--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

สิ่งที่อดีตนายกฯ ทักษิณเห็น !!?


อะไร..ทำให้..ทักษิณ ชินวัตร สมัครใจจะให้เรื่องแก้รัฐธรรมนูญหรือการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่..ต้องผ่านประชามติ..

แน่นอนว่า..การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่..หากผ่านพ้นไปได้และประสพความสำเร็จด้วยดี..ไม่เพียงแต่จะเป็นชัยชนะของ ทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทยเท่านั้น..แต่มันอาจจะเกินเลยไปถึงขั้นที่เรียกได้ว่า..

เป็นชัยชนะของประชาชน

องค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหลายที่ตั้งขึ้นมาจากสภาร่างของการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็น่าจะหมดบทบาทลง..และผลพวงที่เกิดขึ้นประดามีจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระทั้งหลาย..ก็จะไร้ผลบังคับ..

นั่นคือ..วีซ่าเข้าประเทศของ ทักษิณ ชินวัตร

แต่..มันจะง่ายดายอย่างนั้นหรือ..ขบวนการอันยิ่งใหญ่..และอำนาจมหาศาลที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญมีอยู่..จะยอมสูญเสียอำนาจโดยไม่ต้องสู้ป้องกันเลยหรือ..

ทักษิณ ชินวัตร..น่าจะรู้อย่างเด็ดขาดและชัดเจนว่า..เขาจะต้องได้รับการต่อต้านอย่างหนักด้วยสรรพกำลังทุกอย่าง..และในที่สุดคือ..กองทัพ

ดังนั้นแนวร่วมที่ดีที่สุดของเขาก็คือ..ประชาชน..

แม้ว่ามันจะยากและลำบากสักเพียงไหนที่จะทำให้..ประชาชนจำนวนครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์มาใช้สิทธิ์..แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย..และเขาเกือบจะไม่มีทางเลือกที่จะต้องเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทาย..

แต่..การทำประชามตินั้น..ในฐานะนักธุรกิจ..เขามองเห็นแบบที่คนอื่นมองไม่เห็น..นั่นคือ..ประชาชนที่มาสู่คูหาเลือกตั้งในจำนวนที่มากกว่า..จะสนับสนุนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่..ถึงแม้ว่าจำนวนที่ได้มาจะไม่ผ่านครึ่งกึ่งของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนก็จริงอยู่..แต่เป็นเรื่องที่อธิบายได้ง่ายว่า..มันเป็นกติกาที่ใช้ไม่ได้และไม่เป็นประชาธิปไตย..

โดยสรุปก็คือ..ทักษิณ ชินวัตร มีแต่..เสมอกับกำไร..เสมอเพราะเขาชนะโดยเสียงโหวตของคนที่เข้ามาสู่คูหาใช้สิทธิ์..และอาจจะแพ้..ในกติกาที่ไม่เป็นธรรม..เพราะประชามติครั้งแรกเมื่อปี 2550 นั้น..กติกานี้ไม่ได้มีอยู่..

ทักษิณ ชินวัตร..จึงเลือกเส้นทางนี้..

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โพลล์..ชี้ ปชช.ระบุแก้ รธน. ต้องยึดประโยชน์คนทั้งประเทศ.


เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประชาชนเลือกอะไร ระหว่าง แก้ไขนิสัยและพฤติกรรมของนักการเมือง กับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแนวทางลดความแตกแยกเพื่อรวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่ง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ

นางสาว ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประชาชนเลือกอะไร ระหว่าง แก้ไขนิสัยและพฤติกรรมของนักการเมือง กับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแนวทางลดความแตกแยกเพื่อรวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่ง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรปราการ พะเยา เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ นครพนม สกลนคร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,289 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 2 - 5 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.6 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์

เมื่อถามว่า ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วความวุ่นวาย ความขัดแย้งจะจบลงหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.4 ระบุว่า "ไม่จบ" ในขณะที่ ร้อยละ 14.6 เชื่อว่าจะจบ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.8 เห็นว่าถ้าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศมากกว่า ช่วยเหลือคนใดคนหนึ่ง ในขณะที่ร้อยละ 12.2 ระบุไม่เห็นด้วย ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 86.6 คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้เกิดความขัดแย้ง แตกความสามัคคีกันในหมู่ประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 13.4 ไม่คิดว่าจะเกิด

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.9 ระบุรัฐบาลควรเดินหน้าแก้ปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาปากท้องให้กับคนในชาติ ก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ร้อยละ 84.2 ระบุรัฐบาลควรเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาของประเทศ แก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาความรุนแรงในหมู่เด็กและเยาวชน ก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.6 ระบุควรแก้นิสัยและพฤติกรรมที่ไม่ดีของนักการเมืองก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ร้อยละ 10.4 ระบุควรแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นเกือบสามในสี่ของกลุ่มตัวอย่างหรือร้อยละ 73.1 ระบุยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะจะเพิ่มความขัดแย้งขึ้นในหมู่ประชาชน จะทำให้เกิดความแตกแยก แตกความสามัคคีกัน จะทำให้รัฐบาลอายุสั้น ควรเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจก่อน เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 26.9 ระบุช่วงเวลานี้เหมาะสมแล้วที่จะเริ่มเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะ จะช่วยลดปัญหาขัดแย้งในหมู่ประชาชน เป็นหนทางหนึ่งสร้างความปรองดอง รัฐบาลจะทำตามที่หาเสียงไว้ รัฐบาลอยู่นานยิ่งทำให้คะแนนนิยมลด และปล่อยเนิ่นนานไป ปัญหาประเทศจะยิ่งมีมาก เสถียรภาพรัฐบาลจะสั่นคลอน จะแก้ไขรัฐธรรมนูญยิ่งยากมากขึ้น เป็นต้น

ที่น่าพิจารณาคือ ข้อเสนอแนะที่จะช่วยลดความแตกแยกในหมู่ประชาชนและ "รวมทุกคนในชาติเป็นหนึ่ง" สำหรับประเทศไทย พบว่า จำนวนมากที่สุดหรือร้อยละ 41.9 ระบุ ทุกคนช่วยกันแสดงออกซึ่งความรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เช่น การเข้าวัดทำบุญ สวดมนต์ ตักบาตร ถวายพระพร ปกป้องสถาบัน ส่งความช่วยเหลือไปยังชายแดน ช่วยสร้างความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ เป็นต้น รองลงมาคือ ร้อยละ 23.7 ระบุ แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อผู้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตให้กับความสงบสุขและปกป้องประเทศ เช่น ทำหน้าที่ของการเป็นพลเมืองที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต รักษาผืนป่า รักษาแหล่งน้ำ ไม่ใช่จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติ เป็นต้น ในขณะที่ ร้อยละ 17.2 ระบุ มีน้ำใจ เมตตา กรุณา รู้จักให้อภัยต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร้อยละ 13.5 ระบุ มีวินัย เคารพกฎหมาย ไม่ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย ไม่ทำอะไรตามใจตามอารมณ์ ทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และร้อยละ 3.7 ระบุให้ยินดีจ่ายภาษี ไม่หลีกเลี่ยง รักษาทรัพย์สินสาธารณะ และยินดีเสียสละเงินส่วนตัวหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือชุมชน เป็นต้น

ผู้ช่วย ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาสำคัญตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2556 นี้เป็นต้นไป เพราะแกนนำกลุ่มสำคัญในพรรคร่วมรัฐบาลมีความพยายามให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อรัฐบาลเข้าสู่ปีที่สองของการบริหารแผ่นดินซึ่งโดยทั่วไปผู้นำประเทศและรัฐบาลมักจะเริ่มสูญเสียความนิยมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ จนกล่าวได้ว่า หากเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนในเรื่องใดๆ ก็มักจะมีกระแสต่อต้านหรือแรงเสียดทานโดยดึงรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องให้ร่วมรับผิดชอบ และความนิยมก็จะค่อยๆ ลดลงไปอีก โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมา มีสองกรณีที่มีแรงเขย่าจนน่าจะทำให้รัฐบาลแกว่งตัวได้แก่ กรณีเขาพระวิหาร และละครช่อง 3 "เหนือเมฆ 2" ที่สะท้อนให้เห็นว่ามวลหมู่ประชานกำลังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างหนักในเวลานี้

นางสาวปุณฑรีก์ กล่าวต่อว่า คณะวิจัยเอแบคโพลล์เสนอแนะให้นายกรัฐมนตรีหรือคณะที่ปรึกษาอ่านหนังสือสองเล่ม ได้แก่ Arena of Power และ Women and Leadership ซึ่งน่าจะช่วยให้ทราบว่าในปีแรกหลังการเลือกตั้งน่าจะมุ่งเน้นไปที่ "ยุทธศาสตร์แห่งการปรับปรุงและออกกฎหมาย" เพราะในปีแรกของรัฐบาลที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมักจะมีฐานสนับสนุนทั้งในและนอกสภาเพื่อผ่านกฎหมายต่างๆ ได้ไม่ยาก เพื่อเปิดคลังของทรัพยากรและอำนาจที่ใช้บริหารจัดการประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีที่สองจะเป็นเรื่องของ "ยุทธศาสตร์แห่งการกระจายทรัพยากร" ทำให้ประชาชนได้รับทรัพยากรและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างกว้างขวาง เพื่อรักษาคะแนนนิยมและฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อรัฐบาล

" อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย พบว่า ปีแรกกลายเป็น "ยุทธศาสตร์มั่วนิ่มและสร้างความสับสน" จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถามรัฐบาลว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง และยิ่งช่วงปลายปีแรกของรัฐบาลมีภาพของการ "แก้แค้น" มากกว่า "แก้ไข" ซึ่งตรงกันข้ามกับ วาทกรรมของนายกรัฐมนตรีตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่า "จะแก้ไข ไม่แก้แค้น" ผลที่ตามมาคือ ในห้วงเวลานี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลกำลังเผชิญสิ่งท้าทายที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนเพราะเดินผิดขั้นสลับตอนของการทำยุทธศาสตร์ของอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน จึงต้องรอลุ้นกันว่า ปีที่สองของรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์จะสามารถรักษาฐานที่มั่นของความนิยมศรัทธาในหมู่ประชาชนเอาไว้ได้หรือจะเกิดอาการแกว่งตัวจนยากจะอยู่ต่อ

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

ถอดยศ-พระวิหาร-บีทีเอส (มาร์ค-แมลงสาบ) โคม่า !!?


 เริ่มต้นศักราชใหม่ ดูเหมือนว่า เจ้าของฉายา “พรรคแมลงสาบ” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่มี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้าพรรคจะเจอวิบากกรรมถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และแต่ละเรื่องก็ล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น
     
       เรื่องแรกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจเห็นจะหนีไม่พ้นกรณีคดีปราสาทพระวิหารที่จะเห็นดำเห็นแดงกันใน พ.ศ.นี้ที่ “อ้ายปึ้ง-สุรพงษ์ โตวิจักขณ์ชัยกุล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจัดให้ ด้วยการชี้เป้าชัดเจนว่า ถ้าหากไทยแพ้ คนที่ทำให้แพ้ก็คือ “พรรคประชาธิปัตย์” และ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
     
       กรณีนี้พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ถ้าหากราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 15 เพราะปรากฏหลักฐานมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา (อ่านรายละเอียดในหน้า 4 ) แม้อีกหนึ่งจำเลยที่สมควรต้องตราหน้าและบันทึกเอาไว้ไม่แพ้กันก็คือ ทักษิณ ชินวัตรและวงศ์วานว่านเครือ ตลอดรวมถึงข้าทาสบริวารที่มีส่วนสำคัญอันทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
     
       สำหรับกรณีที่สองเพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา เมื่อคู่ปรับและคู่แค้นอย่าง “บิ๊กโอ๋-พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1/2556 เรื่องเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมถอดยศ “ว่าที่ร้อยตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะฉลองปีมะเส็งท่ามกลางความยินดีปรีดาของคนเสื้อแดงที่ตีอกชกตัวด้วยความชอบอกชอบใจ
     
       ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีรายละเอียดดังต่อไปนี้....
       “โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2530 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สมัครเข้ารับราชการในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร หรือเป็นนายทหารสัญญาบัตร ตามกฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของกระทรวงกลาโหม และของกองทัพบก อันมีมูลเหตุมาจากนายอภิสิทธิ์ อายุ 23 ปี เป็นบุคคลที่ไม่ผ่านการรับราชการทหารกองประจำการ ไม่ผ่าน (ขาด) การตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการ โดยไม่ได้รับการผ่อนผันตามกฎหมาย ไม่มีเอกสารใบสำคัญทางทหาร หรือเอกสารการผ่อนผันที่ถูกต้องตามกฎหมายประกอบการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตร ได้ปกปิดข้อความอันเป็นจริง ซึ่งอันควรบอกให้แจ้ง และให้ข้อความไม่ถูกต้องในสาระสำคัญ หลอกลวงให้เจ้าหน้าที่ผิดหลงว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีเอกสารใบสำคัญทางทหารที่ถูกต้องในการบรรจุ
     
       “คณะกรรมการพิจารณาดำเนินการกรณีการบรรจุเข้ารับราชการขึ้นทะเบียนกองประจำการ และการแต่งตั้งยศทหารของ ร.ต.อภิสิทธิ์ ตามคำสั่ง กห.(เฉพาะ) ที่ 444/55 ลง 8 ต.ค. 55 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการ กรณีการบรรจุเข้ารับราชการ การขึ้นทะเบียนกองประจำการและการแต่งตั้งยศทหารของ ร.ต.อภิสิทธิ์ ได้พิจารณาข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยุติแล้ว และได้ใช้ดุลยพินิจพิเคราะห์ถึงมูลเหตุ เจตนา ผลแห่งการกระทำ ข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแบบธรรมเนียมทหารแล้วเห็นว่า คำสั่งในการบรรจุนายอภิสิทธิ์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร และคำสั่งให้แต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ ข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรเป็นนายทหารสัญญาบัตรมียศ ว่าที่ ร.ต.เป็นคำสั่งที่ออกด้วยความผิดหลง และมีที่มาจากความไม่สุจริต จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นคำสั่งที่ยังคงมีผลบังคับให้ผู้เกี่ยวข้องจำต้องปฏิบัติตามต่อไป อีกทั้งสิทธิและหน้าที่ประโยชน์ที่ได้รับจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นยังคงมีอยู่ต่อไปถึงปัจจุบันและในอนาคต ทำให้รัฐและราชการของกระทรวงกลาโหมเสียหาย จึงมีความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควรให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวนั้น และ รมว.กลาโหมได้รับทราบรายงานของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว และได้พิจารณาใช้ดุลยพินิจอันควรภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว เห็นชอบกับความเห็นและข้อเสนอของคณะกรรมการฯของ กห.
     
