--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก๊กอีสาน เปิดบ้านรับ ยิ่งลักษณ์. ผนึกบารมี พล.ต.อ.ประชา-พายัพ. !!?

งานเลี้ยงต้อนรับ "ครม.สัญจร" ที่จังหวัดอุดรธานี ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข

เป็นความสุขจากงานฉลองวันคล้ายวันเกิด "พายัพ ชินวัตร" ประธานภาคอีสาน พี่ชายนายกรัฐมนตรีที่มีอายุครบรอบ 55 ปี

เป็น ความสุขจากการต้อนรับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังจากมาเยือนภาคอีสาน ซึ่งเป็น "ขุมกำลังใหญ่" ของพรรคเพื่อไทย และนับเป็นการมาเยือนครั้งแรกของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่นับเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ผันชีวิตเข้าสู่สนามการเมือง

การต้อนรับครั้งนี้จึงถูก จัดขึ้นอย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งการชุมนุมของมวลชนนับหมื่นที่ "สนามทุ่งศรีเมือง" และงานเลี้ยงต้อนรับแขกอีกนับพันที่ "บ้านอีสาน คันทรี โฮม" บ้านพักส่วนตัวของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม

เมื่อ เจ้าบ้านเป็น "อินทรีอีสาน" ทุกวินาทีในงานเลี้ยงจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยไอดินกลิ่นอีสานแท้ ทั้งอาหาร การแสดง แม้กระทั่งการแต่งกายของแขกเจ้าบ้าน ทำให้มีความสุขทั้งผู้มาเยือนและผู้เป็นเจ้าภาพ

โดยเฉพาะผู้มา เยือนอย่าง "ยิ่งลักษณ์" ที่อดใจไม่ไหวขอคว้าไมค์ร้องเพลง "ดาวกระดาษ" ของปนัดดา เรืองวุฒิ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็เปิดเวทีเรียกขวัญให้มวลชนด้วยเพลง "นึกเสียว่าสงสาร" ของอ้อย กะท้อน เพื่อส่งสัญญาณถึงพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง

"ผมขอบอกกับทุกคนตรงนี้ว่า ร้องเพลงนี้เมื่อไรแล้วนึกถึงประชาธิปัตย์ทุกที และที่พิเศษสุดต้องขอร้องเพลงนี้ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะพรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลอีก 2 ปี"

และคนที่มีความสุขมากยิ่ง กว่ากลับเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพอย่าง พล.ต.อ.ประชา "การจัดงานครั้งนี้ต้องละเอียด เพราะชาวอุดรฯมีหลายกลุ่ม เราก็ต้องให้เกียรติทุกกลุ่ม เชิญให้ครบทุกคน และถือเป็นเกียรติที่นายกรัฐมนตรีให้ความเป็นกันเอง ถามผมตอนนี้ ผมก็ดีใจที่ทำให้นายกฯยิ่งลักษณ์มีความสุขได้"

พล.ต.อ.ประชาเล่าถึง การมาเยือนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้ง 3 ครั้ง ต่างวาระ ต่างอารมณ์ "ครั้งแรกคือช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ก็เหนื่อยกันมาก ผมและพรรคยังหนักใจว่าจะชนะหรือไม่ ครั้งที่สองอยู่ในช่วงก่อนโค้งสุดท้าย ก็เบาใจลงหน่อย เพราะเมื่อเช็กเสียงดูแล้ว

เริ่มรู้ว่ามีโอกาสชนะ แต่ครั้งล่าสุดนี้สบายใจที่สุด เพราะเรามาเยือนกันในฐานะที่เป็นรัฐบาล"

พล.ต.อ. ประชาระบุว่า การที่เลือกภาคอีสานเป็นพื้นที่การประชุม ครม.สัญจรครั้งที่ 2 เมื่อผนึกกำลังกับนายพายัพ ชินวัตร ที่เป็นประธานภาคและตนเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค จะยิ่งทำให้ฐานการเมืองในภูมิภาคนี้แผ่ขยายออกไปไกลได้มากยิ่งขึ้น

"ฐาน การเมืองเป็นเรื่องของอนาคตก็จริง แต่พรรคจะใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาทุกพื้นที่ให้มีความเจริญเท่าเทียมกัน อย่างการประชุมครั้งหน้าก็จะเดินทางไปภูเก็ตวันที่ 21-22 มีนาคม เพราะเรามีความคิดว่าจะพัฒนาทุกภูมิภาค เราจะไม่ทอดทิ้งใคร แม้พื้นที่นั้นจะไม่มีเก้าอี้ ส.ส.ของเราก็ตาม"

นอกจากนี้เขายัง ประเมินสถานการณ์ว่า เมื่อฐานที่มั่นยังคงมีคะแนนเสียงมั่นคง และรัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าทำนโยบายอย่างต่อเนื่อง ก็ใกล้ถึงเวลาที่จะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน ในฐานะผู้ให้กำเนิดพรรคเพื่อไทย

"ถาม ว่าเป็นไปได้หรือไม่ มันก็เป็นไปได้ ท่านถือเป็นผู้ให้กำเนิดพรรคเพื่อไทยที่มาจากรากฐานของพรรคไทยรักไทย ท่านเป็นผู้ใหญ่ของพรรค เป็นธรรมดาที่สมาชิกจะต้องการให้ท่านกลับมา แต่ต้องรอจังหวะดี ๆ ต้องรอไทม์มิ่ง (เวลา) เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไทม์มิ่งดี การเมืองนิ่ง ก็น่าสนใจ"

แต่คำว่า "การเมืองนิ่ง" ในอุดมคติของ "อินทรีอีสาน" ไม่ได้มีหมายความแค่เพียงนายกฯพบกองทัพ หรือนายกฯพบประธานองคมนตรี

"คง ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจะนิ่งแล้ว เพราะท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ให้ความสนใจเรื่องงานมาก่อน ไม่อยากให้เอาการเมืองมาเล่นกับบ้านเมือง แต่อยากเห็นบ้านเมืองสงบ มีสันติสุข การเมืองนิ่งก็

หมายถึงสังคมต้องไม่มีความขัดแย้ง และต้องให้เกิดความปรองดองเสียก่อน"

พล.ต.อ. ประชายังขยายความทิ้งท้ายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้การเมืองนิ่ง แต่จะนิ่งหรือไม่นั้น ยังขึ้นอยู่กับการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ทั้ง 99 คน

"เรายังไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร จะออกแบบรัฐธรรมนูญเป็นแบบไหน ตอนนี้พรรคก็เลยไม่ได้หวังอะไรมาก แต่ถ้าถามว่า ถ้ามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย นั่นก็หมายความว่าบรรยากาศการเมืองก็กำลังจะเกิดความปรองดองที่ดีขึ้น"


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักษิณ.เปิดหน้าชัดเจน ผู้ขับเคลื่อนนโยบาย !!?

เริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับท่าทีของ 'ทักษิณ' ที่ประกาศเตรียมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ มี.ค. 2555 เป็นต้นไป...

เกาะติดความเคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าสู่คนเสื้อแดงฟัง ถึงเรื่องความช่วยเหลือไทยในช่วงน้ำท่วมใหญ่จากจีน รวมทั้งโครงการ "รถไฟความเร็วสูง"

- ปมแก้รัฐธรรมนูญ แม้จะผ่านฉลุยวาระแรก ไปด้วยเสียงสมาชิกรัฐสภามากถึง 399 แต่ระหว่างทางจากนี้ไปจนกว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรูปเป็นร่าง มีแนวโน้มว่า อาจจะถูกหลายฝ่ายหลายกลุ่มรุมขวางอย่างหนัก

- จริงอยู่ที่ว่า แม้ "รูปแบบ" จะมองเห็นว่าเป็นประชาธิปไตย แต่หลายฝ่ายก็ไม่มั่นใจใน "เนื้อหา" ว่า จะซ่อนวาระอะไรไว้บ้าง เพราะเหตุผลสำคัญในการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับ 50 ที่ฝ่ายรัฐบาลและมวลชนที่สนับสนุนระบุว่าเป็นมรดกจากเผด็จการทหารนั้น มีประเด็นสำคัญที่ถูกจับตา คือ "องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ" ที่ถูกโจมตีว่ามาจากอำนาจเผด็จการ จะถูกรื้อหรือไม่

- ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง

- งานนี้ ฝ่ายที่อยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะรัฐบาล จะต้องแสดงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องล้มล้างฉบับเก่าแล้วยกร่างฉบับใหม่ให้กระจ่าง อย่าลืมว่าอีกหลายล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกรัฐบาลก็มีสิทธิที่ไม่เห็นด้วย

- เก็บตกบรรยากาศ รวมพลมวลชนคนเสื้อแดง ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ 25 ก.พ. 2555 คึกคักคลาคล่ำไปด้วยบรรดาแกนนำหัวแถวยันท้ายแถว ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ช่วงวีดิโอลิงค์ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มาจากบ้านพัก ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์... ที่ได้เห็นความจริง อย่างไม่ต้องคาดเดาถึงการบริหารผ่านน้องสาว

- เริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับท่าทีของ นายกฯ ดูไบ ที่ประกาศเตรียมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ มี.ค. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งความจริงแล้วอดีตนายกฯ ทักษิณ พยายามช่วยงานรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะการประสานสัมพันธ์กับนานาประเทศที่เจ้าตัวมีคอนเนคชั่น ทุกประเทศก่อนที่น้องสาวจะไปเยือน นอกจากจะเป็นหน่วยล่วงหน้าเดินทางไปเจรจาปูทางให้น้องสาวไว้ก่อนแล้วยังตามไปสานต่อ

- ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งกลับจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน หลังจากไปๆ มาๆ อยู่ระยะหนึ่ง เพื่อเจรจาและประสานกับทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนของจีน ว่าด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ให้รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว อีกทั้งยังประสานทำให้ผู้แทนจากประเทศจีนเข้ามาพบปะกับรัฐมนตรีของไทย

- หลายอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าสู่คนเสื้อแดงฟัง ถึงเรื่องความช่วยเหลือไทยในช่วงน้ำท่วมใหญ่จากจีน ที่กำลังจะกลายเป็นโครงการความร่วมมือกันในอนาคตเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ทั้งระบบ ให้เสร็จภายในวาระของรัฐบาลนี้

- รวมทั้งโครงการ "รถไฟความเร็วสูง" ภายในประเทศ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คาดว่า จะเริ่มต้นด้วยเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ และ กทม.-นครราชสีมา ในปลายปีนี้

- นอกจากนี้ อดีตนายกฯ ยังเจรจาเรื่องการจัดหา "แทบเล็ต" จากจีนให้ เด็ก ป. 1 ตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ผลเจรจาเรื่องราคาและสเปคเครื่องเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เตรียมจะให้รัฐบาลเพื่อไทย ขยายนโยบายแจกให้เด็ก ม. 1 เพิ่มอีกเกือบล้านเครื่อง

- ทิ้งท้ายบนเวทีโบนันซ่า นายกฯ ดูไบ แปลงเพลง "เล่าสู่กันฟัง"..."น้ำที่ท่วมทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราว เธอเป็นหนี้อยู่หรือเปล่า อย่าลืมเล่าสู่กันฟัง ฉันยังมีน้องสาวเป็นนายกฯ อยู่ทั้งคน"...ได้ใจแฟนคลับจนเคลิ้มไปทั้งคืน!

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เส-นี-ยด !!?

ถ้าเป็นสำนวนกำลังภายในของ...หนังจีน...ฤทธิ์มีดสั้น ที่พูดถึงอิทธิฤทธิ์ของ "มีดบิน" ของพระเอกในเรื่อง...ลี้กิมฮวงก็ต้องแสดงความเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่ากับ...พรรคประชาธิปัตย์...

เพราะไม่ว่าจะเขวี้ยงมีดบินไปกี่ครั้ง...มันก็พลาดเป้าไปแทบจะทุกครั้ง

และแทบจะทุกครั้งที่มันพลาดเป้า...มันกลับพุ่งเข้ามาเสียบอกตัวเอง

ใครจะเชื่อว่า...พรรคการเมืองนิยมของคนไทยในยุคพ่อแม่ปู่ย่า...จะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้...ใครจะคาดหมายได้...ตัวตลกไม่กี่ตัวของพรรคการเมืองที่มีอายุเนิ่นนานเกินกว่าชั่วอายุคนพรรคนี้...จะสร้างความตกต่ำให้กับพรรคได้ถึงขนาดนี้

มาดของหัวหน้าพรรคที่ไร้ข้อตำหนิ กับวาจาที่สยบคนในสภาและหน้าจอโทรทัศน์ในเงียบงัน คนอย่าง ชวน หลีกภัย หาไม่ได้อีกแล้วหรือในพรรคการเมืองพรรคนี้

การอภิปรายอย่างแม่นยำในเนื้อหา...แสบมันฮา...แบบ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี วันนี้ไม่มีในอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์

หนักแน่นไปด้วยเหตุผลครบครันไปด้วยเรื่องราวข้ออ้าง...คนอย่าง ศุภชัย พานิชภักดิ์ และ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ไม่มีหามาทดแทนไม่ได้สักคนเลยหรือ

ใครจะเป็น ถนัด คอร์มันตร์ และ พิชัย รัตตกุล...

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...อำนาจของคนที่จะนั่งบนเก้าอี้หัวหน้าพรรคการเมืองไม่ใช่อยู่ที่สำนวนโวหาร...ที่สำคัญกว่านั้น...คือความเป็นจริงในเนื้อหา ข้อกล่าวหาที่ปราศจากข้อโต้แย้ง ความเป็นจริงที่ถูกนำเสนออย่างสุภาพเป็นผู้ดี...ไม่ใช่การป้ายสีและพูดจาสองแง่สองง่ามในสิ่งที่พิสูจน์ยืนยันไม่ได้...

หัวหน้าพรรคที่เป็นหัวหน้า...ต้องเป็นมากกว่าหุ่นเชิด ต้องควบคุมทหารราบพลเลวของพรรค...ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ต้องให้เกียรติกับศัตรูเท่ากับที่สถานะแห่งตน...หัวหน้าพรรคที่เป็นหัวหน้า ต้องมีบารมีมากกว่าอำนาจ

กรณี ว.5 ของ นายกรัฐมนตรีเพื่อไทย...ในโรงแรมใหญ่กลางกรุงนั้น...กำไรที่คิดว่าจะได้ กลายเป็นขาดทุนอย่างมากมาย ไม่ใช่เพราะเรื่องราว แต่เพราะวิธีการนำเสนอที่ต่ำทรามและแสนสถุล ของตัวตลกไม่กี่ตัวในหมู่พวกท่าน

คนดีๆ ในพรรคท่านนั่นแหละ...เขารู้สึกกัน

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ถวายเฮลิคอปเตอร์ !!?

*** สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. เข้าเฝ้าฯน้อมเกล้าฯถวายเฮลิคอปเตอร์เพื่อใช้เป็นพระราชพาหนะ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยังความปลื้มปีติแก่ ผบ.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นล้นพ้น

*** ที่ผ่านมาการปราบปรามยาเสพติดกำลังฮอต มีผลงานออกมาสู่สายตาประชาชนไม่ขาดสาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ มือปราบรุ่นใหญ่ รวมทั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. สรุปผลงาน 4 เดือนที่ผ่านมานำเข้ายานรกน้อยลง สกัดตั้งแต่ชายแดน ทั้งภาคเหนือ-อีสาน ริมฝั่งโขง แถมมีการร่างกฤษฎีกาพิจารณาการลงโทษ ให้นักโทษคดียาเสพติดถูกประหารชีวิตภายใน 60 วันหลังศาลตัดสิน ไม่เกี่ยวกับคดีอื่น อยู่ในระหว่างร่างตรวจสอบ

*** ยังไม่จบง่ายๆสำหรับคดีแก๊งอิหร่านระเบิดเขย่ากรุง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ยืนยันแก๊งคนร้ายชาวตะวันออกกลางมีเป้าหมายสังหารบุคคล เพราะการลงมือเหมือนกับระเบิดสังหารเหยื่อที่จอร์เจียและอินเดีย แต่เพื่อความไม่ประมาท ผบ.ตร. สั่งด่วนให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. สอบสวนผู้ต้องหาว่ายังมีเครือข่ายกบดานในไทยอีกหรือไม่ ล่าสุดขยายผลมีคนไทยร่วมขบวนการด้วย จึงกำชับให้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. วางกำลังคุมเข้มแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ

*** ชาวบ้านฝากชมมาสำหรับ พ.ต.อ.สมชาย ชำนิ ผกก. สภ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย มนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม เป็นนายตำรวจนักพัฒนา ชาวบ้านเดือดร้อนเข้าพบปรึกษาหารือได้ทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ

*** ฉากมาที่เรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย สัปดาห์ที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ นั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร. โดยมี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. เสนอวาระสำคัญพิจารณาเพิ่มอัตราระดับผู้บัญชา-ผู้การ-รองผู้การ-ผู้กำกับ-รองผู้กำกับ-สารวัตร-รองสารวัตร และพนักงานสอบสวน รวมแล้วกว่า 2,000 อัตรา ส่งผลให้การแต่งตั้งโยกย้ายโผ พ.ต.อ. ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน มี.ค. นี้โล่งสะดวกขึ้น

*** เยียวยาไฟใต้รายละ 7.5 ล้านบาท พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. พูดชัด จำนวนผู้ที่จะได้รับการเยียวยานั้นได้รวบรวมข้อมูลไว้บางส่วน แต่ยังเปิดเผยจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ส่วนชาวบ้านที่ถูกยิง 4 ศพ ในพื้นที่ปัตตานี หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เข้าข่ายที่จะได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์ เบื้องต้นได้มอบให้รายละ 500,000 บาท

*** ปิดท้าย พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิ์ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานจราจร นครบาล จัดตรวจสุขภาพให้ตำรวจจราจรเกือบ 5,000 นาย จนถึงวันที่ 5 มี.ค. นี้ ที่โรงพยาบาลตำรวจ

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ศาลยังไม่ให้ประกันคดีโทษรุนแรงกลัว‘อากง’วัย62ปีหลบหนี !!?

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง 7 นักวิชาการยื่นประกัน “อากง” ระบุคดีร้ายแร้ง ข้อต่อสู้คดีไม่มีน้ำหนักให้เชื่อว่าไม่ได้ทำผิดจริง หากให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี ด้านทนาย “โจ กอร์ดอน” เผยอัยการยื้อคดีขอยืดเวลาอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 3 อีก 30 วัน ทำให้ขอพระราชทานอภัยโทษไม่ได้ทั้งที่สารภาพและศาลตัดสินไปแล้ว แกนนำ ครก. 112 มั่นใจรวบรวมรายชื่อครบหมื่น เสนอแก้ม.112 ได้ทันกำหนด

ความคืบหน้ากรณีที่นักวิชาการ 7 คน ใช้ตำแหน่งพร้อมและหลักทรัพย์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันตัวนายอำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” วัย 62 ปี จำเลยคดีหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ศาลสั่งจำคุก 20 ปี จากกรณีส่งข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสเข้าโทรศัพท์มือถือคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์อ่านคำวินิจฉัยสรุปว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีกับพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วนับว่าร้ายแรง ประกอบกับข้อที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังไม่มีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หากให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี และที่จำเลยอ้างเหตุความเจ็บป่วยไม่ปรากฏว่าถึงขนาดจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ ทั้งทางราชการก็มีโรงพยาบาลที่จะรองรับให้การรักษาจำเลยได้อยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”

นายอานนท์ นำภา ทนายความของโจ กอร์ดอน ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แจ้งว่า อัยการได้ยื่นขอขยายเวลาอุทธรณ์ต่อศาลเป็นครั้งที่ 3 (ครั้งละ 30 วัน) มีกำหนดถึงวันที่ 8 มี.ค. นี้ หลังโจ กอร์ดอน รับสารภาพ และศาลตัดสินลงโทษเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2554 ให้จำคุก 5 ปี สารภาพลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งคือ 2 ปี 6 เดือน ส่งผลให้คดีของโจ กอร์ดอน ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยยังคงต้องอยู่ในเรือนจำโดยที่ยังไม่สามารถทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษได้ ทั้งนี้ อัยการสามารถขอขยายเวลาอุทธรณ์ไปได้เรื่อยๆไม่มีกำหนด จึงอยากตั้งคำถามว่าเป็นการกลั่นแกล้งให้ต้องติดคุกยาวหรือไม่ เพราะเมื่อคดีไม่สิ้นสุด ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ทั้งที่สารภาพไปแล้ว

ผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) เปิดเผยความคืบหน้าการรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ว่าที่ผ่านมามีปัญหาทางเทคนิคทำให้ดูเหมือนล่าช้า แต่ตอนนี้แก้ไขแล้ว และพยายามออกไปพบประชาชนให้มากขึ้น มั่นใจว่าจะได้รายชื่อครบ 10,000 ชื่อตามกำหนด 112 วันแน่นอน เพราะประชาชนตื่นตัวเรื่องนี้มาก

ผศ.ดร.ยุกติยอมรับว่า การที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลประกาศชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ประกอบกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนชัดเจน ส่งผลให้คนเสื้อแดงเกิดความลังเลพอสมควร แต่กลุ่มที่สนับสนุนให้แก้ไขก็ยังมีความเหนียวแน่น

นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการชุดที่ 2 ในคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ เปิดเผยว่า ตรวจพบการเคลื่อนไหวในลักษณะบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงใน 9 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา นครสวรรค์ อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย สงขลา และกรุงเทพฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเฝ้าติดตามพฤติกรรม ซึ่งการบ่อนทำลายมีทั้งพวกที่คิดล้มล้างและจาบจ้วง

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นายกรัฐมนตรี เร่งแก้ปัญหาราคาอาหารแพง !!?

รายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน เช้าวันนี้ (25 ก.พ.55) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จัดรายการสดจากตลาดศูนย์การค้ามีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยเนื้อหารายการส่วสนใหญ่ เป็นการพูดถึงปัญหาราคาสินค้าแพง ที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาราคาสินค้าแพง อยู่ในนโยบายรัฐบาลที่ต้องแก้ไข โดยที่ไม่แทรกแซงราคา จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยคำนึงถึงอุปสงค์และอุปทานเป็นหลักในส่วนของผลผลิตไข่ไก่ที่ล้นตลาด มอบหมายให้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ปริมาณการนำเข้าแม่พันธุ์ไก่เสรี ซึ่งทำให้ราคาไข่ไก่ถูกลง แต่หลังจากแปรสภาพและถึงมือผู้บริโภค ในวันนี้ยังมีราคาแพงอยู่ ซึ่งจะต้องบริหารจัดการราคาให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นธรรม โดยขณะนี้ ร้านอาหารธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ ได้คำนวณต้นทุนวัตถุดิบไข่ไก่ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พบว่า ไข่ไก่ถูกแปรสภาพจำหน่ายเป็นไข่เจียว สามารถจำหน่ายได้ในราคาจานละ 15 บาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะเร่งขยายโครงการ 1 ธงฟ้า 1 ชุมชน เกิดขึ้นให้มากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อให้ร้านอาหารธงฟ้า เป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค และอยากเชิญชวนร้านค้าต่างๆ เข้าร่วมโครงการอาหารธงฟ้า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เพราะหากร่วมมือกันเป็นจำนวนมากแล้ว จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในกลไกตลาดร่วมกัน สุดท้ายจะช่วยให้ร้านค้ามีกำไรได้ด้วยเช่นกัน

ส่วนปัญหา สุกรล้นตลาด เริ่มนำปัญหาราคาหน้าฟาร์ม , ราคาชำแหละ , ราคาหน้าเขียง และแปรสภาพขายให้ผู้บริโภคนั้นเป็นธรรมแล้วหรือไม่อย่างไร ซึ่งในขณะนี้ราคาเนื้อหมูนั้น เบื้องต้นแก้ปัญหาในระยะสั้นด้วยการสั่งคุมราคาไปก่อน จากนั้นต้องหาจุดสมดุลของราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ที่มา:เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ถกสภาเลิกตี2-สว.ปัดวุ่นรับเงินผ่านร่างแก้ รธน. !!?

บรรยากาศการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการอภิปรายในช่วงดึกเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้ง 3 ฝ่าย สลับกันอภิปราย โดยส่วนใหญ่ ส.ว. เลือกตั้ง ต่างสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลว่า ปี 2550 เป็นผลพวงจากการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย โดย ส.ว. หลายคนก็รอแก้ไขมาหลายปีแล้ว เพราะถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และต้องได้รับการยอมรับ อีกทั้งหลายมาตราก็เป็นปัญหา ทั้งนี้ ส.ว. หลายคนยังออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่า มีการให้สินบน เพื่อให้ช่วยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ส่วน ฝ่ายค้าน ได้โจมตีว่า หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรทำเป็นมาตรา และควรชี้ว่าแต่ละมาตรามีข้อบกพร่องอย่างไร รวมทั้งเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะมีเวลาอีกนาน แต่รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาเร่งด่วนคือเรื่องปากท้องของประชาชน หรือ แก้ปัญหาปรองดองก่อน ทั้งนี้ เนื้อหาการแก้ไขก็ไม่ชัดเจนและเกรงว่าจะแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ หรือ ช่วยเหลือคน ๆ เดียว และจะยกเลิกองค์กรอิสระหรือไม่ ขอให้นายกฯและรัฐบาลยืนยันว่า จะไม่ยุ่งกับ 3 เรื่องนี้ และห่วงว่าจะไม่ทำให้เกิดความแตกแยก จนกระทั่งเวลา 02.10 น. พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ได้สั่งพักการประชุมและให้เริ่มใหม่วันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น. รวมเวลาในการอภิปรายวันแรก 16 ชั่วโมง

นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวว่า หลังจากที่วิปรัฐบาล นัดหมายกับวิป 2 ฝ่าย เบื้องต้นทราบว่าจะมีการขอขยายเวลาจากฝ่ายค้าน ให้เท่ากับฝ่ายรัฐบาล คือ ขยายออกไปอีก 1.30 ชั่วโมง ดังนั้น จึงจะขยายเวลาให้กับทั้งฝ่ายค้านและวุฒิสภา ตามที่ขอมา คือ ทุกฝ่ายจะได้อภิปรายรวม 9.30 ชั่วโมง โดยเมื่ออภิปรายเสร็จ จะลงมติรับหลักการหรือไม่ ในทันที ทั้งนี้ ส่วนตัว ให้คะแนนการอภิปราย วานนี้ 8 เต็ม 10

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปฏิรูป..รัฐธรรมนูญ !!?

ได้ฤกษ์ขึ้นโครงตีจั่วกันเป็นที่เรียบร้อยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย ประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองไม่แพ้ชาติใดในโลก! รัฐบาลเองก็เดินหน้าเต็มสูบแก้ไขมาตรา 291 เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) งานนี้ถือเป็นการพิจารณาเป็นวาระลับเฉพาะกระทรวงยุติธรรมได้เสนอเหตุผลว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิรูปการเมือง ซึ่งมี สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ประกอบด้วย บุคคลจากหลายสายอาชีพ

เป็นองค์กรจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อปรับปรุงโครง สร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานปฏิรูปการเมือง โดย จะมีการตั้ง ส.ส.ร.3 จังหวัดละคนผสมที่ประชุมรัฐสภาสรรหา 22 รวม 99 คน กำหนดกรอบจัดทำร่าง รธน.แล้วเสร็จ 180 วัน ส่งให้ กกต.จัดทำประชามติให้เสร็จภายใน 15 วัน หากไม่ผ่านตั้ง ส.ส.ร.ชุดที่ 4 ใหม่ แต่คนเก่าเข้าร่วมไม่ได้ขณะเดียวกันผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประวิช รัตนเพียร ได้มีการแต่งตั้ง 10 อรหันต์ ขึ้นมาทำงานควบคู่ในฐานะคณะที่ปรึกษา ตามมาตรา 244 โดยกำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจในการติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอ แนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ตลอด ถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น

สำหรับคณะที่ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย จำนวน 4 คน ได้แก่ ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2550 ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ 4 คน ประกอบด้วย ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ศ.ดร.ศุภชัย เยาวะประภาษ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีต ส.ส.ร. ปี 2550

ส่วนคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายอีก 2 คน ประกอบด้วย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในส่วนของ 10 อรหันต์ หรือคณะที่ ปรึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมา ถือว่าน่าสนใจและน่าติดตามอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจาก จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว หลายคนยังเป็นเหมือนตัวแทนจากฝ่าย “Conservative” จับประเด็นจากทั้ง อ.วิษณุ เครืองาม และ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ต่างก็เคยหนุนตักพรรคเพื่อไทยในยุครุ่งเรืองมาแล้ว ทั้งสิ้น แต่เมื่อป๋าสั่งให้ถอนสมอ..ทั้งสองท่านก็รีบถอนแบบไม่ต้องลังเลแม้แต่น้อย.. ถ้าจะเรียกได้ว่า “เด็กป๋า” ก็คงไม่ผิด อะไรนัก

สำหรับลักษณะการทำงานของทั้งทีมเชื่อว่านี้น่าคู่ขนานกันไปอย่างราบรื่น โดยฝ่าย ส.ส.ร. เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญตาม ที่คณะที่ปรึกษาตีธง โดยไม่ต้องสับสน เพราะแม้ถึงทั้ง 2 ทีมจะมีที่มาจากคนละฟากฝั่ง แต่จากปรากฏการณ์ดนตรีกล่อมใจสลายกำแพงที่เป็นโอกาสให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กันเพื่อเคลียร์ปัญหาคาใจกันไปเรียบร้อย ทำให้เชื่อว่า การทำงานเพื่อประเทศจะดำเนินไปอย่างคล่องตัวและสะดวกขึ้น

แม้แต่กรณีของการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นผลพวงที่น่าพอใจ และเชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นไปด้วยดีจนต้องบันทึกไว้เป็นอีกหน้า หนึ่งของประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ ไทยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ แค่การแก้ไข..แต่เป็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยและเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะมีการจัดทำโดยมีรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นแม่แบบทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีความใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น เพราะประชาชนจะมีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการเริ่มแรก จนถึง ขั้นตอนสุดท้าย

หากเป็นได้ดังนั้นแล้ว ประชาชนจะมีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญ และรู้สึกหวงแหน เพราะตนเองเป็นเจ้าของ และย่อม พยายามปกป้องรักษา..ใครจะล้มล้าง ฉีกทิ้งทำลาย ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่แหละ..รัฐธรรมนูญ ฉบับในฝัน!!!

ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประยุทธ์ > ชี้ไทยต้องนิ่ง พูดมากไม่เกิดประโยชน์ หวั่นกลายเป็นคู่ขัดแย้ง !!?

ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปหน่วยบัญชาการพิเศษ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ที่ จ.ลพบุรี ต่อคำถามที่ว่าหน่วยรบพิเศษมีหน่วยงานด้านการข่าวจะเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ โดยเฉพาะงานด้านความมั่นคงว่า งานด้านการข่าวจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง และมีการย้ำเตือนมาตลอด โดยเฉพาะภัยคุกคามในช่วงนี้มีอะไรบ้าง ดังนั้น ทุกอย่างต้องขยับเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลงานปรากฏงานด้านการข่าว ทหารรับผิดชอบหลักในด้านการป้องกันชายแดนและงานข่าวกรองด้านการรบ คือ ข่าวที่รับมาและมาเข้าหน่วยข่าวกรอง มีการวิเคราะห์ออกมาจนเป็นผลิตผลและน่าเชื่อถือได้ก่อนจะนำไปสู่การปฏิบัติของกองกำลังตามแนวชายแดน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัจจุบันกองทัพมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีศูนย์ปฏิบัติการ 6 ศูนย์รับผิดชอบภัยคุกคาม 6 อย่าง หนึ่งในนั้นมีเรื่องการป้องกันการก่อการร้ายด้วย ซึ่งกองทัพจะใช้ในลักษณะการประสานความร่วมมือการด้านการข่าว ทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตำรวจ รัฐบาล และเชื่อมต่อกับในส่วนของต่างประเทศ ก่อนจะนำเข้ามาสู่ประชาคมข่าวกรองมีการประเมินกันทุกสัปดาห์ก่อนจะนำไปปฏิบัติ งานข่าวเป็นงานที่ยาก ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ มีการฝึกอบรมโดยเฉพาะหลักสูตรข่าวลับ ที่ต้องมีการทำงานที่ลึกลงไปมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาแหล่งข่าวทั้งโลกไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้ร้ายอาศัยในช่วงที่เจ้าหน้าที่เผลอในการก่อเหตุ ดังนั้น ต้องมีอุปกรณ์เสริมอย่าง กล้องซีซีทีวี การเฝ้าระวังของประชาชน ถ้าช่วยกันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งทั่วโลก

"ทุกวันนี้โลกเจริญ ถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตัวเอง โทษกันไปมาก็ไม่จบ ทั้งนี้ ต้องดูว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต การเข้ามาในประเทศไทยต้องควบคุมที่ดี รวมถึงการเฝ้าระวัง ที่ผ่านมาอาจจะมีช่องว่างจึงต้องกวดขัน ทั้งนี้ เรื่องการก่อการร้ายเราอย่าไปเป็นคู่ขัดแย้งดีที่สุด ใครทำผิดกฎหมายก็ว่ากันไป เราอย่าไปลงความเห็นว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ยิ่งพูดทำให้เกิดความเสียหาย ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดไปหมดแล้ว หากจะพูดกันไปมาทุกวันจะไม่เกิดประโยชน์" ผบ.ทบ.ระบุ

ที่มา:มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การเมือง เรื่องนม เด็ก !!?

ภายใต้ภาพอันสวยหรู! ที่รัฐบาลได้ จัดสรรเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาท เข้าไป “อุดหนุน” โครงการนมโรงเรียน แต่จนแล้วจนรอด..อภิโปรเจกต์นี้ ก็ยังประสบปัญหามากมาย ทั้งปมงาบหัวคิว การปลอมปนนมเด็ก หรือแม้แต่การจัดสรรโควตาที่ไม่โปร่งใส เหล่านี้ได้ยึดโยงไปถึง “มหากาพย์ทุจริตนมโรงเรียน” ที่ฝังรากมายาวนานนับสิบปี กระนั้นรัฐบาลก็ทำการจัดสรรงบประมาณปี 2555 กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อ ให้เด็กนักเรียนราว 8 ล้านคนได้ดื่มนมฟรี แต่ปรากฏว่า ในจำนวนนี้มีการปลอมปน “นมเด็ก” ไปมากถึง 70% และมีเม็ดเงินถึงมือเกษตรกรเพียง 1.5 พันล้านบาทเท่านั้น ที่น่าแปลก เพราะมีการกำหนด “โควตานม” วันละประมาณ 8 ล้านกล่อง แต่มีเด็กนักเรียนอยู่ 60% ที่ได้ดื่มนมฟรี ส่วนที่เหลืออีก 40% กลับไม่ได้ดื่ม นั่นเพราะยังคงมีปัญหานมบูด-เน่าเสีย หรือ แม้แต่การจัดสรรโควตานมที่ไม่ทั่วถึง
ยิ่งที่ผ่านมา ได้ปรากฏรายการ “ฮั้วโควตานม” โดยมีนักการเมืองคอยชี้โพรงให้เอกชนสองรายใหญ่เข้าไป “ผูกขาด!” ซึ่งแม้รัฐบาลจะใช้ระบบ “นายหน้า” หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้จัดซื้อเองโดยผ่าน “กลไก” ของทางกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

ขณะที่ผลพวงจากปัญหานมล้นตลาด ก็เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องรีบเข้ามาปัดกวาดขยะที่ซุกกันไว้ใต้พรม!! หลังจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมออกมาร้องแรกแหกกระเชอ! อ้างประสบปัญหาการขายน้ำนมดิบ เนื่องจาก 3 โรงงาน ประสบ ภาวะน้ำท่วมจึงไม่สามารถรับซื้อน้ำนมดิบได้ เกษตรกรจึงไม่มีแหล่งขาย ทาง ครม.จึงได้อนุมัติงบกลางปี 2555 วงเงิน 205.50 ล้าน บาท มาจัดซื้อนมพาสเจอไรส์ให้กับเด็กนักเรียนก่อนวัยเรียนจนถึง ป.6 นั่นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และชี้ให้เห็นว่า..รัฐบาลยังเกาไม่ถูกที่คัน!

เพราะไม่คิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู หรือ ไม่กล้าฟัน “คนกันเอง” อันถือเป็นหมาย เหตุแห่งคอร์รัปชั่นทั้งปวง แถมคนกลุ่มนี้ ยังมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกับ “แก๊ง สวาปามนมเด็ก” มาทุกยุคทุกสมัย แต่ในทันทีที่รัฐบาลเปิดเกม “จับปู ใส่กระด้ง” ด้วยการเชิดหัว “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เข้าไปค้ำยันในเก้าอี้ รมช.กระทรวงเกษตร ก็ได้เกิดแรงกระเพื่อมไหวอิงอยู่เป็นระลอก กระนั้นหลายฝ่ายก็ยังมองไปถึงการที่ “ณัฐวุฒิ” เข้าไปสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มสหกรณ์โคนมซึ่งเสียผลประโยชน์จากการนี้มหาศาล ทั้งที่ไม่มีการมอบหมายงานให้ดูแลในส่วนนี้ นั่นจึงเป็นอะไรที่ดูน่ากังขา และส่อเค้าลางว่า..อาจมีการกระทบกระทั่ง กันเมื่อใดก็ได้ ซึ่งที่สุดคงหนีไม่พ้น “ศึกใน” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะการ “รื้อระบบโควตานม” ซึ่งเดิมทีเป็นการผูกขาดของพรรคการเมือง พันธุ์ปลาไหล ที่ทำมาหากินมาในทุกยุคสมัยที่ เข้ามา “กุมอำนาจ” ในแดนสนธยาแห่งนี้ อีกทั้งได้มี “อินไซเดอร์” ออกมาแฉ กลวิธี!..การหักส่วนแบ่งค่าการตลาดของ ฝ่ายการเมืองที่เก็บอยู่ในอัตรากล่องละ 50 สตางค์ ในโควตานม 8 ล้านกล่องต่อวัน หรือ คิดเป็น 120 ล้านบาท/เดือน ซึ่งในปีหนึ่งๆ ก็มีส่วนแบ่งค่าการตลาดมากถึง 1,440 ล้านบาท เข้าไปอยู่ในบัญชีลับของ “ผู้มีอำนาจ” ในการจัดสรรโควตาฯ

