--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่า..หุ่นเชิด !!?


พฤติกรรมการกระทำผิดในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็น ผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงการแจ้งข้อ หานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม กรณีคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 จำนวน 99 ศพ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม หลังจากศาลมีคำสั่งแล้ว 2 คดีคือ นายพัน คำกอง และนายชาญณรงค์ พลศรีลา เสียชีวิตจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ศอฉ. ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารได้รับการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 ไม่ต้องรับโทษจากการกระทำที่ทำตามคำสั่งโดยชอบ

ผู้ที่รับผิดชอบจึงเป็น ศอฉ. คือผู้บริหารของ ศอฉ. ซึ่งขณะนั้นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด และผู้อำนวยการ ศอฉ. ที่รับผิดชอบการออกคำสั่งต่างๆ การดำเนินคดีจึงเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ที่ให้ศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้ไต่สวนสาเหตุการตายเพื่อให้เกิดความชอบธรรม

หลักฐานมัด “อภิสิทธิ์”

ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าไม่เคยเป็นกรรมการ ศอฉ. และไม่เคยเซ็นคำสั่งใดๆใน ศอฉ. นั้น รายงานจากดีเอสไอยืนยันว่ามีเอกสารหลักฐานเป็นบันทึกการสั่งการทางวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ทหารหลายคำสั่ง ต่างช่วงเวลากัน บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับประเด็นข้อสั่งการภายหลังการแจ้งผ่านวิทยุสื่อสาร ซึ่งเป็นการยืนยันว่ามีการสั่งจาก ศอฉ. จริง และในบันทึกคำสั่งที่ดีเอสไอได้มานั้นมีข้อความระบุถึงอำนาจ ศอฉ. และข้อสั่งการของนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี จากนั้นเป็นรายละเอียดเรื่องการใช้กำลังเข้าดำเนินการและอนุมัติการเบิกอาวุธของฝ่ายปฏิบัติการ และท้ายคำสั่งอนุมัติลงชื่อโดยนายสุเทพในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.

ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงเชื่อได้ว่านายอภิสิทธิ์มีส่วนรับรู้ รับทราบ ทั้งยังมีพยานบุคคลหลายปากยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ร่วมประชุมวอร์รูมฝ่ายยุทธการเป็นประจำ ซึ่งนายธาริตให้ความเห็นว่า เรื่องนี้ชัดเจนและมีข้อยุติแล้วในระดับหนึ่ง โดยศาลบอกชัดว่าเจ้าหน้าที่ทำให้คนตายภายใต้คำสั่งของ ศอฉ. หากพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเป็นการตายจากการฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามคำสั่ง ศอฉ. ไม่ใช่ตายโดยธรรมชาติ เป็นลม หรือโรคระบาดตาย เมื่อเป็นลักษณะคดีฆาตกรรมก็ต้องมีคนรับผิดชอบ

“จะให้ฟ้าดินรับผิดชอบหรืออย่างไร ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพูดทำไมว่าไม่ได้เซ็น ไม่ได้ให้ใครไปฆ่าใคร โดยตำแหน่งหน้าที่ขณะนั้นคุณต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงนายธา ริตว่าต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกัน เพราะถ้านายธาริตได้รับการคุ้มครอง นายสุเทพก็ต้องได้รับการคุ้มครองด้วย จึงรู้สึกแปลกใจที่นายธาริต
บอกว่ามีกรรมการ ศอฉ. ที่แต่งตั้งโดยนายอภิสิทธิ์ 2 ชุด ทำไมถึงไม่พูดให้ครบด้วยว่าตนไม่ได้ร่วมเป็น กรรมการทั้ง 2 ชุด และตรงไหนที่เป็นคำสั่งที่ออก โดยนายอภิสิทธิ์ ไม่รู้สึกแปลกใจที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกไปให้ปากคำในฐานะพยาน แต่ตอนนี้กลับถูกดำเนินการในฐานะจำเลย เพราะมีธงไว้อยู่แล้ว

สู้ตามกระบวนการยุติธรรม

“หากดีเอสไอปล่อยเวลาเนิ่นนาน ไม่แจ้งข้อหากับใคร ทั้งๆที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนการเสียชีวิตออกมาชัดเจนว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้คำสั่งของ ศอฉ. อีกทั้งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่สังคมสนใจ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ผมคิดว่าอาจทำให้ภาพลักษณ์การสอบสวนของดีเอสไอไม่เป็นมืออาชีพ และคดีที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหา ศาลได้มีคำสั่งมาแล้วกว่า 1 เดือน ดังนั้น ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามขั้นตอน”

นายธาริตชี้แจงและกล่าวว่า คดีนายพัน คำกอง เป็นคดีแรกที่จะแจ้งข้อกล่าวหา ยังมีคดีอื่นๆที่ศาลกำลังสั่งอีกกว่า 30 คดี ซึ่งหากศาลมีคำสั่งในทิศทางเดียวกัน ดีเอสไอจะแจ้งข้อกล่าวหาเป็นรายคดี ดังนั้น ผู้ถูกกล่าวหาต้องเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาเป็นรายคดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงข้อหาพยายามฆ่าด้วย เมื่อท่านบอกว่าบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำผิด ก็มาพิสูจน์กัน ไม่ใช่การตามหา “ชายชุดดำ” ที่เป็นสิ่งนอกกระบวน การยุติธรรมทั้งนั้น ซึ่งไม่มีประโยชน์และไม่ได้ช่วยพิสูจน์ความถูกผิด

“ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมแล้วจะเชื่อใคร จะไปอาศัยศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ไหน เราก็ต้องอาศัยศาลสถิตยุติธรรมในการดำเนินการเรื่องนี้ ยืนยันอีกครั้งว่าเราทำตามพยานหลักฐาน โดยเฉพาะพยานหลักฐานเรื่องนี้ล้วนมาจากการพิสูจน์โดยศาล ไม่ใช่พยานที่สร้างขึ้นเอง น่าจะเป็นเรื่องดี จะได้เปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ท่านเข้ามาให้การในคดี”

สื่อเทศประโคมข่าว “อภิสิทธิ์-สุเทพ”

ขณะที่สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานข่าวในลักษณะเจาะลึกและบทวิเคราะห์ถึงการตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ โดยสำนักข่าวเอพีรายงานคำแถลงของนายธาริตที่ยืนยันว่าไม่ใช่ใบสั่งการเมือง ส่วนเว็บไซต์ข่าวเอบีซีนิวส์ ชี้ว่าเป็นคดีที่มีนักข่าวต่างประเทศเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 2 ราย และคนเสื้อแดงรู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรม “สองมาตร ฐาน” เพราะแกนนำ 24 คน ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายทันทีหลังการชุมนุมสิ้นสุดลง

ด้านหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนได้สัม ภาษณ์นายกานต์ ยืนยง ผู้อำนวยการ Siam Intelligence ซึ่งเป็นองค์กรวิเคราะห์การเมืองในประเทศไทยว่า นายสุเทพและนายอภิสิทธิ์หนีไม่พ้นการขึ้นศาลอยู่แล้ว เพราะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งสองจะต้องรับผิดชอบบ้าง เพราะประ เทศไทยไม่เคยมีนักการเมืองคนใดถูกจำคุกจากคำสั่งการให้กองทัพใช้ความรุนแรงจนมีประชาชนเสียชีวิต หากศาลตัดสินว่าทั้งสองผิดจริงก็จะเป็นกรณีแรกของประเทศไทย แต่นายกานต์วิตกว่าการแจ้งข้อหาของดีเอสไออาจเป็นเพียงยุทธวิธีของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการกดดันให้พรรคประชาธิปัตย์ยอมรับข้อเสนอการนิรโทษกรรมเพื่อปูทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยก็ได้

ขณะที่นายสุนัย ผาสุก ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับเดอะการ์เดียนว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยควรเป็นกลาง และทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับความรับผิดชอบที่มีส่วนในความรุนแรงเมื่อปี 2553 ประเทศไทยจึงจะหลุดพ้นจากวงจรของความรุนแรงได้อย่างแท้จริง

ด้านหนังสือพิมพ์เทเลกราฟรายงานว่า แม้มีหลักฐานชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมีคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุม แต่ยังมีคำถามว่านายอภิสิทธิ์จะต้องรับโทษในคดีฆาตกรรมนี้จริงหรือไม่ โดยนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิท ยาลัย ให้ความเห็นว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่ยาวนานมาก และไม่มีหลักประกันด้วยว่านายอภิสิทธิ์จะถูกลงโทษในอนาคต ทั้งยังเกรงว่าทั้งหมดอาจเป็นเพียงเกมการเมืองที่ทั้งสองฝ่ายเจรจากันหลังฉากเท่านั้นเอง

ส่วนหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานภูมิหลังความขัดแย้งที่นำไปสู่เหตุการณ์สลายการชุม นุมปี 2553 ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากเป็นผู้สนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณ ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ชนบททางภาคเหนือและภาคอีสาน มีชนชั้นกลางบ้างบางส่วน ขณะที่ผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงและชนชั้นนำที่มีอำนาจ

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า คดีนี้อาจทำให้การเมืองไทยกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง โดยสัมภาษณ์นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ตั้งคำถามดีเอสไอในเรื่องความโปร่งใสและความเป็นธรรมอย่างมาก แม้จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน

เอาผิด “คนสั่ง” ไม่ได้?

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เชื่อว่าดีเอสไอต้องมีหลักฐานภาพและพยานบุคคลจึงได้ตั้งข้อหากับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซึ่งต้องไปสู้กันในชั้นศาลด้วยข้อมูลและเอกสารหลักฐาน ศอฉ. ต้องชี้แจงให้ได้ว่าไม่ได้สั่ง เป็นผู้ปฏิบัติเอง หรือไม่ได้ทำ ฝ่ายผู้ปฏิบัติก็ต้องให้เหตุผล เช่น เป็นเรื่องฉุกเฉิน โดยทหารต้องมีหลักฐานว่าคำสั่งให้กระทำอะไร ขนาดไหน เพราะปรกติคำสั่งต้องออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งจะเป็นเอกสารพยานว่าได้รับคำสั่งมาอย่างไร

“ส่วนตัวผมเชื่อมั่นว่าศาลสถิตยุติธรรมจะตัดสินด้วยความเที่ยงธรรม และจะทำให้เรื่องจบได้ จึงไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเพิ่มความแตกแยกขัดแย้งในสังคม สถานการณ์ไม่น่าจะร้อนแรง”

พล.อ.เอกชัยกล่าวว่า แม้ตอนนี้กระบวนการยุติธรรมส่วนกลางคือ อัยการ ดีเอสไอ องค์กรอิสระ จะขาดความน่าเชื่อถือไปมากก็ตาม แต่ยังเชื่อมั่นในขั้นตอนสุดท้ายคือศาลสถิตยุติธรรม สิ่งที่กลัวคือสุดท้ายแล้วจะเอาผิดระดับสั่งการหรือหัวหน้าไม่ได้ แต่เชื่อว่าหากมีการฟ้องกว่า 50 คดี อย่างน้อยต้องมีสัก 2 คดีที่เอาผิดได้ เพราะเรื่องคดีหากปล่อยเลยตามเลยบ้านเมืองก็จบไม่ได้

ความรับผิดชอบทางการเมือง

การตั้งข้อหาของดีเอสไอไม่ใช่คำพิพากษาของศาล ชะตากรรมของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจึงออกมาได้ทุกรูปแบบ แต่อย่างน้อยประวัติ ศาสตร์การเมืองไทยก็ต้องบันทึกว่านายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ถูกตั้งข้อหา “ฆาต กรรม” และเป็นนายกรัฐมนตรีที่ปราบปรามผู้ชุมนุมจนมีคนตายมากที่สุดถึง 99 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน

ขณะที่นายอภิสิทธิ์เคยใช้วาทกรรมเรียกร้อง “จริยธรรมทางการเมือง” ให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พิจารณาตัวเอง กรณี ใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุมและมีผู้เสียชีวิต 1 คน โดย อ้างความรับผิดชอบทางการเมืองต้องมาก่อนกฎหมาย

แต่กรณีฆ่าโหดกลางบ้านกลางเมืองที่มีคนตายถึง 99 ศพ นายอภิสิทธิ์กลับยืนยันมาตลอดว่าไม่ผิดและไม่มีแม้แต่คำขอโทษ จึงไม่แปลกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองใดๆ เหมือนคนความจำเสื่อมที่ใช้วาทกรรมทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามโดยตั้ง “มาตรฐานสูง” แต่ตัวเองกลับไม่มีแม้แต่ “มาตรฐานที่ต่ำที่สุด” ทั้งที่ใช้ความรุนแรงมากกว่าหลายเท่า และยังพยายามตะแบงว่าการถูกตั้งข้อหา “ฆาตกรรม” เป็นเกมการเมืองเพื่อกดดันให้ยอมรับ พ.ร.บ.ปรองดองและการนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ก็พยายามทำให้คนเชื่อว่าเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่นักวิชาการและนักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการหมกเม็ดอำนาจรัฐประหาร

เสร็จนาฆ่าโคถึก?

