--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจและการเมืองตกต่ำ ฉุดค่าเงินบาท

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2556 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 32.14/16 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวเทียบกับระดับปิดตลาดวันพุธที่ (27/11) ที่ 32.13/16 บาท/ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี หลังจากเปิดตลาดในช่วงเช้า ค่าเงินบาทก็ขยับอ่อนค่าลงต่อเนื่องไปแตะระดับ 32.20 บาท/ดอลลาร์ หรือ 0.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากวานนี้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.25% พร้อมระบุถึงเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนตุลาคมลดลง 4.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับที่ลดลง 2.90% ในเดือนกันยายน ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน อีกทั้งยังได้ปรับลดคาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในปี 2556 หดตัว 2.8% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.5-0.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการบริโภคในประเทศที่ยังขยายตัวในระดับต่ำและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเติบโตไม่สูงมาก นอกจากนี้ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญออกมาของทางสหรัฐ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสิ้นสุดวันที่ 23 พฤศจิกายน ลดลงเกินคาด 10,000 ราย สู่ 316,000 ราย และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 330,000 ราย ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปลายเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 75.1 จาก 73.2 ในเดือนตุลาคม โดยสูงกว่าที่คาดการณ์ที่ 73.5 และดัชนีผูเจัดการฝ่ายจัดซื้อเขตชิคาโกเดือนพฤศจิกายนลดลงสู่ระดับ 63.0 จาก 65.9 ในเดือนก่อน แต่ยังสูงกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 60.0 อย่างไรก็ดี วันนี้ตลาดเงินสหรัฐหยุดในวันทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ทั้งนี้ ค่าเงินบาทมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างวันอยู่ที่ 32.12-32.21 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 32.13/15 บาท/ดอลลาร์

สำหรับค่าเงินยูโรวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 1.3570/72 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 1.3604/06 ดอลลาร์/ยูโร เหตุการณ์สำคัญในช่วงปลายสัปดาห์นี้อยู่ที่ประเด็นการเมืองของประเทศใหญ่ ๆ ในยูโรโซน ฝั่งประเทศอิตาลี วุฒิสภาอิตาลีประกาศถอดถอนนายชิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อดีตนายกรัฐมนตรีออกจากการเป็นสมาชิกรัฐสภาเมื่อวานนี้ หลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาโกงภาษี ซึ่งการขับนายแบร์ลุสโคนีออกจากรัฐสภาจะส่งผลให้สถานการณ์การเมืองมีความตึงเครียดมากขึ้นและเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิรูปเศรษฐกิจอิตาลี อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกระยะสั้นของภูมิภาคยูโรโซนคือข้อตกลงทางการเมืองของประเทศเยอรมนี โดยพรรคอนุรักษ์นิยมของนางแองเจลา เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีได้บรรลุข้อตกลงกับพรรคโซเชียล เดโมแครตส์ ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยรัฐบาลใหม่นี้อาจสามารถจัดตั้งขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ตลอดทั้งวันค่าเงินยูโรมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1.3562-1.3617 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 1.3606/09 ดอลลาร์/ยูโร

สำหรับค่าเงินเยนวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 102.15/17 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดวานนี้ที่ระดับ 101.77/78 เยน/ดอลลาร์ อันเป็นผลจากการให้ความเห็นของนางซายูริ ชิราอิ กรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ที่กล่าวว่าบีโอเจควรพิจารณาการขยายมาตรการกระตุ้นทางการเงินออกไปอีก ถ้าหากเศรษฐกิจญี่ปุ่นและระดับราคาเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ต่างจากระดับคาดการณ์ ทั้งนี้ ในระหว่างวันค่าเงินเยนยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ อยู่ที่ระดับ 101.91-102.27 เยน/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 102.17/19 เยน/ดอลลาร์

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +4.8/5.0 สตางค์/ดอลลาร์ และอัตราป้องกันความเสี่ยง (swap point) ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ 12.0/15.0 สตางค์/ดอลลาร์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

ห่วงปปช.ไต่สวน 312 ส.ส.-ส.ว.สภาบริหารไม่ได้ !!?

นักวิชาการระบุป.ป.ช.ชี้มูลความผิด312ส.ส.-ส.ว.มีผลต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะไต่สวนเสร็จไม่ครบองค์ประชุมสภาบริหารไม่ได้ เป็นเกมที่ถูกวางไว้

นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความคิดเห็นในกรณีการยื่นถอดถอนส.ส.และส.ว.ภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่า กระบวนการยื่นถอดถอนในชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)จะมีการชี้มูลได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้มีการทำงานคู่ขนานกับคดีของศาลรัฐธรรมนูญในหลายคดี ที่ผ่านมาเมื่อคำร้องไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญแล้วป.ป.ช.ก็ได้ตั้งคณะทำงานคู่ขนานเพราะฉะนั้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวเสร็จ ทางป.ป.ช.ก็สามารถที่จะสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ หมายความว่ามีการตั้งเรื่องอยู่เเล้ว ทำให้เห็นว่าการทำงานของป.ป.ช.ในช่วงหลังๆจะมีการทำงานที่รวดเร็วมากขึ้น เพราะว่าเมื่อศาลตัดสินแล้วไม่ได้มีการชี้มูลดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดข้อกังขา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นเรื่องที่ป.ป.ช.ได้ปรับปรุง

แต่ในขณะเดียวกันต้องระมัดระวังประเด็นทางการเมืองต้องอธิบายให้ประชาชนได้เข้าใจด้วยว่าการชี้มูลโดยเร็วนั้นไม่ได้หมายความว่าต้องการกลั่นแกล้งทางการเมือง การชี้มูลจะต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงหลักฐานองค์ประกอบต่างๆ ส่วนคำวินิจฉัยของศาล ก็เป็นในแง่ของคำวินิจฉัย ซึ่งจะผิดหรือไม่ผิดมีมูลหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงต่างๆที่ทางป.ป.ช. จะไปรวบรวมมาเพราะฉะนั้น ตัวหลักฐานต่างๆจะเป็นตัวกำหนดเเละอธิบายให้กับประชาชนว่าอะไรคือข้อเท็จจริง สุดท้ายแล้วถ้าหากป.ช.ช.ชี้มูลและมีการนำเสนอข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้เป็นที่ปรากฏคลายข้อสงสัย ปัญหาก็อาจจะน้อยลงในทางการเมือง

อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วว่าเป็นการทำการขัดรัฐธรรมนูญ ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ที่จะไปรวบรวมหลักฐานมา และท่ามกลางสถานการณ์ความขัดเเย้งทางการเมืองที่กำลังร้อนระอุ การชี้มูลของป.ป.ช.จะต้องจะต้องระมัดระวัง ต้องครบถ้วนในหลักฐาน

หากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดของส.ส.และส.ว.จำนวน 312 คน ต่อไปก็เป็นเรื่องทางกฏหมาย ที่ผู้ที่ถูกคดีต้องไปต่อสู่กันในชั้นศาล ระหว่างการต่อสู้ในั้นศาลในกฏหมายก็ระบุชัดเจนว่าให้ยุติการปฏิลบัติหน้าที่เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคนอื่น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือส.ส.จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่และรัฐสภาจะต้อหาทางออกใหม่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้การทำงานของสภาต้องหยุดชะงัก ซึ่งเคยมีเกิดขึ้นแล้วในกรณีที่ป.ป.ช.ชี้มูลก็ต้องกลับไปดูแนวปฎิบัติเดิม เพียงแต่ว่าคราวนี้จำนวนอาจจะมาก แต่แนวทางปฏิบัติก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่

ทางออกมี3ทาง

1. รัฐบาลต้องเตรียมตัวในการเลือกตั้งใหม่ก่อนวาระอยู่แล้ว คือยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ สามารถยุบสภาได้เร็วเพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกตั้งผู้เเทน ที่ไม่มีปัญหาทางด้านคดีหรือกฏหมายเข้ามา

2.ดูเป็นรายบุคคลว่าจะมีการเลือกตั้งซ่อมได้หรือไม่ ยังต้องไปดูข้อกฏหมาย ก็ไม่ได้มีการยุบสภาแต่เป็นการหาคนมาทดแทน

3.ทำหน้าที่ต่อไปเนื่องจากจะเห็นได้ว่ามีการปฏิเสธอำนาจศาล หากดูจากแนวโน้มจะมีการปฏิเสธต่ออำนาจอื่นๆหรือไม่ แต่เเนวโน้มข้อนี้ไม่น่าจะทำได้ถ้าถึงทำได้ก็จะมีปัญหาทางการเมืองตามมาเยอะ แต่อาจจะมีการยืดเวลาออกไป ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ภายหลังจากการชี้มูลของป.ป.ช.คาดว่าสถานการณ์ทางการเมืองคงจะยังไม่ดีขึ้นมาก ถ้าหากว่าทางฝั่งพรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งสัญญาณให้ชัดเจนในการปฏิบัติตามกฏหมาย ซึ่งก็รู้สึกว่าเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับการทำตามกฏหมายซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องส่งสญญาณให้ชัดว่าจะต้องปฏิบัติตามกฏหมายไม่งั้นระบบก็จะมีปัญหามาก แต่ว่า ก็เป็นการจัดสินใจทางการเมืองด้วย

ในกรณีที่ว่ายังไม่ชี้มูลหรือว่าตัดสินใจลงเลือกตั้งใหม่ในกรณีที่มีการยุบสภาแล้วมีการชี้มูลทีหลัง แต่ว่าก็ยังเดินหน้าเลือกตั้งทั้งหมดเหล่านี้จะเป็นปัญหาให้กับระบบค่อนข้างมาก ถ้าจุดยืนของพรรคเพื่อไทย ชัดเจนว่าจะปฏิบัติตามกฏหมาย ปัญหาก็จะน้อยลง เพราะว่าในทางกฏหมายมันมีทางออกในตัวของมันเองอยู่เเล้ว แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฏหมายก็จะมีความซับซ้อน อาจจะมีอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือว่าไม่เคยปฏิบัติมาก่อนจะทำให้เกิดปัญหามากขึ้น

ตอนนี้มีวิกฤติการณ์การเมืองซ้อนกันอยู่ 2 วิกฤติ วิกฤติการณ์อย่างแรกคือเรื่องกฏหมาย ซึ่งเราสามารถบรรเทาวิกฤตินี้ไปได้ เพียงแค่ปฏิบัติตามกฏหมาย ตามเจตนารมย์ของกฏหมายซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหามาโดยตลอดหลายปี องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรมถูกตั้งคำถาม ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ต้องมีการปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัดจริงจัง วิกฤตินี้ก็จะสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวมันเอง

วิกฤติต่อมาคือการแข่งขัน การเผชิญหน้า ความขัดแย้งที่ค่อนข้างรุนแรง ระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ 2พรรค ของไทย โดยเฉพาะในบางความขัดเเย้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับส่วนตัว เรื่องตัวบุคคล บางเรื่องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพรรค เป็นเรื่องของความอยู่รอด เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักการ ทั้งหมดเหล่านี้ มันมีพัฒนาการยาวนานมาถึง 12 ปีหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่วงการเมือง ตรงนี้คงไม่ง่ายที่จะแก้ไข โดยเฉพาะ 2 พรรคการเมืองที่ไม่สามารถจะพูดคุยกันได้โดยตรง ซึ่งก็จะเป็นปัญหา

อย่างไรก็ตามในการหาทางออกจากวิกฤติที่เกิดขึ้นยังจำเป็นต้องมีทั้ง 2 พรรคเป็นหลัก การเเข่งขันกันของสองพรรคใหญ่ที่มีความขัดแย้งในแง่ของตัวบุคคลตรงนี้จะทำให้เกิดปัญหา ที่ยืดยาวมาถึง 12 ปี ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะเปลี่ยนไป จะเห็นได้จาก 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ความขัดแย้งใหญ่ว่านั้นก็คือเป็นความขัดแย้งที่คนไทยเกือบทั้งหมด ต้องการให้เห็นว่าพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ตอบสนองต่อประเด็นสำคัญที่ใหญ่กว่าความขัดแย้งระหว่างพรรค การทะเลาะของคนที่มาชุมนุมคือต้องการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูประบบราชการ จริงๆแล้วผู้ที่สนับสนุนทั้ง2พรรคการเมืองให็ก็เห็นตรงกันว่าประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปในเรื่องเหล่านี้

ในแง่การพูดคุยในอนาคตจะง่ายขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีคนรุ่นใหม่เข้ามา เพราะฉะนั้นประเด็นนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองโดยตรงหรือความขัดแย้งส่วนตัวแต่เป็นประเด็นว่าจะทำอย่างไรให้ระบบราชการดีกว่านี้ ทำอย่างไรให้ระบบเศรษฐกิจเปิดกว้างกว่านี้ ทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมกับคนยากจน คนชั้นกลาง ทำอย่างไรให้ให้ตำรวจโกงกินคอรัปชั่นน้อยลงกว่านี้ และทำอย่างไรให้ระบบราชการโดยเฉพาะในระดับสูงไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้อย่างจริงจังเพราะว่ามีคนออกมาเป็นจำนวนมาก ทุกสี ที่จะร่วมกันผลักดันให้เกิดความเป็นธรรม

ด้านนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฏหมายมหาชน เปิดเผยว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประเด็นอยู่ที่กระบวนการชี้มูลความผิดของป.ป.ช.ผลทางกฏหมายก็คือหากผู้ใดดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นส.ส.-ส.ว.ถูกชี้มูลความผิด จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ช่วงคราวจนกว่า ทางวุฒิสภาจะจัดประชุมเพื่อลงมติเพื่อถอดถอนหรือไม่ เพราะฉะนั้นกระบวนการปกติคือหากชี้มูลว่าผิด ก็แค่รอพัก1-2วัน แล้วให้ส.ว.เรียกประชุม ซึ่งส.ว.จะประชุม2-3วันหรือ 1 อาทิตย์ก็แล้วแต่ ถ้าหากผลการลงมติส.ว.ออกมาว่า ผิดจริง ก็ถอดถอนไป ถ้าหากส.ว.ลงมติว่าไม่ผิดก็กลับมาทำหน้าที่ต่อ

