--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาเซียน-อินเดีย-ไทย เชื่อมโยงสัมพันธ์ จาก Look East สู่ Look West Policy !!?


ไทย-อินเดีย: บนร่องรอยความสัมพันธ์กว่า 6 ทศวรรษ

ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดีย ก่อนที่อินเดียจะได้รับการรับรองเป็นประเทศเอกราช 15 วัน คือวันที่ 1 สิงหาคม 1947  ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่โลกตกอยู่ในช่วงสงครามเย็น ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายนั้นมีลักษณะห่างเหินกัน เนื่องจาก โลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอำนาจ (bipolar world) ระหว่างโลกเสรีนิยมภายใต้สหรัฐอเมริกา และโลกสังคมนิยมภายใต้สหภาพโซเวียต โดยฝ่ายไทยดำเนินนโยบายตามโลกเสรีต่อต้านคอมมิวนิสต์
ทางด้านอินเดียดำเนินตามหลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติ (Peaceful Co-existence) และนโยบายเป็นกลาง (Non-Alignment) แต่ยังให้ความสนิทชิดเชื้อกับสหภาพโซเวียต ขณะที่ฝ่ายไทยได้เข้าเป็นสมาชิก SEATO ที่มีปากีสถานเป็นรัฐภาคีร่วมอยู่ด้วย ทำให้ไทยมีนโยบายที่สนับสนุนปากีสถานที่กำลังมีข้อพิพาทกับอินเดียเรื่องดินแดนแคว้นแคชมีร์ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายมีลักษณะห่างเหิน
จนกระทั่งคอมมิวนิสต์ยุโรปตะวันออกล่มสลายในช่วงปี 1991 อินเดียก็เริ่มสานสัมพันธ์และชูนโยบายที่สำคัญ คือ Look East policy นโยบายมองตะวันออก ที่อินเดียใช้ดำเนินความสัมพันธ์ทั้งต่อไทยและอาเซียนมาตั้งแต่ปี 1993 อันเป็นทิศทางที่มาบรรจบกับนโยบายของฝั่งไทยเองคือ Look West policy ในปี 1996 ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการค้าการลงทุน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความมั่นคง การเกษตร การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการศึกษา
นายกรัฐมนตรีไทย-อินเดีย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ มานโมฮัน ซิงห์ ภาพจาก Facebook Yingluck Shinawatra
นายกรัฐมนตรีไทย-อินเดีย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ มานโมฮัน ซิงห์ ภาพจาก Facebook Yingluck Shinawatra
การที่อินเดียดำเนินนโยบาย Look East นั้น มีลักษณะเด่นคือ การให้ความสำคัญกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และเอเชียตะวันออก (จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น) มากขึ้น ขณะที่ไทยเองก็ดำเนินนโยบาย Look West ที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกามากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากกระแสโลกาภิวัตน์ที่ทำให้โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามระบบทุนนิยมและมีการค้าเสรีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์เริ่มเจือจางลง ทำให้โลกหันมารวมกลุ่มทางการค้า (trade bloc) เพื่อร่วมมือกันมากขึ้นโดยเฉพาะมิติทางด้านเศรษฐกิจ
ด้วยเหตุนี้ การดำเนินนโยบายของไทยในลักษณะ Look West ที่ริเริ่มในสมัยของรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มุ่งปรับความสัมพันธ์กับอินเดีย บังคลาเทศ และศรีลังกาจึงเกิดขึ้นได้ แต่มีการพัฒนาในระยะสั้นเนื่องจากการเมืองในช่วงนั้นขาดเสถียรภาพ
แต่หลังจากนั้น นโยบายดังกล่าวได้ถูกนำมาสานต่อให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในสมัยรัฐบาลของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ  ที่เริ่มเสนอกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ BIST-EC (ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุทวีป ได้แก่ บังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา และไทย) เพื่อพัฒนาความร่วมมือกับเอเชียใต้ในลักษณะพหุภาคีมากขึ้น จนกระทั่งพม่าได้เข้ามาร่วมสังเกตการณ์จึงเปลี่ยนชื่อเป็น BISMT-EC นอกจากนี้ ไทยกับอินเดียยังคงดำเนินความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องภายใต้กรอบความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีหลายด้านด้วยกัน

อาเซียน-อินเดียกับความสัมพันธ์สมัยใหม่ภายใต้วงรอบ 2 ทศวรรษ

ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน-อินเดียหลังสงครามเย็น อินเดียดำเนินนโยบายต่างประเทศกับชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ภายใต้หมุดสำคัญคือนโยบายมองตะวันออก (Look East policy) ทำให้ทั้งสองฝ่ายกระชับความร่วมมือทั้งในกรอบอาเซียน+1 (อินเดีย) อาเซียน+6 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย) ความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง คงคา (Mekong-Ganga Cooperation: MGC ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา และอินเดีย) และ BISMT-EC เป็นต้น
1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารวิสัยทัศน์ของผู้นำอาเซียน-อินเดีย (ASEAN-India Vision Statement) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2. ให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองเอกสารวิสัยทัศน์ของผู้นำอาเซียน-อินเดีย (ASEAN-India Vision Statement) สาระสำคัญของร่างเอกสารวิสัยทัศน์อาเซียน-อินเดีย
1) ความสัมพันธ์ในภาพรวม ผู้นำอาเซียนและอินเดียประกาศยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และสนับสนุนการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดีย (พ.ศ. 2553-2558) รวมทั้งจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับอาเซียนในการสร้างประชาคมอาเซียนภายใน พ.ศ. 2558 โดยเห็นพ้องให้จัดตั้งศูนย์อาเซียน-อินเดียเพื่อกระชับความร่วมมือดังกล่าว
2) ภายใต้ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ผู้นำอาเซียนและอินเดียมุ่งมั่นจะ
  • (1) เสริมสร้างความเข้าใจโดยให้มีการแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดในระดับสูงตลอดจนการหารือทวิภาคีและพหุภาคีในระดับต่าง ๆ โดยใช้ประโยชน์จากกระบวนการที่มีอาเซียนเป็นแกนนำ เช่น การประชุม ASEAN Defense Ministers’ Meeting Plus (ADMM+) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการทหาร และการประชุม ASEAN Regional Forum (ARF) ในกรอบของรัฐมนตรีต่างประเทศ
  • (2) ส่งเสริมให้มีการดำเนินการภายใต้แถลงการณ์ร่วมอาเซียน-อินเดียว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ส่งเสริมความร่วมมือทางทะเล และการประชุมร่วมกับประเทศนอกภูมิภาค
3) ภายใต้ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจผู้นำอาเซียนและอินเดียเรียกร้องให้สรุปผลการเจรจาด้านการค้าบริการและการลงทุนอาเซียน-อินเดีย เพื่อให้สามารถจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียได้โดยเร็ว ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าร่วมกระบวนการภายใต้ความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership-RCEP) ตั้งแต่ต้น รวมทั้งตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าสองฝ่ายระหว่างอาเซียน-อินเดีย เป็น 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2558
4) ภายใต้ความร่วมมือด้านสังคม วัฒนธรรม และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน โดยให้มีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยีสารสนเทศ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนระหว่างสมาชิกรัฐสภา สื่อมวลชน และนักวิชาการ เสริมสร้างความร่วมมือในการลดช่องว่างทางการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสนับสนุนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน พ.ศ. 2552-2558 (IAI Work Plan II)
5) ภายใต้ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงสนับสนุนการดำเนินการ ภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงฯ และแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน โดยให้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง ASEAN Connectivity Coordinating Committee กับ India Inter-Ministry on ASEAN Transport Connectivity เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
6) สนับสนุนบทบาทของอาเซียนในฐานะศูนย์กลางของสถาปัตยกรรมภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) กรอบ ARF กรอบ ADMM+ และกรอบความร่วมมืออื่น ๆ
7) เรียกร้องให้มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของเอกสารวิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียน-อินเดีย โดยให้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนอาเซียน-อินเดีย ASEAN-India Green Fund และกองทุนอาเซียน-อินเดียเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ  ภาพจาก ทำเนียบรัฐบาล
การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ ภาพจาก ทำเนียบรัฐบาล
มติที่คณะรัฐมนตรีไทยเห็นชอบนั้น สอดรับกับแถลงการณ์วิสัยทัศน์อาเซียน-อินเดีย จากการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีความสัมพันธ์อาเซีย-อินเดีย ทั้งสองฝ่ายร่วมประชุมกันภายใต้ธีมความเป็นหุ้นส่วนอาเซียน-อินเดีย เพื่อสันติภาพและความรุ่งเรืองร่วมกัน และได้ออกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมอาเซียน อินเดีย ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าความสัมพันธ์มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
โดยแผนปฏิบัติการที่มีร่วมกันในช่วงแรกระหว่างปี 2005-2010 ประสบความสำเร็จ และช่วยทำให้แผนปฏิบัติการช่วงที่ 2 ที่มีระยะเวลาตั้งแต่ปี 2010-2015 จะช่วยส่งเสริมให้ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ รุ่งเรือง และก้าวหน้าร่วมกันนั้นสมบูรณ์ขึ้น ความร่วมมือที่ก้าวหน้าดังกล่าว ทำให้ส่งผลต่อมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียน-อินเดีย 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐทะลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ในปี 2012
  • ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าจะขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันมากขึ้นให้ถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2015 เนื่องจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียจะมีประชากรโดยรวมถึง 1.8 พันล้านคน และผลผลิตรายได้ประชาชาติ (GDP) จะสูงถึง 3.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
  • ด้านสังคม วัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีความร่วมมือในระดับประชาชนให้เข้มแข็งมากขึ้น ทั้งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การศึกษา เยาวชน กีฬา ฯลฯ และเห็นพ้องที่จะให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูสัญลักษณ์ของประเทศต่างๆในอาเซียนและอินเดียที่สะท้อนผ่านโบราณสถานต่างๆ เช่น นครวัดในกัมพูชา (Angkor Wat) วัดฮินดูพรัมบานัน และบรมพุทโธในประเทศอินโดนีเซีย (Borobudur and Prambanan) ปราสาทวัดพูในลาว (Wat Phu) อาณาจักรพุกามในพม่า (Bagan) อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในไทย ปราสาทหมีเซิน (My Son) ในเวียดนาม
  • อินเดียยังให้คำมั่นจะให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศ CLMV เป็นพิเศษด้วย เนื่องจากเป็นเสมือนตัวเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและอินเดีย โดยให้ความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์เป็นหลัก