ที่สำคัญหากเปรียบเทียบความผิดระหว่างนายอภิสิทธิ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณเกิดจากอำนาจรัฐประหารที่ตั้ง คตส. ที่ล้วนแล้วแต่เป็นคู่ปฏิปักษ์ เป็นกลุ่มคนเกลียดทักษิณ ขึ้นมาเอาผิด ซึ่งทั่วโลกรู้ดีว่าเป็นการทำลายกันทางการเมือง แต่ข้อหาของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นข้อเท็จจริงที่มีการ “ยิงจริง-ตายจริง ด้วยกระสุนจริง” เป็นข้อเท็จจริงจากศาลจากกระบวนการยุติธรรมปรกติ ไม่ใช่ศาลเตี้ย

แม้ที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์จะเดินสายเพื่อโยนความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และโยนความรุนแรงทั้งหมดว่าเกิดจาก “ชายชุดดำ” หรืออ้างว่าการให้ใช้ “กระสุนจริง” เป็นความจำเป็นและมีกฎหมายคุ้มครอง แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบทางการเมืองได้ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจสูงสุด แม้ในแง่กฎหมายจะไม่สามารถเอาผิดได้ก็ตาม

อย่างที่นายอภิสิทธิ์อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบกับการกระทำของคณะรัฐมนตรีและการบริหารประเทศทั้งหมดได้ เพราะนายกรัฐมนตรีต้องรับรู้และรับทราบ จึงต้องรับผิดชอบ

ดังนั้น การที่นายอภิสิทธิ์ยังยืนยันว่าไม่ผิด และไม่แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองใดๆกับความรุนแรงในเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต จึงสะท้อนให้เห็นถึง “วุฒิภาวะ” ทั้งในฐานะอดีตผู้นำประเทศและผู้นำพรรคการเมือง แม้แต่คำว่า “ลูกผู้ชาย” ก็ไม่ต้องถามนายอภิสิทธิ์

บทบาททางการเมืองของนายอภิสิทธิ์จึงไม่มีใครทำลาย นอกจากนายอภิสิทธิ์ทำลายตัวเอง ซึ่งอาจไม่ต่างกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เมื่อหมดบทบาทก็เกือบตายเพราะถูกลอบสังหาร หรือ เสธ.อ้าย-พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่มาเร็วไปเร็วเพราะ ถูกหักหลังตั้งแต่ยังไม่หัววัน

คนอื่นอาจไม่รู้..แต่เชื่อว่านายอภิสิทธิ์รู้ว่า “อะไร” กำลังเกิดขึ้นกับตนเอง

ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนา “เล็งเห็นผล”..มีหรือคนอย่างนายอภิสิทธิ์จะไม่รู้ชะตากรรม

หรือว่า..นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เป็นแค่เพียง “หุ่นเชิด” ตัวหนึ่งของระบอบพิสดารในแผ่นดินนี้เท่านั้น

“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” สุภาษิตคำพังเพยนี้จะยังคงทันสมัยอยู่เสมอร่ำไป!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
******************************************************************************

จากรุ่นเก๋าสู่รุ่นแซบ มุมมองในสนามAECของคนข้ามรุ่น !!?


โดย : ชัยพร เซียนพานิช

โจทย์ที่สำคัญคืออะไรคือโอกาสและจะเตรียมพร้อมในการไปข้างหน้ากับ AEC ของธุรกิจSMEs ได้อย่างไร

ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไปตลาดการค้าขายตามแนวชายแดน ตลาดของผู้นำเข้าส่งออก จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะหลอมรวมเอาภูมิภาคอาเซียนเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน แน่นอนว่าโอกาสและความท้าทายที่มากมายกำลังรอทุกคนที่มองเห็นโอกาสและช่องว่างที่จะนำเอาธุรกิจและสินค้าของตนเข้าไปยังตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกวันนี้

นั่นจึงเป็นที่มาของการจัดงานสัมมนา SCB YEPAEC Seminar ที่มุ่งมั่นต้องการให้ความรู้ ให้มองทะลุถึงโอกาสและความท้าทายที่นักธุรกิจโดยเฉพาะชาย SME ทั้งหลายที่ต้องเผชิญหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว โจทย์ที่สำคัญคืออะไรคือโอกาสและจะเตรียมพร้อมในการไปข้างหน้ากับ AEC ของธุรกิจSMEs ได้อย่างไร

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ถือได้ว่าเป็นโอกาสดีมากๆสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่ได้ฟังปาฐกถาพิเศษของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ได้เล่าถึงภาพของอาเซียนเป็นเป้าหมายที่ต้องไปของธุรกิจไทยถ้าต้องการที่จะอยู่ให้รอดท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในระดับโลก พร้อมยกตัวอย่างของญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจแต่ไม่เคยลดการลงทุนในอาเซียนและเอากำไรกลับไป สหภาพยุโรปแม้ว่าจะประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอยู่ก็ยังไม่ลดการลงทุนในอาเซียน ในปีที่ผ่านมาสหภาพยุโรปเอาเงินมาลงทุนในภูมิภาคนี้แล้วกว่า 19,000 ล้านยูเอสดอลลาร์

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณยังชี้ให้เห็นว่า “เวทีอาเซียนนี้คือเวทีของคนรุ่นใหม่ นักธุรกิจรุ่นใหม่ จะให้คนรุ่นก่อนมาแข่งขันได้อย่างไร ถ้าจะเอาตัวรอดจากเวทีระดับโลก ต้องเริ่มจากเวทีอาเซียนเพราะเป็นเวทีครึ่งทางของนักธุรกิจไทย ต้องยอมรับว่านักธุรกิจ SMEs รุ่นใหม่เหล่านี้เป็นกองทัพหน้าที่จะออกไปแสวงหาและแข่งขันในเวทีอาเซียน บริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัทมี Asean Department ทำไมอาเซียนน่าสนใจเพราะการเติบโตของชนชั้นกลางในอาเซียนเมื่อมีรายได้ดีมากขึ้นก็ย่อมต้องการสินค้าดีๆ บริการดีๆ มากขึ้น นี่คือโอกาสที่ธุรกิจไทยทำได้ดีมาตลอดและต้องออกไป”

และยังกล่าวไว้น่าสนใจมากว่า “เราต้องเปลี่ยน Mindset กันใหม่ที่ผ่านมานักธุรกิจไทยออกไปนอกบ้านน้อยมากเพราะการติดที่อยู่ อาหาร ครอบครัว แต่ถ้าเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจของท่านต้องกล้าเปลี่ยนและออกไปเสี่ยงในนอกประเทศ ท่านต้องกล้าพูด กล้าต่อรอง กล้าถกเถียง ไม่ได้เรียกร้องให้ท่านสุภาพและลืมรอยยิ้ม แต่สองสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้ท่านอยู่รอดได้”

หลังจากคนรุ่นเก๋าได้กรุยทางให้กับคนไทยและนักธุรกิจไทยในฐานะเลขาธิการอาเซียนไปแล้วถัดมาคือคนรุ่นแซ่บที่ยังมีไฟและความมุ่งมั่นที่จะไปและสืบสานเจตนารมย์ของคนรุ่นเก๋าไว้ จะไปอาเซียนได้อย่างไรก็ต้องเริ่มที่ความเข้าใจก่อน คุณวิธาน เจริญผล นักวิเคราะห์อาวุโสของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ให้ข้อมูลไว้น่าสนใจว่า SMEsเกินครึ่งในเวลานี้มีความเข้าในในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนน้อย เนื่องจากการเปิดเสรีการค้าจะมีลักษณะที่กว้างและลึกมากขึ้นในเรื่องของกรอบข้อตกลงที่มีจำนวนมากและมีหลายสินค้าที่ทำการเปิดในระยะเวลาและเงื่อนไขที่ต่างกัน

พร้อมกับให้ข้อมูลว่า ”กรอบการเปิด AEC เพื่อการขจัดอุปสรรคการค้าต่างๆเมื่อไม่มีกำแพง ใครผลิตได้ดีกว่า ใครมีความสามารถที่เก่งกว่า ก็ต้องถือว่าเป็นโอกาสที่ดีกว่า แต่ก็อย่าลืมว่าเราออกไปคนข้างนอกก็เข้ามาบ้านเราได้ง่ายขึ้นด้วย ย่อมมีคู่แข่งมากขึ้น ย่อมเป็นความท้าทายที่ธุรกิจจะต้องปรับตัวให้ยืดหยุ่น จะไปรุกตลาดจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนว่ามีตลาดหรือไม่แต่จุดแข็งของธุรกิจไทยคือ Know-how ไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนรถยนต์จากการลงทุนของญี่ปุ่นมายาวนาน หรืออุตสาหกรรมแปรรูปอาหารที่ทำมานาน นี่เป็นจุดหนึ่งที่ธุรกิจไทยพอจะเอาตัวรอดได้จาก AEC”

สำหรับนักธุรกิจไฟแรงตัวแทนของคนรุ่นใหม่อย่าง ผศ.ดร.ปรีชาพร สุวัฒโนดม กรรมการผู้จัดการบริษัท Pro Five Development จำกัดและเป็นประธาน SCB YEP รุ่นที่ 10 ได้มาให้ความรู้ได้น่าสนใจมากว่า AEC คือ FTA ในรูปแบบของภูมิภาคคนที่ได้รับผลกระทบมากคือภาคธุรกิจบริการ เช่นท่องเที่ยว โรงแรม หรือกลุ่มที่เรียกว่าปลายน้ำของอุตสาหกรรม เพราะทำให้ SMEsจะต้องเผชิญกับธุรกิจที่มีทุนหนาแต่ราคาท้องถิ่นเข้ามาแข่งขัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นชัดเจนก่อนคือเรื่องราคาที่สู้ลำบาก นี่เป็นปัญหาที่ต้องตั้งรับ

