้อม แล้วจะลุกลี้ลุกล้นรีบสร้างไปทำไม”
>> ความรู้ดีมาตรฐานสูงยังพลาด
“นอกจากนี้ ยังมีเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย อย่างเช่น ถนนบ้านเราหากวัดกันตามมาตรฐานด้านวิศวกรรมจะ มีอายุใช้งาน 20 ปี แต่นี่บ้านเรา 2 ปีมันก็เป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็น ว่ามาตรฐานการทำงานของบ้านเรามันต่ำ มาก เพราะฉะนั้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ สุ่มเสี่ยงเกิดมหันตภัยสูง มันจะมีปัญหาหรือไม่ จะมาบอกว่า อเมริกาก็มี เยอรมนีก็มี ญี่ปุ่นก็มี แล้วเป็นอย่างไร ที่จอมเทคโนโลยี อย่างญี่ปุ่นต้องมาประสบภัยพิบัติ ของเขา ความรู้ก็มี มาตรฐานก็สูง เขายังพลาดได้ ส่วนประเทศไทย ความรู้ก็ไม่มี มาตรฐานก็ต่ำ ดูแล้วยังไงยังไงก็คงจะสร้างลำบาก”
>> ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง
“ที่สำคัญก่อนจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง ประชาชนต้องมีอำนาจมากๆ การจะอนุมัติสร้างโรง ไฟฟ้านิวเคลียร์ ต้องให้หมู่บ้านนั้น ตำบลนั้น อำเภอนั้น เป็นผู้อนุมัติไม่ใช่ให้ ครม. เป็นผู้อนุมัติ เพราะฉะนั้นอำนาจท้องถิ่นต้องเข้มแข็งก่อน และต้องมีเงื่อนไขบอกชุมชนนั้นๆ ว่าเขาจะได้อะไรบ้าง เสีย อะไรบ้าง ยินยอมหรือไม่ แต่ระบบการ เมืองบ้านเรามันรวมศูนย์อยู่กรุงเทพฯ ถ้ามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขอเรียนตามตรงว่ามันก็ตายอย่างเดียว ถ้าจะสร้างก็ไปสร้างข้างบ้าน ครม. ข้างบ้านนายกฯ ก็สร้างกันไปสิครับ”
>> รวบหัวรวบหางสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
“ส่วนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีโครงการจะมาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มันก็ไม่มีวิธีคิดอะไรมากมายหรอก เขาก็คง คิดว่าคนอุบลฯ ยอมง่าย อย่างเขื่อนน้ำโจน เขาสร้างไม่สำเร็จ ก็ย้ายมาสร้างเขื่อนปากมูลที่อุบลราชธานี รอบนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็คงใช้ชุดความคิดเดิมๆ มารวบหัวรวบหาง การลงพื้นที่ทำประชาพิจารณ์ก็ใช้ คนของเขามาทำ แล้วก็เกณฑ์คนมาร่วมลง ประชาพิจารณ์ มันก็ทำกันอย่างนี้ แต่พอดี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเกิดเหตุเช่นนี้ ชาวบ้านที่ไหนเขาจะยอม ผลเสียมันก็อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้น ประเทศไทยยังสามารถซื้อไฟฟ้าจากลาวใช้ได้ และยังขาดองค์ความรู้ แถมมาตรฐานยังต่ำ อีกทั้งท้องถิ่นยังไม่มีความเข้มแข็ง ที่สำคัญชุมชนยอมเสี่ยงผลิต แต่ยังไม่แน่ว่าจะได้ใช้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ถึงความพร้อมหรือเหตุผลที่ชุมชนไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”
ค่อนข้างชัดถ้อยชัดคำ และกระจ่างแจ้ง สำหรับเหตุผลที่ “ดร.ประกอบ วิโรจนกุฏ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ยืนกรานและคัดค้านแสดง ความไม่ปรารถนาในการสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์
ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
“กดปุ่มอภิวัฒน์ประเทศ” ฉบับท้าลมร้อนรับมหาสงกรานต์ ขอนำเสนอเรื่องร้อนในประเทศไทย แต่สูญเสียแล้วในประเทศญี่ปุ่น กับเหตุการณ์ รั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีนิวเคลียร์อันมีต้นสายปลายเหตุ มาจากเหตุธรณีพิบัติใหญ่ 9 ริกเตอร์ ที่สั่นสะเทือนดัง แรงมาถึงโครงการสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ 5 แห่งในประเทศไทย
อันเป็นสาเหตุที่ฝ่ายคัดค้านในจังหวัดอุบลราชธานีอย่าง “ดร.ประกอบ วิโรจนกุฏ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ออกมาให้ความ เห็นถึงเหตุผลที่ชุมชนในจังหวัดอุบลราชธานีออกมาต่อต้าน และไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไว้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
>> สุด “วิน วิน” ซื้อไฟฟ้าจากลาวใช้
“ที่บอกกันว่าข้างบ้านเราก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คงไม่ต้องอ้างถึงข้างบ้านหรอก ในประเทศญี่ปุ่นก็มี อเมริกาก็มี มันเป็นเหตุผลของเด็กอนุบาล แต่ถามกลับว่า แล้วจะพอนึกออกหรือเปล่าถึงเหตุผลที่เรา ควรจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เอาเป็นว่าข้อ แรกของผมถามว่า จำเป็นหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเราซื้อจากลาวใช้ และลาวมีความ สามารถในการผลิตไฟทั้งหมดทั้งมวลประมาณ 5 หมื่นเมกะวัตต์ ซึ่งเป็น 2 เท่ากว่า ที่ประเทศไทยใช้ไฟตลอดทั้งปี ผมว่า อีก 50 ปี เราก็สามารถซื้อไฟฟ้าจากลาวได้อย่างสบายๆ แถมเรายังได้สานสัมพันธ์กับ ประเทศเพื่อนบ้านในอีกทางหนึ่ง บ้านเรา พัฒนากว่าเขา เราก็ใช้เงินซื้อกระแสไฟฟ้า จากเขา แล้วเอามาแปลงเป็นการผลิตสินค้า เอามาแปลงใช้ในภาคอุตสาหกรรมแล้วขายคืนให้เขามันไม่ดีกว่าหรือ อย่างนี้ผมว่า วิน วิน กว่า”
>> อานิสงส์เพิ่มอำนาจต่อรองกับเพื่อนบ้าน
“ลาวก็ขายไฟฟ้าได้ เราก็ขายสินค้า ได้ ลาวก็รวย ไทยก็รวย ดีกับทั้งสองฝ่าย เราก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์เลย ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรงก็ผลิตไฟฟ้าได้แค่ 1,500 เมกะวัตต์ แต่เราต้องลงทุนต่อ โรงเป็นแสนล้านบาท แล้วทำไมเราไม่ซื้อจากลาว เขาผลิตได้ตั้ง 50,000 เมกะวัตต์ ผมว่ายิ่งเราซื้อไฟฟ้าจากลาวมากเท่าไร เราก็จะยิ่งกุมอำนาจทางเศรษฐกิจในลาวมาก ขึ้นเท่านั้น เพราะไฟฟ้าที่ลาวผลิตได้ทั้งปี เราซื้อมาใช้สักกว่าครึ่ง มันย่อมมีผลถึงอำนาจ ต่อรองในหลายๆ เรื่อง”
“ระหว่างเรากับลาว นั่นก็จะพัฒนา ความมีมิตรไมตรีต่อกันมากขึ้น นอกจากมิตรแล้ว เรายังเป็นพี่ไทยกับน้องลาว ในความหมายที่ไม่ใช่ไปดูถูกเขา เพราะเราซื้อ ไฟฟ้าจากเขาเป็นจำนวนมาก เพราะจีนจะ ซื้อมันก็ลำบาก เวียดนามจะซื้อมันก็มีภูเขา กั้น ถ้าจะซื้อมันต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่เราอยู่ใกล้แค่นี้ ทำไมเราไม่ซื้อ จะมาตั้ง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เป็นพิษเป็นภัยต่อชุมชนทำไม ผมไม่เห็นเหตุผลเลยว่าเราจะ มาดิ้นรนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำไม แค่คุณซื้อไฟฟ้าจากลาวมาใช้มันก็เพียงพอ และที่สำคัญคุณซื้อไฟฟ้าจากลาวมาใช้ คุณต้องฉลาดพอที่จะรู้ว่าคุณจะใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร”
>> พร้อมหรือยังที่จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
“ในทางกลับกัน ถ้าคุณจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ถามว่าคุณต้องเตรียมความ พร้อมอะไร อย่างไรบ้าง แต่เนื้อหาหลักๆ มันต้องเป็นอำนาจของชุมชนที่จะอนุมัติ เช่นในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ชุมชนเขาอาจเอา เพราะเขาใช้ไฟมากแต่ที่สำคัญเขาติดทะเลซึ่งสามารถช่วยระบายความร้อนลงสู่ทะเลได้ เขาก็มีความพร้อมใน ส่วนหนึ่ง ที่สำคัญคือประโยชน์ที่คุณควรได้ เช่น ใช้ไฟตลอด หรือมีกองทุนช่วยเหลือชุมชน ซึ่งตรงนี้ที่อื่นเขามีแต่ประเทศไทยไม่มี เพราะอำนาจชุมชนไม่มี อำนาจมันอยู่ ที่กรุงเทพฯ ที่อื่นเขาสร้างเขาใช้ระบบไฟใครไฟมัน ชุมชนไหนสร้างก็ใช้ในชุมชนนั้น เพราะการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มันต้อง สูญเสียทรัพยากรชุมชน ชุมชนก็ต้องได้ใช้ แต่เมืองไทยไม่ใช่อย่างนั้น อย่างมาสร้างที่อุบลราชธานี แต่คนอุบลฯ ไม่ได้ใช้ แต่กลับส่งไปในพื้นที่อุตสาหกรรม อย่างนี้มัน ก็ไม่แฟร์ ขยะบ้านคุณมันก็ต้องทิ้งบ้านคุณ ไม่ใช่เอามาทิ้งบ้านผม”
>> ขาดองค์ความรู้มีไปก็ไม่คุ้ม
“อย่างไรก็ดี ผมไม่ได้บอกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มันไม่เหมาะที่จะสร้าง แต่มันต้องมีเงื่อนไขอย่างไรที่ต้องทำให้เหมาะ แต่ว่าเงื่อนไขเหล่านี้เมืองไทยไม่มี โดยเฉพาะการจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เราต้องใช้คนมีความรู้ ยิ่งความรู้ในเรื่องของซัพพลายเออร์ เพราะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้พรูโตเนี่ยมที่มีกัมมันตภาพรังสี ซึ่งในโลกนี้มีผู้ผลิตอยู่ไม่กี่ประเทศ หากเราไม่มีความรู้ไม่มีการพัฒนาในด้านเหล่านี้ ประเทศผู้ผลิตหลักมันก็สามารถโก่งราคาวัตถุดิบเหล่านี้กับเราได้ มันก็จะเป็นเงื่อนไข เรื่องต้นทุนที่มันจะงอกออกมา จากเดิมที่เขาว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นพลังงานที่ประหยัดที่สุด แต่หากเราขาดเทคโนโลยีขาดองค์ความรู้ เงื่อนไขในเรื่องต้นทุนมัน ก็แทบจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไร และสมมติ ว่าเราจะทำจริงๆ มันก็ต้องส่งนักวิทยาศาสตร์ไปศึกษาที่เมืองนอกอีก 300-500 คน ก็คง ต้องใช้เวลาอีกเป็น 20 ปี แค่เงื่อนไขข้อนี้เรา ยังไม่พร้อม แล้วจะลุกลี้ลุกล้นรีบสร้างไปทำไม”
>> ความรู้ดีมาตรฐานสูงยังพลาด
“นอกจากนี้ ยังมีเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย อย่างเช่น ถนนบ้านเราหากวัดกันตามมาตรฐานด้านวิศวกรรมจะ มีอายุใช้งาน 20 ปี แต่นี่บ้านเรา 2 ปีมันก็เป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็น ว่ามาตรฐานการทำงานของบ้านเรามันต่ำ มาก เพราะฉะนั้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ สุ่มเสี่ยงเกิดมหันตภัยสูง มันจะมีปัญหาหรือไม่ จะมาบอกว่า อเมริกาก็มี เยอรมนีก็มี ญี่ปุ่นก็มี แล้วเป็นอย่างไร ที่จอมเทคโนโลยี อย่างญี่ปุ่นต้องมาประสบภัยพิบัติ ของเขา ความรู้ก็มี มาตรฐานก็สูง เขายังพลาดได้ ส่วนประเทศไทย ความรู้ก็ไม่มี มาตรฐานก็ต่ำ ดูแล้วยังไงยังไงก็คงจะสร้างลำบาก”
>> ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง
“ที่สำคัญก่อนจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง ประชาชนต้องมีอำนาจมากๆ การจะอนุมัติสร้างโรง ไฟฟ้านิวเคลียร์ ต้องให้หมู่บ้านนั้น ตำบลนั้น อำเภอนั้น เป็นผู้อนุมัติไม่ใช่ให้ ครม. เป็นผู้อนุมัติ เพราะฉะนั้นอำนาจท้องถิ่นต้องเข้มแข็งก่อน และต้องมีเงื่อนไขบอกชุมชนนั้นๆ ว่าเขาจะได้อะไรบ้าง เสีย อะไรบ้าง ยินยอมหรือไม่ แต่ระบบการ เมืองบ้านเรามันรวมศูนย์อยู่กรุงเทพฯ ถ้ามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขอเรียนตามตรงว่ามันก็ตายอย่างเดียว ถ้าจะสร้างก็ไปสร้างข้างบ้าน ครม. ข้างบ้านนายกฯ ก็สร้างกันไปสิครับ”
>> รวบหัวรวบหางสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
“ส่วนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีโครงการจะมาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มันก็ไม่มีวิธีคิดอะไรมากมายหรอก เขาก็คง คิดว่าคนอุบลฯ ยอมง่าย อย่างเขื่อนน้ำโจน เขาสร้างไม่สำเร็จ ก็ย้ายมาสร้างเขื่อนปากมูลที่อุบลราชธานี รอบนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็คงใช้ชุดความคิดเดิมๆ มารวบหัวรวบหาง การลงพื้นที่ทำประชาพิจารณ์ก็ใช้ คนของเขามาทำ แล้วก็เกณฑ์คนมาร่วมลง ประชาพิจารณ์ มันก็ทำกันอย่างนี้ แต่พอดี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นเกิดเหตุเช่นนี้ ชาวบ้านที่ไหนเขาจะยอม ผลเสียมันก็อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้น ประเทศไทยยังสามารถซื้อไฟฟ้าจากลาวใช้ได้ และยังขาดองค์ความรู้ แถมมาตรฐานยังต่ำ อีกทั้งท้องถิ่นยังไม่มีความเข้มแข็ง ที่สำคัญชุมชนยอมเสี่ยงผลิต แต่ยังไม่แน่ว่าจะได้ใช้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ถึงความพร้อมหรือเหตุผลที่ชุมชนไม่เอาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”
ค่อนข้างชัดถ้อยชัดคำ และกระจ่างแจ้ง สำหรับเหตุผลที่ “ดร.ประกอบ วิโรจนกุฏ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ยืนกรานและคัดค้านแสดง ความไม่ปรารถนาในการสร้างโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์
ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554
สนธิลั่น พธม. จะไม่ยุ่งถึงเวลาที่ อำมาตย์ - ทหาร - ปชป. ต้องเผชิญ “ทักษิณ” เอง !!??
สนธิให้สัมภาษณ์เอเอสทีวีในโอกาสครบ 2 ปี ที่ถูกลอบสังหาร แฉเป็นฝีมือหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพ คนในรัฐบาลมีส่วนรู้เห็น ทำให้คดีไม่คืบ ชี้ พธม. เคลื่อนไหวรอบนี้ทำให้เสื้อแดงหันมาดูเอเอสทีวีมากขึ้น เชื่อจะมีโหวตโนเกิน 3 ล้านคนรวมกับคนไม่ไปเลือกตั้งจะเกิน 50% ลั่นพ่อยกแม่ยกจะได้เห็นธาตุแท้ถ้า ปชป. กลับมาจับมือเพื่อไทยตบหน้าอำมาตย์
มีรายงานว่า เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ให้สัมภาษณ์รายการพิเศษ ออกอากาศเมื่อเวลา 20.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี โดยนายสนธิให้สัมภาษณ์ในโอกาสครอบรอบ 2 ปี ที่ถูกลอบยิงใกล้สี่แยกบางขุนพรหม
สนธิแฉหน่วยทหารเป็นคนลอบสังหาร คนในรัฐบาลมีส่วน
นายสนธิได้กล่าวพาดพิงว่ามือสังหารที่ลงมือปฏิบัติการในวันนั้นเป็นทหารเฉพาะกิจหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีชื่อเรียกไม่เป็นทางการว่า ทีมสัตว์สงคราม เพราะไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี แล้วแต่นายสั่งให้กำจัดเป้าหมาย ไม่สนใจว่าคนๆ นั้นเป็นใครมีคุณธรรมหรือไม่ รู้แต่ว่าต้องกำจัด อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ว่าทหารทุกคน เป็นบางคนเท่านั้นที่มีอำนาจและสายสัมพันธ์กับคนในรัฐบาล ซึ่งคนที่ลงมือบางคนถูกย้ายออกไปล่วงหน้าจากหน่วยดังกล่าวก่อนลงมือ ปฏิบัติการ โดยเสนาธิการทหารบกขณะนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ แต่กระบวนการลอบสังหารเป็นกระบวนการใหญ่ มีการสร้างเรื่องเพื่อกลบเกลื่น เช่น บอกว่าย้ายไปปฏิบัติการในภาคใต้ แต่ก็ย้ายไปแต่ชื่อ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ทำคดีนี้ไว้ลึกซึ้งพอสมควร และทยอยออกหมายจับได้ 3 คน แต่ยังจับตัวไมได้ เพราะบางคนหลบเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร อีกประการหนึ่งทีมงานที่ทำงานนั้นถูกเส้นสายทางการเมืองบังคับตลอด ทีมงานที่มาทำคดีทีแรกก็ดี แต่ช่วงหลังก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งถ้าโอนคดีให้ พล.ต.อ.อัศวินมาทำ คดีก็จะไม่ไปไหน มีการทำให้คดีชะงัก เพราะรัฐบาลนี้ยังคงมีอำนาจอยู่ คนที่อยู่เบื้องหลังและเกี่ยวข้องล้วนเป็นคนที่มีอำนาจในรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น
ไม่คาดหวังความคืบหน้าคดี เชื่อยังมีคนตามล่าสังหาร
นายสนธิกล่าวด้วยว่า ช่วงแรกๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคงไม่คิดว่าเรื่องราวจะเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล คิดว่ายังอินโนเซนต์อยู่ แต่ทำไปทำมานายอภิสิทธิ์ก็เริ่มเห็นว่ามันโยงกับใครในรัฐบาล เมื่อ พล.ต.อ.ธานีเกษียณอายุราชการก็เลยดึงเรื่องไว้ ไม่มีการแต่งตั้งใครมาทำคดีต่อ และพยายามโยนเรื่องไปให้ดีเอสไอหวังว่าจะกลบเรื่อง เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลนี้ยังมีอำนาจอยู่ คดีจะไม่ไปไหน เพราะคนที่สั่งการอยู่ในรัฐบาลเอง และเรื่องนี้สะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในเรื่องการรักษาความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งที่ตนเป็นสื่อมวลชนอาวุโส และคนร้ายลงมือในภาวะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีการตั้งด่านทหารประจำตามสี่แยกต่างๆ แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ กล้องวงจรปิดก็ถูกทำลาย คนที่ดูแลกล้องวงจรปิดก็คือตำรวจ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ขณะนั้นรู้เรื่องหรือไม่ มีใครรายงานเรื่องกล้องเสียหรือไม่
นายสนธิ กล่าวด้วยว่าไม่คาดหวังเรื่องความคืบหน้าของคดี และเชื่อว่ายังมีขบวนการตามล่าสังหารตนอยู่ต่อไป ตราบใดที่มีการโกงกินและคนพวกนั้นคิดว่านายสนธิขัดขวางการเข้าสู่อำนาจของ พวกเขา ตนเป็นสื่อมวลชนอาวุโสหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลืออยู่ แต่สื่อด้วยกันก็ไม่สนใจ เห็นอาชีพตัวเองถูกคุกคามเป็นเรื่องตลก พากันเงียบ เพราะรู้ว่าเบื้องหลังคือคนมีอำนาจ และสื่อหลายคนก็ร่วมมือกับผู้มีอำนาจ
“ผมผ่านความตายมาแล้ว เลยกลายเป็นเรื่องเฉยๆ ถ้าเราเอาหลักธรรมเข้ามาตอบ ข้อแรก ถ้าเราทำกรรมไว้ให้กับชาติบ้านเมือง มันคงตายไปแล้ว ผมโดนยิง 200 นัด กับเอ็ม 79 อีก 2 ลูก แต่มีแค่กระสุนถากหัว แต่ เสธ.แดงถูกยิงลูกเดียวตาย ถ้าเวรกรรมยังมาไม่ถึง และไม่ถูกกำหนดให้ตายก็คงไม่ตาย แต่ผมห่วงคนใกล้ตัวที่มาดูแลผม อาจจะทำให้เขาบาดเจ็บหรือสูญเสีย ซึ่งผมไม่ต้องการ”
เชื่อการเมืองไทยไปไม่รอด แฉทหาร-อำมาตย์หนุนอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ
นายสนธิ กล่าวถึงการเมืองไทยปัจจุบันว่า ตนมองว่าการเมืองไปไม่รอดอยู่แล้ว สมัยก่อนพวกทหาร พวกอำมาตย์มองว่า เป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจการเมืองถึงไม่ดี ถ้าพวกเราได้พรรคการเมืองที่ดีมีคุณธรรมมาเป็นรัฐบาล การเมืองจะดีขึ้น จึงสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ โดยเอาทหารไปข่มขู่พรรคร่วมให้มาตั้งรัฐบาล
แต่ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์แล้วว่านักการเมืองไม่ว่าใครก็ตาม นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อเข้ามาแล้วก็ชั่วเหมือนกันหมด การทุจริตสมัยนายอภิสิทธิ์รวมแล้วยังมากกว่าสมัยทักษิณอีก การแต่งตั้งข้าราชการไม่เป็นธรรมยุคนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ด้อยไปกว่ายุคทักษิณ แม้ว่าจะทำในนามพรรคร่วมรัฐบาลแต่นายอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบด้วย เรื่องความปลอดภัยสมัยทักษิณตนไม่ถูกลอบยิงแต่ยุคนายอภิสิทธิ์ตนถูกยิง เรื่องความมั่นคงเกี่ยวกับการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ยุคนายอภิสิทธิ์มีแต่พูดไม่ทำอะไร ปล่อยให้เกิดต่อเนื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดีแต่พูดว่า “ใครจาบจ้วงเจอผม” แล้วให้ช่อง 5 เอาพระราชกรณียกิจมาเผยแพร่ นายเนวิน ชิดชอบ ก็คิดแค่ว่าการจงรักภักดีคือการจัดงาน นี่คือสติปัญญาของข้าราชการและนักการเมือง
ชี้ยุคอภิสิทธิ์ไม่ต่างจากทักษิณ แถมไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการเสียแผ่นดิน
