--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

รัฐสภาใหม่ !!?

เรื่องรัฐสภาแห่งใหม่...สมควรจะสร้างหรือไม่...อาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ต้องนำมาใคร่ครวญกันในขณะนี้...แต่ที่น่าจะนำมาใคร่ครวญกว่า...คือว่า...

สถานที่ตรงนี้ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงเกียกกาย...เป็นสถานที่เหมาะสมหรือไม่...

น้ำท่วมคราวที่ผ่านมา...ประเทศวอดวายไปแล้วเท่าไหร่...หากว่ารัฐสภาแห่งใหม่จมน้ำใครจะรับผิดชอบ...ท่านทั้งหลายที่สนับสนุนท่ามกลางเสียงค้านนี้...พร้อมจะถูกดำเนินคดีหรือไม่...เพราะราคาของรัฐสภาแห่งใหม่...พวกท่านทั้งหลายคนไร้หนทางจะชดใช้...

รัฐสภาแห่งใหม่...น่าจะอยู่ริมถนนใหญ่...ไม่ไกลสนามบิน...และสามารถเดินทางเข้าออกได้อย่างคล่องตัว...แต่เกียกกายตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้...มันตั้งอยู่ในมุมแคบๆ และติดแนบอยู่กับแม่น้ำเจ้าพระยา...

รัฐสภาแห่งใหม่...น่าจะกำหนดให้ใช้งานไปได้อีก 100 ปี...มันจึงน่าจะมีพื้นที่กว้างขวางเป็นพันไร่...มันจะต้องมีปาร์คหรือสวนสาธารณะเป็นองค์ประกอบ...จะต้องมีที่จอดรถเป็นพันคัน...จะต้องมีเรือนรับรองสำหรับคนสำคัญของโลกเมื่อมาเยี่ยมเยือนรัฐสภา...ภาพแห่งรัฐสภาเมื่อมองเข้าไป..จะต้องดูสมกับเป็นสภาแห่งมหาประชาชน...จึงต้องมองลึกเข้าไปมีถนนใหญ่รองรับ แต่ที่เกียกกายที่ดินแค่ร้อยกว่าไร่...ให้ปั้นเป็นรัฐสภาทองคำ...มันก็ซอมซ่อหาความโอ่อ่าไม่พบการป้องกันรักษาความปลอดภัยก็ไม่ใช่ง่าย...

รัฐสภาแห่งใหม่...ไม่จำเป็นต้องไปไล่ โรงเรียนค่ายทหาร...เพราะรอบๆ กรุงเทพฯ ยังมีที่ว่างอีกมากมายที่สามารถก่อสร้างรัฐสภาให้โอ่อ่าอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องรื้อไม่ต้องทำลาย...หากจะได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา...รอบๆ กรุงเทพฯ ก็ยังมีที่ดินมหึมาให้นำมาปรับปรุงได้...

รัฐสภาแห่งใหม่...ควรสนใจในเรื่องมลภาวะ...กับภาวะโลกร้อนที่เป็นเรื่องราวของโลกวันนี้...หากรัฐสภาอยู่สระบุรี...แน่นอนว่าอากาศที่นั่นจะดีกว่าอุณหภูมิ...ก็เย็นกว่า...เจ้าหน้าที่รัฐสภาก็จะย้ายไปอยู่ในสถานที่พักที่จัดไว้ให้...ลดภาระการจราจรในกรุงเทพฯ...ไม่ว่ามองประเด็นไหน...รัฐสภาใหม่ไม่ควรเกิดที่...เกียกกาย...

นอกจากจะอยากได้ "เงินทอน" ไวไว...เพราะเวลามันไล่ล่า...เหมาะอย่างเดียวของ "รัฐสภา" ที่เกียกกาย...ก็คือ "คอร์รัปชั่น" ได้ไวกว่า...แค่นั้น

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
**********************************************************

เสร็จนาฆ่าโคถึก !!?

ไม่อยากเห็น “กองทัพ” ทำหน้าที่ เป็น “นั่งร้าน” ให้เขาเหยียบบ่า ก้าวไปคว้ารางวัลเป็น “นายกรัฐมนตรี” เหมือนที่ผ่านมา..สุดท้ายท่านจะเสียความรู้สึก
ทำปฏิวัติ ๑๙ กันยาฯ..บรรลุผล ให้เขาเข้ามา มีอำนาจเหนือประเทศ
เสร็จแล้วเหยียบกบาล “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.อดีตประธานคมช. ด้วยความทุเรศ
ไม่อยากเห็น ขุนศึกแม่ทัพใหญ่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่าฝูงทัพบก เดินเหยียบรอยเท้า เหมือน “บิ๊กบัง” พอเขาสมประโยชน์ ก็มองไม่เห็นเงาหัว
คราวนี้มีคำทำนาย...ปฏิวัติแล้วผู้นำต้องลี้ภัย?...เขาหมายถึง “บิ๊กตู่”จึงบอกไว้ให้รู้ตัว

++++++++++++++++++++++++

จัดหนัก..จัดเต็ม
“รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นเป้าที่จะถูกล้ม เพื่อให้หลุดเฟรม
เพราะถ้า “นารี่ขี่ม้าขาว” ยังเป็น “นายกรัฐมนตรี” โดยมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตย หนุนอย่างคับคั่ง
นักการเมืองโฉด ใจโหดอำมหิต ที่สั่งฆ่าประชาชน ๙๑ ศพ ก็จะสังเวยคุกตะราง
ฉะนั้น,เพื่อไม่ต้องเป็นนักโทษแผ่นดิน ไม่โดนอาญาแห่งศาลยุติธรรม..ช่วงนี้จึงเกิดรายการ “เจาะยาง” คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่หยุด
ถ้า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ยังลอยร่อง...พวกนี้ก็ต้องม่อง?....ถูกจองจำจบชีวิตในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

ขอความเป็นธรรมสักที
กราบเรียนไปถึง “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร คนดี
การปูนบำเหน็จ ตกรางวัล ให้ยศให้ขั้นเจ้าหน้าที่สภาฯ มีการเล่นเส้นเล่นสายกันน่าดู
ใครสนิทกับนักการเมือง ได้ “๒ ขั้นตลอด” ทั้งที่ไม่มีผลงาน..ดีแต่เลียแข้งเลียขาเท่าที่รู้
“เจ้าหน้าที่สภาฯ” ที่ทำงานเต็มร้อย ทุ่มเทชีวิตและจิตใจ ถูกมองข้ามปล่อยให้พวก “ดีครับผม...เหมาะสมครับท่าน” ได้ดีหน้าชื่นตาบาน
ท่านประธานสมศักดิ์ เจ้าค่ะเจ้าขา...อยากบอกให้รู้ว่า!...การให้ขั้นนั้น ควรวัดกันที่ผลงาน

++++++++++++++++++++++++

เป็นแผ่นเสียงตกร่อง
ครั้งใด ที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็น “ฝ่ายค้าน” มักอวดลีลา ว่าทำเพื่อพี่น้อง
ในเมื่อ “สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล” สส.ขาโจ๋จอมเก่า แห่งเมืองตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ร้องแรกแหกกระเชอ ว่าถนนหนทางจังหวัดตรังหลายแห่ง ไฟฟ้าไม่มี
พิโธ่พิถัง, พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคเก่าแก่ของประเทศไทย ท่านก็เป็นรัฐบาลมาหลายสมัย ไฉนถึงไม่ของบสร้างไฟฟ้า เล่าคุณพี่
มาโหวกเหวกโวยวายสับ งบประมาณปี ๕๖ ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อย่างเสียหาย ไม่เข้าท่าเลยนะ
เป็นรัฐบาลงานไม่ทำ...ไฉนไม่ด่าตัวเองสักคำ?...ขอถามว่าหยั่งงี้ถูกแล้วหรือจ๊ะ

++++++++++++++++++++++++

แย่งกันปั่นผลงาน
๓ สส.พิษณุโลก ของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง “ไก่”จุติ ไกรฤกษ์ หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม และ นคร มาฉิม ไงล่ะท่าน
โชว์ผลงานสร้างเรตติ้งในสภาฯ เพื่อให้เข้าตา “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”หัวหน้าพรรค และ “ท่านชวน หลีกภัย” ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค กันเป็นการใหญ่
หวังลม ๆ แล้ง ๆ ถ้า “ปชป.” เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล ๑ ใน ๓ สส.พิษณุโลก จะได้เป็นรัฐมนตรี ปะไร
เกรงแต่ว่า จะพากันฝันเปียก ฝันค้าง ชวดฉลูได้เป็นรัฐมนตรี เท่านั้นแหละพี่
ดูอนาคตกันแล้ว...ประชาธิปัตย์มีแต่แผ่ว?..ไม่เห็นแว่ว จะชนะเลือกตั้ง เสียที

คอลัมน:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

เฟ้นไปที่ทีมเศรษฐกิจ !!?


เฟ้นไปที่ทีมเศรษฐกิจ

ชิงจังหวะเล่นเร็วจน “วิ่ง” ไม่ทันก็แล้วกัน

โดยปฏิบัติการทำคลอด ครม. “ยิ่งลักษณ์ 2” ที่ “ล็อกชั้นความลับ” ลงมือกันเฉพาะระดับคีแมนย์อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน โดยมีนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวแสดงอยู่ฉากหน้า

อุบไต๋นิ่ง กว่าชื่อจะออกมาก็เข้าสู่กระบวนการสำคัญไปแล้ว

เอาเป็นว่า ไล่กันตามโพย ประเมินเงื่อนไขเบื้องต้น ในอารมณ์ปรับแก้เหลี่ยมทางการเมือง ตามท้องเรื่องของ “เสี่ยแมว” นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่หลุดเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการ หลบแรงเสียดทานของก๊วน ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทย ลดเกรดไปนั่งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ

แต่เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจแม่ยกอย่าง “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องจัดให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ สายตรงในคาถา “เจ๊แดง” อีกคน ขึ้นชั้นไปนั่งเป็น รมว.พาณิชย์

ปิดดีลไปแบบหยวนๆ ก๊วน “เจ๊แดง” ไม่ได้ไม่เสีย

แต่ที่ต้องลุ้นได้เสีย กับจุด “วัดใจ” เสียวๆในเกมประลองอำนาจ กรณีการโยก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ในฐานะเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 ของอดีตนายกฯทักษิณ จากเก้าอี้ รมว.คมนาคม ปรับอารมณ์ ไปนั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม แทน “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่โดนโยกไปนั่งเป็นรองนายกฯ

โดยภาวะทางใจยากจะเลี่ยงคิวขบเหลี่ยมระหว่างเตรียมทหารรุ่น 10 ของอดีตนายกฯทักษิณ กับเตรียมทหารรุ่น 12 ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