สำหรับผู้ที่ต้องการออกไปลงทุนในต่างประเทศ ดร.ปรีชาพร สุวัฒโนดม ได้ให้ข้อแนะนำที่น่าสนใจมากว่า “ก่อนที่คุณจะออกไปคุณต้องมีทุน ปัญหาSMEsที่ผ่านมาคือเรื่องของแหล่งทุน เรื่องที่สองคือความไม่เข้าใจของ วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างกรณีชุดชั้นในของไทยที่ขายดีมากในไทยแต่กลับขายได้ลำบากในมาเลเซีย อินโดนีเซียเพราะตลาดฝั่งนั้นไม่ต้องการแสดงออกของรูปร่าง เรื่องที่สามคือต้องหา คู่ค้าท้องถิ่นที่ไว้ใจได้เพราะถ้าคุณมีตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่ดีคุณย่อมไปรอด และเรื่องที่สี่คือเรื่องภาษา ที่ไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่นซึ่งจำเป็นมาก”

ทางด้านคุณฐิตินันท์ เกียรติไพบุลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท KRC (Thailand) จำกัด ประธาน SCB YEP รุ่นที่ 8 ได้แสดงความเห็นว่า “การออกไปข้างนอกจะต้องไปเป็นกลุ่มหมายถึงไม่ปล่อยเอกชนออกไปแค่ฝ่ายเดียวแต่ต้องมีทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษาออกไปด้วย อย่างกรณีของญี่ปุ่นที่ไปพร้อมกันมี JBIC และ JTRO เป็นตัวแทนของรัฐมาช่วย มีธนาคารญี่ปุ่นเสริมไปพร้อมกัน”

ทั้งนี้คุณฐิตินันท์ยังชี้ให้เห็นจุดด้อยของ SME ให้เห็นว่า ธุรกิจไทยส่วนใหญ่ใช้คนงานเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการแต่ยังไม่เข้าถึงการมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมหรือการสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างมาตรฐาน เพราะปัจจุบันมาตรฐานสินค้าสำคัญมาก ธุรกิจ SMEsมีความสามารถในการผลิตตามสั่งหรือ made to order ได้แต่มีน้อยรายมากที่สามารถผลิตสินค้าต้นแบบหรือ Prototype ที่มีนวัตกรรมแทรกในนั้นได้ รายได้ที่ควรได้รับจริงๆจึงได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ปิดท้ายของการเตรียมความพร้อมของธุรกิจ SMEs ที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับกับประชาคมอาเซียน ดร.ปรีชาพรได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญมากๆและน่าสนใจมากนั่นคือ โอกาสมีมากมายในตอนนี้แต่ก้าวแรก (First Step) ของพวกคุณคืออะไร จะทำอะไร ขั้นแรกถ้าจะออกไปลงทุนหรือทำกรค้าในประเทศเพื่อนบ้านคุณควรที่จะติดต่อคนไทย โดยเฉพาะภาครัฐของไทยไม่ว่าจะเป็น กรมส่งเสริมการส่งออก หรือแม้แต่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องอาเซียนเช่นกัน ขั้นที่สองคือสถานทูตของประเทศที่จะเข้าไปในประเทศไทย เข้าไปข้อมูลต่างๆ ขั้นที่สามคือการติดต่อกับสถานทูตไทยในประเทศที่จะเข้าไป หรือแม้แต่ทูตพาณิชย์ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณคิดหาวิธีการที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น”

แม้ว่าเวทีสัมมนาจะจบลงไปแล้ว แต่การดำเนินธุรกิจของคนไทยในประชาคมเศรษฐกิจเซียนยังต้องดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้งและยังต้องเอาใจช่วยนักธุรกิจไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องการออกไปลงทุนและทำการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านที่จะต้องเจอทั้งคู่แข่งและความไม่คุ้นเคยของบรรยากาศการทำธุรกิจที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม ความต่างที่เราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน !!?


โดย.อับดุรเราะฮหมาน มูเก็ม

ที่ผ่านมา มุสลิมที่กลายเป็นประชากรส่วนน้อยของประเทศและมักตั้งคำถามเพียงด้านเดียวเสมอ นั่นก็คือ “คนไทยพุทธไม่เข้าใจในความเป็นมุสลิมอย่างเรา ?”

ในนามของคำว่า “มุสลิม” การขบคิดลักษณะนี้ มักเป็นปัญหาตามมาเสมอ เพราะเป็นตรรกะที่มักจะคิดเอาตัวเอง “เป็นศูนย์กลาง” ในการโคจรแห่งความเป็นเพื่อนร่วมโลก  ไม่ต่างกัน  ในนามคำว่า “ไทยพุทธ” ก็จะต้องปรับทัศนคติเพื่อหาทางออกร่วมกัน

อีกมุมหนึ่งที่มุสลิมอย่างเราต้องคิดนั่นก็คือ “มุสลิมอย่างที่เราเป็นเข้าใจความเป็นพุทธมากน้อยแค่ไหน ?”

ด้วยเหตุนี้ มุสลิมก็ต้องศึกษาความเป็นพุทธที่เราต้องคลุกคลีด้วยในทุกวัน เพราะเราใช้ชีวิตร่วมกันและ “รากเหง้าของความเป็นเรา” มันสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น อย่างน้อยก็รากเหง้าของเรา (ทั้งไทยพุทธ-มุสลิม) มาจากสายตระกูลเดียวกันโดยมาก นั่นก็คือ “ลัทธิฮินดู-พราหมณ์และศาสนาพุทธ” (มหายาน) ใน อาณาจักรลังกาสุกะ ก่อนจะมาเป็น       ”อิสลาม” ใน อาณาจักรปาตานีดารุสลาม

 เอาเข้าจริง  อิสลามก็เพิ่งเข้ามาในปัตตานียุคสมัยของ พญา ตู  นักปา  อินทิรา  มหาวังสา แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น “อิสมาอีล  ชาห์  ซิลลุลลอฮฺ  ฟิลอาลัม”  ปี ค.ศ.1457  เพราะก่อนหน้านี้ เราไม่ได้เป็นทั้งไทยมุสลิมและไทยพุทธอย่างที่เราเป็นกัน

เอาเป็นว่า ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม มันคือ พื้นที่และบทเรียนที่เราต่างแสวงหามาพอ ๆ กัน และเราก็มีความสัมพันธ์มาเหมือนกัน เจ็บมาก็ไม่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงเป็นมิตรสหายกันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายอย่างตัดขาดกันไม่ได้อย่างแน่นอน

และมุมกลับกันของคนไทยพุทธ “ต้องศึกษาความเป็นอิสลาม” ด้วยคำถามที่ว่า“อิสลามคืออะไร ?” แล้วเริ่มกันหาคำตอบร่วมกัน ไม่ใช่ศึกษาและเข้าใจแค่เพียงว่า “อิสลามไม่กินหมู” อย่างเดียว

เอาเข้าจริง บุคคลที่เราควรศึกษาวันนี้ ไม่ใช่ ยิว คริสต์ หรือ ฮินดู แต่สำหรับ คนไทย สิ่งที่เราควรศึกษาและเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ “พุทธ-อิสลาม” เพราะเราต่างก็คลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้เป็นประจำ ชีวิตเราอยู่ท่ามกลางความเชื่อเหล่านี้ คนจำพวกนี้ และวางรกรากในพื้นที่แห่งความไม่เหมือนเหล่านี้ดำรงอยู่ ทว่าเมื่อเราไม่เข้าใจ มันคือ “ชะตากรรมแห่งความรุนแรง”

ไม่ต่างจาก ผศ. ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี จากสำนักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้เชี่ยวชาญปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้  สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนใต้ไว้อย่างน่าสนใจใน “ 9 เดือน ของปีที่ 9 ; ในสถานการณ์ความรุนแรงอันยอกย้อน กระบวนการสันติภาพปาตานียังคงด้าวเดินไปข้างหน้า”

ภายใต้นิยามที่ชื่อว่า “ความรุนแรงเชิงคุณภาพ ; ความรุนแรงที่ยืดเยื้อเรื้อรังและเข้มขันยิ่งขึ้น”[2]

ผู้เชี่ยวชาญปัญหาความขัดแย้งชายแดนใต้ได้นำเสนอไว้อย่างน่าสนใจใต้นิยามสถานการณ์ชายแดนใต้ว่า

“ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบันได้ก้าวย่างเข้าสู่ 105 เดือน (นับตั้งแต่มกราคม 2547 –กันยายน 2555) มีเหตุการณ์เกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 12,377 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมกัน14,890 ราย เสียชีวิตประมาณ 5,377 ราย ผู้บาดเจ็บประมาณ9,513 ราย”

ข้อมูลที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ “เหตุการณ์ในเดือนมีนาคม 2555 ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตร่วมกันถึง 603 คน ในเดือนนี้ นับเป็นเดือนที่มีสถิติการบาดเจ็บบวกกับการตายในรายเดือนสูงสุดตั้งแต่ปี 2547  และในเดือนสิงหาคม 2555 มีเหตุการณ์ความไม่สงบถึง 380 เหตุการณ์ ในเดือนนี้มีสถิติความถี่ของการก่อความไม่สงบรายเดือนสูงสุดนับตั้งแต่มกราคม 2547”

ผู้เชี่ยวชาญได้ชี้แจงและตั้งประเด็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่  มันไม่ใช่แค่เพียงการนับจำนวนตัวเลขอย่างตื้น ๆ อย่างธรรมดา ๆ ทว่าสิ่งนี้กลับเป็น ตัวเลขมีชีวิตและมีความสูญเสียอย่างคณานับอยู่เบื้องหลัง”[3]

จากตัวเลขดังกล่าวพอที่จะบอกเรา (ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม) ได้ว่า “เราต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะในแต่ละวันนับตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เราต้องสูญเสียคนที่เรารักหรือเพื่อนร่วมโลกอย่างน้อยวันละประมาณ ๒ คน”

นี่คือความรุนแรงที่เราได้ก่อมันให้เกิดขึ้น ไม่ว่าด้วยเหคุผลที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยใดใดก็ตามที  บ้างอาจจะเกี่ยวข้องกับความไม่ยุติธรรมตามการศึกษาของนักสิทธิมนุษยชน  ส่วนหนึ่งเกิดจากเรื่องชาติพันธุ์และศาสนาจากการค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ อาจจะมีเกิดจากพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ร่วมของกลุ่มคนที่ได้รับความไม่เท่าเทียมในสายตาของกองทัพปลดแอก  คงไม่พ้นจากการกระจายรายได้ไม่ทั่วถึงผ่านมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ หรือเกิดจากการไร้วิถีของศาสนาและการหลุดลุ่ยของชีวิตใต้แบบแห่งศาสนาผ่านแนวคิดของนักการศาสนา ความรุนแรงและการก่อความไม่สงบของกลุ่มผู้ก่อการในสายตาของรัฐไทยและกองทัพ  ความไม่ลงตัวของผลประโยชน์ของผู้แสวงหาอำนาจและกอบโกย

เกิดจากการปกครองที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยใต้สายตานักการเมืองท้องถิ่น เกิดจากระบบการศึกษาที่กดขี่และไม่มีความชัดเจนผ่านแว่นขยายของนักการศึกษา  อาจเกิดจากการแพร่หลายของยาเสพติดจากการสำรวจของงานสาธารณะสุข อาจเกิดจากการกดขี่ของรัฐบาลกับการเป็นมุสลิมชนกลุ่มน้อยในสายตาของนักเคลื่อนไหวเพื่อสร้างสถานการณ์ เกิดจากระบบการจัดการคดีความมั่นคงไม่ทั่วถึงจากการสำรวจนักกฎหมาย ความไม่เท่าเทียมในสิทธิของพลเมืองในสายตาชาวบ้าน