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันในสภาก็ไม่ต่างจากยุคทักษิณ การโกหกพกลมก็เหมือนกัน นายอภิสิทธิ์โกหกมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะสมัยนี้โกหกอย่างหน้าด้าน โกหกหน้าตาย ที่สำคัญคือไม่รู้สึกร้อนหนาวกับการที่ประเทศชาติสูญเสียแผ่นดิน กรณีเขมรสะท้อนถึงความล้มเหลวของทุกสถาบันโดยเฉพาะทหาร ซึ่งทหารยุคนี้ไม่ถูกฝึกและหล่อหลอมให้ปกป้องประเทศชาติ ลูกเมียทหารก็เอาแต่โชว์ฟอร์มเล่นเฟซบุ๊ก ถือกระเป๋าราคาแพง ไปเที่ยวยุโรป ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ประเทศชาติเป็นอย่างไรช่างมันขอให้เขาอยู่ได้
ส่วนนักการเมือง การเลือกตั้งคือการสลับเปลี่ยนขั้วกันไปมา เราออกมาสู้กับทักษิณด้วยหลักการ เมื่อนายอภิสิทธิ์เข้ามา หลักการของเราก็ไม่ต่างจากยุคทักษิณ เราจึงต้องออกมาประท้วง เพราะอภิสิทธิ์กับทักษิณไม่ต่างกัน เลวกว่าด้วยซ้ำ แต่โกหกแนบเนียนกว่า
เชื่อประชาชนจะเบื่อและโหวตโนถึง 3 ล้านคน รวมกับคนไม่ไปใช้สิทธิน่าจะเกิน 50%
นายสนธิกล่าวต่อว่า ความเบื่อหน่ายของประชาชนจะทำให้มีการกาช่องไม่เลือกใคร หรือ โหวตโนมากขึ้นในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ครั้งที่แล้วมีการโหวตโน 1.5 ล้านคน คาดว่างวดนี้น่าจะมี 3 ล้านคน บวกกับคนที่ไม่ออกไปเลือกตั้งเพราะเบื่อการเมือง รวมแล้วน่าจะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเราถูกคนกลุ่มน้อยมัดมือชกเพื่อเข้าไปมีอำนาจปกครองประเทศเพื่อ ประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยพวกนี้ การโหวตโนที่จะมากกว่าทุกครั้งทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลัวมาก และกระแสไม่เอาการเลือกตั้งมีมากขึ้น อยากให้นักการเมืองหยุดสัก 3-5 ปี แล้วมาปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการปกครองประเทศชาติให้มีคุณธรรมจริยธรรมจริงๆ ไม่ให้มีการปล้นชาติบ้านเมือง สร้างหลักจริยธรรมในการปกครองบ้านเมืองอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นกระแสมากขึ้น แต่ถ้านักการเมืองไม่ยอมก็เป็นจุดจบของประเทศชาติ
ลั่นถึงเวลาที่อำมาตย์-ทหาร-ปชป. ต้องเผชิญกับทักษิณเอง โดยที่ พธม. จะไม่ยุ่ง
นายสนธิกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของพวกเรานั้นถูกต้อง พิสูจน์ชัดแล้ว แต่ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องอยู่เฉยๆ ให้เขารบกันเอง อาจถึงเวลาที่กลุ่มอำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์ หรือทหารบางคนต้องเผชิญกับกลุ่มอำนาจใหม่คือทักษิณ ชินวัตร โดยที่เราไม่ต้องเข้ายุ่ง ให้เขารบกันเอง แต่สิ่งที่เราสู้มาประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่มาชุมนุม คนที่ดูการชุมนุมผ่านเอเอสทีวีมีเป็นจำนวนมาก และขณะนี้มีคนที่เคยคิดตรงข้ามกับเราคือเสื้อแดงที่หันมาดูเรา แท็กซี่ที่เคยเป็นศัตรูเราก็ฟังเรามากขึ้น ตรงนี้ถือว่าได้ผล อันที่สอง การที่เราออกมาครั้งนี้ เราไม่ได้ชุมนุมเพื่อตัวเราเอง แต่เราชุมนุมเรื่องชาติบ้านเมืองเรื่องการเสียดินแดนให้เขมร เพราะฉะนั้นเรายืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด สิ่งที่เราสู้มา เริ่มได้ผล วันนี้ความจริงเริ่มปรากฏ รัฐบาลยิ่งอยู่ไป ความจริงยิ่งโผล่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจบีซี หรือที่เราพูดมาตลอดว่าระวังรัฐบาลทำเช่นนี้จะเข้าทางเขมรที่ทำให้เรื่อง พรมแดนกลายเป็นเรื่องพหุภาคี นายอภิสิทธิ์ก็บอกไม่มีทาง วันนี้นายอภิสิทธิ์ก็พูดไม่ออก ซึ่งตอนนี้ก็มีอินโดนีเซียเข้ามาแล้ว เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่นายอภิสิทธิ์เคยบอกว่าเป็นของไทย ตอนนี้ก็ไม่พูดแล้ว บอกแค่ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน นายอภิสิทธิ์โกหกอะไรมาจึงถูกจับได้ตลอด คำถามคือนายอภิสิทธิ์ จะโกหกต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
เชื่อพ่อยกแม่ยกจะเห็นธาตุแท้ เมื่อท้ายสุดเพื่อไทย-ปชป. จะจับมือกันตบหน้าอำมาตย์
“ที่สำคัญคือคนที่เชื่อคุณอภิสิทธิ์อยู่ จะทนให้คุณอภิสิทธิ์โกหกต่อไปอีกนานแค่ไหน ถ้าทนได้ตลอดไปก็แสดงว่าอนาคตสังคมไทยมันไม่มีแล้ว” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ว่า การชุมนุมจะยุติลงเมื่อใด แม้ว่าโดยส่วนตัวอยากจะให้พี่น้องได้พัก เพื่อหยุดดูการต่อสู้กันของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย และเชื่อว่าท้ายที่สุด 2 พรรคนี้จะจับมือกันและร่วมกันตบหน้าอำมาตย์ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ และถึงเวลาแล้วที่จะให้กลุ่มอำมาตย์เผชิญหน้ากับอำนาจใหม่คือทักษิณ ชินวัตรเอาเอง เมื่อถึงตอนนั้นพ่อยกแม่ยกจะเห็นธาตุแท้และได้รู้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ประชาชนไม่ว่าสีอะไร เมื่อได้เห็นการโกงกินแล้วจะออกมาร่วมกันต่อสู้อย่างแน่นอน และตราบใดที่ยังมีความถูกต้อง พันธมิตรฯ จะยังรวมตัวกันต่อไป และหากประเทศชาติต้องการความถูกต้อง ก็จะยังมีพันธมิตรฯ อยู่ต่อไป
ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
มีรายงานว่า เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ให้สัมภาษณ์รายการพิเศษ ออกอากาศเมื่อเวลา 20.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี โดยนายสนธิให้สัมภาษณ์ในโอกาสครอบรอบ 2 ปี ที่ถูกลอบยิงใกล้สี่แยกบางขุนพรหม
สนธิแฉหน่วยทหารเป็นคนลอบสังหาร คนในรัฐบาลมีส่วน
นายสนธิได้กล่าวพาดพิงว่ามือสังหารที่ลงมือปฏิบัติการในวันนั้นเป็นทหารเฉพาะกิจหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีชื่อเรียกไม่เป็นทางการว่า ทีมสัตว์สงคราม เพราะไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี แล้วแต่นายสั่งให้กำจัดเป้าหมาย ไม่สนใจว่าคนๆ นั้นเป็นใครมีคุณธรรมหรือไม่ รู้แต่ว่าต้องกำจัด อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ว่าทหารทุกคน เป็นบางคนเท่านั้นที่มีอำนาจและสายสัมพันธ์กับคนในรัฐบาล ซึ่งคนที่ลงมือบางคนถูกย้ายออกไปล่วงหน้าจากหน่วยดังกล่าวก่อนลงมือ ปฏิบัติการ โดยเสนาธิการทหารบกขณะนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ แต่กระบวนการลอบสังหารเป็นกระบวนการใหญ่ มีการสร้างเรื่องเพื่อกลบเกลื่น เช่น บอกว่าย้ายไปปฏิบัติการในภาคใต้ แต่ก็ย้ายไปแต่ชื่อ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ทำคดีนี้ไว้ลึกซึ้งพอสมควร และทยอยออกหมายจับได้ 3 คน แต่ยังจับตัวไมได้ เพราะบางคนหลบเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร อีกประการหนึ่งทีมงานที่ทำงานนั้นถูกเส้นสายทางการเมืองบังคับตลอด ทีมงานที่มาทำคดีทีแรกก็ดี แต่ช่วงหลังก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งถ้าโอนคดีให้ พล.ต.อ.อัศวินมาทำ คดีก็จะไม่ไปไหน มีการทำให้คดีชะงัก เพราะรัฐบาลนี้ยังคงมีอำนาจอยู่ คนที่อยู่เบื้องหลังและเกี่ยวข้องล้วนเป็นคนที่มีอำนาจในรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น
ไม่คาดหวังความคืบหน้าคดี เชื่อยังมีคนตามล่าสังหาร
นายสนธิกล่าวด้วยว่า ช่วงแรกๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคงไม่คิดว่าเรื่องราวจะเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล คิดว่ายังอินโนเซนต์อยู่ แต่ทำไปทำมานายอภิสิทธิ์ก็เริ่มเห็นว่ามันโยงกับใครในรัฐบาล เมื่อ พล.ต.อ.ธานีเกษียณอายุราชการก็เลยดึงเรื่องไว้ ไม่มีการแต่งตั้งใครมาทำคดีต่อ และพยายามโยนเรื่องไปให้ดีเอสไอหวังว่าจะกลบเรื่อง เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลนี้ยังมีอำนาจอยู่ คดีจะไม่ไปไหน เพราะคนที่สั่งการอยู่ในรัฐบาลเอง และเรื่องนี้สะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในเรื่องการรักษาความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งที่ตนเป็นสื่อมวลชนอาวุโส และคนร้ายลงมือในภาวะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีการตั้งด่านทหารประจำตามสี่แยกต่างๆ แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ กล้องวงจรปิดก็ถูกทำลาย คนที่ดูแลกล้องวงจรปิดก็คือตำรวจ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ขณะนั้นรู้เรื่องหรือไม่ มีใครรายงานเรื่องกล้องเสียหรือไม่
นายสนธิ กล่าวด้วยว่าไม่คาดหวังเรื่องความคืบหน้าของคดี และเชื่อว่ายังมีขบวนการตามล่าสังหารตนอยู่ต่อไป ตราบใดที่มีการโกงกินและคนพวกนั้นคิดว่านายสนธิขัดขวางการเข้าสู่อำนาจของ พวกเขา ตนเป็นสื่อมวลชนอาวุโสหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลืออยู่ แต่สื่อด้วยกันก็ไม่สนใจ เห็นอาชีพตัวเองถูกคุกคามเป็นเรื่องตลก พากันเงียบ เพราะรู้ว่าเบื้องหลังคือคนมีอำนาจ และสื่อหลายคนก็ร่วมมือกับผู้มีอำนาจ
“ผมผ่านความตายมาแล้ว เลยกลายเป็นเรื่องเฉยๆ ถ้าเราเอาหลักธรรมเข้ามาตอบ ข้อแรก ถ้าเราทำกรรมไว้ให้กับชาติบ้านเมือง มันคงตายไปแล้ว ผมโดนยิง 200 นัด กับเอ็ม 79 อีก 2 ลูก แต่มีแค่กระสุนถากหัว แต่ เสธ.แดงถูกยิงลูกเดียวตาย ถ้าเวรกรรมยังมาไม่ถึง และไม่ถูกกำหนดให้ตายก็คงไม่ตาย แต่ผมห่วงคนใกล้ตัวที่มาดูแลผม อาจจะทำให้เขาบาดเจ็บหรือสูญเสีย ซึ่งผมไม่ต้องการ”
เชื่อการเมืองไทยไปไม่รอด แฉทหาร-อำมาตย์หนุนอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ
นายสนธิ กล่าวถึงการเมืองไทยปัจจุบันว่า ตนมองว่าการเมืองไปไม่รอดอยู่แล้ว สมัยก่อนพวกทหาร พวกอำมาตย์มองว่า เป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจการเมืองถึงไม่ดี ถ้าพวกเราได้พรรคการเมืองที่ดีมีคุณธรรมมาเป็นรัฐบาล การเมืองจะดีขึ้น จึงสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ โดยเอาทหารไปข่มขู่พรรคร่วมให้มาตั้งรัฐบาล
แต่ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์แล้วว่านักการเมืองไม่ว่าใครก็ตาม นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อเข้ามาแล้วก็ชั่วเหมือนกันหมด การทุจริตสมัยนายอภิสิทธิ์รวมแล้วยังมากกว่าสมัยทักษิณอีก การแต่งตั้งข้าราชการไม่เป็นธรรมยุคนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ด้อยไปกว่ายุคทักษิณ แม้ว่าจะทำในนามพรรคร่วมรัฐบาลแต่นายอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบด้วย เรื่องความปลอดภัยสมัยทักษิณตนไม่ถูกลอบยิงแต่ยุคนายอภิสิทธิ์ตนถูกยิง เรื่องความมั่นคงเกี่ยวกับการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ยุคนายอภิสิทธิ์มีแต่พูดไม่ทำอะไร ปล่อยให้เกิดต่อเนื่อง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดีแต่พูดว่า “ใครจาบจ้วงเจอผม” แล้วให้ช่อง 5 เอาพระราชกรณียกิจมาเผยแพร่ นายเนวิน ชิดชอบ ก็คิดแค่ว่าการจงรักภักดีคือการจัดงาน นี่คือสติปัญญาของข้าราชการและนักการเมือง
ชี้ยุคอภิสิทธิ์ไม่ต่างจากทักษิณ แถมไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการเสียแผ่นดิน
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันในสภาก็ไม่ต่างจากยุคทักษิณ การโกหกพกลมก็เหมือนกัน นายอภิสิทธิ์โกหกมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะสมัยนี้โกหกอย่างหน้าด้าน โกหกหน้าตาย ที่สำคัญคือไม่รู้สึกร้อนหนาวกับการที่ประเทศชาติสูญเสียแผ่นดิน กรณีเขมรสะท้อนถึงความล้มเหลวของทุกสถาบันโดยเฉพาะทหาร ซึ่งทหารยุคนี้ไม่ถูกฝึกและหล่อหลอมให้ปกป้องประเทศชาติ ลูกเมียทหารก็เอาแต่โชว์ฟอร์มเล่นเฟซบุ๊ก ถือกระเป๋าราคาแพง ไปเที่ยวยุโรป ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ประเทศชาติเป็นอย่างไรช่างมันขอให้เขาอยู่ได้
ส่วนนักการเมือง การเลือกตั้งคือการสลับเปลี่ยนขั้วกันไปมา เราออกมาสู้กับทักษิณด้วยหลักการ เมื่อนายอภิสิทธิ์เข้ามา หลักการของเราก็ไม่ต่างจากยุคทักษิณ เราจึงต้องออกมาประท้วง เพราะอภิสิทธิ์กับทักษิณไม่ต่างกัน เลวกว่าด้วยซ้ำ แต่โกหกแนบเนียนกว่า
เชื่อประชาชนจะเบื่อและโหวตโนถึง 3 ล้านคน รวมกับคนไม่ไปใช้สิทธิน่าจะเกิน 50%
นายสนธิกล่าวต่อว่า ความเบื่อหน่ายของประชาชนจะทำให้มีการกาช่องไม่เลือกใคร หรือ โหวตโนมากขึ้นในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ครั้งที่แล้วมีการโหวตโน 1.5 ล้านคน คาดว่างวดนี้น่าจะมี 3 ล้านคน บวกกับคนที่ไม่ออกไปเลือกตั้งเพราะเบื่อการเมือง รวมแล้วน่าจะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเราถูกคนกลุ่มน้อยมัดมือชกเพื่อเข้าไปมีอำนาจปกครองประเทศเพื่อ ประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยพวกนี้ การโหวตโนที่จะมากกว่าทุกครั้งทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลัวมาก และกระแสไม่เอาการเลือกตั้งมีมากขึ้น อยากให้นักการเมืองหยุดสัก 3-5 ปี แล้วมาปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการปกครองประเทศชาติให้มีคุณธรรมจริยธรรมจริงๆ ไม่ให้มีการปล้นชาติบ้านเมือง สร้างหลักจริยธรรมในการปกครองบ้านเมืองอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นกระแสมากขึ้น แต่ถ้านักการเมืองไม่ยอมก็เป็นจุดจบของประเทศชาติ
ลั่นถึงเวลาที่อำมาตย์-ทหาร-ปชป. ต้องเผชิญกับทักษิณเอง โดยที่ พธม. จะไม่ยุ่ง
นายสนธิกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของพวกเรานั้นถูกต้อง พิสูจน์ชัดแล้ว แต่ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องอยู่เฉยๆ ให้เขารบกันเอง อาจถึงเวลาที่กลุ่มอำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์ หรือทหารบางคนต้องเผชิญกับกลุ่มอำนาจใหม่คือทักษิณ ชินวัตร โดยที่เราไม่ต้องเข้ายุ่ง ให้เขารบกันเอง แต่สิ่งที่เราสู้มาประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่มาชุมนุม คนที่ดูการชุมนุมผ่านเอเอสทีวีมีเป็นจำนวนมาก และขณะนี้มีคนที่เคยคิดตรงข้ามกับเราคือเสื้อแดงที่หันมาดูเรา แท็กซี่ที่เคยเป็นศัตรูเราก็ฟังเรามากขึ้น ตรงนี้ถือว่าได้ผล อันที่สอง การที่เราออกมาครั้งนี้ เราไม่ได้ชุมนุมเพื่อตัวเราเอง แต่เราชุมนุมเรื่องชาติบ้านเมืองเรื่องการเสียดินแดนให้เขมร เพราะฉะนั้นเรายืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด สิ่งที่เราสู้มา เริ่มได้ผล วันนี้ความจริงเริ่มปรากฏ รัฐบาลยิ่งอยู่ไป ความจริงยิ่งโผล่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจบีซี หรือที่เราพูดมาตลอดว่าระวังรัฐบาลทำเช่นนี้จะเข้าทางเขมรที่ทำให้เรื่อง พรมแดนกลายเป็นเรื่องพหุภาคี นายอภิสิทธิ์ก็บอกไม่มีทาง วันนี้นายอภิสิทธิ์ก็พูดไม่ออก ซึ่งตอนนี้ก็มีอินโดนีเซียเข้ามาแล้ว เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่นายอภิสิทธิ์เคยบอกว่าเป็นของไทย ตอนนี้ก็ไม่พูดแล้ว บอกแค่ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน นายอภิสิทธิ์โกหกอะไรมาจึงถูกจับได้ตลอด คำถามคือนายอภิสิทธิ์ จะโกหกต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
เชื่อพ่อยกแม่ยกจะเห็นธาตุแท้ เมื่อท้ายสุดเพื่อไทย-ปชป. จะจับมือกันตบหน้าอำมาตย์
“ที่สำคัญคือคนที่เชื่อคุณอภิสิทธิ์อยู่ จะทนให้คุณอภิสิทธิ์โกหกต่อไปอีกนานแค่ไหน ถ้าทนได้ตลอดไปก็แสดงว่าอนาคตสังคมไทยมันไม่มีแล้ว” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ว่า การชุมนุมจะยุติลงเมื่อใด แม้ว่าโดยส่วนตัวอยากจะให้พี่น้องได้พัก เพื่อหยุดดูการต่อสู้กันของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย และเชื่อว่าท้ายที่สุด 2 พรรคนี้จะจับมือกันและร่วมกันตบหน้าอำมาตย์ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ และถึงเวลาแล้วที่จะให้กลุ่มอำมาตย์เผชิญหน้ากับอำนาจใหม่คือทักษิณ ชินวัตรเอาเอง เมื่อถึงตอนนั้นพ่อยกแม่ยกจะเห็นธาตุแท้และได้รู้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ประชาชนไม่ว่าสีอะไร เมื่อได้เห็นการโกงกินแล้วจะออกมาร่วมกันต่อสู้อย่างแน่นอน และตราบใดที่ยังมีความถูกต้อง พันธมิตรฯ จะยังรวมตัวกันต่อไป และหากประเทศชาติต้องการความถูกต้อง ก็จะยังมีพันธมิตรฯ อยู่ต่อไป
ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554
น้ำผึ้งยี่ห้อ "จตุพร"
โดย สรกล อดุลยานนท์
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 )
และแล้วกองทัพบกก็ตัดสินใจฟ้อง "จตุพร พรหมพันธุ์" ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
จากนั้น "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็รับลูกต่อโดยจะแจ้งข้อกล่าวหา 18 แกนนำ นปช.ในข้อหายุยง ปลุกปั่น และละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์
ตามมาด้วยการเปิดสงครามปากถล่มพรรคเพื่อไทยของพลพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นแม่ทัพ
สถานการณ์การเมืองไทยกำลังก้าวสู่ "จุดเดือด" อีกครั้งหนึ่ง
ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้า "จตุพร-ณัฐวุฒิ" และแกนนำ นปช.ถูกจำคุก
อะไรจะเกิดขึ้นตามมา
ความขัดแย้งจะบานปลายจาก "น้ำผึ้งหยดเดียว" หรือไม่
เพราะหลายคนคาดว่า "คนเสื้อแดง" จะหยิบยกกรณีอื่นๆ มาเทียบเคียง
ไม่ว่าจะเป็นคดี "สนธิ ลิ้มทองกุล" ที่เจอข้อหาเดียวกันจากการนำเทปคำปราศรัยของ "ดา ตอร์ปิโด" มาเปิดบนเวทีพันธมิตร แต่ได้รับการประกันตัว
หรือกรณี "วิกีลีกส์" ที่เอกอัครราชทูตสหรัฐรายงานคำพูดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา และนายอานันท์ ปันยารชุน ในเรื่อง "สถาบัน"
การเปรียบเทียบคดีอื่นกับคดี "จตุพร" ก็เพื่อนำไปสู่วาทกรรมทางการเมือง
"สองมาตรฐาน"
อย่าลืมว่าด้วยวาทกรรมนี้เป็น "เชื้อไฟ" ที่ดีสำหรับการปลุก "ม็อบเสื้อแดง" ให้ลุกฮือขึ้นมา
หลังจากเห็นข่าวนี้ ผมนึกถึงคำพูดของคนสองคนขึ้นมาทันที
เรื่องแรก เป็นคำถามจาก "ลูก" ถึง "พ่อ"
"แทน เทือกสุบรรณ" ถาม "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ว่าทำไม "ประชาธิปัตย์" บริหารประเทศมา 2 ปีกว่า
"คนเสื้อแดงจึงไม่ลดลง"
เรื่องที่สอง เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ "พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ" นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลาที่พูดถึงต้นเหตุของความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
รัฐบาลทุ่มงบแสนกว่าล้านบาท ใช้กำลังทหารไม่รู้เท่าไร แต่เหตุการณ์กลับเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ
"ต้องถามว่าความขัดแย้งในวันนี้เกิดขึ้นมาจากไหน สำหรับผมคิดว่าความขัดแย้งเกิดจากความอยุติธรรม จริงๆ แล้วรูปแบบการปกครองไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ถ้าเราสามารถสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นได้ก็จะได้รับความร่วมแรงร่วมใจ จากพี่น้องประชาชน"
