--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นิรโทษกรรมสากลจี้ไทยเปิดทางทีมต่างชาติสอบสวน

เหตุสลายผู้ชุมนุม

เอเอฟพีรายงานเมื่อ 27 พ.ค. องค์การนิรโทษกรรมสากล ในกรุงลอนดอน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดทางให้ทีมสอบสวนนานาชาติเเข้าไปช่วยสอบสวนพิสูจน์ความจริงกรณีที่ทหารใช้กำลังต่อผู้ชุมนุม เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

เคลาดิโอ คอร์ดัน รักษาการเลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า ทางองค์การฯ วิตกถึงสถานการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และก่อนหน้านั้นทหารเผชิญกับผู้ชุมนุมที่ใช้อาวุธ แต่การตอบโต้ที่เราเห็นก็คือ กองทัพยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบไม่เลือกหน้าในกลุ่มผู้ชุมนุม และมีบางกรณีที่เล็งเป้าหมายใส่ผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ นอกจากนี้ ยังไม่ทราบว่า มีผู้ชมนุมจำนวนเท่าใดที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเสี่ยงต่อให้เกิดสภาพที่การละเมิดสิทธิ์ไม่ถูกลงโทษ ดังนั้นขั้นแรก รัฐบาลต้องเปิดเผยว่า มีจำนวนคนเท่าใดกันแน่ที่ถูกควบคุมตัวอยุ่ และจำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเหมาะสม รัฐบาลไทยอาจต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ช่วยนานาชาติเพื่อให้การสอบสวนเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
***********************************************

'สมชาย' ซัด กองทัพแกล้งลูกเสธ.แดง


พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ

เป็น นายทหารเคยทำคุณความดี แต่ญาติพี่น้องไปขอเบิกค่ารักษาพยาบาลจากกองทัพ กลับถูกปฏิเสธ บอกว่ากำลังสอบสวนวินัย ติงนายกฯ ควรเด็ดขาดในการดูแลงบประมาณกองทัพ...

พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าววันนี้ (27 พ.ค.) ในการอภิปรายพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2554 ว่า การใช้งบของกองทัพที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบ ทั้งการจัดซื้อเรือเหาะ 350 ล้านบาท โดยวิธีพิเศษ หรือรถหุ้มเกราะจากประเทศยูเครน ที่ควรได้รับมอบรถตั้งแต่ปี 2552 จำนวน 54 คัน ด้วยงบประมาณทั้งหมด 4 พันล้านบาท จ่ายไปแล้ว 350 ล้านบาท จนถึงวันนี้ยังไม่ส่งมาสักคัน รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องบินกริพเพน จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกองทัพอากาศ เพราะเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 ยังใช้การได้ดี ไม่ทราบว่าเป็นเพราะมีการรับเงินใต้โต๊ะมโหฬารหรือไม่

ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า อยากถามนายกฯว่าปล่อยให้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเพราะทหารกลุ่มหนึ่งขีดเส้นให้นักการเมืองเดินตาม โดยส.ส.ต้องทำให้ถูกต้องไม่ใช่หวังจะอยู่ในเก้าอี้เท่านั้นวันนี้กองทัพ ต้องเป็นหลักไม่ใช่มาซุ่มยิงประชาชน เพราะในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมามีข่าวว่า กองทัพอากาศเบิกกระสุนปืนไรเฟิล 500 นัด และกระสุนเอ็ม 16 นัด ที่ควรเอาไปใช้กับผู้ก่อการร้ายภาคใต้ และนายกฯควรมีความเด็ดขาดในการดูแลงบประมาณของพรรคร่วมรัฐบาลด้วย โดยที่ผ่านมาเคยยื่นเรื่องให้สอบการซื้อปืน เอเค 102 ของกระทรวงมหาดไทย ราคากระบอกละ 8.5 หมื่นบาท แต่นายกฯกลับเพิกเฉย

พ.ต.ท.สมชาย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังทราบว่ากรณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ถูกสไนปอร์ซุ่มยิงหัวจนเสียชีวิต เป็นนายทหารที่เคยสร้างคุณความดีบ้านเมือง และได้รับไว้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ แต่ญาติพี่น้องไปขอเบิกค่ารักษาพยาบาลจากกองทัพ กลับถูกปฏิเสธ บอกว่าอยู่ระหว่างตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอยู่ แสดงให้เห็นถึงความอำมหิต โหดร้าย ไม่ใช่คนไทยด้วยกัน ขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลงไปดูด้วย
**************************************************

หยุดเหวี่ยงแห

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

ขณะนี้รัฐบาลได้ใช้อำนาจในการออกหมายจับบุคคลต่างๆในข้อหาผู้ก่อการร้าย รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งศาลอาญาได้มีคำสั่งอนุมัติหมายจับตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ยื่นคำร้อง แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ถูกกล่าวหาจะเป็น “ผู้ก่อการร้าย” หรือกระทำผิดจริง

ดังนั้น การดำเนินการของดีเอสไอหรือกระบวนการยุติธรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องก็ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและสิทธิความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกล่าวหาด้วยว่ายังไม่ใช่ผู้กระทำผิดหรือเป็นผู้ก่อการร้าย จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลซึ่งถือเป็นที่สุด

ขณะที่หลายฝ่ายก็ตั้งคำถามว่า การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐในการกล่าวหาหรือใช้อำนาจในการจับกุมและกวาดล้างผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างนั้นเป็นไปด้วยความยุติธรรมและชอบธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะการออกหมายจับตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 11 (1) ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินขอบเขตตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยว่า แม้รัฐบาลจะมีอำนาจดำเนินการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่มีและไม่เคยเปิดเผยหลักฐานชัดเจนที่เป็นองค์ประกอบของฐานความผิดดังกล่าวให้ผู้ถูกกล่าวหาและสาธารณชนได้รับรู้เลย อย่างที่คณาจารย์และนักวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์กรณีการจับกุมผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าเป็นข้อกล่าวหารุนแรงและเป็นการลิดรอนคุกคามเสรีภาพของบุคคลหรือไม่ โดยเฉพาะกรณี ดร.สุธาชัยยังถือเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการอีกด้วย

แม้การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความมั่นคงและความสงบสุขได้ แต่ก็อาจเป็นแค่ระยะสั้น เพราะหากรัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุและยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรมอย่างยุติธรรมและเป็นธรรม แต่กลับใช้อำนาจอย่างครอบคลุม ไม่แยกแยะ และปราศจากหลักฐานความผิดที่หนักแน่นชัดเจน โดยเฉพาะการถือโอกาสกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทั้งทางการเมืองและกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งแล้ว

รัฐบาลก็ไม่อาจสร้างสังคมแห่งการปรองดองสมานฉันท์ได้ แต่จะยิ่งเพิ่มความหวาดระแวง ความกลัว ความโกรธ ซึ่งเป็นการปลูกฝังความขัดแย้งและเกลียดชัง ก็จะยิ่งทำให้สังคมไทยมีความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างและรุนแรงมากยิ่งขึ้น

**********************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์วิพากษ์รัฐบาล อ้างปรองดอง แต่กลับเข่นฆ่าประชาชน

นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย กล่าวถึงการแสดงความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆเพื่อให้ประเทศผ่านวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้ว่า

"ผมเห็นด้วยที่หลายฝ่ายได้เสนอความเห็นสนับสนุนการปรองดอง เพราะการปรองดองสมานฉันท์เท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้สังคมมีความขัดแย้งรุนแรงบานปลายต่อไป และสามารถกลับคืนสู่ความสงบสุขได้

แต่ปัญหาขณะนี้ คำว่าปรองดองได้ถูกทำให้สูญเสียความหมายไปหมดแล้วจากการกระทำของรัฐบาลทั้งในระหว่างการชุมนุมและในปัจจุบัน สังคมไทยจึงจำเป็นต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่าปรองดองกันใหม่เสียก่อน

นายกรัฐมนตรีได้ยกเรื่องปรองดองขึ้นมาหลังการสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าที่ทำให้มีคนตาย 20 กว่าคนและบาดเจ็บ 900 กว่าคน แต่หลังจากนายกฯเสนอแผนปรองดองเป็นต้นมา กลับทำให้มีคนตายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70 คนและบาดเจ็บมากกว่าเดิม ทำให้การปรองดองมีความหมายเป็นการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนไป

และหลังจากการชุมนุมยุติลงแล้ว รัฐบาลก็พร่ำพูดแต่คำว่าปรองดอง แต่กลับมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนจำนวนมากอยู่ในสภาพหวาดกลัว หวาดระแวง โกรธแค้น เกลียดชัง ทำให้สังคมมีแนวโน้มที่จะแตกแยกมากขึ้นทุกที หากรัฐบาลยังมุ่งทำลายล้างประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาลต่อไป สังคมไทยอาจจะก้าวไปสู่ความรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยมีมาแล้วในอดีต