หรืออาจ เกิดจากการขัดแย้งและแย่งชิงตำแหน่งและหน้าที่การงานกันเองของ (นักการเมืองท้องถิ่น -นักการศาสนา) ที่เมืองชายแดนเพื่อกอบโกยผลประโยชน์และยกระดับการเป็นอยู่ของสายตระกูลให้ดีขึ้น

ทว่า เมื่อเหตุการณ์ความรุนแรงเหล่านี้จบลง ความสูญเสียได้เกิดขึ้น ภายใต้รากเหง้าแห่งความเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด (ต่างกันแค่ศาสนาไทยมุสลิม-ไทยพุทธ)  เกือบจะทุกสถานการณ์ สิ่งหนึ่งที่ได้ยินตามมาและกลายเป็น บทสรุป คือ  “ความเป็นไทยพุทธ-ความเป็นมุสลิม เพราะเราไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ทุกคนต่างโยนความผิดมาให้กับความต่างเหล่านี้ว่าด้วยหลักความเชื่อ หลักการศรัทธาและวิถีปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็น “แพะที่คอยรับบาปมากว่า 9 ปี”

ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็ได้ยืนยันถึงความต่างที่เราต้องเรียนรู้กันเพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาด้วยความไม่เหมือนเพียงเพราะว่า “เพื่อทดสอบมนุษย์ว่า ในความไม่เหมือนเหล่านี้ มุสลิมที่ถืออัลกุรอ่านเป็นธรรมนูญ ยังดำเนินตามเจตนารมณ์แห่งความเป็นอิสลามได้หรือ ไม่ เพราะในความต่าง อิสลามก็จะไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมแตกแยกและวุ่นวาย”

 อัลกุรอ่านได้บอกอย่างชัดเจนว่า “และหากอัลเลาะฮ์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนก็ทรงทำให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติเดียวกัน แต่ทว่า เพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า” (5 ; 48)

เพราะเป้าหมายแห่งความต่าง นั่นก็คือ การทำความเข้าใจกันและเรียนรู้ในความไม่เหมือนกัน

 “พระเจ้าให้เราไม่เหมือนกัน เพียงเพื่อทดสอบว่าเรา เอาอะไรมาจัดการความไม่เหมือน อารมณ์ใฝ่ต่ำ หรือ หลักการศาสนา”

ในอัลกุรอ่านได้กล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนที่สุด

“เราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่พวกเจ้าด้วยความจริง ในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้ามันและเป็นที่ควบคุมคัมภีร์นั้น ดังนั้นเจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขา ด้วยสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานลงมาเถิด  และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขา โดยเขาออกจากความจริงที่มายังเจ้า สำหรับแต่ละประชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้” (๕ ; ๔๘)

ในมุมของอิสลาม มักวางทุกอย่างไว้บนรากฐานแห่งอัลกุรอ่านเสมอ ด้วยคัมภีร์เหล่านั้น คือ ความกระจ่างที่สุดในการตัดสินปัญหาและความเป็นสังคมโลกที่มีคนไม่เหมือนเรา หรือ เราไม่เหมือนเขามักร่วมอยู่ด้วยเสมอ

“โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิงและเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติในหมู่ของพวกเจ้า ณ ที่อัลเลาะฮ์นั้น คือ ผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลเลาะฮ์นั้นเป็นผู้รู้รอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” (49 ; 13)

นี่คือส่วนหนึ่งที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจ เมื่อ เราต่างประสบชะตากรรมเดียวกัน นั่นก็คือ การไดอะล็อก หรือ การหาทางออกร่วมกันด้วยการแลกเปลี่ยนระหว่าง เพราะ “ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม ในความต่างที่เราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน” มันคือคำถามที่หนักอึ้งและเป็นภาระคนรุ่นใหม่อย่างเราต้องจัดการร่วมกัน

หาไม่แล้ว สิ่งเหล่านี้ คือ “มรดกแห่งความรุนแรงและความเกลียดชังที่จะพรากเพื่อนร่วมโลกไปอย่างน่ากลัวและจะกลายเป็นของขวัญอันน่าสยองนำไปสู่คนในรุ่นใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

กระทั่ง   Asghar Ali Engineer ได้แลกเปลี่ยนใน “The Need For Inter-Religious Dialogue” ผ่านความจำเป็นที่สำคัญของการไดอะล็อกนั่นก็เพื่อ

ประการแรก         เพื่อเรียกร้องให้คนเข้ามาสนใจประเด็นแห่งความต่างเพราะการไม่ให้ความสำคัญมักจะนำไปสู่ปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดความรู้สึกถึง “การไม่ใส่ใจผู้อื่นรอบข้าง”

ประการที่สอง      นำไปสู่ความกระจ่างของความไม่เข้าใจในประเด็นต่าง ๆ เพราะโดยมาก ความไม่เหมือนที่อยู่ท่ามกลางความหลากหลายมักนำไปสู่การเข้าใจผิดเสมอ ๆ [4]

 “ขุดรื้อโคนต้นและรากเหง้า แล้วจะเข้าใจถึงดอกและใบแห่งเรา (ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม)  เรียนรู้ผ่านกิ่งก้าน เกสรและเมล็ดผลที่มักฉายให้ประจักษ์ถึงสายพันธุ์แห่งเรา (ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม)   ซึมซับถึงสายเลือดที่โยงใยและเชื่อมร้อยให้เข้ากันระหว่างเรา(ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม)   กระทั่ง เรา (ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม) ต่างสำนึกเหมือนกันผ่านพันธุ์ไม้ต่างก็มีที่มาจากสายตระกูลเดียวกัน แม้ดอกและใบที่ชูช่อจะเปล่งออกมาหลากสีและต่างกลิ่นก็ตาม”

------------------------------------------------
[1] ปริญญาตรีการเมืองการปกครองคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี , ปริญญาโทวิชาเอกปรัชญาการเมืองอิสลาม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอาลีกัรมุสลิม,อินเดีย  ปัจจุบัน เป็นนักเดินทางและใช้ชีวิตด้วยการอ่านหนังสือ บทกวี การเขียนเรื่องสั้นลงนิตยสาร บทความเว็บไซต์ งานวิจัยและงานวิชาการตามโอกาสและวาระที่พบเห็นและเผชิญ เขียนเมื่อ 3-12-2012 ณ ห้องเช่าริมกุโบร์,อินเดีย

[2] ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี, (บทวิเคราะห์) “ 9 เดือน ของปีที่ 9 ; ในสถานการณ์ความรุนแรงอันยอกย้อน กระบวนการสันติภาพปาตานียังคงด้าวเดินไปข้างหน้า”,ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ; ปัตตานี, 2 พฤศจิกายน 2522, หน้า 1 หรือ http://www.deepsouthwatch.org/node/3670

[3] ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี, (บทวิเคราะห์) “ 9 เดือน ของปีที่ 9 ; ในสถานการณ์ความรุนแรงอันยอกย้อน กระบวนการสันติภาพปาตานียังคงด้าวเดินไปข้างหน้า”,ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ; ปัตตานี, 2 พฤศจิกายน 2522, หน้า 4 หรือ http://www.deepsouthwatch.org/node/3670

[4] หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก The Nation and The World(The Fortnightly Newsmagazine), Asghar Ali Engineer ,“The Need For Inter-Religious Dialogue” ,April ; 16,Vol.19,489  P.18-19

เผยแพร่ครั้งแรกใน: PATANI FORUM

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุดารัตน์.ไม่พร้อมลงชิงผู้ว่าฯ กราบขอโทษผู้สนับสนุน ยันไม่มีปัญหากับพรรคเพื่อไทย !!?


 "สุดารัตน์"ไม่พร้อมลงชิงผู้ว่าฯ กราบขอโทษผู้สนับสนุน ยันไม่มีปัญหาพรรคฯ

สุดารัตน์.โพสต์ข้อความผ่านFBยืนยันไม่ลงสมัครชิงผู้ว่าฯ ระบุ "ไม่พร้อม"ยังต้องรับผิดชอบงานเพื่อ"พุทธศาสนา" กราบขอโทษผู้สนับสนุนในพรรคฯ ทุกท่านรวมถึงปชช.ที่ให้โอกาส ขอให้เชื่อมั่นว่าพรรคฯ จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ขอให้ช่วยกันเพื่อบ้านเมือง

      คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คว่า ขอเรียนยืนยันอีกครั้งว่าดิฉันไม่พร้อมลงสมัครผู้ว่าฯ จริงๆ ข่าวที่บอกว่าดิฉันบินไปฮ่องกงเพื่อไปขอ นายกฯ ทักษิณ ให้ส่งลงสมัครผู้ว่าฯ ก็”ไม่จริง”ค่ะ ดิฉันไม่เคยขอใครในพรรคเพื่อไทยให้ส่งดิฉันลงสมัครผู้ว่าฯ ไม่ว่าจะเป็น นายกฯทักษิณ หรือ นายกฯ ยิ่งลักษณ์

     ในที่ประชุมพรรคฯ เมื่อวันศุกร์ ดิฉันได้บอกกับเพื่อน พี่น้อง สมาชิกพรรคฯ ถึง “ ความไม่พร้อม “เนื่องจากงานบูรณะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ดิฉันได้รับผิดชอบอยู่ ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เป็นงานที่ยิ่งใหญ่เพื่อพุทธศาสนาและในหลวงของเรา ที่ดิฉันมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำให้ดีที่สุด ดิฉันต้องกราบขอโทษผู้สนับสนุนอีกครั้งนะค่ะ ที่ไม่ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ตามแรงเชียร์

     เหตุการ์ณที่เกิดขึ้นในที่ประชุม ถือเป็นเรื่องที่สะเทือนใจดิฉันเป็นอย่างยิ่ง ที่โดนเพื่อนร่วมงานทั้ง สส. สก. สข. ว่า ดิฉันทิ้งเพื่อน หรือเป็นแม่ทัพที่หนีทัพยามต้องออกรบ ซึ่งไม่ใช่นิสัยดิฉันเลยที่จะทิ้งเพื่อน ทั้งพวกพ้อง หรือทรยศหักหลังใคร ดิฉันก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้เพื่อนร่วมงานทุกท่าน กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราต้องกราบขอโทษเพื่อนๆ อีกครั้ง และขอความเข้าใจ และความเห็นใจให้กับดิฉันด้วย ดิฉันไม่ปรารถนาที่จะสร้างปัญหาให้กับใคร โดยเฉพาะกับพรรคฯ ที่ดิฉันรัก
ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานทุกท่านทั้ง สส. สก. สข. และรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นความจริงใจที่มีให้กับดิฉัน เราทำงานร่วมกันมายาวนาน ร่วม 20 ปี เราผ่านทุกข์ผ่านสุขด้วยกันมามาก “ ความผูกพันและความจริงใจ” ที่เรามีต่อกัน เป็นความยิ่งใหญ่ในหัวใจพวกเรา ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

     การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่จะมาถึงนี้ ดิฉันขอให้พวกเราสมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้ความเคารพมติพรรคฯ และให้ความร่วมมือกับพรรคฯ อย่างเต็มที่ในการสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้ ถึงแม้ว่า ผู้สมัครฯ จะไม่ใช่ดิฉัน ขอให้เชื่อมั่นผู้บริหารพรรคฯ ว่า จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทุกท่าน และขอวิงวอนให้เพื่อน พี่น้องสมาชิกฯ ทุกท่านทำงานให้พรรคฯ อย่างเต็มที่เพื่อชัยชนะของพรรคฯ เรา ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทุกท่าน ที่ยังเมตตา คิดถึง ดิฉันอยู่ โดยสะท้อนผ่านผลโพลล์ต่างๆ ว่า ยังต้องการให้ดิฉันกลับมาทำงานรับใช้อยู่ ดิฉันสำนึกในพระคุณของพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ และในโอกาสที่เหมาะสมดิฉันยืนยันว่า จะกลับมารับใช้ เพื่อทดแทนบุญคุณของทุกท่าน โดยในระหว่างนี้ที่ดิฉันยังไม่กลับเข้ามารับใช้ทางการเมือง ดิฉันขออาสา เอาความรู้และประสบการณ์ของดิฉัน มาร่วมกับพี่น้องประชาชน ช่วยกันคิด ช่วยกันสร้าง “ นโยบายสาธารณะ” ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของพวกเราคนไทย “เป็นเสียงเป็นพลังภาคประชาชน เพื่อประชาชน” มาช่วยกันนะคะเพื่อเมืองไทยของเรา กราบขอบพระคุณ และ กราบขอโทษอีกครั้ง


ที่มา.สยามรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สก.สข.หนุน สุดารัตน์ ลงชิงผู้ว่า กทม.