คงต้องประเมินสถานการณ์ด้านกองทัพกันใหม่

อย่างไรก็ดี อ่านกันตามนี้ เหลี่ยมการเมืองหยวนๆไม่มีแรงกระเพื่อมมากมาย ส่วนเกมอำนาจต้องลุ้นวัดใจทหาร แต่จุดไฮไลต์สำคัญที่จะมีผลต่อเชิงบริหารและการปั่นผลงานของรัฐบาลในคิวปรับ ครม.รอบนี้ น่าจะอยู่ที่การโยก “เดอะโต้ง” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ ไปนั่งควบขุนคลัง ตามภารกิจเข็น พ.ร.ก.โอนหนี้เน่ากองทุนฟื้นฟูฯให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หาช่องโยกเงินถมเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ ตามแผนฟื้นฟูประเทศไทย

เดิมพันแต้มสำคัญของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”

พร้อมๆกับชื่อของนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตผู้บริหารไทยคม ถูกดึงมานั่งเป็น รมว.พลังงาน เบื้องหลังจัดเป็นซีอีโอคู่บารมีของ “ทักษิณ” รุ่นบุกเบิกธุรกิจอาณาจักรชินฯมาด้วยกัน

ถึงขั้นเรียกใช้มือระดับนี้ แสดงว่าต้องเป็นภารกิจสำคัญ

อย่างที่รู้ๆกัน คิวยกเครื่อง ครม.รอบนี้จุดยุทธศาสตร์อยู่ที่ทีมเศรษฐกิจ “ทักษิณ” จำเป็นต้องเฟ้นทีมงานมืออาชีพเข้ามาสู้กับวิกฤติความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ที่กำลังลามในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

พายุลูกใหญ่กำลังพุ่งเข้าหารัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”

ขณะเดียวกัน ก็ยังมีภารกิจใหญ่ในการฟื้นฟูประเทศจากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเดิมพันความคาดหวังของ 16 ล้านเสียงที่เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อมั่นในเชิงบริหารเศรษฐกิจของ “ทักษิณ”

ถ้า “เอาไม่อยู่” ก็ไม่ต้องพูดถึงเกมลากยาวบนเก้าอี้นายกฯของ “ยิ่งลักษณ์”

มันจึงเป็นอะไรที่ต้องปรับหมาก ดึงซีอีโอมืออาชีพระดับสายตรงที่กึ๋นทันกัน พร้อมรับสัญญาณการถ่ายทอดแนวคิดจาก “ทักษิณ” เล่นเป็นทีมเวิร์ก ไปในทิศทางเดียวกัน

และนั่นก็โยงไปถึงโควตาของพรรคชาติพัฒนาฯ ที่ปรากฏชื่อสดๆซิงๆของ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ ขึ้นแป้น รมว.อุตสาหกรรม แทน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล

ตามคุณสมบัติเบื้องต้น คุณชายพงษ์สวัสดิ์เป็นอดีตรองอธิการบดี และคณบดีคณะนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบปริญญาโทด้านการบริหารจัดการอุตสาหกรรมจากสหรัฐอเมริกา

เบื้องหลังว่ากันว่า โดยความตั้งใจทีมพรรคชาติพัฒนาฯของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ–พินิจ จารุสมบัติ–ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ล็อกสเปกมาเพื่อเดินยุทธศาสตร์ปรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย ให้พร้อมสำหรับการรองรับประชาคมอาเซียนในอนาคต

ตามแผนปั่นโปรไฟล์ช่วย “ยิ่งลักษณ์” กระตุกความเชื่อมั่นประเทศไทย

ที่ยังรวมไปถึงเบื้องหลังการดึงคนดังระดับโลกอย่าง “โทนี่ แบลร์” อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เดินทางมาโชว์ปาฐกถาพิเศษ การันตีเมืองไทยยังน่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน กระตุกเครดิตหลังน้ำท่วมใหญ่ ท่ามกลางกระแสข่าวบั่นทอนความเชื่อมั่นที่สหรัฐฯประกาศไปทั่วโลก ขบวนการก่อการร้ายวางแผนบอมบ์ในเมืองไทย
เพิ่มโจทย์ยากๆให้ “ยิ่งลักษณ์” ยิ่งต้องการ “ตัวช่วย” สู้เดิมพันกู้เศรษฐกิจ

ตามเงื่อนไขที่อ่านทางกันได้ ใครเดาอารมณ์ “นายใหญ่” ออก รับมุกได้ทันกัน มันก็จะมีผลข้ามช็อตไปถึงการยกเครื่องใหญ่ ตอนคนบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษแบน

ระดับโคตรเซียนเดินเกมข้ามช็อตไปแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน

ที่มา: ไทยรัฐ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปรับ ครม.สนอง.นายใหญ่-นายหญิง.ตอบแทนเสื้อแดง !!?

เปิดเผยถึงรายชื่อโผครม.ยิ่งลักษณ์ 2 เป็นการปรับโดยนำบุคคลที่ใกล้ชิดตระกูลชินวัตร และเป็นคนสายตรงทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จากรายชื่อที่ปรากฏออกมาพบว่ากลุ่มคนที่ปรับเข้ามาในครั้งนี้ รวมถึงถูกปรับออก เป็นไปในลักษณะต่างตอบแทน ทั้งนี้เนื่องจากเดิมมีการคาดหมายว่าจะมีการปรับครม.หลัง

จากอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย จากบ้านเลขที่ 111 พ้นจากการถูกตัดสิทธิทางการเมืองราวสิ้นเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ แต่หากรอปรับครม.ในช่วงกลางปี ก็อาจทำให้มีส.ส.อีกหลายคนที่ทำประโยชน์ให้กับพรรคในช่วงที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรี จึงทำให้ต้องปรับครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ก่อนเพื่อเปิดโอกาสให้มีการตอบแทนทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นยังสังเกตได้ว่าบุคคลที่ถูกปรับเข้ามาในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นตัวจริงที่เป็นมือทำงานให้กับตระกูลชินวัตรหลายคน โดยเฉพาะว่าที่รัฐมนตรีคนนอกอย่าง นายอารักษ์ ชลธารนนท์ ที่จะเข้ามาเป็นรมว.พลังงาน รวมถึงนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ว่าที่รมช.คมนาคม

ขณะที่ว่าที่รัฐมนตรีสายตรงที่เข้ามารับงานสำคัญครั้งนี้ ได้แก่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค ว่าที่รมว.คมนาคม นายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล ว่าที่รมต.สำนักนายกฯกำกับดูแลสื่อ นอกจากนั้นว่าที่รัฐมนตรีสายตรงในกลุ่มของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็ยังได้โควตาเท่าเดิม แม้นางกฤษณา สีหลักษณ์ จะหลุดโผ แต่ก็ได้นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เข้ามาทดแทน ขณะที่บางคนได้เขยิบตำแหน่งขึ้นอย่างนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ จากรมช.คลัง ขึ้นรมว.พาณิชย์ ในส่วนการตอบแทนแกนนำเสื้อแดง ทำให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ติดโผว่าที่รมช.เกษตร ทั้งนี้นอกจากตอบแทนทางการเมืองแล้ว ยังจะทำให้สามารถขยายฐานมวลชนสนับสนุนพรรคเพื่อไทยได้อย่างต่อเนื่องด้วย

ส่วนกระแสข่าวอีกด้านหนึ่ง เปิดเผยถึงเบื้องหลังในการปรับครม.ครั้งนี้ ว่า มีสาเหตุหลักๆมาจาก 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1 .ต้องการปรับให้การทำงานดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาการทำงานของรัฐมนตรีหลายคนไม่มีผลงาน ทำให้ภาพรัฐบาลออกมาดูแย่ 2.เป็นการปรับตามความต้องการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ 3.เป็นการตอบแทนให้ตำแหน่งกับแกนนำเสื้อแดง

ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่จะมานั่ง เป็น รมช.เกษตรนั้น ก็เป็นการตอบแทนตำแหน่งให้กับ"แกนนำเสื้อแดง" ที่ร่วมสู้กับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดจนได้เป็นรัฐบาล

สำหรับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ที่มานั่งในตำแหน่ง รมว.ศึกษาฯ ก็เพื่อจะมาดำเนินการในเรื่องหมู่บ้านเสื้อแเดงให้เป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมานายสุชาติ ได้ตระเวนไปพบปะกับชาวบ้านเสื้อแดงมาโดยตลอด

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ปู.. รื้อ16 เก้าอี้ บุญทรง พณ. พงษ์สวัสดิ์ อุตฯ. อารักษ์ พลังงาน. จารุพงศ์ คมนาคม. สุชาติ ศึกษาฯ..!!?

@ปูนำชื่อครม.ใหม่ทูลเกล้าฯแล้ว

รายงานข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 16 มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ขึ้นทูลเกล้าฯเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากในช่วงเช้าได้เรียกบุคคลที่มีโอกาสเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี เข้ามายังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกรอกประวัติ และตรวจสอบคุณสมบัติ อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรค เพื่อไทย นางนลินี ทวีสิน อดีตผู้แทนการค้าไทย และอดีตผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อันดับที่ 125 และนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย

@อดีตซีอีโอไทยคมนั่ง′พลังงาน′

สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีที่จะปรับเปลี่ยนครั้งนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา จากรัฐมนตรีว่าการ (รมว.) กระทรวงกลาโหม เป็นรองนายกรัฐมนตรี ก่อนจะโยก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จาก รมว.คมนาคม มานั่งเป็น รมว.กลาโหม แทน โดยให้นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค เพื่อไทย ขึ้นเป็น รมว.คมนาคม

นอกจากนั้น ยังโยกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ไปดำรงตำแหน่งรองนายกฯควบ รมว.คลัง โดยให้นาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง เด็กในสาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นไปเป็น รมว. พาณิชย์ ขณะที่นายอารักษ์ ชลธารนนท์ อดีตผู้บริหารไทยคม จะเข้ามานั่งเป็น รมว.พลังงาน ส่วนนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็น รมว. ศึกษาธิการ โดยโยกนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนางนลินี ทวีสิน ที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

@′ณัฐวุฒิ′รมช. ′โกวิท′หลุด

ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคน เสื้อแดง เป็น รมช.เกษตรฯ แทนนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เป็น รมช.สาธารณสุข นายศักดา คงเพชร เป็น รมช.ศึกษาธิการ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เป็น รมช.คลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ดอกเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคมนาคมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษาด้านการคมนาคมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็น ลูกชาย พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ อดีต ผบช.น. เป็น รมช.คมนาคม ส่วนรัฐมนตรี ในสังกัดพรรคชาติพัฒนา (ชพ.) มีเปลี่ยนตำแหน่งเดียวแทน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล คือ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ อดีตคณบดีคณะนวัตกรรม ม.ธรรม ศาสตร์ ที่เข้ามานั่งในตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม จากการปรับ ครม.ครั้งนี้ มีบุคคลที่หลุดจากตำแหน่งทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ (รองนายกฯ) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล (รมว.คลัง) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ (รมว.พลังงาน) นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ (รมต.ประจำสำนักฯ) นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ (รมช.คมนาคม) นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ (รมช.เกษตรฯ) นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น (รมช.สาธารณสุข) และนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล (รมช.ศึกษาธิการ)