แต่ประเด็นที่จะทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นมาหากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดขึ้นมา จะมีส.ว.ประมาณ 50 คน ที่อยู่ในรายชื่อ 312 คน ซึ่ง 50 คน เป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนส.ว.ทั้งหมด 150 คน ถ้าหากส.ว.เหล่านี้ถูกชี้มูลไปด้วย หรือบางส่วนถูกชี้มูล ปัญหาคือส.ว.ที่เหลือจะประชุมกันอย่างไร ซึ่งองค์ประชุมไม่ครบอย่างแน่นอน หรือถึงแม้ครบองค์ประชุม และคำถามที่เกิดขึ้นคือ ตามรัฐธรรมนูญการใช้มติถอดถอนต้องใช้เสียง 3ใน5 ซึ่งถ้าหากที่ประชุมมีส.ว.ไม่ถึง 3ใน 5 ของจำนวนทั้งหมดได้ แล้วจะประชุมได้หรือไม่

ถ้าหากป.ป.ช.ชี้มูลรายบุคคล เช่น นายกรัฐมนตรีหรือประธานสภาฯ จะไม่ยุ่งยากเท่ากับชี้มูลทั้งหมด ถ้าเกิดชี้มูลทั้งหมด สิ่งที่น่ากังวลคือ จะมีคนบอกว่าส.ว.ไม่สามารถชี้มูลตัวเองได้ ดังนั้นจึงประชุมไม่ได้ เมื่อประชุมไม่ได้องค์ประชุมจึงไม่ครบ ผลที่ตามมาคือการชี้มูลความผิดของป.ป.ช.จึงมีผลต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าป.ป.ช.จะไต่สวนเสร็จซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ และถ้าหากการไต่สวนเกิดล่าช้า ส.ส.และส.ว.ที่จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้ระบบรัฐสภาหยุดชะงัก ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้

และในกรณีที่นายกรัฐมนตรีถูกชี้มูลความผิดในฐานะที่เป็นส.ส.ที่ไปประชุมในสภาแล้วต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ส.ส. คำถามที่ตามมาในทางกฏหมาย คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องพ้นสภาพความเป็นนายกฯหรือไม่ ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ด้วยหรือไม่ ซึ่งมี 2 ทฤษฎี 1.คุณสมบัตินายกฯไม่ได้มีผลกระทบอะไรเพราะว่าผลของมาตรา 273 ตามรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเป็นผลเฉพาะว่าผู้ที่ถูกชี้มูล ไม่ควรจะทำหน้าที่ในระหว่างนั้น ซึ่ง ในเมื่อถูกชี้มูลในนามส.ส. นายกฯก็แค่ไม่ต้องไปประชุมสภาไม่ต้องไปลงมติใดๆทั้งสิ้น แต่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรียังมีอยู่ 2.เป็นนายกฯและเป็นส.ส.เมื่อทำหน้าที่ส.ส.ไม่ได้ก็หมายความว่าทำหน้าที่นายกฯไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นนายกฯต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ไปด้วย คำถามที่ตามมาคือถ้าหากนายกฯยุติการปฏิบัติหน้าที่แล้วครม.ทั้งชุดจะเกิดอะไรขึ้น จะยุติตามด้วยหรือไม่ หรือบุคคลอื่นทำหน้าที่นายกฯแทน

ตรงนี้จะนำไปสู่ข้อถกเถียงมากมายจนอาจนำไปสู่การฟ้องศาลรัฐธรรมนูญว่าการที่ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อเป็นการได้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ มาตรา 68

สุดท้ายก็จะนำไปสู่ความโกลาหลทางการเมือง และเมื่อถึงช่วงเวลานั้นหากบอกว่านายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ สิ่งที่ตามมาคือหากนายกปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ก็ยุบสภาไม่ได้ ถ้านายกฯยุบสภาไม่ได้แล้วทางออกจะเป็นอย่างไร

"ทั้งหมดนี้คือหมากที่ถูกวางไว้"

ป.ป.ช.จะสามารถอ้างได้หรือไม่ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันธ์ทุกองค์กร ดังนั้นป.ป.ช.จึงจำเป็นต้องชี้มูล ส่วนตัวมองว่า คำวินิจฉัยของศาลรธน.มีผลผูกพันธ์ต่อองค์กรก็จริง แต่ผูกพันธ์เฉพาะส่วนที่เป็นการตีความตัวบทรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

การตีความของศาลรัฐธรรมนูญย่อมผูกพันธ์ทุกองค์กรแต่มีข้อเเม้ว่าจะต้องเป็นการตีความตัวบทรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แต่กรณีการไปชี้มูลความผิดมันไม่ใช่เรื่องของการตีความตัวบทรัฐธรรมนูญ นี่คือการไปตีความพฤติกรรมและข้อเท็จจริง ซึ่งในกรณีศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีมาตรา 68 กรณีแก้ที่มาส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตีความทั้งตัวบทกฏหมาย ตัวบทรัฐธรรมนูญ ส่วนหนึ่ง แต่อีกเรื่องคือการตีความ พฤติกรรม ข้อเท็จจริง การกระทำ ของ ส.ส.-ส.ว. 312 คน ส่วนแรกที่ศาลรธน.ไปตีความรัฐธรรมนูญตามตัวบทอาจะบอกได้ว่าผูกพันธ์ทุกองค์กรถ้าถูกต้อง แต่ถ้าหากเป็นการตีความข้อเท็จจริง แม้การตีความข้อเท็จจริงนั้นศาลจะเห็นถูกต้องหรือไม่ ก็ไม่ผูกพันธ์องค์กรอื่น ต้องชัดเจนว่าการตีความรัฐธรรมนูญผูกพันธ์เพราะว่า ป.ป.ช.เองถูกผูกพันธ์โดยตรงกับรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อตัวบทรัฐธรรมนูญถูกตีความให้กระจ่างชัดขึ้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยย่อมก็ต้องผูกพันธ์ป.ป.ช.ไปด้วย

ส่วนข้อเท็จจริงที่สมากชิกรัฐสภา ส.ส.-ส.ว. 312 คน ทำผิดหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ศาลตีความเป็นข้อเท็จจริงเฉพาะคดีไม่อาจนำไปอ้างในคดีอื่นได้ การที่ป.ป.ช.จะชี้มูล 1.ต้องบอกให้ชัดเจนว่าคำวินิจฉัยไม่ได้ผูกมัดป.ป.ช. ผูกมัดเฉพาะส่วนการตีความกฏหมาย 2.มาตรฐานในการชี้มูลความผิดป.ป.ช.ไม่เหมือนมาตรฐานของศาลรัฐธรรมนูญ คือมาตรฐานของการกระทำทั่วไปตามมาตรา 68 กับ มาตราฐานที่ต้องจงใจกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยมีลักษณะทุจริตรวยผิดปกติมาตรา270ต้องเเยกเป็นกรณีต่างหาก

สรุปได้ว่า 1.คำวินิจฉัยผูกพันธ์เฉพาะข้อกฏหมายไม่ผูกพันธ์ข้อเท็จจริง 2.ถ้าดูข้อกฏหมายมาตรา270 ต่างกันกับมาตรา68 ดังนั้นจึงเอามาเทียบกันไม่ได้ 3.แม้ดูข้อกฏหมายก็ไม่เหมือนกัน ข้อเท็จจริงก็ไม่เหมือนกันเข้าไปใหญ่ เพราะว่าการกระทำที่ถูกชี้มูลโดยป.ป.ช.เป็นการกระทำที่จะต้องดูเป็นรายบุคคลอย่างชัดเเจ้งว่าใครทำผิดบ้าง แต่การกระทำที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ ชี้แบบรวมๆ ไม่ได้เจาะจงว่าใครทำผิดหรือไม่ แต่บอกว่ามีการส่งเอกสารผิดพลาด มีการเสียบบัตรแทนกัน มีเวลาอภิปรายน้อยเกินไป แยกเป็นแต่ละกรณี

กรณีส่งเอกสารดูว่าใครเป็นคนส่ง คนส่งคือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏรซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายเลขาของรัฐสภา เพราะฉะนั้นส.ส.-ส.ว.ทั้ง 312 คน ไม่เกี่ยวข้องหรือรับรู้ว่ามีการส่งเอกสารอย่างไร รู้แต่เพียงว่าเอกสารมาถึงแล้วอ่าน เพื่อลงมติ ไม่ได้มีการทำผิดพลาดแต่อย่างใด

กรณีที่เวลาในการอภิปรายแปรญัตติน้อยเกินไป คำถามคือใครเป็นคนกำหนดเรื่องการแปรญัตติซึ่ง 312 ไม่ได้เป็นคนกำหนด มันอยู่ในข้อบังคับแล้วผู้ที่ตีความข้อบังคับคือประธานสภาฯ แล้วตีความว่า312คน ทำผิดเรื่องนี้ จึงไม่ใช่

กรณีการเสียบบัตรแทนกัน ที่มีการเสียบบัตรแทนกันจำนวน 8 ใบ เพราะฉะนั้นจะเหมารวมทั้ง 312 คน มาอยู่ใน 8 ใบนี้ได้อย่างไรอย่างมากที่สุดป.ป.ช.ไม่สามารถชี้มูลทั้งก้อนได้ต้องชี้มูลเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ คนที่กระทำเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นในทางกฏหมายไม่สามารถเอาคำวินิจฉัยมาอ้างได้ แม้มาดูข้อกฏหมายของสองมาตราคือ มาตรา68และมาตรา270 ก็ใช้มาตรฐานต่างกัน เอามาเทียบกันไม่ได้ ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่ศาลอ้างในคดีนั้นนำมาใช้ไม่ได้เลยเนื่องจากเป็นการพิจารณาแบบตีขลุม ไม่ใช่การพิจารณาที่ละเอียดแต่อย่างใด

ส่วนตัวมองว่าป.ป.ช.ไม่ควรจะชี้มูลทั้ง 312 คน ถ้าจะชี้เฉพาะบางคนก็ต้องไปดูในข้อกฏหมายหลักฐานเป็นอย่างไร ถ้าหากชี้มูลทั้งหมด312 คน จะทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นแน่นอน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------

ยกเลิก ม.112 ปล่อยนักโทษการเมือง : เดินหน้าสร้างประชาธิปไตยและรัฐสวัสดิการ

โดย.พจนา วลัย องค์กรเลี้ยวซ้าย

หลังจากที่วุฒิสภาปัด“ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทาง การเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ....” ตกไปเพราะร่างฯนี้ ล้างผิดให้ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่พลพรรคประชาธิปัตย์ พวกเสื้อเหลืองที่นิยมลัทธิทหาร ทำให้พรรคเพื่อไทยถอนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่ค้างอยู่ในสภาทั้งหมด ซึ่งนั่นเท่ากับว่านักโทษการเมืองจะยังถูกคุมขังต่อไป หลังจากที่รอคอยความยุติธรรมมานานกว่าสามปีแล้ว   โดยพรรคอ้างเหตุผลว่า ต้องการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ

ผู้เขียนไม่เชื่อว่าจะปรองดองแล้วยุติความขัดแย้งทางการเมืองได้จริง เพราะ

1.ผู้ถูกกระทำหลังการรัฐประหารปี 49 ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติจากระบบยุติธรรมสองมาตรฐาน และถูกทหารสลายการชุมนุมปี 53 เข่นฆ่าพวกเขา แต่ยังลอยนวลอยู่ในสังคม

2.พื้นที่อุดมการณ์ประชาธิปไตยยังไม่ถูกรื้อฟื้น ก.ม.หมิ่นฯ 112 ยังคงถูกบังคับใช้ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง   นักโทษการเมืองถูกใช้ต่อรองทางการเมือง ปรองดองกับเผด็จการทหาร ฝ่ายอนุรักษณ์นิยม

3.การปรองดองกับฝ่ายเผด็จการสนับสนุนรัฐประหารต้องการผูกขาดอำนาจและความศรัทธาไว้แต่เพียง ฝ่ายเดียว เพื่อรักษาผลประโยชน์ คงสภาพสังคมเดิมไว้ ทำให้นับวันพรรคเพื่อไทย และแกนนำหัวขบวนเสื้อแดง กองเชียร์ของพรรค จะทำผิดพลาดมากขึ้นทุกวัน จนถูกคนเสื้อแดงที่เป็นอิสระทางความคิดบางกลุ่มประณามว่า หักหลังประชาชนที่ร่วมต่อสู้กับพรรค ต้านอำมาตย์ที่โค่นล้มระบบเลือกตั้ง

นอกเหนือจากความผิดพลาดที่พรรคเพื่อไทยเสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯฉบับเหมาเข่ง เข้าสู่สภา และการไม่มีนโยบายรื้อฟื้นประชาธิปไตย ปล่อยนักโทษการเมือง ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทหารแทรกแซงกลับคืนสู่สังคม  ยังประสบปัญหาจากการใช้แนวนโยบายประชานิยม ที่กำลังเดินไปสู่ทางตัน คือรายได้ งบประมาณของรัฐจำกัดมากขึ้น  ไม่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนเท่าที่ควร เพราะมีปัญหาในทางปฏิบัติมาก อีกทั้งความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจยังดำรงอยู่

ผู้เขียนต้องการนำเสนอข้อผิดพลาดของรัฐบาลและหัวขบวนเสื้อแดง ปัญหาสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน และทางออกสำหรับขบวนการเสื้อแดง ให้หลุดพ้นจากการเมืองที่ช่วงชิงอำนาจ ทำรัฐประหาร กดขี่ประชาชนของชนชั้นนำ

ข้อผิดพลาดของพรรคเพื่อไทย

1.การยกโทษให้แก่ฆาตกร ฆ่าประชาชนผู้ชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 ในขณะที่คนพวกนี้ไม่รู้สึกรู้สาอะไร

2.การคงกฎหมายเผด็จการ ก.ม.อาญามาตรา 112 และทอดทิ้งนักโทษคดีนี้ไม่ให้รับความยุติธรรม แม้แต่สิทธิในการประกันตัว

3.การล้างผิดให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังมีชนักติดหลัง สะท้อนให้เห็นว่า คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าหลักสิทธิเสรีภาพของนักโทษการเมืองและความยุติธรรม โดยใช้อุบายเอาเสรีภาพของนักโทษ กฎหมายเผด็จการ 112 แลกกับการกลับมาของทักษิณ ปรองดองทำแนวร่วมกับฆาตกร และคณะผู้ก่อการรัฐประหาร เพื่อให้รัฐบาลอยู่ในอำนาจต่อไป

