--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ฆ่าคนตายโดยเจตนาชนักปักหลัง อภิสิทธิ์-สุเทพ !!?


คณะพนักงานสอบสวนที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจ และอัยการ ที่ประชุมมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288

เสียงจากห้องแถลงข่าวของดีเอสไอ ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมีสถานะเป็นผู้ต้องหา เท่าเทียมกับอีกฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเผาบ้านเผาเมือง ก่อการร้าย

พลิกดูฐานความผิดตามข้อกล่าวหาในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ระบุเอาไว้ว่า

บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สึกนึกในการที่กระทำ และขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

มาตรา 83, 84 อยู่ในหมวดตัวการและผู้สนับสนุน

มาตรา 83 กำหนดว่า ในกรณีความผิดใดที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามกฎหมายกำหนดไว้

มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าจะโดยการบังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ในขณะที่มาตรา 288 อยู่ในหมวดความผิดต่อชีวิต ระบุว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี

นี่เป็นเพียงคดีแรกที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซึ่งเป็นไปตามตามแนวทางที่ศาลได้มีคำสั่งกรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่

ที่เสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553 ระหว่างการกระชับพื้นที่ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ที่พยานหลักฐานชี้ชัดว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติตามคำสั่งของ ศอฉ.

พนักงานสอบสวนให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมารายงานเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 12 ธ.ค.

แต่ดูตามรูปการณ์แล้วคงน่าจะมีการขอเลื่อนออกไปก่อน อย่างน้อยๆก็น่าจะยื้อให้ถึงวันที่ 21 ธ.ค. ที่จะเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ซึ่งจะทำให้ทั้งสองคนได้รับเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส. คุ้มครอง ไม่ถูกดำเนินคดีระหว่างสมัยประชุมสภา เพื่อตั้งหลักหาแนวทางต่อสู้คดีกันต่อไป

เพราะหลังจากนี้ศาลจะทยอยมีคำสั่งหลังการไต่สวนสาเหตุการตายของคนเสื้อแดงออกมาอีกหลายศพ ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพต้องถูกตั้งข้อหาฆ่าคนอื่นตายโดยเจตนาอีกหลายคดี

ส่วนผลสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องใจเย็นๆ ติดตามกันไปเรื่อยๆ เพราะเป็นหนังชีวิตเรื่องยาวที่ต้องต่อสู้กันไปอีกเป็น 10 ปี

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปัญหา 3 จังหวัด ภาคใต้ !!?


ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศองค์การความร่วมมืออิสลาม(โอไอซี) ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ ประเทซจิบูติ องค์การดังกล่าวได้มีมติตำหนิว่า ไทยเราไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
มติดังกล่าวได้แสดงความกังวลใน ๓ เรื่อง คือ

๑.การคงกำลังทหารที่โอไอซีเห็นว่ามากเกินไป รวมถึงการใช้ทหารพรานด้วย
๒.การคงไว้ซึ่งพรก.ฉุกเฉินในพื้นที่ และ
๓. ปัญหาการมีสิทธิ์ตัดสินใจพัฒนาพื้นที่ของคนในพื้นที่ รวมถึงการใช้ภาษามลายู

โอไอซีได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในการประชุมทุกปี
ท่าทีของโอไอซีดังกล่าวแม้ฟังแล้วจะรู้สึกแสลงใจ แต่มันเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องครุ่นคิด เพราะต้องยอมรับความจริงว่า แม้แต่คนไทยเราเองก็มีความรู้สึกว่า สถานการณ์ในบริเวณดังกล่าวมันมีแต่ความยืดเยื้อน่าเบื่อหน่าย และมองไม่เห็นเลยว่า จะดีขึ้นหรือยุติลงเมื่อใดกัน
แถมบางครั้งก็รู้สึกว่า มันหนักหนาสาหัสขึ้นทุกวัน

พร้อมๆ กับคำแถลงของโอไอซีดังกล่าว องค์การนิรโทษกรรมสากลซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงลอนดอน ก็ได้ออกคำแถลงเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ศกนี้

เรียกร้องให้สมาชิกที่มีอยู่ทั่วโลกกว่า ๒ ล้านคน เขียนจดหมายถึงรัฐบาลไทย ให้จัดระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่าแก่ครูและนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรียกร้องให้กลุ่มก่อความไม่สงบยุติการใช้ความรุนแรง

คำแถลงขององค์การนิรโทษกรรมสากลมีขึ้นภายหลังจากผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานีถูกสังหารเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ทำให้โรงเรียนกว่า ๓๐๐ แห่งปิดการเรียนการสอนจนถึงวันที่ ๓ ธันวาคม

ทั้งนี้ ครูในบริเวณ ๓ จังหวัดได้ถูกฆ่าไปแล้วกว่า ๑๕๕ ราย รวมทั้งกรณีครูจูหลิงที่สะเทือนใจคนทั้งประเทศ

คำแถลงของโอไอซีและองค์การนิรโทษกรรมสากลดังกล่าวข้างต้น แม้ฟังแล้วจะเกิดความรู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก แต่คำพูดของคนนอกทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่เราจะต้องพิจารณา ไม่ใช่กล่าวเพียงว่า เราทำถูกแล้ว เขากล่าวหาไม่ถูก เพียงอย่างเดียว

ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะบรรเทาเบาบางลงได้ก็ต่อเมื่อประชาชนในบริเวณนั้นบังเกิดความรู้สึกว่า เขาได้รับความเป็นธรรมเฉกเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป

และความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ การแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กำลังอาวุธไม่มีทางบรรลุผลได้เลย

โดย.ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
ssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss

ถูกรุม-เข้ามุมไม่ถูก


ยามนี้ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. เจอคนในพรรควางสนุ๊ก
ต้านหัวชนฝา ที่ไม่ให้ลงสมัคร “ผู้ว่าฯ กทม” อีกรอบ??
เป็นการ “เตะตัดขา” ที่เล่นด้วยวิธีการอันไม่ชอบ
ลามไปถึง “กรุงเทพธนาคม” นายทุนใหญ่ ที่หนุนให้เป็น “ผู้ว่าฯ”อีกหน ถอนตัว
เรื่องวิชามารใต้ดิน..ถล่มกันอย่างเหลือกิน..ทำเอา “คุณชายหมู” ดิ้นออกอาการกลัว

-------------------------------------

มีแต่คน “จ้องเสียบ”
“กรณ์ จาติกวณิช” อดีตขุนคลัง ยังคั่วเก้าอี้ “ผู้ว่าฯ กทม.” อย่างเงียบ..เงียบ
โชว์มาดเฉียบพร้อมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนกัน
“องอาจ คร้ามไพบูลย์”, กับ “อลงกรณ์ พลบุตร” ก็เหล่เก้าอี้นี้เหมือนกันนะท่าน
แต่ที่มาแรงแซงทางโค้ง “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” ที่เปิดตัวหาเสียง เป็น “ผู้ว่าฯกทมเต็มที่
“ท่านสุขุมพันธ์” ทำเพื่อพรรคทุกอย่าง..แต่โดนเจาะยาง...ช่างใจดำ กันเสียไม่มี