นายประพนธ์ เนตรรังษี ส.ก.จตุจักร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุม สส. สก. สข.ในเขต กทม.รวมถึงอดีตเเละว่าที่ผู้สมัครรวมเเล้ว กว่า 400 คน ต่างเเสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ในที่ประชุมเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยส่ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามของพรรคเพื่อไทย เนื่องจาก สข. สก.เชื่อว่า หากส่งคุณหญิงสุดารัตน์จะมีเเนวโน้มชนะการเลือกตั้งสูง เมื่อพิจารณาจากผลโพลสำรวจความเห็นประชาชนที่ปรากฎออกมาบ่อยครั้ง ทั้งนี้ กลุ่ม สก.เเละ สข.ในที่ประชุมเชื่อว่า หากคุณหญิงสุดารัตน์สามารถชนะการเลือกตั้ง จะทำให้การทำงานของ กทม.กับรัฐบาล มีความราบรื่นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการคานอำนาจระหว่างผู้ว่าฯ กทม.เเละ สก. สข.ใน กทม.เพราะขณะนี้ สก.ส่วนใหญ่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่มีการตรวจสอบที่ถ่วงดุลการทำงานของผู้ว่าฯ กทม.ที่มาจากพรรคเดียวกัน ดังนั้น เชื่อว่าหากคนของพรรคเพื่อไทยได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จะทำให้เกิดการตรวจสอบตามหลักการที่ควรจะเป็น

"กลุ่ม สก.เเละ สข.ของพรรคเพื่อไทย ต่างเห็นผลดีหลายข้อหากคนของพรรคได้เป็นผู้ว่าฯ เเละคนที่จะชนะเลือกตั้งมีเพียงคุณหญิงสุดารัตน์เท่านั้น หลายโพลที่ออกมารวมกับประสบการณ์ในสนาม กทม.ทำให้เราเชื่อว่าคุณหญิงเอาชนะได้ นี่ขนาดคุณหญิงปฏิเสธไม่ลงสมัคร ยังมีประชาชนเชียร์ขนาดนี้ ดังนั้น หากคุณหญิงประกาศลงเเข่งเต็มตัว ชี้เเจงนโยบายที่ตรงวใจคนกรุง เชื่อว่าชนะเเน่นอน" นายประพนธ์ กล่าว

นายประพนธ์ กล่าวด้วยว่า คุณหญิงสุดารัตน์ได้กล่าวในที่ประชุมใหญ่ว่า ทางพรรคได้มีกระบวนการสรรหาตัวบุคคลที่จะส่งลงสมัครเเล้ว โดยกล่าวในลักษณะน้อยใจบ้าง เเละยังกล่าวอีกว่าตัวคุณหญิงนั้นไม่พร้อมที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ เพราะห่างหายจากการทำพื้นที่ใน กทม.มานาน เเละยังมีโครงการงานบุญที่ต้องดำเนินการค้างอยู่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมส่วนใหญ่ยังคงลุกขึ้นกล่าวสนับสนุนให้คุณหยิงสุดารัตน์เป็นผู้สมัครฯ อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย รับปากว่าจะกลับไปหารือกับคุณหญิงสุดารัตน์ เเละคณะกรรมการบริหารพรรค อีกครั้ง ถึงการส่งตัวผู้สมัครชิงตำเเหน่งผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคเพื่อไทย

 ที่มา.หนังสือพิมพ์แนวหน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทบ.แจง เรือเหาะ ลงฉุกเฉินปัดตกตามข่าว ขอเวลาประเมินเสียหายหาสาเหตุ.


ทบ.แจง"เรือเหาะ"ลงฉุกเฉินปัดตกตามข่าว ขอเวลาประเมินเสียหายหาสาเหตุ

ทบ." แจง "เรือเหาะ" ร่อนลงฉุกเฉินสภาพอากาศแปรปรวน ปัดไม่ได้ตกตามข่าว ระบุอุปกรณ์ชำรุดไร้บาดเจ็บรอคณะกรรมการนิรภัยฯสอบสาเหตุ

 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.)พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ข่าวเรือเหาะกองทัพบกตก ขณะจะลงจอดหลังปฏิบัติการร่วมภารกิจรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ขอชี้แจงว่า ที่ผ่านมามีเรือเหาะได้ปฏิบัติภารกิจบินขึ้นลงอยู่ทุกวัน โดยสามารถปฏิบัติการบินได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด รวมถึงในช่วงเช้าของวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา ยังคงมีการปฏิบัติภารกิจการบินเหมือนเช่นเคยด้วยดี

 อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายได้มีการนำเรือเหาะขึ้นปฏิบัติการอีกครั้ง แต่ขณะนำเรือเหาะขึ้นสูงเพียงแค่ประมาน 20 เมตร เกิดสภาพอากาศแปรปรวน ไม่เอื้ออำนวย ทำให้นักบินตัดสินใจรีบนำเรือเหาะลงฉุกเฉิน จนทำให้ตัวเรือบางส่วนได้รับการกระแทกจนมีอุปกรณ์ชำรุดบางส่วน เจ้าหน้าที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ "ยืนยันว่าเรือเหาะไม่ได้ตกจากการปฏิบัติหน้าที่ตามที่สื่อได้เสนอข่าวเพียงแต่เมื่อมีอากาศแปรปรวนทำให้นักบินต้องนำเรือเหาะลงฉุกเฉินเท่านั้นทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวกองทัพบกให้คณะกรรมการนิรภัยการบินเข้าดำเนินการตรวจสอบสาเหตุอีกครั้ง รวมถึงการสำรวจประเมินความเสียหายซึ่งคงใช้เวลาสักระยะหนึ่งถึงสาเหตุที่ชัดเจน

ที่มา.สยามรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แบงก์ไทยยังห่างไกล มาตรฐานโลก !!?


โดย: พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์

     เรากำลังพูดถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ แต่เราละเลยที่จะพูดถึง ระบบธุรกิจธนาคารไทย ที่ยังเอาทำธุรกรรมเอารัดเอาเปรียบคนไทยด้วยกันเองมายาวนานจนถึงปัจจุบัน โดยที่ระบบดังกล่าว ไม่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เหมือนที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรปเขาทำกัน

     ผมอยากชี้ให้เห็นข้อแห่งการเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน(ลูกค้า)ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารไทยดังต่อไปนี้ (แบงก์ชาติหรือธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ควรเข้าไปปรับปรุงกฎกติกาในเรื่องดังกล่าวนี้ เพื่อให้แบงก์พาณิชย์ของไทยมีมาตรฐานเหมือนดังมาตรฐานสากล โดยเรื่องดังกล่าวเป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ค่อยกันไปทำการตลาดเชิงวาณิชธนกิจ หากแต่มุ่งทำธุรกรรมประเภทกล้วยๆ ไม่ต้องออกแรงลงทุนอะไรมาก คือ แสวงหากำไรจากค่าธรรมเนียม เป็นต้น)

     1.การยังมุ่งหวังกำไรจากธุรกรรมค่าธรรมเนียม เป็นสิ่งสะท้อนถึงการเอารัดเอาเปรียบของธนาคารไทยอย่างเห็นได้ชัดที่สุด เช่น ค่าธรรมเนียมการถอนหรือโอนเงิน ระหว่างเขตที่แม้การทำธุรกรรมประเภทนี้จะเป็นการดำเนินในธนาคารเดียวกัน ซึ่งประเทศที่พัฒนาทางด้านระบบการเงินแล้ว อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ไม่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่ว่านี้ การจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมการถอน ฝากหรือโอนเงิน เป็นในส่วนของการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารเท่านั้น

     2.การสร้างความลำบากให้กับลูกค้าของธนาคาร (ส่วนหนึ่งเพื่อหวังค่าธรรมเนียม) ด้วยการไม่อนุญาตให้ลูกค้า ทำธุรกรรม อย่างเช่น การปิดบัญชี การเปลี่ยนชื่อ หรือที่อยู่ ฯลฯ ที่สาขาใดก็ตาม แต่ธนาคารบังคับให้ลูกค้าต้องกลับไปหาสาขาเดิมที่เปิดบัญชีไว้

     3.การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการทำบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิตด้วยจำนวนค่าธรรมเนียมที่แพง มาก แม้แต่การเปลี่ยนบัตร(การ์ด) กรณีบัตรหายหรือชำรุด ธนาคารไทยก็ยังคิดค่าบริการอีก , ในต่างประเทศ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมลูกค้าจากสาเหตุดังกล่าวนี้ และบัตรเอทีเอ็มหนึ่งใบ พร้อมบัตรประจำตัวประชาชน(I.D.)สามารถใช้บริการฝากถอน หรือทำธุรกรรมอื่นๆ ได้แทบทุกประเภท โดยไม่มีการคิดค่าธรรมเนียม(กรณีแบงก์เดียวกัน) และสามารถใช้บัตรเอทีเอ็มนั้น ทำธุรกรรมผ่านแบงก์ที่เป็นลูกค้าอยู่ สาขาใดก็ได้ทั่วประเทศ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพียงแต่ต้องเป็นแบงก์เดียวกัน , การที่แบงก์พาณิชย์ของไทยทำตัวเป็นเสือนอนกินแบบผูกขาดอยู่นี้ ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสแห่งการพัฒนาและเติบโตของเศรษฐกิจรวมทั้งพัฒนาการเชิงการแข่งขันเท่าที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันการคิดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทำนองนี้ ทำให้การเกิดต้นทุนที่เกินความจำเป็นโดยใช่เหตุ ทำให้ไทยไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน หรือนักท่องเที่ยวทั่วไปที่เข้าไปเยือนประเทศไทย

      4.ทำให้โอกาสในการเกิดนวัตกรรมทางการเงินมีน้อย เนื่องจากแบงก์ไทยถือตนเสมือนเสือนอนกิน ไม่ยอมคิดทำสิ่งใหม่ทางด้านการเงิน ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์ต่างประเทศที่เข้ามาลงทุน หรือจะเข้าลงทุนกิจการในไทยได้ นอกเหนือไปจากโอกาสในแข่งขันเพื่อลงทุนในต่างประเทศ ยิ่งยากมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่อิงมาตรฐานสากล ซึ่งรายได้ของแบงก์ส่วนใหญ่มาจากส่วนต่างของดอกเบี้ย และวาณิชธนกิจมากกว่ารายได้จากค่าธรรมเนียม