ความเนื้อหอมของอาเซียนที่ใกล้จะรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทำให้ตัวแสดงหลักๆ ในเวทีโลกอย่างสหรัฐอเมริกา จีน รวมทั้งอินเดียเข้ามาร่วมวงภาคี และพยายามแสดงบทบาทโดดเด่นในหลายเรื่อง เพื่อให้อาเซียนไม่หันเห หรือให้ความสำคัญกับประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป และอาเซียนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากอาจกลายเป็นยาสมานบาดแผลทางเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ ประสบวิกฤตโดยถ้วนหน้า
ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่น่าจับตาผ่านความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียนย่อมน่าสนใจ เพราะยังมีประเทศปิดอีกหลายประเทศที่ค่อยๆ ทยอยเปิดตัวให้เข้าไปลงทุนและสานผลประโยชน์ร่วมกันได้โดยง่าย ความร่วมมือที่ออกดอกออกผลชัดเจนจากมิติทางการค้าและการลงทุนดังกล่าว ส่งผลให้ปัญหาทั้งด้านการเมืองและความมั่นคงที่หลายประเทศในกลุ่มอาเซียนต้องเผชิญนั้น เลือนลางลงไปบ้างไม่มากก็น้อย
การรวมตัวของอาเซียนที่มีรอบอายุมากขึ้นทุกๆ ปีทำให้อาเซียนได้เรียนรู้ว่า ยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งปฏิบัติตามหลักสากลเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ประเทศอื่นๆแทรกแซงน้อยลง และทำให้อาเซียนมีทางเลือกในการให้ความร่วมมือผ่านความสัมพันธ์จากการรวมกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น

ที่มา.Siam Intelligence
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

10 อันดับข่าวเด่น โลกปี 2012.


โต๊ะข่าวต่างประเทศจัดอันดับ 10 ข่าวเด่นโลก ประจำปี 2012 ดังนี้

1.“โอบามา” ชนะเลือกตั้งสมัย 2

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 นอกจากนี้นิตยสาร “ไทม์” ยังยกย่องให้เขาเป็น “บุคคลแห่งปี” เป็นครั้งที่ 2 ในฐานะผู้เป็นสัญลักษณ์และผู้เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ให้กับสหรัฐ

2.ชาวมุสลิมประท้วงภาพยนตร์

ชาวมุสลิมทั่วโลกประท้วงภาพยนตร์เรื่อง “อินโนเซนท์ ออฟ มุสลิมส์” ซึ่งพวกเขากล่าวหาว่าดูหมิ่นพระศาสดาของศาสนาอิสลาม โดยมีการโจมตีสถานกงสุลสหรัฐในลิเบีย รวมถึงการประท้วงรุนแรงในหลายประเทศ

3.เหตุสังหารหมู่ในสหรัฐ

เหตุการณ์สังหารหมู่ที่โรงเรียนประถมฯแซนดี้ฮุค เมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนตทิคัตของสหรัฐ โดยนายอดัม แลนซา มือปืนวัย 20 ปี มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นครู 6 คน และเด็กนักเรียน 20 คน นับเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐ

4.กระแสตื่น “วันสิ้นโลก”

ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกหวั่นวิตกต่อการตีความปฏิทินมายาเรื่องวันสิ้นสุด 5,200 ปี ที่ว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็น “วันสิ้นโลก” ทำให้มีการสร้างยานพาหนะเพื่อป้องกันภัย หรือหลบหนีไปยังสถานที่บางแห่ง ขณะที่ 6 ชาติในลาตินอเมริกาจัดงานฉลอง

5.การเปลี่ยนผู้นำใน 3 ประเทศ

นายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีจีน ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีคนใหม่ แทนประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ส่วนนายชินโซ อาเบะ ชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ และ น.ส.ปาร์ค กึน-เฮ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเกาหลีใต้

6.ไต้ฝุ่น “โบพา” ถล่มฟิลิปปินส์

พายุไต้ฝุ่น “โบพา” พัดถล่มฟิลิปปินส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,050 คน บาดเจ็บกว่า 2,000 คน สูญหายราว 800 คน และไร้ที่อยู่อาศัยราว 300,000 คน ซึ่งนับเป็นพายุรุนแรงที่สุดที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ในปีนี้

7.เกาหลีเหนือยิงจรวด

เกาหลีเหนือยิงจรวดส่งดาวเทียมสำรวจอวกาศขึ้นสู่วงโคจรของโลกสำเร็จเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการทดสอบเทคโนโลยีติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์บนขีปนาวุธพิสัยไกล

8.“ซู จี” เป็น ส.ส. ครั้งแรก

นางออง ซาน ซู จี ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรก นอกจากนี้เธอยังได้เดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี เริ่มจากไทย 6 ประเทศในยุโรป รวมถึงสหรัฐ และอินเดีย

9.“โอบามา” เยือนพม่า

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา นับเป็นผู้นำสหรัฐคนแรกในรอบ 50 ปีที่ไปเยือนพม่า หลังจากที่สหรัฐได้ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรพม่า ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลพม่าได้ดำเนินการปฏิรูปทางการเมือง

10. วิกฤตการณ์ในซีเรีย

สงครามกลางเมืองในซีเรียที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 21 เดือนแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 44,000 คน ขณะที่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านยังคงสู้รบกันอย่างหนักในหลายเมือง และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปีนี้-ปีหน้า !!?


โดย.วรศักดิ์ ประยูรศุข

อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ศักราชใหม่ 2556-2013 กันแล้ว

ปีนี้น่าจะฉลองกันได้สนุกกว่าที่ผ่านๆ มา เพราะไม่มีปัญหาระดับวิกฤตมารบกวน

แต่กลับมาทำงานตามปกติในปี 2556 เปิดหนังสือพิมพ์ เปิดคอมพ์หรือมือถืออ่านข่าว

อาจจะพบว่า ประเด็นต่างๆ ของความเป็นไปในบ้านเมือง ไม่ได้ขยับออกไปไกลมากนัก

แต่ก็ต้องสังเกตให้ดีๆ เพราะหลายๆ เรื่องก็ไปไกล ทำให้คนที่เกี่ยวข้อง กินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วเหมือนกัน

ประเด็นสำคัญของปีใหม่ 2556 ยังได้แก่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังคาราคาซัง

อีกเรื่องคือ คดีความอันเนื่องมาจากการสลายม็อบ 99-100 ศพ

สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย รับหน้าที่เป็นโต้โผ ถือเป็นเรื่องใหญ่

ฝ่ายหนุน ฝ่ายค้านแสดงตัวออกมาชัดเจน

และเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำแนะนำว่า ถ้าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ควรจะทำประชามติ เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ก็มีการทำประชามติ

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ "จัดให้" เกือบทันทีเหมือนกัน

ตอนนี้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอบตกลงจะจัดให้มีการลงประชามติ

แน่นอนว่า ย่อมมีเสียงคัดค้าน มีความเห็นต่าง เป็นเรื่องปกติธรรมดา

หากมีการลงประชามติจริงก็ถือว่า จะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ของปี 2556

เพราะจะเป็นครั้งแรก ที่มีการถามประชาชนแบบตรงๆ ว่า ควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่

คำถามนี้ ต้องมีประชาชนออกมาใช้สิทธิ 24.3 ล้าน เป็นอย่างน้อย ถึงจะไปต่อได้

ถ้าออกมาอย่างน้อย 24.3 ล้าน แล้วเสียงข้างมากของ 24.3 ล้านว่ายังไง รัฐธรรมนูญก็จะไปทางนั้น

การที่รัฐบาลเพื่อไทยเลือกหนทางนี้ ต้องถือว่า "ใจถึง" พอสมควร

อดีตนายกฯแม้วประกาศลั่นเวทีว่า 24.3 ล้านนั้น

"หมูมาก" คงต้องการเรียกขวัญกำลังใจจากชาวพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงนั่นเอง

เพราะงานระดับนี้ ถ้าตัดสินใจแล้วต้องเอาจริง ถอยไม่ได้

ถ้าเสียงไม่ถึง เรื่องคงไม่จบง่ายๆ เพียงแค่เปลี่ยนเมนู หันไปแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราเท่านั้น

บรรดาเจ้ากรรมนายเวร ต้องออกมาขย่มจนแตกหักแน่

แต่ถ้าเสียงทะลุ 24.3 ล้านเสียงขึ้นมา ก็จะเป็นเรื่องระดับพลิกโฉมหน้าประเทศไทยอีกเช่นกัน

สรุปว่า เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยคงจะตัดสินใจเดินหน้าบนเส้นทางของการลงประชามติ แบบ "สุดทาง"

พรรคประชาธิปัตย์เองคงจะอ่านเกมนี้อยู่ และเปิดประเด็น "ซื้อเสียง" ออกมาดักคอ และแว่วๆ ว่า สั่งเตรียมหาเสียงเลือกตั้งกันด้วย เผื่อมียุบสภา

อีกเรื่องใหญ่ที่จะข้ามจากปีเก่าไปสู่ปีใหม่ ได้แก่คดี 99 ศพ ที่จะเริ่มต้นด้วยคดี พัน คำกอง ซึ่งแจ้งข้อหาให้ อภิสิทธิ์ -สุเทพ ไปแล้ว

แม้จะมีข่าวลือมากมาย แต่คดีจะเดินหน้าต่อไปจาก 1 ไปจนครบถ้วนกระบวนความ

เรื่องใหญ่ไม่แพ้การหาตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายก็คือ

คดีนี้ จะพิสูจน์ "ระบบ" ของประเทศไทย และจะมีผลถึงการแก้รัฐธรรมนูญอีกด้วย

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12  (มติชนรายวัน )
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ความจริงหรือเรื่องโกหก กรณีท่าน ว.วชิรเมธี อร่อยจนลืมกลับวัด !!?


กลายเป็นกระแสพูดถึงในหลายแง่มุม กับภาพถ่ายปิดผนังร้านอาหารแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ที่เป็นภาพพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว. วชิรเมธีกำลังฉันอาหาร โดยมีข้อความกำกับไว้ว่า “อร่อยจนลืมกลับวัด” พร้อมลายเซ็น
     
       หลายเสียงโจมตีวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง กับสถานะเฉพาะตัวของการเป็นพระที่พ่วงด้วยการเป็นบุคคลสาธารณะที่ได้รับความนับถือมากมาย จึงไม่แปลกที่จะมีคนตั้งแง่รังเกียจและจ้องจับผิด เมื่อพลาดเพียงจุดใดจุดหนึ่ง การจู่โจมอย่างไม่เว้นวางจึงเกิดขึ้น ทำให้เห็นว่าอีกแง่มุมหนึ่ง การสร้างประเด็นครั้งนี้อาจมีเบื้องหลังมาจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพื่อทำลายภาพลักษณ์และโจมตีความคิดทางการเมืองของอีกฝ่ายก็เป็นได้!
     