"พงษ์ศักดิ์" อธิบาย "ความยุติธรรม" ใน 2 มิติ
มิติแรก คือ ความยุติธรรมในเรื่อง "กระบวนการ"
มิติที่สอง คือ ความยุติธรรมทาง "ความรู้สึก"
ถ้าทำให้คนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยอมรับว่ามี "ความยุติธรรม" เกิดขึ้นทั้ง 2 มิติ
ทั้ง "กระบวนการ" และ "ความรู้สึก"
ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่ลุกลามใหญ่โตขนาดนี้
ตอนนี้ก็หวังเพียงว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณ-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" จะสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ "คนเสื้อแดง"
ทั้ง 3 คนต้องกล้าหาญที่จะถามตัวเองว่าเราตั้งโจทย์อะไรผิดพลาดหรือเปล่า
หรือวิธีคิดของเรามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า
เพราะถ้าไม่ผิดพลาด ทุกอย่างต้องดีขึ้น
และถ้ารู้ว่าทำอะไร "ผิด"
ก็อย่า "ผิด" ซ้ำอีก
//////////////////////////////////////////////////////////////////////
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 )
และแล้วกองทัพบกก็ตัดสินใจฟ้อง "จตุพร พรหมพันธุ์" ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
จากนั้น "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็รับลูกต่อโดยจะแจ้งข้อกล่าวหา 18 แกนนำ นปช.ในข้อหายุยง ปลุกปั่น และละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์
ตามมาด้วยการเปิดสงครามปากถล่มพรรคเพื่อไทยของพลพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นแม่ทัพ
สถานการณ์การเมืองไทยกำลังก้าวสู่ "จุดเดือด" อีกครั้งหนึ่ง
ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้า "จตุพร-ณัฐวุฒิ" และแกนนำ นปช.ถูกจำคุก
อะไรจะเกิดขึ้นตามมา
ความขัดแย้งจะบานปลายจาก "น้ำผึ้งหยดเดียว" หรือไม่
เพราะหลายคนคาดว่า "คนเสื้อแดง" จะหยิบยกกรณีอื่นๆ มาเทียบเคียง
ไม่ว่าจะเป็นคดี "สนธิ ลิ้มทองกุล" ที่เจอข้อหาเดียวกันจากการนำเทปคำปราศรัยของ "ดา ตอร์ปิโด" มาเปิดบนเวทีพันธมิตร แต่ได้รับการประกันตัว
หรือกรณี "วิกีลีกส์" ที่เอกอัครราชทูตสหรัฐรายงานคำพูดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา และนายอานันท์ ปันยารชุน ในเรื่อง "สถาบัน"
การเปรียบเทียบคดีอื่นกับคดี "จตุพร" ก็เพื่อนำไปสู่วาทกรรมทางการเมือง
"สองมาตรฐาน"
อย่าลืมว่าด้วยวาทกรรมนี้เป็น "เชื้อไฟ" ที่ดีสำหรับการปลุก "ม็อบเสื้อแดง" ให้ลุกฮือขึ้นมา
หลังจากเห็นข่าวนี้ ผมนึกถึงคำพูดของคนสองคนขึ้นมาทันที
เรื่องแรก เป็นคำถามจาก "ลูก" ถึง "พ่อ"
"แทน เทือกสุบรรณ" ถาม "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ว่าทำไม "ประชาธิปัตย์" บริหารประเทศมา 2 ปีกว่า
"คนเสื้อแดงจึงไม่ลดลง"
เรื่องที่สอง เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ "พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ" นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลาที่พูดถึงต้นเหตุของความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
รัฐบาลทุ่มงบแสนกว่าล้านบาท ใช้กำลังทหารไม่รู้เท่าไร แต่เหตุการณ์กลับเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ
"ต้องถามว่าความขัดแย้งในวันนี้เกิดขึ้นมาจากไหน สำหรับผมคิดว่าความขัดแย้งเกิดจากความอยุติธรรม จริงๆ แล้วรูปแบบการปกครองไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ถ้าเราสามารถสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นได้ก็จะได้รับความร่วมแรงร่วมใจ จากพี่น้องประชาชน"
"พงษ์ศักดิ์" อธิบาย "ความยุติธรรม" ใน 2 มิติ
มิติแรก คือ ความยุติธรรมในเรื่อง "กระบวนการ"
มิติที่สอง คือ ความยุติธรรมทาง "ความรู้สึก"
ถ้าทำให้คนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยอมรับว่ามี "ความยุติธรรม" เกิดขึ้นทั้ง 2 มิติ
ทั้ง "กระบวนการ" และ "ความรู้สึก"
ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่ลุกลามใหญ่โตขนาดนี้
ตอนนี้ก็หวังเพียงว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณ-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" จะสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ "คนเสื้อแดง"
ทั้ง 3 คนต้องกล้าหาญที่จะถามตัวเองว่าเราตั้งโจทย์อะไรผิดพลาดหรือเปล่า
หรือวิธีคิดของเรามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า
เพราะถ้าไม่ผิดพลาด ทุกอย่างต้องดีขึ้น
และถ้ารู้ว่าทำอะไร "ผิด"
ก็อย่า "ผิด" ซ้ำอีก
//////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554
ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิพากษ์เสื้อแดง-วิจัยเพื่อไทย-ล้วงไส้ประชาธิปัตย์
เป็นเวลานานกว่า 8 เดือน ที่ "อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์" เดินเข้า-ออกบ้านพิษณุโลก
ในฐานะ 1 ใน 20 อรหันต์กรรมการปฏิรูปประเทศไทย
ต้นทุน-องค์ความรู้ และวัตรปฏิบัติ ของ "นักเรียนประวัติศาสตร์" และนักวิจัย ที่ใช้สังคมไทยเป็น "ห้องปฏิบัติการ" ถูกนำมาผลิตเป็นข้อเสนอ แนวทางแก้ปัญหาประเทศเชิงโครงสร้าง
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนาต่อยอดข้อเสนอ เพื่อการปฏิรูป ไปสู่แคมเปญการหาเสียงเลือกตั้ง และย้อนมองปฏิกิริยา-ตัวละครการเมือง ทั้งฝ่ายเสื้อแดง-ทักษิณ-อภิสิทธิ์ และชวน หลีกภัย
หลักปฏิรูปที่อาจารย์เสนอ เหมือนหรือคล้ายกับข้อเสนอเสื้อแดงอย่างไร
เท่าที่ผมติดตามคนกลุ่มนี้มา สิ่งที่น่าเสียดาย คือคุณ (เสื้อแดง) ไม่สนใจประเด็นอื่นเลย นอกจากการเมือง ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าประเด็นทางการเมืองไม่สำคัญ แต่มันไม่พอ
เสื้อแดงยังไม่เข้ามาร่วมกับพีมูฟเลย ถ้าคุณต้องการพันธมิตร คุณต้องเข้ามาร่วมคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอื่น ๆ เช่น คนงานที่ถูกปลดออกจากงานและไม่ได้รับการชดเชยค่าจ้าง ซึ่งจะทำให้คนเสื้อแดงมีพลังมากกว่านี้ 10 เท่า ถ้าคุณมาสนใจเรื่องพวกนี้บ้าง ไม่ใช่มุ่งแต่เรื่องของการเมืองเพียงอย่างเดียว
ที่ผ่านมา ธงของเสื้อแดงมีอยู่อย่างเดียว คือธงทางการเมือง
ใช่...ซึ่งผมก็เสียดายแทนเขาเหมือนกัน แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลขึ้นมา มันจะต่างอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะต่างกันอย่างไร
ถ้าเขาไม่เคยเคลื่อนไหวเรื่องโครงสร้างประเทศ ทำให้เป้าหมายเขาแคบลง
ที่ผมว่าเล็กลง เพราะแกนนำบอกว่าจะเข้าไปสมัคร ส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งมันทำให้เป้าหมายทางการเมืองชัดเจน แต่มันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างที่มีดีในกลุ่มเสื้อแดง เช่น ช่วงที่แกนนำติดคุก มันทำให้กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวกันเอง ซึ่งทำให้เสื้อแดงไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่กลายเป็นมีประเด็นอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
แต่มันก็ยังไม่พอ เพราะเสื้อแดงยังไม่เชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน แต่ก็มีด้านดี เพราะมันทำให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่กลายเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวภาคประชาชนช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา มันมีลักษณะของแกนนอนมากกว่าแกนตั้ง
แนวทางเสื้อแดงมีหลายสาย บางสายชูเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
ผมกลับมองว่า หากแกนนำเสื้อแดงออกมาห้ามไม่ให้ต่อต้านพรรคเพื่อไทยเมื่อเป็นรัฐบาล ผมคิดว่า แบบนี้ยิ่งจะทำให้สมาชิกพรรคเสื้อแดงลดลง และผมกลับคิดว่า คนอย่างณัฐวุฒิ ใสเกื้อ (แกนนำ นปช.) ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เพราะขืนทำแบบนั้น ยิ่งจะทำให้เขาเสียฐานเสียงของเขาที่เคยมี ผมจึงคิดว่า เขาไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด
เขาก็จะปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวในนามเสื้อแดง แต่อาจจะเป็นศัตรูของพรรคเพื่อไทยก็ได้ ยิ่งวันไหนที่เสื้อแดงตัดขาดจากทักษิณเด็ดขาด ผมรู้สึกว่า จะทำให้เสื้อแดงมีพลังมากขึ้น เพราะจะมีคนเข้ามาสนับสนุนอีกมาก แต่ตอนนี้ยังกลัวว่าจะเป็นการเข้าไปต่อท่อกับทักษิณ คุณทักษิณเขาก็รู้ว่าคนเสื้อแดงนั้นควบคุมไม่ได้
การที่เขาเคลื่อนไหวที่ราชประสงค์ได้โดยไม่ใช้เงินของคุณทักษิณ นั่นแปลว่าเขาถูกข้ามไปแล้ว
มีแนวโน้มที่คุณทักษิณจะมาควบคุมคนเสื้อแดงให้หนุนพรรคเพื่อไทย
คือพรรคเพื่อไทยยังอยู่ในมือของคุณทักษิณ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเสื้อแดงจะอยู่ในมือเขา เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเคยพูดว่าเขาก็รับรู้ว่าเขาก็เป็นผู้สนับสนุนคนหนึ่ง คือเขาก็ไม่ได้พูดแบบเดิมที่เขาเคยพูด ซึ่งแปลว่าเขาก็รู้ตัวว่าเสื้อแดงก็ไม่ใช่พันธมิตรที่อยู่ภายใต้การนำของเขา
แปลว่าต่อไปนี้คุณทักษิณก็อาจไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกระดานหุ้นแดง
เป็นพาร์ตเนอร์ไง ไม่ใช่ผู้นำอีกแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่พรรคเพื่อไทยส่งถึงคุณทักษิณ
ความก้าวหน้าเชิงนโยบายของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ใกล้เคียงหรือห่างชั้นกันอย่างไร
ไม่ห่างเลยครับ คือพรรคเพื่อไทยยังยึดติดกับนโยบายประชานิยมแบบทักษิณอยู่มาก แต่แทนที่จะพูดว่าเป็นประชานิยม ถ้าเอามาพูดใหม่ มันก็คือสวัสดิการ และเป็นสวัสดิการในทรรศนะของผมที่เจาะเข้าไปในปัญหาของสังคมจริง ๆ มากกว่า
การให้กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้าน มันเป็นการ attack-ลงมือสิ่งสำคัญ 2 อย่าง คือภาคการเกษตรไม่มีรายได้เข้าถึงทุน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคุณทักษิณคิดอะไรอยู่ แต่เขาตอบปัญหาได้ตรงใจคนไทยในตอนนั้นมากที่สุด
ข้อ 2 คือคุณทักษิณไม่ยอมให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเป็นกรรมการกองทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ คุณทักษิณเขาไม่ได้คิดว่ารักษาหัวคะแนนเก่า แต่ต้องการสร้างหัวคะแนนใหม่เป็นของตัวเอง เขาได้ตอบโจทย์ของสังคมพอดี
นโยบายประชาธิปัตย์ขึ้นค่าแรง 25% เป็นความพยายามตอบโจทย์ของสังคมได้หรือไม่
จะว่าตอบก็ได้ ในแง่ความเป็นจริงที่ว่า ไม่ช้าก็เร็ว คุณต้องให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่คุณกำลังพูดเรื่องการเพิ่มค่าจ้างแรงงาน โดยไม่เพิ่มศักยภาพการผลิตของแรงงานไทย ซึ่งมันทำไม่ได้ เพราะทั้งสองข้อนี้มันต้องไปพร้อม ๆ กัน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องเดียวกัน
ผมมองว่ามันเป็นด้านเดียวของเหรียญ คุณต้องเพิ่มความสามารถคนงานด้วย เช่น ทำให้มีผลผลิตมากกว่าเดิม 4 เท่า แล้วเอา 4 ไปคูณกับค่าแรง แบบนี้มันถึงจะเพิ่มได้ การที่คุณพูดแค่ด้านเดียวแบบนี้ มันทำไม่ได้ เหมือนคุณกำลังหาเสียงไปวัน ๆ
ทำไมประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดแก้เรื่องโครงสร้าง
เท่าที่ผมจำได้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำอะไรที่เป็นเรื่องโครงสร้าง
นโยบายภาษีมรดก ภาษีที่ดินก็ไม่เคยทะลุปัญหาเชิงโครงสร้าง
ใช่...มันไม่เคยทะลุไปไหนเลย อย่างเรื่องภาษีที่ดิน เขาพูดประหนึ่งว่า เป็นการทำให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้น ไม่พูดเรื่องความเป็นธรรม หรือประโยชน์ในระยะยาวที่คนจะได้รับการเข้าถึง ปัจจัยการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเขาไม่เคยพูดเลย
ทำไมพรรคการเมืองอายุ 65 ปี ถึงแทงทะลุโครงสร้างนี้ไม่ได้
พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่มีใครทะลุเรื่องโครงสร้างได้ รวมทั้งคุณทักษิณด้วย ผมก็ไม่เห็นคุณทักษิณพูดเรื่องโครงสร้าง แต่ผมเดาเอาว่า เขาอ่านออกว่าคนไทยในเวลานั้นต้องการอะไร ซึ่งผมเห็นด้วยกับนโยบายของเขา แต่ว่าเขาเป็นคนหยาบ ทำให้นโยบายดี ๆ หลายตัวไม่มีการติดตามผล
ข้อเสนอกรรมการปฏิรูปจะแทรกเข้าไปในนโยบายของพรรคการเมืองอย่างไร
เราไม่คิดจะเอาข้อเสนอของเราไปแทรกในนโยบายของพรรคการเมือง แต่เราหวังที่จะให้ข้อเสนอของเราเข้าไปอยู่ในความเห็นของสังคม ซึ่งมีความสำคัญมากกว่า คือถ้าสังคมเห็นด้วยกับคณะกรรมการปฏิรูป มันก็จะเกิดแรงกดดันขึ้นมา อย่างเช่นเรื่องการปฏิรูปที่ดิน ถ้าสังคมเห็นด้วยกับเราที่บอกว่าจะทำให้สถานการณ์ที่ดินในสังคมไทยเป็นแบบนี้ไม่ได้ ก็จะเกิดการกดดันพรรคการเมืองโดยอัตโนมัติว่า "คุณจะต้องปฏิรูปที่ดิน ถ้าไม่ทำ เราไม่เลือกคุณ"
ถ้าใช้นโยบายที่เป็นโครงสร้างการปฏิรูป ทำให้พรรคการเมืองหาเสียงยากหรือเปล่า
ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ ผมคิดว่านักการเมืองไทยไม่มีกึ๋น คือคุณสามารถทำให้ประชาชนเชื่อในสิ่งที่อาจจะขัดต่อผลประโยชน์ของเขาเอง ซึ่งสิ่งนี้ คุณชวน (หลีกภัย) ก็ไม่เคยทำ วันหนึ่งอาจจะมีความจำเป็นเด็ดขาดว่าเราไม่ควรมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งมันจะขัดต่อผลประโยชน์ของใครต่อใครไปหมด แต่นักการเมืองที่เก่ง คือทำให้คนรู้ถึงประโยชน์ที่คุณจะได้
คุณต้องไม่ลืมว่า เราเคยมีนักการเมืองที่เก่ง ๆ อย่างเชอร์ชิลล์ ในช่วงที่ทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์พร้อมจะทำสัญญาสงบศึกกับอังกฤษเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฮิตเลอร์ไม่ต้องการรบกับอังกฤษ เพื่อจะได้นำกองกำลังไปรบกับรัสเซียฝ่ายเดียว แต่อังกฤษภายใต้การนำของเชอร์ชิลล์ สามารถทำให้คนอังกฤษเชื่อว่าจะต้องรบกับฮิตเลอร์ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ก็ต้องรบให้ได้ ซึ่งนี่เป็นความสามารถทางการเมือง ที่ทำอย่างไรให้คนยอมรับความลำบากมากกว่าความสุขสบาย เพื่อเอาชนะสงคราม
มีบางนโยบายขัดกับผลประโยชน์ ของนายทุนพรรคหรือเปล่าประชาธิปัตย์จึงไม่ทำ
คือผมคิดว่า ถ้าคุณอภิสิทธิ์พูด...คนที่จะเล่นงานเขามากที่สุด คือคนในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกลัวจะเสียคะแนน ถึงผมจะไม่รู้จักใครในพรรคประชาธิปัตย์จริง ๆ จัง ๆ แต่ผม รู้สึกว่า พวกประชาธิปัตย์คิดแค่ว่า แค่เป็นประชาธิปัตย์ บ้านเมืองก็ดีแล้ว (หัวเราะ) ก็อย่างที่บอก การที่คุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคโดยไม่แลกอะไรเลย แค่คุณชวนอุ้มขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค มันเป็นไปไม่ได้
คุณอภิสิทธิ์ก็ต้องแลกอะไรบางอย่างกับคุณชวนเหมือนกัน และไม่ใช่แค่คุณชวนคนเดียว ยังมีบริวารของคุณชวนอีก ที่คุณอภิสิทธิ์ต้องแลก
มีความเป็นไปได้ไหมที่จะผลักดันแนวทางปฏิรูปผ่านนักการเมืองที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใหญ่
คือถ้าคุณเข้าไปหาสมาชิกพรรคที่เป็นคนดี แต่บังเอิญว่าเขายังเป็นคนตัวเล็ก ๆ อยู่ ถึงวันหนึ่ง เขาจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคได้ แต่การที่เขาจะขึ้นมาถึงจุด ๆ นั้นได้ มันต้องแลก ไม่มีใคร หรือมนุษย์คนไหนที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งโดยไม่แลกอะไรเลย
คนที่ขึ้นมาโดยไม่แลกอะไรเลยมันอยู่ในหนังสือการ์ตูน เรื่องจริง คือ มันต้องมีการแลกเปลี่ยน ถ้ากลุ่มคุณสกปรก คุณก็สกปรกไปด้วย ในสังคมที่สกปรก คุณจะบอกว่ามีคนดีแสนดี มันเป็นเรื่องหลอกเด็ก
แปลว่าเราไม่สามารถสร้างสังคมที่ดีขึ้นมาได้
มีสิ จากการปฏิรูปไง โดยมีสังคมเป็นตัวผลักดัน คนที่เป็นพระเอก คือประชาชน คือสังคม ไม่ใช่นักการเมือง
ยังมีความหวังกับสังคมที่ปราศจากขั้วหรือไม่
ไม่มีทาง คืออย่างนี้ การมีความแตกแยก มีความแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันต้องแตกต่างกันได้ในหลาย ๆ เรื่อง การที่เราแตกต่างกันอยู่เรื่องเดียว มันมีปัญหามาก ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็เรื่องที่ว่า ใช่คุณทักษิณ หรือไม่ใช่คุณทักษิณ พอมาตอนนี้ก็กลายเป็นว่า คุณแดง หรือคุณไม่แดง แทนที่คุณจะมาแตกต่างว่า คุณไม่ชอบประชาธิปัตย์ แต่คุณก็เห็นด้วยกับพรรคในเรื่องนั้นเรื่องนี้ คือเราต้องมีหลายมิติ แต่ตอนนี้เรามีแค่มิติเดียว
อาจารย์เอาต้นทุนของตัวเองมาทิ้งในคณะกรรมการชุดนี้มากเกินไปหรือไม่
ก็ทิ้งหมดเลย...เพราะคณะกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นโดยนายอภิสิทธิ์ เพื่อกลบเกลื่อน กรณีฆ่าคนตายของตัวเอง ซึ่งผมมองว่า เขาทำถูกเลย แต่คำถาม คือเมื่อคุณเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ ทำไมต้องไปเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลด้วย
หากมีรัฐบาลใหม่ อาจารย์คิดจะกลับมาทำหรือไม่
ผมว่ามี 3 เงื่อนไข 1) คือถ้ากรรมการชุดนี้จะกลับมาอีก เขาก็ต้องตั้งคุณอานันท์เป็นประธานอีก 2) คือคุณอานันท์ก็พร้อมที่จะเอาชุดกรรมการเดิมกลับมาอีก 3) คือผมจะต้องประเมินตัวเองก่อนว่า ผมจะมีน้ำยาพอที่จะขับเคลื่อนคณะกรรมการให้ทำงานตามที่ผมวางไว้หรือเปล่า แต่ถ้าคณะกรรมการชุดนี้กลับมาแล้วยังทำงานในรายละเอียดแบบเดิม ผมก็ว่าเป็นการเสียเวลาผม และก็คงเป็นการเสียเวลาพวกเขาด้วย เพราะผมอาจจะต้องคอยค้านเขา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงไม่กลับ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ในฐานะ 1 ใน 20 อรหันต์กรรมการปฏิรูปประเทศไทย
ต้นทุน-องค์ความรู้ และวัตรปฏิบัติ ของ "นักเรียนประวัติศาสตร์" และนักวิจัย ที่ใช้สังคมไทยเป็น "ห้องปฏิบัติการ" ถูกนำมาผลิตเป็นข้อเสนอ แนวทางแก้ปัญหาประเทศเชิงโครงสร้าง
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนาต่อยอดข้อเสนอ เพื่อการปฏิรูป ไปสู่แคมเปญการหาเสียงเลือกตั้ง และย้อนมองปฏิกิริยา-ตัวละครการเมือง ทั้งฝ่ายเสื้อแดง-ทักษิณ-อภิสิทธิ์ และชวน หลีกภัย
หลักปฏิรูปที่อาจารย์เสนอ เหมือนหรือคล้ายกับข้อเสนอเสื้อแดงอย่างไร
เท่าที่ผมติดตามคนกลุ่มนี้มา สิ่งที่น่าเสียดาย คือคุณ (เสื้อแดง) ไม่สนใจประเด็นอื่นเลย นอกจากการเมือง ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าประเด็นทางการเมืองไม่สำคัญ แต่มันไม่พอ
เสื้อแดงยังไม่เข้ามาร่วมกับพีมูฟเลย ถ้าคุณต้องการพันธมิตร คุณต้องเข้ามาร่วมคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอื่น ๆ เช่น คนงานที่ถูกปลดออกจากงานและไม่ได้รับการชดเชยค่าจ้าง ซึ่งจะทำให้คนเสื้อแดงมีพลังมากกว่านี้ 10 เท่า ถ้าคุณมาสนใจเรื่องพวกนี้บ้าง ไม่ใช่มุ่งแต่เรื่องของการเมืองเพียงอย่างเดียว