-------------------------------------

ทะเลนั้นเป็นเหมือนถิ่นของเรา
ข้อแถลงจริงชัดแจ้ง แต่ “ศิริโชค โสภา” สส.ประชาธิปัตย์ ก็แถตลอด ที่จะไม่เอา
“จอร์สหรุ่น” พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ แม่ทัพเรือ ยืนยันทุกอย่างโปร่งใส
การจัดซื้อ “เรือฟรีเกต” ถูกต้องตามสเป็ค ไม่มีเลศนัย
แต่ “ซุเปอร์วอลเปเปอร์” ศิริโชค โสภา ยังดันทุรังเสนอให้ “ปปช.” เล่นงานตามกระชุ่น
ยื่นไปก็เสียของ.. “บิ๊กโอ้” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ไม่มัวขมอง..ยื่นไปจะหงายท้องกลับมานะคุณ

-------------------------------------

แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่
“เสี่ยเอี้ยง” ดำรง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยาน เปิดซิง เปิดบริสุทธิ์ ทางการเมืองขอรับเจ้านาย
ตั้งพรรคเอี่ยมอ๋องโก้หรู ชื่อว่า “พรรคทวงคืนผืนป่า”
เข้าตามตรอกออกตามประตู ...ไม่เป็น “ลิ่วล้อ-ม้าใช้-เบ๊ของใคร”.. จึงไม่มีคนว่า
อยากเรียกร้อง “หมอตุลย์” ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
อย่าเล่นการเมืองข้างถนน
คิดจะมีอำนาจ...อย่าเล่นการเมืองทางลัด..หัดลงสมัคร สส.กันสักหน

-------------------------------------

กลัว “เจ้าสัว” จะเจ๊ง
“หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” สส.ประชาธิปัตย์ ยังสำแดงศักดา ถึงความอวดเก่ง
แมวสีอะไรขอให้จับหนูได้ เท่านั้นเป็นพอ
ขายข้าวระบบ “จีทูจี” ได้เงินเข้าประเทศเป็นกระตั๊ก ยังตามจับผิด แสนอนาถจริงหนอ
ที่รวยขึ้น เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ..ชาวนาที่ปลดหนี้สิน พากันลืมตาอ้าปาก
เริ่มเจ๊งกันมั่ง...ก็อภิมหาขายข้าวตระกูลดัง....ที่สูญเสียสตางค์ พากันร้องจ๊าก

โดย:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อุดมเดช. เผยแจ้งผลการศึกษาแก้รธน.กับพรรครัฐบาลแล้ว !!?


นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาลและคณะทำงานพรรคร่วมศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า คณะทำงานพรรคร่วมฯได้ทำการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมมาเป็นเวลา 3-4 เดือน จนเสร็จสิ้นสามารถนำเสนอให้แต่ละพรรคการเมืองใช้เป็นแนวทางพิจารณาตัดสินใจ หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละพรรคการเมืองว่าจะเอาอย่างไรต่อ จะเอาด้วยกับความเห็นของคณะทำงานพรรคร่วมฯ หรือไม่เอาก็ไม่ว่ากัน หรือจะมีแนวทางอื่นใดก็สามารถทำได้ พรรคเพื่อไทยเองก็ต้องนำผลการศึกษาตรงนี้ไปตัดสินใจภายในอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการโหวตลงมติวาระ 3 ที่ค้างคาอยู่นั้น ตามหลักการแล้วควรทำให้มันจบ ความเห็นจากสมาชิกรัฐสภาจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ต้องทำให้เสร็จสิ้นกระบวนการไป

ส่วนข้อกังวลว่าการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นชนวนเหตุให้มีการต่อต้านถึงขั้นก่อม็อบประท้วงอีกครั้งนั้น ต้องยอมรับว่าความเห็นของคนในสังคมไม่มีทางตรงกันทั้งหมด แต่ต้องถามคนที่ออกมาต่อต้านว่าคิดอะไร เพราะทุกคนทราบดีว่ารัฐธรรมนูญที่เรากำลังใช้อยู่นี้เป็นผลพวงมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร การที่เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีที่มาจากประชาชนนั้นมันไม่ดีอย่างไร จะออกมาทักท้วงด้วยเหตุผลใด หรือเป็นเพราะชอบรัฐธรรมนูญที่เผด็จการร่างมาใช่หรือไม่ หรือกลัวว่าถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วตัวเองจะเสียประโยชน์

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คิดอย่างมีตรรกะ : ทางเศรษฐศาสตร์และการเมือง !!?


โดย : วีรพงษ์ รามางกูร
ในขณะที่นักคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมือง conomique politique (ภาษาฝรั่งเศส) มีความคิดให้เหตุผลไป 2 ทาง กล่าวคือ ฝ่ายเสรีนิยมเริ่มจากหนังสือเรื่องความมั่นคั่งของชาติ หรือ The wealth of Nation ของอดัม สมิท ตามด้วย The Principles of Political Economy and Taxation ของเดวิด ริคาร์โด หนังสือของยีน แบบติสก์ เซย์ ที่เรียบเรียงเพิ่มเติมหนังสือของอดัม สมิท เป็นภาษาฝรั่งเศสชื่อ Trait d′Economie Politique แล้ว หนังสือเรื่อง Cours Complete d′Economie Pratique ทำให้ผู้คนในฝรั่งเศสและยุโรปรู้จักอดัม สมิท มากขึ้น เดวิด ริคาร์โด 
ก็รับเอากฎของเซย์ การว่างงานเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ตลาดแรงงานเป็นตลาดเสรี รัฐบาลหรือสหภาพแรงงานอย่าเข้ามายุ่ง 

เพราะผลผลิตสินค้าและบริการ ทำให้เกิดกำลังซื้อและความต้องการซื้อเท่ากันพอดี สินค้าไม่มีวันล้นตลาด แรงงานก็ไม่มีวันว่างงานจนกระทั่งมัลทัสเป็นคนแรกที่เห็นว่า ไม่แน่ว่าสินค้าและบริการผลิตออกมาแล้วจะขายหมด ความต้องการจริง effective demand อาจจะน้อยกว่าความต้องการขายจริง effective supply ก็ได้ ถ้าสินค้าล้นตลาดอย่างมากเป็นเวลานาน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานก็จะเกิดขึ้นอย่างที่มีให้เห็นในประวัติศาสตร์ก็หลายครั้ง

ต่อมาจอห์น เมนาร์ด เคนส์ จึงสานต่อจากมัลทัส อธิบายว่า ทำไมโดยปกติแล้ว ความต้องการสินค้าและบริการจริงจึงมักจะมีต่ำกว่าความต้องการขาย สินค้าจึงล้นตลาด ขายไม่หมดอยู่เสมอ ทำให้ธุรกิจล้มละลาย ต้องลอยแพคนงาน เศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานมากขึ้น

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโดยปกติแล้วเมื่อครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะไม่ใช้จ่ายหมด แต่จะเก็บเป็นเงินออมไว้ส่วนหนึ่ง ยิ่งรวยมาก สัดส่วนของเงินออมต่อรายได้ก็ยิ่งมาก เช่น คนมีรายได้เดือนละหมื่นบาท อาจจะไม่มีเงินออมเลย มีเงินเดือน 30,000 บาท อาจจะออม 10 เปอร์เซ็นต์ คือเดือนละ 3,000 บาท ถ้าเงินเดือน 50,000 บาท อาจจะออม 15 เปอร์เซ็นต์ คือเดือนละ 4,500 บาท ถ้าเงินเดือน 100,000 บาท อาจจะออม 20 เปอร์เซ็นต์ คือ 20,000 บาท ถ้ามีเงินเดือนล้านบาท อาจออม 80 เปอร์เซ็นต์ คือ 800,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