       จากอาจารย์ถึงลูกศิษย์
     
       ภาพที่เป็นข้อถกเถียงนั้นถูกโพสต์สู่โลกไซเบอร์ เป็นที่แรกๆ จากเพจเฟซบุ๊คบก.ลายจุด โดยโพสรายละเอียดไว้เพียงว่า “อร่อยจนลืมกลับวัด รูปนี้อยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่” จากนั้นก็มีการวิจารณ์ถึงความเหมาะสมมากมาย แต่บางคนก็เลยเถิดไปถึงขั้นไล่ไป สึก
     
       “มันอยู่ที่ว่า อักษรใต้ภาพนี้ “ใครเขียน” ถ้าร้านเอามาเขียนเอง ร้านก็ “หาแดกกะพระ” แต่ถ้าพระรูปนี้เขียนเองหรืออนุญาตให้เขียน แม่งก็ “พระจัญไร” ว่ะ ชัดมะ พระจะแดกห่าที่ไหนก็ได้แล้วแต่ใครนิมนต์ไปแดก แต่ว่าเรื่องสำคัญ พระจะชมว่า “อร่อย” ไม่ได้ ไม่ว่าอาหารที่นั้นแม่งจะเป็นอาหารทิพย์มาจากไหนก็ตาม ดังนั้น ภาพนี้ต้องทำให้ชัดว่า “คำใต้ภาพ” มาจากไหน” คือความเห็นจาก Sa-rhingkhan Jack Sangpho
     
       ความเห็นส่วนมากจะเป็นเชิงเหน็บแนมเสียดสี ตั้งแต่ในทำนอง อร่อยจนลืมนิพพาน กำลังกินฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน หรือเรียกท่านว่าหลวงเจ๊ แต่ในส่วนของการแสดงความคิดเห็น หลักใหญ่คงจะหนีไม่พ้นคำว่า อร่อย ซึ่งคำนี้เพียงคำเดียวก็ทำให้บางคนคิดว่า สังคมควรเลิกเรียกท่านว่า พระ
     
       “อร่อยจนลืมกลับวัด คุณคิดว่าในสมัยพุทธกาลพุทธองค์จะกล่าวประโยคแบบนี้มั้ยครับ ในฐานะเป็นสงฆ์ที่ต้องมีความสำรวม สันโดษ ไม่ยึดติดและพอใจในรสอาหาร แต่คำว่า อร่อย แม่งก็ทรงพลังเกินกว่าจะเรียกท่านวอร์ว่าเป็นพระแล้ว ปัญหาไม่ได้อยูที่สถานที่ แต่อยู่ที่เจตนาคนพูด ซึ่งผมไม่แปลกใจถ้าคนอย่างท่านวอร์จะพูดประโยคนี้” ความเห็นโดย Brandon Boyd
     
       แต่ก็มีหลายความเห็นที่ยังคงใช้ภาษาที่สุภาพ และวิจารณ์การกระทำนี้ออกมาอย่างมีหลักการและเหตุผล โดยผู้ใช้ชื่อว่า RitChie Bachmore สรุปความได้ว่า เรื่องการฉันที่ไหนคงไม่มีผิดพระวินัย แต่ต่อมาเมื่อพระสงฆ์อย่างท่านว.มีชื่อเสียงในมุมเจ้าของร้านที่มีศรัทธา จึงกราบขอให้พระลิขิตลายมือ นอกเหนือจากการสวดตามปกติ พระสงฆ์จึงเมตตาเขียนชมให้ดังที่เห็น ประเด็นสำคัญคือการเขียนอวยพรเชิงการค้าว่า อร่อยจนลืมกลับวัด พร้อมลายเซ็นและสัญลักษณ์ เจ้าของร้านคงมาติดด้วยความรู้สึกดี ปัญหาคือ ในพระไตรปิฎกมีอรรถกถาปฐมวัตถุกถาสูตรที่ 9 ข้อความหนึ่งเขียนว่า เรื่องอาหารจะกล่าวด้วยอำนาจ ความยินดีในสิ่งที่น่าใครว่า เราเคี้ยวกิน ดื่มบริโภค อาหารมีสีดีมีรสอร่อยไม่ควร เขาแสดงความเห็นว่า พระสงฆ์ในภาพต้องอาบัติหรือผิดพระวินัยสงฆ์ประการใด ขอให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ในภาพพิจารณาตนเอง ส่วนทุกคนที่แสดงความเห็นนั้นก็ตั้งข้อสังเกต และถกเถียงกันตามสมควร
     
       อย่างไรก็ตาม ความเห็นส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในทางสอดเสียด ล้อเลียน ถึงขั้นใช้คำเรียกว่า หลวงเจ๊ หรือขนานนาม เป็นเซเลบ มีบางความเห็นที่โยงไปถึงเรื่องการเมืองที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน โดยโยนให้พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีอยู่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์
     
       “เชียร์เผด็จการไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้น่าจะสึกออกมาเข้า ปชป. ซะจะได้เล่นกันให้เต็มตีนไม่ใช่ห่มจีวรไว้กันโดนด่า” Phasu Phadungsin แสดงความเห็น
     
        และท่ามกลางการถกเถียงแสดงความเห็น ที่มาถึงยุคปัจจุบัน การวิจารณ์พระดูจะกลายเป็นเรื่องที่สามารถทำกันได้อย่างอยู่ในกรอบเกณฑ์ แต่ก็มีหลายครั้งที่มีการใช้คำพูดที่แสดงอารมณ์รุนแรงจนเกินกว่าเหตุ ที่นำภาพเพียงเหตุการณ์เพียงภาพเดียวนี้มาตัดสินการกระทำและคำสอนทั้งหมด กลายเป็นการวิจารณ์ที่มุ่งโจมตีบุคคลจนลืมไปแล้วว่า หลักธรรมคำสอนที่ถูกต้องก็มีออกมาจากการเทศนาของท่านเช่นกัน
     
       ประเด็นเรื่องภาพนี้เป็นของจริงหรือไม่? ถูกตั้งคำถาม เมื่อมีคนนำภาพมาโพสลงที่เว็ปบอร์ดยอดนิยมอย่างพันทิป ในห้องศาสนา มีการนำลายมือ ลายเซ็นมาเปรียบเทียบ หลายคนโจมตีอย่างไม่ลดละ ขณะที่อีกฝ่ายก็ช่วยปกป้อง ฝ่ายที่ล้อเลียนก็ยังคงเดินหน้าทำโลโก้ชวนชิม โดยเป็นภาพ ว.วชิรเมธีเป็นตัวการ์ตูนลอยอยู่เหนือชามอาหาร มีข้อความเขียนว่า “ว.ชวนชิม อร่อยจนลืมเหาะกลับวัด”
     
       หลังจากภาพที่ปรากฏเป็นที่คลางแคลงใจของฝ่ายหนึ่ง และการกระทำในภาพถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงโดยอีกฝ่าย ในที่สุดพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีก็ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงภาพดังกล่าวว่า
     
       “การนำมาวิพากษ์วิจารณ์ อาตมภาพต้องขอบอกว่า เป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างยิ่ง เพราะว่าอะไร เพราะว่าประการที่หนึ่ง ไม่ได้ผิดพระวินัยอะไร ญาติโยมเขาทำบุญนิมนต์พระไปฉัน พระฉันแล้วเขาอยากได้ขวัญและกำลังใจ อยากให้เขียนข้อความอะไรเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ในฐานะเป็นลูกศิษย์ลูกหาก็เขียนให้กำลังใจ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อะไรมากไปกว่านั้น ฉะนั้น ก็อย่าไปตีความให้มันเลยเถิด เลอะเทอะ
     
       แล้วก็ประเด็นที่สอง เป็นการเขียนทีเล่นทีจริง ประสาครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ที่สนิทสนม ไม่ใช่การการันตีเหมือนกับรายการเชลล์ชวนชิมอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่านี่คือการเขียนทีเล่นทีจริงระหว่างครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ลูกหา ไม่ใช่การการันตีเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาด ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย ก็ขอให้วางใจได้นะ เอาเวลาไปทำอะไรที่มีสารประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่า เจริญพร”
     
       จ้องจับแบ่งฝั่ง
     
       แม้ต่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ถูกโยงไปสู่การเมือง แต่กรณีทวีตของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ที่ถูกบิดเบือนจาก “ฆ่าเวลาบาปไม่น้อยไปกว่าฆ่าคน” เป็น “ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน” ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง คำพูดนี้ส่งผลถึงปัจจุบันที่มีการแสดงความคิดเห็นว่าที่ว.วชิรเมธีได้รับรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิทธิ์มนุษยชนนั้นไม่เหมาะสมโดยใช้ตรรกะเชิงล้อเลียนว่า ในเมื่อฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน แสดงว่าฆ่าคนย่อมทำได้ง่ายกว่าฆ่าเวลา
     
       ปรากฏการณ์ที่พระนักเทศน์ผู้มีชื่อเสียงคนนี้ถูกพาดพิงบ่อยครั้งนั้นมาจากหลายปัจจัยรศ. วิทยากร เชียงกูล คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เผยว่า การที่คนมีชื่อเสียง มีผู้ชื่นชอบมากจะมีคนที่อิจฉา หมั่นไส้และมักถูกจับจ้องจับผิดนั้นเป็นเรื่องปกติ
     
       “ปกติท่านก็มีอารมณ์ขำ ชอบพูดในเชิงนี้อยู่แล้วด้วย คนที่จับผิดก็คงหยิบมาเป็นประเด็น ถ้าไม่คิดอะไรมากก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฝ่ายที่ไม่ชอบหมั่นไส้เขาก็จะจับผิด ในประเด็นว่าเป็นพระแล้วมาพูดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร”
     
       เมื่อมองถึงตัวว.วชิรเมธีในฐานะพระ รศ.วิทยากรมองว่าว.วชิรเมธีเป็นพระหนุ่มที่ยังมีอายุน้อยอยู่ การที่พระรุ่นใหม่ได้รับความนับถือ กลายเป็นบุคคลสาธารณะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ การวางตัวบางครั้งจึงเป็นเรื่องซับซ้อนกว่าการเป็นบุคคลสาธารณะทั่วไป
     