ข้อผิดพลาดของแกนนำเสื้อแดง คือการไม่ทำอะไรเพื่อรื้อฟื้นประชาธิปไตยอย่างจริงจัง กล่อมเกลาให้มวลชนเป็นกองเชียร์ให้พรรคเพื่อไทยมากกว่าสร้างความเป็นอิสระทางความคิดและมีวาระการเมืองที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนคนส่วนใหญ่  ซ้ำล่าสุดโจมตีกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม 53 ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับวรชัยตั้งแต่แรก ด้วยท่าทีที่ลดทอนความน่าเชื่อถือของร่างฯนี้ เช่น หาว่าจะทำให้นักโทษการเมืองถูกขังต่อไปบ้าง  ไม่ได้นิรโทษผู้ที่ต้องคดีอยู่ในเรือนจำโดยเฉพาะคดีเผาทำลายทรัพย์สิน และคดีอาญาร้ายแรงต่างๆ มากกว่ามีท่าทีหนุนหลักการเอาผิดคนสั่งฆ่าและฆ่าประชาชน และหลักสิทธิในการประกันตัวนักโทษการเมือง

ความผิดพลาดนำมาสู่การฟื้นอำนาจของฝ่ายตรงข้าม วาทกรรมคนดีมีศีลธรรม รักชาติรักแผ่นดิน รักพระมหากษัตริย์ของพรรคประชาธิปัตย์และพวกเสื้อเหลืองก็หวนคืนสู่การเมืองบนท้องถนน ในฐานะที่มองว่าถูกรัฐบาลกระทำจากร่างพ.ร.บ.เหมาเข่ง ล้างผิดให้ทักษิณ คนโกงชาติ และมีผู้ชุมนุมมาร่วมแสดงพลังนับแสน  โดยชูธงล้มรัฐบาล ขจัดตระกูลชินวัตรออกไปจากการเมือง เพราะเป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งหมด  โดยอ้างตรรกะเผด็จการรัฐสภาเหมือนเช่นก่อนการรัฐประหารปี 49 คือ ระบอบทักษิณทำให้ระบบรัฐสภาเป็นเพียงตรายางของนายทุน ให้เข้ามามีอำนาจโดยผ่านการเลือกตั้งที่ทุจริต ซื้อเสียง สภากลายเป็นสิ่งไม่ดี ทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภา เกิดสภาทาส เป็นศูนย์รวมอำนาจของระบอบทักษิณ คุกคามศาล ใช้คนยากจนเป็นเครื่องมือ กดขี่ขูดรีด   จึงนำไปสู่การเรียกร้องปฏิรูปประเทศไทย ตั้งสภาประชาชนแทน  เชิดชูการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขโดยสมบูรณ์ แบบ (จากนั้นก็กลายเป็นการเชิดชูระบอบการปกครองด้วยกษัตริย์)  และได้ลงชื่อถอดถอนส.ส. 310 คน ประกาศขอให้มีการหยุดงาน

และความผิดพลาดก็ได้นำไปสู่การเสนอให้ยุบสภาของกลุ่มนักวิชาการที่เห็นใจเสื้อแดง เพราะไม่ต้องการเห็นการใช้ความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้าม

ส่วนปฏิกิริยาตอบโต้ของรัฐบาลและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คือการเรียกหาพลังคนเสื้อแดง คานอำนาจกับพวกประชาธิปัตย์ ด้วยวาทกรรมต่อต้านการทำรัฐประหารทุกรูปแบบ รักษารัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มาจากการเลือกตั้ง  การแก้ไขก.ม.ร.ธ.น.เป็นอำนาจของรัฐสภา เพราะรัฐสภามาจากอำนาจของประชาชน จะต้องไม่มีอำนาจนอกระบบ มือที่มองไม่เห็นเข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง  และปฏิเสธคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้การแก้ไขที่มาและคุณสมบัติของ สมาชิกวุฒิสภา ที่ให้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเป็นโมฆะ เพราะขัดกับร.ธ.น.มาตรา 68 เข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง

การเมืองล้าหลังของชนชั้นนำไทย

การเมืองของผู้นำ ชนชั้นนำสองฝ่ายข้างต้นวนเวียนอยู่กับข้อถกเถียงเก่าๆ ช่วงชิงอำนาจรัฐมากกว่าการผลักสังคมไปข้างหน้า พรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงคิดภายใต้กรอบเสรีนิยมที่ยื่นเสรีภาพเฉพาะระดับผู้นำ นายทุน ไม่พ้นกรอบทักษิณ แทนที่จะแก้ไขระบบยุติธรรม แล้วนำทักษิณกลับมาพิจารณาคดีในกระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง  

ส่วนพวกประชาธิปัตย์ เสื้อเหลืองที่หนุนรัฐประหารมีทัศนะการเมืองล้าหลังดักดานยิ่งกว่า เนื่องจากยังใช้วาทกรรมรักชาติรักแผ่นดิน  แม้จะมีการเรียกร้องปฏิรูปประเทศไทยสภาประชาชน แต่ไม่มีทางเป็นไปได้  เพราะมีที่มาของการล้มระบบเลือกตั้ง เป็นการปฏิรูปสังคมภายใต้กรอบวัฒนธรรมของฝ่ายขวา  ยินยอมให้แกนนำจากพรรคปชป.นำการชุมนุม  ยอมรับที่จะรักษาก.ม.หมิ่นพระบรมเดชานุภาพไว้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรง ข้าม  นั่นคือพวกปฏิรูปที่พร้อมใช้แนวฟาสซิสต์ทำลายประชาธิปไตย ทำลายคนที่เห็นต่าง

สำหรับขบวนการภาคประชาชนที่สนับสนุนการต่อสู้ตามแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) นักพัฒนาเอกชนออกมาต้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งที่ล้างผิดให้ทักษิณ มากกว่ากล่าวถึงการเอาคนสั่งฆ่าประชาชนปี 53 มาลงโทษ  แม้จะมีสอดแทรกประเด็นปัญหาสิทธิเสรีภาพของแรงงาน แต่พูดภายใต้กรอบอุดมการณ์ฝ่ายขวา ดังเห็นจากแถลงการณ์ของสรส.  (สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) แถลงการณ์ฉบับที่ 4 เรื่อง ร่วมสำแดงพลังเปลี่ยนแปลงประเทศไทย. ที่มา เว็บไซด์ สรส. http://www.thaiserc.com/ ) ที่ต้องการปฏิรูปประเทศที่ให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพมีส่วนร่วมตามสัดส่วน  พร้อมกับยอมรับเรื่องระบบสรรหาส.ว.ตามคำตัดสินของศาลร.ธ.น. (เครื่องมือรับใช้ผู้ก่อการรัฐประหาร 49)  การเคลื่อนไหวของแรงงานกลุ่มนี้ วนเวียนอยู่กับฐานคิดจุดยืนเดิม มุ่งเอาชนะทุนทักษิณอย่างเดียวโดยไม่สนใจกติกาประชาธิปไตย

กรอบคิดของฝ่ายขวากำลังโกหกคำโตว่าจะสามารถปฏิรูปประเทศไทยได้ เพราะ

1.สภาประชาชนข้อเสนอของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เจตนากีดกันคนเสื้อแดงรากหญ้าออกไป และลดทอนระบบการเลือกตั้งระดับชาติ โดยอ้างระบบรัฐสภาเผด็จการเสียงข้างมาก แล้วให้คนดีที่เคยสนับสนุนเผด็จการรัฐประหารมาปกครองแทน  ซึ่งเท่ากับกำลังบั่นทอนระบอบประชาธิปไตยที่ให้อำนาจแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

2.ประชาชนรากหญ้าจะเข้าไปมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายของประเทศ ควบคุมตรวจสอบการทำงานของรัฐ ตัวแทนของตนได้อย่างไร หากไม่มีอำนาจอยู่ในมือ เช่น อำนาจศาล ตุลาการที่ยังไม่สามารถเลือกตั้ง ตรวจสอบ ถอดถอนได้ แล้วจะเรียกได้อย่างไรว่า อำนาจตุลาการคืออำนาจอธิปไตยอำนาจหนึ่งของประชาชน ตามที่พร่ำสอนกันในสถาบันการศึกษา  องค์กรอิสระ องค์กรสิทธิมนุษยชน ส.ว. ที่มาจากการสรรหาที่ผ่านมาก็ล้วนเลือกปฏิบัติกับคนเสื้อแดง ไม่คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน ฉะนั้น จึงหาหลักประกันอะไรไม่ได้ที่ คนยากจน ผู้ใช้แรงงานจะได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้เสมอหน้ากับผู้มีอำนาจรัฐ และกลุ่มทุนทุกกลุ่มได้

3.การส่งเสริมสิทธิในการชุมนุม รวมตัว เพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรองของแรงงาน คนยากจนไม่สามารถเข้าถึงได้จริงภายใต้รัฐเผด็จการอำนาจนิยม หรือการนำของพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ที่คอยเป่าหูสาธารณชนอยู่ตลอดเกี่ยวกับเผด็จการรัฐสภา แต่ตัวเองเอาชนะใจประชาชนไม่ได้ แข่งขันไม่ได้   ก็ฉวยโอกาสขึ้นสู่อำนาจด้วยการเข้าข้างเผด็จการทหารและมือเปื้อน เลือด  ทั้งไม่มีข้อเสนอปรับปรุงระบบเลือกตั้งให้โปร่งใส ขจัดปัญหาคอรัปชั่น และส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองสู่ประชาชนในท้องถิ่น  ฉะนั้นการพูดถึงปัญหาคอรัปชั่นที่ไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบอย่างเท่าเทียมกันจึงเป็นเรื่องโกหก

4.ประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย และในอดีตของไทย แรงงาน คนยากจนต่อต้านเผด็จการทหาร ที่คอรัปชั่นอำนาจและผลประโยชน์ของประชาชน  เพราะวัฒนธรรมทหารนิยมที่โน้มเอียงใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบไม่สามารถแก้ไข ปัญหาวิกฤตใดๆ ได้

5.การอวดอ้างความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อให้ถูกมองว่าเป็นคนดี เอาเข้าจริงลัทธิชาตินิยมมีผลประโยชน์เดียวกันกับประชาชนหรือไม่  ความมั่งคั่งของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาจากอะไร ศาสนาสอนให้เรามีสิทธิเสรีภาพได้จริงหรือ ชาติที่ว่าหากเป็นของประชาชนแล้ว ทำไมยังยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ทหาร ศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้ แล้วจะสร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบ การปกครองตนเองของประชาชนได้อย่างไร

6.การทำลายเสรีภาพในการถกเถียงความคิดทางการเมืองที่ก้าวหน้า ไม่อนุญาตให้ประชาชนมีอำนาจที่สมบูรณ์ โดยการใช้กฎหมายเผด็จการปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน  ฉะนั้นหากจะสู้เรื่องประเด็นสิทธิและความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงาน ต้องยอมรับกรอบชาตินิยม มาปิดปากตัวเองไม่ให้วิจารณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์กับทหารอย่างนั้นหรือ  ยอมตกเป็นทาสระบอบคนดีที่วิจารณ์ไม่ได้ใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้น เมื่อไรมวลชนจะมีความคิดก้าวหน้า แข่งขันการเมืองของพวกชนชั้นปกครอง และเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตย

ดังนั้น การเมืองของฝ่ายขวา ที่จ้องขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากก็ได้เข้าทำลายระบบประชาธิปไตยไปพร้อมๆ กัน และนิยมการใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหาการเมือง ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่ได้ประโยชน์จากการเมืองของพวกล้าหลังนี้

ทางออก : ไปให้ไกลกว่ากรอบคิดเสรีนิยมและประชานิยม

เนื่องจากผู้เขียนไม่ได้คาดหวังอะไรจากพรรคเพื่อไทย แต่คาดหวังให้ขบวนการเสื้อแดงเอาชนะฝ่ายเผด็จการอำมาตย์ และเอาชนะใจมวลชนมากขึ้น  ฉะนั้น จึงควรแก้ไขข้อผิดพลาดข้างต้น ไม่ให้ถูกฝ่ายตรงข้ามฉุดกระชากการเมืองไทยให้ถอยหลัง ต้องปล่อยนักโทษการเมือง ยกเลิก 112 เดินหน้าสู่การสร้างรัฐสวัสดิการ ไปให้ไกลกว่ากรอบคิดเสรีนิยมและประชานิยม

ทั้งนี้ นโยบายประชานิยมของรัฐบาลเริ่มส่อแววถึงทางตัน ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน ไม่สามารถกระจายปัจจัย ทรัพยากร ความมั่งคั่งอย่างยุติธรรม ไม่ช่วยลดปัญหาการคอรัปชั่น  และแนวเสรีนิยม (มือใครยาวสาวได้สาวเอา) ที่ปัญญาชนและนักการเมืองกระแสหลักเชียร์อยู่ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยให้ ประชาชนมีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ

แน่นอน รัฐต้องมีหน้าที่ดูแลประชาชน คนยากจน ผู้ใช้แรงงาน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี แต่จากการอ่านบทวิเคราะห์เรื่องนโยบายประชานิยม และติดตามบางโครงการ เช่น โครงการรับจำนำข้าว เงินเดือนป.ตรี 15,000 ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 มองว่า ประเด็นปัญหาหลักคือ ประชาชนยังยากจนอยู่ รายได้และสวัสดิการต่ำ คุณภาพชีวิตไม่ดีขึ้น ทำงานหนักแต่ไม่มีหลักประกัน ตกงานง่าย เพราะรัฐไม่มีรายได้พอที่จะดูแลประชาชน ทั้งๆ ที่เงินมีเยอะ และประเทศไทยไม่ใช่ประเทศยากจน

ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวล่าสุด ที่ชาวนายังไม่ได้รับเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งผู้เขียนมองว่า ไม่ใช่ปัญหาการขาดทุนสองแสนล้านบาท อย่างที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ยกมาเป็นข้อวิจารณ์หลัก เพราะสนใจแต่เรื่องปัญหาวินัยการคลัง การแทรกแซงกลไกตลาดราคาข้าว เกิดปัญหาระบายข้าวในราคาที่ต่ำและทำให้รัฐขาดทุน  (นิพนธ์  พัวพงศกร. 27 มิ.ย. 56 ปัญหาจากการล่มสลายของโครงการรับจำนำข้าว. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย.  )   ผู้เขียนกลับมองว่า จะทำอย่างไรให้การช่วยเหลืออุดหนุนของรัฐมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือชาวนายากจนมากกว่านี้   ซึ่งองค์กรเลี้ยวซ้ายได้มีข้อเสนอแก้ปัญหาผู้ผลิตให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และแก้ปัญหาผู้บริโภคให้สามารถซื้อข้าวในราคาถูก  ด้วยการให้รัฐรับซื้อข้าวราคาแพงจากชาวนา และขายข้าวราคาถูกให้แก่ผู้บริโภค ในส่วนต่างนั้นรัฐก็นำเงินภาษีที่เก็บในอัตราก้าวหน้าจากคนรวยมากๆ  โดยเฉพาะพวกโรงสี พ่อค้าส่งออกข้าว ในอัตราสูงพิเศษมาอุดหนุน หรือไปลดงบประมาณอื่นๆ ที่สิ้นเปลือง เช่นงบประมาณทหาร และงบพิธีกรรมต่างๆ (อ่านเพิ่มเติมใน วัฒนะ วรรณ. 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556. ลดเงินจำนำข้าว ความอัปลักษณ์ของพวกคลั่งกลไกตลาด. เว็บไซด์องค์กรเลี้ยวซ้าย )

การเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า บทพิสูจน์ความรักต่อประชาชน

ขบวนการคนเสื้อแดงจะต้องพิสูจน์ว่าผู้นำของตัวเองรักประชาชนจริงหรือไม่  แรงงานก็ต้องพิสูจน์เช่นกันว่า ผู้นำแรงงานมีวิสัยทัศน์และความจริงใจในการสร้างผลประโยชน์ทางชนชั้นและ ประชาธิปไตยของแรงงานหรือไม่  เพราะการเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้าจะต้องไม่มีข้อยกเว้นให้กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง เช่นเดียวกันกับระบบในอังกฤษ  และเพิ่มอัตราการเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดาและรายได้นิติบุคคลจากคนรวยมากๆ  เพราะคนรวยจำนวน 20% ของประชากรทั้งหมดในประเทศมีรายได้เท่ากับ 50%-60% ของจีดีพี มีบัญชีเงินฝากธนาคาร ถือครองที่ดินจำนวนมาก ซื้อขายที่ดินเก็งกำไร เล่นหุ้น  ระดับผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นบริษัทมีรายได้มากกว่าพนักงาน 60-100 เท่า  แต่การจัดเก็บรายได้โดยภาพรวมของไทยอยู่ในระดับต่ำ อยู่ที่ร้อยละ19 ต่อ GDP ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกลุ่มอาเซี่ยน  และค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว   ฉะนั้นหากเพิ่มฐานการเก็บภาษีทรัพย์สินจากคนรวยจำนวนสามแสนกว่าคน จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่ำร้อยละ 22 ของจีดีพี

แต่รัฐบาลกลับผลักดันนโยบายลดอัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเพื่อนำเงินไปใช้บริโภคมาก ขึ้น หลังจากที่ลดภาษีรายได้นิติบุคคลให้บริษัทเพื่อจูงใจนักลงทุน  โดยหวังว่าเมื่อคนมีรายได้มากขึ้น ก็ใช้จ่ายมากขึ้น และหวังว่าการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะช่วยดึงดูดผู้มีรายได้ให้เข้า สู่ระบบฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากขึ้น (ปัจจุบันมีผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในระบบประมาณ 2 ล้านคนเท่านั้น) ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพื่อใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศได้มาก ขึ้น (เว็บไซด์ อาร์วายทีไนน์. รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556,

http://www.ryt9.com/s/mof/1781630 )   แต่รัฐบาลไม่มีนโยบายเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ใช้แรงงานให้เพียง
พอต่อการค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างมาก และเพิ่มหลักประกันความมั่นคงตั้งแต่เกิดจนตาย  เช่น จัดสวัสดิการเรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี เงินบำนาญให้แก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า  ซึ่งเท่ากับว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะตกเป็นภาระของปัจเจก /ครอบครัวแบบตัวใครตัวมัน   เมื่อรัฐบาลไม่ได้รักไม่ได้จริงใจต่อประชาชน ฉะนั้นจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนของคนเสื้อแดง ผู้รักประชาธิปไตยที่จะทวงคืนความยุติธรรม สร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นด้วยการกดดันรัฐบาลทำตามข้อเรียกร้องที่สร้างประชาธิปไตย ตามกรอบที่เสนอมา

หมายเหตุผู้เขียน: *บทความนี้ปรับปรุงจากบทความเรื่อง"มองการเมือง (ถอยหลัง)ของชนชั้นนำผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม ตอนที่2" จากเว็บไซต์องค์กรเลี้ยวซ้าย  )

เรื่องที่เกี่ยวข้อง: มองการเมือง (ถอยหลัง)ของชนชั้นนำผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม ตอนที่2"

ที่มา.ประชาไท
-----------------------------

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปชป.ลอยแพ สุเทพ.จุดเปลี่ยนโหมพลัง ทัพประชาชน.

แม้มวลชนผู้ชุมนุมจะไม่ได้เคลื่อนไหวใหญ่โตเหมือนช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา แต่ก็ถือเป็นวันที่มี “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของขบวนการต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณเกิดขึ้นถึง 2 จุดสำคัญ
     
       จุดเปลี่ยนแรกก็มาจากการแถลงท่าทีของ “พรรคประชาธิปัตย์” ต่อการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ที่ทำให้บรรดากองเชียร์-แม่ยกผิดหวังไปตามๆ กัน
     
       เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ควงคู่มากับ “ชวน หลีกภัย” พร้อมเกณฑ์ ส.ส.มาห้อมล้อมครึ่งค่อนพรรค เพื่อแถลงข่าวใหญ่ประกาศต่อสู้ล้มล้างระบอบทักษิณแต่ไม่ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ให้เหตุผลว่าเป็นพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาที่จำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อไป
     
       โดยจะเดินสายร่วมต่อสู้เคลื่อนไหว “คู่ขนาน” กับมวลชนควบคู่กับการปฏิรูประเทศของภาคประชาชน
     
       การตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นการ “ตบหน้า” ประชาชนฉาดใหญ่ เพราะที่ผ่านมา “ม็อบราชดำเนิน” ได้ตระเวนเดินสายขอความร่วมมือข้าราชการ-ประชาชนให้ “บอยคอต” ปฏิเสธอำนาจรัฐบาล และ “อภิสิทธิ์” เองก็พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมไปแล้ว
     
       แต่กลับมา “พลิกลิ้น” ว่ายังต้องทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรดูแลทุกข์สุขประชาชนไม่จำเป็นต้องลาออกไปเพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชน
     
       ทั้งๆ ที่เมื่อดูบทบาทที่ “ค่ายสีฟ้า” ต่อสู้ในระบบรัฐสภานอกจากจะไร้ประโยชน์ เพราะแทบไม่สามารถระคายเคืองให้แก่รัฐบาลแม้แต่น้อยโดยเฉพาะในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ทั้งที่สองปีกว่ามานี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์เหวอะหวะแต่ขุนพลประชาธิปัตย์ก็ไม่เห็นขยายแผลได้เลย
     
       ชี้ให้เห็นว่าการทู่ซี้อยู่ในระบบรัฐสภาต่อไปก็ไร้ประโยชน์
     
       งานนี้คนที่ผิดหวังมากที่สุดก็หนีไม่พ้น “สุเทพ เทือสุบรรณ” ที่ลงทุนลงแรงถอดหัวโขนออกมาปลุกปั้นขบวนการโค่นล้มระบอบทรราชทักษิณร่วมกับภาคประชาชนจนติดลมบนกลายเป็น “พลังมวลมหาประชาชน” อย่างที่เห็นกันอยู่
     
       สะท้อนภาพความเลือดเย็นของ “อภิสิทธิ์” ที่กล้าทิ้งแม้กระทั่งคนที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันมาอย่าง “สุเทพ” โดยใช้หลักการมาบังหน้าเช่นเคย
     
       เป็นที่มาของบทปราศรัยที่เรียกว่าคร่ำเครียดที่สุดนับตั้งแต่ออกมานำม็อบตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาของ “กำนันสุเทพ” ซึ่งเต็มไปด้วยความอึดอัดใจและสะท้อนผิดหวังต่อทิศทางของ “อดีตต้นสังกัด”
     
       ไม่แปลกที่สิ่งที่สะกดไว้ในใจจะพรั่งพรูออกมา โดยหวยก็ไปออกที่"กรณ์ จาติกวณิช" ซึ่งโดน "สุเทพ"สับแหลกถึงคอมเมนต์ที่ไม่เห็นด้วยเรื่องการนำม็อบยึดกระทรวงการคลังอย่างสาดเสียเทเสีย
     
       ทั้งที่รู้กันดีว่าการตัดสินใจยกระดับการชุมนุมเยี่ยมเยือนสถานที่ราชการหลายแห่งรวมทั้งปักหลักพักค้างทั้งที่กระทรวงการคลัง หรือล่าสุดลองมาร์ชเกือบ 20 กม.ไปที่ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะนั้น "ฟีดแบ็ก"ที่กลับมาเป็นบวกมากกว่าลบ เพราะถือเป็นมาตรการอารยะขัดขืนตามครรลองการต่อสู้ของภาคประชาชนที่สงบอหิงสาปราศจากอาวุธ
     
       คำพูดที่ฝากไปถึง "กรณ์"เป็นอารมณ์ที่เก็บงำในใจมาหลายวัน เพื่อถนอมน้ำใจพรรคประชาธิปัตย์เอาไว้ก่อนเพราะคิดว่าจะเสียสละออกมาร่วมสู้กันเต็มตัว แต่เมื่อ "ค่ายสีฟ้า"แสดงความไร้ใจให้ ก็ไม่มีเหตุผลต้องอมพะนำเอาไว้อีก
     
       นัยคำปราศรัยเมื่อคืนจึงไม่ใช่แค่อาการไม่สบอารมณ์ของ"สุเทพ" ที่มีต่อ "กรณ์" เท่านั้นแต่ฝากไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค
     
       เพราะเมื่อ "สุเทพ" อยู่ในสถานการณ์ศึกสองหน้าด้านหนึ่งต่อสู้กับระบอบทักษิณ อีกด้านก็ต้องต่อสู้กับพวกเดียวกัน ทำให้ต้องเลือก"ทิ้งบอมบ์" ใส่ "กรณ์" เพื่อดิ้นออกจาก "จุดอับ"ในศึกสองหน้า และมาโฟกัสทำศึกฟาดฟันกับ "ทรราช" เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเพียงอย่างเดียว
     
       ซึ่งส่งให้ "สุเทพ" ไม่ใช่คนของประชาธิปัตย์อีกต่อไปแต่ได้กลายเป็นคนของประชาชนเต็มตัวไปแล้ว
     
       จุดเปลี่ยนที่สอง ก็คือการประกาศของ"หลวงปู่พุทธอิสระ" ขอเป็นแกนนำการชุมนุมและขอรับไม้ต่อหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับ "สุเทพ"ซึ่งก็เป็นผลมาจากคำแถลงของ "อภิสิทธิ์" นั่นเอง
     
       จับสุ้มเสียงของ "หลวงปู่ฯ" ก็พอทำให้ทราบได้ว่าสาเหตุลึกๆ ที่ประกาศตัวมาเป็นแกนนำ ก็เพราะได้ร่วมเคียงคู่ต่อสู้กับ"กำนันสุเทพ" มาโดยตลอด ทำให้เข้าใจและเห็นใจการที่ถูก"คนกันเอง" หักหลังหักอกแบบไม่คิดไม่ฝัน
     
       สิ่งที่พอช่วยได้ก้็คือ การมาร่วมยืนเคียงคู่ในแถวหน้า
     
       ทั้งสองจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงเป็นการสะท้อนถึงความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ของ "ค่ายสีฟ้า" หวังรอแค่"ส้มหล่น" หากมีการโค่นระบอบทักษิณสำเร็จ ไม่คิดที่จะแสดงความเสียสละหรือแสดงความจริงใจใดๆ
     
       อ้างแค่ครรลองระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา หรือเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นว่าขอทำหน้าที่ในฐานะ"พรรคการเมือง" ต่อไป ทั้งที่ตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมาการต่อสู้ในฐานะฝ่ายค้านกลับทำให้เรตติ้งของพรรคสาละวันเตี้ยลงๆด้วยพฤติกรรมที่ถ่อยเถื่อนมากขึ้นทุกขณะ
     
       อาการเกาะเก้าอี้ไว้แน่นก็แค่อาการของคนที่จมไม่ลงเท่านั้น
     
       ไม่น่าแปลกใจเลยว่าตลอดค่ำคืนที่ผ่านมากระแสในสังคมอนนไลน์จะหันมาพุ่งเป้าโจมตีไปยัง "ค่ายสีฟ้า"ดูได้จากหน้าเฟซบุ๊กของ "กรณ์ จาติกวณิช" หรือของ"ประชาธิปัตย์" เองที่ถูกกระหน่ำถล่มตลอดทั้งคืน
     
       ฉายา "พรรคแมลงสาบ"ที่เลือนหายไปพักใหญ่ก็กลับมาหลอกหลอนพรรคเก่าแก่อีกครั้ง
     
       และก็ทำให้คนพวกแรกที่กลายเป็น "โมฆะ"ก่อนใครเพื่อนกลับเป็น "พรรคประชาธิปัตย์"ที่จะไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ครั้งนี้ แทนที่จะเป็น "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"อย่างที่ตั้งใจกันเอาไว้
     
       ในทางกลับกันก็ส่งผลให้เรตติ้งของ "อดีตกำนันท่าชนะ"พุ่งทะยานสูงขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้การต่อสู้ครั้งนี้จะทรงพลังมากยิ่งขึ้นเมื่อไร้ "ตัวถ่วง" ที่ชื่อ "พรรคประชาธิปัตย์"
     
       อย่างน้อยคนที่เกลียดทักษิณ แต่ไม่ชอบประชาธิปัตย์ก็คงสะดวกใจมากขึ้นในการออกมาแสดงพลังเสริมกำลังร่วมปฏิรูปประเทศกับประชาชนเพิ่มเติมอย่างแน่นอน
     
       ด้วยพลังการต่อสู้ที่บริสุทธิ์มากขึ้นเมื่อไร้เงา"ประชาธิปัตย์" ทาบทับอยู่ ทำให้เชื่อว่าเสาร์-อาทิตย์นี้ที่เป็น"เส้นตาย" ในการโค่นล้ม "ทรราชทักษิณ"จะมีมวลชนแห่แหนออกมามากกว่าที่ผ่านๆ มา
     
       ความเห็นแก่ตัวของคนบางพวก กลับเสริมพลานุภาพให้"ทัพกำนัน" อย่างไม่น่าเชื่อ

ที่มา.ผู้จัดการ
///////////////////////////////////////////////

ไทม์: ชำแหละ ปชป. โยงม็อบเทือก.