ถ้าออมแล้วเอาเงินออม ทั้งหมดไปฝากธนาคาร แล้วมีผู้มากู้ไปใช้จ่ายลงทุน หรือบริโภคจนหมด ก็ไม่เป็นไร ผลิตสินค้ามาเท่าไหร่ ก็ขายหมด การว่างงานไม่เกิด แต่ถ้าไม่มีผู้กู้ไปใช้จ่ายลงทุน หรือมีกู้ไปน้อยกว่าเงินออมที่นำมาฝากธนาคาร สินค้าก็ขายไม่หมด บริษัทต้องลดการผลิตลง ปลดคนงานออก การว่างงานก็เกิดขึ้น

ดังนั้น ถ้าเอกชนลงทุนไม่พอกับเงินออมที่ประชาชนออม รัฐบาลต้องออกมากู้จากธนาคาร และจากประชาชนเอาไปลงทุนชดเชยส่วนที่ขาด เศรษฐกิจจึงจะหดตัวน้อยลง การว่างงานก็จะน้อยลง การมีสหภาพแรงงานที่กำหนดค่าแรงขั้นต่ำหรือ ค่าแรงที่แท้จริงลดลงไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ระดับราคาลดลง ทำให้ต้นทุนของนายทุนสูงเกินจริง สินค้าลดราคาไม่ได้ เมื่อขายไม่ออก ของเหลือมาก การปลดคนงานจึงเกิดขึ้น การว่างงานก็มากขึ้น วัฏจักรเศรษฐกิจก็เกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ
คาร์ล มาร์กซ์ เห็นข้อเท็จจริงอันนี้ ก็เสริมต่อไปอีกว่า แม้ไม่มีสหภาพแรงงาน และรัฐบาลจะกู้มาลงทุนชดเชย ค่าแรงที่แท้จริงก็จะไม่เพิ่ม ตาม "กฎเหล็กของค่าจ้างแรงงาน" หรือ "the iron law of wages" สาเหตุก็เพราะค่าจ้างที่แท้จริงจะไม่มีวันสูงกว่าค่าแรงที่จะพอประทังชีวิตอยู่ได้ หรือ subsistence level เท่านั้น เพราะถ้าค่าแรงที่แท้จริงเพิ่มสูงกว่านี้ จะมีแรงงานหลั่งไหลเข้ามาหางานทำมากขึ้น เพราะจะมีลูกมากขึ้น ตามกฎของมัลทัส

ถ้าค่าจ้างที่แท้จริงต่ำกว่านี้ กรรมกรก็จะอดอยากล้มตายและมีลูกน้อยลง ในที่สุดค่าแรงที่แท้จริงก็จะขึ้นไปอยู่ที่ระดับพอประทังชีวิตอยู่ได้เท่า นั้น ชนชั้นกรรมาชีพจึงยากจนข้นแค้นตลอดกาล ทั้ง ๆ ที่มูลค่าของแรงงานที่ใส่เข้าไปมีมูลค่ามากกว่านั้น มาร์กซ์เรียกว่า "มูลค่าส่วนเกินของแรงงาน" หรือ "labor surplus of value" ส่วนนี้นายทุนและเจ้าของที่ดินเอาไป เศรษฐีนายทุนเจ้าของที่ดินมีน้อยกว่าแรงงานเสมอ ดังนั้น ถ้าจะให้กรรมกร

ผู้ใช้แรงงานได้ผลตอบแทนเท่ากับมูลค่าแรงงานที่ตนใส่เข้าไปในผลผลิต ก็ต้องกำจัดการเป็นเจ้าของทุน เจ้าของที่ดิน เอามาเป็นของส่วนรวม หรือของสังคมเสีย แล้วเอามาแจกจ่ายให้กรรมกรผู้ใช้แรงงานในการผลิต

ความคิดอย่างหลังนี้ มีผู้ร่วมขบวนการหลายคน เช่น ออสก้า ลังเก้ เองเกล ได้พิมพ์หนังสือของคาร์ล มาร์กซ์ เป็นภาษาเยอรมันชื่อ Das Kapital Kritik Politischen Oekonomic มี 3 เล่ม คาร์ล มาร์กซ์ เดินตามทฤษฎีของอดัม สมิท เดวิด ริคาร์โด และมัลทัสอย่างเคร่งครัดแล้ว

ต่อยอดที่ว่า เมื่อชาติมั่งคั่ง แล้วความมั่งคั่งจะแผ่ลงไปยังผู้ใช้แรงงานที่ยากจนนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะ "กฎเหล็กของค่าจ้างแรงงาน" รัฐบาลจะเก็บภาษีมาแจกจ่ายก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลก็เป็นตัวแทนของนายทุนและเจ้าของที่ดิน มีทางเดียวเท่านั้น คือกรรมกรผู้ใช้แรงงานต้องรวมตัวกันปฏิวัติโค่นล้มนายทุน เจ้าของที่ดินเสีย แล้วนำมาเป็นของสังคม หรือของส่วนกลาง ที่มีแต่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น
แนวความคิด 2 ขั้วมีผลในความคิดในตรรกะทางการเมืองเป็นอันมาก เพราะตรรกะของคาร์ล มาร์กซ์ ไม่อาจโต้เถียงได้ในยุคนั้น เพราะกษัตริย์เป็นตัวแทนของเจ้าที่ดินในยุคศักดินา สภาราษฎรเป็นตัวแทนของนายทุน เมื่อเจ้าที่ดินและนายทุนสามารถรวมตัว ตั้งพรรคการเมืองได้ แต่กรรมกรไม่สามารถรวมตัวตั้งพรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้งได้ แม้จะมีจำนวนมากกว่า ข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้นในยุคนั้น

ดังนั้น กรรมกรชาวนาก็ต้องพึ่งพาปัญญาชน นายทุนน้อยและนายทุนใหญ่ที่เข้าใจชะตากรรมของตน ตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาที่ไม่มีที่ทำ กิน รับจ้างเขาทำ ดัง "คำประกาศแสดงเจตจำนงของพรรคคอมมิวนิสต์" หรือ "Manifest der Kommunischen Partei" เมื่อมาร์กซ์และเองเกลร่วมกันเขียนและถือเป็นคัมภีร์ของพรรคคอมมิวนิสต์ทั่ว โลกในเวลาต่อมา

หลังการปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 โดยพรรคบอลเชวิค แล้วกลายมาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย พรรคคอมมิวนิสต์ก็เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วโลก

บรรดานายทุนเจ้าที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายยิวจากรัสเซียและยุโรปตะวันออก ต่างหลั่งไหลหนีมาอยู่ยุโรปตะวันตก แต่ส่วนใหญ่หนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา และเป็นพ่อค้าร่ำรวย เป็นนายธนาคาร เจ้าของโรงงาน และเป็นผู้จ่ายเงินหนุนหลังพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรค คือพรรคดีโมแครตและพรรครีพับลิกัน