       “อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ประกอบกับมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.ยศทหาร พ.ศ. 2479 และข้อบังคับ กห.ว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อนและลดตำแหน่งข้าราชการกลาโหม พ.ศ. 2502 หมวด 1 ข้อ 4 (2) จึงให้เพิกถอนคำสั่งดังต่อไปนี้ 1. คำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 720/30 ลง 7 ส.ค. 30 เรื่อง บรรจุบุคคลเข้ารับราชการเฉพาะในรายหมายเลข 1 นายอภิสิทธิ์ หมายเลขประจำตัว 6302030807 คุณวุฒิ Bachelor of Arts (Philosophy, Politics, and Economics) แห่ง University of Oxford ประเทศอังกฤษ เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร ตำแหน่ง รร.อจ.ส่วนการศึกษา รร.จปร. (ชกท.2701) (อัตรา พ.ต.) รับเงินเดือน ระดับ น.1 ชั้น 3 (2,765 บาท) นอกนั้นคงเดิม และ 2. คำสั่งกระทรวงกลาโหม ที่ 339/31 ลง 26 เม.ย. 31 เรื่องแต่งตั้งข้าราชการกลาโหมพลเรือนเป็นนายทหารสัญญาบัตร เฉพาะในรายหมายเลข 1 ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ หมายเลขประจำตัว 6302030807 รรก.อจ.ส่วนการศึกษา รร.จปร. (เหล่า สบ.) นอกนั้นคงเดิม”
     
       แหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงกลาโหมระบุว่า กระทรวงกลาโหมได้ส่งจดหมายเรื่องเพิกถอนคำสั่งกระทรวงกลาโหมไปยังบ้านของนายอภิสิทธิ์แล้ว เพื่อให้เข้ารับทราบ ทั้งนี้ ภายหลังการเพิกถอนคำสั่งบรรจุฯ สถานภาพวันนี้นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นทหารแล้ว ส่วนจะสามารถใช้ว่าที่ ร.ต. หรือ ร.ต.ต้องมีการตีความต่อไปซึ่งทางกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการยกเลิกการแต่งตั้งไปแล้ว แต่เนื่องจากเป็นยศพระราชทานทางกระทรวงกลาโหมจะต้องทำเรื่องอีกครั้งเพื่อขอถอดถอนยศพระราชทาน โดยต้องใช้เวลา 1-2 เดือนในการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
     
       นี่ไม่นับรวมถึงสมาชิกพรรคแมลงสาบที่โดนเล่นงานแบบสะบักสะบอมไม่แพ้กันอย่าง “คุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร” เพราะทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศส่งคุณชายหมูลงชิงชัยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นสมัยที่ 2 หลังจากเล่นเกมการเมืองกันอยู่พักใหญ่ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์”อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษก็เล่นบทโหดด้วยการแจ้งข้อกล่าวหาผู้บริหารกรุงเทพมหานครและผู้เกี่ยวข้องจำนวน 9 คน ได้แก่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม., นายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ อดีตปลัด กทม., นางนินนาท ชลิตานนท์ อดีตรองปลัด กทม. ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งปลัด กทม., นายธนา วิชัยสาร ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. นายประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการบริษัท กรุงเทธนาคม จำกัด,นายอมร กิจเชวงกุล กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด,นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน),นายสุรพงศ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) และอีก 2 องค์กรคือบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และผู้บริหาร บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส รวม 11 คน ในข้อหาร่วมกันประกอบกิจการรถรางโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจาก รมว.มหาดไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 86 ซึ่งกรณีนี้ผลจากการที่ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพธนาคมฯ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ทำให้สัญญาให้บริการเดินรถรวมถึงสัญญาอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดเจน โดยกฎหมายก็ถือว่าตกเป็นโมฆะ
     
       นอกจากนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีการพิจารณาแล้วเห็นว่า รมว.มหาดไทยเป็นผู้ที่มีอำนาจ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร ซึ่งหาก รมว.มหาดไทยเห็นว่าการปฏิบัติใดๆ ของผู้ว่าฯ กทม.ขัดต่อกฎหมายหรือว่าเป็นไปในทางทำให้เกิดการเสียประโยชน์ของกรุงเทพมหานคร รมว.มหาดไทยสามารถยับยั้งหรือสั่งการตามที่เห็นสมควรได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีหนังสือไปถึง รมว.มหาดไทย โดยให้มีการพิจารณาถึงการปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร หากว่าเป็นไปไม่ชอบโดยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้มีส่วนได้เสียอาจจำเป็นต้องดำเนินการยกความเสียเปล่าแห่งความเป็นโมฆะของสัญญาขึ้นกล่าวอ้างได้ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้นัดหมายให้ผู้ต้องหาทั้ง 11 คน มาพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 9 ม.ค. ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น.
     
       งานนี้เล่นเอา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เต้นเป็นเจ้าเข้าเลยทีเดียว เพราะเป็นการเตะตัดขาในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่กำลังจะมาถึงอย่างจังเบอร์
     
       ไหนจะอดีตเลขาธิการพรรคผู้ยิ่งใหญ่อย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณที่จะต้องโดนเล่นงานร่วมกับนายอภิสิทธิ์ในคดีแดงเผาบ้านเผาเมือง และคดีเขาแพงที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน-แทน เทือกสุบรรณ แหย่ขาเข้าตะรางไปแล้วข้างหนึ่งจากฝีมือของ “นายธาริต เพ็งดิษฐ” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าเก่าที่เปลี่ยนสีไปยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามทั้งตัวและหัวใจ
     
       ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า ปี 2556 ปีนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างไม่รู้จักจบสิ้น


ที่มา.หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เศรษฐกิจไทย ปี 2556


คอลัมน์ : คนเดินตรอก

ทุกวันนี้รู้สึกว่าวันคืนจะผ่านไปเร็ว เผลอไม่นานก็จะสิ้นปีแล้วก็ขึ้นปีใหม่แล้ว หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อของกระแสที่ว่าวันที่ 21 ธ.ค. 2555 จะเป็นวันสิ้นโลก ก็คงจะเบาใจไปได้ เพราะเป็นความเชื่อที่ตั้งอยู่บนตรรกะที่อธิบายไม่ได้ คนที่เชื่อหมอดู หรือโหราจารย์

ทั้งหลายที่อาศัยดูดวงชะตาของบ้านเมือง ก็อย่าไปเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ตำราโหราศาสตร์ที่บรรดาหมอดู หรือโหรใช้เป็นพื้นฐานในการทำนายทายทักบอกไว้เช่นนั้น ก็อย่าได้ปักใจเชื่อให้มากนัก ให้เชื่อในหลัก "อิทัปปัจจยตา" ของพระพุทธองค์ของเราดีกว่า เพราะเป็นหลักความจริง

เรามาลองเป็นหมอดูพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจบ้านเราในปี 2556 ตามหลักตรรกะว่าจะเป็นอย่างไรน่าจะดีกว่า ความเห็นที่กล่าวต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับการมีตำแหน่งแห่งที่ใด ๆ ทั้งในภาคราชการและภาคเอกชน ลองมาดูว่าสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในปีหน้าน่าจะเป็นอย่างไรก่อน

เรื่องแรก ข่าวใหญ่ปลายปีก็คือข่าวเรื่องพลังงาน เพราะพลังงานหรือราคาน้ำมันเป็นเรื่องที่สำคัญกับบ้านเรามาก ข่าวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่สำคัญคือข่าวที่สหรัฐอเมริกามีเทคโนโลยีใหม่ที่จะระเบิดชั้นหินดินดานลึกลงไปใต้ดินถึงกว่า 2 กม. แล้วอัดน้ำ

ลงไปเอาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นผลสำเร็จ และสามารถนำมาใช้ทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณการผลิตจะแซงหน้าประเทศซาอุดีอาระเบียได้ในปี 2556 และอาจจะกลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบในอนาคตข้างหน้า บัดนี้เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว เพราะซาอุดีอาระเบียได้ประกาศลดการผลิตของตนลงวันละ 1 ล้านบาร์เรล เมื่อเป็นเช่นนี้สัญญาณก็ค่อนข้างชัดว่าราคาน้ำมันน่าจะมีแนวโน้มลดลง การที่สหรัฐอเมริกาเริ่มบอกขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวให้กับประเทศที่ทำสัญญา

เขตการค้าเสรีกับอเมริกาและประเทศที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ก็น่าจะเป็นข่าวดีกับประเทศของเรา เพราะค่าเงินดอลลาร์น่าจะแข็งขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยทางการของธนาคารกลางประกาศว่าจะคงที่ ซึ่งอาจถึง 0.25 เปอร์เซ็นต์ไปอีก 2 ปี

เรื่องที่สอง เรื่องของญี่ปุ่นมีปัญหาจะต้องปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศทั้งหมดใน 18 ปีข้างหน้าและต้องหันกลับมาใช้พลังงานธรรมดา ซึ่งน่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของญี่ปุ่นคงต้องสูงขึ้นอย่างมาก สร้างความหวั่นไหวให้กับภาคเอกชนของญี่ปุ่นไม่น้อย

นอกจากกระแสการต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อันเกิดจากความหวาดกลัวจะเกิดเรื่องเหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเกาะเซนกากุ หรือที่จีนเรียกว่าเกาะเตียวหยู เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้ง อันมีรากฐานมาจากความเป็นชาตินิยมของทั้งสองฝ่าย ความขัดแย้ง

ดังกล่าวจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น หรือจะลดลง เป็นเรื่องคาดเดายาก เพราะเป็นเรื่องการเมือง แต่ก็สร้างปัญหาให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมที่ญี่ปุ่นไปลงทุนเอาไว้เป็นอันมาก นักลงทุนญี่ปุ่นอึดอัดหวั่นไหวอย่างจริงจังมาก

ทั้งสองปัจจัยเป็นสาเหตุให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นหาทางโยกย้ายอุตสาหกรรมออกจากญี่ปุ่นและจีน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสดีของประเทศไทย ถ้าเราเร่งปรับปรุงพัฒนาถนนหนทาง ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน

โดยเร็วเพื่อรองรับโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นเรื่องที่สาม ที่สื่อมวลชนตะวันตกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของจีนจะเริ่มชะลอความร้อนแรงลง เพราะความสำคัญของจีน หรือสหรัฐอเมริกา และยุโรปอ่อนกำลังลง

แต่ข่าวล่าสุด การไม่ได้เป็นอย่างนั้น เศรษฐกิจจีนยังขยายตัวในอัตราที่สูง ทั้ง ๆ ที่การเกินดุลการค้า และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลน้อยลง อีกทั้งขนาดเศรษฐกิจก็ใหญ่ขึ้นมากแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะจีนเร่งการลงทุนโดยภาครัฐบาลขนานใหญ่มาโดยตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา การก่อสร้างทางหลวง ทางด่วน สนามบิน รถไฟ รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือน้ำลึก ท่าเรือธรรมดา อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย สำนักงาน สิ่งต่าง ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แม้หนี้สาธารณะต่อรายได้ประชาชาติจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ความเสี่ยงในเรื่องการเงินไม่มี แม้กระนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนก็ไม่ได้ลดลง

ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจของจีนยังเดินหน้าต่อไป ทั้ง ๆ ที่ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นอย่างมาก ขณะนี้สูงกว่าประเทศของเราแล้ว ก็น่าจะเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนเก่า เพราะระดับการพัฒนาได้สูงขึ้นไประดับหนึ่งแล้ว ในบรรดาประเทศอาเซียนเก่าทั้งหลาย ประเทศไทยคงเป็นประเทศที่น่าจะได้เปรียบที่สุด เพราะที่ตั้งของประเทศอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่

ไม่ต้องลงทะเลอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ประเทศจีนดำเนินนโยบายอย่างชาญฉลาดมาก เคยเขียนยกย่องมาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าจะไม่สบอารมณ์ของไอเอ็มเอฟและสหรัฐอเมริกาก็ตามยิ่งราคาน้ำมันมีทีท่าจะเป็นขาลง ก็น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจของจีนได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะจีนเป็นผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ

เรื่องที่สี่ การเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ของประเทศเมียนมาร์ หรือประเทศพม่าที่เราคุ้นมาก จากการที่ประเทศพม่า
ล้าหลังทุกอย่าง เพราะนโยบายอันโง่เขลาของกองทัพพม่าที่คิดว่าตัวจะต้องรวบอำนาจไว้ปราบปรามประชาชนคนกลุ่มน้อย

กลัวประเทศจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จึงปิดประเทศยึดอำนาจจากรัฐบาลประชาชน พม่าจึงมีความล้าหลังชาวโลกเขาหมดทุกด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การศึกษา การทหาร เทคโนโลยี การบริหารจัดการ รวมทั้งทรัพยากรมนุษย์ด้วย

เมื่ออยู่ ๆ รัฐบาลพม่าก็เปลี่ยนนโยบายเปิดประเทศ จะพาประเทศก้าวไปสู่ประชาธิปไตย จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ก็คงไม่หนีประเทศไทยที่น่าจะได้รับประโยชน์ร่วมกับประชาชนชาวพม่า ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีเงินทุน มีทรัพยากรมนุษย์ มีที่ตั้งเป็นประตูไปสู่พม่า รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ไม่ว่าจะเป็นไทยใหญ่ มอญ กะเหรี่ยง ชนชาติเหล่านี้ก็มีอยู่ในเมืองไทยไม่น้อยกว่าพม่า เพียงแต่กลายเป็นคนไทยไปหมดแล้ว เมื่อพบคนไทยใหญ่ หรือคนมอญจากพม่ามาทำงานเมืองไทย ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นคนต่างชาติมากนัก ฝั่งเขาก็คงรู้จักอย่างเดียวกับเรา เหมือน ๆ กับคนที่มาจากลาว และกัมพูชา

เรื่องที่ห้า ยุทธศาสตร์การพัฒนาของภูมิภาค ซึ่งในระยะข้างหน้านี้เน้นในเรื่องการเชื่อมโยงภายในภูมิภาค หรือที่เรียกกันว่า "Connectivity" โดยมีจีนและญี่ปุ่น มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 และอันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีเงินทุนและเครือข่ายการตลาดที่เข้มแข็งกระจายไปทั่วโลก เป็นหัวเรือใหญ่ที่จะทะลุเชื่อมโยงปักกิ่ง เฉิงตู คุนหมิง เวียงจันทน์ กรุงเทพฯ กัวลาลัมเปอร์ ไปถึงสิงคโปร์

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็ผลักดันการเชื่อมโยงทะเลจีนใต้กับทะเลอันดามัน เพราะช่องแคบมะละกาที่ดูเหมือนกว้าง แต่ร่องน้ำสำหรับเดินเรือแคบนิดเดียว ไม่กี่ไมล์ทะเล เรือเดินสมุทรต้องรอคิวผ่าน 2-3 วัน และนับวันจะมีการจราจรคับคั่งยิ่งขึ้น ญี่ปุ่นผลักดันให้เปิดท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย แล้วมีทางด่วน ทางรถไฟทั้งธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง ระยะแรกเชื่อมท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดกับแหลมฉบังเข้ากับท่าเรือที่เมืองทวาย เปิดประตูสู่พม่า บังกลาเทศ และอินเดียยุทธศาสตร์เชื่อมโยงเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกมาพบกันที่ประเทศไทยของเรา รัฐบาลไทยขานรับในขณะที่เราสะสมเงินออมมานานกว่า 15 ปี เอกชนไทยเข้มแข็งพอสมควร โอกาสอย่างนี้เพิ่งเกิดในระยะ 5-6 ปีที่แล้ว เรามัวแต่ยุ่ง ๆ อยู่กับการไล่ล่ากัน จึงไม่มีใครคิดถึง

เรื่องที่หก เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด เมื่อคราวเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศ สร้างความ
เสียหายอย่างมหาศาลให้กับภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของเรา ทีแรกต่างก็คาดการณ์ว่าคงต้องใช้เวลานานพอสมควรในการซ่อมแซมเครื่องจักร ในการเปลี่ยนเครื่องจักร ในการเรียกขวัญและกำลังใจนักท่องเที่ยว ในการฟื้นฟูเครือข่ายโยงใยการตลาด

แต่เอาเข้าจริงสิ่งต่าง ๆ ที่ขาดตอนไป เริ่มจากขวัญกำลังใจฟื้นกลับคืนมาเร็วกว่าที่คาด เริ่มจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวก่อนเพราะกองทัพนักท่องเที่ยวจีน ทะลักเข้ามาแทนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวยุโรปและอเมริกาเป็นจำนวนมาก เพราะเศรษฐกิจเขายังไม่ชะลอตัวอย่างที่คิด ไปไหนมาไหน แม้แต่ที่ตลาดนัดจตุจักรก็พบแต่นักท่องเที่ยวจีน พ่อค้าแม่ขายที่พูดภาษาอังกฤษ งู ๆ ปลา ๆ ก็กลับมาพูดจีนกลาง งู ๆ ปลา ๆ เสียแล้ว บริษัทห้างร้านขายของมียี่ห้อ โรงแรม ภัตตาคารแพง ๆ ก็เริ่มต้องมีภาษาจีน หรือพนักงานขายที่พูดจีนได้ไว้ต้อนรับลูกค้า ตลาดล่าง ตลาดกลาง และตลาดบน ลูกค้ากลายเป็นคนจีนไปเสียแล้ว

ยิ่งจีนกับญี่ปุ่นมีความตึงเครียดทางการเมือง นักท่องเที่ยวก็หันมาประเทศอาเซียนมากขึ้น และในบรรดาอาเซียน ประเทศไทยก็เป็นศูนย์กลางที่จะต่อไปนครวัด ไปย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ ไปเวียงจันทน์ หลวงพระบาง ไปเวียดนาม ทั้งฮานอย และไซ่ง่อน

ส่วนเรื่องที่เป็นตัวถ่วงและเป็นปัญหามาก ก็น่าจะมีสองเรื่องเรื่องแรก เรื่องการเมืองที่ทะเลาะกันไม่เลิก และคงจะเลิกกันได้ยาก ถ้าไม่ระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างคนชั้นสูงที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ และความเชื่ออนุรักษนิยม ไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ต้องการรักษาสถานะเดิมทางการเมือง ความคิดและวิสัยทัศน์เดิม กับคนชั้นล่างที่เติบใหญ่ขึ้น ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง มีฐานะทางสังคมสูงขึ้น เพราะฐานะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ มากขึ้น

การเรียกร้องความเท่าเทียมกันทั้งในเรื่องศักดิ์ศรี การบังคับใช้กฎหมาย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมที่รัฐจะพึงปฏิบัติ การมีมาตรฐานเดียวกัน น่าจะรุนแรงมากขึ้น ตามหลักความเป็น "อนิจจังของรัฐ" แรงเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงกับแรง
ต่อต้านน่าจะมากขึ้น ถ้าไม่มีใครยอมถอย การปะทะกันก็จะเกิดขึ้นอีกกติกาที่เขียนโดยฝ่ายชนะ โดยการใช้กำลังทหารปฏิวัติยึดอำนาจ ก็น่าจะถูกต่อต้านกดดันให้แก้ไขมากขึ้น ถ้าก้าวไปอย่างสันติตามแนวทางประชาธิปไตยไม่ได้ ก็น่าจะเป็นไปในทางที่ไม่น่าปรารถนามากขึ้น

อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือการทะลักเข้ามาของเงินทุนระยะสั้น หรือที่เรียกว่า "hot money" จะรุนแรงขึ้น ถ้าความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินบาทกับดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ยังจะสูงอยู่อย่างนี้ เพราะความกลัว "เงินเฟ้อ" ซึ่งไม่น่าจะมีจนเกินไปของทางการ เงินบาทอาจจะแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเศรษฐกิจทั้งระบบปรับตัวไม่ทัน โอกาสที่พูดมาทั้งหลายก็อาจจะไม่เกิด

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม : พินิจกรณีกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ (พ.ศ.2445) .