ขณะนี้รัฐบาลและศอฉ.กำลังใช้พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯอย่างเกินขอบเขต ขัดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน การปิดกั้นเสรีภาพในการสื่อสาร เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ รวมทั้งการปิดกั้นแทรกแซงสื่อมวลชนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ไม่ได้อาศัยข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายมาเป็นสาเหตุ แต่กลับใช้ดุลยพินิจบนพื้นฐานความคิดความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างหรือตรงข้ามกับรัฐบาล ที่สำคัญการบัญชาการสั่งการทั้งหมด ทำไปโดยผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคการเมืองที่เป็นคู่กรณีกับประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล

การสั่งให้จับกุมดำเนินคดี รวมทั้งการระงับธุรกรรมการเงินของบุคคลและบริษัทเป็นไปแบบตามอำเภอใจและเห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล ทั้งในการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง แก้ต่างข้อหาที่รัฐบาลถูกกล่าวหาว่าสั่งฆ่าประชาชนและทำลายเครือข่ายของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งในอนาคต

ขณะนี้รัฐบาลและศอฉ.กำลังข่มขู่ประชาชนผู้ร่วมชุมนุมโดยเฉพาะผู้ที่บาดเจ็บจำนวนมาก ต้องให้ปากคำในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล โดยขู่ว่าหากไม่ให้ความร่วมมือก็อาจจะตั้งข้อหาดำเนินคดี เพราะผู้ร่วมชุมนุมทุกคนอาจถูกข้อหาฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉินฯเสียเมื่อไหร่ก็ได้ ขึ้นกับดุลยพินิจของศอฉ.จะสั่งดำเนินคดีหรือไม่ การข่มขู่ลักษณะนี้ จะทำให้การที่จะให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นไปไม่ได้เลย

รัฐบาลกำลังตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะในสายตาของสื่อต่างประเทศและชาวต่างประเทศ ในกรณีการสังหารประชาชนในวัดปทุมวนาราม ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ ซึ่งอยู่กับผู้ถูกยิงเสียชีวิตและเฝ้าศพตลอดทั้งคืน เล่าให้ฟังว่า ผู้ที่อยู่ในวัดปทุมวนารามส่วนใหญ่จะปักใจเชื่อว่าทหารยิงประชาชน และในกรณีนี้หากรัฐบาลยังแก้ตัวให้ทหารอย่างออกนอกหน้าอย่างที่ทำอยู่ ความโกรธแค้นเกลียดชังจะรุนแรงยิ่งขึ้น รัฐบาลอาจต้องประสบกับวิกฤตความชอบธรรมเร็วกว่าที่คาดไว้ แม้ว่าจะควบคุมสื่อทั้งหมดได้จนคนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ความจริงแล้วก็ตาม"
ที่มา.ประชาไท
.......................................................

ทักษิณให้สัมภาษณ์รายการวิเคราะห์ข่าวของ ABC ปฏิเสธข้อกล่าวหาก่อการร้าย

รายการ Lateline ซึ่งเป็นรายการวิเคราะห์ข่าวของ ABC ออสเตรเลีย ได้รับเชิญให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ร่วมรายการด้วยการสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ และมีการนำเสนอถอดเทปสัมภาษณ์ฉบับตัวอักษรทางเว็บไซต์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

........................

โทนี่ โจนส์ ผู้ดำเนินรายการ
ทักษิณ ชินวัตร ผู้ร่วมรายการ

โทนี่ โจนส์ : นี่คือการสัมภาษณ์อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร ครั้งแรกสุดของโลกหลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ

คุณทักษิณ ถูกกองทัพรัฐประหารล้มอำนาจไปเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา และกำลังอพยพหนีทางการไทยไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งทางการไทยได้ออกหมายจับเขาในข้อหาการก่อการร้ายเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงซึ่งสนับสนุนเขา

ทางรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้เรียกร้องให้ตำรวจสากลจับกุมตัวและส่งมอบตัวเขาไปยังประเทศไทย

ในคืนนี้ทักษิณเป็นผู้ร่วมรายการที่จะมาพูดคุยกับเราเป็นเวลาสั้นทางโทรศัพท์

ขอบคุณคุณทักษิณ ชินวัตรที่มาร่วมพูดคุยกับเราครับ

ทักษิณ : ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ชวนมาร่วมรายการ

โทนี่ : คุณเตรียมตัวพร้อมหรือยังที่จะกลับไปยังประเทศไทยเพื่อเผชิญหน้ากับข้อหาก่อการร้าย ซึ่งพวกเขายกระดับข้อหาให้กับคุณ

ทักษิณ : ก่อนอื่น ขอผมแสดงความเห็นใจต่อการจับกุมตัวชาวออสเตรเลียที่เคยขึ้นเวทีเสื้อแดงก่อน จากการใช้ พรก. ฉุกเฉิน ที่ไม่โปร่งใสของพวกเรา ทำให้ผมเห็นใจเขามาก

แต่อย่างไรก็ตามการจะกลับไปหรือไม่นั้นยังไม่ใช่เหตุที่ต้องพิจารณาโดยเร่งด่วน

สิ่งที่เร่งด่วนในตอนนี้คือเราจะเห็นประเทศไทยกลับมาปรองดอง ซึ่งหมายถึงการปรองดองกันจริง ๆ ได้อย่างไร ถ้าหากผม หากว่าอะไรก็ตาม หากการเผชิญหน้ายังคงดำเนินต่อไป มันไม่เป็นเรื่องดีเลยสำหรับประเทศนี้ พวกเราต้องการเห็นความปรองดองกันเพราะว่ารัฐบาลมักจะพูดเรื่องการปรองดองอยู่เสมอ แต่พวกเขากลับใช้มาตรการเบ็ดเสร็จ (ironfist -- แปลตรงตัวว่ากำปั้นเหล็ก) พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีการละมุนละม่อม (velvet glove -- แปลตรงตัวว่าถุงมืออ่อน ๆ ) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาใช้วิธีการเผชิญหน้ามากกว่าการปรองดอง

โทนี่ : แต่คุณทักษิณ มันมีข้อกล่าวหารุนแรง เรื่องการก่อการร้าย พวกเขาอาจใช้วิธีการประหารชีวิต คุณเป็นห่วงเรื่องตำรวจสากลจะ...

ทักษิณ : ครับ...

โทนี่ : ...จะ ตามตัวคุณ และจับตัวคุณไหม

ทักษิณ : ไม่ ผม...ผม...

โทนี่ : แล้วก็ส่งตัวคุณกลับไปไทยเพื่อดำเนินคดีในศาล?

ทักษิณ : ผมมั่นใจว่านี่ต้องเป็นคดีและข้อกล่าวหาที่มีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างแน่นอน มันไม่มีพื้นอะไรเลย ในใจของผมสละให้กับการชุมนุมอย่างสงบ เท่านั้น ผมสนับสนุนประชาชนของผม ที่พวกเรา ประเทศไทย ต้องการปรองดอง ผมบอกเสมอมาว่าผมต้องการเช่นนี้ คือมีความปรารถนาที่จะให้เกิดการปรองดอง

ผมไม่เคย ไม่เคยที่จะสนับสนุนความรุนแรง และทุกคนที่รู้จักผม และประเทศต่าง ๆ พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่มีใคร ที่ไหนเลย ที่อดีตนายกฯ ผู้นี้จะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายและทำร้ายประเทศของตนเอง ไม่มีทาง

โทนี่ : ข้อหล่าวหาที่มีอยู่จำเพาะเจาะจงมากว่า คุณเป็นคนจัดตั้งให้เกิดความวุ่นวายนี้ และคุณก็ให้เงินสนับสนุนเป็นไปได้ว่าจะมีการกำกับปฏิบัติการหรือมีลูกน้องที่คอยเป็นตัวแทนทำงานให้

ทักษิณ : หากกระบวนการนี้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ข้อกล่าวหานี้ก็ไม่เป็นจริงเลย เพราะว่าไม่มีหลักฐานใด ๆ เลยในเรื่องนี้ มันเป็นแค่ข้อกล่าวหาจากฝ่ายเดียว และในวันนี้ทางศาลก็ยอมรับข้อเสนอจากทนายของผมให้มีการระงับหมายจับเพื่อทบทวนในเรื่องนี้อีกครั้ง

โทนี่ : คุณเป็นห่วงเรื่องตำรวจสากลไหม หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศของไทยเรียกร้องให้จับตัวคุณ พวกขาจะทำตามไหม

ทักษิณ : พวกเขาจะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน แต่ตำรวจสากลมีบรรทัดฐานการตัดสินใจของตนเอง นั่นคือจะไม่ปฏิบัติตามอะไรที่มาจากแรงจูงใจทางการเมือง เรื่องนี้มีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างชัดเจน และเป็นการอ้างที่ไม่มีอะไรรองรับ คุณรู้ไหมว่าบางครั้งรัฐบาลไทยก็เรียกร้องให้ตำรวจสากลออกหมายจับผม และตำรวจสากลก็พบทุกครั้งว่าข้อมูลของรัฐบาลไทยนั้นไว้ใจไม่ได้ และมีแรงจูงใจทางการเมือง

โทนี่ : อย่างน้อยก็มีนายพลคนหนึ่ง ที่อยู่ในหมูเสื้อแดงคอยสนับสนุนตุณอยู่ แล้วเขาถูกยิงเสียชีวิตในช่วงที่เกิดความวุ่นวาย คุณยังคงมีคนที่สนับสนุนคุณอยู่ในหมู่ทหารอยู่ไหม

ทักษิณ : คุณรู้ไหมว่ากองทัพนั้นอยู่ภายใต้ระเบียบเคร่งครัด พวกเขาจึงแค่ทำตามคำสั่งของเจ้านาย อย่างไรก็ตามหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่กองทัพสังหารประชาชนของตนเอง

สิ่งที่คุณควรเป็นห่วงคือชีวิตของผู้บริสุทธิ์ 88 รายที่เสียชีวิตไป และอีกร้อยแปด อีกพันแปดคนที่ได้รับบาดเจ็บ คุณควรตรวจสอบในเรื่องนี้และการตรวจสอบจะต้องเป็นไปอย่างยุติธรรมด้วย แล้วตอนนี้ผู้ประท้วงที่บริสุทธิ์กว่า 300 รายก็ถูกจับกุมตัวภายใต้ พรก. ฉุกเฉิน ดังนั้น...ดังนั้น...

โทนี่ : คุณปฏิเสธเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องที่ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกระทำไปในนามของคุณด้วย

ทักษิณ : ไม่มีทาง พวกเรา....

โทนี่ : ความรุนแรงกระทำโดยทหาร

ทักษิณ : พวกเราไม่เคย ไม่เคยเลยที่จะก่อความรุนแรง หากคุณมองในวิธีการที่ทหารกดดัน พวกเขาใช้รถถัง ใช้สไนเปอร์ พวกเขายิงทหารนายพลด้วยสไนเปอร์ พวกเขายิงประชาชนจำนวนมากด้วยสไนเปอร์ แม้กระทั่งที่วัดในวันสุดท้ายก่อนพวกเขาจะกลับบ้าน มีการสังหารหมู่ในวัด นี่คือสิ่งที่นานาชาติควรให้ความสำคัญ

โทนี่ : ในหมู๋ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่สันติ มีพวกหน่วยติดอาวุธฮาร์ดคอร์รวมอยู่ด้วย เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่โจมตีสิ่งก่อสร้างหลาย ๆ จุดในกรุงเทพฯ ...

ทักษิณ : ไม่...ผมคิดว่า...

โทนี่ : ...และที่อื่น ๆ หลังจากที่ทหารเข้าสลายการชุมนุม คนพวกนี้เป็นใคร คุณจะบอกว่าคนพวกนี้เป็นใคร

ทักษิณ : ถ้าคุณลองดูคุณจะรู้ว่าทำไมเสื้อแดงถึงเผาเซ็นทรัล ทำไมไม่เผาที่อื่น ต้องเป็นที่เซ็นทรัล ถ้าคุณดูการวิเคราะห์ในไทยคุณจะเข้าใจว่าเสื้อแดงนั้น พวกเขาไม่ได้มีความสามารถมากพอจะเผาสิ่งก่อสร้างทั้งหมดลงได้

พวกเขาอาจจุดไฟขึ้นมาด้วยความโกรธตามที่ต่าง ๆ แต่ก็เป็นแค่ไฟกองเล็ก ๆ ไม่ใช่ไฟกองใหญ่ ๆ การจุดไฟกองใหญ่ขนาดนั้นได้ต้องเป็นผลงานของคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่ฝีมือเสื้อแดงแน่และมันต้องมีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า ผมบอกคุณได้เลยว่าในฐานะที่เคยบวชมาก่อน (ในต้นฉบับใช้คำว่า as an ex-priest) ผมบอกเลยว่ามันวางแผนมาก่อนแล้วและกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ผมบอกได้เลยว่ามันเป็นการสร้างสถานการณ์

แม้แต่อาวุธที่พวกเขาเอามาแสดงให้ดู ก็เป็นอาวุธใหม่เอี่ยมที่ไม่ให้ใครแตะต้อง ความจริงคือไม่มีใครใช้อาวุธพวกนี้เลย หากเสื้อแดงมีอาวุธจริงทำไมไม่มีใครในฝ่ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บเลยล่ะ (หัวเราะ)

โทนี่ : ดังนั้นคุณก็เข้าใจแล้วว่าข้อกล่าวหาคือบอกว่าคุณเป็นคนให้งบจำนวนมากให้พวกเขาซื้ออาวุธเพื่อจัดตั้งกลุ่มเสื้อแดง นี่จะกลายเป็นข้อกล่าวหาของคุณ

ทักษิณ : ไม่มีทาง พวกเราจะซื้ออาวุธพวกนี้มาจากไหนล่ะ พวกเราไม่ใช่กองทัพ แล้วเราจะซื้อได้อย่างไร แล้วก็ หากพวกเขามีอาวุธจริง ๆ ทำไมพวกเขาถึงยอมแพ้อย่างง่ายดาย ทำไมพวกเขาถึงไม่ยิงตอบทหาร ทำไมไม่มีการเสียชีวิตจากฝ่ายทหารเลย ดังนั้นคุณจะต้องมีเหตุผลมาก ๆ ในการเข้าใจสถานการณ์

โทนี่ : การประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงจบลงแล้ว มันถือว่าเสร็จสิ้นไปหรือยัง มันจะเกิดขึ้นอีกไหม

ทักษิณ : ผมไม่ทราบ ไม่ทราบ พวกเขาถูกกลบไปแล้วตอนนี้ พวกเขาถูกตามล่าไปทั่วประเทศไทย พวกเขากำลังลำบาก พวกเขาถูกล่า นี่คือวิธีการที่รัฐบาลเรียกว่าปรองดอง โอเค ขอบคุณมาก ขอบคุณ

โทนี่ : ทักษิณ ชินวัตร ผมคิดว่าการคุยกันของเราจะจบลงตรงนี้ เอ่อยังไงก็ดูเหมือนคุณไปก่อนแล้ว ขอบคุณมากที่ร่วมรายการ

ที่มา
Thaksin Shinawatra speaks to Lateline, ABC
........................................................

ธาตุแท้ ‘เติ้ง’ ยุเลื่อนเลือกตั้งยาว!


แน่นอนว่าหากเป็นคนปกติ เป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือมีวัตถุประสงค์ใดๆ แอบแฝงแล้ว กรณีที่เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมจนมีทั้งผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก...คนที่ได้รับรู้ก็ย่อมจะต้องเศร้าใจ สลดใจเป็นธรรมดา ยิ่งถ้าเป็นคนประเภทใจอ่อน บ่อน้ำตาตื้น ยิ่งหนีไม่พ้นที่จะต้องมีน้ำตาคลอตา หรือมีคราบหยาดน้ำตาให้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ในการประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญเป็นพิเศษนัดแรก นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นประธานการประชุม ได้ขอให้

ส.ว.ทุกคนยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที แก่ผู้เสียชีวิต 53 ราย และบาดเจ็บจำนวน 415 ราย จากมาตรการกระชับพื้นที่ และกระชับพื้นที่เพิ่มเติมของรัฐบาลที่แยกราชประสงค์ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค. 2553 และไม่แปลกที่ นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา 1 ใน กลุ่ม 64 ส.ว. ที่ได้เสนอให้วุฒิสภาพิจารณาวาระตั้ง

คณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาและสอบสวนเหตุการณ์ที่รัฐบาลขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนิน อันเป็นเหตุให้มีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่และประชาชนเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ก่อนเป็นวาระแรก โดยระบุว่ากรณีดังกล่าวทำให้มีเหตุต่อเนื่องมาจนถึงการปราบปรามที่แยกราชประสงค์วันที่ 14–19 พ.

ค. นำมาซึ่งเหตุการณ์จลาจล เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกฝ่าย รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศ ดังนั้นเพื่อให้สาธารณะได้ทราบพัฒนาการของเหตุการณ์อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะกรณีวันที่ 19 พ.ค. ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะวันที่ 18 พ.ค. ประธานวุฒิสภาได้มอบให้ตัวแทน ส.ว. ไปเจรจาเพื่อไม่ให้

เกิดการเสียเลือดเนื้อ แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นรัฐบาลกลับสั่งทหารใช้กำลังขอพื้นที่คืนนำมาซึ่งความเสียหาย จึงควรมีคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษา ซึ่งสุดท้ายแม้ว่าจะมีคนในกลุ่ม 40 ส.ว.สรรหา อย่างเช่น นายสุพจน์ โพธิ์ทองคำ นายสมชาย แสวงการ นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา จะคัดค้านการขอเลื่อนขึ้นมาเป็นวาระ

แรก แต่ขนาดนั้น กลุ่ม 40 สว.สรรหา และ ส.ว.อื่นๆ อีกส่วนหนึ่งก็ได้เข้าชื่อยื่นต่อนายประสพสุข เพื่อขอเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วในวุฒิสภา ให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ทางการ