@ทักษิณ′เรียกส.ส.ตกรางวัล

รายงานข่าวจาก พท.แจ้งว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรียก ส.ส.พท.ให้เดินทางไปพบที่เมืองดูไบ สหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์ โดยมีเลขานุการส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ดูแลเรื่องการเดินทางและที่พักให้ ซึ่ง ส.ส.ที่เดินทางไปประกอบด้วย พ.อ. อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน นายพ้อง ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร นอกจากนั้น ยังมี ส.ส.ที่ได้รับรางวัล ส.ส.ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่นจากเมื่อครั้งงานเลี้ยงปีใหม่พรรคเพื่อไทย ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย ประกอบด้วย นายอำนวย คลังผา ส.ส.สระบุรี นายอนันต์ ศรีพรรณ ส.ส.อุดรธานี นางชมภู จันทาทอง ส.ส.หนองคาย นายวิวัฒน์ไชย โหตระไวศยะ ส.ส.ศรีสะเกษ รวมถึง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

@ปชป.ชี้ต่างตอบแทน′เสื้อแดง′

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกระแสข่าวมีชื่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พท. มีตำแหน่งในการปรับ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 2" ว่า มีโอกาสสูงเพราะลักษณะของ พท. จะตอบแทนให้กับคนที่ทำงานให้ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกประชาชนที่ไม่ได้ชื่นชอบ แต่เป็นภาพที่คนสนับสนุน พท.รับได้ การปรับ ครม.จากนี้ไปจะเป็นการปรับเพื่อตอบแทนบุญคุณกับคนที่ทำงานทางการเมืองให้พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะ

ที่ผ่านมาตอบแทนหมดแล้วโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เห็นได้จากมติ ครม. อนุมัติเงินชดเชยเยียวยาให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ขณะนี้เหลือเพียงเรื่องเดียว คือช่วยผู้ชุมนุมที่ถูกตัดสิน ว่าทำผิดตามกฎหมายอาญาไม่ได้รับโทษ ซึ่ง กำลังหาช่องทางช่วยด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ" นายนิพิฏฐ์กล่าว
ฟ้องศาลปค.เลิกมติเยียวยา

บ่ายวันเดียวกัน ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง ปชป. พร้อมด้วยนายสมชาย เกิดรุ่งเรือง ลุงของ ด.ช.จักรพันธุ์ ศรีสะอาด หรือน้องฟลุค เหยื่อที่เสียชีวิตจากการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปี 2545 ในฐานะ ผู้จัดการมรดกน้องฟลุค และนายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง พฤษภาทมิฬ เดือนพฤษภาคม ปี 2535 ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ครม.เรื่องกระทำการโดยมิชอบ กรณี ครม. มีมติวันที่ 10 มกราคม 2555 อนุมัติเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549-พฤษภาคม 2553

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ครม. และมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ที่นำหลักการเยียวยาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร ขึ้นมาอ้างเพียงบางส่วน และเพิ่มเติมหลักเกณฑ์อื่นๆ นอกเหนือจากที่ คอป.เสนอ โดยผู้ถูกฟ้องทั้งสอง อนุมัติให้เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์การเมืองตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549-พฤษภาคม 2553 ที่กำหนดช่วยเหลือสำหรับกรณีเสียชีวิต 4.5 ล้านบาทต่อราย กรณีสูญเสียอวัยวะสำคัญ 3.6 ล้านบาทต่อราย กรณีสูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ 1.8 ล้านบาทต่อราย กรณีบาดเจ็บไม่สูญเสียอวัยวะ 1,125,000 บาท กรณีบาดเจ็บไม่สาหัส 675,000 บาท กรณีบาดเจ็บเล็กน้อย 225,000 บาท รวมทั้งการจ่ายค่าชดเชยเยียวยาให้กับผู้ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองด้วย

@แจ้งความ′ปู′ปฏิบัติมิชอบ

คำฟ้องระบุต่อว่า การออกมติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรม เพราะการเยียวยาไม่ครอบคลุมถึงการชดเชยความเสียหายอื่นๆ เช่น ผู้เสียชีวิตจากกรณีตากใบหรือกรือเซะ ความรุนแรง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยราษฎรและทหารซึ่งเสียชีวิตหรือบาดเจ็บยังได้รับการเยียวยาที่น้อยกว่า หรือจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในอดีตปี 2516, 2519 และ 2535 ซึ่งการออกมติดังกล่าวขัดต่อหลักความเสมอภาคที่รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 30 บัญญัติไว้ จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอน มติ ครม. 10 มกราคม 2555 ทั้งหมด และขอให้ผู้ถูกฟ้อง มีมติกำหนดหลักเกณฑ์เยียวยาความเสียหายให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งต่างๆ อย่างเท่าเทียมกันเป็นธรรม โดยไม่รวมถึงกรณีผู้กระทำความผิดตามกฎหมายในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยศาลรับคำฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 81/2555 เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่าจะรับฟ้องหรือไม่
นายสาธิตกล่าวว่า จะเดินทางไป สน.ดุสิต แจ้งความดำเนินคดีนายกรัฐมนตรี และ ครม. ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย เนื่องจากการอนุมัติเงิน มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวมทั้งบุกรุกสถานที่ราชการ ฯลฯ

@ส.ว.รุมค้านรบ.เยียวยาเหยื่อ

ส่วนการประชุมวุฒิสภา วันเดียวกัน ซึ่งมี พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ส.ว. หลายคนได้ขอหารือถึงกรณีที่ ครม. มีมติเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2549-2553 โดยนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า เป็นมติ ครม.ที่บ้าระห่ำ ที่ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์และสงสัยในเรื่องการเท่าเทียมว่า ชีวิตที่สูญเสียของบุคคลที่มาชุมนุม หรือชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐที่มาปฏิบัติหน้าที่แล้วบกพร่อง อาทิ กรณีตากใบ ครู-พระที่เสียชีวิตในภาคใต้ มีความแตกต่างจากชีวิตที่สูญเสียจากการชุมนุมทางการเมืองในปี 2552 หรือ 2553 อย่างไร

นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า คิดว่าน่าจะเป็นมติที่ผิดกฎหมาย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการชดเชย เยียวยา ฟื้นฟู ที่ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติและทางการเงิน เรื่องนี้ไม่ได้นำไปสู่ความปรองดองแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยก สองมาตรฐาน อยากถามว่า เงินที่นำมาจ่ายนั้นใช่เงินภาษีประชาชนหรือไม่ อาจทำให้เกิดคำถามในเรื่องมาตรฐานประชาชนว่า เขาอาจละเว้นการเสียภาษีให้กับรัฐบาลในการนำเงินไปผลาญเช่นนี้

@′ยงยุทธ′เดินหน้าจ่ายเยียวยา

ขณะที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า แม้ ปชป.จะยื่นศาลปกครอง แต่การจ่ายเงินเยียวยาจะยังเดินหน้าต่อไป เว้นแต่ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาว่าอย่างไรต้องดูอีกครั้ง แต่ยืนยันจะไม่รอ ส่วนการคำนวณเงินเยียวยาใช้หลักเกณฑ์รายได้ต่อหัวและคำพิพากษาศาลบางส่วนเป็นหลัก
นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอถามว่าที่ ปชป.นำเงินภาษีประชาชนไปซื้ออาวุธ ซื้อกระสุน แล้วนำมาฆ่าประชาชน ถือเป็นการใช้ภาษีประชาชนไปในทางที่เหมาะสมหรือไม่ "ปชป.ควรศึกษาให้ละเอียด เพราะการช่วยเหลือเยียวยา ไม่ได้ทำเฉพาะกับคนเสื้อแดง ยังรวมถึงคนเสื้อเหลืองที่บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม รวมถึง น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตในการชุมนุมก็จะได้รับเงิน 7.75 ล้านบาทด้วย ไม่ได้

@เลือกปฏิบัติว่าใครเป็นใคร

ย้ายผู้ต้องขังการเมืองแล้ว

นายกอบเกียรติ กสิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการย้ายผู้ต้องขังคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองว่า ได้รับมอบพื้นที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างเป็นทางการเรียบร้อย ดังนั้น ในวันที่ 17 มกราคม เวลา 13.00 น. กรมราชทัณฑ์เตรียมย้ายผู้ต้องขังทั้ง 47 ราย ไปคุมขังยังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ โดยใช้บริเวณชั้น 3 เป็นที่คุมขังเพียงชั้นเดียวเนื่องจากปริมาณน้อย ซึ่งเป็น 2 ห้อง คุมขังผู้ต้องขังชาย เฉลี่ยห้องละ 20 คน ส่วนผู้ต้องขังหญิงมีคนเดียวจึงแยกคุมขังอีก 1 ห้อง

นายกอบเกียรติกล่าวถึงการพิจารณาคุณสมบัติผู้ต้องขังกระทำผิดมาตรา 112 ว่า คณะกรรมการคัดเลือกคุณสมบัติผู้ต้องขังคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ได้หารือ คอป. เพื่อถามข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลดังกล่าวว่ามีมูลเหตุการกระทำผิดมาจากความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ เนื่องจาก คอป.มีข้อมูลหลายส่วน รวมทั้งรายละเอียดเชิงลึก จากนั้นกรมราชทัณฑ์จะนำข้อมูลหารือคณะกรรมการของกรมราชทัณฑ์เพื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์อีกครั้ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งสองอย่างคือ ได้รับการโอนย้ายและไม่ได้รับสิทธิโอนย้ายไปเรือนจำชั่วคราวหลักสี่