โดย ชัยพงษ์ สำเนียง
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ ม.เชียงใหม่

ประวัติศาสตร์ชาตินิยม เรื่องเล่าและความทรงจำ

ภายใต้กรอบคิดแบบ “ประวัติศาสตร์ชาตินิยม” ที่แพร่หลายกว้างขวางในช่วง 2 -3 ทศวรรษนี้แต่ในขณะเดียวกันความเป็นท้องถิ่น หรือความสำนึกในบ้านเกิดเมืองนอนก็แพร่หลายและขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน กอปรกับการคลี่คลายของกระแสประวัติศาสตร์ชาติที่เปิดช่องให้มีการศึกษาท้องถิ่นมากขึ้นภายหลังทศวรรษที่ 2520 จึงทำให้มีพื้นที่แก่ “เรื่องเล่า” (Narrative) และ “ความทรงจำ” (Memory) ของคนในท้องถิ่นเข้าในการอธิบายประวัติศาสตร์
แต่ในขณะเดียวกันก็จะเห็นความไม่ลงรอยระหว่างประวัติศาสตร์ชาติที่ผลิตสร้างโดย “รัฐ” กับเรื่องเล่าของ “ชาวบ้าน” “ที่มีเรื่องเล่าและความทรงจำอีกชุดหนึ่ง” แต่เราจะเห็นชาวบ้านที่มีเรื่องเล่าเพื่อสร้างหรือรักษาอัตลักษณ์ของตน
แพร่ ประวัติศาสตร์ชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม ภาพจากเว็บไซต์จังหวัดแพร่
แพร่ ประวัติศาสตร์ชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม ภาพจากเว็บไซต์จังหวัดแพร่
ประวัติศาสตร์ที่คลี่คลายมาในระยะหลังนี้เห็นความสอดคล้องต้องกันระหว่างประวัติศาสตร์ชาตินิยม คือ การเสียสละและยินยอมเพื่อบ้านเมือง เพื่อพระมหากษัตริย์ เป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำของบุคคล บ้านเมือง เพื่อจัดวาง “ตำแหน่งแห่งที่” ของตนภายใต้ประวัติศาสตร์ชาติ
ในขณะเดียวกันก็ผสมกับเรื่องเล่าในท้องถิ่น หรือ “ท้องถิ่นชาตินิยม” เข้าไปด้วย เพื่ออธิบายวีกรรมของคนในท้องถิ่น หรือวีรบุรุษ วีรสตรี ของท้องถิ่นเข้าไปในประวัติศาสตร์ชาตินั้นๆ อาทิ วีรกรรมของท้าวสุรนารี (ย่าโม) ที่สามารถปกป้องการรุกรานของเจ้าอนุวงศ์กษัตริย์ลาว (ที่ถูกทำให้เป็นผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ไทย แต่เป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ลาว (ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ 2555))
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะมีจริงหรือไม่แต่ท้าวสุรนารีได้กลายเป็น “ความทรงจำร่วม” ของคนโคราช และแสดงให้เห็นถึง “วีรกรรม” อันห้าวหาญ ปกบ้าน คุ้มเมือง และนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแสดงให้เห็น “อัตลักษณ์ร่วมของชาวโคราช” กลายเป็น “ผีประจำเมือง” (ดู สายพิน แก้วงามประเสริฐ 2538) ซึ่งไม่อาจ “ลบหลู่ได้”
แม้ว่าจากการศึกษาของสายพิน แก้วงามประเสริฐ (2538) จะชี้ให้เห็นการ “ผลิตซ้ำ” “สร้างใหม่” เกี่ยวกับเรื่องราววีกรรมของท้าวสุรนารี ด้วยเหตุผลบางประการแต่ก็ไม่อาจทัดทานความเชื่อ หรือ “การรับรู้” (Perception) ของประชาชนได้ เรื่องเล่า การรับรู้ผสมผสานโครงเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกันเกิดภายใต้บริบทของ “ความเป็นท้องถิ่นนิยม” ที่สัมพันธ์อย่างแนบชิดกับ “ประวัติศาสตร์ชาตินิยม” ทำให้เกิดประวัติศาสตร์ในสกุล “ท้องถิ่นชาตินิยม”ที่แพร่หลายกว้างขวาง
อย่างไรก็ดี “เรื่องเล่าจากท้องถิ่น” อย่างเดียวไม่สามารถสถาปนาการรับรู้ได้กว้างขวาง เนื่องด้วยพลานุภาพของ “ประวัติศาสตร์กระแสหลัก” ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในสังคมไทย จึงทำให้ต้องมีการผลิตโครงเรื่องที่ประสานระหว่าง “ชาติ” และ “ท้องถิ่น” จึงจะสถาปนาโครงเรื่องนั้นๆ ได้ และสามารถจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของโครงเรื่องที่สร้างใหม่ได้ต้องมี “ชาติ” เข้ามาเกี่ยวพันด้วย
“โครงเรื่อง” (Plots) ของ “ท้องถิ่น” อย่างเดียวไม่มีพลานุภาพในการสร้างการรับรู้ และจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์ได้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในปัจจุบันจึงต้องอิงแอบกับ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย”
‘โครงเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม’ ทำให้เห็นถึงอิทธิพลของ “รัฐ” ที่สามารถกำหนดการรับรู้ของคนท้องถิ่นโดยคนในท้องถิ่นไม่สามารถสร้างความหมายที่แตกต่าง แยกขั้ว แสดงให้เห็นถึงการกล่อมเกลาของรัฐผ่านช่องทางต่างๆ ที่ได้ผลต่อการรับรู้เหตุการณ์และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภายใต้อุดมการณ์ “ชาตินิยม” หรือมุมมองแบบรัฐ (ดูเพิ่มในประวัติศาสตร์ — การสร้างประวัติศาสตร์ชาตินิยม ท้องถิ่นนิยม ท้องถิ่นชาตินิยม)
นอกจากนี้ภูมิหลังของผู้ผลิตงานประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาจากรัฐหรือไม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือข้าราชการ ทำให้มุมมองของผู้ผลิตงานมองผ่านสายตาของ “รัฐ” เป็นหลัก

สกุลความคิด ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม

เพื่อความเข้าใจต่อสกุลความคิด “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม” ผมจะยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ ‘กบฏเงี้ยวเมืองแพร่’ พ.ศ. 2545 ที่เป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของคนเมืองแพร่ ที่ก่อกบฏในปี พ.ศ. 2445 โดยการกบฏครั้งนี้เป็นการ “กบฏ” “ลุกขึ้นสู้” ของ “เงี้ยว” (ไทใหญ่) และชาวเมืองแพร่ โดยมีเจ้าหลวงเมืองแพร่ (เจ้าเมือง) เข้าร่วมการ “กบฏ” ต่อการปฏิรูปของรัฐกาลที่ 5 และได้รับการปราบปรามอย่างเด็ดขาด
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการบรรจุในแบบเรียนเพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง และลดทอนให้เป็นการกระทำของ “เงี้ยว” เจ้าเมืองแพร่ โดนละเลยบริบทของเหตุการณ์ที่ซับซ้อนลง ทำให้เกิดการรับรู้อย่างกว้างขวางว่า “เมืองแพร่เป็นเมืองกบฏ” (ดูรายละเอียดใน ชัยพงษ์ สำเนียง 2550)
แม้เรื่องนี้จะผ่านมาร้อยกว่าปี แต่เป็น “ประวัติศาสตร์บาดแผล” ที่ยากจะลบออกจากความทรงจำของคนแพร่ แม้ว่าจะมีการสร้างคำอธิบายใหม่ เช่น เกิดจากการกดขี่ภาษีของทางการทำให้คนเมืองแพร่ลุกขึ้นสู้ (ดู ยอดยิ่ง รักษ์สัตย์ 2532) หรือการให้ข้อมูลเหตุการณ์นี้เกิดอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะแต่เมืองแพร่ (พระธรรมวิมลโมลี 2545)
แม้แต่งานของผู้เขียนที่อธิบายเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ในหลายมิติ (ชัยพงษ์ สำเนียง 2550) แต่การรับรู้ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ก็ไม่อาจหลุดพ้นจาก “เมืองกบฏ” ไปได้
ดังนั้น ในทศวรรษที่ 2540 จึงมีการ ‘ผลิตสร้าง’ ‘ให้ความหมายใหม่’ เพื่อจัดวาง ‘ตำแหน่งแห่งที่’ (Position) ของคนกลุ่มต่างๆ ที่ต่างได้รับ “ผล” จาก “อดีต” ของเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย การปรากฏขึ้นของ “เรื่องเล่า” และ “ความทรงจำ” ของคนท้องถิ่น ในโครงเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ นำไปสู่การให้ความหมาย และการจัดวาง “ตำแหน่งแห่งที่” ของโครงเรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่แบบต่างๆ เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นหน่ออ่อนของความคิดท้องถิ่นชาตินิยมที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสร้างประวัติศาสตร์เมืองแพร่ช่วงเกิดกบฏเงี้ยวอย่างกว้างขวางและมีชีวิตชีวา
โดยเฉพาะการสร้างคำอธิบาย “ในการกระทำของเจ้าหลวงเมืองแพร่” เพราะการที่เจ้าหลวงร่วมก่อกบฏทำให้เป็น “ตัวการสำคัญ” ที่ราชการสร้างการรับรู้เรื่องนี้
งานในท้องถิ่นเสนอเหตุการณ์ “การหนี” หรือ “การปลด” เจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่ออกจากตำแหน่ง เนื่องจาก 1. ถูกปลดและหลบหนีออกจากเมืองไป 2. เสนอว่าออกไปโดยความยินยอมพร้อมใจของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ และมีกองเกียรติยศส่งออกนอกเมือง
ประวัติศาสตร์ “โจรเงี้ยวปล้นจังหวัดแพร่” หรือ ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค ให้ภาพการหนีของเจ้าหลวงเมืองแพร่ว่าเกิดจากการ ‘หนีราชการ’ ด้วยทำผิดระเบียบต่อราชการเจ้าหลวงจึงถูกปลด
“…ทางราชการได้พิจารณาเห็นว่า เจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการ ประกอบทั้งเป็นเวลาที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในระหว่างเกิดการจราจลด้วย จึงได้ให้พวกญาติติดต่อให้เจ้าพิริยะเทพวงศ์กลับมาเสีย เป็นเวลาหลายวันก็ไม่กลับมา จึงได้ประกาศถอดเจ้าพิริยะเทพวงษ์ จากตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครแพร่ลงเป็นไพร่ คือ ให้เป็น “น้อยเทพวงษ์” ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ร.ศ. 121…” (จังหวัดแพร่2501)
เจ้าพิริยเทพวงศ์ ภาพจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่
เจ้าพิริยเทพวงศ์ ภาพจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่
การ “ปลด” เนื่องด้วยละเลย หนีราชการ แต่ไม่ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมในการก่อการ “กบฏ” ครั้งนี้แต่อย่างใด ทำให้ละเลย ลดทอน ภาพกบฏลงไปได้อย่างมาก
แต่ถ้าเป็นงานของท้องถิ่นจะมีกลิ่นอายของเรื่องเล่าเจือปน เช่นงานของ เลิศล้วน วัฒนนิธิกุล (มปป.) เรื่อง ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ 800 ปี หรืองานของ เสรี ชมพูมิ่ง (มปป.) เรื่องเจ้าพิริยะเทพวงษ์ ผู้นิราศเมืองแพร่ท่ามกลางกองเกียรติยศ ใน เมืองแป้ปื้น แห่งเมืองโก๋ศัย ความว่า
“…เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีใช้วิธีปล่อยข่าวให้เจ้าเมืองแพร่รู้ว่าจะมีการจับตัวเจ้าเมืองแพร่และเจ้าราชบุตร ข่าวลือนี้ได้ผลเพราะตอนดึกคืนนั้น เจ้าเมืองแพร่พร้อมด้วยคนสนิทอีก 2 คน ก็ลอบหนีออกจากเมืองแพร่ทันที… การหลบหนีของเจ้าเมืองแพร่ในคืนนั้น ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี โดยมีคำสั่งลับมิให้กองทหารที่ตั้งอยู่รอบเมืองแพร่ขัดขวาง จึงทำให้เจ้าเมืองแพร่หลบหนีออกไปได้โดยสะดวก…”
หรือ “…ท่านแม่ทัพคือ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจะเชือดไก่ให้ลิงดู คือ จับพวกสมรู้ร่วมคิดกับพวกเงี้ยวไปยิงเป้า เพื่อจะให้เจ้าหลวงกลัว จะได้หาทางหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรไป แต่จนแล้วจนรอดเจ้าหลวงก็ไม่กลัวไม่ยอมหนีถึงต้องใช้วิธีเชิญออกจากเมืองโดยกองเกียรติยศ”
“เหตุการณ์ก่อการจลาจลในเมืองแพร่ข้อเท็จจริงจะมีประการใด ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯ…ไม่มีกล่าวถึงในตอนนี้เลยผู้อ่านอาจเข้าใจได้หลายกรณี และอาจเป็นผลเสียหายก็ได้ จึงขอกล่าวตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังพอจะจำเหตุการณ์ได้…
ได้ความว่า เมื่อเจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯทราบว่า ทางกรุงเทพฯ ยกกองทัพมาปราบ เจ้าผู้ครองนครก็ยังคงพำนักอยู่ในคุ้ม…ส่วนพลโทเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ ก็มิอาจพิจารณาปรับโทษลงไปได้ว่าเป็นความผิดเจ้าผู้ครองนคร เพราะเจ้าผู้ครองนครไม่ทราบแผนการของพวกเงี้ยวมาก่อน…เจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯมิได้เป็นผู้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยเลย…
ภายหลังจากการปราบจลาจลสงบลงแล้ว ท่านยังคงพำนักอยู่ในคุ้มหลวงของท่านตามปกติเป็นเวลานานถึง 3 เดือนเศษ…เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีก็มิอาจจับตัวเจ้าผู้ครองนครโดยปราศจากเหตุผลอันควรได้…ทางกองทัพที่ยกมาปราบ จะให้เจ้าผู้ครองนครรับผิดชอบ ทั้งยังส่งคนไปติดต่อแนะนำให้เจ้าผู้ครองนครหนีออกจากเมืองแพร่ไปเสีย…
เมื่อเจ้าผู้ครองนครแพร่ได้รับความกระทบกระเทือนเช่นนี้จึงได้ตัดสินใจหนีออกจากเมืองแพร่ไป…การที่เจ้าพิริยะเทพวงศ์อุดรฯหนีไปคราวนี้ กล่าวกันว่าเพราะความเกรงกลัวพระราชอาญา แต่ยังมีหลายท่านกล่าวว่า ท่านมิได้หนีเพราะความเกรงกลัวพระราชอาญาเลย เพราะท่านถือว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ มิได้คิดคดทรยศต่อแผ่นดิน…
เหตุที่ท่านตัดสินใจหนีไปนั้นก็เพื่อตัดปัญหาความกดดันในขณะนั้น และเพื่อจะให้เหตุการณ์ในเมืองแพร่สงบราบรื่นโดยเร็ว เพื่อมิให้ไพร่ฟ้าประชาชนชาวแพร่ต้องพลอยรับความเดือดร้อน”
การที่ออกโดยความยินยอมของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ภายใต้กองเกียรติยศ เนื่องด้วยไม่สามารถ “หาความผิด” ของเจ้าหลวงได้ ก็ทำให้ภาพของการกบฏเลือนราง พร่ามัว จนสุดท้ายความเป็นกบฏได้รับการชำระสะสางด้วยการถวาย “เกียรติ” ด้วยกองทหารเกียรติยศ มิใช่การขับไสไล่ส่ง หรือทรยศต่อชาติบ้านเมือง แต่เป็นการเสียสละเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า
เจ้าเมืองแพร่จึงมิใช่กบฏอย่างที่ใครต่อใครล่ำลือกัน การกบฏเป็นการกระทำของเงี้ยวที่เป็นคนนอกที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายปั่นป่วน เงี้ยวจึงกลายเป็น “แพะ” เพียงตัวเดียวโดยไม่ต้องหาคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความรัก “ชาติ” ไม่ต้องการคำอธิบาย (ช่างเหมือนพันธมิตรก็มิปาน)
เรื่องเล่าของเจ้าหลวงเมืองแพร่ (พิริยเทพวงษ์) ที่ครั้งหนึ่งได้ถูก ‘ตรา’ ว่าเป็น ‘กบฏ’ (ดูเพิ่มใน ชัยพงษ์ สำเนียง 2550) ถูก ‘สร้างใหม่’ ว่าได้รับเกียรติยศจวบจนวาระสุดท้ายก่อนออกจากเมืองแพร่ คือ ออกไปโดยทหารเกียรติยศ หรือได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีแม่ทัพใหญ่ขณะนั้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการตอบโต้วาทกรรมฝ่ายรัฐที่มองว่าเป็น “กบฏ” แต่ ‘ชาวบ้าน’ ถือว่าเจ้าหลวงเมืองแพร่ คือ “ผู้บริสุทธิ์”
ถ้าอธิบายแบบท้องถิ่นนิยมอย่างเดียว เช่น ยอดยิ่ง รักษ์สัตย์ (2532) พระธรรมวิมลโมลี (2545) หรือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนิยม ที่อ้างการกำเนิดที่ยาวนาน การมีตัวตนที่เก่าแก่ของเมือง หรือความสำคัญของเมืองตั้งแต่โบราณกาล (ชัยพงษ์ สำเนียง 2550) ไม่อาจสร้างการรับรู้ใหม่ หรือจัดวาง “ตำแหน่งแห่งที่” ใหม่ได้
แต่การสร้างให้เจ้าหลวงแนบชิดกับประวัติศาสตร์ชาติในมิติใดมิติหนึ่งกลับสร้าง “โครงเรื่องใหม่” ที่สร้างผลกระเทือนต่อการรับรู้ แสะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์เมืองแพร่ในประวัติศาสตร์ชาติใหม่ (ชัยพงษ์ สำเนียง 2553)
นอกจากนี้ ในปัจจุบันคนเมืองแพร่ได้สร้างในฐานะ “เจ้าหลวงผู้อาภัพ” “เจ้าหลวงผู้เสียสละ” “เจ้าหลวงวีรบุรุษ” ได้รับการรับรู้ในคนกลุ่มนี้อย่างกว้างขวาง เพราะมีการตีพิมพ์หนังสือในท้องถิ่นที่สร้างการรับรู้ใหม่นี้อย่างกว้างขวาง เช่น สาวความเรื่องเมืองแพร่, ศึกษาเมืองแพร่, อนุสรณ์เจ้าพิริยเทพวงศ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายผู้ครองเมืองแพร่, เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์บิดาแห่งพิริยาลัย, และ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าไข่มุก วงค์บุรีประชาศรัยสรเดช ณ ฌาปนสถานประตูมาร เป็นต้น (จะกล่าวในบทความหน้า)