เผยแพร่บทความเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย หัวข้อเรื่อง "พรรคประชาธิปัตย์ของไทย ชื่อพรรคนี้ตั้งผิดอย่างฮา" (Thailand’s Democrat Party Is Hilariously Misnamed) พร้อมโปรยใจความว่า อย่าไปเชื่อการพูดถึง "ปฏิวัติประชาชน" ของกลุ่มเสื้อเหลือง - สิ่งที่เรียกร้องนั้นไม่ใช่เรื่องอื่นใดที่ต่างจากการยึดอำนาจ Don′t believe Yellow Shirt talk of a "people′s revolution" — what′s being demanded is nothing short of a putsch เขียนโดย ชาร์ลี แคมป์เบล

 เนื้อหาของบทความชิ้นนี้ระบุว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่แสดงผ่านสีเสื้อปะทุขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเรียกกลุ่มผู้ประท้วงที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ว่ากลุ่มเสื้อเหลือง เป็นกลุ่มที่บุกยึดอาคารราชการของรัฐบาลในเมืองหลวง และศาลากลางจังหวัดอื่นๆ อีกอย่างน้อย 19 จังหวัด เพื่อเรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเสื้อแดง ลงจากตำแหน่ง
 
 ในความเห็นของกลุ่มเสื้อเหลือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ วัย 46 ปี เป็นหุ่นเชิดของพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ หลังจากถูกรัฐประหารในปี 2549 และต้องโทษจำคุก 2 ปี ในข้อหาคอร์รัปชั่น คลื่นคนเสื้อเหลืองก่อตัวขึ้นจากร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ตอนนี้ระงับไว้แล้ว ว่าจะเปิดทางให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน และความพยายามของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่จะรวมอำนาจด้วยการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของวุฒิสภา

 ในวันอังคารที่ 26 พ.ย. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องการปฏิวัติประชาชนอีกครั้ง และให้สภารอยัลลิสต์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเข้ามาแทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มาจากการเลือกตั้ง นายสุเทพพยายามแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายส่วนตัว ด้วยการประกาศว่าจะไม่เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต
 ขณะที่มีหมายจับนายสุเทพในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการผิดกฎหมายออกมาแล้ว

 ยิ่งเวลาผ่านมายิ่งเป็นเหมือนละคร แต่สิ่งที่เกิดในประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ราชอาณาจักรแห่งนี้เป็นจุดหมายสุดหรูของนักท่องเที่ยวหลายล้านคนทุกปี ขณะที่เป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก และมีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สำคัญชัดเจนไปกว่านั้น ประชาธิปไตยของไทยเป็นตัวอย่างกับประชากรอื่นๆ ในชาติเพื่อนบ้าน  พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม หลังจากเฝ้ามองด้วยสายตาอิจฉาการเจริญเติบโตของไทยมานาน

 กระทั่งการมาของพรรคชื่อกลับตาลปัตรว่าพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ท่ามกลางผู้ปฏิบัติในระบอบประชาธิปไตยที่แย่ที่สุด กลุ่มเสื้อเหลืองหลายหมื่นคนออกมาเดินขบวนไปทั่วประเทศ แต่กลับเรียกร้องสภารอยัลลิสต์ ที่ดูจะเป็นการปฏิวัติประชาชนได้ยาก

 ถ้าจะพูดถึงคนที่แสดงถึงการใช้พลังประชาชนแล้วล่ะก็นั่นคือผู้ลงคะแนนเสียง15 ล้านเสียงที่เลือกน.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยในเดือนกรกฎาคม 2554 และพรรคการเมืองที่พ.ต.ท.ทักษิณสนับสนุนก็ชนะการเลือกตั้งก่อนหน้าด้วยเสียงส่วนใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง นโยบายประชานิยมของพ.ต.ท.ทักษิณช่วยทำให้คนในชนบทหลายล้านพ้นจากความยากจน และยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475

 แน่นอนว่า มีเหตุผลมากมายที่จะต่อต้านมหาเศรษฐีพันล้านคนนี้ ไม่ว่า การทำสัญญาธุรกิจหลายอย่างในช่วงที่อยู่ในตำแหน่ง จนเกิดข้อครหาว่าขาดจริยธรรม ส่วนสงครามกวาดล้างยาเสพติดทำให้มีการฆ่าตัดตอน 2,800 ศพ ภาพของพ.ต.ท.ทักษิณที่กำกับผู้ประท้วงจากนครรัฐดูไบ แดนสวรรค์  ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงเสี่ยงกับการถูกจับกุม ความรุนแรง รวมถึงเสี่ยงตาย ไม่ได้ทำให้เป็นฮีโร่แต่อย่างใด แต่การที่ฝ่ายค้านล้มเหลวที่จะดึงจุดอ่อนเหล่านี้มาใช้ กลับเป็นเรื่องน่าฉงน

 "เรามักพูดถึงทักษิณว่า เขาขี้โกง ละเมิดอำนาจ แต่เขาก็ยังชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นเราน่าจะเริ่มตั้งคำถามถึงฝ่ายต่อต้านเขาบ้าง" นายธิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว

 พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อปี2535 แรงสนับสนุนของพรรคมีฐานเป็นชนชั้นกลางกรุงเทพฯ ที่ศาสตราจารย์เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์  อธิบายว่า "ขี้กลัว เห็นแก่ตัว ไร้มารยาท บริโภคนิยม และไม่มีวิสัยทัศน์ถึงอนาคตของประเทศที่เหมาะสม"  พรรคนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนในชนบทที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นเขตแดนของคนเสื้อแดง และกลุ่มคนที่ยังลังเลตอนเข้าคูหา

 แทนที่จะพัฒนานโยบายและแผนงานทางการเมืองที่จะเอาชนะเสียงของคนชนบท กลับทำเหินห่างจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นแกนหลัก ด้วยการเรียกหาพันธมิตรผู้ทรงอำนาจอื่น เช่น ทหาร หรือฝ่ายตุลาการ มาทำลายคู่ต่อสู้

 รูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลที่พ.ต.ท.ทักษิณสนับสนุนได้รับการเลือกตั้ง จากนั้นก็ถูกโค่นโดยกลไกของกลุ่มชนชั้นสูงในการรัฐประหารปี 2549 ต่อมา ปี 2551 พรรคพลังประชาชนก็ถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ประท้วงออกมาบนท้องถนน เกิดการนองเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และพรรคที่พ.ต.ท.ทักษิณก็ชนะการเลือกตั้งอีก

 แม้ว่าการตัดสินใจในนโยบายภายในประเทศที่ไม่ได้รับความนิยมกัดกร่อนความนิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาสั่งการสลายการชุมนุมปี 2553 ระหว่างอยู่ในตำแหน่ง ก็ไม่อาจทำอะไรได้ในการลงมติไม่ไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์เมื่อวันพฤหัสฯ ส่วนการยึดสถานที่ราชการของกลุ่มเสื้อเหลืองก็ส่งผลตรงข้ามกับที่ตั้งใจไว้

 "ยิ่งลักษณ์คว้าในสิ่งที่คล้ายกับชัยชนะซึ่งพลิกจากความพ่ายแพ้ในนาทีสุดท้ายอย่างฉิวเฉียด"นายเบนจามิน ซาวักกีที่ปรึกษาอาวุโสด้านกฎหมายของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนICJกล่าวและว่าสำหรับนายสุเทพนั้นดูเหมือนจะทำล้ำเส้นไปแล้ว

 ด้านกลุ่มสาขาของพรรคเพื่อไทยคุมเชิงอยู่อีกด้านในสถานการณ์อลเวงนี้ กลุ่มที่ภักดีต่อพ.ต.ท.ทักษิณชุมนุมกันอยู่ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานและนัดชุมนุมใหญ่ในวันเสาร์นี้

 หลายคนหวังว่าความขัดแย้งของกลุ่มสีเสื้อจะยุติลงหลังเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษาฯ-พฤษภา2553 ในใจกลางกรุงเทพฯที่มีผู้เสียชีวิตเกือบ100ศพและบาดเจ็บกว่า2,000คน แต่น่าเสียใจที่สัญญาณต่างๆ ดูเหมือนจะเพิ่มความตึงเครียดขึ้น แม้ว่าวันที่ 5 ธันวาคม  วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันสำคัญของประเทศไทยใกล้เข้ามาแล้ว มีบางคนเชื่อว่านายสุเทพไม่ต้องการให้การชุมนุมนี้ไปขัดช่วงเวลาดังกล่าว  ดังนั้นจึงเป็นไปได้ตามการวิเคราะห์ของซาวักกีว่า "การเพิ่มสถานการณ์ให้ตึงเครียดนั้นก็ทำด้วยความหวังว่าจะมีรัฐประหาร หรืออย่างน้อยก็มีการประกาศกฎอัยการศึกชั่วคราว"

 นี่เป็นการเมืองแบบรุนแรง พรรคประชาธิปัตย์อาจรักษาการใช้ชื่อตัวเองต่อไปได้ แต่การเห็นผู้สนับสนุนมากมายของพรรคเปลี่ยนสีเสื้อจากสีเหลืองเป็นสีดำนั้นเป็นงานถนัดที่แปลกจริงๆ

ที่มา.ข่าวสด
--------------------------

จาก ชัยวัฒน์ ถึง สุเทพ และ สันติวิธี.

โดย.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความเป็นห่วงว่าความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่จะกลายสภาพเป็นความรุนแรง เช่นที่บ้านเมืองของเราเคยมีประสบการณ์มาแล้วในอดีต ทั้งที่ครั้งนี้ คุณสุเทพก็ดี นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ก็ดี ได้แสดงท่าทีชัดว่าประสงค์จะเผชิญกับความขัดแย้งครั้งสำคัญนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ใช้ความรุนแรง

ผมขออนุญาตเรียนให้ความเห็นคุณสุเทพเรื่องการต่อสู้ด้วย”สันติวิธี”และ อารยะขัดขืน เพราะเชื่อว่าอาจช่วยให้คุณสุเทพต่อสู้เพื่ออนาคตของทุกฝ่ายในสังคมไทยได้กระจ่างชัดขึ้น

ข้อแรก ถ้าถามว่า การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การเป่านกหวีด การเรียกร้องให้ชะลอการเสียภาษี รวมถึงการ”เดินดาวกระจาย”ไปเข้ายึดครองอาคารสถานที่ของหน่วยราชการต่างๆเป็น”สันติวิธี”หรือไม่ ผมคงตอบว่า การชุมนุมประท้วงในที่สาธารณะเป็นการแสดงออกด้วยสันติวิธีที่แพร่หลายทั่วไป การเป่านกหวีดเป็นการใช้สันติวิธีเชิงสัญลักษณ์ การเรียกร้องให้ชะลอการเสียภาษีเป็นสันติวิธีแบบไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐ ขณะที่การเข้ายึดครองอาคารสถานที่ราชการเป็นการแทรกแซงด้วยสันติวิธี

การเข้ายึดครองอาคารสถานที่เช่นนี้มีให้เห็นตั้งแต่สองพันปีก่อน เมื่อบิชอปชาวคริสต์ ปฏิเสธคำสั่งของรัฐบาลโรมันที่สั่งให้ยกส่วนหนึ่งของโบสถ์ในมิลานให้ชาวคริสต์นิกายอื่น ท่านบิชอป ละเมิดกฏยึดครองโบสถ์ทำพิธีมิสซาในโบสถ์อยู่ 5 วัน นี่เกิดเมื่อปี ค.ศ.385 หรือ ชาวอเมริกันอินเดียนเป็นร้อยคนบุกยึดเกาะอัลกาตราสในอ่าวซาน ฟรานซิสโกซึ่งรัฐบาลอเมริกันใช้เป็นคุกมานาน เหตุเกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1969 พวกเขายึดเกาะนี้อยู่ถึง 2 ปี (15 คนสุดท้ายถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางพาตัวออกไปเมื่อ มิถุนายน 1971) หรือที่รู้จักกันทั่วโลกก็คือการใช้สันติวิธีเข้ายึดครองพื้นที่ทางเศรษฐกิจ การเงินกลางเมืองใหญ่ของโลกอย่างนิวยอร์ค ลอนดอน และ เมลเบิร์น เมื่อปี 2011 สันติวิธีเหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายในระดับต่างๆกัน แต่เรื่องนี้คุณสุเทพในฐานะนักกฎหมายคงทราบดีอยู่แล้ว

ข้อสอง “สันติวิธี”เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง คนใช้สันติวิธีต้องทำความเข้าใจการทำงานของเครื่องมือที่ตนใช้ว่าทำงานอย่างไร ส่งผลเช่นไร เช่นเมื่อคุณสุเทพประกาศว่าแนวทางการต่อสู้ที่ใช้เป็น”อารยะขัดขืน” ก็หมายความว่า ผู้ใช้ต้องพร้อมรับโทษทัณฑ์ที่จะต้องได้รับจากการใช้สันติวิธีละเมิดกฎหมาย เพราะพลังของอารยะขัดขืนไม่ได้อยู่ตรงการขัดขืนเท่านั้น แต่อยู่ที่การยอมรับบทลงโทษที่จะเกิดขึ้นกับ”คนดีๆ”ที่ขัดขืนกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ การขัดขืนและการยอมรับผลของการขัดขืนเป็นไปเพื่อให้คนในสังคมที่แลเห็นฉุกคิดว่า กฎหมายหรือนโยบายที่พวกเขาขัดขืนเป็นสิ่งไม่ชอบ จึงเกิดความขัดแย้งลึกซึ้งในระดับมโนธรรมสำนึกของสังคม จนผลักดันให้นักการเมืองต้องแก้กฎหมายหรือยกเลิกนโยบายเหล่านั้น เช่นกรณีการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนผิวดำในสหรัฐฯโดยสาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เมื่อกลางศตวรรษที่แล้ว