      5.การมีนโยบายปล่อยกู้ โดยพิจารณาจากฐานความเชื่อ “ความเสี่ยงเรื่องอายุ” ประเด็นนี้เข้าข่ายผิดหลักในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล ,การพิจารณาเรื่องเงินปล่อยกู้ให้กับลูกค้า ขึ้นกับธนาคารโดยคำนึงถึงความเสี่ยงเรื่องอายุก็จริงอยู่ แต่ไม่ควรใช้เกณฑ์นี้อย่างเป็นทางการทั่วไป หากควรใช้เกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างอื่นพิจารณาร่วมด้วย เช่น รายได้หรือความสามารถในการผ่อนชำระ ร่วมกับระบบหลักประกันในเรื่องการออมของลูกค้าผู้สูงวัยเหล่านั้น

      6.การที่แบงก์ไทยหันมาแข่งขัน(โปรโมท)ในเรื่องสินเชื่อบุคคล โดยเป้าประสงค์ คือ ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นรายได้ของธนาคารก็จริง แต่แผนการปล่อยสินเชื่อบุคคลดังกล่าว เป็นสาเหตุหรือเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการเกิดหนี้ด้อยคุณภาพ หรือ NPL –Non Performing Loan ได้มาก ขณะเดียวกันการที่แบงก์ชาติหรือรัฐบาลปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ทำธุรกิจแข่งขันกับสถาบันสินเชื่อขนาดเล็ก(ขนาดย่อม)ในระดับล่าง อย่างเช่น โรงรับจำนำ และการปล่อยกู้แบบเงินด่วนรูปแบบต่างๆโดยถูกกฎหมาย (เช่น Home for cash , Car for cash เป็นต้น) เป็นตัวการทำลายการแข่งขันในระบบการเงินระดับล่าง ที่เป็นทางเลือกของชาวบ้านโดยทั่วไป เนื่องจากความที่แบงก์พาณิชย์มีขนาดกิจการที่ใหญ่กว่ากันมาก ทำให้ธุรกิจการเงินขนาดเล็กๆเหล่านี้ ไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งการเกิดโอกาสด้านกฎหมายดังกล่าว เป็นเหตุให้หลายธนาคารถือโอกาสในการออก “โปรโมชั่นทางการเงิน” เพื่อหวังโกยกำไรจากดอกเบี้ยทุกๆทาง จนท้ายที่สุด ผู้เสียเปรียบคือ ประชาชนที่เข้าไปเป็นลูกค้าของสถาบันการเงินเหล่านี้

      การแก้ปัญหาระบบการเงินของไทย นอกเหนือไปจากแบงก์ชาติ ,คณะกรรมกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)และรัฐบาลแล้ว บทบาทของสมาคมธนาคารไทยเองก็นับว่าสำคัญมาก เนื่องจากเป็นองค์สำคัญที่ถือเป็นตัวแทนของธนาคารพาณิชย์ของไทย

      ที่ผ่านมาบทบาทของสมาคมธนาคารไทยค่อนข้างแปลกแยกจากไปความสัมพันธ์กับองค์กรด้านอื่นในประเทศ โดยเฉพาะองค์กรชาวบ้านและองค์กรการเมืองที่เป็นตัวแทนของชาวบ้าน ทำให้ไม่เกิดการเชื่อมต่อในเชิงบวกเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเอาเปรียบลูกค้าของธนาคารพาณิชย์เหล่านี้ ,แบงก์ชาติที่ถือเป็นสดมภ์หลักในการกำกับนโยบายการเงิน ยินยอมให้ชาวบ้าน หรือไม่เว้นแต่ข้าราชการ(ผู้มีบัญชีเงินเดือนผูกติดกับแบงก์ และถูกหักค่าธรรมเนียมทุกเดือนเมื่อเงินเดือนเข้าบัญชี)ถูกเอารัดเอาเปรียบด้านการต้องเสียค่าธรรมเนียมแบบที่เลือกไม่ได้มาอย่างยาวนาน

      แบงก์ชาติ รัฐบาลและรัฐสภา ที่เป็นตัวแทนของชาวบ้าน น่าจะต้องลงไปดูได้แล้วว่า ปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง

      หากการเอาเปรียบชาวบ้านของแบงก์ทั้งหลายอย่างที่เป็นอยู่นี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายไม่ควรคิดว่ามันเป็นมาตรฐาน จนกลายเป็นความเคยชินเหมือนที่กำลังเป็นอยู่นี้

ที่มา.สยามรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หากไม่ปฏิรูปสถาบัน ก็ไม่ต้องพัฒนาประเทศ !!?


ที่มา นสพ.มติชนรายวัน

เมื่อ พ.ศ.2487 (ร่วม 50 ปีมาแล้ว) ประเทศเกาหลีเหนือและประเทศเกาหลีใต้มีความเหมือนกันทุกอย่างโดยมีประชาชน พวกเดียวเผ่าเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน มีวัฒนธรรมแบบเดียวกันและมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน

หากจะแตกต่างกันบ้างก็คือ เกาหลีเหนือจะมีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าเกาหลีใต้ ซึ่งเกาหลีใต้จะมีเศรษฐกิจเป็นเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่

ใน ปีต่อมาคือ พ.ศ.2488 ทางเกาหลีเหนือได้เลือกเอาระบบการปกครองเป็นแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) และใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ส่วนเกาหลีใต้ใช้ระบบการปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม (Authoritarianism) และใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและในเวลาต่อมาร่วม 20 ปีที่แล้วก็เปลี่ยนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแทนเผด็จการอำนาจนิยม

ใน ปัจจุบันแม้แต่มนุษย์ต่างดาวที่อยู่นอกโลกหรือนักบินอวกาศก็สามารถเห็นความ เจริญแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยมองมาจากอวกาศยานค่ำคืน ซึ่งจะเห็นความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด (ดูภาพถ่ายดาวเทียมของประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยามค่ำคืน) กล่าวคือทั่วทั้งเกาหลีใต้จะมีแสงสว่างทั่วประเทศและที่สว่างจ้าที่สุดก็คือ บริเวณเขตเมืองหลวงเซอูลและปริมณฑล

ส่วนเกาหลีเหนือจะเห็นแสงไฟ กระจุกเล็กนิดเดียวบริเวณเมืองเปียงยางเท่านั้นนอกนั้นในส่วนอื่นๆ ของเกาหลีเหนือจะมืดมิดโดยสิ้นเชิง ครับ ! การดูการใช้ไฟฟ้าในยามค่ำคืนนี้คือดัชนีบ่งชี้ถึงความเจริญและความล้าหลัง ที่สมสมัยและง่ายที่สุดในปัจจุบัน

ตัวอย่างนี้เรื่องเกาหลีนี้ผู้ เขียนนำมาจากคำบรรยายของ Tyler Cowen and Alex Tabarrok ในการบรรยายเรื่อง Development Economics จาก MRUniversity

แต่ตัวอย่างต่อไปที่เป็น เรื่องของเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นเป็นตัวอย่างที่ผู้ เขียนได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเองจากการเปรียบเทียบเมืองเซี่ยงไฮ้ใน พ.ศ.2522 กับเมืองเซี่ยงไฮ้ใน พ.ศ.2555 ว่าในช่วง 33 ปีการปฏิรูปสถาบันของจีนได้ทำให้เซี่ยงไฮ้เจริญขึ้นเหมือนกับการพลิกฝ่ามือ เลยทีเดียว

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ คือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2522 ทางคณาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีผู้เขียนรวมอยู่ด้วยได้มีโอกาสได้เดินทางไปเยือนจีนโดยเป็นแขกของ สมาคมมิตรภาพไทย-จีน ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งตอนนั้นจีนเพิ่งเสร็จสิ้นสงครามสั่งสอนเวียดนามไปได้หมาดๆ (ความจริงคือเป็นสงครามที่เวียดนามสั่งสอนจีนมากกว่าเพราะทำให้จีนตระหนัก ถึงความล้าหลังอย่างมากของจีนเมื่อเทียบกับโลกภายนอกได้ชัดๆ โดยดูจากความล้าสมัยของอาวุธยุทโธปกรณ์ของจีนเมื่อเทียบกับเวียดนามในสมัย นั้น) เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนในขณะนั้นจึงเริ่มต้นการปฏิรูปสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศด้วยการ ประกาศใช้นโยบาย 4 ทันสมัย (1.การเกษตร 2.การอุตสาหกรรม 3.การทหาร 4.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ประเดิมและดำเนินการปฏิรูปสถาบันของจีนเรื่อยมา

ที่ เมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อ 33 ปีมาแล้ว ในสายตาของผู้เขียนดูเหมือนเมืองชิคาโกเก่าในภาพถ่ายของช่วงทศวรรษ 1940 และสลัมที่อยู่อาศัยของชาวจีนเนื่องจากเซี่ยงไฮ้เป็นเขตเช่าที่บรรดาชาติ ตะวันตกและญี่ปุ่นเข้ายึดครอง แม้ว่าเซี่ยงไฮ้จะเป็นศูนย์กลางของการพาณิชย์และอุตสาหกรรมของจีนมาตั้งแต่ ปลายราชวงศ์ชิง จนกระทั่งคอมมิวนิสต์เข้าปกครองประเทศจีนร่วม 40 ปี เซี่ยงไฮ้ก็พัฒนาไปอย่างเชื่องช้าจนมีการปฏิรูปสถาบันครั้งใหญ่ใน พ.ศ.2534 ด้วยการสร้างเมืองใหม่ที่เขตผู่ตง (ดูรูป) เป็นตัวอย่างของการปฏิรูปสถาบันทางเศรษฐกิจและการเมืองครั้งมโหฬารของจีน

ผล หรือครับ? ในเวลา 18 ปี จาก พ.ศ.2534-2552 เซี่ยงไฮ้มีสถาบันการเงินถึง 787 สถาบัน โดย 170 สถาบันเป็นของชาวต่างชาติที่มาลงทุนในเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นลำดับ 3 ของโลก นอกจากนี้การค้าวัตถุดิบเพื่อการอุตสาหกรรม 6 ชนิดหลัก เช่น ยางพารา ทองแดง และสังกะสี ในตลาดสินค้าล่วงหน้า (Future Exchange Market) ของเซี่ยงไฮ้มีปริมาณเป็นอันดับ 1 ของโลก

ในสองทศวรรษที่ผ่านมา เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่พัฒนารวดเร็วที่สุดในโลกโดยตั้งแต่ พ.ศ.2535 เป็นต้นมาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้เป็นเลข 2 ตัวติดต่อกันมาโดยตลอด ยกเว้นใน พ.ศ.2551-2552 ที่สภาวะเงินฝืดทั่วโลก

สำหรับ พ.ศ.2554 นั้น จีดีพีของเซี่ยงไฮ้ขยายตัวเป็นมูลค่า 297 พันล้านเหรียญอเมริกัน โดยจีดีพี per capita มีถึง 12,784 เหรียญอเมริกัน สำหรับภาคบริการที่ใหญ่ที่สุด 3 อย่างของเซี่ยงไฮ้คือ การเงินการธนาคาร การค้าปลีก และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้ จากการที่มลภาวะทางอากาศ และมลภาวะทางเสียงอันเกิดจากรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ทางการของฝ่ายบริหารของเซี่ยงไฮ้ออกเทศบัญญัติห้ามรถมอเตอร์ไซค์วิ่งใน เขตเมืองแต่ส่งเสริมให้ใช้รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแทนโดยมีสถานที่ให้ชาร์จ แบตเตอรี่คิดค่าบริการครั้งละ 100 หยวน (500 บาท) โดยอ้างว่ามอเตอร์ไซค์ทำให้เกิดมลภาวะทางเสียงและมลภาวะทางอากาศ เกิดอุบัติเหตุถึงชีวิตเสมอและเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรม นอกจากนี้ยังเป็นการเลิกมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ผิดกฎหมายและทำให้การจราจรมี ระเบียบเรียบร้อยขึ้น ส่วนข้อสุดท้ายฟังทะแม่งพิกลคือทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ดีขึ้น

ครับ! ความเปลี่ยนแปลงของเซี่ยงไฮ้ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมานี้ เกิดจากการปฏิรูปสถาบันเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองโดยแท้

ท่านผู้อ่านที่เคารพบางท่านอาจจะสงสัยว่าสถาบันที่ผู้เขียนพูดถึงนี้คืออะไร?