บรรดาปัญญาชนและนายทุนที่ร่ำรวย ก็เป็นคนมาจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สแกนดิเนเวีย โดยปรัชญาพื้นฐานของชนชั้นปัญญาชนที่มาจากยุโรปตะวันตก คือเกลียดชังรัฐบาล หรือกษัตริย์ ที่กดขี่ไม่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา เพราะประชาชนประเทศไหนต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายที่กษัตริย์นับถือ พระเจ้าแผ่นดิน สแกนดิเนเวียนับถือโรมันคาทอลิก ใครไม่ใช่แคทอลิกก็ถูกขับไล่ออกไป กษัตริย์อังกฤษนับถือคริสต์นิกายอังกฤษ ใครไม่นับถือก็ถูกขับออกไป เยอรมัน ออสเตรเลีย ฮังการี นับถือนิกาย

ลู เทอรัล นักปฏิรูปศาสนาเยอรมัน ใครไม่นับถือก็ถูกขับออกไป ประชาชนที่ไม่ยอมนับถือศาสนาคริสต์นิกายที่พระเจ้าแผ่นดินนับถือก็ถูกไล่ล่า จึงเกิดการอพยพมาที่โลกใหม่ "New World" หรืออเมริกาอย่างขนานใหญ่

ปรัชญาการเมืองของชาวอเมริกาที่อพยพมาจากยุโรป จึงไม่ต้องการกษัตริย์ และไม่ต้องการผู้นำเผด็จการ เพราะเข็ดขยาดจากการไล่ล่าจากการไม่นับถือศาสนาคริสต์ที่ผู้ปกครองนับถือ ไม่ต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง และเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนตัว

การทำมาหากิน ที่ดินก็มีมากมาย ไม่มีราคา ไม่เหมือนยุโรป หรือแม้แต่เอเชีย รัฐบาลควรทำหน้าที่แค่ปกป้องประเทศชาติ ดูแลความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินส่วนบุคคล รัฐสภาทำหน้าที่แทนประชาชนในการตรากฎหมาย และควรจะมีกฎหมายให้น้อยที่สุด ถ้าจะมีก็ต้องละเอียดที่สุด ป้องกันรัฐบาลตีความเอาอำนาจเข้าตัวเอง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล มีศาลไว้ตัดสินข้อพิพาทขัดแย้ง คำว่า "สังคมนิยม" จึงเป็น "คำสกปรก" สำหรับคนอเมริกัน

ส่วนยุโรปเจ้านายเจ้าที่ดินและนายทุนต้องประนีประนอมกับกรรมกร ถ้าไม่อยากถูกโค่นล้มเป็นคอมมิวนิสต์ จึงเกิดความคิดทางการเมือง เช่น รัฐสวัสดิการบ้าง สังคมนิยมประชาธิปไตยบ้าง ตามดีกรีความเข้มความอ่อนที่ต่างกัน เกิดพรรคกรรมกรขึ้นมาหลายประเทศ

ในเอเชียพรรคก๊ก มิน ตั๋ง ถูกโค่นล้มโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์ก็ต่อสู้กับเจ้าอาณานิคม โฮจิมินห์ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม ความคิดเรื่องคอมมิวนิสต์จึงแพร่ไปยังประเทศอื่น เช่น ลาว กัมพูชา คิวบา มองโกเลีย เจ้าอาณานิคมจึงต้องรีบให้เอกราชแก่อาณานิคมของตัวเอง โดยเริ่มจากอินเดีย นำโดยมหาตมะ คานธี หลังได้รับเอกราชอินเดียเป็นเสรีประชาธิปไตยในทางการเมือง แต่ทางเศรษฐกิจเป็นสังคมนิยมอย่างเข้มงวดเกือบจะเป็นคอมมิวนิสต์

กระดาษหมดแล้ว ขอจบเท่านี้


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************************************************************************

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Instagram เพื่อธุรกิจ !!?


โดย.นาวิกนำเสียง

หลังจาก Instagram ถูกควบรวมกิจการไปอยู่ในวงแขนของ Facebook ทำให้มีการพูดถึงของ Instagram มากขึ้น

มีการพัฒนาให้สามารถใช้ได้ทั้ง iOS และ Android จนมีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านคน เป็นผู้ใช้คนไทยมากกว่า 3 แสนคน ซึ่งจะว่าไปแล้วกระแสของ Instagram ก็ไม่น้อยไปกว่า Twitter หรือสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆเลย จนทำให้บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับ Instagram มากขึ้น และถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดออนไลน์

ถึงแม้ว่า Instagram จะไม่ได้เป็นสื่อสังคมออนไลน์หลักอย่าง Facebook, Twitter หรือ G+ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในปี 2556 แนวโน้มการใช้ สื่อสังคมออนไลน์รอง จะมีสูงมากยิ่งขึ้น และผู้บริโภคจะใช้เวลากับสื่อสังคมออนไลน์รองมากขึ้นด้วย และอาจจะแซงสื่อสังคมออนไลน์หลักบางตัวด้วยซ้ำ หนึ่งในพระเอกของสื่อสังคมออนไลน์รองก็คือ Instagram

Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ผู้ใช้จะแชร์รูปภาพกัน ยังสามารถที่จะแชร์ร่วมไปกับ Facebook และ Twitter ได้ การสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) จะผ่านรูปภาพที่นำเสนอ ถ้าต้องการสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น คุณก็ต้องโพสต์รูปภาพและข้อความที่สร้างสรรค์ เรามาดูไอเดียเหล่านี้ว่าบริษัทสามารถนำไปใช้ได้อย่างไร

รูปสินค้าและบริการ

ผู้บริโภคที่ติดตาม Instagram ของคุณ พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าหรือชื่นชอบในสินค้าและบริการของคุณอยู่แล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะเฝ้าติดตามสินค้าและบริการใหม่ๆ จากคุณ ดังนั้นสิ่งง่ายๆ ที่คุณทำได้คือแชร์รูปสินค้าและบริการของคุณ อาจจะแชร์สินค้าเป็นชุดตามฤดูกาล แล้วตั้งคำถามให้เดาว่าสินค้านี้คืออะไรเป็นต้น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค คุณจะได้ทั้ง Like และก็คอมเมนท์มากยิ่งขึ้น

รูปภาพขั้นตอนการผลิต

นอกเหนือจากสินค้าสำเร็จรูปแล้ว ผู้ติดตาม Instagram ก็อยากจะทราบกระบวนการผลิตด้วยเช่นกัน อยากรู้ว่ามาได้อย่างไร ใช้วัตถุดิบอะไร ผลิตกันอย่างไร เรียกได้ว่า พวกเขาต้องการทราบต้นกำเนิดกว่าจะมาเป็นสินค้าที่พวกเขาชื่นชอบ ถ้าคุณขายไวน์ คุณก็โพสต์รูปไร่องุ่นต้นกำเนิด หรือวิธีการบ่มไวน์ เป็นต้น

รูปภาพเบื้องหลังการทำงาน

ก่อนที่จะโปรโมทสินค้าและบริการผ่านสื่อโฆษณาคุณก็อาจจะสร้างกระแสใน Instagram ก่อน ด้วยการนำเสนอรูปเบื้องหลังการทำงานในการโปรโมทสินค้า รูปภาพโฆษณาหรือแคตตาล็อกก่อนที่จะใช้จริง รูปนางแบบหรือนายแบบ เป็นต้น