กระแสประวัติศาสตร์ชาตินิยม–การจัดวางโครงเรื่องของประวัติศาสตร์ใหม่

ในท้ายที่สุดท่ามกลางกระแสประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยมคนในกลุ่มต่าง ๆ ก็ยังวนเวียนอยู่ในกระแสของชาติที่ยังมีความคิดเรื่องชาติเป็นตัวนำ ในสถานการณ์ที่ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่มองจากจุดยืนและผลประโยชน์ของคนในท้องถิ่นเองไม่สามารถสถาปนาตำแหน่งแห่งที่ สร้างการรับรู้ และการยอมรับได้
จึงทำให้เกิดโครงเรื่องแบบ “ท้องถิ่นชาตินิยม” ปรากฏในการเขียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างแพร่หลาย การรับรู้เรื่องกบฏเงี้ยวเมืองแพร่เป็นเรื่องรางหนึ่งที่เกิดขึ้น และมีมิติการอธิบายต่างๆ อย่างหลากหลายและจะส่งผลต่อต่อไปในอนาคต
ท่ามกลางกระแสประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยมจะทำให้เกิดการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์ใหม่ (กบฏเงี้ยวฯ) แม้ในปัจจุบันจะแพร่หลายเฉพาะในเมืองแพร่ก็ตาม แต่แสดงให้เห็น “พลวัตร” และพลังของกระแส “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม” ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในปัจจุบัน

ที่มา.Siam Intelligence
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทางรอดข้าวหอมมะลิไทย ในการแข่งขันเวทีระดับสากล !!?


โดย. ทรัสตี สุริยเรืองกิจ

ข้าวหอมมะลิเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย ที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกอันดับต้นๆของประเทศ

อีกทั้งยังคงมีความต้องการสูง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ปัญหาส่วนใหญ่พบว่ามีผลผลิตต่อไร่ต่ำ ทำให้การส่งออกข้าวหอมมะลิจากอดีตมาถึงปัจจุบันเริ่มทรงตัว รวมถึงราคาขายเริ่มตกต่ำ ขณะที่ปัจจุบันต่างประเทศ อย่างประเทศเวียดนาม ลาว พม่า และจีน กำลังกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญ เพราะมีกำลังการผลิตข้าวหอมมะลิแบบก้าวกระโดด จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าอนาคต “ข้าวหอมมะลิ”ของไทยที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของเราจะอยู่อย่างยั่งยืนได้อย่างไร

ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาทางด้านอุตสาหกรรมอาหาร ร่วมกับชมรมนิสิตเก่าเทคโนโลยีทางอาหาร ถึงความยั่งยืนของข้าวหอมมะลิไทย ในภาวะการแข่งขันด้านราคา และการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเน้นการพัฒนาวิธีการเพาะปลูก การพัฒนาสายพันธุ์ ให้ได้คุณภาพดี ผลผลิตสูงและต้นทุนต่ำ รวมถึงการหากลยุทธ์ทางการตลาดที่จะสามารถส่งเสริมให้ข้าวหอมมะลิไทยมีคุณภาพสามารถไปแข่งขันกับต่างประเทศได้

ทั้งนี้จากสถิติข้าวหอมมะลิไทย ถือเป็นสินค้าส่งออกระดับต้นๆ นับตั้งแต่ปี 2545 - 2555 ในระยะเวลา 10 ปี พบว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของข้าวหอมมะลิไทยลดลงถึง 50% จาก 80-90% เนื่องจากต่างประเทศอย่างเวียดนามได้ตีตลาดข้าวหอมมะลิไทย โดยมีการส่งออกไปยังตลาดฮ่องกงเพียง 2 ปี ส่วนแบ่งทางการตลาดมีสูงถึง 30% โดยส่งปีแรก 4,000 ตัน ปีที่สองเพิ่มเป็น 70,000 ตัน และปีนี้คาดว่าน่าจะส่งออกมากกว่า 100,000 ตัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาขายที่แตกต่างกันมาก ซึ่งเวียดนามขายข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 700 เหรียญต่อตัน ส่วนประเทศไทยขายอยู่ที่ 1,000 -1,200 เหรียญต่อตัน ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดที่ผู้บริโภคต้องเลือกราคาที่ถูกกว่าและคุณภาพเกือบใกล้เคียงกัน

นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด แนะว่า ทางรอดของความยั่งยืนข้าวหอมมะลิไทยมองได้ 2 ส่วนคือ 1. ส่วนของโครงสร้างการผลิต 2. ส่วนโครงสร้างการตลาด โดยโครงสร้างการผลิต หากมองภาพรวมของพื้นที่เกษตรกรรมขณะนี้มี 130 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าว 55 - 60 ล้านไร่ โดยในแต่ละปี พื้นที่การปลูกข้าวเริ่มลดน้อยลง เพราะเกษตรกรหันไปปลูกพืชพลังงานมากขึ้น เนื่องจากได้ผลตอบแทนสูงกว่า แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายรับจำนำข้าวแต่คุณภาพข้าวของเกษตรกรยังไม่ได้ตามที่รัฐบาลกำหนด ขณะที่พื้นที่ภาคอีสานมีการส่งเสริมการปลูกยางพารา ทำให้พื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิมีโอกาสลดน้อยลงจากเดิม โดยครึ่งหนึ่งเป็นข้าวหอมมะลิ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นการปลูกข้าวเหนียว

เขาบอกอีกว่า ประเทศไทยเป็นระบบไมโครฟาร์มมิ่ง หรือเป็นระบบครอบครัวชาวนา โดยเฉลี่ยแล้วชาวนาปลูกข้าวครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ แต่เป็นแบบต่างคนต่างทำ ไม่มีการรวมกลุ่ม ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งเน้นแต่การเกษตร ไม่มุ่งเน้นงานด้านสหกรณ์ทำให้ชาวนาไทยต้องเป็นระบบไมโครฟาร์มมิ่ง ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นและหลายประเทศในยุโรปมีการรวมกลุ่มสหกรณ์ข้าว เมื่อมารวมกลุ่มกันก็สามารถทำให้ระบบการเพาะปลูกข้าวดีขึ้น มีการใช้เทคโนโลยีร่วมกันสามารถแข่งขันด้านคุณภาพและเรื่องราคาขายได้ ดังนั้น ต้องย้อนกลับมามองว่าชาวนาไทยจะแข่งขันกับเพื่อนบ้านโดยลำพังได้อย่างไร

“ปัจจุบันปัญหาของชาวนาไทย ต้องเช่าพื้นที่ทำนา ทำให้ไม่มีการปรับปรุงพื้นที่ ปรับปรุงดิน เพราะไม่ใช่ที่ดินของตัวเอง ส่วนใหญ่ก็จะทำนาแบบผ่านๆ ไม่มีการลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่ หรือลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตมากนัก ขณะที่ที่ดินจำนวนมากถูกถือครองโดยนักค้าที่ดิน แต่กลับปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ทำให้ที่ดินไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์ ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลต้องมีกลไกว่า ทำอย่างไรจะนำที่ดินเหล่านั้นมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศได้” นายสุเมธ กล่าว

เขาบอกอีกว่าขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างการเกษตรใหม่ อย่ามองแค่เรื่องข้าวหอมมะลิอย่างเดียวเพราะปัจจุบันนี้ภาคพลังงานของเราก็ขาดแคลนมาก ต้องนำเข้าน้ำมันดิบและภาคแรงงานด้านเกษตรก็ลดลง เพราะคนรุ่นใหม่ไม่มีใครอยากเป็นชาวนา ส่วนโครงสร้างการตลาดข้าวหอมมะลิ ขณะนี้ประเทศไทยมีคู่แข่งมาก อย่างเวียดนาม กัมพูชา พม่า และลาว ต่างก็ปลูกข้าวหอมมะลิ หากเราจะแข่งขันให้ชนะได้ อยู่ที่ว่าใครจะรักษาความเป็นอัตลักษณ์ได้มากกว่ากัน ใครจะครองคุณภาพได้มากกว่ากัน

“ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องยาก เพราะไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก วันนี้เราส่งออกไปปีละ 2 ล้านตัน ถ้าเราหารเฉลี่ยการบริโภคต่อคนต่อปี ทั่วโลกบริโภคข้าวหอมมะลินิดเดียว นอกนั้นกินข้าวขาวธรรมดา แต่ถ้าเราจะให้ข้าวหอมมะลิอยู่ได้ สามารถเติบโตได้ เราจะทำอย่างไรให้คนต่างชาติหันมาบริโภคข้าวมากขึ้น เราต้องทำอย่างจริงจัง เพราะขนาดคนไทยยังบริโภคสปาเกตตี และบริโภคแฮมเบอเกอร์ ทำไมเราถึงบริโภคได้ ถ้าจะทำให้ข้าวหอมมะลิอยู่ได้ เราต้องทำการตลาดอย่างจริงจัง” นายสุเมธกล่าว

ขณะที่ นายเชาว์วัช หนูทอง ประธานเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษละโว้ธานีหรือ ปราชญ์เดินดิน ชาวอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เล่าว่าวิธีการทำนาให้ได้ผลผลิตดีมีหลากหลายวิธี โดยทำอย่างไรให้ลงทุนต่ำ แต่ผลผลิตต้องเพิ่ม ซึ่งเขาใช้วิธีการทำนาแบบเกษตรอินทรีเพื่อยกระดับราคาข้าวหอมมะลิได้ โดยวิธีที่เขาใช้ คือการโยนกล้า ซึ่งต้องมีการเตรียมเพาะกล้าข้าวในถาดหลุม10-15วัน จากนั้นนำกล้าข้าวไปโยนในพื้นที่ที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นค่อยปล่อยน้ำลงสู่ที่นาซึ่งพื้นที่ทำนาต้องมีแหล่งน้ำ หรืออยู่ในเขตพื้นที่ชลประทาน เพื่อสะดวกต่อการควบคุมน้ำในแปลงนา ซึ่งวิธีนี้สามารถสร้างผลผลิต 2-5 ตันต่อไร่ จากการโยนต้นกล้า 5 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ยังมีเทคนิคเพิ่มความหอมและนุ่มเหนียวของเมล็ดข้าวที่เรียกว่า “การเปียกสลับแห้ง แกล้งข้าว” ก็ให้เปียกบ้างแห้งบ้างข้าวจะแตกกอได้มาก และใช้แหนแดงมาปกคลุมพื้นดินเพื่อลดวัชพืชแทนการใช้สารเคมี

“ผมใช้ข้าวแค่ 2 ขีดต่อไร่ แต่ละต้นก็จะแตกตอมากกว่า 100 -150 ต้น ได้ผลผลิตกอละครึ่งกิโลกรัม ปลูกห่างกัน 40 x 40 เซนติเมตร ได้ประมาณ 40,000 กอต่อไร่ และควรมีการปรับปรุงดินอย่างต่อเนื่อง เมื่อทำได้อย่างนี้เราก็สามารถแข่งกันประเทศอื่นได้ ข้าวเป็นพืชที่ทนน้ำ ถ้าพื้นแห้งข้าวก็จะแตกกอความยั่งยืนของข้าวหอมมะลิไทยควรเริ่มจากการผลิต ที่มีต้นทุนการผลผลิตต่ำ รักษาสภาพแวดล้อม ลดเลิกสารเคมี พัฒนาเปลี่ยนขายจากเกวียนเป็นกรัม” นายเชาว์วัช กล่าว

ส่วนนายบรรเทา เกตุอูม เกษตรกรดีเด่น บ้านหัวนาคำใต้ ตำบลกระเบื้อง อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ บอกว่า ตนทำนาปลูกพันธุ์ข้าวหอมมะลิไทยที่ได้ผลผลิตต่อปีเฉลี่ยสูงสุดถึง 1ตันต่อไร่ ซึ่งใช้งบประมาณต้นทุนเพียง1,005 บาท โดยการวางแผนฟื้นฟูหน้าดินหลังการเก็บเกี่ยวพันธุ์ข้าว และเมื่อถึงเดือนมิถุนายนหรือช่วงฤดูกาลทำนาที่หวังพึ่งน้ำฝนเป็นแหล่งน้ำหลักก็เริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากศูนย์วิจัยเมล็ดพันธุ์ข้าวในอัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากนั้น เพื่อผลผลิตที่ดีจึงต้องพ่นน้ำหมักที่ได้จากมูลสัตว์ที่เลี้ยง และนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มหรือเรียกว่าการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ชีวภาพนั่นเอง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ !!?