สถาบัน (Institution) หมายถึงสิ่งซึ่งคนในส่วนรวมคือ สังคม จัดตั้งให้มีขึ้นเพราะเห็นประโยชน์ว่ามีความต้องการและจำเป็นแก่วิถีชีวิต ของตน มีอยู่ 7 สถาบันในทุกสังคมระดับประเทศคือ

1) สถาบันครอบครัว 2) สถาบันการเมือง 3) สถาบันเศรษฐกิจ 4) สถาบันศาสนา 5) สถาบันการศึกษา 6) สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 7) สถาบันนันทนาการ

การปฏิรูปคือ การเปลี่ยนแปลงบรรดาสถาบันดังกล่าวอย่างมโหฬาร โดยการกำหนดควบคุมจากเบื้องบน ซึ่งประเทศไทยเราก็เคยทำมาแล้วในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระปิยมหาราช ซึ่งสร้างความเจริญให้กับประเทศไทยนับอเนกประการจนกระทั่งเกิดมีความเปลี่ยน แปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 อันนำไปสู่การปฏิรูปสถาบันครั้งใหญ่ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยการกำหนดควบคุมจากเบื้องบนเช่นกัน ซึ่งก็ได้พัฒนาประเทศไทยมาหลายสิบปีแล้วจนถึงทางตันในปัจจุบันเพราะประเทศ ไทยเราไม่สามารถพัฒนาอย่างทะลุทะลวง (Breakthrough) ให้พัฒนาขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed country) เหมือนญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือเกาหลีใต้ได้ หากแต่จมปลักอยู่กับความเป็นประเทศกำลังพัฒนาย่ำอยู่กับที่มานานนับสิบปี แล้ว

ครับ! ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปสถาบันเพื่อการพัฒนาสังคมไทยอีกครั้งแล้วละครับเพราะ ประเทศไทยหยุดชะงักมานานเกินควรแล้ว แต่ครั้งนี้จำเป็นต้องปฏิรูปจากประชาชนเป็นผู้กำหนดและควบคุม ซึ่งต้องปฏิรูปไปพร้อมๆ กันทั้ง 7 สถาบันทางสังคมในคราวเดียวกัน ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องปฏิรูปทันทีคือวินัยของคนในสังคมซึ่งต้องเริ่มที่สถาบัน ครอบครัวครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ย้อนรอย:เรือเหาะ !!?


ย้อนรอย"เรือเหาะ"ฉาว ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเรือเหาะตรวจการณ์อาจเป็น"สินค้ามือสอง" เพราะสั่งซื้อและได้รับสินค้าอย่างรวดเร็ว

กองทัพบกโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในฐานะที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ใช้งบประมาณจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ทำสัญญาซื้อ “ระบบเรือเหาะตรวจการณ์” จาก บริษัทเอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชัน (Arial International Cooperation) ในราคา 350 ล้านบาท โดยเรือเหาะลำนี้ผลิตโดยบริษัท Worldwide Aeros Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกา รุ่น Aeros 40D S/N 21 หรือ สกาย ดรากอน (SKY DRAGON)

สำหรับข้อมูลจำเพาะของเรือเหาะลำนี้ คือรุ่น Aeros 40D S/N 21 (SKY DRAGON) ผลิตโดยบริษัท Worldwide Aeros Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกา ขนาดกว้าง 34.8 ฟุต (10.61 เมตร) ยาว 155.34 ฟุต (47.35 เมตร) สูง 48/3 ฟุต (13.35 เมตร) ความจุฮีเลี่ยม 100,032 ลูกบาศก์ฟุต (2,833 ลูกบาศก์เมตร) ระยะความสูงที่สามารถปฏิบัติงานได้ 0 -10,000 ฟุต (0-3,084 เมตร) ระยะความสูงปฏิบัติการ 3,000-5,000 ฟุต ความเร็วสูงสุด 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วเดินทาง 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ 2 คูณ 125 HP 4-Cylinder, Continental IO-240 B ความจุเชื้อเพลิง 76 แกลลอน (300 ลิตร) บินได้นาน 6 ชั่วโมง

เกณฑ์การสิ้นเปลือง ณ ความเร็วสูงสุด 50 ลิตรต่อชั่วโมง ระยะทางที่บินได้ไกลสุด ณ ความเร็วสูงสุด 560 กิโลเมตร ชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ 100 LL Grade Aviation Fuel ความจุห้องโดยสาร 4 นาย (นักบิน 2 นาย ช่างกล้อง 1 นาย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 1 นาย)

ทั้งนี้ หลังจากเรือเหาะถูกส่งถึงประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.ปี2552 ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่จากกองทัพบกไปฝึกการใช้งานเรือเหาะตรวจการณ์กับทางบริษัทผู้ผลิต และได้มีการก่อสร้างโรงจอดที่กองพลทหารราบที่ 15 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อโรงจอดสร้างเสร็จ จึงเคลื่อนย้ายเรือเหาะไปไว้ที่โรงจอดดังกล่าวตั้งแต่ปลายปี 2552 และเริ่มทดลองใช้

ที่ผ่านมามีข้อสังเกตจากบุคคลในแวดวงธุรกิจเรือเหาะว่า ราคาเรือเหาะที่กองทัพจัดซื้อน่าจะแพงเกินไป เพราะเรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย ที่นำเข้าและจดทะเบียนก่อนที่กองทัพจะจัดซื้อ และมีขนาดใกล้เคียงกับเรือเหาะ “สกาย ดรากอน” นั้น มีราคาเพียง 30-35 ล้านบาทเท่านั้นเอง แต่เรือเหาะของกองทัพบก เฉพาะตัวบอลลูนอ้างว่ามีราคาสูงถึง 260 ล้านบาท

นอกจากนั้น ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเรือเหาะตรวจการณ์ว่าอาจเป็น "สินค้ามือสอง" เพราะสั่งซื้อและได้รับสินค้าอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่เดือน ทั้งๆ ที่หากเป็นของใหม่จะต้องใช้เวลาสร้างอีกร่วม 1 ปี ขณะเดียวกันก็ยังมีกระแสวิจารณ์เกี่ยวกับราคาเติมก๊าซฮีเลี่ยมที่สูงถึง 3 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เรือเหาะลำใกล้เคียงกันเติมเพียงครั้งละ 7-8 แสนบาท

ที่สำคัญการตัดสินใจซื้อ "ระบบเรือเหาะตรวจการณ์" มาใช้ในภารกิจแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่ต้นถึงความเหมาะสมในแง่ยุทธการและความคุ้มค่า โดยอดีตนายทหารระดับสูงหลายนายอย่าง พล.อ.หาญ ลีนานนท์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพไทย ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อ "ระบบเรือเหาะตรวจการณ์" อย่างรุนแรงว่าไร้ประโยชน์ในทางยุทธการ ไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่ที่เป็นป่าเขาอย่างสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกยิงตกด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กบฏซีเรียใช้คอนโทรลเลอร์เพลย์สเตชั่นควบคุมปืนในรถหุ้มเกราะ !!?


ที่มา.ประชาไท
กลุ่มกบฏในซีเรียได้สร้างรถหุ้มเกราะ Sham II ขึ้นมาเองเพื่อต่อสู้กับกองกำลังรัฐบาลในสงครามกลางเมือง โดยติดตั้งคอนโทรลเลอร์จากเครื่องเกมเพลย์สเตชั่นไว้ใช้ควบคุมปืนกล11 ธ.ค. 2012 - เว็บไซต์ TechNewsDaily รายงานว่ากลุ่มกบฏในซีเรียได้สร้างรถหุ้มเกราะที่มีการบังคับโดยใช้คอนโทรลเลอร์ของเครื่องเกมเพลย์สเตชั่นดัดแปลงมาเป็นตัวบังคับปืนกลของรถหุ้มเกราะ
ในเว็บไซต์มีภาพคนถือจอยคอนโทรลเลอร์เพลย์สเตชั่นที่มีโทรทัศน์จอแบนอยู่ข้างหน้าดูเหมือนกำลังเล่นเกมอยู่ แต่จริงๆ แล้วเขากำลังบังคับปืนกลที่ติดกับรถหุ้มเกราะที่สร้างขึ้นมาเองโดยวิศวกรของกลุ่มกบฏในซีเรีย
รถหุ้มเกราะคันดังกล่าวชื่อ Sham II มีเกราะเหล็กขึ้นสนิมหนาราว 2.5 เซนติเมตร สามารถป้องกันกระสุนปืนใหญ่ขนาด 23 มม. ได้ แต่ไม่สามารถกันกระสุนจากรถถังหรือเครื่องยิงจรวดอาร์พีจีได้
คนขับรถหุ้มเกราะสามารถควบคุมได้โดยดูจากภาพโทรทัศน์จอแบนภายใน โดยมีกล้องติดด้านหน้า 3 ตัว ด้านหลังอีก 1 ตัว ข้างๆ คนขับจะมีพลปืนคอยจับตาดูภาพโทรทัศน์อีกจอหนึ่งที่แสดงภาพจากกล้องที่ติดอยู่ที่ปืนกล
พลปืนสามารถใช้เครื่องบังคับของเพลย์สเตชั่นในการเคลื่อนปืนเพื่อเล็งไปยังเป้าหมายตามภาพที่ปรากฏจากกล้องได้ ซึ่งภาพจากกล้องดูคล้ายการเลียนแบบภาพมุมมองจากวีดิโอเกม
ผู้ออกแบบระบบควบคุมนี้คือมาห์มูด อะบัด สมาชิกกลุ่มกองกำลังกบฏอัล-อันซาร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย แหล่งข่าวไม่ได้ระบุว่ามาห์มูด อะบัด มีแรงบันดาลใจอะไรถึงได้ใช้คอนโทรลเลอร์ของเพลย์สเตชั่นในการบังคับปืนจริง แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการทหารกับวีดิโอเกมส์ ซึ่งทั้งเกมส์ดังๆ และโปรแกรมจำลองการรบที่จริงจังต่างก็ใช้มุมมองจากหลังกระบอกปืน
TechNewsDaily เปิดเผยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการนำเทคโนโลยีจากวีดิโอเกมส์ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการทหาร แต่มีการนำคอนโทรลเลอร์ของวีดิโอเกมส์ไปใช้ควบคุมหุ่นยนต์และหุ่นบังคับระยะไกล (drone) ของกองทัพสหรัฐฯ อีกด้วย
และก่อนหน้านี้ก็เคยมีการประกอบสร้างยุทโธปกรณ์ขึ้นมาเองโดยกองกำลังของฝ่ายกบฏในลิเบีย ซึ่งสร้างหุ่นบังคับปืนกลขึ้น
เรียบเรียงจาก
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
 

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทักษิณ-อภิสิทธิ์. ชีวิตที่เดินสวนทาง !!?