       “คนเราพอเป็นบุคคลสาธารณะมีชื่อเสียง ยิ่งมีคนชอบมาก ก็จะมีฝ่ายหนึ่งที่รู้สึกอิจฉา หรือไม่ชอบ จับจ้อง เพราะฉะนั้น เป็นไปได้ที่ท่านต้องระวังเพราะเป็นบุคคลสาธารณะ พูดจริงๆ พูดเล่นตลกก็ต้องระวังตัวมากขึ้น” เขาเอ่ย
     
       เมื่อมองถึงสภาพสังคม การแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายที่เกิดขึ้น ยิ่งเป็นตัวจุดชนวนการวิจารณ์ชั้นดี เขามองว่า เมื่อสังคมไทยมองเป็นพรรคเป็นพวก เสื้อเหลือง เสื้อแดง จับจ้องกัน ใครผิดอะไรหน่อยก็เล่นงาน
     
       “สังคมมันไม่ได้มองให้สมดุล มองกว้างๆ หน่อย โอเควิจารณ์นิดหน่อยได้ แต่ไม่ใช่จะเป็นจะตาย เสื้อแดงเขามองว่าท่านเป็นเสื้อเหลืองคนละฝ่าย ยิ่งท่านเป็นพระด้วยก็เล่นงานได้ง่าย ท่านมาพูดแบบนี้ก็โดนเล่น เพราะพระมีกฎเกณฑ์ต้องสำรวม”
     
       ทว่าแต่กรณีที่เกิดขึ้นนี้ รศ.วิทยากรก็เห็นว่า การวิจารณ์นั้นสามารถทำได้ แสดงความเห็นได้ ไม่เห็นด้วยที่ท่านพูดแบบนี้ก็วิจารณ์ได้ แต่ไม่ถึงกับต้องเล่นงานอีกฝ่ายมากจนเกินไป และพยายามทำให้ความน่าเชื่อถือทั้งหมดของว.วชิรเมธีลดลง
     
       “บางทีผมว่ามันจะเล่นกันแบบเป็นฝั่งฝ่ายมากเกินไป ใช้อารมณ์มากเกินไป พระที่มีปัญหากว่าท่านก็มีเยอะ น่าจะถกในประเด็นที่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ แต่สื่อหรือคนชอบเล่นคนดัง ท่านดังขึ้นมาก็เป็นเป้าเล่นงาน เป็นการเล่นกระแส เราควรไปแก้ปัญหาความเชื่อของคนไทยที่มีต่อพุทธศาสนามากกว่า อย่างมงาย เชื่อในทางที่ถูกต้อง”
     
       ต่อความน่าเชื่อถือในฐานะพระนั้น ว.วชิรเมธีก็มีการเขียน หรือการบรรยายซึ่งต่างก็มีข้อที่ดีอยู่ หากเป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็ควรอภัยให้ท่านบ้าง
     
       “ผมคิดว่ามันเป็นการเรียนรู้ของท่านเองด้วย ท่านก็ยังหนุ่มอยู่ ถ้าเป็นดาราพูดกับแฟนคลับมันคงไม่มีอะไร ผมว่าสังคมไทยควรมองเรื่องใหญ่ๆ หน่อย อย่าจับเรื่องเล็ก แล้วก็บางอย่างให้อภัยได้ก็ให้อภัยไป มีพระที่แย่กว่าเยอะมากๆ อย่าจับที่ตัวบุคคล จับที่ระบบ อย่ามองสุดโต่ง คือบางคนมองสุดโต่งว่าพระนี่เป็นพวกเสื้อเหลือง งมงาย ผมว่าพระที่โดยพื้นฐานสอนให้คนทำดีก็เป็นสิ่งที่ดี สังคมมันก็จำเป็นต้องมีศีลธรรม อันนี้เป็นถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม”
     
       ....
     
       การที่สังคมไทยเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์นั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ หากทว่า การวิจารณ์ด้วยเจตนาอย่างไร แฝงฝังการเลือกข้างแบ่งฝ่าย และผ่านการสร้างกระแสยุยงหรือไม่นั้น บางทีประเด็นที่ก้าวไปข้างหน้าของการวิจารณ์ระบบนั้นดูจะเป็นที่ทางที่เหมาะสมกว่าการจับผิดเล็กๆน้อยๆต่อบุคคล

ที่มา.ผู้จัดการออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กรมศุลฯ ขยายด่านทั่วไทย เพิ่มยอดค้าชายแดนรับ เออีซี.. !!?


อธิบดีกรมศุลฯกางแผนของบฯ 1.1 หมื่นล้านบาท เดินหน้าสร้าง-ขยายด่านศุลกากรทั่วประเทศรองรับเปิดเออีซีในระยะ 7 ปี ชี้ปี"56 เร่งเปิดด่านพุน้ำร้อนรับโครงการทวาย มั่นใจดันมูลค่าการค้าชายแดนโตต่อเนื่อง

นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานในปีงบประมาณ 2556 นอกเหนือจากเก็บรายได้เข้ารัฐให้ได้ตามเป้าหมายแล้ว ก็คือการสร้างและขยายปรับปรุงด่านศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกในทางการค้า และรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่งผลอาจจะไม่ได้แสดงให้เห็นในแง่เงินภาษี แต่จะมีอิมแพ็กกับการขยายตัวของมูลค่าการค้า

ทุ่มหมื่นล้านเพิ่มด่านทั่วไทย

โดย ขณะนี้กรมศุลกากรได้เตรียมแผนลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพด่านศุลกากร ทั้งการก่อสร้างด่านใหม่ และปรับปรุงขยายด่านเดิม 32 แห่งทั่วประเทศ ด้วยงบฯ 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งในแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่รัฐเตรียมจะออกพระราชบัญญัติ 2 ล้านล้านบาท เพื่อกู้เงินมาใช้ในการลงทุนระบบคมนาคม โลจิสติกส์ของประเทศในระยะ 7 ปี

สำหรับ การสร้างด่านใหม่เพื่อรองรับโครงการทวายทางฝั่งพม่า ก็จะมีด่านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้ว จากปัจจุบันมีด่านสังขละบุรีดูแลอยู่ และจะขยายเพิ่ม ได้แก่ ด่านสิงขร, ด่านกิ่วผาวอก, ด่านบ้านห้วยผึ้ง

ส่วนทางอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ที่ติดกับกัมพูชา ก็จะมีด่านหนองเอี่ยน จะขยายออกไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร เพิ่มจากด่านอรัญประเทศเดิม ด่านบ้านผักกาด ด้านชายแดนลาว ก็จะมีด่านภูดู่, ด่านทุ่งช้าง ส่วนทางใต้ก็จะขยายด่านเดิม หรือเพิ่มด่านในสนามบินบางแห่งที่ยังไม่มี

"เป็นเรื่องดีที่รัฐบาล ให้เราอยู่ในกรอบ 2 ล้านล้านบาท เพราะเท่ากับเรากำลังทำแผนงบประมาณ 7 ปี โดยโครงการจะทยอยทำในปี 2556 ด่านใหม่ที่จะเห็นก็คือพุน้ำร้อน พร้อมกับการปรับปรุงอีกหลาย

แห่ง อย่างด่านสะเดา ด่านสุไหงโก-ลก ทางภาคใต้ก็ต้องพัฒนาใหม่หมด"

ปัจจุบัน หลายด่านมีความแออัดมาก เช่น ด่านมุกดาหาร ด่านนครพนม ด่านหนองคาย ด่านแหลมฉบัง เป็นต้น ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการตรวจสินค้า ซึ่งจะต้องเพิ่มเครื่องเอกซเรย์สินค้าเข้าไปด้วย

กางแผนลงทุน 7 ปรับเออีซี

นาง เบญจากล่าวว่า การปรับปรุงและขยายด่านศุลกากรจะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าผ่านแดน และช่วยให้มูลค่าการค้าระหว่างประเทศสูงขึ้นได้อีกมาก อาทิ ด่านสะเดาที่มีมูลค่าการค้ากว่า 8 หมื่นล้านบาทต่อปี ด่านปาดังเบซาร์ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี และด่านเชียงของ 3-4 พันล้านบาทต่อปี เป็นต้น

"ประเทศ ไทยโชคดี เพราะโดยที่ตั้งเป็นเกตเวย์ของหลายประเทศ อย่างพม่าถ้าเปิดประเทศมากขึ้น ประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์มากขึ้น หรือลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ก็ต้องผ่านทางไทย" นางเบญจากล่าว

อธิบดี กรมศุลกากรกล่าวว่า ปีหน้าจะเร่งขยายโครงการตัวแทนออกของระดับมาตรฐาน AEO ที่เป็นการดึงผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า (บัตรทอง) รวมถึงผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนศุลกากร (โบรกเกอร์) เข้ามาอยู่ในระบบการรับรองผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้าย สินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทานว่า มีการดำเนินงานที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองจากศุลกากรว่าได้ปฏิบัติตาม มาตรฐานขององค์การศุลกากรโลก (WCO) ที่ได้กำหนดกรอบมาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกทางการค้า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ที่ ต้องเร่งคือระบบ National Single Window (NSW) และพัฒนาไปสู่ ASEAN Single Window ต่อไป โดยขณะนี้กรมได้ลงนามเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ แล้ว 35 หน่วยงาน แต่การเชื่อมต่อในทางปฏิบัติยังทำได้แค่ 12 หน่วยงาน ซึ่งหากเข้าสู่เออีซี ระบบนี้จะมีความสำคัญมาก และเอกชนก็ต้องการให้มีการอำนวยความสะดวกได้ในจุดเดียว

นอกจากนี้ใน อนาคต เมื่อมีการขยายด่านศุลกากรทั่วประเทศแล้ว จะต้องมีการขออัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพิ่ม ซึ่งในระยะเร่งด่วน ขณะนี้ได้ทำเรื่องเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อขอเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่จำนวน 504 อัตรา เพื่อรองรับภารกิจที่มากขึ้นในปัจจุบัน

"ตอนนี้คนไม่พอ อย่างด่านดอนเมือง ก็ต้องดึงคนจากด่านสุวรรณภูมิไปช่วยกว่า 100 คน ซึ่งจริง ๆ ต้องใช้ประมาณ 300 คน ดังนั้น ในส่วนของดอนเมืองจึงต้องขออีกกว่า 200 คน" อธิบดีกรมศุลกากรกล่าว