ที่ผ่านมา ธงของเสื้อแดงมีอยู่อย่างเดียว คือธงทางการเมือง
ใช่...ซึ่งผมก็เสียดายแทนเขาเหมือนกัน แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลขึ้นมา มันจะต่างอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะต่างกันอย่างไร
ถ้าเขาไม่เคยเคลื่อนไหวเรื่องโครงสร้างประเทศ ทำให้เป้าหมายเขาแคบลง
ที่ผมว่าเล็กลง เพราะแกนนำบอกว่าจะเข้าไปสมัคร ส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งมันทำให้เป้าหมายทางการเมืองชัดเจน แต่มันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างที่มีดีในกลุ่มเสื้อแดง เช่น ช่วงที่แกนนำติดคุก มันทำให้กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวกันเอง ซึ่งทำให้เสื้อแดงไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่กลายเป็นมีประเด็นอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
แต่มันก็ยังไม่พอ เพราะเสื้อแดงยังไม่เชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน แต่ก็มีด้านดี เพราะมันทำให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่กลายเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวภาคประชาชนช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา มันมีลักษณะของแกนนอนมากกว่าแกนตั้ง
แนวทางเสื้อแดงมีหลายสาย บางสายชูเพื่อไทยเป็นรัฐบาล
ผมกลับมองว่า หากแกนนำเสื้อแดงออกมาห้ามไม่ให้ต่อต้านพรรคเพื่อไทยเมื่อเป็นรัฐบาล ผมคิดว่า แบบนี้ยิ่งจะทำให้สมาชิกพรรคเสื้อแดงลดลง และผมกลับคิดว่า คนอย่างณัฐวุฒิ ใสเกื้อ (แกนนำ นปช.) ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เพราะขืนทำแบบนั้น ยิ่งจะทำให้เขาเสียฐานเสียงของเขาที่เคยมี ผมจึงคิดว่า เขาไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด
เขาก็จะปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวในนามเสื้อแดง แต่อาจจะเป็นศัตรูของพรรคเพื่อไทยก็ได้ ยิ่งวันไหนที่เสื้อแดงตัดขาดจากทักษิณเด็ดขาด ผมรู้สึกว่า จะทำให้เสื้อแดงมีพลังมากขึ้น เพราะจะมีคนเข้ามาสนับสนุนอีกมาก แต่ตอนนี้ยังกลัวว่าจะเป็นการเข้าไปต่อท่อกับทักษิณ คุณทักษิณเขาก็รู้ว่าคนเสื้อแดงนั้นควบคุมไม่ได้
การที่เขาเคลื่อนไหวที่ราชประสงค์ได้โดยไม่ใช้เงินของคุณทักษิณ นั่นแปลว่าเขาถูกข้ามไปแล้ว
มีแนวโน้มที่คุณทักษิณจะมาควบคุมคนเสื้อแดงให้หนุนพรรคเพื่อไทย
คือพรรคเพื่อไทยยังอยู่ในมือของคุณทักษิณ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเสื้อแดงจะอยู่ในมือเขา เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเคยพูดว่าเขาก็รับรู้ว่าเขาก็เป็นผู้สนับสนุนคนหนึ่ง คือเขาก็ไม่ได้พูดแบบเดิมที่เขาเคยพูด ซึ่งแปลว่าเขาก็รู้ตัวว่าเสื้อแดงก็ไม่ใช่พันธมิตรที่อยู่ภายใต้การนำของเขา
แปลว่าต่อไปนี้คุณทักษิณก็อาจไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกระดานหุ้นแดง
เป็นพาร์ตเนอร์ไง ไม่ใช่ผู้นำอีกแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่พรรคเพื่อไทยส่งถึงคุณทักษิณ
ความก้าวหน้าเชิงนโยบายของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ใกล้เคียงหรือห่างชั้นกันอย่างไร
ไม่ห่างเลยครับ คือพรรคเพื่อไทยยังยึดติดกับนโยบายประชานิยมแบบทักษิณอยู่มาก แต่แทนที่จะพูดว่าเป็นประชานิยม ถ้าเอามาพูดใหม่ มันก็คือสวัสดิการ และเป็นสวัสดิการในทรรศนะของผมที่เจาะเข้าไปในปัญหาของสังคมจริง ๆ มากกว่า
การให้กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้าน มันเป็นการ attack-ลงมือสิ่งสำคัญ 2 อย่าง คือภาคการเกษตรไม่มีรายได้เข้าถึงทุน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคุณทักษิณคิดอะไรอยู่ แต่เขาตอบปัญหาได้ตรงใจคนไทยในตอนนั้นมากที่สุด
ข้อ 2 คือคุณทักษิณไม่ยอมให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเป็นกรรมการกองทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ คุณทักษิณเขาไม่ได้คิดว่ารักษาหัวคะแนนเก่า แต่ต้องการสร้างหัวคะแนนใหม่เป็นของตัวเอง เขาได้ตอบโจทย์ของสังคมพอดี
นโยบายประชาธิปัตย์ขึ้นค่าแรง 25% เป็นความพยายามตอบโจทย์ของสังคมได้หรือไม่
จะว่าตอบก็ได้ ในแง่ความเป็นจริงที่ว่า ไม่ช้าก็เร็ว คุณต้องให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่คุณกำลังพูดเรื่องการเพิ่มค่าจ้างแรงงาน โดยไม่เพิ่มศักยภาพการผลิตของแรงงานไทย ซึ่งมันทำไม่ได้ เพราะทั้งสองข้อนี้มันต้องไปพร้อม ๆ กัน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องเดียวกัน
ผมมองว่ามันเป็นด้านเดียวของเหรียญ คุณต้องเพิ่มความสามารถคนงานด้วย เช่น ทำให้มีผลผลิตมากกว่าเดิม 4 เท่า แล้วเอา 4 ไปคูณกับค่าแรง แบบนี้มันถึงจะเพิ่มได้ การที่คุณพูดแค่ด้านเดียวแบบนี้ มันทำไม่ได้ เหมือนคุณกำลังหาเสียงไปวัน ๆ
ทำไมประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดแก้เรื่องโครงสร้าง
เท่าที่ผมจำได้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำอะไรที่เป็นเรื่องโครงสร้าง
นโยบายภาษีมรดก ภาษีที่ดินก็ไม่เคยทะลุปัญหาเชิงโครงสร้าง
ใช่...มันไม่เคยทะลุไปไหนเลย อย่างเรื่องภาษีที่ดิน เขาพูดประหนึ่งว่า เป็นการทำให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้น ไม่พูดเรื่องความเป็นธรรม หรือประโยชน์ในระยะยาวที่คนจะได้รับการเข้าถึง ปัจจัยการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเขาไม่เคยพูดเลย
ทำไมพรรคการเมืองอายุ 65 ปี ถึงแทงทะลุโครงสร้างนี้ไม่ได้
พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่มีใครทะลุเรื่องโครงสร้างได้ รวมทั้งคุณทักษิณด้วย ผมก็ไม่เห็นคุณทักษิณพูดเรื่องโครงสร้าง แต่ผมเดาเอาว่า เขาอ่านออกว่าคนไทยในเวลานั้นต้องการอะไร ซึ่งผมเห็นด้วยกับนโยบายของเขา แต่ว่าเขาเป็นคนหยาบ ทำให้นโยบายดี ๆ หลายตัวไม่มีการติดตามผล
ข้อเสนอกรรมการปฏิรูปจะแทรกเข้าไปในนโยบายของพรรคการเมืองอย่างไร
เราไม่คิดจะเอาข้อเสนอของเราไปแทรกในนโยบายของพรรคการเมือง แต่เราหวังที่จะให้ข้อเสนอของเราเข้าไปอยู่ในความเห็นของสังคม ซึ่งมีความสำคัญมากกว่า คือถ้าสังคมเห็นด้วยกับคณะกรรมการปฏิรูป มันก็จะเกิดแรงกดดันขึ้นมา อย่างเช่นเรื่องการปฏิรูปที่ดิน ถ้าสังคมเห็นด้วยกับเราที่บอกว่าจะทำให้สถานการณ์ที่ดินในสังคมไทยเป็นแบบนี้ไม่ได้ ก็จะเกิดการกดดันพรรคการเมืองโดยอัตโนมัติว่า "คุณจะต้องปฏิรูปที่ดิน ถ้าไม่ทำ เราไม่เลือกคุณ"
ถ้าใช้นโยบายที่เป็นโครงสร้างการปฏิรูป ทำให้พรรคการเมืองหาเสียงยากหรือเปล่า
ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ ผมคิดว่านักการเมืองไทยไม่มีกึ๋น คือคุณสามารถทำให้ประชาชนเชื่อในสิ่งที่อาจจะขัดต่อผลประโยชน์ของเขาเอง ซึ่งสิ่งนี้ คุณชวน (หลีกภัย) ก็ไม่เคยทำ วันหนึ่งอาจจะมีความจำเป็นเด็ดขาดว่าเราไม่ควรมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งมันจะขัดต่อผลประโยชน์ของใครต่อใครไปหมด แต่นักการเมืองที่เก่ง คือทำให้คนรู้ถึงประโยชน์ที่คุณจะได้
คุณต้องไม่ลืมว่า เราเคยมีนักการเมืองที่เก่ง ๆ อย่างเชอร์ชิลล์ ในช่วงที่ทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์พร้อมจะทำสัญญาสงบศึกกับอังกฤษเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฮิตเลอร์ไม่ต้องการรบกับอังกฤษ เพื่อจะได้นำกองกำลังไปรบกับรัสเซียฝ่ายเดียว แต่อังกฤษภายใต้การนำของเชอร์ชิลล์ สามารถทำให้คนอังกฤษเชื่อว่าจะต้องรบกับฮิตเลอร์ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ก็ต้องรบให้ได้ ซึ่งนี่เป็นความสามารถทางการเมือง ที่ทำอย่างไรให้คนยอมรับความลำบากมากกว่าความสุขสบาย เพื่อเอาชนะสงคราม
มีบางนโยบายขัดกับผลประโยชน์ ของนายทุนพรรคหรือเปล่าประชาธิปัตย์จึงไม่ทำ
คือผมคิดว่า ถ้าคุณอภิสิทธิ์พูด...คนที่จะเล่นงานเขามากที่สุด คือคนในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกลัวจะเสียคะแนน ถึงผมจะไม่รู้จักใครในพรรคประชาธิปัตย์จริง ๆ จัง ๆ แต่ผม รู้สึกว่า พวกประชาธิปัตย์คิดแค่ว่า แค่เป็นประชาธิปัตย์ บ้านเมืองก็ดีแล้ว (หัวเราะ) ก็อย่างที่บอก การที่คุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคโดยไม่แลกอะไรเลย แค่คุณชวนอุ้มขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค มันเป็นไปไม่ได้
คุณอภิสิทธิ์ก็ต้องแลกอะไรบางอย่างกับคุณชวนเหมือนกัน และไม่ใช่แค่คุณชวนคนเดียว ยังมีบริวารของคุณชวนอีก ที่คุณอภิสิทธิ์ต้องแลก
มีความเป็นไปได้ไหมที่จะผลักดันแนวทางปฏิรูปผ่านนักการเมืองที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใหญ่
คือถ้าคุณเข้าไปหาสมาชิกพรรคที่เป็นคนดี แต่บังเอิญว่าเขายังเป็นคนตัวเล็ก ๆ อยู่ ถึงวันหนึ่ง เขาจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคได้ แต่การที่เขาจะขึ้นมาถึงจุด ๆ นั้นได้ มันต้องแลก ไม่มีใคร หรือมนุษย์คนไหนที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งโดยไม่แลกอะไรเลย
คนที่ขึ้นมาโดยไม่แลกอะไรเลยมันอยู่ในหนังสือการ์ตูน เรื่องจริง คือ มันต้องมีการแลกเปลี่ยน ถ้ากลุ่มคุณสกปรก คุณก็สกปรกไปด้วย ในสังคมที่สกปรก คุณจะบอกว่ามีคนดีแสนดี มันเป็นเรื่องหลอกเด็ก
แปลว่าเราไม่สามารถสร้างสังคมที่ดีขึ้นมาได้
มีสิ จากการปฏิรูปไง โดยมีสังคมเป็นตัวผลักดัน คนที่เป็นพระเอก คือประชาชน คือสังคม ไม่ใช่นักการเมือง
ยังมีความหวังกับสังคมที่ปราศจากขั้วหรือไม่
ไม่มีทาง คืออย่างนี้ การมีความแตกแยก มีความแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันต้องแตกต่างกันได้ในหลาย ๆ เรื่อง การที่เราแตกต่างกันอยู่เรื่องเดียว มันมีปัญหามาก ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็เรื่องที่ว่า ใช่คุณทักษิณ หรือไม่ใช่คุณทักษิณ พอมาตอนนี้ก็กลายเป็นว่า คุณแดง หรือคุณไม่แดง แทนที่คุณจะมาแตกต่างว่า คุณไม่ชอบประชาธิปัตย์ แต่คุณก็เห็นด้วยกับพรรคในเรื่องนั้นเรื่องนี้ คือเราต้องมีหลายมิติ แต่ตอนนี้เรามีแค่มิติเดียว
อาจารย์เอาต้นทุนของตัวเองมาทิ้งในคณะกรรมการชุดนี้มากเกินไปหรือไม่
ก็ทิ้งหมดเลย...เพราะคณะกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นโดยนายอภิสิทธิ์ เพื่อกลบเกลื่อน กรณีฆ่าคนตายของตัวเอง ซึ่งผมมองว่า เขาทำถูกเลย แต่คำถาม คือเมื่อคุณเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ ทำไมต้องไปเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลด้วย
หากมีรัฐบาลใหม่ อาจารย์คิดจะกลับมาทำหรือไม่
ผมว่ามี 3 เงื่อนไข 1) คือถ้ากรรมการชุดนี้จะกลับมาอีก เขาก็ต้องตั้งคุณอานันท์เป็นประธานอีก 2) คือคุณอานันท์ก็พร้อมที่จะเอาชุดกรรมการเดิมกลับมาอีก 3) คือผมจะต้องประเมินตัวเองก่อนว่า ผมจะมีน้ำยาพอที่จะขับเคลื่อนคณะกรรมการให้ทำงานตามที่ผมวางไว้หรือเปล่า แต่ถ้าคณะกรรมการชุดนี้กลับมาแล้วยังทำงานในรายละเอียดแบบเดิม ผมก็ว่าเป็นการเสียเวลาผม และก็คงเป็นการเสียเวลาพวกเขาด้วย เพราะผมอาจจะต้องคอยค้านเขา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงไม่กลับ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล ลูกอำมาตย์ในดงแดง เปิดใจชีวิตติดดิน เป็นหม่อมหลวง แต่มาอยู่พรรคไพร่
นักการเมืองนามสกุลดีหลายตระกูล ปรากฏชื่อติดโผผู้สมัครพรรค การเมืองใหญ่
โปรไฟล์คนจากตระกูล "เทวกุล" เคยติดอยู่ในโผ "ว่าที่นายกรัฐมนตรี"
ทั้งชื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ ม.ล.นัฏฐกรณ์ เทวกุล เคยถูกเทียบเชิญ ทั้งจาก "บรรหาร ศิลปอาชา" และจาก "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ + กลุ่มนักการเมือง 3 พี"
แต่ชื่อจริง-ปรากฏตัวบนดิน อยู่ในโผบัญชีผู้สมัครรับเลือกตั้งมีเพียงคนเดียวคือ "ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล" หลานชายของคุณชายอุ๋ย ซึ่งจะลงสมัคร ส.ส.กทม.ในนามพรรค เพื่อไทย
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับเขา ในวันสวมเสื้อพรรคการเมืองตัวที่ 2 หลังจากเคยสวมเสื้อ "รวมชาติพัฒนา" และสอบตกมาแล้ว
- ทำไมไม่เล่นการเมืองกลุ่มเดียวกับ "หม่อมอุ๋ย" ซึ่งมีข่าวว่าถูกทาบทามจากหลายพรรคการเมือง
เหตุผลที่ผมมาอยู่พรรคเพื่อไทยเพราะเห็นด้วยกับมติกลุ่มกรุงเทพฯ 50 ที่มีมติมาอยู่ที่นี่แล้ว ผมก็ต้องรับฟังมติกลุ่ม ส่วนทางที่บ้านจะคิดยังไงก็เป็นเรื่องของที่บ้าน เพราะครอบครัวเราเปิดโอกาสให้ลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคน เคารพในสิทธิของทุก ๆ คน
- ถ้าอยู่พรรคเดียวกับหม่อมอุ๋ย ซึ่งมีข่าวเป็นแคนดิเดตนายกฯ น่าจะมีโอกาสดีกว่าหรือเปล่า
ทางโน้นยังไม่แน่นอน ข่าวก็ยังไม่ชัดเจน และผมชอบการทำงานของพรรคเพื่อไทยมากกว่า เพราะมีสไตล์การทำงานคล้าย ๆ กับตัวผม คือ รวดเร็ว ฉับพลัน พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคทำงานเร็ว และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
- ได้พูดคุยเรื่องการเมืองกับหม่อมอุ๋ยกับหม่อมปลื้มหรือไม่
ส่วนมากจะเจอกันในงานรวมญาติมากกว่า คุยกันเล็กน้อย บอกว่าผมมาอยู่พรรคนี้แล้วนะ ย้ายมานี้แล้วนะ คุยแบบทั่วไปสัพเพเหระ
- ไม่ได้ตัดสินใจอะไรร่วมกับหม่อมอุ๋ยและคุณปลื้ม
ไม่ได้ร่วมตัดสินใจกัน เราตัดสินใจของเรา ส่วนเขาก็ตัดสินใจของเขา
- ไม่กังวลกับข้อกล่าวหาว่าพรรคที่สังกัดเกี่ยวข้องขบวนการล้มเจ้าหรือ
ผมมั่นใจในพรรคเพื่อไทย เอาแค่สมาชิกพรรคที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 ประมาณกว่า 200 ชีวิตมาอยู่ในพรรคเพื่อไทย ดื่มน้ำสัตยาบันจากในหลวง รับกระบี่จากในหลวง ถ้าจะบอกว่าพรรคเราไม่มีความจงรักภักดีก็ไม่ถูก ผมเองเสียอีก ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล มั่นใจอย่างสูงสุด ผมเป็น เชื้อเจ้า เป็นราชนิกุล แต่ทำไมผมถึงมาอยู่พรรคนี้
ผมมาอยู่พรรคนี้ เพราะผมคิดว่าพรรคนี้ไม่เคยทำลายเบื้องสูง และไม่เคยคิดล้มล้างสถาบัน พรรคนี้จงรักภักดี อย่างท่านอดีตนายกฯทักษิณก็เรียนจบโรงเรียนเตรียมทหาร จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจมา รับราชการมา อย่างนี้หรือครับเรียกว่าไม่จงรักภักดี ทำงานมาเพื่อชาติตลอดชีวิตการทำงานของท่าน
ฉะนั้น ผมมั่นใจมาก ผมจึงเข้ามาร่วมอยู่ในชายคาของพรรคเพื่อไทย
- พรรคเพื่อไทยมีความสัมพันธ์กับกลุ่ม นปช. ซึ่งมีคนเสื้อแดงหลายเฉด เข้มข้นไปถึงขั้นบางกลุ่มคิดปฏิเสธเบื้องสูง มองยังไง
ผมเข้าใจเรื่องพรรคร่วมสังคายนากับคนเสื้อแดงนะ คนเสื้อแดงเป็นมวลชนกลุ่มหนึ่งของพรรค โดยพรรคมีมวลชนจำนวนมหาศาล เราจะมาคอนโทรลมวลชนว่าเขาต้องเดินทางไหน ทีละหนึ่งสองสามไม่ได้ครับ เพราะมวลชนก็มีความคิดของเขา และความคิดของเขาบางอย่างก็แตกต่างกันไป เหมือนมาจากร้อยพ่อพันแม่
ผมคิดว่าคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยเดินไปในทิศทางเดียวกัน ก็เป็นเรื่อง ถูกต้อง แต่บางครั้งการทำงานก็ต่างกัน อย่างสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือ ส.ส.ต้องการเข้าไปทำงานในสภา แต่คนเสื้อแดงที่อยู่ในม็อบหรือบนเวทีปราศรัย อาจจะเรียกได้ว่าทำงานข้างถนน แต่นั่นก็เป็นการทำงานอีกรูปแบบหนึ่งในการเรียกร้องประชาธิปไตย
- บทบาทกับพรรคเพื่อไทยกับบทบาท นปช. ใครจะนำใคร
ส่วนตัวผมว่าไม่มีใครนำใคร แต่ทุกคนช่วยงานประเทศชาติ ช่วยงานพรรคของเรา ไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 2 ทาง ต่างช่วยงานประเทศชาติ และช่วยงานพรรค
- มั่นใจจะชนะเลือกตั้งหรือไม่
พรรคมอบหมายให้ลงสมัครเขตสาทร บางรัก ผมมั่นใจครับ และยิ่งตอนนี้ทางฝั่งรัฐบาลผลงานถดถอย เรายิ่งมั่นใจสูงขึ้นอีก
- งานการเมืองที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง
อย่างผมเนี่ย..คนข้างนอกอาจจะมองผมเป็นคนสูงศักดิ์ ผมเป็นหม่อมหลวง แต่ความจริงผมเป็นหม่อมติดดิน หม่อมจับต้องได้ ผมไปลงพื้นที่ชุมชน ผมอยากรู้ปัญหาชาวบ้าน เดินเคาะทุกบ้าน ขึ้นแฟลตทุกชั้น เพราะผมเป็นคนหนุ่ม ผมสามารถทำได้ เมื่อก่อนเป็นเขต 1 มี 7 เขต ก่อนจะมีพ่วงบางรักมาด้วย ผมเดินทั้ง 7 เขต
- ถึงจะบอกว่าชีวิตติดดิน เป็นหม่อมหลวงแต่มาอยู่พรรคไพร่ รู้สึกยังไง
ผมเกิดมามีสองมือสองเท้า ถึงจะมีเชื้อเจ้าแต่ผมก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปนะ เพราะฉะนั้นผมไม่คิดเรื่องแบบนี้ เพราะคนเราก็เหมือนกันทุกคน แค่เราดูแลเขา และเขาดูแลเรา ผมไม่ได้คิดถือตัว
- เข้าใจการต่อสู้เรื่องไพร่-อำมาตย์ ของ นปช.ว่าอย่างไร
ผมเข้าใจที่เขาพูด เข้าใจว่าการพูดเรื่องอำมาตย์หมายถึงอดีตข้าราชการผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากตำแหน่งในอดีต และต้องการหา ประโยชน์ในปัจจุบันด้วย เหมือนกลุ่มคนที่ปกครองก็เป็นอำมาตย์
- แล้วคิดว่าตัวเองเป็นไพร่หรือเป็นอำมาตย์
ผมเป็นได้ทั้งไพร่และอำมาตย์ เพราะถ้าเรามีหน้าที่การงานต่อไป เราก็เหมือนอำมาตย์คนหนึ่ง แต่ตอนนี้เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง หรือเป็นไพร่คนหนึ่ง ซึ่งคนที่จะเป็นอำมาตย์ที่ดี ต้องปกครองคนให้ทุก ๆ คนอยู่เย็นเป็นสุข นั่นคืออำมาตย์ที่ดี
- คิดว่าอำมาตย์มีทั้งดีและไม่ดี
ถูกต้อง ผมว่าที่ นปช.พูดนั้นเหมือนเขาประชดว่า ทำไมอำมาตย์ทำกับไพร่แบบนี้ แต่ผมคิดว่าอำมาตย์ในอดีตที่ผ่านมาก็มีบางคนที่ทำความดีกับประเทศชาติ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขก็มี ตอนนี้บ้านเมืองก็เริ่มแย่ เราจำเป็นต้องได้ชนชั้นปกครองที่ดี
- ทำธุรกิจอะไรก่อนมาเล่นการเมือง
ทำรับเหมาก่อสร้าง และทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลรถ ในนามบริษัทนอร์ธ คลีนเนอร์
- เคยเริ่มต้นงานการเมืองจากกลุ่ม "กรุงเทพฯ 50" หลังจากนั้นทำงานต่อเนื่องหรือไม่
เมื่อเลือกตั้งคราวที่แล้ว กลุ่มกรุงเทพฯ 50 รวมกันอยู่ที่พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แล้วส่งตัวแทนของกลุ่ม ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. พอหลังเลือกตั้งเสร็จก็มีมติจากกลุ่มถึงทิศทางการเมือง ซึ่งมีมติจากเสียงส่วนใหญ่มีมติจะมารวมกับพรรคเพื่อไทยในนามภาค กทม. ตอนนี้ นอกจากผมก็มี พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ และที่มาช่วยงานพรรคตอนนี้ก็มี ดร.พิชัย กิจไมตรี รวมทั้งกลุ่มกรุงเทพฯ 50 ที่คอยช่วยเรื่องข้อมูลก็มีอีก 4-5 คน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
โปรไฟล์คนจากตระกูล "เทวกุล" เคยติดอยู่ในโผ "ว่าที่นายกรัฐมนตรี"