เสียงเรียกร้องกระตู้วู้ อยากให้ “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” รีเทิร์นกลับคืนถ้ำ
หลายฝ่าย เห็นคุณูปการ ของ “ท่านไข่มุกดำ”,ที่มีประโยชน์อเนกอนันต์ ต่อการเป็น “ประธาน นปช.”
ผลงานสร้าง “พลังเสื้อแดง” ..ทุกคนใคร่ปรารถนา อยากให้มาดำรงตำแหน่งต่อ
“หญิงเหล็ก” ธิดา ถาวรเศรษฐ์ พร้อมถอดสายบัว..ให้ “บิ๊กวีระกานต์” กลับมาเสร็จสรรพ
เสียงคนเสื้อแดง...ทวีกำลังแรง..รีบแต่งตัวกลับมารับตำแหน่งเก่า เถอะนะครับ

++++++++++++++++++++++++

ระยะทางพิสูจน์ม้า
เลือดประชาธิปไตย ของ “พี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์” พิสูจน์ประจักษ์ ลบทุกครหา
มีเสียงตำหนิกล่าวว่า, ช่วงก่อนสลายม็อบการชุมนุม ที่ราชประสงค์ปี ๕๓
หลังการเปิดประชุมโต๊ะกลม ระหว่าง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” กับ “กลุ่มนปช.” มีคนกล่าวหาด้วยพฤติการณ์ต่ำ..ต่ำ
ว่า “ไข่มุกดำ” ซูเอี๋ยเล่นบทต้มคนดู ประชาชนเสื้อแดงทั้งประเทศ..ยอมเป็น “ข้ารับใช้” ให้กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯใจเหิม
บัดนี้,ทุกอย่างปรากฏ...คำกล่าวหาเป็นเรื่องโป้ปด.. “ท่านไข่มุกดำ”ควรกลับมามีบทบาทเหมือนเดิม

++++++++++++++++++++++++

ประชาธิปไตยต้องการคนจริง
“คุณพี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์” มีอุดมการณ์อีกมาก..ฉะนั้น,ท่านจึงไม่ควรหันหลังทอดทิ้ง
กลับมาเป็น “เสาหลัก” นำธงเพื่อเป็น “ประธาน นปช.” สร้างปณิธานต่อไป...
เป็นพนังทองแดงกำแพงเหล็ก เพื่อหนุนและผลักดัน “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ให้เติบใหญ่
ความเป็น “ไข่มุกดำ” ยังเป็นต้นแบบ สร้างคนรุ่นใหม่ ได้อีกเป็นล้าน
ถึงเวลากลับมาเป็น “ประธานนปช.”..กลับมารับไม้ต่อ..งัดข้อเพื่อล้มเผด็จการ

++++++++++++++++++++++++
ชิงดำกันฝุ่นตลบ
“ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี กับ “เสี่ยโชติศักดิ์ อาสภาวิริยะ” หรือว่า “เสี่ยกบ”
ชิงความเป็นหนึ่งในตองอู เพื่อเข้าไปบริหาร “การท่าอากาศยาน”
ตั้งเข็มทิศอย่างแน่นเหนียว เพื่อทวงเข็มขัด กลับไปเป็นใหญ่ที่ “การท่าฯ” อีกหน ก็ “เสี่ยกบ” ที่ลุ้นจนเหงื่อตกมัน
แต่นับวัน, “ผู้พันปุ่น” ได้กำลังภายในแรง จึงมีสิทธิ์เข้าวิน
ขอแทงหวยล่วงหน้า..ถึงฟ้าจะผ่า...แต่ “ผู้พันปุ่น” จะคว้าตำแหน่งนี้ไปกิน

++++++++++++++++++++++++

“ประชาชน”ต้องเป็นใหญ่
แต่มุมมองของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ดูจะสวนทางโครมเบ้อเร่อ เชียวนะเจ้านาย
หาก “พรรคประชาธิปัตย์” ยังทำตัวตายซาก
เห็นท่า พรรคแม่ธรณีบีบมวยผม คงต้องตายไปร่วมกับ “มิสเตอร์มาร์ค”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา..ประชาธิปัตย์ยืนข้างประชาชน..พร้อมสู้แบบเลือดตากระเด็น
แต่ยุค “มาร์ค”นะท่าน..มองข้ามหัวชาวบ้าน...ไม่ให้ความสำคัญ ใครๆน่าจะเห็น

ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย, บางกอกทูเดย
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

เอกชนลุ้น อภินิหาร AEC ปลุกเศรษฐกิจภูมิภาค ดับพิษขึ้นค่าแรง !!?


ใน ห้วง 1 ปีที่ผ่านมา บรรยกาศการค้าขายในภูมิภาคอยู่ในภาวะ "ประคองตัว" ไม่ได้หวือหวาดังที่คาดหวัง แม้จะคาดหวังว่าประเทศที่เพิ่งฟื้นตัวจากมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ปลายปี 54 จะช่วยฉุดตัวเลขการค้าให้ดีขึ้น และรัฐบาลทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาบูรณะฟื้นฟูประเทศ เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น มาดูกันว่าทรรศนะของ "ผู้รู้" ที่สัมผัสกับข้อมูลตัวเลขการค้าขายในพื้นที่ เหลียวหลังแลหน้าเศรษฐกิจภูมิภาคเป็นอย่างไรบ้าง..

"ชวลิตร ธรรมวงศ์" ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย มองว่าทิศทางการค้าขายปี 56 จะรุ่งเรือง หรือรุ่งริ่งอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละพื้นที่ว่าจะสามารถหยิบ ฉวยความได้เปรียบของตนเองมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้เพียงใด สำหรับ จ.เชียงราย ก็ต้องมีการปรับตัวกันขนานใหญ่เพราะจากการค้าชายแดนจะถูกยกระดับเป็นการค้า ระหว่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญในเรื่องการเปิดท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ใน อ.เชียงแสน ทำให้ศักยภาพการค้ามีมากขึ้น ขณะที่กลางปี 56 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จะเปิดใช้ การเดินทางเชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์ไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนก็จะสะดวก มากยิ่งขึ้น เมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)

ประธาน หอการค้าเชียงราย บอกอีกว่า ปี 56 เศรษฐกิจของเชียงรายจะดีขึ้นอย่างแน่นอน สอดรับกับ "เกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์" ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย ที่เชื่อว่าเพราะธุรกิจหลัก ด้าน ภาคการเกษตร การค้าชายแดน และการท่องเที่ยว ถือว่าเชียงรายมีศักยภาพสูง

สำหรับ "ด่านบ้านฮวก" อ.ภูซาง จ.พะเยา "หัสนัย แก้วกุล" ประธานหอการค้าจังหวัดพะเยา เห็นว่า น่าจะเป็นอีกจุดที่เชื่อมโยงโครงข่ายการค้าขายและการเดินทางกับเพื่อนบ้าน แล้วสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าระหว่างกันได้ เพราะรัฐบาลไทยได้ปล่อยเงินกู้ให้เพื่อนบ้านได้ตัดถนนเชื่อมเมืองสำคัญๆ ของ สปป.ลาว ด้วย จึงถือเป็นโอกาสทองทางธุรกิจที่ไม่เพียงแต่การค้าชายแดนจะเพิ่มขึ้น โอกาสทางภาคการท่องเที่ยวก็สูงตามมาด้วย

"บุญชู กมุทมาโนชญ์" ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดพะเยา ระบุว่า สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจก้าวไปอย่างมั่นคง คือการเป็นหนึ่งเดียว หรือความเป็นปึกแผ่นแห่งภูมิประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างประเทศที่ไม่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมาก จนเกินไป

โดยที่ "ด่านบ้านฮวก" จะเป็นประตูทางเชื่อมของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ไปสู่เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหรือฮับภาคเหนือ อย่าง "เชียงใหม่" ได้

ถือ เป็นความคาดหวังที่สอดคล้องกัน เพราะ "องอาจ กิตติคุณชัย" ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ มีความเห็นไม่ต่างกันว่าเศรษฐกิจปี 2556 น่าจะดีขึ้น เพราะปี 2555 ที่ผ่านมาภาพรวมของเชียงใหม่ไปได้สวย มีนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่จำนวนมาก สถานการณ์ของโรงแรมและที่พักดีต่อเนื่อง ถึงเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะฝั่งยุโรปจะมีผลกระทบบ้าง แต่การท่องเที่ยวเชียงใหม่ดีมากๆ

"แต่ก็อาจมีผลกระทบจากค่าแรง ซึ่งปีหน้าแรงงานขึ้นต่ำกระชากขึ้นสูงทันที อาจทำให้น่าห่วง รวมทั้งค่าพลังงาน ก๊าซแอลพีจีจ่อจะขึ้นราคาเป็นขั้นบันได และที่มีแนวโน้มน่ากังวลคือการที่สหรัฐอเมริกาจะย้ายเงินเข้าสู่ระบบเอเชีย ทั้งการซื้อหุ้นและลงทุนทำให้เงินแข็ง ไม่ดีต่อการส่งออกของไทยที่ต้องได้รับผลกระทบ" องอาจระบุ

ด้านภาค อุตสาหกรรม จ.เชียงใหม่ ยังมีจุดแข็ง นักลงทุนยังมุ่งเข้ามาลงทุน มีการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ สร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนรายใหญ่ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

"ณรงค์ คองประเสริฐ" ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ชี้ว่า ประเด็นเรื่องปัจจัยที่จะฉุดตัวเลขเศรษฐกิจในพื้นที่ซึ่งคาดว่าไม่เฉพาะ เชียงใหม่ แต่ลามไปทั่วทุกจังหวัดแล้วคือเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท !!

ขยับ มาที่ จ.นครราชสีมา ประตูไปสู่ภาคอีสาน "จักริน เฉิดฉาย" ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ประเมินภาวการณ์เจริญเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองโคราชแล้ว ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้ ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) ของจังหวัดตลอดปี 55 จะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 6%

เพราะในการพิจารณาแยกภาคเศรษฐกิจ ระหว่าง ธุรกิจขนาดใหญ่ กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะเห็นว่าเดินสวนทางกันอย่างชัดเจน

"ธุรกิจ ขนาดใหญ่ อาทิ โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โครงการบ้านจัดสรร มีผลประกอบการดีมาก ส่วนธุรกิจ SMEs กลับประสบกับปัญหาการขาดทุนเป็นอย่างหนัก และปิดกิจการไปแล้วเกือบครึ่ง สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท"

แม้ว่าในมุมมองของ "จักริน" จะเห็นว่าปี 55 ไม่ค่อยดีแต่จากการประเมินร่วมกันของหอการค้าทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานที่ประชุมกันเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีการประเมินว่าในปี 56 เศรษฐกิจโดยรวมของภาคอีสาน จะมีปัญหาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และนโยบายรถคันแรก

"การ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้มีย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน หรือไม่เช่นนั้นก็ปลดลดจำนวนพนักงาน ส่วนรถยนต์คันแรก หอการค้าภาคอีสานก็เป็นห่วง เพราะผู้ที่ซื้อส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 6,000-20,000 บาท เมื่อหักค่าผ่อนรถยนต์แล้ว ก็จะเหลือเงินเก็บน้อยมาก หรือบางคนไม่พอใช้..เท่ากับว่ากำลังผู้บริโภคที่จะมาใช้จ่ายซื้อของจึงลดลง แล้วกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม"

ดังนั้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจของจังหวัดในปี 2556 จะมีแนวโน้มชะลอตัว และ GPP อาจจะลดลงเหลือ 5%

กับ สภาวการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ "สุรพล กำพลานนท์วัฒน์" นายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา ระบุว่าแม้จะมีปัญหาเรื่องความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ภาวะเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มดี

โดยส่วนหนึ่งมองว่ามาจากบรรดาผู้ซื้อรถยนต์คันแรกจะขับรถท่องเที่ยวกันมากขึ้น ?!?

"มาตรการ ที่ภาคธุรกิจอยากให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือและส่งเสริมให้แก่ผู้ประกอบการ ในปี 56 น่าจะเป็นความช่วยเหลือเรื่องผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs อาทิเรื่อง การลดดอกเบี้ยสินเชื่อ และลดภาษี" สุรพลระบุ

ด้าน "นฤมล อมรรัตน์วิทยา" ผู้บริหารห้างโอเดี้ยน ช็อปปิ้งมอลล์ หาดใหญ่ มองในฐานะผู้ประกอบการว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่ตลอดปี 55 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีโดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้าย เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของหาดใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ต้องฝากให้รัฐบาลดูเรื่องปัญหาค่าครองชีพด้วย เพราะการปรับค่าแรง มีผลกระทบต่อเนื่อง

"ค่าแรง 300 บาท ..ทำให้ทุกอย่างขึ้นราคาหมด แล้วยังจะมาปรับราคาก๊าซอีก ..ต่อไปข้าวปลาอาหารทุกอย่างก็จะแพงขึ้น ประชาชนก็จะเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก" นฤมลกล่าว

ขณะที่ "นฤมล ขรภูมิ" ประธานหอการค้าจังหวัดระนอง เห็นด้วยว่า เรื่องค่าแรง 300 บาท ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลให้มาก โดยเฉพาะ SMEs เพราะมีภาวะความเป็นไปได้ที่อัตราว่างงานจะสูงขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องปรับลดพนักงานเพื่อความอยู่รอด

"นิรันดร์ ขอคงประเสริฐ" ประธานชมรมปลาป่นจังหวัดระนอง และผู้ประกอบธุรกิจห้องพัก บอกว่า ธุรกิจการประมงมีการหดตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากราคาสินค้าประมงที่ขายได้ไม่คุ้มทุน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องหยุดกิจการไป และพม่า ได้ปรับตัวเรื่องธุรกิจประมงและต่อเนื่องประมงเพื่อให้ทัดเทียมกับของไทย ดังนั้น โอกาสทองของการทำประมงในพม่านับวันมีแต่จะน้อยลงแล้ว ปี 56 จึงจะเป็นปีที่ผู้ประกอบการ รวมถึงแรงงานจะลำบาก

"ปัญหาเศรษฐกิจใน ภาพรวมที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ได้มองที่พื้นฐานที่ แท้จริงของสังคมไทย ถ้าภาคการผลิตทั้งในทางอุตสาหกรรม หรือการเกษตรไม่สามารถจะเดินหน้าไปได้แล้ว ในส่วนอื่นๆ ที่ต่อยอดก็คงไม่สามารถจะดำเนินไปได้เช่นกัน" นิรันดร์กล่าว

เหล่า นี้เป็นเสียงสะท้อน ที่มีทั้งความหวัง และความกังวล กับอนาคตที่คนไทยทั้งประเทศ ภาคเศรษฐกิจทุกส่วนที่กำลังจะเผชิญร่วมกันในปีงูเล็กที่มาถึงแล้ว


ที่มา มติชนรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

เอแบคโพลล์ ระบุ แก้ รธน.คอร์รัปชั่น ต้นเหตุความขัดแย้ง !!?


ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อหน่วยงานของรัฐในการดูแลความสุขของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ และความเห็นของสาธารณชนต่อประเด็นร้อนทางการเมืองในปีใหม่นี้ โดยศึกษาจาก ประชาชน 1,750 ตัวอย่างทั่วประเทศ ดำเนินการสำรวจในระหว่างวันที่ 30 - 31 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา พบว่า เมื่อสอบถามถึงหน่วยงานรัฐยอดเยี่ยมที่ดูแลความสุขของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ประทับใจมากที่สุด พบว่า อันดับ 1. ได้แก่ กองบังคับการตำรวจทางหลวง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ 37.4% อันดับ 2.ได้แก่ โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ร้อยละ 25.1% อันดับ 3. ได้แก่ กองทัพและตำรวจที่ดูแลความสงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ 16.3% อันดับ 4 ได้แก่ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ 11.9% อันดับที่ 5.ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย มูลนิธิอาสาสมัครต่างๆ และหน่วยงานอื่นที่แก้ปัญหาอุบัติเหตุ ได้ 5.5% และอันดับ 6.ได้แก่ หน่วยงานที่บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติและที่เกี่ยวข้องได้ 3.8%

เมื่อถามถึงความหวังหรือความกลัวต่อเหตุการณ์บ้านเมืองในปีใหม่นี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 67.4% ยังมีความหวังที่จะก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ 32.6% กลัวต่อเหตุการณ์บ้านเมืองในปีใหม่นี้

อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า คุณธรรมที่หวังว่าจะเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนคนไทยในปีใหม่นี้ ส่วนใหญ่หรือ 93.7% ระบุความกตัญญูรู้คุณ แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาคือ 75.9% ระบุความซื่อสัตย์สุจริต 75.1% ระบุความรัก ความเมตตากรุณา ความมีน้ำใจไมตรี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 68.2% ระบุการให้อภัย 61.4% ระบุความมีวินัย ขยันหมั่นเพียร 60.8 %ระบุ ความเสียสละ และ 56.9% ระบุความเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ

สิ่งที่ประชาชนกังวลมากที่สุดว่าจะเป็นตัวเร่งให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลายในหมู่ประชาชนและเกิดการชุมนุมใหญ่ในปีใหม่นี้ พบว่า อันดับแรก 34.7% ระบุคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 29.3% ระบุ ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในกลุ่มคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี 12.6% ระบุความไม่เป็นธรรม การเลือกปฏิบัติ 8.3% ระบุปัญหาปากท้อง ราคาสินค้า ค่าครองชีพ 5.4% ระบุกฎหมายปรองดอง 4.6% ระบุความล้มเหลวของรัฐบาลในนโยบายสาธารณะ เช่น โครงการรับจำนำข้าว นโยบาย 300 บาท เป็นต้น และ 5.1% ระบุอื่นๆ เช่น ปัญหาที่ทำกิน ปัญหายาเสพติด เป็นต้น

ที่สำคัญคือ เมื่อสอบถามถึงของขวัญปีใหม่ที่อยากได้จากนักการเมืองมากที่สุด พบว่า อันดับแรก 53.7% ระบุขอให้นักการเมืองน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงมาใช้ในการแก้ปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงจังต่อเนื่อง 21.2% ระบุความซื่อสัตย์สุจริต 15.9% ระบุ ความจริงจัง จริงใจต่อกันในการแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน 5.5% ระบุการทำตามหน้าที่ สำนึกรู้คุณแผ่นดิน ขณะที่ 1.7% ต้องการทรัพย์สินเงินทองของนักการเมือง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวดมนต์ข้ามปี. ขอบคุณปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ สร้างฐาน ความดี ตั้งแต่นาทีแรก !!?


สวดมนต์ข้ามปี วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จ.กรุงเทพฯ จากเว็บไซต์ http://board.palungjit.com

คืนข้ามปี ระหว่าง "ใหม่" กับ "เก่า"

จัดว่าเป็นคืนหนึ่งที่มีงานเลี้ยงเกิดขึ้นทั่วประเทศ

แน่นอนว่างานเลี้ยงสังสรรค์กับของมึนเมา เหล้ายาปลาปิ้ง เหมือนจะเป็นสิ่งที่ขาดกันไม่ได้เอาเสียเลย หลายคนเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์เพื่อฉลองส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ที่ต่างกันเพียงชั่วระยะวินาทีเดียว

แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ "คิดต่าง" ออกไป

ด้วยการเลือกฉลองส่งท้ายปีในรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยมอย่างยิ่ง นั่นคือการ"สวดมนต์ข้ามปี" 
เพราะ "การสวดมนต์" เป็นการทำบุญที่ลงทุนน้อยที่สุดอย่างที่ พระเทพวิสุทธิกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา ว่าไว้ 


พระเทพวิสุทธิกวีเล่าให้ฟังว่า การสวดมนต์ข้ามปีนั้น เป็นสิ่งที่คิดทำกันขึ้นมาใหม่ พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติให้มีการสวดมนต์ข้ามปี แต่การกระทำนี้ ก็ไม่ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด ถือว่าทำได้ เพราะการสวดมนต์ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

การสวดมนต์เป็นการสงบจิตสงบใจจากเรื่องวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง ให้มาอยู่กับบทสวด ในขณะที่สวดก็ถือว่าปลอดภัย

แม้จะไม่ใช่เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ แต่หากมีโอกาสก็ควรจะทำ และควรจะชักชวนเพื่อนฝูง คนรู้จักมาสวดมนต์ เพราะการสวดมนต์นั้น นอกจากจะไม่ต้องลงทุนอะไรแล้ว ยังถือเป็นการสั่งสมคุณงามความดี ทั้งจากการกระทำของเราเองคือการสวดมนต์ และจากการนั่งฟังคำสั่งสอน ฟังธรรมะจากพระสงฆ์ จากนั้นก็นำไปปฏิบัติเพื่อเป็นการเพิ่มพูนคุณงามความดีของเราขึ้นไปอีก

"อย่างน้อยแทนที่เราจะไปกันอย่างไร้ทิศทาง คิดแต่ว่าเราจะไปฉลอง จะไปเฮฮากันที่ไหนในคืนปีใหม่ หรือไปสำมะเลเทเมาที่ไหนก็มาเข้าวัดสวดมนต์ มาใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ปีเก่าจะผ่านไป" พระเทพวิสุทธิกวีกล่าว

การสวดมนต์ข้ามปี ยังถือเป็นการขอบคุณปีเก่าที่ผ่านมาด้วย แม้ว่าจะมีความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง แต่เราก็ผ่านมาอย่างรอดปลอดภัยสวัสดี ถึงโอกาสปีใหม่ก็สวดมนต์ เริ่มปีใหม่ด้วยความดีกัน และถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความดี

"การเข้ามาสวดมนต์ในแต่ละปีก็เหมือนกับการหยุดความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง มาทำใจให้สงบในการสวดมนต์ เพื่อทำใจให้เป็นฐานที่ตั้งแห่งความดี แห่งความสวัสดีของเราต่อไป นอกจากจะได้หยุดแล้วก็ยังได้ฟังพระ ได้ข้อคิดไปพัฒนาตนเอง เพื่อสู้ เพื่อยืนหยัดอยู่กับสิ่งใหม่ที่จะมาถึง เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการทำความดี และก็เก็บเอาความดีที่พระได้สั่งสอนไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความดียิ่งขึ้น" พระเทพวิสุทธิกวีกล่าว

ด้วยเหตุที่มีแต่ข้อดีหลายประการนี้เอง ทำให้การจัดงานในปีนี้ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ

ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ที่แล้วมาในอดีตนั้นมีการฉลองปีใหม่สากล โดยลักษณาการแบบเดียวกับงานปีใหม่ไทยในวันที่ 13 เมษายน ของทุกปีคือ เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้ามีการทำบุญ ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม จากนั้น ก็ไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อมอบของขวัญปีใหม่

แต่ระยะหลังนั้น ประเพณีนิยมเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นการจัดปาร์ตี้ จัดงานเคานต์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ มีลานเหล้า ลานเบียร์ เมาจนสุดลิ่มทิ่มประตูเลย เป็นที่มาของการดื่มแอลกอฮอล์จนเสียสติ นำมาสู่การตีรันฟันแทง นอกจากนั้นยังเสื่อมสุขภาพและนำมาสู่อุบัติเหตุที่จะเกิดจากการเมาแล้วขับ

สวดมนต์ข้ามปี จ.พิษณุโลก จากเว็บไซต์ www.phitsanulokhotnews.com


สสส.จึงได้ริเริ่มโครงการสวดมนต์ข้ามปีเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน

ศ.นพ.อุดมศิลป์กล่าวว่า เครือข่ายองค์กรงดเหล้านั้น จัดงานสวดมนต์ข้ามปีมานานแล้ว แต่ไม่ได้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ

ทาง สสส.เห็นว่าน่าสนใจ จึงร่วมกับเครือข่ายและเชิญชวนวัดต่างๆ ประมาณ 700-800 วัด ซึ่งทางมหาเถระสมาคมก็เห็นชอบโดยได้สั่งการไปตามวัดทั่วประเทศ

ประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี บอกถึงความพิเศษในปีนี้ พ.ศ.2555สู่ปี พ.ศ.2556 นี้ว่า ถือเป็นปีที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นปีมหามงคลมี 4 เหตุการณ์สำคัญ คือ

1.ปีพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้

2.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา

3.สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา

4.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามกุฏราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา

"สำหรับผู้ที่หวังจะทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่า และเริ่มก้าวเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความเป็นมงคลของชีวิต สามารถเดินทางไปร่วมกิจกรรมได้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร และจังหวัดตัวแทนภาคทั้ง 4 ภาค ได้แก่

ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น, ภาคตะวันออก จ.ฉะเชิงเทรา และภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงวัดต่างๆ ทั่วประเทศ แต่หากไม่สะดวกเดินทางก็สามารถสวดมนต์ที่บ้านได้เช่นกัน"

ด้าน ขวัญชัย เต็งน้อย อายุ 23 ปี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ชาวกรุงเทพฯ เล่าว่า เพิ่งจะสวดข้ามปีเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วที่วัดใกล้บ้าน ซึ่งปกติเคยสวดอยู่ที่บ้าน สำหรับปีนี้ตัดสินใจเปลี่ยนบรรยากาศจากเคานต์ดาวน์ ตามสถานที่เที่ยว ไปสวดมนต์ข้ามปีเหมือนปีก่อน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจว่าจะไปที่วัดใด เพื่อเป็นการลองอะไรใหม่ๆ ที่น่าจะเป็นความสุขสงบไปอีกรูปแบบ

"สำหรับงานสวดมนต์เมื่อปีที่แล้วมีวัยรุ่นมาบ้างแต่ก็ไม่มากนัก คาดว่าในปีนี้น่าจะมีวัยรุ่นหลายคนหันมาทำกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีมากขึ้น เพราะหลายคนที่อยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศ หาประสบการณ์ใหม่ๆ เป้นการทำบุญเพื่อให้ปีหน้าพบเจอแต่สิ่งดีๆ และยังสร้างความสบายใจซึ่งหลายคนอาจจะพบความสุขความสงบบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้" ขวัญชัยกล่าว

สำหรับในปีนี้กระทรวงมหาดไทยก็ได้ขอความร่วมมือไปยังอำเภอต่างๆ ให้ร่วมกันจัดงานอย่างน้อยอำเภอละ 1 วัด

นอกจากจะมีวัดไทยในประเทศไทยที่แจ้งความจำนงเข้าร่วมแล้ว 2,000 กว่าวัด ก็ยังมีการจัดงานสวดมนต์ข้ามปีในต่างประเทศด้วย ซึ่งจะใช้ที่สนามหลวงเป็นศูนย์กลาง ถ่ายทอดสดไปยังจังหวัดต่างๆ และถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ตไปยังวัดไทยในต่างประเทศด้วย เพื่อให้พิธีต่างๆ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

เป็นการก้าวสู่ปีใหม่ที่ได้บุญ สร้างฐานความดีตั้งแต่วินาทีแรก

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม

สวดมนต์ข้ามปี 2556 และอยากตรวจสอบรายชื่อวัดใกล้บ้านที่ร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพwww.thaihealth.or.th




กิจกรรมดีๆ สวดมนต์ข้ามปีทั่วประเทศ
 ภาคเหนือ
ที่ จ.เชียงใหม่ มีการจัดทำโครงการ "ส่งท้ายปีเก่าด้วยวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่ด้วยวิถีพุทธ" เพื่อชี้นำสังคมไปในทางที่ดี และเป็นทางเลือกแก่ประชาชนทุกเพศทุกวัย ที่จะเลือกฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ด้วยการบำเพ็ญกุศลในรูปแบบต่าง ๆ ทางศาสนา เริ่มงานตั้งแต่ ภาคค่ำ-คืน วันที่ 31 ธันวาคม 2555 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยที่ วัดเจดีย์หลวงวรมหาวิหาร มีกิจกรรม และพิธีกรรม คือ ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ภาวนาข้ามปีรอบองค์พระเจดีย์หลวง ทำบุญถวายสังฆทานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ต.พระสิงห์ อ.เมือง เชียงใหม่ มีการจัดกิจกรรมและพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ สมาทานศีล ฟังเทศน์ การแสดงศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ "พุทธชยันตี" สวดมนต์ ทำสมาธิเคาท์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่การกวนข้าวมธุปายาส

อีกทั้งยังมีการจัดงาน ณ ลาน 3 กษัตริย์ จัดกิจกรรมและพิธีกรรม นานาศาสนา ความหลากหลาย บนเส้นทางเดียวกัน ณ ลาน 3 กษัตริย์ การจัดกิจกรรม ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอสารภี ศรัทธาประชาชนร่วมกันประพิธีกรรมและจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ วัดดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ นอกจากจะมีการสวดมนต์ข้ามปี เข้าวันที่ 1 มกราคม 2556 เวลา 06.30 น. พระสงฆ์-สามเณรกว่า 50 รูป จะเดินลงจากบันไดนาครับบิณฑบาตจากประชาชนมากกว่า 2,000 คน

สำหรับวัดใน จ.เชียงใหม่ ที่จัดกิจกรรมใหญ่คือ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร, วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร, วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร วัดโพธารามมหาวิหาร และ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร

วัดอื่น ๆ ในภาคเหนือที่ร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เช่น วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จ.เชียงราย วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรมหาวิหาร จ.เชียงใหม่ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร จ.เชียงใหม่ วัดพระธาตุช้างค้ำ จ.น่าน, วัดบุญเกิด จ.พะเยา, วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ จ.ลำปาง, วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จ.ลำพูน, วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จ.อุตรดิตถ์, วัดดอยสวรรค์ (เขาไก่เขี่ย) จ.อุตรดิตถ์, วัดสุวรรณคีรีวิหาร จ.เพชรบูรณ์ เป็นต้น

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
งานสวดมนต์ข้ามปีที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นตัวแทนภาค จัดขึ้นที่ วัดหนองแวงพระอารามหลวง โดยตลอดทั้งปีก่อนหน้านี้ได้มีการจัดงานสวดมนต์งดเหล้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างวัฒนธรรมอันดีงามเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตของตนเองครอบครัว คนรอบข้าง และประเทศไทย และเนื่องจากปีนี้ เป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบการตรัสรู้ 2,600 ปี ของพระพุทธเจ้า หรือที่เรียกว่าปี "พุทธชยันตี" จึงมีการจัดสวดมนต์รูปแบบใหม่ ด้วยการสวดมนต์ที่ยาวนานที่สุด เพื่อการบันทึกสถิติ และเป็นพื้นที่ที่เป็นแบบอย่าง นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน กิจกรรมนิทรรศการรณรงค์การสร้างครอบครัวให้อบอุ่น โดยมีเกมต่าง ๆ ที่จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี

สำหรับวัดใน จ.ขอนแก่น ที่จัดกิจกรรมใหญ่คือ วัดศรีจันทร์, วัดโพธิ์ชัย, วัดฝางศรีงามราษฎร์, วัดเกาะแก้ววราราม และวัดสว่างอารมณ์

วัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เช่น วัดพระนารายณ์มหาราชวรมหาวิหาร จ.นครราชสีมา, วัดวชิราลงกรณ์วราราม จ.นครราชสีมา, วัดคำเจริญวราราม จ.อุบลราชธานี, วัดหลวงสุมังคลาราม จ.ศรีสะเกษ, วัดสันติวนาราม จ.อุดรธานี, วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จ.นครพนม, วัดโมกขวนาราม จ.ขอนแก่น, วัดอินทรังสฤษฏิ์ จ.สกลนคร, วัดแจ้งแสงอรุณ จ.สกลนคร, วัดศรีบุญเรือง จ.มุกดาหาร เป็นต้น

ภาคกลาง
สำหรับจังหวัดที่เป็นตัวแทนภาคคือ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือที่รู้จัดกันดีว่า "วัดโสธร" ซึ่งมีหลวงพ่อพุทธโสธร ประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว ที่วัดแห่งนี้ ตลอดทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสักการะหลวงพ่อพุทธโสธร และทำบุญที่วัดมากมาย การจัดงานสวดมนต์ข้ามปี

งานครั้งนี้มีเป้าหมายที่ต้องการเห็นประชาชนงดเหล้า เยาวชนไม่มั่วสุมสุราเพื่อลดอุบัติเหตุ ลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อให้ตัวเองและครอบครัวได้สร้างกุศลอันดีงาม

สำหรับวัดใน จ.ฉะเชิงเทรา ที่จัดกิจกรรมใหญ่ คือ วัดโสธรวรารามวรวิหาร, วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (วัดเมือง), วัดอภัยภาติการาม, วัดสัมปทวนนอก และวัดโพธิ์บางคล้า

วัดอื่น ๆ ในภาคกลางที่ร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เช่น วัดราษฎร์บูรณะ จ.กรุงเทพ, วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม, วัดไทรน้อย จ.นนทบุรี, วัดปัญญานันทาราม จ.ปทุมธานี, วัดใหญ่ชัยมงคล จ.อยุธยา, วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี, วัดพระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ, วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี, วัดไทยชุมพล จ.สุโขทัย, วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี เป็นต้น

ภาคใต้จ.นครศรีธรรมราช จะมีการจัดกิจกรรม "เดิน-วิ่งข้ามปี บูชาพระธาตุ" และกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ของ จ.นครศรีธรรมราช ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งการสวดมนต์ข้ามปีที่ผ่านๆมา เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสามารถดึงดูดให้มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

และในปีนี้ จ.นครศรีธรรมราชซึ่งกำลังโปรโมทกิจกรรมการท่องเที่ยว "นครศรีฯ ดี๊ ดี" ตลอดถึงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อร่วมผลักดันพระบรมธาตุสู่มรดกโลก จึงมีกำหนดการจัดกิจกรรมเดิน-วิ่ง ข้ามปี บูชาพระธาตุ และกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี อย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปี

สำหรับวัดใน จ.นครศรีธรรมราช ที่จัดกิจกรรมใหญ่ คือ วัดมะนาวหวาน, วัดท่าโพธิ์, วัดธาตุน้อย, วัดสุทธจินดา และ วัดปอแดง

วัดอื่น ๆ ในภาคใต้ที่ร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เช่น วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่, วัดชุมพรรังสรรค์ จ.ชุมพร, วัดป่าวังเจริญ จ.ตรัง, วัดหมื่นระงับรังสรรค์ จ.นครศรีธรรมราช, วัดมาตุคุณาราม จ.พังงา , วัดอุดมวราราม จ.พัทลุง, วัดสุนทราวาส จ.พัทลุง, วัดคงคาสวัสดิ์ จ.สงขลา, วัดมงคลมิ่งเมือง จ.สตูล, วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร จ.สุราษฎร์ธานี เป็นต้น

ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปลอดประสพ เชื่อ ปี56 แก้รธน.- เขาพระวิหารร้อน.. !!?