แบ่งพอร์ต 3 กลุ่มหลัก

แหล่ง ข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ใน พ.ร.บ.โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จะมีโครงการเพิ่มศักยภาพด่านศุลกากรอยู่รวมทั้งสิ้น 52 โครงการ วงเงิน 10,177 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ด้านเส้นทางเชื่อมโยงหลักเออีซี รวม 14 โครงการ วงเงินกว่า 6,668 ล้านบาท เช่น ด่านสะเดาแห่งใหม่ วงเงินกว่า 1,937 ล้านบาท ด่านบ้านประกอบระยะที่ 2 วงเงิน 380 ล้านบาท ก่อสร้างด่านบ้านหนองเอี่ยน 820 ล้านบาท ด่านนครพนมแห่งใหม่ กว่า 440 ล้านบาท ด่านหนองคายแห่งใหม่ กว่า 382 ล้านบาท ด่านทุ่งช้าง กว่า 147 ล้านบาท ด่านพุน้ำร้อน 825 ล้านบาท เป็นต้น

กลุ่ม ที่ 2 ด้านเส้นทางเชื่อมโยงรอง "ท่าเรือ และท่าอากาศยาน" จำนวน 33 โครงการ วงเงินกว่า 1,413 ล้านบาท เช่น ก่อสร้างลานตรวจตู้คอนเทนเนอร์สินค้าเพิ่มเติมประจำศูนย์เอกซเรย์ ด่านแหลมฉบัง 35 ล้านบาท การก่อสร้างอาคารบริการบริเวณท่าเรือโดยสาร และอาคารชุดพักอาศัย ด่านบึงกาฬ 44 ล้านบาท การก่อสร้างที่จอดเรือตรวจการณ์ ด่านตากใบ 14 ล้านบาท การจัดหาเรือตรวจการณ์ ด่านสตูล 118 ล้านบาท ปรับปรุงที่ทำการอีก 42.5 ล้านบาท เป็นต้น

และกลุ่มที่ 3 ด้านสนับสนุนเพื่อการควบคุมทางศุลกากรอีก 5 โครงการ วงเงินกว่า 2,096 ล้านบาท เช่น โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์แบบถอดประกอบเคลื่อนย้ายได้ สำหรับด่านนครพนม ด่านบ้านพุน้ำร้อน และด่านบ้านหนองเอี่ยน รวม 840 ล้านบาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) กว่า 523 ล้านบาท โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์แบบเคลื่อนที่ได้ สำหรับด่านเบตง และด่านสิงขร 300 ล้านบาท โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์แบบตรวจขบวนรถไฟ ด่านปาดังเบซาร์ 364 ล้านบาท เป็นต้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บุคคลแห่งปี WHY ALWAYS ME !!?


ใกล้สิ้นปีของทุกปีเป็นธรรมเนียมของคนข่าวที่ต้องเลือก “บุคคลแห่งปี” โดยพิจารณาจากความสำคัญและผลกระทบที่บุคคลผู้นั้นมีต่อสังคม

ในปีนี้มีบุคคลหลายคนที่มีความสำคัญ และความเคลื่อนไหว ความคิดมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “บุคคลแห่งปี 2555” จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากเขาคนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แม้จะถูกโค่นลงจากอำนาจด้วยการรัฐประหารเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แต่ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยห่างหายไปจากการเมืองไทย ทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนต่างเอ่ยถึงชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เว้นแต่ละวันทั้งในทางที่ดีและทางเสียหาย

ที่ทีมข่าวโลกวันนี้ยกให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคคลแห่งปี 2555 มีเหตุผลดังนี้คือ

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเมือง

ไม่ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้จะพูดหรือขยับทำอะไร เดินทางไปไหน ต้องถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านที่มักโจมตีทุกพฤติกรรม ทุกความคิดที่มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทำเพื่อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง

ความปรองดอง ความขัดแย้ง ทุกเรื่องถูกโยงไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกกฎหมายปรองดองก็ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยตกไปจากสื่อ

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อสังคม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงจนชนะการเลือกตั้งนั้น ส่งผลต่อสังคมไทยอย่างมาก เพราะหลายนโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำมาปฏิบัติล้วนมาจากมันสมองของอดีตนายกรัฐมนตรี เช่น รับจำนำข้าว กองทุนตั้งตัว ฯลฯ

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ

การเดินทางไปในหลายประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนมากเป็นการเดินทางเพื่อปูทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีผู้เป็นน้องสาว ได้เข้าพบบุคคลสำคัญของประเทศนั้นๆ หรือปูทางเจรจาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น การไปจีนเพื่อปูทางเจรจาสร้างรถไฟความเร็วสูง ไปพม่าเพื่อปูทางเจรจาความร่วมมือเขตเศรษฐกิจพิเศษท่าเรือน้ำลึกทวาย

เป็นผู้มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ของไทยกับหลายประเทศที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาหลังเปลี่ยนจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาจากการใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณกับผู้นำประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชา จากที่เคยสู้รบกันก็หันมาร่วมมือกันอย่างดีในหลายด้าน

ด้วยอิทธิพลต่างๆที่มีผลต่อประเทศไทยในทุกด้าน แม้จะถูกฝ่ายต่อต้านโยงความผิด ความเสียหาย ความวุ่นวายทุกเรื่องที่เกิดในประเทศว่ามีต้นเหตุมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จนเจ้าตัวออกปากว่า “อะไรก็กู”

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าผลดีหลายด้านที่เกิดกับประเทศก็มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่พ้น “อะไรก็กู” WHY ALWAYS ME? จึงยกให้เป็นบุคคลแห่งปี 2555


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐกิจปีหน้ารุ่งหรือร่วง !!?


ใกล้ๆ สิ้นปีสำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างๆ จะทำตัวเป็นโหรเศรษฐกิจฟันธงปีหน้าแต่น่าสนใจเมื่อมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) โดย คณิศ แสงสุพรรณ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ชื่อชั้นระดับซือแป๋เรียกอาจารย์กันทั้งนั้น

ออกโรงฟันธงว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวประมาณ 5.2% โดยมีแรงขับเคลื่อนพิเศษจากการใช้จ่ายของภาครัฐโดยเฉพาะแผนเบิกจ่ายตามแผนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทจะส่งผลขยายตัวระดับ 16.9 ล้านบาท(ยังไม่รวมการลงทุนตาม พ.ร.บ.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้าน) การส่งออกและบริการขยายตัว 7.3% ภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 6.5% โดยเฉพาะรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน อาหารแปรรูป

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ 3.0-3.5% ตามราคาน้ำมันค่อนข้างทรงตัว ในปี 2556 แม้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจมีโครงสร้างไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2555 มากนัก คือขยายตัว 5.2% และอัตราเงินเฟ้อ 3.5% แต่มีปัจจัยพิเศษคือการลงทุนของภาครัฐตามแผนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท

สำหรับในปีหน้ามีทั้งปัจจัยเสริมและปัจจัยเสี่ยง 3 ประการคือ 1)สถานการณ์เศรษฐกิจโลกค่อนข้างอ่อนไหว เช่น ปัญหา Fiscal Cliff หรือหน้าผาการคลังของสหรัฐ หนี้ยูโรโซน ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนของประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะจีน เกาหลีเหนือ ญี่ปุ่นทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูง

2)สถานการณ์ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านกรณีพม่าเปิดประเทศกลายเป็นปัจจัยใหม่ในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับไทยสูงมาก

และ 3) การดำเนินนโยบายของรัฐบาลโดยปรับทิศทางการพัฒนามาสู่การสร้างกำลังให้เศรษฐกิจในประเทศผ่านการสร้างรายได้ให้กับฐานรากเศรษฐกิจจะยังคงเดินหน้าต่อไปในปีที่ 2 ของรัฐบาล ขณะที่มีนโยบายในการปรับโครงสร้างสำคัญโดยเฉพาะการวางมาตรการดูแลครอบครัวเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

แปลว่าในปี 2556 รัฐบาลยังคงเดินหน้าประชานิยมและเร่งผลักดันโครงการลงทุน 3.5 แสนล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจแทนรายได้จากส่งออกเนื่องจากตลาดส่งออกสำคัญเผชิญวิกฤต

แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ 4 เซียนฟันธงได้ การเมืองต้องนิ่ง งบ 3.5 แสนล้านต้องทำแผนเสร็จตามเป้าที่วางไว้ เป็นที่รู้ๆ กันว่าตอนนี้ไม่เป็นไปตามเป้าเพราะข้าราชการไม่มีความสามารถในการทำแผน

ที่สำคัญ โครงการประชานิยมต้องมีประสิทธิภาพ ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มิเช่นนั้นธงอาจจะหักได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในรอบ 1 ปี.



ผลการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในรอบ 1 ปี

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลงานกระทรวงพาณิชย์ ครบ 1 ปี ตามนโยบายรัฐบาล

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลการดำเนินงานของของรัฐบาลด้านการพาณิชย์ ในรอบ 1 ปี รัฐบาลชูผลงานเร่งด่วนดูแลพี่น้องประชาชนด้านภาวะค่าครองชีพ พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP) เพิ่มรายได้และลดร่ายจ่าย นำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

 นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ ในรอบ 1 ปี สรุปได้ดังนี้

1. ดูแลค่าครองชีพ ภาวะเงินเฟ้อ และฟื้นฟูผู้ประกอบการ

ได้กำกับดูแลราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาถูก ได้แก่ การจัดงานธงฟ้าจำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปถึงร้อยละ 20-40 และจัดทั่วประเทศ สามารถลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชนได้มากกว่า 5 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าราว 1,250 ล้านบาท การจัดตั้ง “ร้านถูกใจ” จำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ 20 รายการในราคาต่ำกว่าร้านค้าทั่วไปถึงร้อยละ 20 มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 16,000 ร้านกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่งผลช่วยลดค่าครองชีพได้ถึง 400 ล้านบาทต่อเดือน และยังเป็นการฟื้นฟูร้านค้าย่อยหรือโชห่วยให้สามารถค้าขายได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ได้มีการกำกับดูแลราคาสินค้าสำคัญตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงร้านค้าปลีกให้มีราคาเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เป็นสินค้าอาหารหลักของประชาชน อาทิ การประกาศยืนราคารับซื้อและจำหน่ายสุกรในราคาเดิม การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายไข่ไก่ รวมทั้งดูแลราคาสินค้าอาหาร ซึ่งเป็นรายการที่มีสัดส่วนการใช้จ่ายถึงร้อยละ 30 ของครัวเรือน เช่น การตรึงราคาน้ำมันปาล์ม การประกาศราคาแนะนำอาหารปรุงสำเร็จ 10 รายการในราคาจานละ 25 - 30 บาท ผ่านร้านอาหารธงฟ้ากว่า 5,000 ร้าน ร้านอาหารทั่วไป และศูนย์อาหารในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และการขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ตรึงราคาในสินค้าสำคัญ 7 หมวด 140 รายการ ซึ่งผลการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 เป็นต้นมา และในรอบ 8 เดือนขยายตัวเพียงร้อยละ 2.89 ต่ำกว่าประมาณการที่กำหนดไว้ที่ ร้อยละ 3.3 – 3.8 และต่ำกว่าหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือนกรกฎาคม 2555 ปรากฏว่าประชาชนร้อยละ 82 มีความพึงพอใจในมาตรการประกาศราคาแนะนำ