@ชี้นิติราษฎร์แยกสถาบัน-มั่นคง

ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก ปชป. แถลงกรณีคณาจารย์คณะนิติราษฎร์ล่ารายชื่อเพื่อแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า มีหลายสิ่งที่คณาจารย์กลุ่มนี้พูดขาดความจริง ขาดจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ 1.การจะเอาเรื่องหมิ่นสถาบันออกจากความมั่นคงชาติ ไม่ทราบว่าเติบโตจากประเทศไหน เพราะคนไทยรู้ดีว่าความมั่นคงของสถาบันคือความมั่นคงประเทศ ไม่สามารถแยกจากกันได้ 2.ที่อ้างว่าถ้าไม่ปล่อยให้วิจารณ์อย่างเสรี จะทำให้สถาบันเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย ที่จริงสถาบันไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย และอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมานาน ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงข้ออ้างแก้มาตรา 112 3.ถ้าดูมาตรา 133-134 กำหนดโทษหมิ่นประมาทผู้แทนประมุข ผู้แทนรัฐต่างประเทศ ระวังโทษจำคุก 1-7 ปี ทำไมกลุ่มนิติราษฎร์ไม่เรียกร้องให้แก้ไข และ 4.การแยกองค์ราชินี ผู้แทนรัชทายาท ออกจากการคุ้มครองในหมวดกษัตริย์ ไม่กำหนดโทษเพดานต่ำสุด แต่กำหนดโทษสูงสุดเพียง 3 ปี หมายความว่าบุคคลใดหมิ่น อาจมีช่องว่างไม่ให้รับโทษเลยใช่หรือไม่

"กลุ่มนิติราษฎร์กำลังบิดเบือนหลอกลวงสังคม สร้างภาพความเข้าใจผิดในการบังคับใช้มาตรา 112 ว่ามีปัญหา ทั้งที่จริงแล้วกฎหมายฉบับนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย เรื่องนี้กระทบความรู้สึกคนไทย ยกเว้นพวกนักวิชาการกำมะลอ เหล่านี้" นายชวนนท์กล่าว

@′มาร์ค′แนะวางกรอบม.112

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า ปชป. กล่าวถึงการเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอ แก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ คณะกรรมการรณรงค์แก้ไข มาตรา 112 ซึ่งมีกลุ่มนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ ร่วมอยู่ด้วยว่า การรวบรวมรายชื่อเพื่อส่งให้สภาพิจารณา แก้กฎหมายเป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร เช่นเดียวกับเมื่อมีการมองว่ากฎหมายดังกล่าวมีปัญหาในการบังคับใช้ ก็ควรจะต้องไปพิจารณาว่าจะมีการปรับปรุงเฉพาะการบังคับใช้ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ได้อย่างไร ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มผู้เสนอให้ยกเลิก มาตรา 112 ส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่า ยิ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและพรรค เพื่อไทยต้องไปทำความเข้าใจ และวางกรอบว่า จะดำเนินการอย่างไรตามความเหมาะสม

ที่มา: มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////

แก้ม.112จุดแตกหักเสื้อแดง-เพื่อไทยไม่หนุนแยกเคลื่อนไหว !!?

เสื้อแดงรอวัดใจแกนนำที่เป็น ส.ส. และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย หากร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสภาไม่ได้รับการสนับสนุนอาจตัดสินใจแยกตัวออกไปขับเคลื่อนทางการเมืองเอง เพื่อนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง โฆษกประชาธิปัตย์จวกนิติราษฎร์พวกเศษสวะสังคม บิดเบือนข้อมูล ทำเรื่องกระทบจิตใจคนไทย

+++++++++++

ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกนนำกลุ่มสันติประชาธรรม กล่าวถึงการขับเคลื่อนของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนเพื่อผลักดันร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาว่า การรวบรวมรายชื่อประชาชนสนับสนุน 10,000 ชื่อ ไม่น่ามีปัญหา และน่าจะได้เกินแน่นอน เมื่อยื่นเรื่องต่อสภาแล้วก็ถือว่าพ้นจากมือของคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) และจะเป็นเรื่องของสภา จะแก้ได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับเสียงในสภา

ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองทุกพรรคทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่กล้าแตะต้องมาตรา 112 นั้น ดร.เกษมกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกระแสแรงกดดันจากสังคมว่าจะเอาอย่างไร เพราะปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่หมายถึงหลายๆอย่างที่รวมกันอยู่ภายใต้กรอบและวิธีคิด รวมถึงอนาคตของประชาธิปไตยและสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะที่ผ่านมามีการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมืองตลอดเวลา

แหล่งข่าวระดับนำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ระบุว่า ไม่แปลกใจกับท่าทีของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศไม่แตะต้องมาตรา 112 แต่เมื่อภาคประชาชนขับเคลื่อนเรื่องนี้ถึงสภาแล้วก็จะเป็นการวัดใจแกนนำเสื้อแดงที่เป็น ส.ส. ว่าจะดำเนินการอย่างไร หากไม่ช่วยผลักดันในสภาจะเกิดปัญหาระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน

“อาจมีผลกระทบถึงขั้นที่คนเสื้อแดงจะแยกตัวออกมาตั้งพรรคการเมืองเอง เพื่อขับเคลื่อนบ้านเมืองไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง”

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวโจมตีคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ว่าขาดจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

“ที่เสนอให้เอาเรื่องหมิ่นสถาบันออกจากเรื่องความมั่นคง ผมไม่รู้ว่าเขาเกิดและเติบโตมาจากประเทศไหน เพราะถ้าเป็นคนไทยแท้ๆจะรู้ว่าความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติคือความมั่นคงของประเทศ ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และที่อ้างว่าการไม่ปล่อยให้มีการวิจารณ์อย่างเสรีจะทำให้สถาบันเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย ผมก็อยากรู้ว่านักวิชาการคณะนี้ไปศึกษาหาความรู้มาจากไหน เพราะสถาบันไม่เคยเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย”

นายชวนนท์ยังตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวให้แก้กฎหมายเพื่อวิจารณ์สถาบันได้ต้องการสั่นคลอนความมั่นคงใช่หรือไม่ ทำไมไม่เรียกร้องให้แก้มาตรา 133-134 เรื่องหมิ่นประมุขและผู้แทนรัฐต่างประเทศที่มีโทษจำคุก 1-7 ปี แต่กลับมาเรียกร้องให้แก้ไขเพื่อให้หมิ่นประมุขของตัวเองได้ และพยายามจะแยกคดีหมิ่นประมาทพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ออกไปต่างหากอีก

“คณะนิติราษฎร์กำลังบิดเบือนเพื่อหลอกลวงสังคมให้เชื่อว่ามาตรา 112 มีปัญหา ทั้งที่ความจริงกฎหมายไม่มีปัญหาเลย ที่อ้างว่าในปี 2553 มีการกล่าวโทษถึง 478 คดี แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจิตใจของคนเริ่มมีปัญหาจากการถูกปลุกปั่นให้ข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อให้เกิดความแตกแยก จึงอยากให้รัฐบาลออกมาแสดงท่าทีให้ชัดเจน เพราะนักวิชาการกลุ่มนี้เป็นพวกเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กระทบต่อจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ ยกเว้นพวกนักวิชาการกำมะลอหรือพวกเศษสวะสังคมกลุ่มนี้ ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด แปลว่าสนับสนุนใช่หรือไม่”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเข้าชื่อเสนอให้แก้กฎหมายเป็นสิทธิ แต่รัฐบาลต้องแสดงความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร

“ที่บอกว่ามาตรา 112 มีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้ ก็ไปแก้ที่การบังคับใช้ ไม่ใช่แก้ที่ตัวกฎหมาย”


ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

นิติราษฏร์แจงแก้ ม.112 ยังป้องสถาบัน นิธิฯ คนเดือนร้อน 478 คดี !!?



วรเจตน์"แจงข้อเสนอนิติราษฎร์แก้ม.112ยังมีก.ม.ปกป้องสถาบันแต่ต้องปรับปรุง ด้าน"นิธิ"แนะแยกก.ม.หมิ่นฯออกจากหมวดความมั่นคงคนเดือดร้อน478คดี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดตัว คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา112 "นักวิชาการ - นัดคิด - นักเขียน"เพียบ เตรียมใช้เวลา 112 วัน ล่ารายชื่อก่อนเสนอสภา "นิธิ" แนะแยกกฎหมายหมิ่นสถาบันออกจากหมวดความมั่นคง "วรเจตน์"แจงข้อเสนอนิติราษฎร์ยังมีกฎหมายปกป้องสถาบัน แต่ต้องปรับปรุง

มธ.คึกคนเสื้อแดงร่วมรณรงค์ยกเลิกม.112

ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา112 (ครก.112) ซึ่งนำโดยนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์และเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคม อาทิ กลุ่มสันติประชาธรรม กลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กลุ่มนักคิดนักเขียน ได้จัดเวทีวิชาการ-ศิลปวัฒนธรรม “แก้ไขมาตรา112” โดยมีการเปิดโต๊ะลงชื่อประชาชนที่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ให้ครบ10,000รายชื่อเพื่อเสนอรัฐสภาพิจารณา พร้อมมีการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) ซึ่งระบุให้ยกเลิกมาตรา112 และให้บัญญัติโทษเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตลอดจนองค์รัชทายาท ขึ้นมาใหม่

โดยมีท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่เข้ามาร่วมงานกันอย่างคึกคัก รวมถึงมีนักวิชาการมาร่วม อาทิ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเบนเนดิก แอนเดอร์สัน นักวิชาการชื่อดัง เข้าร่วมงานด้วย ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่มาร่วมรับฟังสวมเสื้อสีแดง ขณะที่บรรยากาศโดยรอบนั้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังเป็นปกติ ไม่มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมใดๆ

ระบุเสรีภาพไทยล้าหลังเทียบเกาหลีเหนือ

นางกฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะตัวแทนครก.112 อ่านคำแถลงการณ์ระบุตอนหนึ่งว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหาร พ.ศ.2549 มีสถิติผู้ต้องโทษตามมาตรา112 หรือที่รู้จักกันดีในนามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2553ซึ่งทีการฟ้องร้องถึง 478ข้อหา ซึ่งเปรียบเสมือนว่าความจงรักภักดีนี้ได้เป็นอาวุธสำหรับการข่มขู่ คุกคาม และในความอ่อนไหวของข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ มักทำให้ผู้ถูกกล่าวหาประสบกับการบังคับใช้กฎหมายไม่คำนึงถึงสิทธิพลเมือง เช่น ไม่ให้มีการประกันตน มีการไต่สวนด้วยวิธีปิดลับ อีกทั้งยังมีการกดดันจากสังคม อย่างเช่นกรณีการล่าแม่มด ทั้งนี้รายงานปี2554ขององค์กรฟรีดอมเฮาส์ได้เปลี่ยนสถานะเสรีภาพของสื่อมวลชนไทยจากกึ่งเสรีเป็นไม่เสรี ส่งผลให้ไทยถูกจัดอับอยู่ในกลุ่มเดียวกับเกาหลีเหนือ พม่า จีน คิวบา อัฟกานิสถาน อิหร่าน นอกจากนี้ยังมีกรณีที่มีผู้ถูกดำเนินคดี เช่น กรณีอากง กรณีนายโจ กอร์ดอน ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดังกระหึ่มทั่วโลก ซึ่งทำให้องค์กรระหว่างประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรา112 ทั้งนี้จะใช้เวลารวบรวมรายชื่อ 112วัน และจะนำเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้ลุล่วง