ปลอดประสพ.วิเคราะห์การเมืองปี 56 แก้รัฐธรรมนูญและปราสาทเขาพระวิหาร เป็นประเด็นร้อน

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี และรองหัวพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2556 ว่า เริ่มตั้งแต่ต้นปีก็มีประเด็นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นประเด็นใหญ่ที่สุด และเรื่องนี้รัฐบาลคงต้องใช้เวลาสักระยะในการดำเนินการ โดยเป้าหมายคือหาทางออกให้ดีที่สุดด้วยการสร้างอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงตามที่พรรคได้หาเสียงไว้ว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและทำประชามติ ซึ่งรัฐสภาได้ผ่าน 2 วาระไปแล้วว่าให้แก้ไข ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทย รัฐบาล และรัฐสภา ต้องการคืนอาจประชาธิปไตยให้คนไทยที่ถูกขโมยอำนาจอธิปไตยไปด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร เปลี่ยนคัมภีร์ที่ถูกสร้างไว้เพื่อข่มเหงรังแกลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เกิดความถูกต้อง ส่วนจะแก้ไขมาตราใดและหน้าตาของรัฐธรรมนูญออกมาเป็นแบบใดสุดท้ายจะจบลงที่ประชาชนต้องเป็นเจ้าของประเทศมีสิทธิในการปกครองประเทศเต็มที่

นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ตอนนี้การดำเนินการมาติดกับ เพราะคนที่ไม่ควรยุ่งแต่เข้ามายุ่ง ดังนั้นแนวทางทั้ง 3 ทาง คือ 1.ทำประชามติ 2.สองเดินหน้าโหวตวาระ 3 และ3.แก้ไขเป็นรายมาตรา เท่าที่ทราบมีรายละเอียดประเมิน 9-15 เรื่องที่สำคัญ และบางส่วนพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขไปแล้ว แต่สุดท้ายจะเลือกทางใดต้องใช้เวลาให้พรรคสรุปเป็นเอกฉันท์ โดยเจ้าของโจทย์ที่เสนอแต่ละแนวทางต้องนำเสนอให้พรรคทราบที่มาและผลดีผลเสีย จากนั้นจะมีการแบ่งโจทย์ให้ไปศึกษาแล้วนำกลับมาคุยกันว่าวิธีถอดโจทย์หรือแนวทางปฏิบัติของทั้ง 3 ทางจะทำอย่างไร เมื่อชัดแล้วมาตัดให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว โดยมีคำอธิบายข้อดีข้อเสียออกมาก่อนและทำความเข้าใจ ซึ่งตนก็มีโจทย์ของตัวเอง

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าทั้ง 3 โจทย์ จะผูกมัดและเกิดผลเสียกับรัฐบาลหรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าว สิ่งที่รัฐบาลทำทุกวันนี้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงไม่เห็นว่าจะมีผลเสียอะไร จะให้อธิบายผลเสียของรัฐธรรมนูญ2550 มีผลเสียอย่างไร จนต้องแก้ไขก็สามารถอธิบายเหตุผลได้ 108 อย่าง เมื่อถามว่าประเมินว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะแก้ไขแล้วเสร็จ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ และคิดว่าไม่มีใครกำหนดกรอบเวลา เพราะทั้ง 3 โจทย์ ก็มีคนที่เห็นด้วยแตกต่างกัน เป็นเรื่องที่พูดยาก ต่อข้อถามว่าเกรงว่าจะเกิดกระแสต่อต้านกับโจทย์ที่รัฐบาลสรุปหรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถแย้งเราได้เลยว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีข้อดีอย่างไร เพราะทุกคนก็เคยพูดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดี รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยพูดเมื่อตอนหาเสียง แต่ตอนนี้มาเบี่ยงเบนว่าแก้เพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อชวนให้เกิดการชุมนุมขึ้นอีก

นายปลอดประสพ กล่าวต่อว่า จากนั้นปลายปีจะมีประเด็นข้อพิพาทในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร เนื่องจากศาลโลกจะพิจารณาเรื่องนี้ และมองว่าจะบานปลายเพราะเราก็ไปถอนตัวของคณะกรรมการมรดกโลกแล้วทำให้เรื่องยิ่งบานปลายหนัก และมองว่าเรื่องนี้เราน่าจะเสียเปรียบทางกัมพูชา ซึ่งทั้งหมดเป็นผลจากที่พรรคประชาธิปัตย์ไปสร้างเรื่องเอาไว้ ไปยั่วยุ และเมื่อเราเสียเปรียบกลุ่มพันธมิตรฯก็จะออกมาโหมกระแสว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลทั้งๆที่เราไม่เกี่ยวข้องเลย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ฉากสุดท้าย 2555 (เป็น - อยู่ - ไป)..


โดย : ปริญญา ชาวสมุน

เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วสำหรับปี 2555 ตลอดทั้งปีมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย

โอกาสสิ้นปีแบบนี้แทบจะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบรรดาสื่อต่างๆ กันไปแล้ว ที่จะต้องนำสิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในวงการใดวงการหนึ่งมารวบยอดถ่ายทอดอีกครั้ง เพื่อย้ำเตือน บางเรื่องอาจเป็นบทเรียนชั้นดีได้อีกด้วย สำหรับวงการวรรณกรรมบ้านเรา จุดประกายวรรณกรรม ก็เช่นเดียวกัน ไม่ปล่อยให้เรื่องบางเรื่องถูกปล่อยผ่านไป ไหนๆ จะสิ้นปี มาดูกันสิว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องใดดี เรื่องใดร้าย เรื่องใดน่าสนใจ และสร้างแรงกระเพื่อมแก่วงการนี้บ้าง

1.รอยแผลจากอุทกภัยปี 54

ถึงแม้จะข้ามผ่านปี 2554 มาจวนจะหมดปี 2555 กันอยู่รอมร่อ ทว่าคงอดพูดถึงเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งนั้นเสียมิได้ เพราะผลกระทบอันร้ายกาจมิได้หยุดอยู่แค่ปลายปี 54 แต่ไหลบ่าสู่ปี 55 นี้ด้วย กว่าจะพลิกฟื้นคืนสภาพกันได้ต้องใช้เวลากันนานพอตัว และภาพที่ได้เห็นกันคือความเสียหายของบรรดาบ้านนักเขียน บ้านบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ สายส่ง ร้านหนังสือ แม้กระทั่งบ้านนักอ่าน

ที่เด่นชัดและถูกกล่าวถึงมากที่สุด เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบรรณาธิการอาวุโสท่านนี้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ที่ต้องกลายเป็นผู้ประสบอุทกภัยเต็มตัวด้วยแรงกระแสน้ำซึ่งมาแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว และที่น่าเศร้าไปกว่าคือบรรดาหนังสือนับแสนเล่มที่บรรณาธิการเครางามคนนี้สะสมไว้ตั้งแต่สมัยเรียนก็ถูกน้ำท่วมเสียหายกลายเป็นซากแห่งปัญญา สะท้อนภาพสังคมไทยได้อีกนัยหนึ่ง

"สิ่งที่ผมทำผมหวังว่าวันหนึ่งจะเป็นสมบัติของชาติ เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นประวัติศาสตร์สังคม แล้วแต่คนรุ่นต่อไปจะให้ความหมายมัน เอกสารและสิ่งเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไปก็คือเอกสารชั้นต้นของคนรุ่นเก่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือโป๊ หนังสือการเมือง หนังสือทุกๆ ประเภท ผมก็เก็บหนังสือทุกๆ ประเภท เพราะการเก็บหนังสือทุกประเภทนั้นผมต้องทำหน้าที่เหมือนบรรณารักษ์ ไม่เลือกที่รักไม่มักที่ชัง หนังสือแนวคิดทางการเมือง หนังสือต้องห้ามสมัย 6 ตุลา รวมทั้งหนังสือของผมเองก็จมไปหมดแล้ว หนังสือต้องห้ามที่ผมเคยฝังดินไว้เพราะเกิดภัยการเมืองช่วงนั้นมันก็รอดจากเหตุการณ์การเมืองเมื่อปี 2519 มาจนกระทั่งปีนี้ ไม่รอด" สุชาติ สวัสดิ์ศรี กล่าว (จุดประกายวรรณกรรม, ฉ. 8 ม.ค.55)

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว มีบรรดาเพื่อนๆ ในวงการหนังสือ รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาเข้าช่วยเหลือเก็บกู้หนังสือ แผ่นหนัง แผ่นเพลง ที่จมอยู่ใต้น้ำ แม้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะกลายเป็นซาก แต่หากมองอีกมุมคงไม่มีอะไรดีไปกว่าได้เห็นน้ำจิตน้ำใจ และเห็นภาพสะท้อนการบริหารของฝ่ายบริหารที่สุดท้ายผลกรรมต้องตกอยู่กับชาวบ้าน เรื่องนี้มิได้เตือนใจเพียงแค่เรื่องพิบัติภัยทว่าคงสะกิดบอกอะไรแก่วงการหนังสือได้มากพอสมควร...หรือไม่จริง

2.E-Books (ไม่) บุกสักที

เป็นที่กล่าวขานถึงกันมาหลายปีแล้วว่าหนังสือกำลังจะตาย หนังสืออิเล็กทรอนิกส์กำลังจะเข้ามาแทนที่ หากมองในต่างประเทศคงยากจะปฏิเสธ เพราะมีตัวอย่างของสำนักพิมพ์ที่ต้องปิดตัวลงเพราะไม่ปรับตัวเข้ากับกระแสอิเล็กทรอนิกส์ให้เห็นเนืองๆ หรือแม้แต่ร้านหนังสือ BORDERS ร้านหนังสือยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา (ถัดจาก Barnes & Noble) ซึ่งเคยมียอดจำหน่ายถึงหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่เมืองแอนอาร์เบอร์ ในรัฐมิชิแกน ต้องประกาศเลิกกิจการและปิดร้านค้าปลีกจำนวน 642 แห่งทั่วสหรัฐฯ และปลดคนงานกว่า 10,000 คน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมปี 2553

ซึ่งสองในสามเหตุผลในการปิดกิจการของ BORDERS ที่นักการตลาดได้วิเคราะห์ไว้ เกี่ยวกับการไม่ปรับตัวให้เป็นไปตามกระแส E-Books และ E-Commerce

ด้าน ดร.พลภัทร์ อุดมผล เจ้าของบริษัท ไอที เวิร์คส์ และถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน E-Books คนหนึ่งของเมืองไทย เคยกล่าวไว้ว่า

"ผมว่าคงยังไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากมายนัก อาจจะเป็นเรื่องอุปกรณ์อาจจะเปลี่ยน อย่าง iPad 3 เราก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร จะมีอะไรเพิ่มขึ้นมาแค่ไหน ในปีนี้เองหลายๆ ค่ายมีแผนจะออกอุปกรณ์ อย่างค่ายแอ๊ปเปิ้ลในปีนี้ก็น่าจะมีทั้ง iPhone 5 และ iPad 3 ด้าน Android ก็มีแทบเล็ต Icecream, Sandwich เรียงแถวกันออกมาเลย ไมโครซอฟท์ก็จับมือกับโนเกียออกสมาร์ทโฟนวินโดว์ส จะมีวินโดว์ส 8 ออกมา ปีนี้น่าจะมีการเติบโต การแข่งขันในตลาดแทบเล็ตมาก มันก็จะดึง e-book ขึ้นไปด้วย" (จุดประกายวรรณกรรม, ฉ.15 ม.ค.55)

ถ้าใครติดตามทั้งวงการหนังสือและวงการไอทีไปพร้อมๆ กัน จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ ดร.พลภัทร์ กล่าวนั้นเกิดขึ้นจริงในปี 2555 คือ สิ่งที่มาแรงจริงๆ คือ การแข่งขันกันระหว่างผู้ผลิตอุปกรณ์ แต่ละผลิตภัณฑ์ตอบสนองกระแสหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้ แต่หากจะบอกว่า E-Books เติบโตอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่ อาจยังตอบไม่ได้เต็มปากเต็มคำ เท่าที่เห็นความเคลื่อนไหวของหนังสือบ้านเราก็คงเป็นกลุ่มนิตยสาร นิตยสารการ์ตูน หรือหนังสือประเภทอื่นบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทดลองจับตลาด แต่จะจับติดหนับหรือไม่ อาจต้องรอดูกันยาวๆ ปีหน้า หรือไม่ก็ปีโน้น

3.มวจ.มาตรฐานใหม่แห่งวงการวรรณกรรม

จากต้นปีมังกรดำเนินมาอย่างเอื่อยๆ กระทั่งเข้าสู่กลางปี วงการหนังสือบ้านเราก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นอีกครั้ง นั่นคือการประกาศตัวทำโครงการ (ระยะยาว) มวจ. หรือ มาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์จำกัด โดยมีแกนนำคือ ดอนเวียง - วชิระ บัวสนธิ์ และ เรืองเดช จันทรคีรี ร่วมกับเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้มีใจรักวรรณกรรม เดินหน้าสร้างบรรทัดฐานให้การพิมพ์หนังสือชั้นดีเกิดขึ้นมากหลาย

เรืองเดช อธิบายว่า มวจ.เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพและคุณค่าของหนังสือ เครื่องหมาย มวจ.จะเป็นเครื่องหมายรับรองให้ผู้อ่านมั่นใจว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าด้านเนื้อหา มีคุณภาพด้านงานบรรณาธิการ และการผลิต ซึ่งคุณค่าและคุณภาพทำให้สำนักพิมพ์และร้านหนังสือเล็กๆ ขายหนังสือนั้นได้มากขึ้นด้วย

ปัจจุบันตลาดวรรณกรรมภาพรวมอาจใหญ่โต แต่เมื่อแบ่งชั้นกัน วรรณกรรมดีกลับกลายเป็นชนกลุ่มน้อย แทบไม่มีที่ยืน มิหนำซ้ำผู้เสพงานวรรณกรรมดีก็ยิ่งมีน้อย วรรณกรรมดีจึงกลายเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (limited) แต่แง่ดีแนวทางของ มวจ.ก็เหมาะกับตลาดแบบจำกัดนี้ที่สุด

"ข้อดีอย่างหนึ่งของตลาดเฉพาะกลุ่ม คือ คู่แข่งน้อย เพราะตลาดเล็ก คนส่วนมากไม่สนใจ มันเล็กมาก ขายหนังสือ 2,000 เล่ม เขาไม่สนใจ เขาสนใจจะขายเป็นหมื่นเล่ม ดังนั้นหากเราค้นพบแนวหนังสือที่เป็นแนวถนัด ทางของตัวเอง ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้อ่านของเราได้ เราก็จะเป็นผู้นำตลาด" เจ้าสำนักรหัสคดี กล่าว (จุดประกายวรรณกรรม, ฉ.15 ก.ค.55)

จากวันนั้นจนวันนี้เราก็ได้เห็นหนังสือภายใต้เครื่องหมาย มวจ. ออกมาสองสามเล่มแล้ว เช่น สีแดงกับสีดำ และ ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี ซึ่งกระแสตอบรับจากนักอ่านก็ค่อนข้างดี

นับเป็นจุดเริ่มต้นอันงดงาม และน่าสนับสนุนต่อไป เพราะถ้าถามผู้อ่านจุดประกายวรรณกรรมอย่างเปิดอกเปิดใจว่าอยากเห็นอนาคตของวงการวรรณกรรมบ้านเราเป็นอย่างไร คงไม่มีใครต้องการให้บรรณพิภพไทยถึงคราวฉิบหายกันหรอก...ใช่ไหมครับ

4.'ซีเอ็ด - นายอินทร์' ศึกหนักกรณี DC 1 เปอร์เซ็นต์

ถัดมาเพียงหนึ่งเดือน วงการหนังสือบ้านเราก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องความร่วมอะไร เพราะเป็นการรวมตัวกันของสำนักพิมพ์ นักอ่าน นักเขียน ออกมาเรียกร้องให้ร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ของประเทศถึงสองแห่งที่จับมือกันร่อนหนังสือถึงสำนักพิมพ์ต่างๆ แจ้งเจตน์จำนงว่าจะขึ้นค่าธรรมเนียมศูนย์กระจายสินค้า Distribution Center Fee (DC) อีก 1 เปอร์เซ็นต์ของราคาปก

ร้อนไปถึงเจ้าสำนักสามัญชน คนนอนอ่านหนังสือ อย่าง ดอนเวียง - วชิระ บัวสนธิ์ ต้องร่อนหนังสือคัดค้านมีใจความว่า...

