ทว่า,อำนาจและหน้าที่ มิใช่ให้ใช้อย่างอำเภอน้ำใจ ..ไปฆ่าประชาชนตาย ๙๑ ศพ
โหวกเหวกโวยวาย ถูกแทรกแซง เพื่อเอาผิด
แล้วปีกว่า ๆ ที่คดีเงียบหาย ไปกับสายลม ใครใช้อำนาจ ปกปิด
ใครหนอที่เป็น “อภิสิทธิ์ชน” เหนือคนทั้งประเทศ...ใช้อำนาจไล่ล่า ฆ่าฟัน ประชาชนเป็นผักปลา
ยามนี้,ไม่ผิดกับ “ฮิตเล่อร์”...บ้าจนเบลอ?...เพ้อคลั่ง ว่าถูกเค้ากลั่นแกล้ง กันแล้วจ๋า
++++++++++++++++++++++
ยืดอก พกความเก่ง
เคยให้ความเป็นจริงด้านเดียว...ว่า “คนชุดดำ” และ “คนเสื้อแดงฆ่ากันเอง”
เมื่อมีหลักฐานมัดแน่น เหตุฆ่าประชาชนตาย ๙๑ ศพ เป็นฝีมือชุดดำชั่ว เสื้อแดงเลว ก็เอามาแฉ เสียให้ชัด...
ในเมื่อ “เหลิม ดาวเทียม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มีหลักฐานโจ่งแจ้ง แจ่มแจ๋ว เห็นกันจัง..จัง ว่าเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”
เมื่อมั่นใจ ในความบริสุทธิ์ ไม่ได้สั่งฆ่าสังหารหมู่ประชาชน?.. ก็เอาหลักฐาน “คนชุดดำ” และ “คนเสื้อแดงฆ่ากันเอง” มาประจานให้เห็น
เท่าที่ผ่าน...ไม่เคยโชว์หลักฐาน?...เล่นแต่ตีโวหาร โชว์น้ำลายเหม็น ๆ
++++++++++++++++++++++
เครื่องมือ “นิรโทษกรรม”
พูดเองเออเอง อยู่เป็นประจำ
แถกันสุดเหนี่ยว เที่ยวอ้างกันไปนู่นเลย..สำหรับ “เทพเทือก” คุณพี่สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ. ที่จะเล่นคดีกับตัวเองนั้น...
เพื่อ “เหมากระจาด” ออก “พรบ.นิรโทษกรรม” แบบล้างบางทุกคดี ในคราวเดียวกัน
รับประกันซ่อมฟรี, สิ่งที่คิดเป็นการ “สร้างวิมานกลางอากาศ”..เรื่องออก “พรบ.นิรโทษกรรม” ต้องเป็นสิ่งดี ๆ เพื่อให้บ้านเมืองผาสุก
ชาติหน้าบ่ายแก่..แก่...รับรองไม่มีแน่?..เรื่องออก พรบ.นิรโทษกรรมเพื่อแชร์ ให้คนบางกลุ่มบางฝ่าย พ้นคุก
+++++++++++++++++++++++++++++
เดินเกมกันแรง
ให้ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย ..ผู้เป็นหัวหน้าทะลวงฟัน พ้นไปเสียจากตำแหน่ง
ยิ่งเห็นความเคลือบแฝง ยัดตัว “กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นักร้องนักโทษการเมือง เข้าซังเต อย่างไม่มีการออมชอม
ทีกับ “เสื้อเหลือง” ปิดทำเนียบฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ปล่อยตัว กันด้วย ความยินยอม
ผิดกับมาตรฐาน “เสื้อแดง” ทุกคดีเข้าไปทัวร์เรือนจำ กันว่า ๔๐๐ ชีวิต.. และถ้าผิดทางการเมือง ก็ต้องจบฉาก รูดม่านทางการเมือง เหมือนที่ “หัวหมู่จตุพร พรหมพันธ์ุ” เขาโดน
วิกฤติที่จะมารอบใหม่...เพราะละเลยกฎหมาย?..ที่ใช้กัน อย่างสับสน
++++++++++++++++++++++++++++
ประเทศสงบ
นับแต่, “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้าวมาเป็นหญิงเหล็กคุมอำนาจ ปัญหาทุกอย่างก็จบ
ไม่มีเหตุวางมวย ก่อสงครามกับ พม่า-ลาว-เขมร-กัมพูชา –มาเลเซีย..เหมือนที่เคยเกิดเหตุ “กินใจ” ในยุคหนึ่ง ที่มีแต่ปีนเกลียว
“นายกฯยิ่งลักษณ์” ไม่ก่อหวอด หรือไปสร้าง แบบน้ำผึ้งหยดเดียว
ยิ่งกับเขมร ชาวขะแมร์ ด้วยแล้ว..ดูจะปลื้ม “นายกฯยิ่งลักษณ์” กันนักหนา
ชายแดนพากันเรืองรอง...ขายค้ากันคล่อง....แบบเป็นบ้านพี่เมืองน้อง โดยไม่มีการเข่นฆ่า
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
----------------------------------------------------------
วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วาทกรรม คณะราษฎร์ จากละครเวที สี่แผ่นดิน. ร้อนแรงถึง ห้าแผ่นดิน..!!?
หลังจากที่ได้ดูละครเวทีฟอร์มเนี้ยบสุดยิ่งใหญ่แห่งปี 2554 ของ “บอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณ ที่สร้างขึ้นมาจากบทประพันธ์ชื่อเดียวกันของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จบลงไปแล้ว ก็ได้เกิดคำถามขึ้นมาในใจอยู่ 2 คำถาม คำถามแรกคือ นี่มัน 5 แผ่นดินไม่ใช่หรือ และคำถามที่สอง นั่นก็คือ สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงแล้วหรือ
เมื่อเกิดคำถามขึ้นมา เราก็ต้องมาหาคำตอบกัน