ทั้งชื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ ม.ล.นัฏฐกรณ์ เทวกุล เคยถูกเทียบเชิญ ทั้งจาก "บรรหาร ศิลปอาชา" และจาก "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ + กลุ่มนักการเมือง 3 พี"
แต่ชื่อจริง-ปรากฏตัวบนดิน อยู่ในโผบัญชีผู้สมัครรับเลือกตั้งมีเพียงคนเดียวคือ "ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล" หลานชายของคุณชายอุ๋ย ซึ่งจะลงสมัคร ส.ส.กทม.ในนามพรรค เพื่อไทย
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับเขา ในวันสวมเสื้อพรรคการเมืองตัวที่ 2 หลังจากเคยสวมเสื้อ "รวมชาติพัฒนา" และสอบตกมาแล้ว
- ทำไมไม่เล่นการเมืองกลุ่มเดียวกับ "หม่อมอุ๋ย" ซึ่งมีข่าวว่าถูกทาบทามจากหลายพรรคการเมือง
เหตุผลที่ผมมาอยู่พรรคเพื่อไทยเพราะเห็นด้วยกับมติกลุ่มกรุงเทพฯ 50 ที่มีมติมาอยู่ที่นี่แล้ว ผมก็ต้องรับฟังมติกลุ่ม ส่วนทางที่บ้านจะคิดยังไงก็เป็นเรื่องของที่บ้าน เพราะครอบครัวเราเปิดโอกาสให้ลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคน เคารพในสิทธิของทุก ๆ คน
- ถ้าอยู่พรรคเดียวกับหม่อมอุ๋ย ซึ่งมีข่าวเป็นแคนดิเดตนายกฯ น่าจะมีโอกาสดีกว่าหรือเปล่า
ทางโน้นยังไม่แน่นอน ข่าวก็ยังไม่ชัดเจน และผมชอบการทำงานของพรรคเพื่อไทยมากกว่า เพราะมีสไตล์การทำงานคล้าย ๆ กับตัวผม คือ รวดเร็ว ฉับพลัน พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคทำงานเร็ว และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
- ได้พูดคุยเรื่องการเมืองกับหม่อมอุ๋ยกับหม่อมปลื้มหรือไม่
ส่วนมากจะเจอกันในงานรวมญาติมากกว่า คุยกันเล็กน้อย บอกว่าผมมาอยู่พรรคนี้แล้วนะ ย้ายมานี้แล้วนะ คุยแบบทั่วไปสัพเพเหระ
- ไม่ได้ตัดสินใจอะไรร่วมกับหม่อมอุ๋ยและคุณปลื้ม
ไม่ได้ร่วมตัดสินใจกัน เราตัดสินใจของเรา ส่วนเขาก็ตัดสินใจของเขา
- ไม่กังวลกับข้อกล่าวหาว่าพรรคที่สังกัดเกี่ยวข้องขบวนการล้มเจ้าหรือ
ผมมั่นใจในพรรคเพื่อไทย เอาแค่สมาชิกพรรคที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 ประมาณกว่า 200 ชีวิตมาอยู่ในพรรคเพื่อไทย ดื่มน้ำสัตยาบันจากในหลวง รับกระบี่จากในหลวง ถ้าจะบอกว่าพรรคเราไม่มีความจงรักภักดีก็ไม่ถูก ผมเองเสียอีก ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล มั่นใจอย่างสูงสุด ผมเป็น เชื้อเจ้า เป็นราชนิกุล แต่ทำไมผมถึงมาอยู่พรรคนี้
ผมมาอยู่พรรคนี้ เพราะผมคิดว่าพรรคนี้ไม่เคยทำลายเบื้องสูง และไม่เคยคิดล้มล้างสถาบัน พรรคนี้จงรักภักดี อย่างท่านอดีตนายกฯทักษิณก็เรียนจบโรงเรียนเตรียมทหาร จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจมา รับราชการมา อย่างนี้หรือครับเรียกว่าไม่จงรักภักดี ทำงานมาเพื่อชาติตลอดชีวิตการทำงานของท่าน
ฉะนั้น ผมมั่นใจมาก ผมจึงเข้ามาร่วมอยู่ในชายคาของพรรคเพื่อไทย
- พรรคเพื่อไทยมีความสัมพันธ์กับกลุ่ม นปช. ซึ่งมีคนเสื้อแดงหลายเฉด เข้มข้นไปถึงขั้นบางกลุ่มคิดปฏิเสธเบื้องสูง มองยังไง
ผมเข้าใจเรื่องพรรคร่วมสังคายนากับคนเสื้อแดงนะ คนเสื้อแดงเป็นมวลชนกลุ่มหนึ่งของพรรค โดยพรรคมีมวลชนจำนวนมหาศาล เราจะมาคอนโทรลมวลชนว่าเขาต้องเดินทางไหน ทีละหนึ่งสองสามไม่ได้ครับ เพราะมวลชนก็มีความคิดของเขา และความคิดของเขาบางอย่างก็แตกต่างกันไป เหมือนมาจากร้อยพ่อพันแม่
ผมคิดว่าคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยเดินไปในทิศทางเดียวกัน ก็เป็นเรื่อง ถูกต้อง แต่บางครั้งการทำงานก็ต่างกัน อย่างสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือ ส.ส.ต้องการเข้าไปทำงานในสภา แต่คนเสื้อแดงที่อยู่ในม็อบหรือบนเวทีปราศรัย อาจจะเรียกได้ว่าทำงานข้างถนน แต่นั่นก็เป็นการทำงานอีกรูปแบบหนึ่งในการเรียกร้องประชาธิปไตย
- บทบาทกับพรรคเพื่อไทยกับบทบาท นปช. ใครจะนำใคร
ส่วนตัวผมว่าไม่มีใครนำใคร แต่ทุกคนช่วยงานประเทศชาติ ช่วยงานพรรคของเรา ไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 2 ทาง ต่างช่วยงานประเทศชาติ และช่วยงานพรรค
- มั่นใจจะชนะเลือกตั้งหรือไม่
พรรคมอบหมายให้ลงสมัครเขตสาทร บางรัก ผมมั่นใจครับ และยิ่งตอนนี้ทางฝั่งรัฐบาลผลงานถดถอย เรายิ่งมั่นใจสูงขึ้นอีก
- งานการเมืองที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง
อย่างผมเนี่ย..คนข้างนอกอาจจะมองผมเป็นคนสูงศักดิ์ ผมเป็นหม่อมหลวง แต่ความจริงผมเป็นหม่อมติดดิน หม่อมจับต้องได้ ผมไปลงพื้นที่ชุมชน ผมอยากรู้ปัญหาชาวบ้าน เดินเคาะทุกบ้าน ขึ้นแฟลตทุกชั้น เพราะผมเป็นคนหนุ่ม ผมสามารถทำได้ เมื่อก่อนเป็นเขต 1 มี 7 เขต ก่อนจะมีพ่วงบางรักมาด้วย ผมเดินทั้ง 7 เขต
- ถึงจะบอกว่าชีวิตติดดิน เป็นหม่อมหลวงแต่มาอยู่พรรคไพร่ รู้สึกยังไง
ผมเกิดมามีสองมือสองเท้า ถึงจะมีเชื้อเจ้าแต่ผมก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปนะ เพราะฉะนั้นผมไม่คิดเรื่องแบบนี้ เพราะคนเราก็เหมือนกันทุกคน แค่เราดูแลเขา และเขาดูแลเรา ผมไม่ได้คิดถือตัว
- เข้าใจการต่อสู้เรื่องไพร่-อำมาตย์ ของ นปช.ว่าอย่างไร
ผมเข้าใจที่เขาพูด เข้าใจว่าการพูดเรื่องอำมาตย์หมายถึงอดีตข้าราชการผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากตำแหน่งในอดีต และต้องการหา ประโยชน์ในปัจจุบันด้วย เหมือนกลุ่มคนที่ปกครองก็เป็นอำมาตย์
- แล้วคิดว่าตัวเองเป็นไพร่หรือเป็นอำมาตย์
ผมเป็นได้ทั้งไพร่และอำมาตย์ เพราะถ้าเรามีหน้าที่การงานต่อไป เราก็เหมือนอำมาตย์คนหนึ่ง แต่ตอนนี้เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง หรือเป็นไพร่คนหนึ่ง ซึ่งคนที่จะเป็นอำมาตย์ที่ดี ต้องปกครองคนให้ทุก ๆ คนอยู่เย็นเป็นสุข นั่นคืออำมาตย์ที่ดี
- คิดว่าอำมาตย์มีทั้งดีและไม่ดี
ถูกต้อง ผมว่าที่ นปช.พูดนั้นเหมือนเขาประชดว่า ทำไมอำมาตย์ทำกับไพร่แบบนี้ แต่ผมคิดว่าอำมาตย์ในอดีตที่ผ่านมาก็มีบางคนที่ทำความดีกับประเทศชาติ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขก็มี ตอนนี้บ้านเมืองก็เริ่มแย่ เราจำเป็นต้องได้ชนชั้นปกครองที่ดี
- ทำธุรกิจอะไรก่อนมาเล่นการเมือง
ทำรับเหมาก่อสร้าง และทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลรถ ในนามบริษัทนอร์ธ คลีนเนอร์
- เคยเริ่มต้นงานการเมืองจากกลุ่ม "กรุงเทพฯ 50" หลังจากนั้นทำงานต่อเนื่องหรือไม่
เมื่อเลือกตั้งคราวที่แล้ว กลุ่มกรุงเทพฯ 50 รวมกันอยู่ที่พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แล้วส่งตัวแทนของกลุ่ม ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. พอหลังเลือกตั้งเสร็จก็มีมติจากกลุ่มถึงทิศทางการเมือง ซึ่งมีมติจากเสียงส่วนใหญ่มีมติจะมารวมกับพรรคเพื่อไทยในนามภาค กทม. ตอนนี้ นอกจากผมก็มี พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ และที่มาช่วยงานพรรคตอนนี้ก็มี ดร.พิชัย กิจไมตรี รวมทั้งกลุ่มกรุงเทพฯ 50 ที่คอยช่วยเรื่องข้อมูลก็มีอีก 4-5 คน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554
ประเพณีรดนํ้าดําหัวผู้ใหญ่.. ในวันสงกรานต์ หรือวันมหาสงกรานต์
ประเพณี รดนํ้าดําหัวผู้ใหญ่.
เป็นประเพณีของไทยอันสืบเนื่องมาจากประเพณีวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่แสดงถึงความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารนับถือและผู้มีพระคุณ
เพื่อแสดงความกตัญญูพร้อมกับการขอขมาและขอรับพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเนื่องในวันสําคัญ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันสงกรานต์ของไทยในเดือนเมษายน "การดําหัว" ก็คือการรดนํ้านั่นเองแต่เป็นคําเมืองทางเหนือการดําหัวเรียกกันเฉพาะการรดนํ้าผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง เช่น พ่อเมือง เป็นต้น เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หรือขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องนําไปในการรดนํ้าดําหัวก็คือ นํ้าใส่ขันเงินใบใหญ่ ในนํ้าใส่ฝักส้มป่อยโปรยเกสรดอกไม้และเจือนํ้าหอม นํ้าปรุงเล็กน้อยพร้อมด้วยพานข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องสักการะอีกพานหนึ่ง
การรดนํ้าดําหัวมักจะไปกันเป็นหมู่ โดยจะถือเครื่องที่จะดําหัวไปด้วย เมื่อขบวนรดนํ้าดําหัวไปถึงบ้าน ท่านเจ้าของบ้านก็จะเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน พอถึงเวลารดนํ้าท่านผู้ใหญ่ก็จะสรรหาคําพูดที่ดีที่เป็นมงคลและอวยพรให้กับผู้ที่มารดนํ้าดําหัว ปัจจุบันนี้พิธีรดนํ้าดําหัวในจังหวัดต่างๆ ทางเหนือมักจะจัดเป็นพิธีใหญ่ ในบางแห่งมีขบวนแห่งและมีการฟ้อนรําประกอบ เช่น พิธีรดนํ้าดําหัวใน จังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย เป็นต้น

การดำหัวของชาวล้านนาหมายถึง การสระผม ส่วนทางด้านพิธีกรรมหมายถึงการชำระสิ่งไม่ดีสิ่งที่เป็นอัปมงคลให้หมด ไปด้วยการใช้น้ำส้ม ป่อยเป็นเครื่องชำระชาวล้านนา นิยมจัดพิธีกรรมการดำหัวขึ้นในเทศกาลสงกรานต์โดยเริ่มตั้งแต่วันที15เมษายนคือวันพญาวันไปจนสิ้นสุดเดือนเมษายนการดำหัวใน
เทศกาลสงกรานต์มี 3 กรณี คือการดำหัว ตนเอง การดำหัวผู้น้อย และการดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งการดำหัวนี้
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เป็นปูชนียบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวล้านนาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการดำหัวสมัยโบราณให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึง ขนบธรรมเนียมประเพณีล้านนาดังนี้ “สำหรับการดำหัวนั้น นิยมเอาน้ำใส่ขัน คือ ใส่สลุงเอาน้ำขมิ้น ส้มป่อย ใส่เวลาดำหัว เขาจะเอาไปประเคนคือเอาไปมอบให้ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เราจะไปดำหัว นั้น เขาจะเอามือจุ่มลงในสะหลุง ที่มีน้ำขมิ้นส้มป่อยอยู่แล้วก็เอามาลูบหัวตัวเอง 3ครั้งจากนั้นก็เอามือจุ่มน้ำส้มป่อย สลัดเข้าใส่ลูกหลานที่มาดำหัวพร้อมกับอวยพรให้อยู่ดีมีสุข ให้อยู่ดีกินดีเราไม่นิยมเอาน้ำรดมืออย่าง ของภาคอื่นซึ่งถือว่าการทำอย่างนั้นเป็นการรดศพ มากกว่าการรดน้ำผู้เฒ่า ผู้แก่ ล้านนาเราถือกันมาอย่างนี้ เวลาไปดำหัวให้เอาสะหลุงเอาไปประเคนพร้อมกับของกินของใช้ที่เราจะ นำไปมอบให้

พูดถึง การว่าการดำหัวดีอย่างไร การดำหัวมี 2 แบบแบบหนึ่งก็ คือ การสระผม คนโบราณบ้านเราเรียกว่า ดำหัวมักจะ เอาใบหมี่เอามะกรูดมาต้มแล้วก็เอามา สระผม มันจะหอม ไล่ขี้รังแค ออกหมด ใบหมี่นี้หอม เป็นสมุน ไพรโบราณ การสระผมของคนโบราณเรียกว่าดำหัวเมื่อดำหัวไล่สิ่งที่โสโครกทั้งหลายออก ไปจากผมจากตัวก็จะเช็ดผม ด้วยน้ำมันตานี หรือน้ำมันละหุ่ง อบ ด้วยดอก สะบันงา (ดอกกระดังงา)หรือ กระถิน กระแจะจันหอม เป็นสูตรของคนโบราณ การดำหัวอีกแบบหนึ่ง นั้นก็ คือ การให้เอาน้ำส้มป่อย ไปคารวะ ท่านผู้เฒ่า ผู้แก่โดยทำเป็น 2 แบบแบบหนึ่ง ดำหัวเพื่อ ขอบคุณ เช่น ว่าหมอเขามาเยียวยาเราเยียวยาพ่อแม่เรา สมัยนั้นไม่ได้จ้างกันด้วยเงินแต่พอรักษาเสร็จแล้วพ่อแม่หายคนป่วยหาย ก็จะนำน้ำขมิ้นส้มป่อย ข้าวของอะไร ที่หาได้ไปขอบพระคุณท่านการไปขอบพระคุณท่านแบบนี้เรียกว่าการดำหัว เอาน้ำขมิ้น ส้มป่อยไปให้ท่านสระผมสระหัวพร้อมกับคำขอบคุณ เป็นวิธีหนึ่งเรียกว่าดำหัวพ่อเลี้ยงหมอยาต่อมาการดำหัวอีกแบบนั้นมีเทศกาลสำคัญเช่นปีใหม่สงกรานต์นี้ปีหนึ่งลูกหลานจะมารวมกันนำเอาของกินของใช้มาฝากบุพการีพ่อแม่พี่น้องแล้วเอาน้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำอบ น้ำหอม ดอกไม้ของกินของใช้ ไปมอบให้เขา เขาก็จะลูบผมดังที่กล่าวมาในตอนต้นลูบหัว 3หนแล้วเขาก็จะเอามือจุ่มแล้วสลัดใส่หัวของลูกหลานทุกคนพร้อมกับกล่าวอำนวยอวยพร ว่าอยู่ดีมีสุขนะ อยู่ชุ่มเนื้อชุ่มเย็นนะ อยู่ดีสบายให้ได้ร่ำได้รวยนะแล้วแต่เขาจะอวยพรให้เพราะฉะนั้น การดำหัวตามที่กล่าวมา นั้น จึงเป็นการดำหัวแบบสระผมธรรมดาเป็นการดำหัวตอบแทนคุณพ่อหมออย่างหนึ่งตอบบุญแทน คุณผู้เฒ่า ผู้แก่ พ่อแม่ เป็นการคารวะ
ทีนี่มาพูดถึงการดำหัวสำหรับบุพการีดำหัวปีใหม่นี้ที่เรานิยมทำอยู่อย่างนี้เรามีความมุ่งหมายอย่างไรโบราณอาจารย์เจ้าทั้งหลายเขาบอกว่า การดำหัวนั้นมันมีความหมายว่าหนึ่ง ไปเพื่อตอบบุญแทนคุณพ่อแม่ที่เขาได้เลี้ยงดูเรามาจนเราโตขึ้นมาสามารถทำมาหากินได้มีเหย้ามีเรือนมีงานมีการทำแล้วพ่อแม่อยู่ข้างหลังแก่เฒ่าแล้วเราก็จะได้ไปเยี่ยมเยียนไปกราบด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างหนึ่งแล้วประการที่สองบางครอบครัวพ่อแม่บางท่านก็ทุกข์ยากลูกหลานไปหาเงินข้างหน้าได้เงินได้ทองมาก็จะซื้อเสื้อผ้าซื้อของกินของว่างมาฝากเขาให้ได้นุ่งได้ถ่ายได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ในปีหนึ่ง ก็เป็น วิธีการที่ดีแล้วประการที่สามอีกเป็นการที่ลูกหลานทั้งหลายที่จากบ้าน อื่นเมืองอื่นจากที่ไกลๆที่ตนเองไปหากินอยู่นั้นพาลูกหลานของ ตนไปกราบไว้บรรพบุรุษไป ไหว้พ่อไหว้แม้แม้กระทั่งไหว้กระดูกพ่อกระดูกแม่เป็นวิธีการที่ดีทำให้ลูกหลานได้รู้จักบุพการีแล้วประการที่สี่นั้นเป็นการรวมพี่รวมน้องลูกนายแก้ว กับลูก นายดำอยู่ห่างกันนายดำอยู่ลำพูนนายแก้วอยู่เมืองฝาง ต่างคนต่างก็มีลูกแล้วได้พาลูกมารู้จักพี่รู้จักน้องกันได้สืบสานร่วมการร่วมงานกันแล้วประการต่อไปนั้นคือการสืบมรดกทางวัฒนธรรมพ่อแม่เคย ทำดอกทำดวงทำข้าวตอกดอกไม้ ทำธูปทำเทียนทำต้นผึ้งทำอะไรต่าง ๆนี้ของเครื่องใช้ในการเคารพนับถือนี้ลูกหลานก็ จะได้รับการถ่ายถอดทางบรรพบุรุษ
ดังนั้นการดำหัวนี้จึงมีหลายนัยยะแห่งการกระทำที่ดีงามอย่างนี้การดำหัวที่ได้พูดมาเมื่อกี้นั้น ก็ยังมีดำหัวพิเศษต่อไปอีก เช่นดำหัวกู่ กระดูกของบรรพบุรุษนั้นเรียกว่า ดำหัว กู่หลังจากนั้นก็มีการดำหัวตุ๊หลวง คือว่าดำหัวสมภารเจ้าอาวาส ดำหัวนายอำเภอพ่อแคว่นพ่อกำนันก็คือการไปดำหัวผู้ที่มีอำนาจ ผู้ปกครอง ผู้ที่มีพระคุณแก่เรา การดำหัวจึงเป็นประเพณีที่ดีงามเมื่อ ไปถึงพร้อมกันแล้วทักทายปราศรัยกันแล้วก็เอาของเข้าประเคน คือเอาของมอบให้ด้วยการเอาน้ำส้มป่อยมารวมกันเข้าไปประเคนวัตถุสิ่งของ ประเคนแล้ว คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น ก็จะกล่าวว่านำลูกหลาน เขาพากันมาขอโทษขอโพยมาดำหัวพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ เขาก็จะให้พรโดยมากเป็นพรโวหารยาวเป็นที่ประทับใจเรื่องการดำหัวนี้เป็นวิธีการที่ เฉลียวฉลาดของนักปราชญ์ล้านนาที่ต้องการโน้มน้าวจิตใจของบรรพชน
ไม่เพียงเท่านั้น ยังน้อมจิตใจของอนุชน ก็คือลูกหลานสมัยใหม่นี้ให้เห็นดีเห็นงามมีจริยธรรมอังดงามสืบต่อไปเป็นนิรันดร์การ ดำหัวของล้านนาที่ส่งผลให้พบเห็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นคือการแสดงประกอบในขบวนแห่ดำหัวโดยเฉพาะพิธีดำหัวผู้ใหญ่ เช่น พระสงฆ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่่ผู้อาวุโสหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆซึ่งขบวนดำหัวเหล่านี้จะมีการแห่ฆ้องกลองมีการฟ้อนพื้นเมืองการแสดงพื้นบ้านรวมทั้งการรดน้ำกันอย่างสนุก สนาน ในขบวนนอกจากขบวนแห่ที่แสดงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาแล้วยังมีเครื่องดำหัวที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงความสามัคคีของหมู่คณะ เนื่องจากจะเป็นการร่วมมือร่วมใจกันจัดทำเครื่องดำหัว ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นดอก ซึ่งเป็นพุ่มดอกไม้ ที่ประกอบด้วยดอกไม้นานาชนิดต้นเทียนที่มีการนำเทียนมาประดับเป็นพุ่มพุ่มขี้ผึ้งที่เรียกว่าต้นผึ้งรวมทั้งหมากสุ่ม คือการนำหมากแห้งผ่าซีกมาประดับเป็นพุ่มอย่างสวยงามและหมากเป็งที่นำหมากดิบเป็นลูก ๆ มาประดับเป็นพุ่มเพื่อจัดในเครื่องดำหัว ที่มีเครื่องอุปโภค บริโภค อื่นๆ อีกเช่น น้ำส้มป่อย เครื่องอุปโภคบริโภครวมทั้งผลไม้ตามฤดูกาลโดยนำเครื่องดำ หัวที่จัดเตรียมไว้นี้ใส่ลงในเสลี่ยง ซึ่งชาวล้านนาเรียกว่าจองอ้อยเพื่อช่วยกันแบกหามเครื่องดำหัวไปยังที่หมายได้อย่างพร้อมเพรียงกันพิธีกรรมในการดำหัวถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ บุตรหลานรวม ทั้ง คนรุ่นใหม่นำ ไปยึดถือ และ ปฏิบัติเพื่อเป็นการคารวะ ขอพรให้ตนเองประสบแต่ความ เจริญรุ่งเรืองในการดำเนิน ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า

ประเพณี ปี๋ใหม่ ล้านนา
เพื่อแสดงความกตัญญูพร้อมกับการขอขมาและขอรับพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเนื่องในวันสําคัญ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันสงกรานต์ของไทยในเดือนเมษายน "การดําหัว" ก็คือการรดนํ้านั่นเองแต่เป็นคําเมืองทางเหนือการดําหัวเรียกกันเฉพาะการรดนํ้าผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง เช่น พ่อเมือง เป็นต้น เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หรือขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องนําไปในการรดนํ้าดําหัวก็คือ นํ้าใส่ขันเงินใบใหญ่ ในนํ้าใส่ฝักส้มป่อยโปรยเกสรดอกไม้และเจือนํ้าหอม นํ้าปรุงเล็กน้อยพร้อมด้วยพานข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องสักการะอีกพานหนึ่ง
การรดนํ้าดําหัวมักจะไปกันเป็นหมู่ โดยจะถือเครื่องที่จะดําหัวไปด้วย เมื่อขบวนรดนํ้าดําหัวไปถึงบ้าน ท่านเจ้าของบ้านก็จะเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน พอถึงเวลารดนํ้าท่านผู้ใหญ่ก็จะสรรหาคําพูดที่ดีที่เป็นมงคลและอวยพรให้กับผู้ที่มารดนํ้าดําหัว ปัจจุบันนี้พิธีรดนํ้าดําหัวในจังหวัดต่างๆ ทางเหนือมักจะจัดเป็นพิธีใหญ่ ในบางแห่งมีขบวนแห่งและมีการฟ้อนรําประกอบ เช่น พิธีรดนํ้าดําหัวใน จังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย เป็นต้น

การดำหัวของชาวล้านนาหมายถึง การสระผม ส่วนทางด้านพิธีกรรมหมายถึงการชำระสิ่งไม่ดีสิ่งที่เป็นอัปมงคลให้หมด ไปด้วยการใช้น้ำส้ม ป่อยเป็นเครื่องชำระชาวล้านนา นิยมจัดพิธีกรรมการดำหัวขึ้นในเทศกาลสงกรานต์โดยเริ่มตั้งแต่วันที15เมษายนคือวันพญาวันไปจนสิ้นสุดเดือนเมษายนการดำหัวใน
เทศกาลสงกรานต์มี 3 กรณี คือการดำหัว ตนเอง การดำหัวผู้น้อย และการดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งการดำหัวนี้