"หนังสือที่เราเห็นๆ วางขายอยู่ตามร้านค้าทั่วไปนั้น หน้าร้านอาศัยกินเปอร์เซ็นต์จากเล่มที่ขายได้ เล่มใดขายไม่ได้ ก็ไม่คิดตังค์จากสำนักพิมพ์หรือสายส่งแต่ประการใด ข้อปฏิบัติดังกล่าวยังคงอยู่ แต่ซีเอ็ดกับอมรินทร์ ต้องการเรียกเก็บตังค์กินเปล่าเพิ่มอีก 1% ของยอดส่งสินค้าฝากขาย โดยผิวเผิน อาจดูเหมือนเป็นตัวเลขไม่สูงเท่าไร แต่ถ้าพิจารณาจากมูลค่าปกหนังสือที่ผลิตกันในช่วงปีปัจจุบัน ซึ่งมีการประเมินกันว่าไม่น่าจะต่ำกว่าสามหมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป เช่นนี้แล้ว และหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของยอดดังกล่าวที่จะไหลเข้ากระเป๋าของสองบริษัทมหาชนอย่างมากมาย" (จุดประกายวรรณกรรม, ฉ.12 ส.ค.55)

หลังจากนั้นได้มีการตอบโต้จากหลายฝ่าย อาทิ การเรียกร้องไม่ให้ใช้บริการร้านหนังสือซีเอ็ดและนายอินทร์จากกลุ่มคนในสังคมออนไลน์ จนในที่สุดเรื่องก็ไปถึงคณะอนุกรรมาธิการการเมืองและสื่อสารมวลชน รัฐสภา โดยเรียกผู้เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว ทั้งตัวแทนจากซีเอ็ด, นายอินทร์ ตัวแทนสำนักพิมพ์ และสมาคมต่างๆ เข้าชี้แจง

กระทั่งได้บทสรุปว่า ร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ทั้งสองเจ้ายอมยกเลิกการเรียกเก็บเงินดังกล่าว คล้ายเรื่องนี้จะจบลงอย่างงดงาม ทว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ซีเอ็ดกลับกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาอีกครั้งจากกรณีจำกัดสิทธิการจำหน่ายหนังสือที่มีเนื้อหาส่อไปในทางเพศ เบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสังคมที่กำลังก้าวไปสู่ความเป็นเสรีทั้งๆ ที่รากฐานทางความคิดยังไม่มั่นคงอย่างบ้านเรา ปีนี้จึงถือเป็นปีที่ซีเอ็ดและนายอินทร์ต้องรับศึกหนักจริงๆ โดยเฉพาะซีเอ็ด

5."เรยา"ผู้หญิงร้อนแรงข้ามปี

เรียกได้ว่าเป็นตัวละครหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากเป็นอันดับต้นๆ เมื่อปีก่อนเพราะ 'เรยา วงศ์เสวต' ตัวละครเอกจากนวนิยาย 'ดอกส้มสีทอง' ของ ถ่ายเถา สุจริตกุล ได้ถูกรังสรรค์ในรูปของละครชื่อเดียวกัน ด้วยความที่บุคลิกและบทบาทของเรยาช่างร้อนแรงสะใจผู้ชม ทั้งนวนิายและละครจึงดังเปรี้ยงปร้างดั่งประทัดดอกไม้ไฟ

และในปี 2555 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ เรยาก็ถูกกล่าวขานถึงอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอมาในโฉมละครเวทีแบบมิวสิคัล ที่ขนเอาบทเพลงอันไพเราะมากมายขึ้นขับกล่อมพร้อมกับเนื้อหาที่เข้มข้น

ถ่ายเถา สุจริตกุล ผู้ประพันธ์ได้กล่าวไว้ว่า...

"ละครเพลงหรือมิวสิคัลสไตล์บอร์ดเวย์ เราเดินเรื่องด้วยเพลง คำพูดเป็นส่วนประกอบเพลง ไม่ใช่เพลงเป็นส่วนประกอบบทเจรจา ดิฉันก็ต้องคิดก่อน ตอนที่ได้คุยกันว่าจะทำเรื่องนี้เป็นละคร ดิฉันก็บอก ให้สมเถาแต่งเพลง เขาก็มีประสบการณ์เยอะ ติดต่อเขาก็ทำ สมเถาเป็นคนวางโครงเรื่อง เขาไม่ได้อ่านนวนิยายหมด เพราะภาษาไทยก็ไม่สันทัดนัก ดิฉันก็เขียนไปว่าตัวละครตัวนี้เป็นใคร ชีวิตเป็นอย่างไร จบอย่างไร เขาก็ไปทำโครงเรื่อง และมีบางตอนที่เรามาคุยกันว่าอย่างนี้ดีไหม แต่โครงเรื่องเขาเป็นคนวางเพราะเขารู้เรื่องดนตรีมากกว่าดิฉัน ที่อยากจะทำก็คือมันจะเป็นครั้งแรกที่ดนตรีนำเรื่อง ไม่ใช่เรื่องนำดนตรี" (จุดประกายวรรณกรรม, ฉ.9 ก.ย.55)

เมื่อ เรยา เดอะมิวสิคัล แสดงเสร็จสิ้น ไม่ต่างจากทั้งเป็นนวนิยายและละครโทรทัศน์ เพราะมีทั้งเสียงชื่นชม และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่อาจเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ต้องพบเจอเรื่องแบบนี้ หากเรายังดำรงอยู่ในสังคมปากว่าตาขยิบแบบนี้ ในสังคมที่มีคนแบบเรยาเดินไปๆ มาๆ ขวักไขว่...บางคนอาจยิ่งกว่าเรยาเสียด้วยซ้ำ

6.แรงเงา-กี่เพ้า

หลังจาก"เรยา"โบกมืออำลาไปแล้ว...."แรงเงา"ผลงานนวนิยายของ "นันทนา วีระชน"ที่ถูกนำมาทำเป็นละครทีวีก็ทำเร็ตติ้งร้อนแรงไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งจิกทั้งตบทั้งกรี๊ดจนจอแก้วแทบร้าวเลยทีเดียว นอกจากนี้แล้วก็มีนวนิยายเรื่อง "กี่เพ้า"ผลงานของพงศกร (นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ)อีกเรื่องหนึ่งที่นำไปทำเป็นละครทีวี และประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับนวนิยายเรื่อง "รอยไหม"ที่มีคนดูติดกันงอมแงมทั่วประเทศ

7."คนแคระ" ซีไรต์ 2555

อย่างที่จุดประกายวรรณกรรมเคยพูดคุยกับ วิภาส ศรีทอง ว่า เขาบ่มกลั่น คนแคระ ร่วมสองปี ตั้งแต่เขียนเสร็จในช่วงปีครึ่งและแก้ไขตัดทอนอีกครึ่งปี เหตุผลแรกที่ใช้เวลานาน เพราะเนื้อเรื่องยาวมาก แต่อีกเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าและเกือบทำให้เขาโยนคนแคระลงถังขยะเพราะ คำวิจารณ์อันหนักหน่วง รุนแรงจากเพื่อนนักเขียนคนหนึ่ง

"มีกระแสตอบรับหลายอย่างที่...เอ่อ...ส่งให้เพื่อนนักเขียนหลายๆ คนอ่าน เขาบอกว่าไม่ผ่าน ต้องไปแก้เยอะ ผมต้องตัดไปเยอะ ตัดไปประมาณเกือบร้อยหน้าเอสี่ ซึ่งถ้าเป็นกระดาษมาพิมพ์ก็เกือบๆ สองร้อยหน้า...จริงๆ มีคนบอกให้ไปเขียนใหม่หมดหรือไม่ก็โยนทิ้งไปเลย ผมก็เสียความมั่นใจนะ" วิภาส เล่าให้ฟัง

แต่วิภาสก็ต่อสู้กับสภาวะในใจอันเกิดจากผู้อื่นหยิบยื่นให้ได้สำเร็จ เขาแก้ไขต้นฉบับที่มีปัญหาจนกระทั่งสมบูรณ์ ตีพิมพ์ และสุดท้ายก็ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ปีล่าสุดไปครอง

ด้าน ผศ.สกุล บุณยทัต หนึ่งในคณะกรรมการบอกว่า นวนิยายเรื่องนี้สร้างมิติใหม่ทางสังคมอย่างน่าประหลาดใจ

"นี่คือจุดเด่นที่สุดของนวนิยายในรอบทศวรรษที่สร้างมิติของสังคมใหม่ให้ปรากฏเป็นภาพ สังคมใหม่มีรอยบาดเจ็บมาก ตัวละครมีความซับซ้อน มีความแปลกแยก แต่ละตัวเหมือนจะไม่รู้ในสิ่งที่ตัวเองกระทำ แต่ละตัวเหมือนจะไม่รู้สึกว่าตัวเองมีสำนึกด้านในที่ปรากฏออกมา ตัวละครทั้งสี่ ทุกคนเป็นโลกแห่งความหมาย ซึ่งเป็นโลกแห่งความเร้นลับในชีวิตมนุษย์ปัจจุบัน ด้วยฝีมือของวิภาสที่สร้างตัวละครเหล่านี้ให้กลายเป็นกรอบของภาวะสำนึกที่มันเจ็บปวดและขมขื่นและทำให้นวนิยายเรื่องนี้เป็นภาวะที่เราได้ประจักษ์ถึงความทบซ้อนของชีวิตในภาวะต่างๆ และทำให้เราหันกลับมามองตัวเองว่าอย่างน้อยที่สุด ในสังคมทุกวันนี้เราก็เหมือนไม่รู้สึกตัวต่อสิ่งที่เราเป็นอยู่เช่นเดียวกัน"

แม้คนแคระของวิภาสจะคว้ารางวัลมาได้ด้วยมติขาดลอย 7 ต่อ 0 เสียง แต่ถ้าหากเท้าความไปเมื่อปี 2551 ความผิดพลาดครั้งนั้นกลับมาทิ่มแทงวิภาสจนกระทั่งวันนี้ ซึ่งภายในงานประกาศรางวัลซีไรต์ 2555 จิตติ หนูสุข กรรมการสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยและสมาชิกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ได้แสดงทัศนะว่า ประหลาดใจมากที่ผลออกแบบนี้

"ผมไม่แน่ใจว่าในรอบคณะกรรมการตัดสินทั้งเจ็ดท่าน ซึ่งทุกท่านเป็นผู้ที่ผมเคารพ หลายท่านเป็นผู้ที่ผมเคารพนับถืออย่างยิ่ง แต่ผมคงต้องขอพูดความในใจ ผมไม่ทราบว่าท่านคณะกรรมการคิดอย่างไรถึงตัดสินให้ผลงานซึ่งแม้จะมีความดีเด่น ล้ำเลิศ ผมไม่สงสัยในคุณภาพของหนังสือเล่มนี้เลย ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้มีความดีเด่น แต่เราทั้งหลายในวงวรรณกรรมก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า นักเขียนผู้เขียนผลงานดีๆ ผู้นี้มีความบกพร่องทางจริยธรรม โดยเฉพาะในการส่งประกวดรางวัลซีไรต์เมื่อปี 2551 นักเขียนผู้นี้ได้ส่งหนังสือรวมเรื่องสั้นเข้ามาประกวด หนึ่งในตัวเรื่องสั้นเล่มนั้นได้ดัดแปลงเรื่องสั้นของนักเขียนต่างประเทศมา ที่สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยก็ได้ทำการตรวจสอบ และพบว่าเป็นความจริง นักเขียนคนนี้พอข่าวฉาวโฉ่ขึ้นมา นักเขียนคนนี้ก็หายหน้าไปจากวงวรรณกรรม 4-5 ปี แล้วปีนี้ ก็ได้บังอาจส่งนวนิยายผลงานเล่มใหม่เข้ามาประกวด กรรมการรอบตัดสินได้คิดเรื่องอะไรเหล่านี้หรือไม่ ผมคิดว่าในบ้านเมืองของเราเดือดร้อนวุ่นวายแสนสาหัส เพราะมีคนบกพร่องทางจริยธรรม และการบกพร่องทางจริยธรรมก็ได้ก้าวมาในวงการหนังสืออีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นระยะๆ ตลอดมา และผมก็คิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าโลกจะแตก"

หากมองอย่างเข้าใจ เสียงคัดค้านนี้มิได้มีเพียงเสียงเดียว หรือกล่าวร้ายอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น จิตติเพียงประสงค์ดีต่อวงการวรรณกรรมและเกรงว่าจะเกิดคำครหาต่อศักดิ์ศรีแห่งรางวัลซีไรต์

แน่นอนว่าเมื่อมีก้อนอิฐโถมใส่ วิภาสรับรู้ แต่ไม่แปลกใจที่ถูกขุดคุ้ยประวัติ

"ผมไม่แปลกใจ เพราะประวัติน่ะใช่ มีปัญหาจริง แต่ซีไรต์เป็นการประกวดรางวัลหนังสือ เขาตัดสินกันที่หนังสือ เข้าใจนะว่าสังคมบ้านเรามีจารีต แต่ก็ดีเพราะจะได้มีการวิพากษ์วิจารณ์" (จุดประกายวรรณกรรม, ฉ.30 ก.ย.55)

8.อำลา-อาลัยผู้จากไป

ในช่วงปี 2555 มีนักเขียนนักกวีหลายคนที่เสียชีวิต แต่ละคนต่างกรรมต่างวาระ มีผลงานที่หลากหลายตามแนวถนัดของตัวเอง ซึ่งทั้งผลงานและเรื่องราวชีวิตของนักเขียนแต่ละคน เหลือไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเล่าขานสืบไป ไม่ว่าจะเป็น อังคาร กัลยาณพงศ์, ประสิทธิ์ โรหิตเสถียร หรือ ดาเรศ,ศิริพงษ์ จันทร์หอม,ตะวันสันติภาพ,ดร.สาทิส อินทรกำแหง,หมื่น(การ์ตูนนิสต์ล้อการเมือง),มานพ ถนอมศรี....และในนามจุดประกายวรรณกรรมขอให้ดวงวิญญาณทุกท่านจงหฤหรรษ์ในทิพย์วิมานแห่งสวรรค์

...

ไม่ว่าปีนี้ที่กำลังจะผ่านไปนั้นจะเกิดอะไรขึ้น มีสีสันอันน่าจดจำมากน้อยเพียงใด ปีหน้าวงการวรรณกรรมไทยก็ต้องเดินหน้าต่อไป...จะดีไหมหากเรานำบทเรียนและ 'กำไร' จากปีก่อนมาเป็นรากฐานของปีใหม่ บางทีทั้งชีวิตและวงการวรรณกรรมอาจรุดหน้าเทียบชั้นนานาประเทศได้

พบกับอีกทีในปี 'กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหนังสือแห่งโลก2556'....สวัสดีปีใหม่จากใจจุดประกายวรรณกรรม

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++