2. ยกระดับราคาสินค้าเกษตร

กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินงานตามนโยบายยกระดับราคาสินค้าเกษตรของรัฐบาล โดยดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทุกคนได้มีสิทธิ และรับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดและได้รับเงินโดยตรงจาก ธ.ก.ส. โดยไม่มีการรั่วไหล ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงก่อนมีการรับจำนำ ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ สูงขึ้นตันละ 1,000 – 1,800 บาท โดยราคาเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจากตันละ 14,169 บาท ในปี 2554 เป็น 15,333 บาท ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ส่วนข้าวเปลือกเจ้า ราคาสูงขึ้นตันละ 1,000 - 1,100 บาท โดยราคาเฉลี่ยเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 9,612 บาทในปี 2554 เป็น 10,401 บาท ในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ทั้งนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายรับจำนำข้าวของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเดือนกรกฎาคม 2555 พบว่าเกษตรกรมีความพอใจนโยบายดังกล่าว

ในทิศทางเดียวกัน ราคาส่งออกข้าวของไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับระดับมาตรฐานคุณภาพของข้าวไทยที่มีมากกว่าข้าวของประเทศคู่แข่ง นอกเหนือจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยรับซื้อสินค้าเกษตรที่ราคาตกต่ำ เช่น กระเทียม หอมแดง พริก สนับสนุนการกระจายผลผลิตสินค้าเกษตร อาทิ ไข่ไก่ เนื้อหมู กระเทียม กุ้งขาว จัดระบบการค้าสินค้าปาล์มน้ำมัน และถั่วเหลือง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น อาทิ กระเทียมมีราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 8-10 บาท กุ้งขาว ราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 5-15 บาท นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมตลาดกลางสินค้าเกษตรให้เป็นแหล่งซื้อขายและกระจายสินค้าที่ได้มาตรฐาน อาทิ ตลาดกลางประมูลข้าวสาร ท่าข้าวกำนันทรง จังหวัดนครสวรรค์ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า

3. ส่งเสริมงานหัตถศิลป์และผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP)

เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย โดยมุ่งพัฒนาตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดสากลผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดงานเทศกาลนวัตศิลป์นานาชาติ การร่วมแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนภารกิจของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ การการอบรมเชิงลึกด้านการออกแบบ และการพัฒนาการตลาดในรูปแบบใหม่ อาทิ การจัดจุดจำหน่ายสินค้าแบบพิเศษให้น่าสนใจในห้างสรรพสินค้า สนามบิน โรงแรมชั้นนำ รวมถึงการจำหน่ายทางระบบออนไลน์ แฟรนไชส์ และการขายตรง เป็นต้น ส่งผลให้การส่งออกสินค้าหัตถศิลป์ไทยที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ 9-10 ต่อปีในช่วงปี 2548-2553 และคาดว่าปี 2555 จะมีมูลค่าส่งออกประมาณ 540 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จัดเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 15 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5 ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ 10

4. ผลักดันและสร้างความเชื่อมั่นการส่งออก

กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาและส่งเสริมการส่งออก ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่ทำให้การส่งออกของประเทศต่างๆ ทั่วโลกชะงักงัน และไทยยังได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ สำหรับในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2555 (มกราคม - กรกฎาคม) การส่งออกมีมูลค่า 4.07 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.2 ในขณะที่การส่งออกของหลายประเทศยังคงหดตัว เช่น ไต้หวัน (-5.80 % ) เกาหลีใต้ (-0.84 % ) อินเดีย (-1.77 % ) ฯลฯ

กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดกลยุทธ์ในการรุกและขยายตลาดไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น อาเซียน จีน อินเดียและรัสเซีย เพื่อทดแทนตลาดเดิมที่ประสบปัญหา โดยมุ่งเน้นสินค้าที่มีศักยภาพ อาทิ อาหาร เกษตรแปรรูป ชิ้นส่วนยานยนต์และสินค้าแฟชั่น เน้นสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าด้วยการมอบตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark ให้แก่ผู้ประกอบการและมอบเครื่องหมาย Thai Select ให้แก่ร้านอาหารไทยที่มีคุณภาพกว่า 800 ร้านค้าใน 25 ประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทยสู่ระดับสากล รวมถึงมอบเครื่องหมายดังกล่าวให้กับผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตในประเทศด้วยควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสินค้าอาหารคุณภาพสูง จากการดำเนินการอย่างเข้มข้นส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2555 สินค้าอาหารมีมูลค่าส่งออกสูงขึ้นกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหสรัฐฯ และคาดว่าจะส่งผลให้การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

5. สนับสนุนการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า

กระทรวงพาณิชย์เร่งพัฒนาการให้บริการด้านการเริ่มต้นธุรกิจและการทำธุรกรรมทางการค้า อาทิ การขอสำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ผ่านธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ 6 แห่งกว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะครบถ้วนทั้ง 6 ธนาคารในปี 2555 นี้ ถือเป็นนวัตกรรมการให้บริการภาครัฐที่สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กด้านการส่งเสริม และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และส่งเสริมให้คนไทยรู้จักปกป้องและ ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้แก่ การจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ เพื่อนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า รวมทั้งประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าด้านการสร้างสรรค์ที่ไทยมีศักยภาพทั้งภาพยนตร์ งานออกแบบและการสร้างตราสินค้า (Brand)

6. เตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)

รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในการที่จะสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของภูมิภาค จากการรวมตัวเป็นตลาดเดียวและมีประชากรในภูมิภาคกว่า 590 ล้านคน นับเป็นโอกาสของไทยในการใช้อาเซียนเป็นฐานในการขยายการผลิต การค้าให้กว้างขึ้น ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2555 การค้าของไทยกับอาเซียนมีมูลค่ารวม 1.76 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 8.18 คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการค้าไทยกับอาเซียน ร้อยละ 20.5 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้ากับอาเซียนให้ถึงร้อยละ 25 ในปี 2556 และร้อยละ 30 ในปี 2558 โดยดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน และสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างประเทศไทย กัมพูชา ลาวและเวียดนาม เพื่อรวมตัวทำตลาดร่วมกัน ป้องกันการแข่งขันในการแย่งตลาดกันเองและป้องกันการ สวมสิทธิ์ ควบคุมกลไกตลาดในอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับราคาสินค้าเกษตรเป้าหมาย รวมทั้งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า อาทิ การให้บริการยื่นขอหนังสือสำคัญการส่งออกนำเข้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการลงลายมืออิเล็กทรอนิกส์ และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน เป็นต้น

ที่มา.สำนักโฆษกกระทรวงพาณิชย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ประเมินผล การทำงาน 1 ปี กสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม !!?


โดย.อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์


บทความนี้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากการอภิปรายของผู้เขียนในงานเสวนา NBTC Public Forum ครั้งที่ 11 หัวข้อ “1 ปี กสทช. กับความสมหวังหรือไม่สมหวังของสังคมไทย”  วันที่ 24 ธันวาคม 2555 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค จัดโดยสำนักงาน กสทช. โดยผู้เขียนร่วมอภิปรายในส่วนของกิจการด้านโทรคมนาคม และมีผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ ร่วมอภิปรายในหัวข้ออื่นๆ อีกมาก
ผู้เขียนทำงานกับ กสทช. ในฐานะ “อนุกรรมการ” ที่เป็นบุคคลภายนอก จำนวน 2 คณะ คือ
  • คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารคลื่นความถี่ย่าน ๒.๑ GHzเพื่อรองรับเทคโนโลยี IMT-2000 หรือ IMT Advanced
  • คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารคลื่นความถี่วิทยุคมนาคม ระบบเซลลูล่า Digital PCN (Personal Communication Network) 1800 MHz
มุมมองทั้งหมดของการประเมินผลการทำงาน กสทช. อยู่ในฐานะ “บุคคลภายนอก” ที่เคยทำงานร่วมกับสำนักงาน กสทช. และมีจุดประสงค์เพื่อแนะแนวทางการทำงานของ กสทช. ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นสำคัญ
nbtc กสทช

กรอบการประเมิน

ผู้เขียนใช้กรอบการประเมินผลงานของ กสทช. โดยอิงกับ แผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๙) (ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา) ที่ประกาศโดย กสทช. เอง ในแผนการนี้แบ่งภาระงานของ กสทช. ฝั่งโทรคมนาคม ออกเป็นส่วนๆ ทั้งหมด 6 ข้อ (หัวข้อ 3 พันธกิจ ในแผนงาน) ซึ่งผู้เขียนคิดว่าครอบคลุมเพียงพอ และสามารถใช้เป็นกรอบในการประเมิน กสทช. ตามหมวดงานเหล่านี้ได้ ถึงแม้แผนแม่บทกิจการโทรคมนาคมจะเป็นแผนงานในระยะยาว (5 ปี) และใช้ตัวชี้วัดรวมสำหรับแผนงานระยะยาว  ซึ่งมีระยะเวลาต่างไปจากการประเมินผลงาน 1 ปีแรก แต่ผู้เขียนประเมินจาก “แนวทาง” เป็นหลักมากกว่ายึดตัวเลขชี้วัดอย่างตายตัว
หมวดงานทั้ง 6 ประเภท ได้แก่
  1. การอนุญาตและการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบกิจการ
  2. การกำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และการประกอบกิจการ
  3. การใช้ทรัพยากรโทรคมนาคมให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด
  4. การจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม
  5. การคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมให้ได้ใช้บริการที่มีคุณภาพ ในราคาที่เป็นธรรม และได้รับความเป็นธรรมในการใช้บริการ
  6. การเตรียมความพร้อมในกิจการโทรคมนาคมให้สามารถแข่งขันในระดับสากล
และผู้เขียนได้เพิ่มหัวข้อการประเมินที่ 7. เรื่อง “ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ กสทช.” เข้ามาอีกหนึ่งข้อด้วย

1. การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • เพิ่มระดับการแข่งขันของกิจการโทรคมนาคม
  • ลดอัตราค่าบริการโทรคมนาคม
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นเรื่องระดับการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม
ในแง่ “ระดับการแข่งขัน” ของกิจการโทรคมนาคม ยังมีจำนวนผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 3 รายเท่าเดิม แต่ในประเด็นนี้คงโทษ กสทช. อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของทุน โอกาสธุรกิจ และสภาพของตลาดโทรคมนาคมในประเทศไทยเองด้วย ซึ่งด้วยโครงสร้างของตลาดโทรคมนาคมไทย โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นถือว่าเป็นตลาดที่อิ่มตัว (saturated) มากแล้ว การจะหาผู้เล่นรายใหญ่รายใหม่เข้ามาเป็นเรื่องยากมาก และ กสทช. ควรไปส่งเสริมการแข่งขันในระดับของผู้ให้บริการรายย่อยที่ไม่มีโครงข่ายเอง (MVNO หรือ mobile virtual network operator) มากกว่า
กสทช. มีความพยายามผลักดัน MVNO โดยระบุไว้ในกฎเกณฑ์การประมูลคลื่น 2.1GHz อยู่แล้ว เพียงแต่การประมูลเพิ่งสิ้นสุดและเพิ่งอนุมัติใบอนุญาต ก็ต้องรอดูสถานการณ์ของการแข่งขันในตลาด MVNO ต่อไปในปี 2556
ในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเดิม 3 ราย ยังมีมิติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
  • การใช้สาธารณูปโภคพื้นฐานของโครงข่ายร่วมกัน (infrastructure sharing) ทาง กสทช. มีความพยายามเรื่องนี้โดยออกประกาศแล้ว แต่ในทางปฏิบัติต้องรอดูว่าผู้ประกอบการปฏิบัติตามมากน้อยแค่ไหน และอาจมีข้ออ้างที่นอกเหนือจากในประกาศเพื่อกีดกันคู่แข่งมาใช้สาธารณูปโภคร่วม เช่น ไฟฟ้าไม่พอ เสารับน้ำหนักไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของ กสทช. ในการเจรจาไกล่เกลี่ยหาข้อยุติต่อไป
  • การย้ายเครือข่ายของผู้บริโภคด้วย MNP หรือ mobile number portability (ย้ายค่ายเบอร์เดิม) ถึงแม้จะทำได้จริง แต่ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติที่ผู้ให้บริการพยายามกีดกันการย้ายค่ายของลูกค้า ด้วยการจำกัดจำนวนเบอร์ที่สามารถย้ายได้ต่อวัน ซึ่ง กสทช. เองต้องลงมาแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยยังมีลักษณะพิเศษเรื่อง “สัมปทาน” ระหว่างเอกชนกับรัฐวิสหากิจ 2 ราย ซึ่งมีประเด็นที่น่าจับตา 2 เรื่อง
  • ถึงแม้สัญญาระหว่าง CAT กับ TRUE ในกรณี TrueMove H ยังไม่ได้ข้อยุติ (ประเด็นนี้มีองค์กรเกี่ยวข้องหลายองค์กร ไม่ใช่เฉพาะ กสทช. เพียงรายเดียว)
  • การสิ้นสุดสัญญาสัมปทานคลื่น 1800MHz ระหว่าง CAT กับ TrueMove และ GSM1800 ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการคืนคลื่น และการเยียวยาผู้บริโภค
ประเด็นเรื่องการลดค่าบริการโทรคมนาคม
  • อัตราค่าบริการโทรคมนาคมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2G/3G บนคลื่นเดิม แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง
  • กสทช. มีความพยายามลดเพดานราคาของค่าบริการบนคลื่น 2.1GHz แต่ยังไม่เห็นผล เนื่องจากการประมูล-ออกใบอนุญาตเพิ่งได้ข้อยุติ
  • บรอดแบนด์แบบมีสาย (ADSL) ยังแข่งกันที่ระดับความเร็ว แต่ไม่ลดราคาขั้นต่ำ 590 บาทต่อเดือนลง ทำให้ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึง กสทช. ควรลงมากระตุ้นตลาดให้เอกชนจัดแพกเกจบริการที่ราคาถูกลงกว่าเดิม แต่อาจได้ความเร็วไม่สูงนักแทน

2. การออกใบอนุญาต-จัดสรรคลื่นความถี่

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • จำนวนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น บนพื้นฐานของการแข่งขันที่เท่าเทียม
  • มีประเภทของบริการโทรคมนาคมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น
  • มีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมมากขึ้น
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นเรื่องจำนวนผู้ประกอบการ และพื้นฐานการแข่งขันที่เท่าเทียม เขียนไปบางส่วนแล้วในหัวข้อที่ 1. เรื่องระดับการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจขององค์กรต่างด้าว ซึ่งมีผลกระทบต่อการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการจากภายนอกประเทศอีกด้วย
ในแง่ “ประเภทของบริการโทรคมนาคมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ” อาจถือว่าการประมูลคลื่น 2.1GHz สำหรับบริการ 3G พอเป็น “เทคโนโลยีใหม่ๆ” ได้
ในแง่ของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่มากขึ้น ถือว่าการประมูลคลื่น 2.1GHz เข้าข่ายนี้ ถึงแม้ว่า กสทช. จะประสบปัญหาและกระแสคัดค้านอย่างมากมายระหว่างการประมูล แต่สุดท้ายก็สามารถฝ่าด่านต่างๆ และจัดสรรคลื่นได้สำเร็จ ซึ่งก็ถือเป็นความสำเร็จตามเป้าหมายหนึ่งที่วางแผนไว้

3. การใช้ทรัพยากรโทรคมนาคมอย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • ต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง
  • มีการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นร่วมกันสำหรับผู้ประกอบกิจการมากขึ้น
  • มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการโทรคมนาคม
  • มีแผนหรือมาตรการร่วมกับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินและภัยพิบัติ
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง ถือว่าการออก “ใบอนุญาต” โทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่น 2.1GHz ช่วยให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนลดลง เนื่องจากต้องหักส่วนแบ่งรายได้ส่ง กสทช. น้อยลงกว่าระบบสัญญาสัมปทานเดิมมาก ในแง่นี้ถือว่าประสบความสำเร็จ
ประเด็นเรื่องการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เขียนไปแล้วในหัวข้อที่ 1.
ประเด็นเรื่องการทำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้งาน
  • เราอาจถือว่า 3G เป็นเทคโนโลยีใหม่ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศไทยได้
  • โครงการอื่นๆ ที่ริเริ่มไว้ในสมัย กทช. เช่น Broadband Wireless Access (BWA) ยังไม่เห็นผลงาน
  • โครงการที่ควรผลักดันอย่าง Fiber Optics ยังไม่เห็นความชัดเจน
ประเด็นเรื่องแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน-ภัยพิบัติ ยังไม่เห็นผลงาน
  • โครงการหมายเลขสายด่วนกลางสำหรับเหตุฉุกเฉิน (เหมือน 911 ในต่างประเทศ) ยังไม่มีความคืบหน้า
  • แนวคิดการแชร์โครงข่ายโทรศัพท์ในช่วงเกิดภัยพิบัติ ยังไม่เห็นความชัดเจน
  • แนวคิดเรื่องคลื่นความถี่สำหรับสาธารณภัย ยังไม่เห็นความชัดเจน

4. บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึง

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช. (รอบ 5 ปี)
  • มีแผนการบริการ USO (universal service obligation) ภายใน 1 ปี (นับจากแผนแม่บทประกาศใช้ ไม่ใช่นับจากอายุการทำงานของ กสทช.)
  • บริการเสียง ครอบคลุม 95% ของประชากร
  • บริการอินเทอร์เน็ตความเร็ว 2Mbps ครอบคลุม 80% ของประชากร
ผลงาน 1 ปีแรก
การประเมินผลในเชิงตัวเลขอาจยังทำไม่ได้ในขณะนี้ แต่ในภาพรวมแล้ว กิจกรรมด้าน universal service obligation ของ กสทช. ยังถือว่าอยู่ในเชิงตั้งรับ เน้นการ “ให้ทุน” จากกองทุน USO ที่มีเงินจำนวนมหาศาลเป็นหลัก เช่น การให้เงินสนับสนุนโครงการ Wi-Fi ฟรีของกระทรวงไอซีที มูลค่า 950 ล้านบาท เป็นต้น
การให้ทุนสนับสนุนโครงการ USO เพื่อขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นเรื่องที่ดี แต่ กสทช. ควรระวังเรื่องยุทธศาสตร์นี้ในระยะยาวว่าจะกลายเป็นเพียง “องค์กรให้ทุน” แหล่งใหม่หรือไม่ และ กสทช. เองน่าจะมีโครงการสนับสนุน USO ในเชิงรุกมากขึ้น นอกเหนือไปจากการให้ทุนองค์กรต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เว็บไซต์งานด้าน USO ของ กสทช. ยังขาดการปรับปรุงและไม่ค่อยอัพเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบันมากนัก

5. การคุ้มครองผู้บริโภค

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • จัดทำหลักเกณฑ์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคให้เสร็จภายใน 2 ปี
  • จัดทำหลักเกณฑ์การควบคุมคุณภาพบริการประเภทข้อมูลให้เสร็จภายใน 2 ปี
  • ปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาทที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้มากขึ้นถึงสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม
ผลงาน 1 ปีแรก
ตัวชี้วัดในเรื่องแผนกำหนดระยะเวลา 2 ปี จึงประเมินได้ลำบากในขณะนี้ ส่วนการประเมินความตระหนักรู้ของผู้บริโภคก็ทำได้ยากเช่นกัน ในหัวข้อนี้จึงใช้การประเมินจากสถานการณ์ของผู้บริโภคในรอบปีแทน
สถานการณ์ด้านผู้บริโภคในปี 2555 เกิดปัญหาเครือข่ายล่มบ่อยครั้ง (โดยเฉพาะจาก DTAC) ซึ่ง กสทช. เองก็ทำหน้าที่ไม่ได้มากนักนอกจากสั่งปรับตามฐานความผิด ส่วนประเด็นปัญหาด้านผู้บริโภคก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาเดิมๆ เช่น SMS ขยะ, คิดเงินผิด, roaming เน็ตรั่วต่างประเทศ, คุณภาพสัญญาณ, การจำกัดจำนวน number portability, บัตรเติมเงินหมดอายุ, ตู้เติมเงินคิดค่าบริการสูง ฯลฯ ในภาพรวมแล้ว กสทช. ยังไม่สามารถนำปัญหาซ้ำซากเหล่านี้แปรเปลี่ยนเป็นการแก้ไขเชิงนโยบายได้เลย ทำให้ปัญหาผู้บริโภคยังเกิดซ้ำซากอยู่ตลอด
ส่วนการรับเรื่องร้องเรียน-ระงับข้อพิพาทก็ยังล่าช้าและเต็มไปด้วยกระบวนการเอกสาร ซึ่งปัญหาด้านผู้บริโภคนี้เป็นสิ่งที่ กสทช. ต้องปรับปรุงอย่างมากในปีหน้า
ข้อมูลเพิ่มเติม ความเคลื่อนไหวของ กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ในเดือนธันวาคม 2555
NBTC ASEAN
เว็บไซต์ กสทช. ด้านอาเซียน