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เป็นปูชนียบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวล้านนาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการดำหัวสมัยโบราณให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึง ขนบธรรมเนียมประเพณีล้านนาดังนี้ “สำหรับการดำหัวนั้น นิยมเอาน้ำใส่ขัน คือ ใส่สลุงเอาน้ำขมิ้น ส้มป่อย ใส่เวลาดำหัว เขาจะเอาไปประเคนคือเอาไปมอบให้ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เราจะไปดำหัว นั้น เขาจะเอามือจุ่มลงในสะหลุง ที่มีน้ำขมิ้นส้มป่อยอยู่แล้วก็เอามาลูบหัวตัวเอง 3ครั้งจากนั้นก็เอามือจุ่มน้ำส้มป่อย สลัดเข้าใส่ลูกหลานที่มาดำหัวพร้อมกับอวยพรให้อยู่ดีมีสุข ให้อยู่ดีกินดีเราไม่นิยมเอาน้ำรดมืออย่าง ของภาคอื่นซึ่งถือว่าการทำอย่างนั้นเป็นการรดศพ มากกว่าการรดน้ำผู้เฒ่า ผู้แก่ ล้านนาเราถือกันมาอย่างนี้ เวลาไปดำหัวให้เอาสะหลุงเอาไปประเคนพร้อมกับของกินของใช้ที่เราจะ นำไปมอบให้

พูดถึง การว่าการดำหัวดีอย่างไร การดำหัวมี 2 แบบแบบหนึ่งก็ คือ การสระผม คนโบราณบ้านเราเรียกว่า ดำหัวมักจะ เอาใบหมี่เอามะกรูดมาต้มแล้วก็เอามา สระผม มันจะหอม ไล่ขี้รังแค ออกหมด ใบหมี่นี้หอม เป็นสมุน ไพรโบราณ การสระผมของคนโบราณเรียกว่าดำหัวเมื่อดำหัวไล่สิ่งที่โสโครกทั้งหลายออก ไปจากผมจากตัวก็จะเช็ดผม ด้วยน้ำมันตานี หรือน้ำมันละหุ่ง อบ ด้วยดอก สะบันงา (ดอกกระดังงา)หรือ กระถิน กระแจะจันหอม เป็นสูตรของคนโบราณ การดำหัวอีกแบบหนึ่ง นั้นก็ คือ การให้เอาน้ำส้มป่อย ไปคารวะ ท่านผู้เฒ่า ผู้แก่โดยทำเป็น 2 แบบแบบหนึ่ง ดำหัวเพื่อ ขอบคุณ เช่น ว่าหมอเขามาเยียวยาเราเยียวยาพ่อแม่เรา สมัยนั้นไม่ได้จ้างกันด้วยเงินแต่พอรักษาเสร็จแล้วพ่อแม่หายคนป่วยหาย ก็จะนำน้ำขมิ้นส้มป่อย ข้าวของอะไร ที่หาได้ไปขอบพระคุณท่านการไปขอบพระคุณท่านแบบนี้เรียกว่าการดำหัว เอาน้ำขมิ้น ส้มป่อยไปให้ท่านสระผมสระหัวพร้อมกับคำขอบคุณ เป็นวิธีหนึ่งเรียกว่าดำหัวพ่อเลี้ยงหมอยาต่อมาการดำหัวอีกแบบนั้นมีเทศกาลสำคัญเช่นปีใหม่สงกรานต์นี้ปีหนึ่งลูกหลานจะมารวมกันนำเอาของกินของใช้มาฝากบุพการีพ่อแม่พี่น้องแล้วเอาน้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำอบ น้ำหอม ดอกไม้ของกินของใช้ ไปมอบให้เขา เขาก็จะลูบผมดังที่กล่าวมาในตอนต้นลูบหัว 3หนแล้วเขาก็จะเอามือจุ่มแล้วสลัดใส่หัวของลูกหลานทุกคนพร้อมกับกล่าวอำนวยอวยพร ว่าอยู่ดีมีสุขนะ อยู่ชุ่มเนื้อชุ่มเย็นนะ อยู่ดีสบายให้ได้ร่ำได้รวยนะแล้วแต่เขาจะอวยพรให้เพราะฉะนั้น การดำหัวตามที่กล่าวมา นั้น จึงเป็นการดำหัวแบบสระผมธรรมดาเป็นการดำหัวตอบแทนคุณพ่อหมออย่างหนึ่งตอบบุญแทน คุณผู้เฒ่า ผู้แก่ พ่อแม่ เป็นการคารวะ
ทีนี่มาพูดถึงการดำหัวสำหรับบุพการีดำหัวปีใหม่นี้ที่เรานิยมทำอยู่อย่างนี้เรามีความมุ่งหมายอย่างไรโบราณอาจารย์เจ้าทั้งหลายเขาบอกว่า การดำหัวนั้นมันมีความหมายว่าหนึ่ง ไปเพื่อตอบบุญแทนคุณพ่อแม่ที่เขาได้เลี้ยงดูเรามาจนเราโตขึ้นมาสามารถทำมาหากินได้มีเหย้ามีเรือนมีงานมีการทำแล้วพ่อแม่อยู่ข้างหลังแก่เฒ่าแล้วเราก็จะได้ไปเยี่ยมเยียนไปกราบด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างหนึ่งแล้วประการที่สองบางครอบครัวพ่อแม่บางท่านก็ทุกข์ยากลูกหลานไปหาเงินข้างหน้าได้เงินได้ทองมาก็จะซื้อเสื้อผ้าซื้อของกินของว่างมาฝากเขาให้ได้นุ่งได้ถ่ายได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ในปีหนึ่ง ก็เป็น วิธีการที่ดีแล้วประการที่สามอีกเป็นการที่ลูกหลานทั้งหลายที่จากบ้าน อื่นเมืองอื่นจากที่ไกลๆที่ตนเองไปหากินอยู่นั้นพาลูกหลานของ ตนไปกราบไว้บรรพบุรุษไป ไหว้พ่อไหว้แม้แม้กระทั่งไหว้กระดูกพ่อกระดูกแม่เป็นวิธีการที่ดีทำให้ลูกหลานได้รู้จักบุพการีแล้วประการที่สี่นั้นเป็นการรวมพี่รวมน้องลูกนายแก้ว กับลูก นายดำอยู่ห่างกันนายดำอยู่ลำพูนนายแก้วอยู่เมืองฝาง ต่างคนต่างก็มีลูกแล้วได้พาลูกมารู้จักพี่รู้จักน้องกันได้สืบสานร่วมการร่วมงานกันแล้วประการต่อไปนั้นคือการสืบมรดกทางวัฒนธรรมพ่อแม่เคย ทำดอกทำดวงทำข้าวตอกดอกไม้ ทำธูปทำเทียนทำต้นผึ้งทำอะไรต่าง ๆนี้ของเครื่องใช้ในการเคารพนับถือนี้ลูกหลานก็ จะได้รับการถ่ายถอดทางบรรพบุรุษ
ดังนั้นการดำหัวนี้จึงมีหลายนัยยะแห่งการกระทำที่ดีงามอย่างนี้การดำหัวที่ได้พูดมาเมื่อกี้นั้น ก็ยังมีดำหัวพิเศษต่อไปอีก เช่นดำหัวกู่ กระดูกของบรรพบุรุษนั้นเรียกว่า ดำหัว กู่หลังจากนั้นก็มีการดำหัวตุ๊หลวง คือว่าดำหัวสมภารเจ้าอาวาส ดำหัวนายอำเภอพ่อแคว่นพ่อกำนันก็คือการไปดำหัวผู้ที่มีอำนาจ ผู้ปกครอง ผู้ที่มีพระคุณแก่เรา การดำหัวจึงเป็นประเพณีที่ดีงามเมื่อ ไปถึงพร้อมกันแล้วทักทายปราศรัยกันแล้วก็เอาของเข้าประเคน คือเอาของมอบให้ด้วยการเอาน้ำส้มป่อยมารวมกันเข้าไปประเคนวัตถุสิ่งของ ประเคนแล้ว คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น ก็จะกล่าวว่านำลูกหลาน เขาพากันมาขอโทษขอโพยมาดำหัวพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ เขาก็จะให้พรโดยมากเป็นพรโวหารยาวเป็นที่ประทับใจเรื่องการดำหัวนี้เป็นวิธีการที่ เฉลียวฉลาดของนักปราชญ์ล้านนาที่ต้องการโน้มน้าวจิตใจของบรรพชน
ไม่เพียงเท่านั้น ยังน้อมจิตใจของอนุชน ก็คือลูกหลานสมัยใหม่นี้ให้เห็นดีเห็นงามมีจริยธรรมอังดงามสืบต่อไปเป็นนิรันดร์การ ดำหัวของล้านนาที่ส่งผลให้พบเห็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นคือการแสดงประกอบในขบวนแห่ดำหัวโดยเฉพาะพิธีดำหัวผู้ใหญ่ เช่น พระสงฆ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่่ผู้อาวุโสหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆซึ่งขบวนดำหัวเหล่านี้จะมีการแห่ฆ้องกลองมีการฟ้อนพื้นเมืองการแสดงพื้นบ้านรวมทั้งการรดน้ำกันอย่างสนุก สนาน ในขบวนนอกจากขบวนแห่ที่แสดงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาแล้วยังมีเครื่องดำหัวที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงความสามัคคีของหมู่คณะ เนื่องจากจะเป็นการร่วมมือร่วมใจกันจัดทำเครื่องดำหัว ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นดอก ซึ่งเป็นพุ่มดอกไม้ ที่ประกอบด้วยดอกไม้นานาชนิดต้นเทียนที่มีการนำเทียนมาประดับเป็นพุ่มพุ่มขี้ผึ้งที่เรียกว่าต้นผึ้งรวมทั้งหมากสุ่ม คือการนำหมากแห้งผ่าซีกมาประดับเป็นพุ่มอย่างสวยงามและหมากเป็งที่นำหมากดิบเป็นลูก ๆ มาประดับเป็นพุ่มเพื่อจัดในเครื่องดำหัว ที่มีเครื่องอุปโภค บริโภค อื่นๆ อีกเช่น น้ำส้มป่อย เครื่องอุปโภคบริโภครวมทั้งผลไม้ตามฤดูกาลโดยนำเครื่องดำ หัวที่จัดเตรียมไว้นี้ใส่ลงในเสลี่ยง ซึ่งชาวล้านนาเรียกว่าจองอ้อยเพื่อช่วยกันแบกหามเครื่องดำหัวไปยังที่หมายได้อย่างพร้อมเพรียงกันพิธีกรรมในการดำหัวถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ บุตรหลานรวม ทั้ง คนรุ่นใหม่นำ ไปยึดถือ และ ปฏิบัติเพื่อเป็นการคารวะ ขอพรให้ตนเองประสบแต่ความ เจริญรุ่งเรืองในการดำเนิน ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า

ประเพณี ปี๋ใหม่ ล้านนา
" วันปากปี๋ '' ตรงกับวันที่ 16 เมษายนของทุกปีเพราะเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ สองฉบับก่อนได้เล่าถึงประเพณีสงกรานต์ของล้านนาไทยตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15 เมษายน ว่าเขาทำอะไรบ้างก่อนจะกล่าวถึงเรื่องดำหัวอย่างละเอียด จะขอเล่าถึงวันที่ 16 เมษายน ว่าเขาทำอะไรบ้าง
วันนี้คนล้านนาไทยเรียกว่า " วันปากปี๋ '' คล้ายกับ " ปากประตู '' คือช่องเป็นที่เริ่มเข้าสู่ในบ้านเรือน ในวันนี้ตอนเช้าประชาชนจะพากันไปบูชาข้าวของลดเคราะห์ที่วัด โดยนำเสื้อของสมาชิกในครอบครัวไปด้วยเพื่อเอารองไว้ใต้ "สะตวง" อันเป็นภาชนะสำหรับใส่เครื่องบูชา ทางวัดมีคำกล่าวบูชาโดยเฉพาะ โดยนำเอาวิธีของพราหมณ์มาแก้ไขให้เป็นวิธีพุทธ ถือว่าถ้าได้กระทำเช่นนี้จะอยู่ดีมีสุขตลอดปี บางบ้านก็นิมนต์พระมาเทศน์คัมภีร์ที่เป็นมงคล หรือทำพิธีสืบชาตาที่บ้าน
วันนี้ถ้าหากว่าการดำหัว เมื่อวานนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ก็จะใช้วันนี้เป็นวันดำหัวอีกวันหนึ่ง การรดน้ำกันยังคงมีประปรายเฉพาะพวกที่ไปดำหัวด้วยกัน หรือเมื่อเจอกับคณะอื่น ก็จะสาดน้ำรดน้ำกันอย่างมีความสุข
การรดน้ำ กันตามประเพณีนั้นน่าจะพูดไว้เสียที่นี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังรู้และเข้าใจว่าความจริงการรดน้ำกันนั้น คนโบราณเขาทำกันอย่างสุภาพมีวัฒนธรรมโดยให้ศีลให้พรกันไปในตัวทีเดียว เช่นชายหนึ่งรดน้ำหญิงสาวขณะที่หลั่งน้ำลงรดที่ไหล่หรือที่หลังก็ตามปากมัก จะพร่ำพูดให้พรต่าง ๆนานา เช่น "พลันได้พลันมี สารภีซ้อนกาบ พลันได้หาบได้คอน พลันได้นอนหมอนคู่ พลันได้อยู่ทวยกัน พลันได้เอาสวรรค์เป็นบ้าน เถิดหนอ"
ผู้หญิงจะรดน้ำตอบบ้าง ก็จะอวยพรให้เช่นกันเป็นต้นว่า "น้ำใสใจจริง ไหลลงสู่เนื้อเปียะเปียกเสื้อ เพราะหลั่งจากใจน้ำหยดนี้ บ่แห้งเหยไหน ขอฝากติดไปรอดเติงเถิงบ้าน" เป็นต้น หรือแล้วแต่โวหารที่จะพูดออกมา ส่วนมากเป็นคำดีมีความหมายหาได้เหมือนปัจจุบันนี้ไม่ เพราะเท่าที่เห็นเป็นการทารุณต่อผู้ที่ได้รับรดน้ำเหลือเกิน ไม่เป็นสิ่งเชิดชูใจแต่ประการใด ถ้าคนโบราณทำเช่นนี้ ประพณีสงกรานต์คงไม่มีสังคมยอมรับและเหลือมาถึงเราเป็นแน่ขอฝากไว้ช่วยชี้ แจงแก่คนปัจจุบันและชาวต่างถิ่นด้วย
กลับมาถึงขั้นตอนของการ ดำหัวในแบบฉบับของล้านนาโบราณ คำว่า "ดำหัว" ในภาษาล้านนามีความหมายว่า "สระผม '' พจนานุกรมล้านนาไทยฉบับแม่ฟ้าหลวงหน้าที่ 444 ให้ความหมายว่าสระผมหรือพิธีแสดงความเคารพผู้มีอาวุโสหรือผู้มีบุณคุณ ในประเพณีสงกรานต์ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ . ศ . 2542 หน้าที่ 405 ให้ความหมายว่า เป็นประเพณีทางภาคเหนือซึ่งกระทำในวันปีใหม่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือและรักใคร่ และยังอธิบายต่ออีกว่า วิธีดำหัวคือเอาสิ่งของและน้ำที่ใส่เครื่องหอมเช่นน้ำอบไทยไปให้แก่ผู้ที่ เคารพและขอให้ท่านรดน้ำใส่หัวของตนให้อยู่เย็นเป็นสุข
จากพจนานุกรมทั้งสองฉบับ จะเห็นได้ว่าประเพณีดำหัวเป็นประเพณีของทางล้านนาไทยอย่างชัดเจน ความเชื่อของของทางล้านนาคือผู้ที่เราเคารพผู้อาวุโสผู้มีบุญคุณแก่เราทาง เหนือล้านนานิยมใช้น้ำที่ใส่ขมิ้นส้มป่อยมีสีเหลืองมีกลิ่นหอมน่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับน้ำที่สรงน้ำพระ หรือองค์พระธาตุ เป็นน้ำที่ใช้ดำหัว สำหรับน้ำอบน้ำหอมนั้นมาทีหลังซึ่งเป็นของทางภาคกลาง
ส่วนวิธีการของทางล้านนา จริง ๆ หลังจากให้พรเสร็จแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะใช้มือของตนเองจุ่มลงไปในน้ำแล้วลูบหัวตนเอง ซึ่งมีความเชื่อเหมือนกับการรับสูมาคาราวะที่ผู้คนที่มาดำหัวได้ทำอะไรที่ ไม่เป็นมงคล ด้วย กาย วาจา ใจ ไม่ได้ขอให้นำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาใส่หัวของตนเอง นอกจากท่านจะกรุณา สะบัดนิ้วมือที่มีน้ำติดอยู่ใส่หัวของผู้ที่ไปดำหัวซึ่งสุดแล้วแต่ท่าน ไม่ได้เจาะจงดั่งเช่นที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานกล่าวไว้
อีกประการหนึ่งที่ พจนานุกรมทั้งสองฉบับไม่กล่าวถึงคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งในภาคกลางและภาคเหนือ ที่เป็นข้าราชการทำก็คือ การรดน้ำใส่มือของผู้ที่เรามาดำหัว ในความเป็นจริงแล้วเราจะเห็นบ่อยมากส่วนมากท่านเหล่านั้นเป็นระดับสูง ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีผู้ว่าราชการจังหวัดลงมาจนถึงระดับผู้นำท้องถิ่น ซึ่งบางคนผู้นำเหล่านั้นก็เป็นคนล้านนาแต่ก็ยังยอมให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับ บัญชาที่ไม่รู้เรื่องประเพณีล้านนาทำอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เชื่อก็คอยดูในทางโทรทัศน์ในปีนี้รับรองได้เห็นแน่นอน ไม่มีเอกสารฉบับไหนของล้านนากล่าวถึงประเพณีรดน้ำดำหัวว่าผู้ที่มาดำหัวต้อง รดที่มือ นอกจากประเพณีของทางภาคกลางที่รดน้ำมือคือประเพณีแต่งงานเพื่ออวยพรคู่บ่าว สาวและรดน้ำที่มือศพ ซึ่งถือว่ารดน้ำศพ
ส่วนทางของล้าน นาไม่นิยมในการที่จะรดน้ำที่มือในการอวยพรใด ๆ ทั้งสิ้น ( เพราะมีความรู้สึกเหมือนรดน้ำศพของทางภาคกลาง ยิ่งเมื่อมือโดนน้ำรดมาก ๆ แล้วลักษณะของมือก็จะซีดเหมือนมือของคนที่ตายแล้วจึงไม่ นิยมทำกัน ) หลังจากที่ให้พรเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะออกมายืนอยู่ที่ตรงชายบ้าน ซึ่งบ้านทางล้านนาโบราณจะต้องมีชานบ้านทุกหลังคาเรือน เพื่อไว้ทำประโยชน์หลายอย่าง เช่นเป็นที่อาบน้ำ ตากเสื้อผ้า และก็เพื่อใช้ในประเพณีดำหัว แล้วท่านที่มาดำหัวก็จะออกมารดน้ำที่ไหล่ท่านพร้อมกับอวยพรให้ท่านอยู่เย็น เป็นสุขมีอายุยืนยาว
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะ กล่าวถึงก็คือความเชื่อของการรดน้ำดำหัว ในทางล้านนาก็คือผู้ที่อาวุโส เคารพนับถือเท่านั้นที่เราจะรดน้ำดำหัว ที่นิยมก็คือ บิดามารดา พระสงฆ์ ผู้อาวุโสที่มีคุณงามความดี อยู่ในศีลสัตย์ ผู้นำที่เสียสละมีบุญคุณต่อแผ่นดินครูอาจราย์ที่ให้วิชาความรู้แก่เรา ไม่จำกัดว่าผู้คนเหล่านั้นจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไร การดำหัวของล้านนาจึงเหมือนกับบอกคุณค่าของคน เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้ใหญ่ในสมัยนั้นเป็นอย่างดี
ดังนั้นการกระทำในการดำ หัวจะไม่มีการกระเกณฑ์คนโดยแบบบังคับให้มาเหมือนปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่ไปดำหัวจะต้องมีความเกี่ยวพันกับผู้ที่เราไปดำหัวในด้านใดด้าน หนึ่งและเปี่ยมล้นไปด้วยความรักนับถือและศรัทธาไม่ใช่ไปเพื่อสร้างภาพแสดง พลังให้ยิ่งใหญ่ของบุคคลนั้น โดยกระบวนการที่ลิ่วล้อของท่านเหล่านั้นจะเป็นผู้จัดการระดมเกณฑ์คน โดยที่ท่านเหล่านั้นแทบจะไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร บางทีพอเห็นภาพผู้คนมากมายก็ทำให้ท่านทั้งหลายหลงลืมตนเองคิดว่าตน้องเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งบางท่านกว่าจะสรุปบทเรียนได้ก็ต่อเมื่อตนเองหมดตำแหน่งหน้าที่ในยศถา บรรดาศักดิ์ หมดอำนาจวาสนาที่ไม่เคยจีรังและยั่งยืน ประเพณีดำหัวจึงจะบอกท่านเหล่านั้นให้รู้ว่าตนเองมีคุณค่าแค่ไหน
ดังนั้นเราจะเห็นภาพที่ เห็นอยู่เป็นประจำไม่ว่าทางโทรทัศน์ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป คือคนเฒ่าคนแก่ที่ที่ถูกผู้นำระดับล่างกะเกณฑ์มานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ใครก็ไม่รู้ที่ตนเองก็ไม่รู้จัก และที่สำคัญที่สุดคนที่ยกมือไหว้นั้นยังอายุหนุ่มกว่าน้อยกว่า บางคนก็เป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน ซึ่งเป็นภาพที่เห็นแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
จากที่เล่ามาทั้งหมดผู้ เขียนมีเจตนายากจะให้คนรุ่นใหม่ ได้รู้ถึงกระบวนการขั้นตอนความเชื่อของประเพณีรดน้ำดำหัวของทางล้านนาจริง ๆ เขาทำอย่างไร เชื่ออย่างไรและอีกอย่างหนึ่งที่จะฝากไว้สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ยิ่งใหญ่มี ตำแหน่ง สูง ๆไม่ว่าระดับไหนก็ตามถ้าเป็นคนล้านนาแล้ว ควรจะปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างตามแบบของความเชื่อในประเพณีโบราณของล้านนา อย่างน้อยก็เป็นตัวอย่างต้นแบบเพื่อให้ลูกหลานล้านนาได้เห็นและจะได้ปฏิบัติ สืบต่อไป
เป็นอย่างไรครับประเพณี ปีใหม่เมืองอันยิ่งใหญ่ของล้านนาในอดีต ที่สื่อความหมายและจุดประสงค์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกระบวนการทางสังคม ผสมกับการกระทำที่เป็นศิริมงคลแก่ผู้อื่นและตนเอง ให้กำลังใจแก่ตนเองที่จะต่อสู้กับชีวิตในปีต่อไปนับเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่ง ใหญ่ และแน่นอนที่สุดคือแตกต่างจากจุดประสงค์ของงาน เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ อารยธรรมล้านนา และ 5 ประเทศที่กำลัง เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้อย่างสิ้นเชิง

ก่อนจบบทความฉบับนี้จึงขอยกตัวอย่าง " คำพร "( อ่านว่ากำปอน ) ของอาจารย์สิงฆะ วรรณสัย ซึ่่งเขียนไว้ เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาเป็นฉบับย่อ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาถึงความหมายของมัน จะได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของประเพณีดำหัวของล้านนาไทย
ดีแล อัชชะในวันนี้ก็เป็นวันดี ศรีสุภมังคละอันประเสริฐ ล้ำเลิศยิ่งกว่าวันและยามดังหลาย บัดนี้หมายมี …. เป็นเค้า มาเลงหันสังขานต์ …. ปีเก่าล่วงไปพลัน เถิงวันพญาวันปีใหม่ จุจอดไคว่เถิงมา เป็นกาละเวลาเล่นม่วน ล่นเล้าร่วนเทียวกองตามทำนองปางก่อน ได้สืบสอนคำหอม หื้อน้ำขมิ้นส้มป่อยข้าวตอก ตั้งดอกไม้ธูปเทียนงาม โภชนาหารหลามหลากพร้อม ลางพร่องก็หาบเปียดพร้อมบุงกาน มโนหวานใจใฝ่ เตียวตางไต่ตามกัน พ่อแม่ไผมันไปไคว่ ดังผู้ใหญ่และผู้สูง ปู่ป้าอาว์ผู้เฒ่า พากันไต่เต้าไปหาครูบาอาจริยะ บ่เลยเลิกละปาเวณี ยามเมื่อถึงเดือนชีปีใหม่ มีมโนใฝ่ใจสุนทร์ หมายมุ่งบุญบ่หื้อเคียด เกิดส้มเสียดโกธา แต่งสรีระกายานุ่งหย้อง เหน็บดอกช้องใส่เตมหัว ประดับเนื้อตัวหื้อใหม่ เสื้อผ้าใส่จันทร์มัน อู้เล่นกันเหยาะหยอก ตักน้ำถอกหดกันดี ตั้งสาวจี๋และบ่าวหนุ่ม เปียะน้ำชุ่มตึงตัว ฝูงสาวใคร่หัวเหิดเล่น ฝูงบ่าวตื่นเต้นกำ กันบวย เทียวตามทวยทางไต่ ประเพณีปีใหม่ถึงต้นหดน้ำกันตามสุภาพ หลั่งหลดอาบตามสังขานต์ คำจำหวานอู้อ่อย ปันพรย่อยแก่กัน สนุกเนืองนันตามจารีต เป็นปราณีตบ่เหยหาย
บัดนี้เจ้าตั้งหลายทุก ถ้วนหน้า มาเลงเห็นผู้ข้ามีแก่น เป็นผู้นำ ทำดีมีศีลอยู่บ่ขาด ในศักราชปีเก่าว่าไป แม้นมีกายใจวาปรามาส ได้ล่วงล้ำพลาดเวลา ได้เทียวไปมากราบย่ำ ยามเฮาอยู่ที่ต่ำเทียวกายหัว บ่ได้น้อมนอบตัวก้มหน้า ได้เอิ้นทักกลางท่ากลางทาง เกิกทางขวางเทียวไต่ บ่จงใจใฝ่ปองหันมาสางเทื่อฟังเตียวล่นล้นย่ำเทียวแป้นเฮือนดัง ว่าบ่ฟังเหลือกำ เอิ้นคำด่าข้ามไปมา ยามเมื่อมีโกรธากริ้วโกรธ กลัวเป็นโทษบาปกรรมแปดใจดำด่างพร้อย มาขอลดโทษปล่อยขมา บัดนี้มาเถิงปีใหม่แล้ว เป็นปีใหม่แก้วพญาวัน มาขอปลงปันอนุญาต ที่ได้ปรามาส ด้วยกายวาจาใจ ก็มีมโนมัยใจผ่อง ลดโทษคู่อัน บ่หื้อมีแก่กันพึงสองฝ่าย หื้อขอค้ายจากลาหนี หื้อสูเจ้าจำเริญดีปายหน้า อายุยืนยิ่งกวาร้อยชาว วรรณะเปิงปาวขาวผ่องเป็นที่ถูกต้องใจคน เปนหน้าไปตังใดไกลใกล้ หื้อเป็นที่รักใคร่คนหุม อันธพาลจุมหมู่ร้าย หื้อได้หลีกค้ายหนีไกล หื้อมีความสุข กายใจอย่าขาด โรคร้ายนิราศคลาดคลาไป สมดังมโนมัยใฝ่อ้าง มีแรงยิ่งกว่าช้างพังพลาย เป็นที่คนทังหลายรักชอบ แม้นประกอบการงานใด หื้อสัมฤทธิ์ดังใจใฝ่อ้าง มีใจกว้างสันปัตติ กองสมดังมโนผองอ้างใฝ่ ที่คิดไว้จุอัน สมกำบาลีว่า
สัพพีติโย วิวัชชันตุ ฯลฯ อายุวัณโณสุขังพลัง ..