เมืองตอนนี้แม้การชุมนุมจะยุติไปแล้ว แต่ปัญหาความขัดแย้งยังมีคงหยั่งรากลึกอยู่มีการกระทำความผิดกฎหมายทั่วประเทศ กลุ่ม 40 ส.ว. ระบุว่า แม้รัฐบาลจะมีการประกาศแผนปรองดองออกมา แต่สถานการณ์ ณ วันที่ประกาศแผนออกมากับสถานการณ์ในวันนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วุฒิสภาจึงเล็งเห็น

ความสำคัญที่จะให้คณะรัฐมนตรีเข้ามาชี้แจงถึงสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น โดยจะเป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลในการชี้แจงต่อวุฒิสภา ที่ผ่านมาแม้วุฒิสภาจะเคยขอเปิดอภิปรายไปแล้ว แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุรุนแรงเช่นนี้ วันนี้จึงต้องระดมความเห็นหาทางออกไม่ใช่วิกฤติถูกกวาดเก็บไว้ใต้พรม รอวันปะทุขึ้นมาอีก

เช่นเดียวกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และเพื่อน ส.ว. จำนวน54 คน ก็ได้ร่วมกันเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 161 ยื่นญัตติของเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติ เพื่อให้รัฐบาลมาชี้แจงต่อวุฒิสภาในการประชุมสภาสมัยวิสามัญนี้โดยเร็ว ในประเด็นเหล่านี้

1. รัฐบาลได้อำนาจมาโดยไม่ชอบอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
2. การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ รัฐบาลใช้วิธีการใดทำให้มีคนถูกยิงตายหลายสิบคนและบาดเจ็บจำนวนมาก
3. ความสูญเสียในทรัพย์สินเอกชนซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากการเข้า สลายการชุมนุม รัฐบาลจะชดใช้อย่างไร
4. คนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ รัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างไร
5. ทำไมรัฐบาลจึงหลีกเลี่ยงแนวทางที่ส.ว.กว่า 60 คนเสนอด้วยการให้มีการเจรจาแทนการเข้าสลายการชุมนุม รัฐบาลเล็งเห็นผลหรือไม่ว่า จะมีการบาดเจ็บล้มตายและสุ่มเสี่ยงต่อการลอบวางเพลิง
6. รัฐบาลใช้แผนการใดในการเข้าสลายการชุมนุม มีการใช้กองกำลังทหารและเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยใด ใช้งบประมาณเท่าไร
7. รัฐบาลจะแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไร และในทางกฎหมายจะตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางใดบ้าง
8. การชุมนุมเกิดความสูญเสียต่อสื่อ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการใช้อำนาจรัฐปิดกั้นสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล และใช้สื่อที่เข้าข้างรัฐบาลออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือน รัฐบาลแก้ปัญหาการปิดกั้นสื่ออย่างไร
9. พรรคร่วมรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ และจะร่วมรับผิดชอบต่อความรู้สึกและความสูญเสียจำนวนมากของประชาชนอย่างไร
10. ปัญหาและข้อเท็จจริงอื่น

กรณีเหล่านี้คือความรู้สึกของประธานวุฒิสภา และ กลุ่มส.ว. ที่เห็นว่าเรื่องนี้คือการสูญเสียที่สมควรจะต้องมีการตรวจสอบ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ในขณะที่ วุฒิสภา ซึ่งไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ ยังรู้สึกสลดใจเศร้าใจ แต่กลายเป็นว่านักการเมืองมืออาชีพ ทั้งๆ ที่ได้ขึ้นมาเพราะประชาชน คนช่วยกันเลือกนั้น บางคนกลับไม่

ได้มีการแสดงออกซึ่งความเสียใจ เศร้าใจกับผู้สูญเสียเลย ที่ผิดคาด และเป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งคือ กรณีของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังเกาะหนึบในการเป็นรัฐบาลอย่างไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร กับการมีมติให้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการขอคืนพื้นที่และสลายการชุมนุม ทั้งๆ ที่มติในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรพรรค

ร่วมรัฐบาลทุกพรรค ก็ย่อมจะต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด... ซึ่งแน่นอนว่าระดับนักการเมืองมืออาชีพ แถมเขี้ยวโง้งระดับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล หรือผู้อาวุโสของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ย่อมจะต้องรู้ดีโดยปฏิเสธไม่ได้ แต่ใครจะคิดว่า มาจนถึง พ.ศ. 2553 อย่างนี้แล้ว นายบรรหาร ศิลปอาชา ตัวจริงเสียงจริงเจ้า

ของพรรคชาติไทยพัฒนา จะฉวยโอกาสเล่นบทปลาไหลใส่สเก๊ตอีกครั้งหนึ่ง ให้อ้าปากค้างตกตะลึงพรึดเพริดไปตามๆ กัน อานุภาพในการอยากเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?? ถึงได้ทำให้นายบรรหาร กลายเป็นนักการเมืองเลือกตั้งที่ไม่อยากให้มีการ

เลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็ว จนถึงขนาดออกโรง วอนให้นายอภิสิทธิ์เลื่อนวันเลือกตั้งออกไปจากวันที่ 14 พฤศจิกายน... ชนิดยิ่งยืดออกไปได้นานมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น นายบรรหารผู้ไม่เคยพูดถึงการแสดงความรับผิดชอบของรัฐบาลและพรรคร่วม เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมแล้วเกิดคนตาย บาดเจ็บ และบานปลาย

ไปจนถึงการเผาประท้วงกันวุ่นวายหลายจุด ทั้งๆที่เสียงสะท้อนระงมไปหมดในเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่า นักการเมืองอาวุโสอย่างนายบรรหาร ซึ่งได้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในชีวิตบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะผลการเลือกตั้งจากประชาชนมาแล้ว กลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สมที่มีคนสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ จากการตัดสินใจ

ของรัฐบาล ทำให้มีการวิเคราะห์กันวุ่นไปหมดว่า ยอมเปลืองตัวถูกคนด่ากันอื้ออึงเช่นนี้ มังกรเติ้งดีดลูกคิดในรางแก้ว หวังผลอะไรอยู่ลึกๆ กันแน่ การที่นายบรรหาร หลงจู๊ใหญ่ตัวจริงเสียงจริงของพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องรีบออกมาปูทางให้รัฐบาลลากเกมยาวต่อไป ชนิดไม่เห็นด้วยกับวันที่ 14 พฤศจิกายน ปลายปี

นี้ ทั้งๆที่ทุกพรรคก็ถูกยุบสภาพร้อมกัน และต้องเลือกตั้งพร้อมกัน จึงไม่ควรจะมีใครได้เปรียบเสียเปรียบในการหาเสียงไปมากกว่ากันทั้งนั้น ฉะนั้นเป้าจึงเพ่งเล็งใส่นายบรรหารเต็มๆ ว่า เป้าใหญ่ไม่น่าจะเพราะกลัวการเลือกตั้ง แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง งบประมาณประจำปี 2554 เสียมากกว่า เพราะมีทั้งงบปกติ งบลงทุน

ที่เพิ่มขึ้นจากแผนไทยเข้มแข็ง งบชดเชยความเสียหายต่างๆนาๆ จากเหตุวิปโยค คนเสื้อแดงและประชาชน ผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการชุมนุมของม็อบ นปช. แม้ลึกๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่านายบรรหาร นักเลือกตั้งมืออาชีพจะคิดอย่างนั้นจริงๆ จะสนใจแต่เรื่องผลประโยชน์จนลืมประชาธิปไตยจริงๆ???

เกมนี้ต้องบอกว่า ถ้าเป็นเรื่องจริง นายบรรหารก็เสี่ยงอย่างมากกับอนาคตการเมือง แต่ถ้าไม่ใช่ เพียงแค่ต้องการให้นายอภิสิทธิ์งับเหยื่อแล้วตกเป็นจำเลยประชาชน เพราะไปเลื่อนการเลือกตั้งจากวันที่ 14 พฤศจิกายนออกไป... เพราะนายอภิสิทธิ์จะได้มีแต่เสียกับเสีย ถึงขั้นประ

ชาธิปัตย์ อาจจะต้องชวดการเป็นรัฐบาลไปเลยก็ได้... ทั้งๆที่หากเลือกตั้งเร็วที่สุดในช่วงพลังหนุนหนักแน่นเช่นนี้ ควรจะกวาดเก้าอี้ได้มหาศาลด้วยซ้ำ งานนี้ แสบไม่แสบ ลึกไม่ลึก ต้องคอยดูผลลัพธ์จากนายบรรหารนั่นแหละเป็นคำตอบ ปลาไหลใส่สเก็ตจริงๆ เติ้ง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

ประชาชนคือประชาธิปไตย

มีหลายคำถาม..ที่เมื่อถามไปแล้วไม่มีใครอยากตอบ...หรือเมื่อตอบไปแล้ว..มันก็ยังเป็นคำถาม..อย่างภริยาถามสามีว่า...คุณรักฉันไหม...มันเป็นคำถาม..ที่รู้คำตอบล่วงหน้า..และถึงจะรู้คำตอบล่วงหน้าไปแล้ว ก็ยังอยากจะถามอีก เหมือนคำถามที่ว่า..ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบอะไร...คำตอบก็คือ...ประชาธิปไตย..แต่คนที่ตอบไป...แน่ใจในคำตอบนั้นหรือ...การเลือกตั้ง..เป็นชีวิตและลมหายใจของ

ประชาธิปไตย..แต่สิ่งที่ได้มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย… แขวนป้าย ชวน หลีกภัย...คือชัยชนะของการเลือกตั้งส่วนใหญ่ในภาคใต้...เขาเลือกใครก็ได้เพราะเขาเลือก ชวน หลีกภัย ชวน หลีกภัย เป็นตำนานมานานแสนนาน..มันเป็นประชาธิปไตยแบบมีอัตตา..หรืออัตตาธิปไตย.. ทักษิณ ชินวัตร

เกิดขึ้นมา...ไม่แตกต่างจาก ชวน หลีกภัย ในภาคใต้..เพียงแต่ว่าภาคอีสานมันโตกว่า มันมโหฬารกว่า… ใครก็ได้ถ้าแขวนป้ายทักษิณ… ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง..มี ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น..ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดบนการเลือกตั้ง...เราดูแคลนว่า..ประชาชนคนไทย ยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง...