การนำเสนอภาพเบื้องหลังของการทำงานหนักของทีมงานจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคกับแบรนด์ของเราได้เป็นอย่างดี

รูปภาพการใช้งานของสินค้า

สินค้าบางอย่างสามารถนำไปประยุกต์การใช้งานที่หลากหลายได้รูปภาพการใช้งานของสินค้าที่หลากหลายใน Instagram จะช่วยสร้างจินตนาการของผู้บริโภคได้ บางครั้งพวกเขาอาจจะไม่ทราบมาก่อนก็ได้

คุณสามารถให้ผู้บริโภคส่งรูปภาพประกวดแข่งขันกันได้ ด้วยการส่งรูปภาพการใช้งานแปลกๆ และอย่าลืมให้ Hash tag ด้วยนะครับ สินค้าประเภทเครื่องสำอางสามารถนำไอเดียนี้ไปใช้ได้เป็นอย่างดีเช่นใครแต่งหน้าสวยเก๋ถูกใจเป็นต้น

รูปภาพหลุด

ผู้บริโภคจะมีอยากรู้อยากเห็นสินค้าใหม่ที่กำลังจะออกวางขายภาพหลุดหรือสินค้าต้นแบบจะได้รับความสนใจเป็นอย่างดีคุณอาจจะแชร์ส่วนหนึ่งของสินค้าใหม่ให้ดูหรือร้านค้าใหม่หรือสถานที่ใหม่ๆ ก็ได้แล้วตั้งคำถามให้เกิดเป็นกระแสต้อนรับสินค้าใหม่นั้นๆ

รูปภาพของสำนักงาน

เชื่อหรือไม่ว่า ผู้บริโภคที่ชื่นชอบในสินค้าของคุณ เค้าก็อยากจะร่วมทำงานกับคุณด้วยเช่นกัน รูปภาพออฟฟิศ​สถานที่ทำงาน การทำงานประจำวัน การอบรมพนักงาน เป็นต้น ก็สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคได้เช่นกัน

บางบริษัทจะแชร์ภาพพนักงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะโดดเด่น หรือทีมงานที่สร้างสินค้าเหล่านั้น เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นหน้าตาของทีมงานผู้สร้างสรรค์สินค้าตัวจริงๆ เป็นต้น

ภาพลักษณ์สถานที่ทำงานและการทำงานจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ด้วยเช่นกัน อีกอย่างจะสร้างความใกล้ชิดของผู้บริโภคกับแบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น

รูปกิจกรรม

คุณอาจจะต้องแสดงตัวเป็นผู้สื่อข่าวกิจกรรมของบริษัทผู้บริโภคก็ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบการรายงานความเคลื่อนไหวของการแสดงสินค้าการออกงานการอบรมลูกค้าก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคอยากที่จะติดตามด้วยเช่นกันผู้บริโภคจะได้รับความรู้ใหม่ด้วยเช่นกันพวกเขาก็จะเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง

สุดท้าย รูปภาพน่ารักๆ

คงจะไม่มีใครปฏิเสธรูปภาพน่ารักหรือรูปภาพที่น่าสนใจเช่นภาพสัตว์ บุคคล สถานที่หรือสิ่งของ เป็นต้น เราก็สามารถแชร์รูปเหล่านี้ได้ มันจะช่วยผ่อนคลายและไม่ดูเป็นการขายสินค้าหรือยัดเยียดผู้บริโภคมากจนเกินไป คุณอาจจะซ่อนโลโก้ของบริษัทเป็นพื้นหลังหรือบังเอิญถ่ายภาพร่วมกับสินค้าของคุณก็ได้ ก็สามารถสร้างการรับรู้ในแบรนด์ของคุณไปด้วยเช่นกัน

คุณจะต้องให้สัดส่วนของรูปภาพเหล่านี้อย่างเหมาะสมไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป การประเมินการมีส่วนร่วมทุกครั้งที่แชร์จะบอกให้คุณทราบเองว่าผู้บริโภคของคุณชอบรูปภาพประเภทไหนอย่างไร

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

มท.1 เผยสานเสวนาปรองดอง เริ่มเดินหน้าหลังปีใหม่ !!?


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธาน ปคอป. กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดเวทีสานเสวนาว่า หลังจากการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็จะเดินหน้าในเรื่องการจัดการจัดเวทีสานเสวนาเพื่อสร้างความปรองดอง โดยจะเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการประนีประนอม เป็นคนกลางมาหารือกัน แล้วให้เป็นผู้วางกรอบกฎเกณฑ์กติกา ที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ คาดว่ากลางเดือน ธ.ค.เราจะได้กติกาที่ชัดเจน แล้วจากนั้นก่อนสิ้นเดือนนี้จะมีการอบรมวิทยากรปฏิบัติการทั้งหมด 20 ชุด เพื่อที่จะลงพื้นที่จัดเวทีฯ 108 แห่งทั่วประเทศ แล้วการสานเสวนาจะเริ่มในช่วงหลังปีใหม่ และในช่วงสิ้นเดือน มี.ค. หลังจากที่ระดมความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 75,000 คนแล้ว ก็จะสามารถมองออกว่าตัวแทนประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางใด จากนั้นจะนำมาสรุปและเปิดเผยต่อสาธารชนต่อไป

รมว.มหาดไทย กล่าวอีกว่า เราไม่ได้จำกัดว่าจะเน้นเรื่องไหนเป็นพิเศษ เพียงแต่คิดว่าให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ยุติกลุ่มสีต่างๆ และนายกรัฐมนตรี ก็อยากจะฟังความเห็นของประชาชนว่าเป็นอย่างไร ยืนยันว่ากระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการ หรือชี้แนะ ชี้นำ แต่เป็นผู้ประสานงาน อำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ และจำนวนคน รวมทั้งงบประมาณ ส่วนนักวิชาการจะมีอิสระในการดำเนินการจัดการจัดเวทีสานเสวนาฯ เพื่อให้ได้คำตอบว่าประเทศจะเดินหน้าไปอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้เดินทางมาพบ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย โดยนางคริสตี้ กล่าวว่า ตนมาที่นี่เพราะมาทำความรู้จักกับรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนความร่วมมือกับไทยและสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และ2ประเทศเราก็มีความสัมพันธ์กันมา 180 ปี และในปีหน้าความร่วมมือต่อกระทรวงมหาดไทยก็จะเดินหน้าต่อไป เช่นเรื่องผู้อพยพชาวพม่า

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แนวทางต่อสู้ เหลือง เหนือกว่า แดง !!?


หลังนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ถูกศาลถอนการประกันตัว ต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำทันทีที่รัฐสภาปิดสมัยประชุม

เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าหมดเอกสิทธิ์คุ้มครองเมื่อไร แกนนำเสื้อแดงก็ยังได้ลุ้นเสียวตลอด

ต่างจากแกนนำอีกฝ่ายที่จนถึงวันนี้คดีความต่างๆอันเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมในอดีตที่ผ่านมายังไม่ถูกส่งถึงศาลแต่ประการใด

แถมมีแนวโน้มว่าเมื่อเรื่องส่งถึงศาลจะได้รับการประกันตัวค่อนข้างแน่ พนักงานสอบสวนพูดชัดไม่คัดค้านประกันตัว เพราะไม่เห็นว่าเป็นคดีความที่ร้ายแรง

เสื้อเหลือง เสื้อแดง เป็นการเมืองต่างขั้วที่ยังต้องต่อสู้กันต่อไปตามวิถีทางของตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

แต่วันนี้มีคนมองว่าการเมืองของเสื้อเหลืองได้ยกระดับไปอีกขั้นจนสูงกว่าแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของคนเสื้อแดง

ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ที่ผ่านมาเคยเตือน นปช. หลายครั้งแล้วว่าคนเสื้อแดงไม่มีความหมายในแง่การเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับสูงเลย

ความจริงคนเสื้อแดงควรต้องมีกลุ่มย่อยและแตกตัวสร้างเครือข่ายแบบกลุ่มพันธมิตรฯที่แตกเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ เพื่อแยกกันเคลื่อนไหว แทรกซึมเข้าไปอยู่ในระบบต่างๆ

หากยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญพื่อทำลายโครงสร้างที่อีกฝ่ายหนึ่งปูทางเอาไว้ ในอนาคตจะสู้ฝ่ายเสื้อเหลืองไม่ได้เลย

เห็นทีจะจริงอย่างที่ ดร.พิชญ์ว่า

ทุกวันนี้ในวุฒิสภามี ส.ว.ลากตั้งที่มาจากแนวร่วมคนเสื้อเหลืองอยู่จำนวนไม่น้อย หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้มีระบบ ส.ว.ลากตั้งกันต่อไป อีกไม่กี่ปีข้างหน้าในวุฒิสภาจะเต็มไปด้วยแนวร่วมคนเสื้อเหลือง

หากในวุฒิสภามีแนวร่วมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเกินครึ่งจะเกิดอะไรขึ้น

ประการแรก ส.ว. มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งกฎหมายคือเครื่องมือในการบริหารงานของรัฐบาล หากเสนอกฎหมายอะไรไปแล้วถูกเตะถ่วง ถูกยื้อ ก็จะทำให้รัฐบาลมีอุปสรรคในการทำงานได้

ประการที่สอง ส.ว. มีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี หรือเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาโดยไม่มีการลงมติ

สามารถเปิดอภิปรายเพื่อให้สอดคล้องกับฝ่ายค้านหรือการเคลื่อนไหวนอกสภาให้รัฐบาลมีปัญหาความน่าเชื่อถือได้

ประการที่สามนี่สำคัญมาก เพราะว่า ส.ว. มีหน้าที่เลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ประกอบด้วย

ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม

ประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการในศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเลขาธิการ ป.ป.ช. ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

นอกจากนี้ยังมีหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กกต. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่า ออกจากตำแหน่งได้

ว่ากันว่านายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวร่วมเสื้อเหลือง กำลังแต่งตัวเพื่อที่จะเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. ในปีหน้า เข้าไปสมทบกับพวกเดียวกันที่มีอยู่ในวุฒิสภาแล้วจำนวนมาก

ถ้าถึงวันที่แนวร่วมคนเสื้อเหลืองมีเกินกว่าครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ขอให้พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. เพราะสามารถแผ่อิทธิพลครอบคลุมไปได้อีกหลายองค์กรที่ชี้เป็นชี้ตายฝ่ายตรงข้ามได้

การเมืองของเสื้อเหลืองกำลังแทรกซึมเข้าสู่ระบบ ถือว่ากำลังยกระดับการต่อสู้เหนือกว่าคนเสื้อแดงที่ยังไม่ตั้งหลักกับเรื่องนี้

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พิพากษาจำคุก อริสมันต์ 1ปี ไม่รอลงอาญาหมิ่นประมาท มาร์ค.


 ที่ห้องพิจารณา 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นายอริสมันต์ หรือ กี้ร์ พงศ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 รวม 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

คดีนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 พ.ย.52 สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.52 เวลากลางวันและกลางคืน ต่อเนื่องกัน จำเลยได้กล่าวปราศรัยเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและทำเนียบรัฐบาล ต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งได้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์พีเพิล แชนแนล ทำให้เข้าใจประชาชนว่า รัฐบาลโจทก์เอาประเทศชาติไปกู้เงินมาแล้วโกง โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีใจอำมหิต ปล้นอำนาจจากประชาชน สั่งให้ทหารสร้างสถานการณ์โดยใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชน โดยรัฐบาลโจทก์ยังทุจริตคอร์รัปชั่นหลายโครงการ

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง มาตรา 326 และ 328 การกระทำนั้นเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 12 เดือน ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยมีการปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชนไทย จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวัน 9 ฉบับนั้น ศาลเห็นว่าเกินความจำเป็น จึงให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาย่อใน น.ส.พ.มติชน และเดลินิวส์ เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันโดยให้จำเลย เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา

ภายหลังทนายความ ได้นำหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 100,000 บาท ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างยื่นอุทธรณ์สู้คดี

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ผู้ทำ & ผู้นำ !!?


โดย: วิเชียร เมฆตระการ
ผมว่าเรื่องการบริหารจัดการ เป็นศิลปะที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ศาสตร์นี้มีพูดถึงกันแพร่หลายจากการเรียนรู้สั่งสมมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ได้เคยถูกพูดถึงเมื่อ 100 ปีก่อนจะเป็นเรื่องล้าสมัย ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ตรงกันข้ามน่าจะเป็นรากฐานสำคัญที่นำมาใช้ต่อยอดได้อย่างแข็งแรงในการทำให้ องค์กรเดินไปข้างหน้า

หลาย ๆ แห่งมองเหมือนกันว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "คน" นั่นเอง ที่เป็นทั้งทรัพยากรอันหาค่ามิได้ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนองค์กร เป็นจิตวิญญาณขององค์กร ง่าย ๆ ก็คือ เป็นทุกอย่างขององค์กร

พูดเป็นหลักการแบบนี้อาจนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงเวลาก่อนหรือหลังเลิกงาน ที่ office ไม่มีพนักงานอยู่แล้วซิครับ นั่นแหละที่ผมเรียกว่า องค์กรที่ไม่มีชีวิต เปรียบเทียบกับเวลาที่พนักงานอยู่กันเต็ม มันมีจิตวิญญาณที่ทำให้องค์กรนั้นเคลื่อนไหวได้

ดังนั้น "องค์กรจะมีชีวิตชีวา มอบสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกคาดหวังได้ ก็ต้องมาจากคนนั่นแหละ" ศาสตร์ของทรัพยากรบุคคล เป็นเรื่องล้ำลึกเกินกว่าจะพูดได้เพียงครั้งเดียว

ฉะนั้น ผมจึงเลือกที่จะเน้นเรื่องนี้ให้เป็นอันดับ 1 หากใครมาถามผมว่า การที่จะ run บริษัทให้เติบโต ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ปัจจัยใดที่สำคัญที่สุด

พวกเราคงคุ้นหูกับคำว่า Management ง่าย ๆ ก็คือ ผู้บริหาร แล้วคำว่า Leader ที่แปลว่า "ผู้นำ" ใหญ่กว่า ผู้บริหารรึเปล่า หรือว่า Management ก็คือ Leader