วันนี้คนล้านนาไทยเรียกว่า " วันปากปี๋ '' คล้ายกับ " ปากประตู '' คือช่องเป็นที่เริ่มเข้าสู่ในบ้านเรือน ในวันนี้ตอนเช้าประชาชนจะพากันไปบูชาข้าวของลดเคราะห์ที่วัด โดยนำเสื้อของสมาชิกในครอบครัวไปด้วยเพื่อเอารองไว้ใต้ "สะตวง" อันเป็นภาชนะสำหรับใส่เครื่องบูชา ทางวัดมีคำกล่าวบูชาโดยเฉพาะ โดยนำเอาวิธีของพราหมณ์มาแก้ไขให้เป็นวิธีพุทธ ถือว่าถ้าได้กระทำเช่นนี้จะอยู่ดีมีสุขตลอดปี บางบ้านก็นิมนต์พระมาเทศน์คัมภีร์ที่เป็นมงคล หรือทำพิธีสืบชาตาที่บ้าน
วันนี้ถ้าหากว่าการดำหัว เมื่อวานนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ก็จะใช้วันนี้เป็นวันดำหัวอีกวันหนึ่ง การรดน้ำกันยังคงมีประปรายเฉพาะพวกที่ไปดำหัวด้วยกัน หรือเมื่อเจอกับคณะอื่น ก็จะสาดน้ำรดน้ำกันอย่างมีความสุข
การรดน้ำ กันตามประเพณีนั้นน่าจะพูดไว้เสียที่นี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังรู้และเข้าใจว่าความจริงการรดน้ำกันนั้น คนโบราณเขาทำกันอย่างสุภาพมีวัฒนธรรมโดยให้ศีลให้พรกันไปในตัวทีเดียว เช่นชายหนึ่งรดน้ำหญิงสาวขณะที่หลั่งน้ำลงรดที่ไหล่หรือที่หลังก็ตามปากมัก จะพร่ำพูดให้พรต่าง ๆนานา เช่น "พลันได้พลันมี สารภีซ้อนกาบ พลันได้หาบได้คอน พลันได้นอนหมอนคู่ พลันได้อยู่ทวยกัน พลันได้เอาสวรรค์เป็นบ้าน เถิดหนอ"
ผู้หญิงจะรดน้ำตอบบ้าง ก็จะอวยพรให้เช่นกันเป็นต้นว่า "น้ำใสใจจริง ไหลลงสู่เนื้อเปียะเปียกเสื้อ เพราะหลั่งจากใจน้ำหยดนี้ บ่แห้งเหยไหน ขอฝากติดไปรอดเติงเถิงบ้าน" เป็นต้น หรือแล้วแต่โวหารที่จะพูดออกมา ส่วนมากเป็นคำดีมีความหมายหาได้เหมือนปัจจุบันนี้ไม่ เพราะเท่าที่เห็นเป็นการทารุณต่อผู้ที่ได้รับรดน้ำเหลือเกิน ไม่เป็นสิ่งเชิดชูใจแต่ประการใด ถ้าคนโบราณทำเช่นนี้ ประพณีสงกรานต์คงไม่มีสังคมยอมรับและเหลือมาถึงเราเป็นแน่ขอฝากไว้ช่วยชี้ แจงแก่คนปัจจุบันและชาวต่างถิ่นด้วย
กลับมาถึงขั้นตอนของการ ดำหัวในแบบฉบับของล้านนาโบราณ คำว่า "ดำหัว" ในภาษาล้านนามีความหมายว่า "สระผม '' พจนานุกรมล้านนาไทยฉบับแม่ฟ้าหลวงหน้าที่ 444 ให้ความหมายว่าสระผมหรือพิธีแสดงความเคารพผู้มีอาวุโสหรือผู้มีบุณคุณ ในประเพณีสงกรานต์ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ . ศ . 2542 หน้าที่ 405 ให้ความหมายว่า เป็นประเพณีทางภาคเหนือซึ่งกระทำในวันปีใหม่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือและรักใคร่ และยังอธิบายต่ออีกว่า วิธีดำหัวคือเอาสิ่งของและน้ำที่ใส่เครื่องหอมเช่นน้ำอบไทยไปให้แก่ผู้ที่ เคารพและขอให้ท่านรดน้ำใส่หัวของตนให้อยู่เย็นเป็นสุข
จากพจนานุกรมทั้งสองฉบับ จะเห็นได้ว่าประเพณีดำหัวเป็นประเพณีของทางล้านนาไทยอย่างชัดเจน ความเชื่อของของทางล้านนาคือผู้ที่เราเคารพผู้อาวุโสผู้มีบุญคุณแก่เราทาง เหนือล้านนานิยมใช้น้ำที่ใส่ขมิ้นส้มป่อยมีสีเหลืองมีกลิ่นหอมน่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับน้ำที่สรงน้ำพระ หรือองค์พระธาตุ เป็นน้ำที่ใช้ดำหัว สำหรับน้ำอบน้ำหอมนั้นมาทีหลังซึ่งเป็นของทางภาคกลาง
ส่วนวิธีการของทางล้านนา จริง ๆ หลังจากให้พรเสร็จแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะใช้มือของตนเองจุ่มลงไปในน้ำแล้วลูบหัวตนเอง ซึ่งมีความเชื่อเหมือนกับการรับสูมาคาราวะที่ผู้คนที่มาดำหัวได้ทำอะไรที่ ไม่เป็นมงคล ด้วย กาย วาจา ใจ ไม่ได้ขอให้นำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาใส่หัวของตนเอง นอกจากท่านจะกรุณา สะบัดนิ้วมือที่มีน้ำติดอยู่ใส่หัวของผู้ที่ไปดำหัวซึ่งสุดแล้วแต่ท่าน ไม่ได้เจาะจงดั่งเช่นที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานกล่าวไว้
อีกประการหนึ่งที่ พจนานุกรมทั้งสองฉบับไม่กล่าวถึงคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งในภาคกลางและภาคเหนือ ที่เป็นข้าราชการทำก็คือ การรดน้ำใส่มือของผู้ที่เรามาดำหัว ในความเป็นจริงแล้วเราจะเห็นบ่อยมากส่วนมากท่านเหล่านั้นเป็นระดับสูง ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีผู้ว่าราชการจังหวัดลงมาจนถึงระดับผู้นำท้องถิ่น ซึ่งบางคนผู้นำเหล่านั้นก็เป็นคนล้านนาแต่ก็ยังยอมให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับ บัญชาที่ไม่รู้เรื่องประเพณีล้านนาทำอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เชื่อก็คอยดูในทางโทรทัศน์ในปีนี้รับรองได้เห็นแน่นอน ไม่มีเอกสารฉบับไหนของล้านนากล่าวถึงประเพณีรดน้ำดำหัวว่าผู้ที่มาดำหัวต้อง รดที่มือ นอกจากประเพณีของทางภาคกลางที่รดน้ำมือคือประเพณีแต่งงานเพื่ออวยพรคู่บ่าว สาวและรดน้ำที่มือศพ ซึ่งถือว่ารดน้ำศพ
ส่วนทางของล้าน นาไม่นิยมในการที่จะรดน้ำที่มือในการอวยพรใด ๆ ทั้งสิ้น ( เพราะมีความรู้สึกเหมือนรดน้ำศพของทางภาคกลาง ยิ่งเมื่อมือโดนน้ำรดมาก ๆ แล้วลักษณะของมือก็จะซีดเหมือนมือของคนที่ตายแล้วจึงไม่ นิยมทำกัน ) หลังจากที่ให้พรเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะออกมายืนอยู่ที่ตรงชายบ้าน ซึ่งบ้านทางล้านนาโบราณจะต้องมีชานบ้านทุกหลังคาเรือน เพื่อไว้ทำประโยชน์หลายอย่าง เช่นเป็นที่อาบน้ำ ตากเสื้อผ้า และก็เพื่อใช้ในประเพณีดำหัว แล้วท่านที่มาดำหัวก็จะออกมารดน้ำที่ไหล่ท่านพร้อมกับอวยพรให้ท่านอยู่เย็น เป็นสุขมีอายุยืนยาว
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะ กล่าวถึงก็คือความเชื่อของการรดน้ำดำหัว ในทางล้านนาก็คือผู้ที่อาวุโส เคารพนับถือเท่านั้นที่เราจะรดน้ำดำหัว ที่นิยมก็คือ บิดามารดา พระสงฆ์ ผู้อาวุโสที่มีคุณงามความดี อยู่ในศีลสัตย์ ผู้นำที่เสียสละมีบุญคุณต่อแผ่นดินครูอาจราย์ที่ให้วิชาความรู้แก่เรา ไม่จำกัดว่าผู้คนเหล่านั้นจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไร การดำหัวของล้านนาจึงเหมือนกับบอกคุณค่าของคน เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้ใหญ่ในสมัยนั้นเป็นอย่างดี
ดังนั้นการกระทำในการดำ หัวจะไม่มีการกระเกณฑ์คนโดยแบบบังคับให้มาเหมือนปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่ไปดำหัวจะต้องมีความเกี่ยวพันกับผู้ที่เราไปดำหัวในด้านใดด้าน หนึ่งและเปี่ยมล้นไปด้วยความรักนับถือและศรัทธาไม่ใช่ไปเพื่อสร้างภาพแสดง พลังให้ยิ่งใหญ่ของบุคคลนั้น โดยกระบวนการที่ลิ่วล้อของท่านเหล่านั้นจะเป็นผู้จัดการระดมเกณฑ์คน โดยที่ท่านเหล่านั้นแทบจะไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร บางทีพอเห็นภาพผู้คนมากมายก็ทำให้ท่านทั้งหลายหลงลืมตนเองคิดว่าตน้องเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งบางท่านกว่าจะสรุปบทเรียนได้ก็ต่อเมื่อตนเองหมดตำแหน่งหน้าที่ในยศถา บรรดาศักดิ์ หมดอำนาจวาสนาที่ไม่เคยจีรังและยั่งยืน ประเพณีดำหัวจึงจะบอกท่านเหล่านั้นให้รู้ว่าตนเองมีคุณค่าแค่ไหน
ดังนั้นเราจะเห็นภาพที่ เห็นอยู่เป็นประจำไม่ว่าทางโทรทัศน์ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป คือคนเฒ่าคนแก่ที่ที่ถูกผู้นำระดับล่างกะเกณฑ์มานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ใครก็ไม่รู้ที่ตนเองก็ไม่รู้จัก และที่สำคัญที่สุดคนที่ยกมือไหว้นั้นยังอายุหนุ่มกว่าน้อยกว่า บางคนก็เป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน ซึ่งเป็นภาพที่เห็นแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
จากที่เล่ามาทั้งหมดผู้ เขียนมีเจตนายากจะให้คนรุ่นใหม่ ได้รู้ถึงกระบวนการขั้นตอนความเชื่อของประเพณีรดน้ำดำหัวของทางล้านนาจริง ๆ เขาทำอย่างไร เชื่ออย่างไรและอีกอย่างหนึ่งที่จะฝากไว้สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ยิ่งใหญ่มี ตำแหน่ง สูง ๆไม่ว่าระดับไหนก็ตามถ้าเป็นคนล้านนาแล้ว ควรจะปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างตามแบบของความเชื่อในประเพณีโบราณของล้านนา อย่างน้อยก็เป็นตัวอย่างต้นแบบเพื่อให้ลูกหลานล้านนาได้เห็นและจะได้ปฏิบัติ สืบต่อไป
เป็นอย่างไรครับประเพณี ปีใหม่เมืองอันยิ่งใหญ่ของล้านนาในอดีต ที่สื่อความหมายและจุดประสงค์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกระบวนการทางสังคม ผสมกับการกระทำที่เป็นศิริมงคลแก่ผู้อื่นและตนเอง ให้กำลังใจแก่ตนเองที่จะต่อสู้กับชีวิตในปีต่อไปนับเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่ง ใหญ่ และแน่นอนที่สุดคือแตกต่างจากจุดประสงค์ของงาน เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ อารยธรรมล้านนา และ 5 ประเทศที่กำลัง เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้อย่างสิ้นเชิง

ก่อนจบบทความฉบับนี้จึงขอยกตัวอย่าง " คำพร "( อ่านว่ากำปอน ) ของอาจารย์สิงฆะ วรรณสัย ซึ่่งเขียนไว้ เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาเป็นฉบับย่อ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาถึงความหมายของมัน จะได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของประเพณีดำหัวของล้านนาไทย
ดีแล อัชชะในวันนี้ก็เป็นวันดี ศรีสุภมังคละอันประเสริฐ ล้ำเลิศยิ่งกว่าวันและยามดังหลาย บัดนี้หมายมี …. เป็นเค้า มาเลงหันสังขานต์ …. ปีเก่าล่วงไปพลัน เถิงวันพญาวันปีใหม่ จุจอดไคว่เถิงมา เป็นกาละเวลาเล่นม่วน ล่นเล้าร่วนเทียวกองตามทำนองปางก่อน ได้สืบสอนคำหอม หื้อน้ำขมิ้นส้มป่อยข้าวตอก ตั้งดอกไม้ธูปเทียนงาม โภชนาหารหลามหลากพร้อม ลางพร่องก็หาบเปียดพร้อมบุงกาน มโนหวานใจใฝ่ เตียวตางไต่ตามกัน พ่อแม่ไผมันไปไคว่ ดังผู้ใหญ่และผู้สูง ปู่ป้าอาว์ผู้เฒ่า พากันไต่เต้าไปหาครูบาอาจริยะ บ่เลยเลิกละปาเวณี ยามเมื่อถึงเดือนชีปีใหม่ มีมโนใฝ่ใจสุนทร์ หมายมุ่งบุญบ่หื้อเคียด เกิดส้มเสียดโกธา แต่งสรีระกายานุ่งหย้อง เหน็บดอกช้องใส่เตมหัว ประดับเนื้อตัวหื้อใหม่ เสื้อผ้าใส่จันทร์มัน อู้เล่นกันเหยาะหยอก ตักน้ำถอกหดกันดี ตั้งสาวจี๋และบ่าวหนุ่ม เปียะน้ำชุ่มตึงตัว ฝูงสาวใคร่หัวเหิดเล่น ฝูงบ่าวตื่นเต้นกำ กันบวย เทียวตามทวยทางไต่ ประเพณีปีใหม่ถึงต้นหดน้ำกันตามสุภาพ หลั่งหลดอาบตามสังขานต์ คำจำหวานอู้อ่อย ปันพรย่อยแก่กัน สนุกเนืองนันตามจารีต เป็นปราณีตบ่เหยหาย
บัดนี้เจ้าตั้งหลายทุก ถ้วนหน้า มาเลงเห็นผู้ข้ามีแก่น เป็นผู้นำ ทำดีมีศีลอยู่บ่ขาด ในศักราชปีเก่าว่าไป แม้นมีกายใจวาปรามาส ได้ล่วงล้ำพลาดเวลา ได้เทียวไปมากราบย่ำ ยามเฮาอยู่ที่ต่ำเทียวกายหัว บ่ได้น้อมนอบตัวก้มหน้า ได้เอิ้นทักกลางท่ากลางทาง เกิกทางขวางเทียวไต่ บ่จงใจใฝ่ปองหันมาสางเทื่อฟังเตียวล่นล้นย่ำเทียวแป้นเฮือนดัง ว่าบ่ฟังเหลือกำ เอิ้นคำด่าข้ามไปมา ยามเมื่อมีโกรธากริ้วโกรธ กลัวเป็นโทษบาปกรรมแปดใจดำด่างพร้อย มาขอลดโทษปล่อยขมา บัดนี้มาเถิงปีใหม่แล้ว เป็นปีใหม่แก้วพญาวัน มาขอปลงปันอนุญาต ที่ได้ปรามาส ด้วยกายวาจาใจ ก็มีมโนมัยใจผ่อง ลดโทษคู่อัน บ่หื้อมีแก่กันพึงสองฝ่าย หื้อขอค้ายจากลาหนี หื้อสูเจ้าจำเริญดีปายหน้า อายุยืนยิ่งกวาร้อยชาว วรรณะเปิงปาวขาวผ่องเป็นที่ถูกต้องใจคน เปนหน้าไปตังใดไกลใกล้ หื้อเป็นที่รักใคร่คนหุม อันธพาลจุมหมู่ร้าย หื้อได้หลีกค้ายหนีไกล หื้อมีความสุข กายใจอย่าขาด โรคร้ายนิราศคลาดคลาไป สมดังมโนมัยใฝ่อ้าง มีแรงยิ่งกว่าช้างพังพลาย เป็นที่คนทังหลายรักชอบ แม้นประกอบการงานใด หื้อสัมฤทธิ์ดังใจใฝ่อ้าง มีใจกว้างสันปัตติ กองสมดังมโนผองอ้างใฝ่ ที่คิดไว้จุอัน สมกำบาลีว่า
สัพพีติโย วิวัชชันตุ ฯลฯ อายุวัณโณสุขังพลัง ..