ข้อสาม อารยะขัดขืนไม่ใช่สันติวิธีที่มีไว้เพื่อล้มรัฐบาล หรือเปลี่ยนระบอบการเมือง เพราะการยอมรับการลงโทษคือการยืนยันความชอบธรรมของผู้ลงโทษคือรัฐ-รัฐบาล ในแง่นี้ อารยะขัดขืน ทำงานเสริมระบอบประชาธิปไตยที่มีตัวแทนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะเมื่อผู้ใช้อารยะขัดขืนเดินเข้าสู่ที่คุมขัง พร้อมๆกับที่มโนธรรมสำนึกในสังคมถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ก็จะช่วยชี้ให้ผู้ออกกฎหมายในสภาได้ประจักษ์ว่า กฎหมายบางข้อหรือนโยบายบางอย่างของรัฐผิดพลาดไม่เป็นธรรม ทำให้พลเมืองดีต้องติดคุกติดตะราง และดังนั้นต้องแก้ไขหรือยกเลิกเสีย

สี่ สันติวิธีมีวิธีการต่างๆเป็นร้อยวิธี ถ้าวิธีการที่คุณสุเทพใช้ไม่ใช่อารยะขัดขืน แต่เป็นสันติวิธีหรือปฏิบัติการไร้ความรุนแรงรูปแบบอื่น ก็อาจทำได้และใช้สู้กับรัฐบาลก็ได้ อีกทั้งยังทำให้รัฐบาลล้มก็ได้ด้วย เช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆในละตินอเมริกา (เช่นชิลี เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และอื่นๆ)11 ประเทศระหว่างปี ค.ศ.1931-1961 แต่รัฐบาลที่ล้มลงด้วยพลังสันติวิธีของประชาชนที่รวมตัวกันต่อสู้เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นรัฐบาลเผด็จการทหารหรือไม่ก็เป็นรัฐบาลพลเรือนที่มีทหารหนุนหลัง อันที่จริงมีผลการวิจัยพบว่าสันติวิธีใช้ได้ผลต่อรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่าจะนำมาใช้ต่อสู้กับรัฐบาลในระบบประชาธิปไตยซึ่งมีฐานความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้ง

ข้อห้า มีคนถามผมว่า การต่อสู้แบบนี้เมื่อใดจึงจะหยุดเป็นสันติวิธี? ตรงนี้คงตอบได้ 2 ทาง

ทางแรก คนที่สมาทานสันติวิธีจำนวนมากเชื่อว่า ไม่สามารถใช้สันติวิธีไปเพื่อเป้าหมายที่ไม่เป็นธรรมชนิดที่ไม่สร้างเสริมอิสระเสรีในสังคมการเมืองได้ พูดง่ายๆคือ การอดอาหารประท้วงเป็นสันติวิธีเมื่อคนอดใช้ประท้วงผู้เผด็จการหรือจักรวรรดินิยมให้ปลดปล่อยผู้คนของตนให้เป็นอิสระ แต่ถ้าผู้เผด็จการใช้วิธีอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ตนอยู่ในตำแหน่งมีอำนาจต่อไป อย่างนี้ไม่ใช่สันติวิธี

ที่สอง ผมเองเห็นว่า ไม่ว่าเป้าหมายในการต่อสู้จะเป็นเช่นไร เพื่อสร้างประชาธิปไตย หรือเพื่อรักษาสถาบันการเมืองสำคัญในชาติ แต่วิธีการที่เรียกว่า”สันติวิธี”จะหมดความหมายเมื่อผู้นำการต่อสู้หรือผู้ใช้ไม่เห็นว่า ทุกชีวิตไม่ว่าหนุ่มสาว หรือแก่เฒ่าที่เสียสละตนเองเข้าท้าทายอำนาจรัฐล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในตนเองทั้งนั้น พวกเขามีคนที่รักและเป็นห่วงเขา ทุกชีวิตเป็นเป้าหมายศักดิ์สิทธิ์ในตนเองและดังนั้นจึงไม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือไปเพื่อบรรลุอะไรทั้งนั้น

ข้อสุดท้าย การใช้สันติวิธีสู้กับอำนาจรัฐมีความเสี่ยง ทั้งจากกฎหมายของรัฐและจากความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพราะไม่ได้หมายความว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้สันติวิธีแล้วฝ่ายที่ตนต่อสู้ด้วยจะไม่ใช้ความรุนแรง ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่ก้าวออกมาต่อสู้เช่นนี้ต้องได้รับรู้ว่ากำลังเสี่ยงกับอะไรและทำไปเพื่ออะไร ในแง่นี้พวกเขาควรต้องเห็นรูปร่างหน้าตาของอนาคตที่เป็นไปได้จริงเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะต่อสู้หรือไม่อย่างไรด้วย

ที่ตัดสินใจใช้สันติวิธี เลือกใช้วิธีนี้ด้วยเหตุผลหลากหลาย ส่วนใหญ่ก็เพราะเห็นว่าวิธีการนี้มีพลังเช่นที่สังคมไทยกำลังประจักษ์อยู่ แต่ที่สำคัญไม่แพ้ประสิทธิผลของสันติวิธีคือ ความเชื่อของคนที่ต่อสู้ด้วยวิธีนี้ว่า อนาคตที่ตนมุ่งสร้างนั้นสวยงาม เติบโตขึ้นบนเนื้อดินแห่งมิตรไมตรีไม่ใช่ความเป็นศัตรูที่ต้องประหัตประหารกันให้สิ้นไป

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
--------------------------------------------

ปฏิรูปการเมือง !!

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

ขณะที่วิกฤตทางการเมืองอันเกิดจากการขัดแย้งทางการเมืองอย่างที่เป็นอยู่นี้ น่าจะเป็นการขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างผู้คนในเมืองที่มีฐานะกับคนในชนบทที่มีฐานะดีขึ้นมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ความรวดเร็วในการสื่อสารหลายรูปแบบจากการปฏิวัติเทคโนโลยี รับรู้และตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของตน ได้ข้อมูลข่าวสารเช่นเดียวกัน เวลาเดียวกันกับคนในเมือง รับรู้ว่าการแตกแยกในเรื่องการเมืองดำรงอยู่เป็นเวลานานแล้ว

การมีประสบการณ์กับระบอบการปกครองที่ตนสามารถใช้ประโยชน์ได้ ดึงทรัพยากรเข้ามาสู่ท้องถิ่นของตนได้ นักการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเข้าถึงตน และนำความต้องการของตนแปลกลับมาเป็นงบประมาณ เป็นโครงการ โครงสร้างการพัฒนาที่จับต้องได้

นักการเมืองและพรรคการเมืองต่างจึงต้องมีความใกล้ชิด ต้องลงมาสัมผัสกับประชาชน คอยปกป้องดูแลจากการปฏิบัติของข้าราชการในท้องถิ่น

นอกจากนั้น ยังเป็นการดำรงอยู่ซึ่งระบอบอุปถัมภ์ ที่อาจจะฝากลูกเข้าโรงเรียน ฝากลูกเข้าทำงาน คอยวิ่งเต้นช่วยเหลือในเรื่่องต่างๆ เป็นสิ่งที่คนในต่างจังหวัดต้องการ คนในภาคอีสาน ภาคเหนือ หรือแม้แต่ภาคกลางและภาคตะวันออก รวมทั้งภาคใต้ และภาคอื่นๆ

ผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองที่ประสบความสำเร็จในสนามเลือกตั้งในท้องถิ่นนอกเมือง จึงมีลักษณะดังกล่าว ความรู้สึกที่ว่าควรจะเลือกพรรคมากกว่าเลือกบุคคลในระยะหลัง ก็เพราะการเลือกพรรคสามารถทำให้พรรคที่ตนเลือกสามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ดีกว่าบุคคลที่ไม่อาจจะหวังว่าจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ในระยะหลังประชาชนในภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง สามารถเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่ตนจะเลือก เปลี่ยนตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ด้วย หากสมาชิกสภาผู้แทนในเขตของตนไม่สามารถทำหน้าที่สนองความต้องการของตน ตามที่ตนคาดหวังได้

ต่างกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสภาท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล หรือแม้แต่เทศบาล ชาวบ้านจะไม่นิยมผู้สมัครจากพรรคการเมืองใหญ่ระดับชาติ กลับจะเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองท้องถิ่นที่มีผลงาน เพราะไม่ใช่การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าไปจัดตั้งรัฐบาล

ต่างกับคนในกรุงเทพฯที่ไม่มีความรู้สึกผูกพันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังการเลือกตั้งทั่วไปผ่านพ้นไป ตลอดเทอมของสภาผู้แทนอาจจะไม่เคยพบผู้แทนบางคนเลย หรืออาจจะลืมไปแล้วว่าใครเป็นผู้แทนของตนในสภา

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะคนในเมืองสามารถมีเส้นสายโยงใยใช้อภิสิทธิของตนได้อยู่แล้ว ข้าราชการก็ไม่กล้าจะปฏิบัติไม่ดีไม่งามกับตน อีกทั้งสื่อมวลชนหลักๆ ก็อยู่ในกรุงเทพฯ หรือมีตัวแทนผู้สื่อข่าวอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เป็นปากเป็นเสียงให้ผู้คนจึงมีอภิสิทธิโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยนักการเมืองหรือผู้แทนของตน หรือแม้แต่รัฐบาลท้องถิ่นคนกรุงเทพฯก็ไม่ได้หวังอะไร

นอกจากนั้นบริการของรัฐไม่ว่าจะเป็น การศึกษา การสาธารณสุข การรักษาพยาบาล ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งสาธารณูปโภค บริการของรัฐก็มีอยู่พร้อมอยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งนักการเมืองหรือผู้แทนราษฎร

คนในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ๆ จึงไม่สู้ตระหนักถึงประโยชน์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย จะปกครองโดยรัฐบาลที่คณะรัฐประหารแต่งตั้ง หรือเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ไม่เกี่ยวข้องกับตน ขอให้ได้ "คนดี มีจริยธรรม" มีการศึกษา มีบุคลิกดี พูดจาเก่ง พอใจแล้ว เพราะเป็นคนในชั้นสังคมเดียวกับตน

ส่วนคนในต่างจังหวัดนอกเมืองจะรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างระบอบประชาธิปไตยที่มีตัวแทนของตนเข้าไปจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน หรือวิ่งเต้นทำโครงการพัฒนาต่างๆ เข้ามาในท้องถิ่นของตน กับระบอบการปกครองโดยรัฐบาลที่คณะรัฐประหาร หรือคณะปฏิวัติแต่งตั้ง รวมถึงสภานิติบัญญัติที่สมาชิกมาจากการแต่งตั้ง เพราะสมาชิกสภาแต่งตั้งจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับราษฎรเลย รัฐบาลแต่งตั้งแม้จะได้คนดี มีจริยธรรม คนชั้นสูง การศึกษาดี มีฐานะ ไม่มีประวัติด่างพร้อย แต่ก็ไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้สัมผัสกับตน ไม่อาจจะสนองตอบต่อความต้องการของตน เป็นเพียงการต่อยอดของระบบราชการที่มีอยู่เท่านั้นเอง

ในสมัยก่อนจะมีการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อนระบบคมนาคมจะมีเครือข่ายเชื่อมโยงชนบทกับเมืองเข้าด้วยกัน ก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเป็นล่ำเป็นสันอย่างทุกวันนี้ คนชนบทยังมีรายได้ในระดับต่ำ ไม่มีข้อมูลข่าวสาร ไม่เคยมีประสบการณ์เปรียบเทียบระหว่างการเมือง 2 ระบบว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ราวๆ 10 ปีที่ผ่านมานี้ เขาสามารถเปรียบเทียบได้ชัดเจนว่า 2 ระบอบการปกครองนั้นมีความแตกต่างกัน จึงมีคำพูดว่า "ประชาธิปไตยที่กินได้"

ส่วนคนในเมืองจะไม่มีความรู้สึก เพราะระบอบการปกครองใดตนก็มีอภิสิทธิ์ มีเส้นสาย มีสื่อมวลชนที่อยู่ใกล้ชิดอยู่แล้ว บริการของผู้แทนราษฎรไม่มีความหมาย เพราะตนก็ไม่จำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว การเป็นผู้แทนราษฎรในต่างจังหวัด จึงมีภาระหน้าที่อันหนักหน่วง รวมทั้งต้องใช้เงินทองในการทำหน้าที่บริการประชาชนคนลงคะแนนเสียงมากกว่าผู้แทนราษฎรในกรุงเทพมากมาย

การที่คนในต่างจังหวัดเกิดการเปลี่ยนแปลง มีความรู้ความสามารถในการกลั่นกรอง วิเคราะห์ แยกแยะได้ ไม่ได้ ยากจนข้นแค้น ไร้การศึกษา โง่ อย่างที่คนในเมืองคิด จึงทำให้พฤติกรรมในการลงคะแนนเสียงเลือกพรรคการเมืองต่างกัน

การเลือกตั้งทั่วไปกี่ครั้งในระยะหลังมานี้ ผลการเลือกตั้งโดยส่วนรวมจึงเหมือนเดิม จะแบ่งเขต พวงเล็ก พวงใหญ่ หรือรวมเขต จะเลือกตั้งก่อนปฏิวัติรัฐประหาร หรือหลังการปฏิวัติรัฐประหาร ผลจึงออกมาใกล้เคียงกัน เพราะพรรคใหญ่ 2 พรรคระดับชาติมีทัศนคติ บุคลากรและวิธีคิด วิธีทำงานต่างกัน

ตราบใดที่ความต่างนี้ยังดำรงอยู่ ผลก็จะออกมาเหมือนเดิม ไม่ใช่การซื้อเสียงหรือการใช้เงินของใครมากกว่ากัน

ส่วนวุฒิสภาหรือสภาสูงที่หวังว่าประชาชนจะใช้สิทธิต่างกับการเลือกตั้งสภาผู้แทน ก็เป็นความหวังที่หวังมากเกินไป เพราะจังหวัดต่างๆ พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ก็ย่อมมีกลไกในการจัดตั้งและการหาคะแนนนิยมอยู่แล้ว แต่เนื่องจากใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง รวมทั้งความคาดหวังของผู้เลือกตั้งต่อสมาชิกวุฒิสภาแตกต่างกัน คนที่มีชื่อเสียงดี เป็นที่เชื่อถือของคนในจังหวัดนั้นๆ จึงมีโอกาสได้รับการเลือกตั้ง ไม่เหมือนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรค ไม่ใช่เลือกบุคคล

การมีวุฒิสภาที่ประกอบด้วยบุคคลที่มาจากการเลือกตั้งจึงไม่น่าจะเสียหายอะไร เมื่อมีการเลือกตั้งซ้ำๆ ไปหลายรอบประชาชนก็จะเรียนรู้ไปเอง ส่วนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง แม้จะได้คนดีมีความรู้ แต่ก็อธิบายได้ยากว่าทำไมจึงต้องแต่งตั้งมาโดยไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับประชาชนเลย

การปฏิรูปการเมืองในกรอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ต้องเป็นการปกครองระบอบรัฐสภา เมื่อถึงคราวเลือกตั้งคนในเมืองกับคนนอกเมืองก็ต้องเท่าเทียมกัน จะไปให้คนในเมือง 1 เสียงเท่ากับคนนอกเมือง 2 หรือ 3 เสียงไม่ได้ คงไม่มีใครกล้าคิดทำ จะให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงเหมือนกับสภาทั้ง 2 สภาก็ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน จึงไม่อาจจะทำอะไรได้มากนักในหลักใหญ่ๆ ยกเว้นรายละเอียดย่อยๆ เท่านั้นเอง

การปฏิรูปการเมืองที่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเสนอ จึงเป็นเพียงวาทะกรรมเท่านั้นเอง

ที่มา:มติชนรายวัน
----------------------------------------------

นักวิชาการไม่ห่วงมวลชนสองฝ่ายปะทะ !!?