"นิธิ" แนะปรับออกจากหมวดความมั่นคง

ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ปาฐกถาผ่านวีดีโอตอนหนึ่งว่า กฎหมายดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนถึง 478 คดี แต่เชื่อว่าถ้านับรวมความเดือนร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นจำนวนมากกว่านั้น มีคนบอกว่าหากเราไม่ทำผิดก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าวิเคราะห์ในรายละเอียดจะพบว่ากฎหมายนี้ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการวินิจฉัยผู้กระทำความผิด ทั้งที่ผู้ที่ไม่มีเจตนาแต่อาจพลั้งเผลอไปก็อาจถูกเหมารวมดำเนินความผิดเช่นเดียวกับผู้ที่เจตนาและทำขบวนการเช่นกัน ทั้งนี้ตนเห็นว่าควรจะมีการยกเลิกและปรับปรุงสาระในกฎหมาย อาทิ การเอาความผิดกับกรณีดังกล่าวที่ๆไม่ควรเอาไปไว้ในหมวดความผิดต่อความมั่นคง การระบุอำนาจการฟ้องร้องที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครก็ได้สามารถฟ้องร้อง ซึ่งสุ่มเสียงต่อการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แทนที่ควรจะมีบุคคลที่มีวิจารณญาณ มาร้องทุกข์กล่าวโทษ ทั้งนี้หากไม่มีการแก้ไขก็จะไม่มีการรับประกันได้เลยว่ากฎหมายดังกล่าวจะไม่ถูกใช้อย่างฉ้อฉลหรือมีการเข้าใจผิดอีก

ดักทางใครขวางเข้าข่ายขัดพ.ร.บ.เสนอกฎหมาย

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวว่า เป้าหมายของครก.112 คือการรวบรวมรายชื่อให้ได้10,000รายชื่อ ภายใน112วัน เพื่อเสนอต่อประธานสภาให้กฎหมายที่ร่างใหม่นี้ เข้าสู่การพิจารณา และแม้วันนี้พรรคการเมืองต่างๆจะไม่เห็นด้วย แต่เชื่อว่าหากมีประชาชนจำนวนมากสนับสนุนพรรคการเมืองเหล่านั้นอาจจะเปลี่ยนใจ เพื่อมาสนับสนุนแนวทางของครก.112 แต่หากไม่มีใครเห็นด้วยเราก็ต้องทำใจ เพราะไม่มีอำนาจไปบังคับสมาชิกรัฐสภาให้พิจารณากฎหมายได้ และตนอยากฝากบอกบุคคลที่ขัดขวาง อาทิ การข่มขู่ประชาชนที่เข้าชื่อเสนอรายชื่อแก้ไขกฎหมายนั้น เข้าข่ายผิดกฎหมาย พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมายปี42 โดยมีโทษจำคุก1-5ปี หรือปรับ 20,000-100,000บาท หรือทั้งจำและปรับ แต่หากมีการรวบรวมรายชื่อไม่เห็นด้วยโดยการล่ารายชื่อก็ถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ และเป็นความต่างทางความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย

ปัดจุดชนวนความขัดแย้ง

"มีคนบอกว่า จะเป็นการจุดชนวนความขัดแย้ง ประเทศเราอ่อนไหวเรื่องความขัดแย้งเหลือเกิน ผมอยากบอกว่าคนเหล่านี้เสแสร้งเหลือเกิน เพราะความขัดแย้งทางความคิดเป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย แต่ขอโอกาสให้คนเห็นต่างได้มีพื้นที่แสดงความคิดเห็นบ้าง ไม่ใช่ไล่ไปอยู่ที่อื่นหรือไปถือสัญชาติอื่น เพราะทุกคนในที่นี้ดำเนินตามขั้นตอนตามกฎหมาย โดยมีพวกท่านเป็นผู้บังคับใช้อยู่"นายวรเจตน์ กล่าว

แนะบัญญัติ 7 ประการก่อนเขียน กฎหมายหมิ่นฯ

นายวรเจตน์ กล่าวว่า จากการหารือกับกลุ่มนักวิชาการ พบว่ายังมีข้อสรุปที่ต้องปรับปรุงในสาระของกฎหมาย ม.112 คือ การยกเลิก ม.112ไปก่อน และมีการเขียนบทบัญญัติเพิ่มเติม โดยมีประเด็นสำคัญประกอบไปด้วย 1.ให้ยกเลิกมาตรา112ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร เพราะจะทำให้มีความผิดรุนแรง และศาลจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวโดยอ้างว่ากระทบกับจิตใจกับประชาชน 2.เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 3.แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะแบ่งแยกลักษณะความผิดในการลงโทษ ไม่เหมารวมเช่นที่ผ่านมา

เสนอเลิกโทษขั้นต่ำ ให้สำนักราชเลขาฯกล่าวโทษแทน

นายวรเจตน์ กล่าวว่า 4.เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกินสามปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกินสองปีสำหรับ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 5.เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต 6.เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ 7.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้นแทนพระองค์ เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการกลั่นแกล้งทางการเมือง ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้สามารถกล่าวโทษกับผู้อื่นได้ และเชื่อว่าจะไม่เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่ความกับประชาชน เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์ลงมาฟ้องร้องเอง แต่ในสำนักราชเลขาธิการซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฟ้องร้องแทนได้อยู่แล้ว

แจงข้อเสนอนิติราษฎร์ยังมีบทบัญญัติคุ้มครองสถาบัน

นายวรเจตน์ กล่าวว่า ส่วนที่มีผู้มองว่าอาจขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา8 ที่สถาบันฯ จะต้องเป็นที่เคารพสักการะนั้น ตนยืนยันว่าข้อเสนอของคณะ มีการบัญญัติบทคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ ส่วนประเด็นการเข้าชื่อเพียง10,000 ชื่อ แทน50,000ชื่อ เป็นเพราะตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา163ระบุชัดว่า ให้ประชาชนเพียง10,000ชื่อ สามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เลย และประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพโดยตรง เพราะกฎหมายดังกล่าวเชื่อมโยงกับการแสดงความคิดเห็น มีบทลงโทษที่กระทบกับเสรีภาพประชาชน ดังนั้นการเคลื่อนไหวของครก.112 จึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ส่วนที่มีการมองกันว่าหากมีการแก้ไขเกี่ยวกับกับกฎหมายม.112 จะส่งผลให้กฎหมายคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ของไทย มีความเข้มข้นน้อยกว่าประมุขของประเทศอื่นๆนั้น นายวรเจตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐสภาต้องทราบอยู่แล้ว พร้อมกับให้มีการดำเนินการแก้ไขในคราวเดียวกัน แต่หากไม่มีใครทำ นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์จะดำเนินการเอง

เปิดชื่อครก.112 นักคิด-นักเขียนดังแห่ร่วมเพียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะ ครก.11 ที่เสนอให้ยกเลิกกฎหมายม.112นั้น มีทั้งสิ้น 120 คน ประกอบไปด้วยนักวิชาการ สื่อมวลชน นักเขียน ศิลปิน ที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากอาทิ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสุจิตต์ วงศ์เทศ นักเขียนอาวุโส นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ นางอุบลรัตน์ ศิริยุวศักด์ นักวิชาการ นายปราบดา หยุ่น นักเขียนรางวัลซีไรทต์ นายเสกสรร ประเสริฐกุล นายธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บินหลา สันกาลาคีรี นักเขียน วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนซีไรท์ นายซะการีย์ยา อมตยา นักเขียนซีไรท์ นายคำสิงห์ ศรีนอก นักเขียน ศิลปินแห่งชาติ นายอภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุล หรือ เจ้ย ผู้กำกับชื่อดัง นายวิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับชื่อดัง นอกจากนี้ยังมีคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ และมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมเป็นกรรมการด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

เอ็งรู้มั้ยว่าข้า ซี 8 นะเว้ย. บทวิพากษ์กรณีข้าราชการตบบ้องหู โดยนักรัฐศาสตร์ !!?

วีระศักดิ์ เครือเทพ
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ข่าวร้อนช่วงเช้าของวันที่ 11 มกราคม 2555 เป็นเรื่องเกี่ยวกับกรณีที่ข้าราชการกรมศุลกากรนายหนึ่งระดับซี 7 ซึ่งทําหน้าที ่ด้านบริการผู้โดยสารได้เดินผ่านด่านตรวจที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ทว่าข้าราชการคนดังกล่าวไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ทําการตรวจค้นตามปกติ มิหนําซํ้ายังได้ลงมือทําร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวอีกด้วย !?! นี่แหล่ะสะท้อนถึงตัวตนของข้าราชการไทยและวิธีคิดในการทํางานของระบบราชการที่ควรเร่งปรับปรุงอย่างจริงจัง



สิ่งที่เคลือบแคลงใจเป็นอย่างมากก็คือตําแหน่งงานด้านบริการผู้โดยสารของกรมศุลกากร ซึ่งเป็นกรมที่มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดเก็บภาษีนําเข้าและส่งออก มีตําแหน่งงานนี้เพื่ออะไร? ทําไมต้องบริการผู้โดยสาร(ซึ่งคงไม่ใช่ผู้ส่งออกหรือนําเข้า) ตําแหน่งงานนี้ไปสอดคล้องกับหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษีหรืออํานวยความสะดวกด้านการส่งออกนําเข้าอย่างไร หรือมีไว้เพื่ออํานวยความสะดวกด้านอื่นๆที่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตนของคนในกรมศุลกากร สังคมไทยคงอยากได้คําตอบในเรื่องนี้อย่างไม่รอช้า….. อย่าลืมนะครับเงินเดือนค่าตอบแทนของข้าราชการคนนี้
ก็เงินภาษีของผมเหมือนกัน

ส่วนประเด็นที่ว่ากันว่าข้าราชการไทยชอบอวดเบ่ง โดยเฉพาะกับประชาชนผู้รับบริการหรือกับผู้คนที่มีฐานะหน้าที่การงานตํ่าต้อยกว่า ก็คงจะมีส่วนจริงไม่น้อยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ซึ่งจะเห็นได้จากคลิปวีดีโอที่เผยแพร่กันทั่วไปตอนนี้อย่างชัดเจน ตราบใดทีข้าราชการไทยจํานวนหนึ่ง (หรือส่วนมาก?) ยังมีวิธีคิดเช่นนี้เราคงได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้อีกบ่อยครั้งโดยเฉพาะกับข้าราชการในตําแหน่งงานที่ต้องใช้อํานาจรัฐโดยตรง

เมื่อไหร่วิธีคิดเช่นนี้จะหมดไปจากข้าของราชการไทยเสียที ผมเองไม่อยากกลายเป็นเหยื่อแบบนี้และก็ไม่ต้องการให้ญาติมิตรหรือคนรู้จักของผมต้องกลายเป็นเหยือเช่นกัน มีบ้างไหมที
่จะกําหนดมาตรฐานด้านคุณธรรมและพฤติกรรมอันเหมาะสมของข้าราชการไทย (code of conduct) และบังคับใช้กันอย่างจริงจัง

สิ่งที่น่าสงสัยเป็นอย่างมากก็คือทําไมเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเฉพาะหน้า เจ้าหน้าที่ตรวจค้นถึงยอมให้เรื่องนี้ผ่านไป นี่เป็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยนะครับ !?! ถ้าเป็นประชาชนทั่วไปทําแบบนี้บ้าง คุณจะยอมให้ผ่านไปหรือไม่เราอาจได้เห็นแนวปฏิบัติที่มี “สองมาตรฐาน” ในเรื่องนี้และจะเห็นว่าระบบการทํางานของราชการไทยยังคงยอมอ่อนข้อหรือยกเว้นขั้นตอนการปฏิบัติให้แก่ผู้มีอํานาจ (หรือแสร้งว่าตนมีอํานาจ) แต่ประชาชนตาดําๆ มักได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและถูกกดขี่อย่างโหดร้าย
ข้าราชการ ต้องได้เวลาปรับตัว!!
ข้าราชการ ต้องได้เวลาปรับตัว!!