แต่มีแค่ 2 คนเท่านั้น..ที่ประชาชนเลือกก่อนวันสมัคร..และรักที่จะเลือกใครก็ได้..ที่ ชวน หลีกภัย และ ทักษิณ ชินวัตร ส่งมา… ประชาชนเดินหน้าไปไกลกว่าองคาพยพทั้งหลาย..ไปไกลและเป็นประชาธิปไตยกว่า..ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย… ถ้าจะให้ประชาธิปไตยเติบใหญ่..ถ้าจะให้วงจรอุบาทว์พ้นไปจาก

ประเทศนี้....จงมอบประเทศนี้ให้กับประชาชน..บนการเลือกตั้งตำแหน่งเดียวคือ....นายกรัฐมนตรี..จากบัญชีปาร์ตี้ลิสต์… ให้นายกรัฐมนตรีมาจากประชาชน..ไม่ใช่จากการเมืองฉ้อฉลในรัฐสภา ให้นายกรัฐมนตรีมาจากประชาชน...เขาถึงจะไม่ถูกโค่นล้มจากวงจรอุบาทว์..เขาจึงจะสร้างคณะรัฐมนตรีที่ดีที่สุดขึ้นมาได้

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

เมื่อในประเทศเซ็นเซอร์ก็ต้องดูของต่างประเทศ

ภาพนาทีเกิดเหตุ ใครยิงคนในวัดปทุม

โรดแมป (โรดมึง!...ไม่ใช่โรดกู!!)

ที่มา.วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเขียนบทความชื่อ “ลมแห่งกรรม...กำลังพัดย้อน!!!” ตอนท้ายของบทความชื่อว่า
“...ที่สำคัญคือ หากนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม ยังคงดื้อดึงดันยึดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป...
ชีวิตของผู้คนอีกกี่สิบ กี่ร้อย ที่ต้องทับถมกัน ลงไปอีก!!?...”
ปรากฏว่า บัดนี้ นายมาร์ค มุกควาย คงจะเห็นแล้วว่า หากยังขืนดึงดันต่อไป คงจะเป็นการซ้ำเติมชาติบ้านเมือง ให้บอบช้ำหนักเข้าไปอีก เขาจึงได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยไม่ต้องฟังเสียงพวกกระทกรกในพรรคเดียวกัน โดยยื่นขอปรองดองกับ น.ป.ช. และแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า
จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ วันที่ 14 พ.ย.2553
ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ ที่ติดตามเหตุการณ์ ต่างรู้สึกโล่งใจไปตามๆกัน

สำหรับผู้เขียนแล้ว มีความมั่นใจมาตั้งแต่เหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 แล้วว่า
นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ เพราะรัฐบาลของเขา จะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแรงจากกองทัพอีกต่อไป ไม่เหมือนตอนที่จัดตั้งรัฐบาล ที่ต้องอุ้มกันไปจัดในค่ายของพวกทหาร
การปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม ที่สี่แยกคอกวัว และถนนราชดำเนิน ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายทหาร ทำให้ พล.อ.อนุพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบกถอดใจ จนหลุดคำพูดออกมา อย่างชัดเจนว่า
“การเมือง ต้องแก้ไข...ด้วยการเมือง!”

ความเห็นส่วนตัวของผม กลับเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว นายพลหัวถลอก ‘อนุพงศ์’ นั้น ตื่นตระหนกอย่างแรง ที่กองทัพบกซึ่งมีตัวเขาเป็นผู้นำ ประสพความเสียหายอย่างหนัก ในการปราบปรามประชาชน
ความย่อยยับจากการพ่ายแพ้ของกองพลสำคัญ พร้อมการสูญเสียนายทหารตัวเด่น ที่มีผลงานในการปราบปรามประชาชนปีกลาย (แทนการปราบปรามอริราชศัตรู) ต้องบาดเจ็บสาหัส พรรคพวกต้องลากถูลู่ถูกังไปตามถนน และตายในเวลาต่อมา ส่วนตัวผู้บัญชาการกองพล ถึงกาลทุพพลภาพ อย่างน่าสังเวช
ปัจจัยเหล่านี้ มีผลกระทบอย่างแรง ต่อกองทัพ!
ที่ดูน่าทุเรศทุรังกาเป็นอย่างมาก คือ กองร้อยยานเกราะที่ยาตราสู่ถนน ด้วยความระเริงใจ เพราะมุ่งมั่นว่าจะไปกวาดล้างชาวบ้านที่มาชุมนุม ได้โดยง่ายดาย กลับถูกฟาดพ่ายยับ ยานเกราะถูกยึดไปเกือบทั้งหมด ที่ตาลีตาเหลือกหนีตายได้ มีเพียง 3 คัน นี่ยังไม่นับรวมอาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ เป็นจำนวนมากมาย ที่ถูกยึดมากองประจานให้โลกได้เห็น
ขวัญทหาร...กระเจิดกระเจิง!
ชื่อเสียงของกองทัพไทย มีอันเสียหายไปทั่วโลก แต่ที่สำคัญนักหนาก็คือ
ทหารเกิดอาการ “เข็ดเขี้ยว” ในการจะต่อกรกับชาวบ้าน การแสดงออกระยะหลัง โดยเฉพาะพวกถือปืนลาดตระเวนในกรุงเทพดูเหมือนเป็นพวกประสาทเสีย ผู้คนเขาวิพากษ์วิจารณ์กันว่า
‘ขี้’...คงขึ้นไปอยู่หัวขมอง...เหมือนกุ้ง!!

การไล่ล่าสังหารประชาชน ถูกยับยั้งโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่สำนักข่าวหลายชาติ รายงานตรงกันว่า เป็นทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามประชาชน ที่แค่มาชุมนุมกันทางการเมืองเท่านั้น แต่กลับโดนปราบปรามด้วยความหฤโหดสุดๆ

นี่เองเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้นานาชาติได้ทำการกดดันรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะการใช้ทั้งอาวุธสงคราม และยานเกราะบรรทุกอาวุธเต็มอัตราศึก เข้าปราบปรามประชาชน รวมทั้งการใช้พลซุ่มยิง ลอบสังหารผู้คนบนท้องถนน เป็นอาชญากรรมร้ายแรง ที่น่าขยะแขยงอย่างยิ่ง ทำให้พลโลกถึงกับตกตะลึง กับความโหดเหี้ยมของรัฐบาลไทย และทหารที่ร่วมมือกัน ก่อกรรมทำเข็ญ ให้กับประชาชนคนในชาติเดียวกันแท้ๆ

การที่ทหารใช้ความรุนแรงกับประชาชนอย่างนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นได้ชัดว่า
ฝ่ายทหารขาดความรู้ในการจัดการกับฝูงชน แทนที่จะใช้ตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนมา เข้าดำเนินการ เยี่ยงนานาอารยะประเทศ รัฐบาลกลับเลือกการใช้ทหารแทน จึงเป็นการผลักทหารไปยืนคนละฝั่งกับพลเมืองของประเทศ
อย่างโง่เขลาสุดๆ!
การที่ทหารถลำลึกเข้าไปยุ่งกับการเมือง สาเหตุสำคัญเกิดจากการทำ ‘รัฐประหาร’ ยึดอำนาจ เมื่อ 19 ก.ย.2549 นั่นเอง
เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคพวกทักษิณ กลับเข้ามามีอำนาจ เพราะทหารกลัวจะโดนการรุกกลับ จากผู้ที่พวกตนเคยโค่นล้ม พวกผู้บังคับบัญชากองทัพ จึงจำต้องโอบอุ้มพรรคการเมือง ที่พวกตนพอไว้วางใจได้ โดยสนับสนุนและช่วยเหลือแบบ ‘ทั้งลากทั้งจูง’ อย่างสุดกำลังแล้ว แต่พรรคที่ว่า ดันไปพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเสียอีก
ดังนั้น กองทัพจึงจำต้องอุ้มพรรคดังกล่าว ให้เข้ามาเป็นรัฐบาล ด้วยวิธีการซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่าไม่ถูกต้อง
ผู้คนเขา...รับไม่ได้!
เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาแล้ว จึงปรากฏโครงการต่างๆ รวมตลอดถึงการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสื่อสารมวลชนว่า
ทั้งทหารและรัฐบาลโลซก มีผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบร่วมกัน!
ตรงนี้นี่เอง ที่ผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง ที่เขาเห็นว่าการดำเนินการของทหารและพรรคการเมือง ไม่ชอบธรรม พวกเขาจึงออกมาชุมนุมกันอย่างมากมาย อย่างที่เราเห็นกัน ทั้งยังเป็นการชุมนุมต่อเนื่อง ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชาติของเรา
กองทัพตัดสินใจผิดพลาดอย่างยิ่ง ที่ไปร่วมมือกับรัฐบาลอย่างแข็งขัน เข้าปราบปรามการชุมนุมด้วยกำลัง โดยหวังจะพิชิตชัยชนะ ในระยะเวลาอันสั้น แต่กลับถูกชาวบ้านตีแตกพ่าย เมื่อ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ด้วยสภาพที่บอบช้ำสุดๆ
ผบ.ทบ.จึงออกมาครวญคราง ด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “การเมือง แก้ไขด้วยการเมือง” ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น นั่นเอง