นอกจากนี้ ยังมีการ “สวมสิทธิ์” รับซื้อ น้ำนมดิบ ขณะที่ตัวเลขการซื้อนมก็ไม่ตรงตามจริง เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้แทนที่ จะรับซื้อนมจากเกษตรกร แต่กลับซื้อนมผง จากต่างประเทศมาคืนรูป เพราะจะทำให้ได้ ส่วนแบ่งถึง 13% มากกว่ากำไร 4% ที่ได้จากการผลิตด้วยนมโคสด ทำให้ปัญหานมล้นตลาดเกิดขึ้นซ้ำซากยิ่งไปกว่านั้น ระบบตรวจสอบก็ยังมีปัญหาเช่นกัน เจ้าหน้าที่รัฐไม่เรียกเก็บ “ใบ รับรองสิทธิ” มาตรวจสอบ และไม่แนบหนังสือ รับรองสิทธิ์การซื้อน้ำนมดิบ เพื่อใช้ประกอบ การยื่นฎีกาเบิกเงินงบประมาณ ส่วนการจัด จำหน่ายนมโรงเรียนก็มีปัญหานายหน้า หรือ “มาเฟียนม” มีทั้งการฮั้วประมูลและการเรียกเก็บค่าหัวคิว ที่สุดก็ไร้ซึ่งการตรวจสอบ คุณภาพนมก่อนส่งให้เด็กนักเรียนนำไปบริโภค สิ่งนี้ถือเป็น “หมากใต้กระดาน” ที่ รัฐนาวายิ่งลักษณ์ ต้องรีบเข้าไปสะสาง! หากไม่คิดให้ซีกฝ่ายค้านหยิบฉวยไปเป็นเครื่องมือ “ลากไส้รัฐบาล” ในการอภิปรายฯ เที่ยวล่าสุดนี้

เหนืออื่นใด การที่รัฐบาลจะหมายมั่น เข้าไป “ล้างโกง” ให้อยู่หมัดนั้น ก่อนอื่นคงต้องทำการ “ปฏิรูป” นโยบายนมโรงเรียนทั้งระบบ ด้วยการตัดวงจรนายหน้าออกไป เพราะพบว่า 12% ของกำไรจากอุตสาหกรรม นมโคสดแท้ ตกไปอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ดังนั้นรัฐบาลอาจต้องหันไปสนับสนุนเกษตรกรโคนม พึ่งตนเองได้ด้วยการ “เพิ่มอำนาจต่อ รอง” ให้มากขึ้น เพราะถือได้ว่ารัฐผุดโครงการนี้ขึ้นมาก็เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด! โดยเพิ่มความต้องการน้ำนมดิบเข้ามาในระบบไปพร้อมๆ กับการจัดสวัสดิการอาหารเสริมให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศ

แต่กระนั้น ทางออกอันสวยหรูที่ “รัฐนาวา” วาดภาพฝันไว้นั้น กลับเต็มไป ด้วยขวากหนามอันแหลมคม! เพราะนับจากเริ่มต้น “อภิโปรเจกต์นมโรงเรียน” ก็ เกิดปัญหาตามมามิได้หยุดหย่อน วนเวียน จากปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่กำลังเบ่งบาน ณ ตอนนี้ นำไปสู่ปมการเมืองเรื่องนมเด็ก.. ในอีกวาระหนึ่ง!?!

ที่มา:สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อ.สุขุม. ชูมุมคิดนิติราษฎร์ล้ำยุค เหตุผลที่ทหารไม่กล้าปฏิวัติ สารพัดปัจจัยเสี่ยง ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ..!!?

สัมภาษณ์


นักการเมือง ปัญญาชน ตั้งญัตติสาธารณะกันว่า การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

การเคลื่อนไหวทางความคิดของ "คณะนิติราษฎร์" จะกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่วิกฤตการเมืองซ้ำรอยยุค 6 ตุลาคม 2519

อ.สุขุม นวลสกุล คนธรรมศาสตร์ ที่เคยเป็นทั้งนักศึกษาในยุค "สายลมแสงแดด" เป็นปัญญาชนในยุคเปลี่ยนผ่านลัทธิคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลต่อความคิดนักศึกษา รู้-เห็นเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19 จนก้าวขึ้นสู่อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงในช่วงต่อมา

ต่อไปนี้คือข้อวิเคราะห์ ทำนายผล มุมมองการเมือง คำวิจารณ์กองทัพ และ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในฐานะจุดเสี่ยงของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"

- มองปรากฏการณ์ความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกิดขึ้นอย่างไร
คณะนิติราษฎร์มีความน่าเชื่อถือ ตั้งแต่อาจารย์วรเจตน์ (ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์) ต่อต้านรัฐประหาร 19 กันยา และรัฐธรรมนูญ 2550 จึงเป็นที่เชื่อถือของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับ คมช. และเมื่อคณะ

นิติราษฎร์เคลื่อนไหวมาตรา 112 มันทำให้คณะนิติราษฎร์ถูกระแวงว่ามีความคิดสุดโต่งหรือเปล่า ก่อนหน้านี้บทบาทคณะนิติราษฎร์คนระแวงว่าเป็นมือไม้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) หรือเปล่า แต่มาถึงตรงนี้มันกลายเป็นล้มเจ้าหรือเปล่า ยิ่งระยะหลังพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่กล้าจะยืนด้วย กลายเป็นกลุ่มล้มเจ้าไปเลยหรือเปล่า

- มาตรา 112 ที่มีเพียง 3 บรรทัดในประมวลกฎหมายอาญา มีความอันตรายมากแค่ไหน
การเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์หลาย ๆ ข้อที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ผมเห็นด้วยอยู่ข้อหนึ่ง คือข้อที่คนเอามาใช้เป็นเครื่องมือ เอามากล่าวหาคนอื่น เช่น ไม่ว่าใครก็ได้มีสิทธิเป็นเจ้าทุกข์ฟ้องร้อง จึงทำให้นำมาเล่นเป็นการเมืองได้ แล้วคนที่โดนกล่าวหามันพูดได้ไม่เต็มปากหรอก พูดไปพลาดพลั้งเลยกลายเป็นความจริงเลย

- การแก้ปัญหาจะเริ่มต้นจากไหน
สำหรับผม ผมติดใจวรรคนี้ ผมอยากแก้ให้มีองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องการฟ้องร้อง ให้องค์กรนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ บุคคลสามัญไม่มีสิทธิ

- มีหลายฝ่ายเสนอว่าอาจให้ราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้อง
แต่อาจไม่ใช่ราชเลขาธิการก็ได้ อาจเป็นทำเนียบองคมนตรีก็ได้ แต่ขอให้เป็นโดยเฉพาะ ไม่ใช่ให้ใครก็ได้ไปฟ้อง

- มองเหตุการณ์ความขัดแย้งกรณีมาตรา 112 ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างไร
เรื่องการห้ามคณะนิติราษฎร์ชัดเจนว่าเป็นการปิดกั้นเรื่องเสรีภาพ แต่ผมลองคิดดูว่าถ้าผมเป็นอธิการบดี ซึ่งผมก็เคยเป็น ผมจะห้ามไหม คำตอบผมก็จะห้าม เพราะผมกลัวว่ามันจะเกิดความรุนแรง เพราะมันเคยเกิดความรุนแรงในกรณีอย่างนี้มาแล้ว

แม้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในธรรมศาสตร์ คนตายไปก็เป็นวีรบุรุษ ผมบอกว่าถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ผมก็ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเหมือนกัน ไม่สมควรจะมีใครตายเพื่อเป็นวีรบุรุษ