6. อาเซียน-ความร่วมมือระหว่างประเทศ

เป้าหมาย-ตัวชี้วัดของ กสทช.
  • มีมาตรการรองรับด้านกิจการโทรคมนาคม สำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
  • พัฒนา ปรับปรุง ออกกฎระเบียบด้านโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ
ผลงาน 1 ปีแรก
ประเด็นด้านกฎระเบียบให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ผู้เขียนไม่มีข้อมูลด้านนี้ จึงไม่ขอประเมิน
ส่วนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ยังไม่เห็นความชัดเจนนอกจากการจัดสัมมนา ศักยภาพและความพร้อมของกิจการโทรคมนาคมไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2015 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และเปิดเว็บไซต์ด้านอาเซียน เท่านั้น
ผู้เขียนมีข้อเสนอ 2 ประการเพื่อยกระดับกิจการโทรคมนาคมของไทยในมิติของอาเซียน ดังนี้
  • ปรับปรุงและแก้ไขอุปสรรคของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมอาเซียน ต่อการเข้าทำธุรกิจในประเทศไทย เช่น กฎเกณฑ์ต่างด้าว หรือ เอกสารบนเว็บไซต์ กสทช. ควรมีภาษาอังกฤษกำกับให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
  • กสทช. ควรจับมือกับหน่วยงานด้านการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในอาเซียน ผลักดันค่าบริการโรมมิ่งในอาเซียน (ASEAN Roaming) ให้ถูกลง เพื่อเพิ่มระดับการใช้งานบริการโทรคมนาคมระหว่างการค้าขายในอาเซียน

7. ประสิทธิภาพในการทำงานของ กสทช.

ผู้เขียนขอแบ่งประเด็นออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
การเข้าถึงประชาชน
  • กระบวนการรับฟังความเห็นต่อร่างประกาศ (public hearing) ที่ผ่านมายังมีลักษณะเป็นการ “ทำเพื่อให้ครบกระบวนการของกฎหมาย” มากกว่าการรับฟังความเห็นจริงๆ เพราะ กสทช. ไม่มีกระบวนการรวบรวมข้อมูล เปิดเผย และอธิบายประเด็นว่าจุดไหนรับฟังและแก้ไข-จุดไหนไม่แก้ไข อย่างเปิดเผยและเข้าถึงได้มากนัก การออกประกาศถือเป็นงานสำคัญของ กสทช. และควรให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มาก
  • กสทช. ยังขาดฐานข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ที่มีความแม่นยำและทันสมัย
  • การประชาสัมพันธ์ของ กสทช. ในมิติด้านผู้บริโภคยังน้อยมาก ส่วนใหญ่ยังมีเฉพาะการประชาสัมพันธ์ “ภาพลักษณ์องค์กร” ของ กสทช. เท่านั้น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากนัก
  • เว็บไซต์ กสทช. เอง ก็เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ยาก ถึงแม้จะมีการปรับปรุงระบบมาแล้ว 1 ครั้ง
งบประมาณ-บุคลากร
  • งบประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมของ กสทช. มากเกินไปหรือไม่?
  • จำนวนบุคลากรของ กสทช. ต่อผลลัพธ์ของงานที่ออกมา มีสัดส่วนมากเกินไปหรือไม่? (เจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 คน ข้อมูลเมื่อสิ้นปี 2554)
  • ประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ มีการประเมินอย่างไร?
  • จำนวนคณะอนุกรรมการที่ กสทช. แต่งตั้ง มีมากเกินไปหรือไม่ และมีการเรียกประชุมบ่อยครั้งเพียงใด?
ข้อมูลประกอบ
รายจ่ายของ กสทช. ประจำปี 2555 (นับเดือนมกราคม-พฤศจิกายน) ใช้ตัวเลขโดยประมาณ (ที่มา กสทช.)
  • รายจ่ายบุคลากร 960 ล้านบาท
  • รายจ่ายดำเนินงาน 1,416 ล้านบาท
  • รายจ่ายสิ่งก่อสร้าง-ครุภัณฑ์ 93 ล้านบาท
  • เงินสมทบกองทุนฯ 175 ล้านบาท
  • รวม 2,690 ล้านบาท
งบประมาณ กสทช. 2554

สรุป

การดำเนินงานของ กสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม ในปี 2555 มีความเคลื่อนไหวพอสมควร โดยเฉพาะการประมูลคลื่น 2.1GHz ที่สามารถดำเนินไปได้ลุล่วงตามแผน มีการออกประกาศที่สำคัญในหลายเรื่อง แต่ กสทช. ยังไม่ค่อยมีผลงานในมิติด้านอื่นๆ มากนัก โดยเฉพาะงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่เรียกได้ว่า “สอบตก” ในปี 2555 และงานด้าน USO (บริการโทรคมนาคมทั่วถึง) ที่ไม่โดดเด่นอย่างที่ควรจะเป็น
ในภาพรวมแล้ว กสทช. ยังสมควรถูกตั้งคำถามเรื่องประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และงบประมาณที่ใช้ไปตลอดปี โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์การประมูล 3G และกิจกรรมบางประเภทที่อาจไม่คุ้มค่างบประมาณมากนัก

ข้อเสนอแนะต่อ กสทช.

ข้อเสนอเร่งด่วนสำหรับปี 2556
  • กสทช. ต้องรีบเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาคลื่น 1.8GHz หมดสัญญาสัมปทานในวันที่ 15 กันยายน 2556
  • กสทช. ต้องรีบกำกับดูแลบริการประเภทข้อมูล (data service) ทั้งในแง่ราคาและคุณภาพการให้บริการ ทั้งบนคลื่น 2.1GHz และคลื่นความถี่เดิม
  • กสทช. ต้องเร่งแก้ปัญหาด้านผู้บริโภคอย่างเป็นระบบและจริงจัง
  • กสทช. ต้องใช้นโยบายเชิงรุกกับโครงการด้าน USO แทนนโยบายเชิงรับอย่างที่ทำอยู่
  • ควรเจรจาทำระบบ ASEAN Roaming ที่ราคาถูกทั่วทั้งภูมิภาค
  • ปรับปรุงเว็บไซต์ กสทช. ให้ใช้งานได้ง่าย มีข้อมูลทันสมัยตลอดเวลา
ข้อเสนอระยะยาว
  • กสทช. ควรจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจทางนโยบาย และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
  • ประเมิน ตรวจสอบ ปรับปรุง ประสิทธิภาพในการทำงานของสำนักงาน กสทช. ให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว ฉับไว มากขึ้น
  • ใช้งบประมาณกับการประชาสัมพันธ์อย่างชาญฉลาด ไม่เน้นไปที่การจัดกิจกรรมระยะสั้นหรือการซื้อพื้นที่สื่ออย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
  • ปรับปรุงกระบวนการรับฟังความคิดเห็น (public hearing) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เอกสารประกอบการบรรยายจากงานเสวนา

ข่าวที่ปรากฏในหน้าสื่อ

ที่มา.Siam Intelligence.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นายกฯยิ่งลักษณ์ ติดอันดับ 1 นักการเมืองที่มีผลงานสร้างสรรค์ !!?


ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง "ที่สุดของความคิดสร้างสรรค์แห่งปี 2555" โดยเก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 15-20 ธันวาคม ที่ผ่านมาจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในทุกสาขาอาชีพ และทุกภูมิภาคทั่วประเทศด้วยคำถามปลายเปิดและให้ผู้ตอบคิดคำตอบเองทุกข้อ ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,275 คน เป็นเพศชายร้อยละ 46.9 และเพศหญิงร้อยละ 53.1 สรุปผลได้ดังนี้

1. นักการเมืองของไทยที่มีผลงานสร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 52.1 อันดับ 2 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 16.3 อันดับ 3 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ร้อยละ 15.3 อันดับ 4ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร้อยละ 7.1 อันดับ 5 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 2.6

2. โครงการ/นโยบายของรัฐบาลที่คิดว่าสร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ร้อยละ 18.1 อันดับ 2 โครงการรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาล ร้อยละ 16.4 อันดับ 3 โครงการค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ร้อยละ 13.8 อันดับ 4 นโยบายปราบปรามยาเสพติด ร้อยละ 8.8 อันดับ 5 โครงการขยายเส้นทางเดินรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินสายต่างๆ ร้อยละ 7.7

3. หน่วยงาน /องค์กร ภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีภาพลักษณ์สร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 กองทัพไทย ร้อยละ 8.9 อันดับ 2 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) ร้อยละ 8.7 อันดับ 3 สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ร้อยละ 8.5 อันดับ 4 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 7.9 อันดับ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร้อยละ 7.7

4. ละครทีวีของไทยที่สร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 แรงเงา ร้อยละ 56.3 อันดับ 2 รากบุญ ร้อยละ 6.7 อันดับ 3 กี่เพ้า ร้อยละ 5.6 อันดับ 4 ธรณีนี่นี้ใครครอง ร้อยละ 4.5 อันดับ 5 ขุนศึก ร้อยละ 3.6

5. รายการทีวีที่สร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปี 2555 คือ อันดับ 1 เรื่องเล่าเช้านี้ ร้อยละ 18.5 อันดับ 2 คนค้นฅน ร้อยละ 7.5 อันดับ 3 กบนอกกะลา ร้อยละ 7.3 อันดับ 4 ชิงร้อยชิงล้าน ร้อยละ 7.0 อันดับ 4 ตี 10 ร้อยละ 7.0 อันดับ 5 The Voice ร้อยละ 6.7

ขอบคุณ บบความ เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////