นานาชาติที่เฝ้าสังเกตการณ์ ได้ประณามรัฐบาลไทยอย่างรุนแรง ในการคุกคามต่อเสรีภาพของพลเมือง ฆ่าฟันประชาชนอย่างไร้ความเมตตา
สำนักข่าว VOA (เสียงอเมริกา) สื่อคู่บ้านคู่เมืองของรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งมีบทบาทเป็นกระบอกเสียงสำคัญ ของสหรัฐและโลกเสรี ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เสนอข่าวเมื่อวันจันทร์ ที่ 2 พ.ค.2553 อย่างที่ไม่เกรงใจรัฐบาลไทย
‘เสียงอเมริกา’ ว่าเอาไว้อย่างนี้ครับ
...International Crisis Group ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงผลกำไร ในกรุงบรัสเซลล์ของประเทศเบลเยี่ยม ระบุว่า
ระบบการเมืองของไทยได้ล่มสลายลง และไม่สามารถแก้ปัญหาความชัดแย้งได้ และการประจันหน้ากันครั้งนี้ อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ไม่มีการประกาศได้ จึงเสนอให้มีคณะคนกลางจากภายนอก ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและรวมถึงผู้ที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไทยเข้าช่วยในการเจรจา
โดยกลุ่ม International Crisis Group นี้ ยังชี้ด้วยว่า สถาบันที่คนไทยให้ความเคารพ คงไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยคลี่คลายข้อขัดแย้งครั้งนี้ได้ เพราะเป็นความขัดแย้งซึ่งสลับซับซ้อนกว่าที่ผ่านมา...
สื่อสำคัญของโลก อย่างสำนักข่าว VOA หรือเสียงอเมริกา เขานำเสนอ
ตรงไปตรงมา อย่างนี้!

ดังนั้น การที่นายมาร์ค มุกควาย ได้ออกมายื่นข้อเสนอปรองดองนั้น แท้ที่จริงแล้ว เพราะเขารู้ตัวเองดีว่า กำลังย่ำแย่ เพราะพ่ายแพ้ในทุกแนวรบ โดยเฉพาะในสังคมระหว่างประเทศ
สำนักข่าวที่รู้ไส้ในรัฐบาลไทยเป็นอย่างดี คือ CNN ถึงกับถึงเอ่ยเสียงดังฟังชัด ในภาคข่าว 18 นาฬิกา วันพุธที่ 5 พ.ค.2553 ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆนี้ว่า
The Red Shirts have brought Thai government to its knees.
ไม่อยากแปล เพราะสำนวนผมมันออกแนวสวิงสวาย จะไปกระเทือนใจกองเชียร์พรรคดักดาน จนลมจับกัน!
แปลเอาเอง ก็แล้วกันนะครับ
นอกจากนั้น สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ยังออกแถลงการณ์ เรียกร้องรัฐบาลไทย ให้เร่งเจรจาหาข้อตกลงขั้นสุดท้าย เพราะเขาย้ำมาตลอดว่า ความแตกต่างทางการเมือง ควรได้รับแก้ไขด้วยการเจรจาอย่างสันติ มิใช่การใช้ความรุนแรงบนท้องถนน...
ความจริง...มันเป็นอย่างนี้ต่างหาก!!

ดังนั้น การที่ ศอฉ. (ศูนย์อีเฉาะ) ยังเสือกทำปากดีว่า หากฝ่ายเสื้อแดงไม่รับข้อเสนอ ก็คงจะมีการใช้กำลัง แถมยังมี ส.ว.สาย E-PED อภิปรายยุยงในสภา ให้ล้อมปราบประชาชนเข้าไปอีก
ผมฟังแล้ว...คลื่นไส้มาก!
คนพวกนี้ไม่เคยตีกับฝูงชนจำนวนมากๆ และไม่เคยออกรบเลย จึงได้แต่พูด เพราะนึกว่าการกระทำดังกล่าวนั้น ง่ายดายเสียเต็มประดา เหมือนพวกมันถูก E-PED ลากตั้งเข้ามาเป็น ส.ว. เลยลืมนึกถึงความพ่ายแพ้ของทหาร เมื่อ 10 เม.ย.2553 ไปเสียสนิท
เขียนถึงตรงนี้ อยากเล่าให้ฟังเพิ่มเติมสักนิด ว่า

เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอินทรีย์เหล็กของเยอรมัน ที่ทรงพลัง มีแสนยานุภาพและกำลังรบมหาศาล ได้กวาดต้อนชาวยิวเข้าไปอยู่ที่เก็ตโต (Ghetto) ที่มีสภาพคล้ายค่ายกักกันทั่วยุโรป และกระทำต่อยิว...
เหมือนสัตว์...ไม่ใช่มนุษย์!
เมื่อชาวยิวที่อยู่ในเก็ตโต ในกรุงวอร์ซอว์ (Warsaw Ghetto) ของประเทศโปแลนด์ ได้แข็งข้อต่อเยอรมัน กองทัพอาณาจักรไรซ์ (Reich) ที่สาม ไม่รั้งรอ ส่งทั้งกองพลรถถัง ปืนใหญ่ และทหารราบ เข้าปฏิบัติการล้อมปราบทันที
ฝ่ายเยอรมันใช้รถถังบุกเข้ากวาดล้าง โดยมีปืนใหญ่จำนวนมากยิงสนับสนุน ประเคนใส่เก็ตโตของพวกยิว ซึ่งเป็นเพียงแค่ชุมชนเล็กๆ และชัยภูมิก็ไม่เหมาะในการสู้ศึก (ซึ่งผิดจากสี่แยกราชประสงค์ลิบลับ)
คนยิวสู้รบแบบสุดใจขาดดิ้น (เหมือนคนไทยรบกับทหาร
ที่ย่านราชดำเนิน) ด้วยการสู้รบในแนวป้องกันหรือบังเกอร์ และไล่ยิงกันแบบ...
ตึกต่อตึก!
การรบแบบนี้ ทำให้กองทัพนาซี ต้องประสพกับความสูญเสียหนัก และต้องใช้เวลานานนับเดือน กว่าจะกำราบปราบปรามชาวยิวลงได้

ย่านราชประสงค์นั้น เป็นชัยภูมิที่มั่นทางการทหารชั้นดี ในการตั้งรับศึกแบบ ‘รบในเมือง’ แถมยังมีมูลค่ามหาศาล สุ่มเสี่ยงต่อการเสียหาย และถูกทำลาย ทำให้ยากต่อการตัดสินใจเข้าปฏิบัติการกวาดล้างทำลาย แต่กระนั้นโฆษกสากกระเบือของ ศอฉ. ก็ออกมาพูดจาในทำนองข่มขู่ว่า
จะใช้รถหุ้มเกราะ...เข้าล้อมปราบ!
(และคงตามด้วยทหาร เข้ากวาดล้างพลเมือง ที่ชุมนุมกันอยู่ตรงบริเวณนั้น)
ก็อยากรู้เหมือนกันว่า
ยานเกราะที่เข้ามาปราบ จะฉิบหาย หรือถูกยึดอีกกี่คัน!?