โดย : ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

ธเนศ. ระบุล้มรัฐบาลอียิปต์ ต่างฝายต่างอ้างประชาชน แต่เมืองไทยเสื้อแดงอยู่ในที่มั่นสนามกีฬาราชมังคลาฯไม่น่าเป็นห่วง ถ้าออกมา2กลุ่มอาจปะทะได้

นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ธรรมศาสตราภิชาน วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสิ่งที่เรียกว่าม็อบ มันสามารถที่จะสร้างแรงกดดันไปจนถึงขนาดให้รัฐบาลต้องยอมได้ ประชาชนจะก็ต้องออกมาเยอะมากตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา หรือ พฤษภาทมิฬ แล้วก็กระจายไปคลุมพื้นที่ พอมวลชนเคลื่อนไปจนเกิดการกระทบกระทั่งกับฝ่ายความมั่นคงที่ดูแลสถานการณ์

หากประเมินมวลชนการเคลื่อนไหวยุทธศาสตร์ของแกนนำม็อบราชดำเนินจากสื่อที่รายงานภายใต้การแบ่งขั้วเลือกข้างของสื่อที่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งวิทยุโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ก็แบ่งเป็น 2-3 กลุ่ม ไม่รวมศูนย์เหมือนเหตุการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเหมือนที่ผ่านๆมา เพระฉะนั้นถ้าสื่อไม่รวมศูนย์แบบนี้การระดมคนออกมาแบบเหตุการณ์ 14ตุลาหรือพฤษภาททมิฬ ไม่น่าจะได้ถึงขนาดนั้น ในอดีตทุกสื่อทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยกับฝ่ายผู้ชุมนุมหมด แต่คราวนี้เห็นด้วย 30-40เปอร์เซ็น ไม่เห็นด้วยประมาณ 40-50 เปอร์เซ็น มีกลางๆอยู่ประมาณ 10-20เปอร์เซ็น เพราะฉะนั้นไม่น่าจะเป็นเอกฉันท์ ทางแกนนำม็อบราชดำเนินต้องขนออกมาอย่างจริงจัง จึงจะได้มวลชนออกมาเป็นล้านอย่างที่ได้ประกาศไว้ โดยจะให้คนเดินทางแบบที่พันธมิตรทำก็ไม่น่าจะได้ถึงขนาดนั้น

ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีเอกภาพถึงขนาดที่ว่าจะเกิดพลังมหาศาลขนาดนั้น เมื่อไม่ได้ ก็ต้องสร้างสถานการณ์ หลายม็อบที่ต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้ ถ้าหากมีการเคลื่อนไหวมวลชนก็อาจจะมีความชุลมุนพอสมควร จุดสุดท้ายก็ยังคงประเมินไม่ได้ว่าจะนำไปสู่การปะทะเพื่อสร้างเงื่อนไขหรือไม่ ขณะนี้ทุกฝ่ายอาศัยเงื่อนไขที่พอได้เปรียบก็ใช้ตรงนั้นเลย มาถึงตรงนี้มองได้ว่าทางแกนนำม็อบราชดำเนินไม่ยอมลงแล้ว เพราะคิดว่ามีมวลชนแล้วมีความได้เปรียบแล้ว ก็ต้องดูว่าใครจะอึดกว่ากัน

ขณะเดียวกันฝ่ายของกลุ่มคนเสื้อแดงเองก็ต้องปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งถูกโจมตีมากในขณะนี้ ตอนนี้ชัดเจนมากว่า ทั้งสภาก็ผูกกับศาลรัฐธรรมนูญที่ลงมติแล้วว่าการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปปช.ก็เตรียมจะเล่นงาน พรรคฝ่ายค้านก็ระดมมวลชนต่อต้าน รัฐบาลตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ รัฐบาลก็มีทางเดียวคือต้องประกาศให้รู้ว่าการกระทำของฝ่ายค้านและม็อบราชดำเนินไม่ใช่มติของคนทั้งประเทศ เป็นเพียงมติของคนที่คัดค้านรัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลเองก็ต้องอาศัยทางกลุ่มเสื้อแดงเองซึ่งก็สามารถระดมมวลชนออกมาเป็นล้านได้เช่นเดียวกัน เสื้อแดงก็ต้องออกมาเหมือนกัน ซึ่งเป็นหมากที่ถูกบีบให้ต้องเดินแบบนั้น อย่างไรก็ตามหากเสื้อแดงไม่ออกนอกสถานที่ชุมนุมไม่เดินออกจากราชมังคลากีฬาสถาน ก็จะเป็นสัญลักษณ์ว่าทางฝ่ายเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลเองก็มีมวลชนเช่นเดียวกัน อย่างอยู่ในที่มั่นไม่ออกมาก็ไม่มีอะไร

ประชาธิปไตยในโลกที่สามยกตัวอย่าง อียิปต์ ต่างฝายต่างอ้างประชาชน และฝ่ายที่ล้มรัฐบาลมอซี่ มีประชาชนจำนวนมาก ที่ออกมาในระดับ10-15ล้านคน ในฝ่ายมุสลิมภารดรภาพก็มีระดับ 10 ล้านเช่นเดียวกัน ปรากฏการณ์ลักษณะแบบนี้จะเริ่มมีให้เห็นบ่อยขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญหาว่าแล้วใครคือประชาชนตัวจริง เพราะว่าตอนนี้ทุกฝ่ายก็มีประชาชนหมดแล้ว

ทางออกหรือวิธีการที่ง่ายที่สุดและในอดีตก็เคยใช้กันมาก็คือฝ่ายนำของแต่ละฝ่ายต้องเจรจากัน จะเจรจาเงียบๆ หรือเปิดเผยผ่านตัวกลาง ก็ต้องทำ หากจะสู้ฝ่ายประท้วงต้องยืนยันว่านายทุนของคุณจะยืนหยัดให้คุณทุกอย่าง จะให้ทุกอย่างหรือไม่ ถ้าหากว่ายังไม่เลิก ซึ่งจริงๆแล้วรัฐบาลมีความได้เปรียบถ้าต่างฝ่ายต่างสู้กัน เพียงแค่ต้องคุมกองทัพไม่ให้แตกแถวแค่นั้นเอง ถ้าหากว่าคุณสามารถสั่งฝ่ายความมั่นคง สั่งตำรวจสั่งกองทัพได้ ก็ได้เปรียบอยู่แล้ว

ตอนนี้มวลชนได้แยกออกเป็นสองฝ่ายชัดเจนซึ่งมันจะไม่เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่มวลชนแห่ไปฝ่ายเดียว คือฝ่ายประชาชนแต่ตอนนี้มีประชาชนสองฝ่าย เพราะฉะนั้นถ้าหากปะทะกันแล้ว ประชาชน ที่จะมาร่วมก็ต้องแบ่งกันออกไป เพราะฉะนั้นจะไม่มีชนะเด็ดขาดด้วยการใช้กำลังแบบประชาชนในแบบอดีต จะกลายเป็นสงครามกลางเมืองไปในที่สุด ที่ต่างฝ่ายต่างระดมกันเข้ามา เพื่อที่จะปะทะกับอีกฝ่าย

ถ้ามองแบบนี้แล้ว ทางฝ่ายที่ประท้วงจึงไม่น่าจะเดินหน้าเพราะก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะมีมวลชนมาเพิ่มจำนวนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่ว่าคนจะแห่มายอมตายด้วยทั้งหมด ม็อบครึ่งหนึ่งก็ต้องกลับบ้านถ้าหากมีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น อย่างคนที่มาม็อบต้องการถ่ายรูปก็แค่ต้องการมาถ่ายรูปเท่านั้นไม่ได้มาเพื่อโดนแก็สน้ำตา ตอนนั้นคนพวกนั้นก็คงกลับบ้านหมด เพราะไม่ใช่มวลชนพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเขาคงต้องคิดหาทางที่จะหยุดหรือที่จะลงเพราะถ้าหากหวังปะทะแล้วชนะ คือคุณประเมินเกินความเป็นจริงไปมาก แต่ถ้าหากประเมินเช่นนั้นแสดงว่าคุณต้องมีอะไรอยู่ในมือ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรในมือหรือไม่

แต่ถ้าให้คาดการณ์ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีมากกว่าที่เห็น สิ่งที่คิดว่าทางแกนนำม็อบราชดำเนินรอในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา คือ คำสั่งยุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งจะจบไปเลย แต่สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรค ทางพรรคประชาธิปัตย์เลยต้องหาทางจะโจมตีรัฐบาลด้วยและลงด้วยจะเอาพร้อมกันเลยมันก็ยากขึ้น

"เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องวัดใจกันในช่วงเวลา 1-2 วันถ้าหากคนมาอย่างน้อย 5 หมื่นคน หรือ 1 แสน ทางแกนนำม็อบราชดำเนินก็อาจจะไปต่อได้แต่ถ้าหากไม่มา ก็ต้องดูท่าทีของรัฐบาลว่าจะส่งสัญญาณออกมาอย่างไร ต้องประเมินสถานการณ์กันชั่วโมงต่อชั่วโมง เพราะทุกจังหวะการก้าวย่าง ทุกคำพูดล้วนจะถูกนำไปขยายความต่อ"ศ.ดร.ธเนศ กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------------

ทางออกประเทศไทย: ระยะสั้นเจรจายุติความวุ่นวาย-ระยะยาวสร้างกติกาใหม่.


Democracy Monument
โดย. SIU
การบริหารงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในช่วงย่างเข้าขวบปีที่สาม ประสบปัญหาความขัดแย้งในประเด็นใหญ่ๆ 2 ประการ

นโยบายที่ผิดพลาด โดยเฉพาะความพยายามของพรรคเพื่อไทยในการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่แตกต่างออกไปจากร่างฉบับแรกที่เสนอเข้ามายังสภาผู้แทนราษฎร จนมีประชาชนชุมนุมคัดค้านเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าในบั้นปลาย พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยและวุฒิสภาจะโหวตให้ร่างฉบับนี้ตกไป แต่วิกฤตศรัทธาต่อการบริหารงานของพรรคเพื่อไทยก็ยังคงอยู่
วิกฤตรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ 2550 นั้นมีปัญหามากมายทั้งในประเด็นเนื้อหาและที่มา ซึ่งรัฐสภาที่นำโดยพรรคเพื่อไทยพยายามแก้รัฐธรรมนูญในส่วนของเนื้อหา แต่ก็ประสบปัญหาโดนคัดค้าน และถูกยื่นตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบให้เกิด “วิกฤตอำนาจตามรัฐธรรมนูญ” ตามมาว่าตกลงแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยับยั้งการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ และจนกระทั่งบัดนี้สังคมไทยก็ยังไม่ได้ข้อยุติที่ชัดเจน
ปัญหาทั้งสองประการส่งผลให้มวลชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเพื่อไทยออกมาเคลื่อนไหวทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ล้อมสถานที่ราชการหลายแห่งจนเกิดผลกระทบต่อการทำงานของข้าราชการในการบริหารประเทศ ในขณะที่มวลชนฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็ประกาศตัวชัดเจนว่าจะปกป้องรัฐบาลอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงว่ามวลชนทั้งสองฝ่ายอาจปะทะจนถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิต

SIU ขอร่วมเสนอทางออกประเทศไทยโดยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นแรก พาประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายควรหันหน้ามาเจรจาเพื่อยุติความวุ่นวายเฉพาะหน้า โดยมีบุคคลหรือหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับจากสังคมทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานและเจรจา ฝ่ายรัฐบาลอาจพิจารณาเงื่อนไขของการยุบสภาเข้าร่วมในการเจรจา และถ้าเกิดข้อตกลงว่าจะยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองทุกแห่งควรทำสัตยาบันว่าจะส่งตัวแทนลงเลือกตั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะสุญญากาศในการบริหารประเทศแบบที่เคยเกิดขึ้นในปี 2549

ขั้นที่สอง สร้างกติกาใหม่ที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เมื่อประเทศเข้าสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลในขณะนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างกติกาใหม่ที่คนไทยทั้งประเทศเห็นชอบร่วมกัน โดยมีความเป็นประชาธิปไตยทั้งในแง่กระบวนการ (เช่น กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขั้นตอนในการลงประชามติ) และเนื้อหา (เช่น ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในทางตรง)

กระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ต้องเข้าถึงประชาชนทุกระดับ และสุดท้ายแล้วอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เราขอเรียกร้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงมวลชนทุกฝ่ายอดทนต่อกระบวนการเหล่านี้ หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงโดยคำนึงถึงชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน  และร่วมกันมองไปถึงผลลัพธ์สุดท้ายในระยะยาวนั่นคือประเทศไทยที่สงบ สันติ และเดินหน้าต่อได้ตามวิถีทางของประชาธิปไตย

ที่มา.Siam Intelligence Unit
-------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ศาลประชาชน มีได้หรือไม่ในประเทศไทย !!?