สิบสาม เมษามหา สงกรานต์
เราชาวไทย เบิกบาน ทั่วทุกหน
ทำบุญใส่ บาตรเช้า เอามงคล
สรงน้ำพระ ร่วมขน ทรายก่อเจดีย์
พอสายรด น้ำดำหัว ท่านผู้ใหญ่
พ่อแม่ครู อวยไชย ให้สุขศรี
มอบมะลิ บูชา บุพการี
แล้วชวนเพื่อน น้องพี่ เล่นน้ำกัน
อากาศร้อน ผ่อนคลาย ได้เย็นฉ่ำ
แสนสดชื่น เช้าค่ำ ต่างสุขสันต์
หยอกกระเซ้า เศร้าหาย มลายพลัน
ครอบครัวพร้อม สรวลสรร อิ่มเอมใจ
เป็นโอกาส แสนดี ปีละหน
ลูกหลานครบ ทุกคน ร่วมปีใหม่
สืบสาน ประเพณี แบบไทยไว้
ยิ้มระรื่น สดใส ในสงกรานต์
ปีใหม่ไทย หวังให้ ประสบโชค
คลายความทุกข์ เศร้าโศก สุขหฤหรรษ์
ขอมวลมิตร บ้านอ่าว จงสำราญ
ทุกทิวา ราตรีกาล ตราบนานเนา......
sssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss
สุรพงษ์..เชื่อเขียนใบลาออกล่วงหน้า ป้องกันสส.หน้าเงินได้
สุรพงษ์ เชื่อให้ส.ส.เขียนใบลาออกล่วงหน้า ป้องกันส.ส.หน้าเงินได้ ขู่ใครไม่เขียนไม่ส่งลงสมัครส.ส. เชื่อมิ่งขวัญไม่ทิ้งเพื่อไทย แม้อกหัก
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่เสนอให้คนที่จะลงสมัครส.ส.ในการเลือกตั้งสมัยหน้าต้องเขียนใบลาออกไว้ก่อนว่า เชื่อว่าส.ส.ของพรรคไม่มีใครไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการแก้ปัญหาส.ส.ย้ายพรรคเหมือนที่ผ่านมาได้ และเป็นการป้องกันส.ส.ที่จะมาให้พรรคเพื่อไทยทำคลอด เสร็จแล้วก็ไปอยู่พรรคอื่นหลังการเลือกตั้ง แต่ยอมรับว่ายังมีส.ส.เหล่านี้อยู่ในพรรคเพื่อไทย แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีจำนวนทำไหร่ แต่คงไม่มาก เพราะส.ส.เหล่านี้จะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็นเด่นชัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ที่ถึงอย่างไรส.ส.เหล่านี้ก็ต้องอยู่เพื่อให้ได้เป็นส.ส.แต่เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร เราจึงเตรียมป้องกันไว้ก่อน และที่สำคัญยังเป็นการป้องกันการซื้อส.ส.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคาะชื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวไว้แล้วด้วย
“ แกนนำพรรคได้วิเคราะห์กันว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งแน่นอนแม้คิดกฎนี้ขึ้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้นอำนาจเงินจะมีผลต่อส.ส.อย่างมาก อาจทำให้ไม่โหวตเลือกนายกฯตามมติพรรคหรือคิดจะไปอยู่พรรคอื่นเพื่อเป็นรัฐบาล แต่เมื่อมีการเขียนใบลาออกก็คงไม่มีใครกล้า ” นายสุรพงษ์ กล่าว
นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กลุ่มอีสานพัฒนา ที่สนับสนุนนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า การจะให้ส.ส.เขียนใบลาออกไว้ก่อนในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นก็สามารถทำได้ เพราะจะทำให้พรรคเกิดความมั่นคง เนื่องจากมีพวกโสเภณีทางการเมืองอยู่ในพรรค เพราะหากเราชนะเลือกตั้งขึ้นมาและจะจัดตั้งรัฐบาลโดยยังมีพวกโสเภณีทางการเมืองอยู่ก็คงไม่ไหว เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ ทำให้ส.ส.ไม่ไขว้เขว ส่วนกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยนั้น ตนคิดว่านายไพจิตคงเห็นด้วยในหลักการ เพราะตรงนี้เหมือนการประชุมสภาที่มีกฎข้อบังคับการประชุมที่สมาชิกต้องทำตาม พรรคการเมืองก็มีกฎข้อบังคับเหมือนกัน
นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กลุ่มนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องการให้ส.ส.เขียนใบลาออกไว้ก่อนนั้นคงไม่มี ถ้ามีต้องศึกษาให้ละเอียดว่าจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะส.ส.ต้องมีอิสระในการทำงาน การทำหน้าที่ของส.ส.จะแทรกแซงไม่ได้ แต่ถ้าทำก็เท่ากับว่าพรรคไม่ไว้ใจ ไม่ให้เกียรติส.ส. ตนจึงคิดว่าคงไม่มีการทำแบบนี้ และไม่มีพรรคไหนเขาทำกัน ที่มีข่าวออกมาคงเป็นความคิดที่ห้ามกันไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ทำเช่นนี้ ใครคงไปโยนให้ท่านก็ไม่รู้ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น เท่าที่ตนได้พูดคุยถ้าเป็นจริงนายมิ่งขวัญก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังอยู่กับพรรคเหมือนเดิม ตอนนี้ท่านบอกขออยู่เฉยๆก่อน สุดท้ายแล้วจะให้ไปอยู่ตรงไหนก็ได้
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่เสนอให้คนที่จะลงสมัครส.ส.ในการเลือกตั้งสมัยหน้าต้องเขียนใบลาออกไว้ก่อนว่า เชื่อว่าส.ส.ของพรรคไม่มีใครไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการแก้ปัญหาส.ส.ย้ายพรรคเหมือนที่ผ่านมาได้ และเป็นการป้องกันส.ส.ที่จะมาให้พรรคเพื่อไทยทำคลอด เสร็จแล้วก็ไปอยู่พรรคอื่นหลังการเลือกตั้ง แต่ยอมรับว่ายังมีส.ส.เหล่านี้อยู่ในพรรคเพื่อไทย แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีจำนวนทำไหร่ แต่คงไม่มาก เพราะส.ส.เหล่านี้จะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็นเด่นชัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ที่ถึงอย่างไรส.ส.เหล่านี้ก็ต้องอยู่เพื่อให้ได้เป็นส.ส.แต่เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร เราจึงเตรียมป้องกันไว้ก่อน และที่สำคัญยังเป็นการป้องกันการซื้อส.ส.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคาะชื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวไว้แล้วด้วย
“ แกนนำพรรคได้วิเคราะห์กันว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งแน่นอนแม้คิดกฎนี้ขึ้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้นอำนาจเงินจะมีผลต่อส.ส.อย่างมาก อาจทำให้ไม่โหวตเลือกนายกฯตามมติพรรคหรือคิดจะไปอยู่พรรคอื่นเพื่อเป็นรัฐบาล แต่เมื่อมีการเขียนใบลาออกก็คงไม่มีใครกล้า ” นายสุรพงษ์ กล่าว
นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กลุ่มอีสานพัฒนา ที่สนับสนุนนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า การจะให้ส.ส.เขียนใบลาออกไว้ก่อนในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นก็สามารถทำได้ เพราะจะทำให้พรรคเกิดความมั่นคง เนื่องจากมีพวกโสเภณีทางการเมืองอยู่ในพรรค เพราะหากเราชนะเลือกตั้งขึ้นมาและจะจัดตั้งรัฐบาลโดยยังมีพวกโสเภณีทางการเมืองอยู่ก็คงไม่ไหว เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ ทำให้ส.ส.ไม่ไขว้เขว ส่วนกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยนั้น ตนคิดว่านายไพจิตคงเห็นด้วยในหลักการ เพราะตรงนี้เหมือนการประชุมสภาที่มีกฎข้อบังคับการประชุมที่สมาชิกต้องทำตาม พรรคการเมืองก็มีกฎข้อบังคับเหมือนกัน
นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กลุ่มนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องการให้ส.ส.เขียนใบลาออกไว้ก่อนนั้นคงไม่มี ถ้ามีต้องศึกษาให้ละเอียดว่าจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะส.ส.ต้องมีอิสระในการทำงาน การทำหน้าที่ของส.ส.จะแทรกแซงไม่ได้ แต่ถ้าทำก็เท่ากับว่าพรรคไม่ไว้ใจ ไม่ให้เกียรติส.ส. ตนจึงคิดว่าคงไม่มีการทำแบบนี้ และไม่มีพรรคไหนเขาทำกัน ที่มีข่าวออกมาคงเป็นความคิดที่ห้ามกันไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ทำเช่นนี้ ใครคงไปโยนให้ท่านก็ไม่รู้ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น เท่าที่ตนได้พูดคุยถ้าเป็นจริงนายมิ่งขวัญก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังอยู่กับพรรคเหมือนเดิม ตอนนี้ท่านบอกขออยู่เฉยๆก่อน สุดท้ายแล้วจะให้ไปอยู่ตรงไหนก็ได้
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สาธารณสุข เตือนระวัง 8 เมนู เสี่ยงท้องเสียช่วงเทศกาล
โฆษกสธ.เตือนระวังเมนูอาหาร 8 ชนิด เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร เช่นท้องร่วง ท้องเสีย ช่วงเทศกาลสงกรานต์ อาทิ อาหารปรุงจากกะทิ อาหารกล่อง แนะอาหารทะเลสดให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงวิธีลวกพล่าสุกๆ ดิบๆ ชี้ 3 เดือนแรกปีนี้พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนราย คร่าชีวิตคนไทยถึง 16 ศพ
นายแพทย์ สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหยุดฉลองเทศกาลสงกรานต์13 - 17 เมษายน 2554 นี้ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงเองที่บ้าน อาหารสั่งซื้อ หรือการออกไปรับประทานอาหารตามร้านนอกบ้าน ต้องระมัดระวังการเลือกซื้อและบริโภค อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินอาหารเช่น โรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ โรคอหิวาต์ โรคบิด และไข้ไทฟอยด์ จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เมนูอาหาร 8 ชนิด ได้แก่ 1. อาหารปรุงด้วยกะทิ 2. ขนมจีน 3. อาหารทะเลสด 4. อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ยำ พล่า 5. อาหารถุง อาหารกล่อง อาหารห่อ 6. ส้มตำ 7. อาหารค้างมื้อ และ 8. น้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนราย เสียชีวิต 16 ราย
นายแพทย์สุพรรณ กล่าวต่อว่า เพื่อความปลอดภัยจากโรคระบบทางเดินอาหาร ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติให้เป็นนิสัย 3 ประการ คือให้ “ กินอาหารสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และต้องล้างมือเป็นประจำ ” สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขอให้พ่อแม่ดูแลเรื่องการกินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กวัยนี้นอกจากจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำแล้ว ยังดูแลตัวเองไม่เป็น กินและหยิบอาหารเข้าปากแบบไร้เดียงสา ดังนั้น โอกาสติดเชื้อจึงเกิดขึ้นง่าย
สุดท้ายคือเรื่องน้ำดื่มและน้ำแข็ง ขอให้ดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีเครื่องหมายอย.รับรอง และเลือกขวดที่มีฝาปิดสนิท ส่วนน้ำแข็งควรเลือกชนิดบรรจุถุงที่มีเครื่องหมาย อย. และขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านอาหาร ไม่ควรนำอาหารอื่นไปแช่ในถังน้ำแข็งที่ให้ลูกค้ากิน เพราะจะทำให้น้ำแข็งปนเปื้อนเชื้อโรคได้ นายแพทย์มานิตกล่าว
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายแพทย์ สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหยุดฉลองเทศกาลสงกรานต์13 - 17 เมษายน 2554 นี้ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงเองที่บ้าน อาหารสั่งซื้อ หรือการออกไปรับประทานอาหารตามร้านนอกบ้าน ต้องระมัดระวังการเลือกซื้อและบริโภค อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินอาหารเช่น โรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ โรคอหิวาต์ โรคบิด และไข้ไทฟอยด์ จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เมนูอาหาร 8 ชนิด ได้แก่ 1. อาหารปรุงด้วยกะทิ 2. ขนมจีน 3. อาหารทะเลสด 4. อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ยำ พล่า 5. อาหารถุง อาหารกล่อง อาหารห่อ 6. ส้มตำ 7. อาหารค้างมื้อ และ 8. น้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนราย เสียชีวิต 16 ราย
นายแพทย์สุพรรณ กล่าวต่อว่า เพื่อความปลอดภัยจากโรคระบบทางเดินอาหาร ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติให้เป็นนิสัย 3 ประการ คือให้ “ กินอาหารสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และต้องล้างมือเป็นประจำ ” สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขอให้พ่อแม่ดูแลเรื่องการกินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กวัยนี้นอกจากจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำแล้ว ยังดูแลตัวเองไม่เป็น กินและหยิบอาหารเข้าปากแบบไร้เดียงสา ดังนั้น โอกาสติดเชื้อจึงเกิดขึ้นง่าย
สุดท้ายคือเรื่องน้ำดื่มและน้ำแข็ง ขอให้ดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีเครื่องหมายอย.รับรอง และเลือกขวดที่มีฝาปิดสนิท ส่วนน้ำแข็งควรเลือกชนิดบรรจุถุงที่มีเครื่องหมาย อย. และขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านอาหาร ไม่ควรนำอาหารอื่นไปแช่ในถังน้ำแข็งที่ให้ลูกค้ากิน เพราะจะทำให้น้ำแข็งปนเปื้อนเชื้อโรคได้ นายแพทย์มานิตกล่าว
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554
มิตรหรือศัตรู มันก็..ไม่ต่างกัน
สมราคา “ไข่มุกดำวีระกานต์ มุสิกพงศ์” เปิดอกเปิดใจเป็นครั้งแรกผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “สปริงนิวส์” ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังก่อนวันเกิดเหตุ “ขอคืนพื้นที่แดงราชประสงค์” ไว้ได้อย่างมีนัยยิ่ง
ทั้งกรณีแกนแดงสายเหยี่ยวหวังใจที่จะยึดอำนาจแกนแดงสายพิราบ “นายหัว วีระ” ก็ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า “มันมีจริง” หรือแม้กระทั่ง วาระกัดจิก“สายเกิน เจรจา” ที่อดีตประธาน นปช. ระบุว่า “ชีวิตประชาชนมีคำว่าสายด้วยหรือ” มันก็ล้วน กินยาวบาดใจไปถึงเครดิตของผู้สั่งการ อย่างล้ำลึกนัก
แต่ประเด็นที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือเรื่องลับๆ ของคนระดับแกนนำมุ่งหวังทาง การเมือง ที่แอบไปเจรจาต้าอ้วย เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง โดยอ้างชีวิตประชาชนที่เหล่าแกนนำปลุกเร้าขึ้นมาเป็นผนัง ทองแดงกำแพงเหล็ก
มันก็ได้สร้างความงงงวยให้กับเหล่า แกนตามผู้จงรักภักดี ที่ฟังแล้วต้องถึงกับอุทานว่า...มันด่ากันแทบตาย แล้วสุดท้าย พวกมันแอบไปคุยกันตอนไหน???
นั่นมันก็ไม่ต่างกับสิ่งที่แกนนำเหลืองแดง หน้ากระดานเรียงหนึ่งขึ้นเวที เปิดปฏิบัติการสาวไส้ให้กากิน แฉเบื้องลึกเบื้อง หลัง แฉโน่นแฉนี่ แต่ไม่เคยเหลียวมองดูเบื้องหลังของตนเองและเบื้องหน้าของประชาชน
แกนแดงลงรายละเอียดเป็นฉากๆ จากวงประชุมลับแห่งการปฏิวัติ 19 กันยาฯ กินยาวไปถึงปมยุบไทยรักไทย ยุบพลังประ ชาชน และไม่ยุบประชาธิปัตย์
แกนเหลืองก็เดินหน้าแฉแหลกตั้งแต่เหตุซุกหุ้น ขายหุ้น เลี่ยงภาษี ขายชาติ ขายแผ่นดิน ว่ากันไปถึงวาระประธานาธิบดี เชื่อมโยงไปสู่ อาการตีตนเสมอเจ้า และไม่ จงรักภักดี..
ว่ากันง่ายๆ คือพยายามชี้นำให้ประ ชาชน ลุยถั่วฝ่ายตรงกันข้าม แบบเอาให้ตายกันไปข้าง แต่ “ความจริงวันนี้ผ่านโฟกัสเมือง ไอ้ที่นั่งด่าๆ กัน มันก็ดันเซย์ฮัลโหลเจรจาในทางลับกัน อย่างต่อเนื่อง แล้วตกลงสุดท้ายประโยชน์ มรรคผลมันบังเกิดกับใครกันแน่ระหว่างแกนนำหรือแกนตามที่เผอิญเป็นประชาชน
สั้นๆ และกระชับ ถอดสมการให้เห็น เป็นรูปธรรม “ประชาธิปัตย์” และ “พันธ มิตรฯ” หรือ “พันธมิตรฯ” กับ “พรรค การเมืองใหม่” เกิดอาการแตกคอกันนั้น เหล่าแกนนำเหลืองและแกนนำพรรคสะตอ จะมีเหตุผลใดมาอธิบายให้ประชาชนผู้เป็น แฟนคลับฟังได้ชัดอย่างรื่นหูและไม่สะดุด.. มันก็ยังไม่ผ่านเข้าสู่โสตประสาทแม้แต่เดซิเบลเดียว
หรือแม้กระทั่ง สิ่งที่ “ไข่มุกดำ” ออกมายอมรับในข้อสงสัยเรื่องปฏิบัติการแดง ยึดอำนาจแดง แต่ใช้ลีลาการพูดสไตล์นักการเมืองในการเลี่ยงบาลี แก้เกี้ยว แต่ในที่สุดก็หนีไม่ออกเพราะเงื่อนงำ ในเหตุการณ์เหล่านั้น มันก็ล้วนมีอยู่จริง
สุดท้ายเรื่องราวแห่งคืนวันสังหารใน หลายเหตุการณ์ แม้จะล่วงเลยมาเนิ่นนาน แต่ประชาชนทั้งเหลืองทั้งแดง ก็ยังไม่สามารถ พิสูจน์ทราบว่า ใครกันแน่ที่ฆ่าประชาชน???
แต่สิ่งที่ประชาชนได้พิสูจน์ทราบและเห็นเป็นกระจ่างคือ..
วันนี้ “รัฐบาลผ้าขาว” แปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นทุจริตยิ่งกว่า “รัฐบาลโคตรโกง”
วันนี้ “กำนัน สปก. 4-01” เป็นเพื่อนเลิฟกับ “พ่อมดเขมรจอมหักเหลี่ยม”
วันนี้ “ครูใหญ่” กับ “หลงจู๊” ผนึกกำลังพร้อมเสียบซีกไหนก็ได้แค่ขอให้พรรค ตัวแปรก๊วนนี้ได้เป็นรัฐบาล
วันนี้ “ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น” สำรอกเลือด กลืนน้ำลาย กลับลำไปขัดตาทัพให้กองกำลังผู้ทรงเกียรติของ “นายใหญ่”
วันนี้ แม้แต่ “ไม้บรรทัด” ผู้เคยเอ่ย ปากว่าเหม็นเบื่อการเมือง ยังคิดใหม่ ทำใหม่ด้วยการเอาตัวลงไปคลุกกับกลิ่นสาบการเมืองอีกคำรบ
วันนี้ “กองทัพ” อันเป็นคีย์แมนแห่ง “วาระปฏิวัติ” ยังตบเท้าออกมาการันตี ประเทศนี้ไม่มียึดอำนาจแน่นอน
วันนี้ “แอ็กติวิสต์นักประชาธิปไตย เสื้อเหลือง” กลับออกมาเรียกร้องให้ประ ชาชนเฮโลไปกาในช่อง “โหวตโน” ประหนึ่ง ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง
วันนี้ “แก๊งเข้าป่าสายคอมมิวนิสต์” ได้ปรากฏกายอย่างดาษดื่น และนั่นก็มีแนว คิดทั้งล้มและปกป้องเจ้า
แต่ที่น่าสลดหดหู่หัวใจไปมากกว่านั้นคือ..
การเมืองไทยไม่ต่างจากลิเกแห่งอำนาจ โรงใหญ่ วาระ “เหลือง-แดง” ยังคงดำเนิน และเคลื่อนต่อไป สุดท้ายคนที่เดินตามก้น วาทะ “ไพร่-อำมาตย์” ที่ผู้เสพติดอำนาจ ปั้นแต่งขึ้นมา
ไม่ว่า “มิตร” หรือ “ศัตรู” สภาพมันก็ไม่ต่างกัน นั่นคือเอวังให้กับ..แก๊งศรีธนญชัยใส่สูท!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทั้งกรณีแกนแดงสายเหยี่ยวหวังใจที่จะยึดอำนาจแกนแดงสายพิราบ “นายหัว วีระ” ก็ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า “มันมีจริง” หรือแม้กระทั่ง วาระกัดจิก“สายเกิน เจรจา” ที่อดีตประธาน นปช. ระบุว่า “ชีวิตประชาชนมีคำว่าสายด้วยหรือ” มันก็ล้วน กินยาวบาดใจไปถึงเครดิตของผู้สั่งการ อย่างล้ำลึกนัก
แต่ประเด็นที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือเรื่องลับๆ ของคนระดับแกนนำมุ่งหวังทาง การเมือง ที่แอบไปเจรจาต้าอ้วย เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง โดยอ้างชีวิตประชาชนที่เหล่าแกนนำปลุกเร้าขึ้นมาเป็นผนัง ทองแดงกำแพงเหล็ก
มันก็ได้สร้างความงงงวยให้กับเหล่า แกนตามผู้จงรักภักดี ที่ฟังแล้วต้องถึงกับอุทานว่า...มันด่ากันแทบตาย แล้วสุดท้าย พวกมันแอบไปคุยกันตอนไหน???
นั่นมันก็ไม่ต่างกับสิ่งที่แกนนำเหลืองแดง หน้ากระดานเรียงหนึ่งขึ้นเวที เปิดปฏิบัติการสาวไส้ให้กากิน แฉเบื้องลึกเบื้อง หลัง แฉโน่นแฉนี่ แต่ไม่เคยเหลียวมองดูเบื้องหลังของตนเองและเบื้องหน้าของประชาชน
แกนแดงลงรายละเอียดเป็นฉากๆ จากวงประชุมลับแห่งการปฏิวัติ 19 กันยาฯ กินยาวไปถึงปมยุบไทยรักไทย ยุบพลังประ ชาชน และไม่ยุบประชาธิปัตย์
แกนเหลืองก็เดินหน้าแฉแหลกตั้งแต่เหตุซุกหุ้น ขายหุ้น เลี่ยงภาษี ขายชาติ ขายแผ่นดิน ว่ากันไปถึงวาระประธานาธิบดี เชื่อมโยงไปสู่ อาการตีตนเสมอเจ้า และไม่ จงรักภักดี..
ว่ากันง่ายๆ คือพยายามชี้นำให้ประ ชาชน ลุยถั่วฝ่ายตรงกันข้าม แบบเอาให้ตายกันไปข้าง แต่ “ความจริงวันนี้ผ่านโฟกัสเมือง ไอ้ที่นั่งด่าๆ กัน มันก็ดันเซย์ฮัลโหลเจรจาในทางลับกัน อย่างต่อเนื่อง แล้วตกลงสุดท้ายประโยชน์ มรรคผลมันบังเกิดกับใครกันแน่ระหว่างแกนนำหรือแกนตามที่เผอิญเป็นประชาชน
สั้นๆ และกระชับ ถอดสมการให้เห็น เป็นรูปธรรม “ประชาธิปัตย์” และ “พันธ มิตรฯ” หรือ “พันธมิตรฯ” กับ “พรรค การเมืองใหม่” เกิดอาการแตกคอกันนั้น เหล่าแกนนำเหลืองและแกนนำพรรคสะตอ จะมีเหตุผลใดมาอธิบายให้ประชาชนผู้เป็น แฟนคลับฟังได้ชัดอย่างรื่นหูและไม่สะดุด.. มันก็ยังไม่ผ่านเข้าสู่โสตประสาทแม้แต่เดซิเบลเดียว
หรือแม้กระทั่ง สิ่งที่ “ไข่มุกดำ” ออกมายอมรับในข้อสงสัยเรื่องปฏิบัติการแดง ยึดอำนาจแดง แต่ใช้ลีลาการพูดสไตล์นักการเมืองในการเลี่ยงบาลี แก้เกี้ยว แต่ในที่สุดก็หนีไม่ออกเพราะเงื่อนงำ ในเหตุการณ์เหล่านั้น มันก็ล้วนมีอยู่จริง
สุดท้ายเรื่องราวแห่งคืนวันสังหารใน หลายเหตุการณ์ แม้จะล่วงเลยมาเนิ่นนาน แต่ประชาชนทั้งเหลืองทั้งแดง ก็ยังไม่สามารถ พิสูจน์ทราบว่า ใครกันแน่ที่ฆ่าประชาชน???
แต่สิ่งที่ประชาชนได้พิสูจน์ทราบและเห็นเป็นกระจ่างคือ..
วันนี้ “รัฐบาลผ้าขาว” แปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นทุจริตยิ่งกว่า “รัฐบาลโคตรโกง”
วันนี้ “กำนัน สปก. 4-01” เป็นเพื่อนเลิฟกับ “พ่อมดเขมรจอมหักเหลี่ยม”
วันนี้ “ครูใหญ่” กับ “หลงจู๊” ผนึกกำลังพร้อมเสียบซีกไหนก็ได้แค่ขอให้พรรค ตัวแปรก๊วนนี้ได้เป็นรัฐบาล
วันนี้ “ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น” สำรอกเลือด กลืนน้ำลาย กลับลำไปขัดตาทัพให้กองกำลังผู้ทรงเกียรติของ “นายใหญ่”
วันนี้ แม้แต่ “ไม้บรรทัด” ผู้เคยเอ่ย ปากว่าเหม็นเบื่อการเมือง ยังคิดใหม่ ทำใหม่ด้วยการเอาตัวลงไปคลุกกับกลิ่นสาบการเมืองอีกคำรบ
วันนี้ “กองทัพ” อันเป็นคีย์แมนแห่ง “วาระปฏิวัติ” ยังตบเท้าออกมาการันตี ประเทศนี้ไม่มียึดอำนาจแน่นอน
วันนี้ “แอ็กติวิสต์นักประชาธิปไตย เสื้อเหลือง” กลับออกมาเรียกร้องให้ประ ชาชนเฮโลไปกาในช่อง “โหวตโน” ประหนึ่ง ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง
วันนี้ “แก๊งเข้าป่าสายคอมมิวนิสต์” ได้ปรากฏกายอย่างดาษดื่น และนั่นก็มีแนว คิดทั้งล้มและปกป้องเจ้า
แต่ที่น่าสลดหดหู่หัวใจไปมากกว่านั้นคือ..
การเมืองไทยไม่ต่างจากลิเกแห่งอำนาจ โรงใหญ่ วาระ “เหลือง-แดง” ยังคงดำเนิน และเคลื่อนต่อไป สุดท้ายคนที่เดินตามก้น วาทะ “ไพร่-อำมาตย์” ที่ผู้เสพติดอำนาจ ปั้นแต่งขึ้นมา
ไม่ว่า “มิตร” หรือ “ศัตรู” สภาพมันก็ไม่ต่างกัน นั่นคือเอวังให้กับ..แก๊งศรีธนญชัยใส่สูท!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)