ผมวาดภาพการรบคร่าวๆได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเริ่มเข้าปะทะ ตำรวจซึ่งไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามประชาชน อาจ
ร่นถอย และเปิดทางให้ทหารเข้าดำเนินการเสียเอง จะเกิดการประจันหน้าระหว่าง
ทหารกับประชาชนโดยตรง!
การรบระหว่างพลเมืองไทยและทหาร จะต้องดำเนินไปในท้องถนน อาคารสูง ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรูๆ ซอกตึก ฯลฯและอาจมีกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ทนเห็นการเข่นฆ่าประชาชนไม่ได้ ออกมาร่วมสมทบ เหมือนเหตุการณ์ที่ราชดำเนิน
การต่อสู้จะขยายวงกว้างขวางออกไป แต่ทหารคงไม่สามารถใช้อาวุธหนักอย่างปืนใหญ่ ยิงถล่มย่านการค้าสำคัญนี้ เพื่อพิชิตศึกเด็ดขาด เหมือนพวกนาซีทำกับชาวยิว เพราะนานาชาติจับจ้องอยู่ โดยเฉพาะสถานทูตอเมริกัน และอังกฤษ ที่อยู่ใกล้สมรภูมิสู้รบ
ดังนั้น หากจะปราบปรามให้ได้ผล ตามแบบการรบในเมือง ก็จะต้องเข้ารบประชิด และหลายๆจุด อาจถึงขั้น
ตะลุมบอน!
ประชาชนที่แยกไม่ออกว่าเป็นสีแดง หรือสีใดๆก็ตาม ที่ตามมาชมการต่อสู้หลังแนวรบ ตั้งแต่ทหารเริ่มทยอยเข้าที่รวมพลก่อนการเข้าตี ชาวบ้านอาจมีอารมณ์ร่วมวงในการต่อสู้ ส่วนจะตีตลบหลังกองทหารหรือไม่นั้น
ยังไม่มีใคร...ทำนายได้
การต่อสู้จะกินเวลายืดเยื้อนานเท่าใด และฝ่ายทหารจะเป็นฝ่ายกำชัยเอาไว้ได้ หรือจะปราชัยซ้ำซ้อน นั้น
ก็ไม่มีใคร...ตอบได้เช่นกัน
ในโรงเรียนเสนาธิการนั้น เขาสั่งสอนกันนักหนา ซึ่งผู้เขียนยังจำติดหูว่า
ก่อนการรบ ใครจะเป็นฝ่ายชนะนั้น พูดไม่ได้เพราะ...
“ยังไม่ได้รบกัน!”
จึงอยากจะเตือนใจทุกคน ว่า
เมื่อยังไม่ได้รบกัน ก็ทำนายผลแพ้ชนะยาก ทายไปแล้วก็อาจผิดได้ง่าย แต่ถ้ารบกันแล้ว คำที่ทำนายล่วงหน้าไว้ อาจพลิกผันได้ง่ายๆ ตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ คือ
การรบกันที่ราชดำเนินเมื่อ 10 เม.ย.2553 นั้น หากพิจารณาถึงกำลังรบเปรียบเทียบแล้ว ใครๆก็ต่างทำนายว่า ฝ่ายทหารกินขาดทั้งนั้น เพราะผู้ชุมนุมมีเพียงมือเปล่า สู้กันไม่ได้เลย
แต่...พอเอาเข้าจริงๆ ความหาญกล้า ไม่กลัวตายของพี่น้องชาวไทยผู้ชุมนุมต่างหาก ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่ง แค่เสริมด้วยกำลังไม่ทราบฝ่าย เพียง 3-4 คนเท่านั้น ก็สามารถทำลายทหารจำนวนมาก ลงได้อย่างราบคาบ
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทหารส่วนใหญ่นั้น ขาดการฝึกอบรม และรบในเมืองไม่เป็น แถมยังเห็นได้ชัดๆว่าตื่นกลัว จนตกเป็นฝ่ายพ่ายย่อยยับ อับอายทั้งในสายตาคนไทยและชาวโลก
หรือใครจะเถียงว่า...ไม่จริง!?
นี่ผมยังไม่ได้พูดถึงผู้คนในต่างจังหวัด จะพากันลุกฮือกันขึ้นฉับพลันทันทีที่ทหารลงมือ โจมตีพี่น้องเพื่อนร่วมชาติของเขาที่สมรภูมิราชประสงค์ โดยพลเมืองเหล่านั้น อาจบุกเข้าโจมตีเป้าหมายต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นหน่วยราชการ...
จากนั้น ไฟสงครามจะแผ่ขยาย ลุกลามไปทั่วประเทศ!

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
เมื่อมีการเข้าปะทะกันอีก การสูญเสียทั้งชีวิตคนและสินทรัพย์มหาศาล ที่ย่านราชประสงค์ อาจมากมายจนสุดประมาณ
แต่ใช่ว่าฝ่ายพลเมืองจะสูญเสียเท่านั้น ฝ่ายทหารก็จะต้องตาย และฉิบหายอย่างย่อยยับด้วยเช่นกัน...
ไม่เชื่อคำพูดผม...ก็ลองบุกดู!
ถ้าการรบอุบัติขึ้น ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นประการใดก็ตาม ผมบอกได้เลยว่า ต่อจากนี้ไป ค่ายทหารทั่วประเทศ จะไม่มีความปลอดภัยหลงเหลืออีกแล้ว พวกทหารจะต้องหดหัวกันอยู่แต่ข้างในค่ายนั่นแหละ
สิ่งที่ฝ่ายทหารอาจยังไม่คำนึงถึง คือภาพพจน์ของประเทศไทยในสังคมโลก จะเป็นอย่างไร?
เคยคิดกันบ้างหรือเปล่า?
ฉะนั้น การที่นายอภิแสบฯตัดสินใจ ยอมอ่อนข้อปรองดองอย่างนี้ จึงเป็นการสำนึกบาป แม้จะไม่ทันเวลา เพราะได้ทำให้เกิดผู้คนล้มตายและความเสียหายมากมายไปแล้ว แต่ก็นับว่ายังดีกว่า
ไม่สำนึก...เอาเสียเลย!

อยากจะเคาะต่อมความรับผิดชอบชั่วดี ของผู้บริหารในคณะรัฐบาล และทหารทั้งหลาย แล้วบอกกับพวกเขาว่า
ตอนที่ชาวบ้านขับไล่กองทหาร ออกพ้นย่านราชดำเนิน หากพวกเขาเป็นผู้ก่อการร้ายจริงๆ อาคารทั้งสองฟากฝั่ง ริมถนนราชดำเนิน รวมทั้งโรงเรียนสตรีวิทย์ ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของฝ่ายทหาร คงวอดวาย
ราบพนาสูร...ไปเรียบร้อยแล้ว!
แต่นี่เป็นเพราะ ในกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่มีผู้ก่อการร้ายอย่างที่ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหา มิใช่หรือ? กลุ่มอาคารต่างๆของทางราชการและเอกชนบนถนนราชดำเนิน และย่านใกล้เคียง จึงอยู่รอดปลอดภัย ไม่ซ้ำรอยเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 ซึ่งอาคารกองสลาก และอาคารสำนักงาน กตภ. บนถนนสายประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ พ.อ.ณรงค์ กิติขจร ถูกเผาวอดวายเป็นจุนไป เพราะอารมณ์ของผู้คนที่กำลังคั่งแค้น
หลักฐานก็มีปรากฏชัดอยู่!
ดังนั้น ด้วยเหตุที่ไม่มีผู้ก่อการร้ายในที่ชุมนุม ตามที่รัฐบาลพยายามใส่ความกล่าวหา อาวุธทั้งหลายที่ถูกยึดมาโดยชาวบ้าน ที่ทหารทิ้งไว้ เพราะรีบเอาตัวรอด หนีตายไปก่อน จึงได้ถูกส่งคืน กลับให้ทางราชการ
อย่างที่เราเห็นกัน!

ขอเตือนรัฐบาลและทหาร จงจำกันให้มั่นว่า...
หากมีความพยายาม ในการเข้าปราบปรามประชาชนอีกครั้ง ความบรรลัยวายวอด จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เมืองไทยอันงดงามของเรา จะกลายเป็น “แผ่นดินทมิฬ” ไปในทันที เพราะไม่ใช่แต่สงครามกลางเมืองเท่านั้น หากเมื่อการรบอุบัติแล้ว ก็จะลุกลามไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
เกินกำลังเทวดาหน้าไหน จะมาระงับยับยั้งได้!
ผมสงสัยจริงๆว่า ทำไมรัฐบาลนายอภิแสบ จึงดักดาน ไม่เลือกวิธีการเจรจาเสีย ตั้งแต่ต้นมือ กลับดื้อดึงแข็งขึง จนปล่อยให้มีคนล้มตายเยอะแยะ บาดเจ็บก็มากมาย ทรัพย์สินเสียหายมหาศาล จึงจะยอมไต่เล่าเต๊ง ลงมาพูดจา แต่ยังดันออกอาการ‘ยักท่า’ เสียอีก
การเจรจานั้น สร้างความสงบให้บ้านเมืองได้ หากเราเจรจาตอนเช้าไม่สำเร็จ ก็ไปพูดใหม่ตอนกลางวัน ถ้ายังไม่ลุล่วง ก็ไปอีกครั้งในตอนเย็น หากไม่เป็นผล ก็ให้รอไปถึงวันรุ่งขึ้น วันมะรืน และวันต่อๆไป
มันก็ต้องเห็น ‘ทางออก’ กันจนได้!