จริง ๆ แล้วคือไม่ได้ห้าม ผมคิดว่าวันนี้เสรีภาพยังมีในธรรมศาสตร์เต็มที่ เพราะเขาห้ามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ได้ห้ามความคิด ท่านอธิการบดี (นายสมคิด เลิศไพฑูรย์) ก็ไม่ได้ take action หรือเข้าไปสอบสวน ผมจึงคิดว่าหยุดเอาอธิการบดีเป็นจำเลยเสียทีได้แล้วมั้ง เพราะเราเห็นเนื้อแท้ของท่านไม่ใช่เป็นคนปิดกั้นเสรีภาพ

- มีการโยงเหตุการณ์ เรื่องแก้ไขมาตรา 112 ว่าเหมือนกับยุค 6 ตุลา ทั้ง 2 เหตุการณ์มีความต่าง-เหมือนกันอย่างไร
มันต่างกันตรงที่เหตุการณ์ในอดีตมันเป็น action มีการแสดงละครล้อเลียน ทำให้เข้าใจผิดว่าแขวนคอ นั่นมัน action มันไม่เหมือนพูดกันเรื่องความคิดนะ แต่ปัจจุบันมันยั่วเย้ากว่าไหม เร่งเร้ากว่าหรือเปล่า

- เหตุการณ์ปัจจุบันไม่มี ไม่มีการแสดงละครล้อเลียนเหมือนในอดีต แต่เนื้อหาอาจกลายเป็นสิ่งเร้า
ก็เนี่ย...คนบางระดับมันอาจทนไม่ได้ แต่คนระดับที่ใช้สติปัญญาเขาว่า เออ... มันน่าถกเถียงกันนะ อย่างผมฟังแล้วเฉย ๆ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องความรุนแรง

- แต่กระแสสังคมกลุ่มความคิดอนุรักษนิยมยังระแวงอยู่
ก็ระแวงอยู่แล้วไง ระแวงอยู่แล้วยังไม่พอ ยังหาจังหวะอยู่แล้วหรือเปล่า ฉะนั้นตรงนี้จึงไม่ควรเสี่ยง เมื่อคนยังระแวงความคิดนี้อยู่ นิดก็ว่ามาก มากก็ว่าทนไม่ไหว คนมันระแวงอยู่แล้ว แล้ว กลับมีบางกลุ่มอยากใช้เรื่องนี้หาเรื่อง ทำให้กลุ่มซึ่งเคลื่อนไหวเหล่านี้ผิด หมดความน่าเชื่อถือ

- ในมุมคณะนิติราษฎร์ควรหยุด เคลื่อนไหวหรือไม่
หยุดเรียกร้อง หยุดเซ็นชื่อ หยุดความเคลื่อนไหว หยุดการกดดันเพื่อจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้

- ผลจากการสั่งห้ามทำให้คณะนิติราษฎร์ใช้พื้นที่เคลื่อนไหวนอกมหาวิทยาลัย
ไม่หรอก เคลื่อนในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ เคลื่อนไหวแบบท้าทาย ซึ่งในแบบทฤษฎีความคิดที่ต้องระวังคือความคิดตกยุค กับความคิดล้ำยุค

ความคิดตกยุค เช่น บอกว่าร่างรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นหน้าที่ของอรหันต์ พอออกมาคนก็โห่ ไม่เอาเพราะมันตกยุค

ส่วนความคิดล้ำยุค คือความคิดที่คนตามไม่ทัน นี่ก็อันตราย เหมือนผมอยู่ ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นคนที่มีความคิดล้ำยุคคือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ พ.ศ. 2476 พูดเรื่องสังคมนิยมขึ้นมา คนบอกว่าคอมมิวนิสต์เพราะมันล้ำยุคไป เพิ่งมาพิสูจน์กันตอนหลังว่าท่านคือบุคลากรที่มีค่าของโลก เมื่อก่อนนี้ในธรรมศาสตร์ไม่มีกระแสให้นับถือ ดร.ปรีดี เพราะฉะนั้นความคิดของคณะนิติราษฎร์ก็ออกจะล้ำยุค

- ฉะนั้น ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่ให้พระมหากษัตริย์มาปฏิญาณตนต่อรัฐสภา ถือว่าเป็นความคิดที่ล้ำยุค
มันล้ำยุคเกินไปไง มันล้ำยุคเกิน (พูดซ้ำ 2 ครั้ง) ยิ่งประเทศไทยบุคลาธิษฐาน การนับถือตัวบุคคลสูง พูดง่าย ๆ คือ เหมือนเป็นการตั้งคำถามกับพ่อแม่คุณโดยไม่สมควร

- ปรากฏการณ์ที่ ผบ.ทั้ง 3 เหล่าทัพเรียกร้องให้คณะนิติราษฎร์ยุติการเคลื่อนไหว สะท้อนถึงอะไร
ก็เขามีจุดยืนคนละแบบ เขาถูกอบรมมาว่าห้ามแตะ ห้ามต้อง ต้องสักการะบูชา เหมือนอย่างเรานับถือพระ คนอื่นมาบอกว่าแต่งแบบนี้ไม่ดี ให้เปลี่ยนเสีย คนนับถือก็ไม่ยอม มันคนละแบบ

- ระยะแรกพรรคเพื่อไทยดูเหมือนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ แต่ระยะหลังกลับตีจาก วิเคราะห์ปัจจัยการตีจากมาจากเหตุผลใด
พรรคเพื่อไทยอยากจะแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จ แต่ถ้าคนระแวงว่าการแก้รัฐธรรมนูญมีการล่วงล้ำสถาบันพระมหากษัตริย์จะทำให้เกิดกระแสต่อต้าน ส่งผลพลอยได้ไปถึงการแก้รัฐธรรมนูญจะทำไม่ได้ ฉะนั้นพรรคเพื่อไทยถึงพยายามตัดว่าเขาไม่เกี่ยวนะ วันนี้หน้าตาของคณะนิติราษฎร์เป็นมาตรา 112 ไปแล้ว เรื่องแก้รัฐธรรมนูญของคณะะนิติราษฎร์คนลืมไปแล้ว ไม่ใช่ภาพแล้ว เมื่อเจอข้อนี้เข้าพรรคเพื่อไทยโดดหนีเลย นี่คือวิธีแก้

- ฝ่ายพรรคการเมืองเปลี่ยนท่าที แต่นักวิชาการไม่ยอมปรับตัว
คือนักวิชาการไม่จำเป็นต้องปรับความคิดถึงขนาดนักการเมือง เพราะนักการเมืองต้องปรับเพื่อให้เข้าไปอยู่ในรัฐสภาให้ได้

แต่คนที่เป็นนักวิชาการสอนหนังสือ ไม่จำเป็นต้องปรับก็ยังสามารถอยู่ในสถานะนักวิชาการเหมือนเดิมได้ มันคนละแบบกับนักการเมือง แต่ถ้านักวิชาการจะเป็นนักการเมืองก็ต้องปรับเหมือนกัน เราจึงเห็นนักวิชาการบางคนที่ถูกประณามว่าขายตัว เพราะเขาต้องปรับตัวเพื่อจะเล่นการเมือง

- อาจารย์เชื่อตามที่นักการเมืองในเพื่อไทยบอก ว่ามีขบวนการที่จ้องรัฐประหารอยู่จริงหรือไม่
ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่กลุ่มที่จะพยายามรัฐประหาร คือการเมืองไทยเราเคยคิดว่าจะไม่มีรัฐประหารอีกแล้ว แต่มันก็ยังมี ฉะนั้นมันไว้ใจไม่ได้เลย เขาอาจไม่ได้คิดวันนี้ แต่ถ้าจังหวะมันมาเหมือนอย่างคราวที่แล้ว ผมคิดว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เขาก็ไม่ได้คิดมาก่อน แต่จังหวะมันมา