ในประเทศไทยฝ่ายต่อต้านกำลังขู่ฮึ่มๆจะเอาผิดกับน้องสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรี ตลอดจนรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องที่ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โผล่หน้าออกจอตู้ช่อง 11 ในการไปเป็นประธานเปิดการแข่งขัน Muay Thai Warriors เทิดพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา ที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊า ประเทศจีน

ฝ่ายต่อต้านแค่เห็นหน้าโผล่จอตู้ก็รับไม่ได้จะเป็นจะตาย ต้องมีคนรับผิดชอบ

ในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายต่อต้านเรียกว่านักโทษชายหนีคดี ยังเดินหน้าทำเพื่อประโยชน์โดยรวมของบ้านเมืองต่อไป

วันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถูกเชิญไปบรรยายพิเศษหัวข้อภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียและโลก ที่เกาะฮ่องกงตามคำเชิญของ ASIA SOCIETY HONG KONG CENTER งานนี้ไม่ได้นั่งฟังกันฟรีๆ ใครเข้าฟังต้องซื้อบัตร

พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มต้นบรรยายด้วยการพูดถึงประเทศไทยว่า ภาพรวมของประเทศไทยในปีหน้าจะมีแต่สิ่งดีๆ ในด้านการเมืองปีหน้าประเทศไทยจะเริ่มเห็นการปรองดองชัดเจนขึ้น และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยฟังเสียงประชามติของประชาชนเป็นสำคัญ

ก่อนหน้านี้มันมีความไม่ยุติธรรมในประเทศไทย ทางออกที่ดีคือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ซึ่งการปรองดองนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมเพื่อตนเองจะได้กลับบ้าน มันเป็นคนละส่วนกัน

“ถ้าถามว่าอยากกลับประเทศไทยไหม ผมมีเครื่องบินส่วนตัว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบินไปมาขึ้นลงมากกว่า 240 ครั้ง จึงไม่จำเป็นต้องกลับเมืองไทย และคุ้นเคยกับการอยู่ต่างประเทศแล้ว ฝ่ายค้านในประเทศไทยนั้นเกรงกลัวผมมาก เพียงแค่ปรากฏตัวทางฟรีทีวี.ก็ทำเหมือนจะเป็นจะตาย ดังนั้น จึงมั่นใจว่าปีหน้าเป็นต้นไปการเมืองไทยจะมั่นคง และจะเห็นภาพบวกมากยิ่งขึ้น”

ส่งสัญญาณชัดๆว่าเริ่มคุ้นชินกับชีวิตในต่างประเทศจนไม่อยากกลับเมืองไทย

นอกจากพูดเรื่องทิศทางการเมืองในไทยแล้ว ยังได้ชักชวนนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศไทย เพราะไทยมีโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก เศรษฐกิจกำลังขยายตัวจากการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว

อดีตนายกฯทักษิณปรับโหมดเล่นบทประคองน้องสาว ลดอุณหภูมิการเมืองในไทย

วันเดียวกัน อดีตนายกรัฐมนตรีอีกคนคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว BBC News (British Broadcasting Corporation) กรณีถูกเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนาจากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ยังยืนยันหนักแน่นว่าต้องมีคนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่เขาที่ใช้อำนาจเพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง ข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งไม่มีความน่าเชื่อถือ

คำถามเด็ดของพิธีกรที่สัมภาษณ์คือ คำถามที่ว่า คุณ (อภิสิทธิ์) ไม่รู้สึกว่าจะต้องมีความรับผิดชอบ?

คำตอบที่ได้จากอดีตนายกฯผู้นี้คือ “การฟ้องร้องคดีแรกที่เกิดขึ้นกับผม เป็นกรณีของผู้ที่ไม่ได้อยู่ในการชุมนุมประท้วงด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีรถตู้พยายามแล่นฝ่าเครื่องกีดขวางที่ตั้งขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ทหาร แล้วก็มีการยิงกันขึ้น ผู้เสียชีวิตรายนี้วิ่งออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และโชคร้ายที่เขาถูกยิง”

อีกคำถามที่ถือว่าแทงใจมากที่สุดคือ คำถามที่ว่า คุณ (อภิสิทธิ์) เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างไหม?

คำตอบที่ได้คือ “แล้วคุณจะต่อสู้กับคนที่เขาใช้อาวุธได้อย่างไรล่ะ”

อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ยังพยายามอธิบายว่า ช่วงที่ผ่านมาได้เข้าประชุมหลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งการประชุมจี 20 ที่มีการประท้วงและมีคนเสียชีวิตจากการพยายามปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ พวกเขาก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นต้องมีคำอธิบายที่เหมาะสมตามกฎหมาย แต่ไม่เห็นมีที่ไหนที่นายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรเลยสำหรับปฏิบัติการที่เกิดขึ้น

อดีตนายกรัฐมนตรี 2 คนที่อยู่กันคนละขั้ว กำลังเผชิญชะตากรรมที่แตกต่างกัน

คนหนึ่งได้รับการยอมรับจากต่างชาติเพราะถูกโค่นอำนาจด้วยการรัฐประหาร แม้จะมีคดีความติดตัวแต่ก็เกิดจากผลพวงของการรัฐประหาร จึงยังมีอิสรเสรีที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้

แต่อดีตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง ความอิสระกำลังค่อยๆหดหายลงไปทีละน้อย แว่วข่าวมาว่าต่อไปจะเดินทางไปไหนต้องขออนุญาตก่อนจึงไปได้ เพราะกำลังจะถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

ชีวิตเดินสวนทางต่างกันสุดขั้ว อดีตนายกฯทักษิณบินไปไหนก็ได้ในโลก ยกเว้นประเทศไทย แต่อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ต้องอยู่แต่ในประเทศไทยไปไหนมาไหนได้ไม่อิสระเหมือนเดิม

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นายกรัฐมนตรีฝากทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาต่อยอดสินค้า โอท็อป. ให้เป็นความภูมิใจของ สินค้าไทย !!?


นายกรัฐมนตรีระบุรัฐบาลต้องเพิ่มช่องทางการขายสินค้า OTOP โดยการเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าทาง internet และจัดส่งสินค้าทางไปรษณีย์ รวมไปถึงจำหน่ายสินค้าไปยังต่างประเทศ เพื่อพัฒนาต่อยอดการจำหน่ายสินค้า OTOP อย่างถาวร และแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดแบบยั่งยืน

(11 พ.ย.55) เวลา 15.30 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมมิลาเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพมหานคร นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายการดำเนินงานประชุมเชิงปฏิบัติการและชี้แจงคณะกรรมการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ปี พ.ศ.2555 ระดับประเทศ โดยมีนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกรมพัฒนาชุมชน คณะทำงานตรวจและให้ค่าคะแนนการคัดสรรฯ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินการคัดสรรฯ ระดับประเทศเข้าร่วมงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การประชุมเชิงปฏิบัติการชี้แจงคณะกรรมการดำเนินการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ.2555 ว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมพัฒนาชุมชน ได้ดำเนินการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ.2555 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ OTOP ได้รับโอกาสในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานจนสามารถเชื่อมโยงสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศได้ ซึ่งดำเนินการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ.2555 ได้ดำเนินการ 2 ระดับ คือ 1.ระดับจังหวัดและกรุงเทพมหานคร มีหน้าที่รับสมัครผลิตภัณฑ์เข้าคัดสรรฯ และตรวจพิจารณาให้ค่าคะแนน ดำเนินการระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2555 และ 2.ระดับประเทศ มีหน้าที่ตรวจพิจารณาให้ค่าคะแนน ดำเนินการระหว่างวันที่ 19 – 28 ธันวาคม 2555 สำหรับการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เพื่อชี้แจงกรอบแนวทาง และหลักเกณฑ์การคัดสรรฯ โดยภาพรวมการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในภาคเช้าได้มีการแบ่งกลุ่มลงรายละเอียดการตรวจ และพิจารณาให้ค่าคะแนนตามประเภทผลิตภัณฑ์ในภาคบ่าย

นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายชี้แจงคณะกรรมการดำเนินการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ.2555 ว่า ระยะเวลาทีผ่านมาได้ติดตามการทำงานเพื่อพัฒนาสินค้า OTOP อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีการริเริ่มมานานกว่า 10 ปี ทำให้ปัจจุบันมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าอยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านบาท จากการส่งออกประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ถ้าเราทำงานมากขึ้น มียอดขายมากขึ้น รายได้ของประชาชนและผู้ประกอบการก็เพิ่มขึ้น ซึ่งต้อขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้ผลิต ผู้ประกอบการทุกคนที่มีส่วนช่วยผลักดัน คัดเลือกสินค้า OTOP ที่มีคุณภาพ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้า OTOP ให้ได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างกว้างขวาง ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ให้มีความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงความสามารถในการประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการดำเนินโครงการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย รัฐบาลได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อพัฒนาให้มีความชัดเจนเฉพาะกลุ่ม และกลยุทธ์การพัฒนาในภาพรวมทั้งระบบ ดังนี้ 1.กลยุทธ์การส่งเสริมและพัฒนาเฉพาะกลุ่ม จำแนกได้ 4 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มสินค้าดาวเด่นสู่สากล คือกลุ่มสินค้าที่มีคุณภาพสูงมีความต้องการของตลาด มีศักยภาพในการผลิต รัฐบาลจะต้องช่วยเหลือเรื่องการตลาด และเงินทุน 2) กลุ่มอนุรักษ์สร้างคุณค่า คือกลุ่มสินค้าที่เป็นงานฝีมือ ต้องสั่งสมประสบการณ์ในการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ รัฐบาลต้องยกระดับสินค้าโดยนำมาขายในห้างสรรพสินค้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของสินค้า 3) กลุ่มพัฒนาสู่การแข่งขัน คือสินค้าที่มีคุณภาพปานกลาง ปริมาณปานกลาง รัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือด้านการผลิตให้มีคุณภาพสามารถแข่งขันได้ และช่องทางการจัดจำหน่าย และ 4) กลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา รัฐบาลต้องเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น ตลาด เงินทุน และคุณภาพของสินค้า 2.กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในภาพรวม ประกอบด้วย การขยายช่องทางการตลาดให้หลากหลาย การเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และการยกระดับประสิทธิภาพผู้ประกอบการ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่าที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมจัดจำหน่ายสินค้า แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ต้องจัดทำหน้าร้านให้ผู้ประกอบการ โดยการเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าทาง internet และจัดส่งสินค้าทางไปรษณีย์ รวมไปถึงการจัดหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าไปยังต่างประเทศ เพื่อพัฒนาต่อยอดการจำหน่ายสินค้า OTOP อย่างถาวร และแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดแบบยั่งยืนสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อการส่งเสริมไปในทิศทางเดียวกันผ่านรูปแบบต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ คือ ต้นน้ำเป็นการจัดหาวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตสินค้า โดยการใช้วัตถุที่มีอยู่ในท้องถิ่น หาง่าย เพื่อประหยัดต้นทุนการผลิต กลางน้ำเป็นการนำสินค้าไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และปลายน้ำเป็นการจำหน่ายสินค้าโดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย กำหนดผู้ซื้อ และกำหนดราคาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อประสิทธิภาพในการจำหน่ายสินค้า โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาต่อยอดสินค้า OTOP ให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไปในทางที่ดีขึ้นทั้งคุณภาพ และยอดขาย เพื่อรายได้ และความมั่งคั่งของประชาชนในท้องถิ่น ให้เป็นความภูมิใจของสินค้าไทยต่อไป

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
*****************************************************************************