หากจะอ้างว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นคนของบริษัทเอกชนที่รับช่วงต่อมาอีกที (out-source) ในการทําหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัย จึงไม่มีอํานาจดําเนินการใดๆ เลย ถ้าเป็นเช่นนี้
จริง เราคงต้องยกเครื่องกันใหม่ในเรื่องการจ้างเหมาภาคเอกชนให้รับช่วงภารกิจต่อจากภาครัฐ เพราะถ้าหากการจ้างเหมาภาคเอกชนทํา ให้มาตรฐานการทํางานในเรื่องนั้นๆ ตกตํ่าลงแล้ว ก็คงต้องทบทวนหรือยุติวิธีการบริหารงานเช่นนี้เสีย

ในประเทศสหรัฐอเมริกาเองซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่มีการจ้างเหมาภาคเอกชนกันเป็นอย่างมากยังได้เริ่มตั้งคําถามเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการจ้างเหมาภาคเอกชนว่าท้ายที่สุดแล้วอาจไม่
ได้เป็นวิธีการที่ดีเสมอไป (1)เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้น่าจะเปิดประเด็นให้มีการทบทวนในวิธีคิดและวิธีการบริหารงานในลักษณะเช่นนี้กันต่อไป

ได้แต่สงสารประเทศไทยที่ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวอะไร หากผมอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ผมคงต้องทําอะไร บางอย่างเป็นแน่ แท้…..

1. อ่านเพิ่มเติมจาก Larry D. Terry. 2006. “The thinning of administrative institutions”, pp.109-128 และ Barbara S. Romzek. 2006.
“Business and government”, pp. 151-178. ใน David H. Rosenbloom and Howard E. McCurdy (eds.). Revisiting Waldo’s
administrative state: Constancy and change in public administration. Washington, DC: Georgetown University Press.

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

หนี้ชั่ว1ล้านล้าน..ใครก่อ ปชป.รู้ดี ดร.โกร่ง จวก ตราบาปยี่ห้อ ธปท. ธีระชัย. ขืนยังแหกคีย์ มีเสียว !!?



การพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ดูเหมือนว่ายังคงเป็นแนวทางอันเหนียวแน่นที่พรรคประชาธิปัตย์ในยุคที่มี “มาร์ค แอนด์ เดอะ แก๊งค์”ดูแลนั้น นิยมชมชอบเป็นอย่างมาก

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง เพราะประชาชนเบื่อหน่ายการดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น หรือพอจนแต้มขึ้นมาก็จะพูดเอาดีเข้าตัว โยนผิดโยนชั่วไปให้คนอื่นนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดอาการรู้สึกตัวเกิดขึ้นกับบรรดานักพูดกลุ่มนี้เลย

แม้ขนาดว่าคนเก่าคนแก่ในพรรคพยายามที่จะสะกิดเตือนก็ไม่มีการสนใจรับฟัง เพราะแม้ปากจะอ้างให้ดูหรูดูดีเข้าตัวว่า จะเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นคนละเรื่อง

ตัวอย่างล่าสุดที่เห้นได้ชัดก็คือ กรณีการที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท

ซึ่งเรื่องนี้คนในวงการสถาบันการเงิน คนในธนาคารแห่งประเทศไทย คนในกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวกับหนี้ก้อนนี้ ล้วนรู้ดีถึงที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร!

ที่สำคัญลึกๆแล้วใครเป็นคนที่ปล่อยปละละเลย จนต้องเกิดปัญหากับระบบสถาบันการเงินขึ้นมา จนสุดท้ายจึงต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูฯขึ้นมารับภาระแทน

ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทย ผิดพลาดในการที่เข้าไปปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของ จอร์จ โซรอส จนทำให้ประเทศชาติถังแตก เงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ

สุดท้ายประเทศไทยต้องตกอยู่ภายใต้การกำกับของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ทำให้นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนลงนามสั่งปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง โดยไม่มีมาตรการรองรับที่ครบถ้วน ทำให้สถาบันการเงินและธนาคารทรุดกันไปทั้งระบบ!

จนต้องมีการตั้งกองทุนฟื้นฟูขึ้นมาอุ้ม และกลายเป็นภาระหนี้ที่เป็น”มรดกบาป”ที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้….

เรื่องนี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน ทั้งคู่เคยเป็นอดีตลูกหม้อแบงก์ชาติย่อมจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี!

รวมทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช คนที่ใฝ่ฝันว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น ก็ย่อมจะต้องรู้เรื่องดี

เพราะญาติของนายกรณ์ คือนายปิ่น จักกะพาก ที่ต้องหนีคดีไปอยู่อังกฤษก็เพราะการล้มของอาณาจักรเอก ที่เกิดจากความผิดพลาดในการควบคุมดูแลสถาบันการเงินของแบงก์ชาติ จนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540

สถาบันการเงินล้มกันระนาว ปิดฉากอาณาจักรเอกด้วย ฉะนั้นนายกรณ์ย่อมควรจะต้องรู้ชัดและจำได้ดี

ซึ่งแน่นอนว่า กูรูเศรษฐกิจระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ ดร.โกร่ง ที่ผ่านประสบการณ์และได้เห็นวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย และรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือใค?

มารอบนี้เมื่อมาเจอการพยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงในเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯจำนวนมหาศาล ของทางผู้บริหารแบงก์ชาติยุคปัจจุบัน ก็เลยเกิดอาการทนไม่ได้ และสวนหมัดเตือนสติเพื่อให้รู้ว่า....

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แบงก์ชาติอย่าคิดว่าทำอะไรไว้แล้วคนจะไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานเลวร้ายในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ซึ่งถือเป็นตราบาปของแบงก์ชาติครั้งสำคัญก็ว่าได้

ดร.โกร่ง ได้มีการพูดเอาไว้ชัดเจนมาโดยตลอดในเรื่องแบงก์ชาติ ปลายปีที่ผ่านมาก็มีการไปพูดทาง Money Channel ว่า...

ต้องยอมรับ ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้โยนภาระให้กับประชาชน ผู้เสียภาษีเป็นอย่างมาก จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของแบงก์ชาติ การเข้าไปโอบอุ้มสถาบันการเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งสร้างภาระหนี้มากมายให้กับประเทศ และเป็นภาระการชดใช้ของกระทรวงการคลัง

“ที่ผ่านมาแบงก์ชาติสร้างวิกฤติมาเป็นระยะๆ ที่จริงเราไว้ใจแบงก์ชาติไม่ได้ ทุกสิบปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติจะสร้างความเสียเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ แต่ไปว่าฝ่ายการเมืองสร้างความฉิบหายให้กับประเทศ ทั้งที่ตนเองคนทำให้เกิดความฉิบหาย”

นี่คือคำพูดที่ ดร.วีระพงษ์ รามางกูร พูดตรงไปตรงมาเอาไว้ในวันนั้น…!!

แต่แทนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติจะรู้สึกตัว และพัฒนาตัวเองขึ้นมาบ้าง กลับยังคงเส้นคงวากับการเรียกร้องอิสระ ไม่ต้องการให้กระทรวงการคลังหรือการเมืองเข้ามาแทรกแซง ทั้งๆที่การเข้ามาแทรกแซงนั้นจะเป็นการเข้าไปเพื่อการแก้ไขปัญหาก็ตาม

เพราะจริงๆแล้วในเรื่องของการที่จะต้องแก้ไขหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯนั้น เป็นเรื่องที่ทำกันมาระยะหนึ่งก่อนหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว สำนักบริหารหนี้ของกระทรวงการคลังรู้ดีถึงดีลนี้ ตั้งแต่ตอนที่นางพรรณี สถาวโรดม เป็นผู้อำนวยการแล้ว และเมื่อประชาธิปัตย์พลิกขั้วการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาล นายกรณ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้ในขณะนั้นก็เป็นคนทำเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้นายกรณ์แล้วด้วย

แม้แต่นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้คนปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้อำนวยการ ก็เป็นคนที่ทำแผนในเรื่องการแก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯนี้ด้วย

เพราะนายกรณ์ กระทรวงคลัง และแบงก์ชาติ รู้ดีว่าไม่แก้ไขไม่ได้ เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูฯกำลังจะสิ้นสุดอายุลง แต่หนี้ไม่ได้สิ้นสุดเพราะแบงก์ชาติปลดหนี้ก้อนนี้ไม่ได้ แถมที่ผ่านมาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บริหารประเทศในปี 2541 ถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการนำงบประมาณของชาติซึ่งมาจากภาษีอากรของประชาชนมาจ่ายดอกเบี้ยให้ปีละประมาณ 65,000 ล้านบาท
รวมเป็นเงินที่จ่ายดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 600,000 ล้านบาทแล้ว โดยที่เงินต้นที่แบงก์ชาติต้องเป็นผู้ใช้หนี้พบว่ากว่า 13 ปีที่ผ่านมา เงินต้นลดลงไปเพียง 300,000 ล้านบาทเท่านั้น

กลายเป็นว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯเป็นหนี้ที่ประชาชนต้องชดใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนั้นหรือ??

ขอเตือนความทรงจำสังคม เตือนความทรงจำคนแบงก์ชาติ ว่าจำกันไม่ได้จริงๆหรือว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ปัจจุบันมียอดคงค้างจำนวน 1.14 ล้านล้านบาทนั้น เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่รัฐบาลนายชวน โดยนายธารินทร์ ลงนามปิดสถาบันการเงิน จนเกิดหนี้จำนวนนี้ขึ้นมาโดยที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ก่อ!!