- ก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก มีการวิเคราะห์ว่า พล.อ.ประยุทธ์มีบุคลิกที่สามารถทำรัฐประหารได้ ถ้าให้อ่านใจ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีโอกาสทำรัฐประหารได้หรือไม่
ไม่...ถ้าให้อ่านใจ ผมว่า ผบ.ทบ. ระยะหลังไม่มีใครอยากปฏิวัติ เพราะเห็นแล้วว่าทำไปแล้วกระบวนการรับไม้ต่อจากการปฏิวัติมันหนัก มันไปไม่ได้ ยิ่งมาเห็นภาพวันนี้ พล.อ.สนธิยังเข้าไปในระบบเลย เพราะฉะนั้นผมไม่คิดว่าคนที่มาเป็น ผบ.ทบ.แล้วต้องปฏิวัติ นี่คือเครื่องมือของข้า...ไม่ใช่ ไอ้เรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์

- เหมือนกับว่ากองทัพมีบทเรียนมาแล้ว ไม่ควรเดินตามรอย
ถูก ๆ ควรใช้คำว่า บทเรียน

- วิเคราะห์การปรับ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 2" อย่างไร
เป็นเพราะแนวคิดการตั้งคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลหรือของพรรคเพื่อไทยมีเรื่องของสมบัติผลัดกันชมปนอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องความไม่มีประสิทธิภาพ เรื่องสมบัติผลัดกันชมเป็นหลักหนึ่งของการจัด ครม.ของเขา ใน 35 คนอาจจะมีตัวหลักส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนมันเป็นสมบัติผลัดกันชม

- มีเสียงสะท้อนว่ารัฐมนตรีมาจากกลุ่มชินคอร์ป (อินทัช) เข้ามามากขึ้น
เขาก็จะทำตามนโยบายเขาไง

- จะทำให้ถูกมองว่าบริหารเพื่อ พ.ต.ท. ทักษิณมากขึ้น
มันถูกมองอยู่แล้ว

- ที่ถูกวิจารณ์ว่ารัฐบาลน้องสาวขึ้นมา บริหารประเทศเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้ยังมีภาพนั้นหรือไม่
ก็ยังมีอยู่ คนยังระแวงอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องไม่ลืมอีกเหมือนกันว่า ทางพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคนเลือกเขาเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาก็ต้องขาย พ.ต.ท. ทักษิณ ช่วยหรือไม่ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณคือสิ่งที่ออกมา แต่ที่เห็นแน่ ๆ คือพยายามช่วย แต่บางทีมันมีปัญหาอุปสรรคอยู่ เพราะมันมีกลุ่มต่อต้าน

- พ.ต.ท.ทักษิณจะมีโอกาสกลับไทยได้หรือไม่ ด้วยกลไกพิเศษ เช่น พ.ร.บ. นิรโทษกรรม
เขากำลังพยายาม แต่จะสำเร็จหรือเปล่ายังต้องอาศัยเวลาอีกนาน

- ถ้าปัจจัยทักษิณยังเป็นส่วนที่ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในตัวรัฐบาล รัฐบาลควรก้าวข้ามไปก่อนหรือไม่
บางคนบอกว่าให้ก้าวข้ามไปก่อน 1 ปี ไม่ต้องแตะ แต่อยู่ตรงที่ พ.ต.ท. ทักษิณคิดอย่างไร ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณคิดว่า เฮ้ย...ต้องเร็วที่สุดสิ มันมีอิทธิพลต่อคนในพรรคไหม มันไม่ได้อยู่ที่พรรคคิดอย่างไร เพราะไม่ว่าอย่างไรคนก็มอง พ.ต.ท.ทักกษิณเป็นนายใหญ่

- ปัจจัยอะไรที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์อายุสั้นลง
ก็มีอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียว (เรื่องทักษิณ) ถ้าเดินไม่ดีอีกฝ่ายมีความชอบธรรมที่จะต่อต้านเมื่อไรก็เสร็จ ส่วนปัจจัยการทำงานเป็นปัจจัยย่อย ถ้าทำงานแล้วดีคนอาจยอมรับขึ้น แต่วันนี้ปัจจัยการทำงานคนมักจะเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่าสมัยรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามก็ทำงานไม่ประทับใจเหมือนกัน

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กล้านรงค์ ไม่รับมุก ปชป. เด้งหนีสอบ เศรษฐา. ชี้ไม่ใช่จนท.รัฐ...!!?



'กล้านรงค์'ไม่รับมุกปชป. เด้งหนีสอบ'เศรษฐา' ชี้ไม่ใช่จนท.รัฐ

กล้านรงค์ จันทิก

"กล้านรงค์" มึน "มัลลิกา" บอก ปชป.จะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบกรณีนายกฯ กับ "เศรษฐา" บิ๊กแสนสิริ ชี้ถือเป็นเอกชน มองไม่เห็นว่า ป.ป.ช.จะเข้าไปดำเนินการได้อย่างไร ขณะที่ "ชนินทร์" เผยประชาธิปัตย์ยังไม่สรุปจะยื่น กมธ.ชุดไหน รออีก 1-2 วันจะมีความชัดเจน...

กรณี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาระบุขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ กำลังรวบรวมข้อมูลบัญชีทรัพย์สินของ นายเศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เครือแสนสิริ กรุ๊ป ว่าบัญชีทรัพย์สินมีความผิดปกติหรือไม่ เพื่อที่จะยื่นต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ สภาฯ ให้ตรวจสอบทรัพย์สินหนี้สินของผู้บริหารแสนสิริย้อนหลังไป 7 เดือน รวมทั้งจะตรวจสอบว่า เคยพบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาแล้วกี่ครั้ง และมีการหารือถึงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ไปกี่รอบ รวมทั้งความสัมพันธ์ก่อนที่จะมาเป็นนายกฯ นอกจากนี้ เรียกร้องให้คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบย้อนหลังบัญชีของนายเศรษฐา และโครงการหมู่บ้านและคนใกล้ชิดของเครือข่ายแสนสิริ เพื่อดูว่าบัญชีย้อนหลังมีความผิดปกติในบัญชีหรือไม่

มัลลิกา บุญมีตระกูล

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และโฆษก ป.ป.ช. เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า หน้าที่โดยหลักของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีนายเศรษฐาถือเป็นเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งยังมองไม่เห็นว่า ป.ป.ช.จะเข้าไปดำเนินการอะไร อย่างไร คงต้องดูคำร้อง หรือดูเรื่องราวก่อนว่า ผู้ร้องจะมาร้องหรือไม่ และร้องว่าอย่างไร แต่โดยส่วนตัวแล้วมองว่า นายเศรษฐาไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช.ยังไม่เห็นแนวทางว่าจะดำเนินการอะไรได้

ด้านนายชนินทร์ รุ่งแสง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีข้อสรุปว่า พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นขอตรวจสอบไปที่คณะกรรมาธิการชุดใด และตนก็ยังไม่ได้รับเรื่องดังกล่าว เพียงแต่ว่าหากมีการยื่นมาจริง ก็ต้องทำหน้าที่โดยการเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ซึ่งจะเลี่ยงไม่มาชี้แจงคงไม่ได้ ส่วนขั้นตอนจากนั้น หากชี้แจงแล้วพบว่าข้อกล่าวหามีมูลตามที่มีผู้ร้อง กรรมาธิการก็อาจส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ แต่หากไม่พบว่ามีความน่าสงสัย หรือไม่มีความผิดปกติใดๆ กรรมาธิการจะแถลงไปตามที่ได้ทำการตรวจสอบ เรื่องก็จะยุติไป

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การที่คณะกรรมาธิการจะเรียกผู้ใดเข้าชี้แจงนั้น ต้องผ่านที่ประชุม ซึ่งก็คงต้องดูที่ประชุมอีกครั้งว่าจะมีมติอย่างไร หากมีการยื่นเรื่องขอตรวจสอบเข้ามาจริง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นยังไม่มีข้อสรุปเรื่องนี้ น่าจะอีกราว 1-2 วัน คงจะมีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป.

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/239470
ที่มา: ไทยรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++