ใช่หรือไม่ พูดแล้วชักงง เอาเป็นว่า ทั้ง "ใช่" และ "ไม่ใช่" ก็แล้วกันครับ

ขอแปลด้วยคำจำกัดความส่วนตัวของผมแล้วกันนะครับว่า Management ก็คือ "ผู้ทำ" ส่วน Leader คือ "ผู้นำ" (ใครเห็นต่างก็ลองแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ)

"ผู้ทำ" มีหน้าที่ไปลงมือทำงานตามกระบวนการ หรือตามขั้นตอนความถนัดของตัวเอง พูดง่าย ๆ คือ ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้วางเป็น guideline ไว้แล้ว คุณอาจมีการพลิกแพลง พัฒนาขั้นตอนนั้น หรือบริหารจัดการตามแนวของคุณ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผลที่ดีขึ้น ซึ่งนี่ก็อาจบ่งบอกว่า คุณมีแววที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ หากผ่านขั้นตอนการ "ทำ" มาอย่างโชกโชน และเก๋าพอที่จะบอกได้ว่า สิ่งที่คุณกำลังมุ่งมั่นทำอยู่นั้น มีผลต่อองค์กรในภาพรวมอย่างไร

ส่วน "ผู้นำ" นั้น ผมมีวิธีคิดของ Jack Welch CEO ของ GE มา share โดยเขามองว่า คือคนซึ่งมีความคิดใหม่ ๆ และแสดงวิสัยทัศน์ซึ่งดลใจให้คนอื่นปฏิบัติตาม โดยบางครั้งไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดมากเกินไป รวมถึงรู้จักที่จะสรรหาและส่งเสริมบุคลากรที่สามารถทำให้วิสัยทัศน์เป็นจริงได้

ใช่แล้วครับ ความแตกต่างระหว่าง ผู้ทำ กับ ผู้นำ อยู่ที่การสร้างวิสัยทัศน์ และศักยภาพในการสร้างแรงบันดาลใจ
ผลักดันให้ทีมงานพร้อมใจที่จะเดินไปด้วยกันเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายนั้นให้ได้

ถามว่าอะไรเป็นยากกว่ากัน ผมว่ายากด้วยกันทั้งคู่ แต่ยากกันไปคนละแบบ เพราะบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ทำ มีความสุขที่จะมุ่งมั่นลงมือทำในสิ่งที่ตนเองรักและหลงใหลให้ดีที่สุด เข้าข่ายแบบศิลปินเดี่ยวนั่นแหละครับ ส่วนที่ยากคือ ถ้าคุณจะก้าวสู่การเป็น "ผู้ทำ" ที่มีความสามารถเป็นเลิศ ชนิดหาไม่ได้อีกแล้วในแผ่นดินนี้ คุณก็ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝนหนักหนาสาหัสจนฝีมือก้าวไปสู่ขั้นเทพ แบบนี้ผมเรียกว่า พรแสวง หรือบางท่านที่ต้องถือว่าโชคดีสุด ๆ ก็คือ เป็นผู้ทำอัจฉริยะเพราะพรสวรรค์

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีพรสวรรค์จะเป็น ผู้ทำ ที่ประสบความสำเร็จทุกคน เพราะหากคุณก้าวไม่ผ่านขั้นตอนในการผลักดันตัวเองให้ลงมือทำ โดยไม่มีใครบังคับได้แล้วล่ะก็ คุณอาจไม่เหลือความพิเศษในตัวและแทบจะไม่แตกต่างจากสามัญชนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับผมในเชิงขององค์กร ผู้ทำ คือ บุคลากรที่ทรงคุณค่า เนื่องจากเป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อน
ที่ไม่อาจคำนวณความแรงได้ หาก ผู้ทำ นั้น มีทั้งความรู้ความชำนาญในกระบวนการทำงานของพวกเขา แล้วยิ่งหากเป็นการ "ทำ" อย่างเต็มอกเต็มใจ มีความสุขที่จะลงมือทำ โดยไม่เหน็ดเหนื่อย รวมถึงยังเดินหน้าพัฒนาขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แหม ! ผมล่ะไม่กล้าคำนวณเลยทีเดียวว่า เมื่อพลังของเขามารวมกันแล้ว จะมหาศาลขนาดไหนแต่...ช้าก่อน พลังเหล่านั้นหากขาดการนำอย่างมีวิสัยทัศน์ อาจแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ "แรง" แต่ไม่มีประโยชน์ก็เป็นได้

ดังนั้นความท้าทายของคนที่จะเป็น ผู้นำ ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะดึงพลังของบุคลากรผู้ทำออกมาสร้างเป็นพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ได้ขอบอกว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำคนมาก ๆ ในองค์กรใหญ่ ที่มีจำนวนพนักงานเป็นหลักพัน หรือหลักหมื่น

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วกันนะครับ เอาใกล้ตัวผมนี่แหละ คือในองค์กรอย่าง "เอไอเอส" ที่มีจำนวนพนักงานอยู่เกือบหมื่น ลำพังเรื่อง basic อย่างการสื่อสารเพื่อให้พนักงานรับรู้เรื่องราว ข่าวสาร ทิศทางองค์กร หากต้องการให้รู้โดยไม่ผิดเพี้ยนกลายเป็นคนละเรื่องยังไม่ง่ายเลยครับ ต้องอาศัยเครื่องมือหลายอย่างในการนำสารส่งไปยังพนักงาน

นี่ขนาดเป็นเพียงขั้นตอนของการสื่อสารทางเดียวนะครับ ยังไม่พูดถึงเรื่องการ feed back, interactive รวมไปถึงการส่งมอบวิสัย ทัศน์ ที่เป็นเป้าหมายขององค์กร ซึ่งบางครั้งก็มีความซับซ้อน แถมบางเรื่องก็ละเอียดอ่อน ต้องการการชี้แจงเป็นขั้นเป็นตอน ก็ย่อมยากขึ้นไปอีก

ที่ผ่านมาผมเลยต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน เพราะต้องเป็น "ป๋าสัญจร" ไปตามภูมิภาคเพื่อพบปะกับบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวเอไอเอส พูดคุยกันแบบถึงเนื้อถึงตัว ซึ่งเชื่อว่าทำให้เข้าใจกัน สนิทกันมากขึ้น และแน่นอนทำให้เกิดความเข้าใจ เห็นภาพขององค์กร ที่สำคัญเราได้รับฟังความคิดเห็นจากเจ้าตัวโดยตรงอีกด้วย

ดังนั้นผมขอเพิ่มคุณสมบัติผู้นำจากของคุณ Jack ว่า หากคุณจะเป็นผู้นำที่ดี คุณต้องเห็นภาพและเข้าใจในรายละเอียด
ขั้นตอนตลอดจนข้อจำกัดและข้อได้เปรียบของงานแต่ละประเภทด้วย ไม่อย่างนั้นคุณจะไปนำเขาได้อย่างไร ถ้าตัวคุณเองยังไม่รู้ถึงวิธีการทำเลย

อีกประการคือ "ผู้นำ" ต้องสามารถจุด ประกายให้คนอื่นอยากทำงาน ที่สำคัญต้องมี "พลัง" ในตัวเอง ทั้งพลังงานทางกายและพลังงานทางใจ และมีกลยุทธ์ในการส่งมอบให้แก่ทีมงานได้ โดยไม่ทำให้ทีมกลัวหรือรู้สึกว่ากำลังโดนสั่ง !