ไอ้ที่แย่กว่านั้นคนในพรรคดักดาน ที่แก่และเก่ากว่าหัวหน้าพรรค ยังดันทะลึ่ง ออกอาการไม่เห็นด้วย กับท่าทีของหัวหน้าตน ที่เอาชนะประชาชนไม่ได้ จึงยอมเลือกทางปรองดอง โดยพวกดานดักเหล่านี้ ออกมาพูดในทำนองว่า
“โรดแมปนั้น เป็นโรดของมึงคนเดียวนะโว้ย...ไอ้มาร์ค ไม่ใช่โรดของตาชวน โรดไอ้เทือก หรือโรดของพวกกู!”

แม้พวกเราประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ จะไม่ได้สนับสนุนนายมาร์ค มุกควาย แต่ก็คราวนี้คงต้องกัดฟัน แล้วช่วยกันร้องตะโกนดังๆ ส่งเสียงไปถึงหัวหน้าพรรคเก่ากะลา ที่กำลังจะถูกยุบไปว่า
“อภิแสบฯ...เอ็งอย่าไปกลัวโว้ย...ไอ้พวกนี้มันกลัวโดนขุดเรื่องชั่ว เรื่องกิน เรื่องโกง ออกมาตีแผ่ บอกพวกมันไปเลยว่า...
...โรคแมปเป็นของกู พวกมึงมันเป็นแค่ ส.ส. ไม่มีโรดโว้ย
กูคนเดียวเท่านั้น ที่มีโรด ให้เดินไป ‘ยุบสภา’ ได้...
...เข้าใจๆไหม...ไอ้พวกโง่!!”
พูดมันไปแรงๆ อย่างนี้แหละ...ใครจะทำไม!?

ก่อนจะจบ มีคนเขาฝากบอกสมาชิกพรรคดักดาน เพื่อสื่อสารไปถึง ไอ้คนที่คิดจะปราบปรามชาวบ้าน ให้รู้กันชัดๆตรงนี้ว่า

“มึงจะบุกราชประสงค์ ไปฆ่าประชาชนนั้น มันไม่ง่ายเหมือนปิดประตู แล้วแอบตีตูด ‘เมีย’ เพื่อนร่วมพรรค...นะโว้ย!!!”

*************

สังหารหมู่ 6 ศพ

ไม่เพียงจำนวนคนตายถึงกว่า 80 ศพ จากเหตุปะทะระหว่างทหารกับม็อบ ซึ่งผู้นำรัฐบาลยังไม่แสดงท่าทีรับผิดชอบใดๆ ต่อการสูญเสียชีวิตประชาชนที่สูงสุดในประวัติศาสตร์การเมือง

อันจะเป็นปมปัญหาบานปลายต่อไปในอนาคตอันใกล้

เพราะคนตายมาก จนยากจะเอาใบบัวมาปิด

อีกทั้งปฏิบัติการทหาร มาจากคำสั่งของผู้นำรัฐบาล มีการใช้อาวุธร้ายแรงอย่างโจ่งแจ้ง

ในจำนวนนี้ จับภาพไปยังการสังหารหมู่ 6 ศพในค่ำวันที่ 19 พ.ค. ที่วัดปทุมวนาราม

เป็นเรื่องรุนแรง มากด้วยร่องรอย กระ ชากโฉมคนกระทำผิดได้ไม่ยาก!

ถือเป็นเหตุการณ์โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่คำนึงถึงบาปกรรม ลงมือได้แม้กับประชาชนที่ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในพื้นที่อภัยทาน

แม้ภายนอกวัดจะมืดมิด แต่ประกายไฟจากปากกระบอกปืนที่บริเวณรางรถไฟฟ้ามุมสูงหน้าวัด

ทั้งเข้ามายิงซ้ำจากพื้นราบ

ลงมือต่อหน้าคนจำนวนมาก พยานมากมายบอกได้เลยว่า กลุ่มที่ลงมือรัวปืนใส่นั้นแต่งกายในเครื่องแบบเช่นไร ใส่หมวกเหล็กอย่างไร

ขณะเดียวกันมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานสำคัญ ที่ปรากฏในข่าวสด!!

ภาพถ่ายกลุ่มทหารบริเวณรางรถไฟฟ้า มีวิววัดปทุมฯอยู่เบื้องล่าง โดยบันทึกตั้งแต่เวลา 18.30 น. ของวันที่ 19 พ.ค.

หลังจากนั้นอีกไม่กี่สิบนาทีก็เริ่มมีผู้ระดมยิงจากบริเวณรางรถไฟฟ้าเข้าใส่ประชาชนในวัด!

ยิงทั้งคืน

ภาพถ่ายต่อมา ในเช้าวันรุ่งขึ้นราว 08.00 น. คณะมหาดไทย สาธารณสุข ตำรวจ เคลื่อนเข้ามาในวัดเพื่อช่วยเหลือคนเจ็บคนตายและอพยพประชาชนที่เสียขวัญ

ยังเห็นกลุ่มทหาร บนรางรถไฟฟ้า!

ก่อนหน้านี้นายทหารใหญ่ในนามศอฉ. แถลงปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่า ในคืนวันที่ 19 พ.ค. มีกำลังทหารกองพลที่ 1 รักษาพื้นที่แถวนั้น แต่ห่างจากวัดหลายร้อยเมตร

แต่ภาพที่ปรากฏ เป็นกลุ่มทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดตั้งแต่ราว 18.30 น. จนถึงรุ่งเช้าก็ยังเห็น

ต่อมารองนายกฯ บอกว่า กลุ่มคนบนนั้นเป็นพวกโจรไม่ใช่ทหาร

แต่ก็ตอบคำถามนักข่าวไม่ได้ว่า ในเมื่อบริเวณรางรถไฟฟ้าทหารคุมไว้หมด พวกโจรจะขึ้นไปได้อย่างไร!?

ล่าสุดคนของประชาธิปัตย์เริ่มอธิบายอีกแบบว่า จากรูปภาพเห็นทหารตอนเย็นกับตอนเช้า

แต่ยิงกันตอนค่ำ จึงไม่เกี่ยวกัน!?!

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
************************************************

ไม่สูญเปล่า

การสลายม็อบแดงที่ราชประสงค์ผ่านพ้นไปแล้ว รัฐบาลและศอฉ.ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ครั้งนี้โดยตรง ยังยืนยันว่าต้องบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุขตามเดิม

ก่อนประกาศเคอร์ฟิวนานร่วมสิบวัน!

การทำให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้

แต่คุ้มกันหรือที่ใช้กำลังเข้าไปสลายการชุมนุมจนเกิดการสูญเสีย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูญเสียชีวิต!

นับตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดได้แค่เพียงว่าเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น

และยังบอกว่ามีประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

ตรงนี้อันตรายมาก!?

เพราะนายกฯกำลังบอกว่า ประชาชนเห็นด้วยกับการปราบปรามรุนแรงจนเกิดการบาดเจ็บล้มตายมหาศาล (มีการสรุปยอดความสูญเสียตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค.มีผู้เสียชีวิตมากถึง 85 ศพ บาดเจ็บอีกนับพันคน)

บทเรียนมีอยู่แล้วในอดีต ทั้งจอมพลถนอม กิตติขจร และพล.อ.สุจินดา คราประยูร

น่าเสียดายที่นายกฯอภิสิทธิ์เลือกเดินตามรอยเลือดของผู้นำเหล่านี้

เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ควบคุมศอฉ.โดยตรง ก็เลือกใช้วิธีปิดหูปิดตาประชาชน

เหตุการณ์สลดและสะเทือนใจที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ศพหน้าวัดปทุมวนาราม พระอารามหลวงที่สำคัญ และเป็นเขตอภัยทาน

ถูกกลบเกลื่อนไปกับภาพการแถลงข่าวจับอาวุธสงครามจำนวนมาก

เมื่อมีภาพกลุ่มทหาร 4-5 นาย อยู่บนรางรถไฟไฟ้าบีทีเอสเล็งปืนไปที่วัดปทุมฯในช่วงที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

แต่นายสุเทพบอกปัดว่าเป็นพวกโจรผู้ร้าย เป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่ทหาร

พยานหลายคนทั้งอาสาสมัครกาชาดและพระภิกษุออกมายืนยันชัดเจนว่า ใครยิงใส่ประชาชน ยิงอาสากาชาดจนเสียชีวิตขณะเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ

นายสุเทพบอกว่าเป็นการโกหกพกลม เป็นเกมของพรรคเพื่อไทย

สื่อต่างประเทศที่มีการโหมข่าวการสังหารนปช.ในวัด

นักข่าวต่างประเทศหลายคนทั้งออสเตรเลียและแคนาดาประสบเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง ยืนยันว่าใครยิงใส่ฝูงชน

ศอฉ. โดยพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด กลับบอกว่าเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย

แต่จะตอบโต้หรือแก้ตัวอย่างไงก็ตาม ความจริงยอมหนีความจริงไม่พ้น

หลังจากนี้ไปต้องมีกระบวนการสอบสวนที่โปร่งใสและเป็นกลาง เข้ามาสอบสวนการสูญเสียชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะกรณี 6 ศพวัดปทุมฯ

ทั้ง 85 ศพต้องไม่เสียชีวิตไปเปล่า

ผู้สั่งการจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายต้องรับผิดชอบ

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
********************************************