ถ้าตอนนั้นแบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรอิสระ แอบฝืนไปสู้ค่าเงินบาท จนขาดทุนเกือบ 800,000 ล้านบาท เงินทุนสำรองแทบหมดหน้าตัก สุดท้ายต้องปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง แต่ก็เอาไม่อยู่ ต้องให้รัฐบาลนายชวนช่วยโดยการขออำนาจแก้กฎหมายกองทุนฟื้นฟู กลายเป็นขาดทุนซ้ำอีก

จากนั้นก็ให้ ปรส.นำเอาทรัพย์สินสถาบันการเงินออกประมูลขาย โดยห้ามไม่ให้ลูกหนี้ประมูล แต่กลับเอาไปประเคนประมูลให้ต่างชาติเข้ามาเก็บของถูก แล้วไปฟันกำไรขายคืนให้ลูกหนี้ตามเดิม จนในที่สุดก็ขาดทุนรวมเป็นล้านล้านบาท

ผลงานของแบงก์ชาติในยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีคลัง น่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จำได้ดีไม่ใช่หรือ??? แม้ว่าจะไม่อยากพูดถึงโดยเฉพาะกรณีของ ปรส. ที่ถูกเรียกเป็นการขายชาติ-เป็นการปล้นชาตินั้น จำได้หรือไม่?

ตอนนั้นแม้แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ในนามปากกา พายัพ วนาสุวรรณ ก็ออกมาจวกเรื่อง ปรส. ออกมากะเทาะเปลือก..ธารินทร์ อย่างหนัก ในขณะที่ประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะภาวนาให้เรื่องคดี ปรส.ขาดอายุความเสียที

แต่ความจริงก็คือความจริง ว่านี่คือต้นตอของหนี้สิน 1.14 ล้านล้านบาท ที่ประชาธิปัตย์ และแบงก์ชาติ พยายามบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะสร้างปัญหา

ทั้งๆที่นี่คือความพยายามที่จะยุติปัญหาการที่ต้องเอาเงินภาษีของประชาชนมาอุดมาโป๊ะนานกว่า 13 ปีเข้าไปแล้วนั่นเอง

จึงไม่แปลกที่ ดร.วีรพงษ์จะทนไม่ได้ จนต้องออกทีวีแฉให้ประชาชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งในธปท. ผู้ว่าการธปท. เป็นผู้จัดตั้ง ผู้จัดการกองทุนก็เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร กรรมการส่วนมากก็มาจากหน่วยราชการและของธปท.

แต่กลายเป็นว่าหนี้จะให้เป็นภาระกับรัฐบาล ซึ่งก็กลายเป็นข้อจำกัดต่อการทำโครงการทั้งหลาย อาทิ โครงการฟลัดเวย์ สร้างเขื่อน ก็ทำไม่ได้ เพราะยอดหนี้สาธารณะค้ำคออยู่ เนื่องจากตั้งไว้ไม่ให้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณรายจ่ายทั้งต้นทั้งดอกไม่ให้เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 30 กว่าเปอร์เซ็นต์จะเอาไปทำอะไรได้

บัดนี้ ธปท.เข้มแข็งแล้ว มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 17 ของโลก มีเงินสดอยู่ในมือ 3 ล้านล้านบาท แต่ก็บริหารขาดทุนหมด ทั้งๆ ที่มีอำนาจอยู่ในมือ ทำให้หนี้กลายเป็นหนี้ตลอดกาลอวสาน จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถสร้างประเทศได้ ติดขัดวินัยการคลังอยู่ ทั้งที่ไม่ใช่รัฐบาลทำกลับมาโยนให้

ตอนนี้ธปท.เข้มแข็งแล้วต้องขอคืนไป เราจะได้กลับมาพัฒนาประเทศและสร้างอนาคตของชาติต่อไป
“สังคมไทยไว้ใจ ธปท. แต่ไม่ไว้ใจรมว.คลัง และนักการเมือง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นฝีมือธปท.ทั้งสิ้น ถ้าปิดประตู ไม่ให้รมว.คลังทำกำไรได้ แบงก์ชาติก็เป็นรัฐอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์แทน และชอบพูดให้สังคมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย เพราะคณะรัฐมนตรีและนักการเมืองมาจากประชาชน ส่วนแบงก์ชาติไม่ได้มาจากประชาชนเลยแต่กลับมาพูดไม่ให้ไว้วางใจนักการเมือง จึงควรเปิดประตูไว้บ้างไม่ใช่ปิดประตูตายเลย”

ที่สำคัญ ดร.วีรพงษ์ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของธปท.ที่ต้องไปดูแล เราไม่อยากไปแตะต้อง หากธปท. ไม่ทำอะไรเลย หนี้ก้อนดังกล่าวของกองทุนฟื้นฟูฯ คงเป็นหนี้ไปตลอดกาลอวสาน กินแต่เงินภาษีประชาชนไปเรื่อยๆ ถ้าจะต่อว่าต้องต่อว่าธปท.

นี่คือความจริงที่สังคมต้องฟังกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงจะรู้ว่า ดร.วีรพงษ์พูดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

ในขณะที่นายประสารนั้น แน่นอนว่าในฐานะผู้ว่าแบงก์ชาติก็ย่อมต้องปกป้องแบงก์ชาติเป็นหลัก แต่สำคัญที่สุดนายประสารเป็นคนเก่ง มีความสามารถและฉลาดพอที่จะรู้ว่า หนี้กองทุนฟื้นฟูฯนั้นเป็นภาระก้อนโต ที่หากเลี่ยงได้ งอแงไม่ยอมรับได้ก็ต้องหาทางเลี่ยงให้ถึงที่สุดไว้ก่อน ซึ่งก็ถือเป็นปกติของมนุษย์เรา

แต่ที่หลายคนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกรณีปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯในครั้งนี้ก็คือ ท่าทีของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีคลัง ที่ดูเหมือนว่าจะเอนๆไปทางแบงก์ชาติมากกว่าทางรัฐบาล ทั้งๆที่นายธีระชัย ถือเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีส้มหล่น ที่ได้มานั่งเก้าอี้สำคัญ ได้โอกาสโชว์ฝีมือในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีคนที่อยู่ในข่ายเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีคลังไม่น้อย

แต่นายธีระชัยก็ได้เป็นคนที่เข้าวินในที่สุด ส้มหล่นใส่จนเท้าบวม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอิจฉาอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงไม่รีบแสดงฝีมือโชว์ผลงาน จนทำให้เวลานี้นายธีระชัยกลายเป็น 1 ในรัฐมนตรี ที่ถูกจับตามองว่าหากมีการปรับครม. ก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดโผได้

จริงๆแล้วแค่นายธีระชัย ขานรับเป็นวงเดียวกันเนื้อเดียวกันกับการทำงานของรัฐบาล ร้องเพลงประสานเสียงกันไป ก็จะไม่ถูกตั้งคำถามแล้ว แต่กลับเลือกที่จะร้องเพลงเดี่ยว เลือกที่จะแหกคีย์ จึงทำให้ภาพที่ออกมากลายเป็นที่น่าหวาดเสียวสำหรับตัวนายธีระชัยเอง

นายธีระชัยแค่จดจำว่าครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง รูปภาพหน้าของนายธีระชัยเป็นคนหนึ่งที่ถูกคนชั้นกลางที่บาดเจ็บจากวิกฤตเศรษฐกิจ เอาไปทำเป้าปาลูกดอกหาเงินแถวๆทองหล่อ สุขุมวิท
และนายธีระชัย เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะนั่งทำงานที่แบงก์ชาติได้หลังวิกฤต จึงต้องขยับขยายย้ายมา
นั่งที่ กลต. แทน สิ่งเหล่านี้นายธีระชัยน่าที่จะยังจดจำได้ และรู้ดีว่าที่ผ่านมาแบงก์ชาติทำอะไร และรับ
ผิดชอบกับผลงานเพียงใด

จริงๆในฐานะรัฐมนตรีคลัง นายธีระชัยน่าจะรู้ดีว่า แบงก์ชาตินั้นไม่ควรเป็นอิสระชนิดสุดขั้วอย่างที่ผ่านๆมา แต่ควรจะต้องให้มีการตรวจสอบได้ ให้คานอำนาจได้

เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะแย่จะพังจากเรื่องนี้จะเป็นนายธีระชัยเองนั่นแหละ...ขอเตือน!อย่าได้อยู่ด้วยความประมาท ในโลกของการเมืองที่”ธีรชัย”ยังไม่คุ้นนัก มันมีอะไรที่เหนือกว่าซับซ้อนกว่าสิ่งที่รัฐมนตรีคลังละอ่อนคนนี้คิด! จากนี้ไม่นานท่านอาจถึงเวลา”เก็บฉาก”!!

เราสะกิดเตือนแล้วนะ!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สูงสุดคืนสู่สามัญ....

เจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่เลิกตลอดนะ “คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้าน
ประเพณีไทย ใครมาลาไหว้ เป็นขนบทำเนียบ ที่ดีงามมานาน..
เจอกับ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ..ที่มาสังสรรค์สามัคคีกัน “อดีตประธาน คมช.”ยกมือไหว้...ไฉนท่านไม่ไหว้ตอบ ทำมองไม่เห็นเสียเช่นนั้น
สมัยใหญ่สุดโต่ง เป็น “นายกรัฐมนตรี”.. พบกับ “ผบ.เหล่าทัพ” เขาไหว้ เขาทำความเคารพ หลายครั้ง ทำไม่เห็น
วัฒนธรรมไทย...เรื่องการไม่รับไหว้?....เป็นความเสียหาย ไม่ใช่ล้อเล่น

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“ชีวิตคน”ไม่ใช่หมาข้างถนน
มีความยิ่งใหญ่ ใครก็ฆ่าไม่ได้ สำหรับ “ชีวิตของประชาชน”
มองเป็น มดปลวก- ผักหญ้า หาค่าไม่ได้?...เมื่อ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขวางสุดลิ่ม ไม่ให้ “ค่าชีวิต” ของประชาชนที่ถูกสังหารหมู่ ๙๑ ศพ คนละ ๓ ล้าน
ยกเหตุผล คราวพฤษภาทมิฬ ประชาชนที่ตาย ได้แค่ ๑ ล้านบาทเท่านั้น
ข้อเสนอการเยียวยา เพื่อให้ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จ่ายเงินซับน้ำตา แก่ครอบครัวผู้รักประชาธิปไตย ผู้สูญเสีย ๓ ล้านบาท..เพราะเขามองเห็นคุณค่าชีวิตประชาชน นั่นแหละ
บางคนมองชีวิตประชาชนไร้ค่า...จึงเกิดมหกรรมฆ่าแล้วฆ่า!..ปวงประชาตายไปแยะ