ส่วนความท้าทายที่ผม เห็นว่า ยากมากสำหรับการเป็น "ผู้นำ" ที่ดี ก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์ และวาง position ขององค์กรให้แม่นยำ อย่างที่ "อาร์คิมิดีส"

นัก คณิตศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีก บอกว่า Give me a place to stand on, and I will move the Earth ที่แปลได้ว่า หากผู้นำที่ดีสามารถกำหนด a place to stand on หรือวาง position องค์กรได้อย่างแม่นยำแล้ว ย่อมจะสามารถนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก ซึ่งการจะกำหนดตำแหน่งอย่างที่ว่าได้ ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญในสายอาชีพ
การสั่งสมของประสบการณ์ ที่สำคัญต้องได้รับการยอมรับจากทีมด้วย

สำหรับ ผม ทั้ง "ผู้ทำ" และ "ผู้นำ" ต่างมีความสำคัญกับองค์กรไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การที่จะประสบความสำเร็จในการเป็น "ผู้ทำ" หรือ "ผู้นำ" ต่างก็ท้าทายกันไปคนละแบบ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกเป็นแบบไหนก็ตาม ขอให้ก้าวผ่านความท้าทายทั้งหลายไปให้ได้ แล้วเมื่อนั้น

คุณจะสามารถ Move The Earth ได้อย่างแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น !


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************************************************************************

แนวโน้มหุ้นขึ้้นไม่แรง จับตาศาลสั่งคดี 3 จี !!?


โบรกฯมองแนวโน้มหุ้นไทยขึ้นต่อแต่คาดว่าจะไม่แรงมากนัก เหตุนักลงทุนรอลุ้นคดี 3 จี ศาลปกครองเตรียมอ่านคำสั่งบ่ายนี้ แนวต้าน 1,330-1,335 จุด

นายอภิชาต ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 ธ.ค.) ว่า หุ้นไทยเช้าวันนี้น่าจะขยับตัวขึ้นต่อได้ทำดัชนีสูงสุดใหม่ได้ หลังจากทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,314 จุด ที่ทำไว้ในช่วง 2 เดือนที่แล้ว ปัจจัยมามากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ารอบใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิถึง 3 พันกว่าล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างหนาแน่นอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณที่ดีแสดงถึงภาวะตลาดที่คึกคักและเป็นแนวโน้มขาขึ้น

ขณะเดียวกันปัจจัยจากประเทศจีนที่ประกาศตัวเลข PMI ภาคอุตสาหกรรม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีการขยายตัวดีขึ้น จากเดิม 50.2 ในเดือนตุลาคม ขยายตัวเป็น 50.6 ในเดือนพฤศจิกายน ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นผลดีให้กับตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

"วันนี้การปรับตัวขึ้นของตลาดฯไม่น่าจะขึ้นแรงเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว เพราะตลาดหุ้นไทยขยับตัวขึ้นมา 7 วันติดต่อกัน ฉะนั้นโอกาสที่ขึ้นต่อไปอีกมีน้อยมาก น่าจะเห็นการปรับฐานลงชั่วคราวภายใน 1-2 วันจากวันนี้"

ส่วนประเด็นที่ยังต้องติดตามในวันนี้คงเป็นการอ่านคำสั่งศาลปกตรองเกี่ยวกับการประมูล3G และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในคืนนี้

กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้คาดแนวรับ 1,317-1,320 จุด แนวต้าน 1,330-1,335 จุด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
******************************************************************************

ป.ป.ช. ประกาศค่าความโปร่งใสหน่วยงานรัฐ 6.6 จากเต็ม 10 .


กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงค่าคะแนนความโปร่งใสหน่วยงานรัฐในปีงบประมาณ 2554 ที่ดำเนินการวัดโดยคณะอนุกรรมการจัดทำดัชนีวัดความโปร่งใสสังคมไทยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ สำนักงาน ป.ป.ช.นั้น ได้ผลปรากฏว่า มีค่าความโปร่งใสอยู่ที่ระดับ 6.6 จากคะแนนเต็ม 10 และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดตามดัชนีรายตัวชี้วัดย่อยตามปัจจัยหลัก 4 ด้านที่สะท้อนค่าความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐนั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ ด้านความโปร่งใสในการกำหนดยุทธศาสตร์ หน่วยงานภาครัฐมีความโปร่งใสในการกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับพันธกิจหลักของแต่ละหน่วยงานในระดับสูง (6.8 )แต่มีความโปร่งใสในการนำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติในระดับปานกลาง(5.5 ) ส่วนค่าความโปร่งใสในการติดตามประเมินผล (6.1) และการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ( 8.0 ) มีค่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงถึงสูงมาก สะท้อนถึงความพยายามในการดำเนินงานให้มีความโปร่งใสเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

การวัดค่าคะแนนความโปร่งใสหน่วยงานของรัฐระดับกรมหรือหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากรมของประเทศไทยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจวัดความโปร่งใส โดยยึดถือความถูกต้องของข้อมูลจากหลักฐานการดำเนินงานตามภารกิจหลักเพียง 1 ภารกิจของแต่ละหน่วยงานที่สามารถแสดงหลักฐานอ้างอิงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและลดอคติที่อาจเกิดจากการสำรวจความคิดเห็นสาธารณะในการประเมินความโปร่งใสและภาพลักษณ์การทุจริตของหน่วยงาน

ทั้งนี้มีหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการประเมินความโปร่งใสประจำปีงบประมาณ 2554 ทั้งสิ้น 45 หน่วยงาน แบ่งเป็น 5 กลุ่มภารกิจ คือ กลุ่มภารกิจด้านสาธารณูปโภค กลุ่มภารกิจด้านสังคม กลุ่มภารกิจด้านการยุติธรรมและความมั่นคง กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจ กลุ่มภารกิจด้านนโยบายและวิชาการ

สำหรับกลุ่มภารกิจด้านสาธารณูปโภค มีหน่วยงานเข้าร่วมโครงการประเมินฯ อาทิ กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมทางหลวง กรมเจ้าท่า กลุ่มภารกิจด้านสังคม อาทิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มภารกิจด้านการยุติธรรมและความมั่นคง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจ อาทิ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมสรรพสามิต กลุ่มภารกิจด้านนโยบายและวิชาการ อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

"ค่าคะแนนเฉลี่ยความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐที่วัดเฉพาะตามภารกิจหลักของหน่วยงาน เมื่อจำแนกตามกลุ่มภารกิจ ค่อนข้างใกล้เคียงกันทุกกลุ่มโดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 6.3- 6.7 ทั้งนี้สำนักงาน ป.ป.ช. กำหนดจัดพิธีมอบรางวัลแก่หน่วยงานภาครัฐที่มีค่าคะแนนความโปร่งใสสูงสุด และหน่วยงานที่ผ่านการประเมินความโปร่งใสในวันที่ 3 ธันวาคมนี้

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////