โดย: สมลักษณ์ จัดกระบวนพล

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 2 บัญญัติว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

มาตรา 3 บัญญัติว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้"

หมายความว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนชาวไทย ซึ่งมีอยู่ 3 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ และพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขแต่พระองค์เดียวที่จะใช้อำนาจนิติบัญญัติ ทางรัฐสภา อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการทางศาล

ในที่นี้จะขอกล่าวรายละเอียดเฉพาะเรื่องของศาลยุติธรรม ซึ่งดูจะเป็นศาลที่ตั้งมาเก่าแก่ที่สุด และเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วประเทศมาก่อนศาลอื่นๆ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 1 บัญญัติว่า "ศาลยุติธรรมตามพระธรรมนูญศาลนี้มีสามชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น"

ได้ตรวจดู โดยละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่ปรากฏบทบัญญัติมาตราใดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับที่เคยมีมา แม้ฉบับปัจจุบันและพระธรรมนูญศาลยุติธรรมทุกฉบับที่มีบทบัญญัติให้มีการตั้ง "ศาลประชาชน" (เว้นแต่ประเทศที่มีการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์) และการที่จะตั้งศาลขึ้นนั้นหาใช่เป็นอำนาจของบุคคลใดหรือกลุ่มชนใดโดยเฉพาะ หากแต่จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 198 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

การตราพระราชบัญญัติเป็นอำนาจของรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยเท่านั้น และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 198 วรรคสอง ยังบัญญัติว่า "การตั้งศาลขึ้นใหม่เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งหรือคดีที่มีข้อหาฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะ แทนศาลที่มีอยู่ตามกฎหมายพิจารณาพิพากษาคดีนั้น จะกระทำมิได้" วรรคสามบัญญัติว่า "การบัญญัติกฎหมายให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาล หรือวิธีพิจารณาเพื่อใช้แก่คดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะจะกระทำมิได้"

การตั้งศาลประชาชนจึงมิอาจเป็นไปได้อย่างแน่แท้ด้วยเหตุผลดังนี้

1.การตั้งศาลต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาเท่านั้นมีอำนาจตราพระราชบัญญัติ ดังกล่าว

2.การจัดตั้ง "ศาลประชาชน" เพื่อกระทำการพิจารณาโทษ คดีใดคดีหนึ่ง ตามที่ต้องการโดยเฉพาะจะกระทำมิได้ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 198 วรรคสอง วรรคสาม

3.การที่จะให้บุคคลที่มีสัญชาติไทยออกไปอยู่ต่างประเทศตามวัตถุประสงค์ที่เสนอให้ตั้งศาลประชาชนนั้นไม่อาจจะกระทำได้เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 34 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า "การเนรเทศบุคคลผู้มีสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามบุคคลผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักรจะกระทำมิได้"

สรุปว่าการเสนอให้ตั้งศาลประชาชนเพื่อพิจารณาลงโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ หรือ ขับไล่ผู้มีสัญชาติไทยออกไปนอกราชอาณาจักร จะกระทำมิได้อย่างแน่นอนยืนยันโดยรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เว้นแต่จะเป็นการพูดเพื่อเอาความมันหรือเพื่อเร่งเร้าอารมณ์มวลชนเป็นหลัก โดยผู้พูดและผู้ชี้นำคงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่เขาเอาตัวรอดได้เสมอเมื่อมีเหตุคับขันเกิดขึ้น

เป็นห่วงอยู่ก็แต่มวลชนที่อยู่ข้างล่างเวทีที่พากันเป่านกหวีดตามหรือหัวเราะอ้าปากไม่หุบด้วยความมัน ว่าอาจจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายใต้ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต"

(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือ ใช้กำลังประทุษร้าย (การประทุษร้ายนั้นไม่ว่าจะเป็นการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล เช่น พูดว่า หรือ ขู่ว่า กระทำการใดๆ อันเป็นผลร้าย แก่บุคคลอื่น ก็เป็นการประทุษร้าย ตามบทนิยาม ของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 1 แล้ว)

(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ

(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

 ต้องละวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี

มีคำพิพากษาฎีกาวางแนวไว้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2034-2041/2527 ป. และ จ. จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีส่วนริเริ่มชักชวนนักศึกษา นักเรียน และประชาชนให้มาชุมนุมกัน ณ สนามหน้าเมืองที่เกิดเหตุมาแต่ต้นและร่วมกล่าวโจมตีขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนมีส่วนในการจัดตั้งหน่วยฟันเฟืองขึ้นจากผู้มาร่วมชุมนุม จนคนเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นจำนวนหลายพันคน ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ขว้างปา และวางเพลิงเผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้การกระทำของจำเลยทั้งสอง ตลอดจนนักศึกษา นักเรียน และประชาชนดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรอีกสถานหนึ่งด้วย

นอกจากว่าจะผิดกฎหมายตามมาตรานี้แล้วยังอาจเฉียดเข้าไปในความผิดตามมาตรา 113 ซึ่งต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตอีกด้วย และแน่นอนถ้าผู้เป็นตัวการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกฎหมายดังกล่าวไม่ว่ามาตราใดมาตราหนึ่ง กลุ่มมวลชนที่นั่งอยู่ข้างล่างเวที และร่วมเป่านกหวีดอย่างเมามันก็จะตกอยู่ในฐานะผู้สนับสนุน ซึ่งตามกฎหมาย อาจต้องรับโทษร่วมกับแกนนำ โดยรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

เมื่อมีการชุมนุมทางการเมืองทุกครั้ง คนที่น่าเห็นใจที่สุดก็คือประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุม เพราะแกนนำซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นนักการเมืองก็จะมีหนทางเอาตัวรอดได้เสมอ ผู้ประสบเคราะห์กรรมทั้งเสียชีวิต และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำคือประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ตัวอย่างก็มีอยู่แล้วเมื่อมีการสลายการชุมนุมในปี 2553 จากเหตุการณ์ครั้งนั้นผู้ที่ร่วมชุมนุมในวันนั้น บุคคลทั่วไปคงจะจำบทเรียนที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ผู้ร่วมชุมนุมถูกจับกุมคุมขังตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนถึงวันนี้ และยังไม่มีท่าทีว่าจะได้รับอิสรภาพ เนื่องจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่บุคคลเหล่านี้ควรได้รับอานิสงส์ก็ถูกบุคคลในองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศคัดค้าน

โดยกลุ่มผู้คัดค้านก็มิได้แสดงจุดยืนให้ชัดเจน ว่าไม่ประสงค์ให้ประชาชนผู้ถูกคุมขังพ้นโทษ หรือไม่ต้องการให้นักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่น หรือที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจออกคำสั่งอันเป็นเหตุให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิต และบาดเจ็บ เป็นจำนวนมากไม่ต้องรับโทษ

บทความนี้เป็นความคิดเห็นประกอบหลักกฎหมายและแนวบรรทัดฐานคำพิพากษาศาลฎีกา มิได้มีความประสงค์จะไปก้าวก่ายการกระทำของนักการเมือง นักวิชาการ ตลอดจนผู้ที่เป็นนักกฎหมายในประเทศนี้ ซึ่งอยู่ในสถานะที่รู้ผิดชอบชั่วดีอยู่แล้ว แต่ต้องการจะตักเตือนมวลชนทั้งหลาย ที่ไม่ทราบอย่างถ่องแท้ถึงการกระทำของตนซึ่งน่าจะเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ประเทศเราอยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุขทุกวันนี้ ก็เพราะมีกฎหมายเป็นหลักควบคุมความประพฤติ

ถ้าบุคคลใดกระทำความผิด เขาก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ตามกระบวนการขอให้ลงโทษตามกฎหมาย และผู้พิจารณาพิพากษาคดีคือ ผู้พิพากษาตุลาการ การใช้สิทธิส่วนบุคคล หรือกลุ่ม เพื่อพิจารณาพิพากษาโทษตามใจปรารถนาของตนนั้น ไม่อาจกระทำได้

การคิดตั้งศาลที่แปลกปลอมนอกจากจะไม่มีอำนาจจะกระทำได้แล้ว ยังเป็นความคิดที่เป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ยกเว้นจะเป็นความคิดหรือคำพูดที่เอามันหรือพูดเพื่อให้บุคคลเกิดอารมณ์ร่วมเท่านั้น

ที่มา:มติชน
----------------------------------------------------------

UN ร้องทุกฝ่ายในไทยเคารพ หลักนิติรัฐ !!?

เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี มุน แสดงความกังวลถึงสถานการณ์ในประเทศไทย ร้องทุกฝ่ายยึดอยู่บนความอดกลั้นและไม่ใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ยังกังวลถึงการยึดหน่วยงานราชการต่างๆ ในประเทศด้วย

28 พ.ย. 2556 บัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์จากกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแสดงถึงความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศไทย และความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลและผู้ชุมนุมที่สูงขึ้นในกรุงเทพ

เลขาธิการสหประชาติ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้นให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงความรุนแรง และเคารพหลักนิติรัฐและสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ เลขาธิการฯ ได้เล็งเห็นถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะยังคงเคารพการชุมนุมของประชาชนที่สันติ

อย่างไรก็ตาม บัน คี มุน “กังวล” ถึงรายงานเกี่ยวกับการยึดหน่วยงานทางราชการของผู้ชุมนุม และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแก้ไขความขัดแย้งนี้ด้วยการเจรจาและสันติวิธี

ในขณะที่วันเดียวกัน นายเจมส์ ไวส์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจาประเทศไทย กล่าวในวันนี้ว่า ออสเตรเลียตระหนักว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พยายามแก้ไขประเด็นปัญหาอันซับซ้อนทางการเมืองผ่านทางรัฐสภาและศาล ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้มีการชุมนุมอย่างสันติและการอภิปรายสาธารณะ

“การชุมนุมอย่างสันติเป็นลักษณะสำคัญของประชาธิปไตย เช่นเดียวกับการเคารพในสาธารณะสมบัติและทรัพย์สินส่วนบุคคล

“ประเทศไทยสามารถมั่นใจได้ในความปรารถนาดีและการสนับสนุนจากประเทศออสเตรเลีย ในขณะที่ประเทศไทยยังคงรับมือกับปัญหาเหล่านี้ต่อไปด้วยวิถีทางของประชาธิปไตย โดยทุกฝ่ายแสดงออกซึ่งความอดกลั้นและการยึดถือหลักนิติธรรม” แถลงการณ์ดังกล่าวระบุ

โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศไทยเช่นกัน โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดหลักประชาธิปไตยและนิติรัฐเป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลต่อการยึดสถานที่ราชการด้วย

ในขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนอย่าง ฮิวแมนไรท์ วอทช์ และองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ต่างแสดงความกังวลต่อเหตุการณ์ทำร้ายผู้สื่อข่าวในที่ชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล หลังจากที่นิค นอสติตซ์ ผู้สื่อข่าว/ช่างภาพอิสระชาวเยอรมัน ถูกทำร้ายโดยการ์ดของที่ชุมนุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บริเวณหน้าบช.น.

ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////

กสม. แถลงข้อเสนอต่อทุกฝ่ายในสถานการณ์การชุมนุม

แถลงการณ์เรื่อง ความห่วงใยต่อสถานการณ์การชุมนุม                    

ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่องข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์ทางการเมือง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 และแถลงการณ์เรื่องความห่วงใยต่อเด็กและเยาวชนที่อยู่ในที่ชุมนุม เมื่อวันที่ 22  พฤศจิกายน 2556  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับทราบและติดตามสถานการณ์การชุมนุมมาโดยตลอด  มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่มีการยกระดับและเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมไปส่วนราชการต่างๆ และการที่รัฐบาลมีการประกาศ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ขยายพื้นที่เพิ่มเติมในขณะที่สถานการณ์ยังไม่เกิดเหตุความรุนแรงจากกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้หวั่นเกรงว่าสถานการณ์จากทั้งสองฝ่ายอาจหมิ่นเหม่ที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหมือนการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมา

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีบทบาทและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ในอันที่จะส่งเสริมการเคารพและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนเพื่อให้เหตุการณ์บ้านเมืองเกิดความสงบและเรียบร้อยอยู่ร่วมกันด้วยความสันติสุข จึงขอให้ทุกภาคส่วนคำนึงและควรปฏิบัติ  ดังนี้
                 
1.  กลุ่มผู้ชุมนุมต้องชุมนุมด้วยความสงบ และปราศจากอาวุธ ปฏิบัติตนภายใต้หลักการสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมาย อีกทั้งไม่ละเมิดกฎหมายหรือสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น  

2.  ประชาชนทุกภาคส่วน นักวิชาการ และกลุ่มบุคคลต่างๆ ซึ่งมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีความเชื่อและความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน ต้องเคารพในความเชื่อและความคิดเห็นของทุกฝ่าย การให้ข้อคิดเห็นต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิและเสรีภาพ  ไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นที่จะส่งผลให้เกิดความแตกแยกและความรุนแรงในสังคม        

3. รัฐบาล ประชาชนทุกภาคส่วน และกลุ่มบุคคลต่างๆ ต้องเคารพการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน  และไม่คุกคามสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง ในขณะเดียวกันสื่อต้องนำเสนอข่าวสารข้อมูลด้วยความเป็นกลางไม่โอนเอียงเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

4.  รัฐบาล และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโปรดดูแล ป้องปราม มิให้เกิดสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่จะก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น  และปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมตามหลักการสากล  โดยหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธและความรุนแรง

5. รัฐบาล และกลุ่มผู้ชุมนุมควรมีการเจรจาด้วยสันติวิธี และร่วมกันแก้ไขปัญหาด้วยเหตุและผล    

ทั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการชุมนุมและการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมจะเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน  อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของประเทศต่อไป

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
28 พฤศจิกายน 2556
---------------------------------------------