++++++++++++++++++++++++++++++++

๒ แรงแข็งขัน
พี่กับน้อง “เจริญ จรรย์โกมล” รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำงานเป็นกลาง อย่างมุ่งมั่น
สร้างศรัทธา ให้ “พรรครัฐบาล” และ “พรรคฝ่ายค้าน” สามัคคีไม่เลือกข้าง
ด้านน้องชายสุดเลิฟ “ชัยชาญ จรรย์โกมล” ก็ลงลุยพื้นที่เขต ๕ ชัยภูมิ พบปะช่วยเหลือ ราษฎรเสาร์-อาทิตย์ ไม่ห่าง
นับเป็นพี่น้องสองศรี ที่ชาวชัยภูมิรักใคร่ทั้ง “รองประธานเจริญ จรรย์โกมล”และ “ชัยชาญ จรรย์โกมล” ที่อลังการสร้างสรรค์ ดูแลชาวชัยภูมิ ให้อยู่ดีกินดี มีชีวิตที่สดใส
งานหลวงไม่ขาดงานราษฎร์ไม่เคยเสีย...เก่งจริง ๆ นะเนี่ย...เชียร์สักที เพื่อให้กำลังใจ

++++++++++++++++++++++++++++++++

เป็นนักกลอนนอนเปล่าได้หรือ
เกียรติคุณชื่อชั้น ก็เคยเป็น รัฐมนตรี สร้างผลงานเอาไว้อื้อ
ฉะนั้น,อย่าแปลกใจ ที่ “เสี่ยประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา บินไปพบ “คนใหญ่แห่งแดนไกล” กับเขาเหมือนกัน
และอย่ามองข้าม “เสี่ยประดิษฐ์” เชียวนะท่าน
อาจกระโดดค้ำถ่อ เข้ามาเป็น “รัฐมนตรี” ในฐานะคนรู้ใจ บุคคลจากแดนไกล ก็ได้นะเออ
“เสี่ยประดิษฐ์”สร้างเรื่องเซอร์ไพร้ซ....สร้างเรื่องแหกค่าย?..มามากมาย แล้วล่ะเธอ??

++++++++++++++++++++++++++++++++

ป่าวประกาศผ่านจอเป็นประจำ
ให้ “สาวก” มิตรรักนักเพลงชาวเสื้อเหลือง บริจาคทรัพย์สิน เพื่อช่วยไม่ให้ “เอเอสทีวีจอดำ”
แต่ปรมาจารย์ “ตั๊กม้อลิ้ม” คุณพี่สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าตำรับของแท้ตัวจริงเสียงจริง ยังอู้ฟู่ซู่ซ่าเหมือนเดิม แหละพี่
มาดเท่ นั่งเรือเหาะ นอนโรงแรมไฮโซระดับห้าดาว ที่โรงแรมเพนนินฯ แห่งเกาะฮ่องกง ด้วยมาดอภิมหาเศรษฐี
ยังครบเครื่องทุกด้าน แห่งความเป็น “โคตรเศรษฐี” ที่มีเงินใช้จ่ายเป็นทุน
เอาค่าใช้สอยกิจวัตรประจำวัน...ขอรับประกัน...เอเอสทีวีนั้น ก็จอไม่ดำแล้วล่ะคุณ

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
*******************************************************************

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ปรับเดิมพันอนาคต !!?

เดาอารมณ์ไม่ออกเลย กับสีหน้าแววตาของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะเป็นประธานมอบถ้วยรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลมูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ และต้องจับมือแสดงความยินดีกับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ พีอีเอ

ได้จังหวะปะหน้ากันจังๆกับ “น้องรักหักเหลี่ยมโหด” ของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร

แน่นอน ตามมารยาททางสังคมมันจำเป็นต้อง “ปั้นหน้าใส่กัน” โชว์สื่อ แต่เบื้องหลังอย่างที่รู้ “เนวิน” คือเบอร์หนึ่งในบัญชีดำที่ “นายใหญ่” และแนวร่วมคนเสื้อแดง

“แค้นฝังหุ่น” ถอนไม่ขึ้น

เรื่องของกีฬาก็ว่ากันไป แต่โดยเงื่อนไขทางการเมืองตามท้องเรื่อง “มันจบแล้วครับนาย” จนมาถึง “มันจบแล้วครับเน” อดีตลูกพี่กับอดีตลูกน้องรัก คงยากที่จะหวนกลับมาจูบปากกันเหมือนเก่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เหมารวมไปถึงพวกที่อยู่รอบข้าง “เนวิน” อย่างทีมมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่แปรสภาพเป็นอะไหล่ “เชียงกง”

หาง่าย ใช้คล่อง

โดยเฉพาะในจังหวะที่ “ทักษิณ” ต้อง “วัดใจ” “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนา ตามเงื่อนไขที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องการเวนคืนโควตากระทรวงเกษตรและสหกรณ์กลับมาให้คนพรรคเพื่อไทยนั่งกุม บังเหียน เพื่อความคล่องตัวในการเดินหน้าเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ

ถ้า “บรรหาร” ออกลูกเฮี้ยว โอกาสของ “สมศักดิ์” ก็ยิ่งเปิดกว้าง

ในเหลี่ยมที่ “นายใหญ่” ได้สองเด้ง ทั้งกั๊กเชิงกับ “บรรหาร” ไปพร้อมๆกับการโดดเดี่ยว “เนวิน”

สรุปว่า สถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ไพ่อยู่ในมือ “ทักษิณ” เลือกตีได้ แต่มันจะเหนื่อยยากกับการบริหารจัดการ “นกแล” ในพรรคเพื่อไทยซะมากกว่า

อย่างที่เห็นๆกัน พลันที่สัญญาณคลื่นความถี่ชัดขึ้นตามฤกษ์ปรับ ครม.หลังวันตรุษจีน ก็เร้าด้วยฉากโหมโรง บทบู๊ เปิดหน้าซัดกันตรงๆระหว่าง “เสี่ยแมว” นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ กับนายเวียง วรเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

คนค่ายเดียวกันเอง สาวไส้ประจานกันออกสื่อ

ฟ้องอาการ “เน่าใน” ปัญหาเชิงบริหาร แม้แต่ผู้แทนฯพรรคเดียวกันยังไม่สบอารมณ์รัฐมนตรี งานนี้ถือเป็นจังหวะ “เขี่ยไฟ” ให้ควันลอยไปถึงเมืองดูไบ

ต้องรีบจำกัดวงไม่ให้ไฟลุกลาม

ตามปรากฏการณ์ซ้ำซ้อนกับอาการเกาเหลาในกระทรวงคมนาคม ที่รัฐมนตรี 3 คน พะยี่ห้อพรรคเพื่อไทยล้วนๆ แต่ไม่กินเส้นกัน โวยวายกันออกอากาศ

ปาดหน้าแย่งกันคุม “ขุมทรัพย์” ทองคำฝังเพชร

งานบริหารไม่ขยับ วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่กับผลประโยชน์ “ยิ่งลักษณ์” แทบไม่ต้องคิดมากอะไร

ตามข่าววงใน รายการปรับ ครม.รอบนี้ จะมีการสลับปรับเปลี่ยนกันอย่างน้อย 7-8 ตำแหน่ง เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการบริหารประเทศ เอื้อต่อการปั่นผลงานรัฐบาล

โดยสถานการณ์ไม่ใช่แค่การประคองเรตติ้งในเมืองไทย แต่ยังมีผลไปถึงสายตาของต่างชาติ

ตามคิวที่นายยูคิโอ เอดะโนะ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เดินทางเข้าพบนายกฯยิ่งลักษณ์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล และ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม รวมไปถึง “ด็อกเตอร์โกร่ง” นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)

เพื่อขอความมั่นใจในแผนบริหารจัดการน้ำ

ตามที่นายเอดะโนะพูดชัดเลยว่า ญี่ปุ่นเห็นว่าไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ โดยจะร่วมมือกับไทยในการฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤติอุทกภัยให้ฟื้นตัวเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นก็จะจับตามองมาตรการช่วยเหลือและการป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่รัฐบาลไทย ประกาศว่าจะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก อย่างใกล้ชิด

นักลงทุนต่างชาติจับจ้อง จึงต้องเน้นมือบริหารอาชีพเข้ามากระตุกความมั่นใจ

สำคัญยิ่งกว่านั้น ตามยุทธศาสตร์ของอดีตนายกฯทักษิณ ที่ตั้งธงไว้กับการเน้นลงทุนเมกะโปรเจกต์เป็นตัวกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ ต้องเร่งลงทุนสารพัดโครงการเพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้พลิกฟื้น ขึ้นมา อย่างที่เคยประสบความสำเร็จมาในยุคอดีตรัฐบาลไทยรักไทย ตามโปรแกรมทั้งการเดินหน้าโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง รวมถึงเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ เขื่อน ฟลัดเวย์ ฯลฯ

เดิมพันอนาคตประเทศไทย เดิมพันเกมลากยาวของน้องสาว พ่วงเดิมพันอนาคตตัวเอง

“ทักษิณ” ต้องเฟ้นพวกมือถึงเท่านั้น.

ที่มา: ไทยรัฐ
/////////////////////////////////////////////////////////

เริ่มต้นที่ดี

กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ในมาตรการ กลไก และวิธีการในการเยียวยาผู้เสียหาย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถึงเมษายน-พฤษภาคม 2553

เช่น กรณีเสียชีวิตจะได้ 4.5 ล้านบาทต่อราย กรณีทุพพลภาพ 4.5 ล้านบาทต่อราย กรณีสูญเสียอวัยวะสำคัญ 3.6 ล้านบาทต่อราย สูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ 1.8 ล้านบาทต่อราย กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส 1.1 ล้านบาทต่อราย ได้รับบาดเจ็บไม่สาหัส 670,000 บาทต่อราย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 220,000 บาทต่อราย และเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลกรณีเสียชีวิตจ่ายไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย ฯลฯ

ถือเป็นการชดเชยเยียวยาที่ครอบคลุมประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะสีอะไร แต่ก็มีการเรียกร้องให้พิจารณากรณีในภาคใต้ด้วย เช่น กรณีตากใบและกรณีกรือเซะ รวมทั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ซึ่งเป็นมาตรการที่ดีหากรัฐบาลทำได้ เพราะการเยียวยาโดยไม่เลือกปฏิบัติถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งจะทำให้สังคมไทยกลับมามองความจริงและมีความเอื้ออาทรต่อกันเหมือนในอดีต ไม่ใช่หลงงมงายกับการโฆษณาชวนเชื่อให้เกลียดชังผู้ที่มีความเห็นต่างกันอย่างไม่มีเหตุผล

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************