สำหรับคำถามแรกที่รู้สึกว่า...นี่น่าจะเป็น 5 แผ่นดิน ไม่ใช่ 4 แผ่นดิน นั้นไม่ใช่คำถามเชิงประชดประชันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะจากบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์นั้น “แม่พลอย” นางเอกของเรื่องได้เกิด พบรัก และแต่งงานกับ “คุณเปรม” ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 แม่พลอยและคุณเปรมก็ได้ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวที่น่ารักขึ้นมา และนับว่าเป็นสมัยที่คุณเปรมเจริญรุ่งเรืองในราชสำนักมากที่สุด ครั้นพอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 นับเป็นช่วงที่ตกต่ำของคุณเปรมต้องลาออกจากราชสำนัก และยังเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการขี่ม้า ทำให้แม่พลอยต้องเป็นหม้าย อีกทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยที่ลูกของคนทั้ง 2 เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของคณะราษฎร์อีกด้วย และสุดท้ายที่สมัยรัชกาลที่ 8 เมื่อพระองค์ท่านถูกลอบปลงพระชนม์ได้ไม่นาน แม่พลอยก็เสียชีวิตลง และนั่นก็คือตอนจบของบทประพันธ์เรื่องนี้
เพียงในเวอร์ชั่นมิวสิคัลของคุณบอย ได้มีแถมท้ายต่อออกมาอีกนิดหน่อยหลังจากนั้นเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย(เดาล้วนๆ)นั่นก็คือ การขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

แต่ในส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในจุดนี้นั้นกลับไม่ได้ทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไป แต่กลับยิ่งเป็นการกระตุ้นแนวคิดหลักของเรื่องอย่าง “การจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนในคำถามที่สองอย่าง “สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงแล้วหรือเปล่า” ที่เกิดขึ้นมานั้น ก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องราวที่นับได้ว่าเป็นจุดจุดไคลแมกซ์ของเรื่องในรัชกาลที่ 7 ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร์ ที่ได้รับแนวคิดและอิทธิพลในระบบสังคมการเมืองการปกครองจากซีกโลกตะวันตก และต้องการนำเข้ามาใช้ในสยามประเทศ (ขณะนั้นประเทศไทยยังใช้ชื่อว่า สยาม อยู่)

ในระหว่างการดำเนินเรื่องบนเวทีของโรงละครรัชดาลัยเธียร์เตอร์นั้น ได้มีช่วงหนึ่งที่เกิดการพูดจาโต้ตอบกันไปมาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนระหว่าง “อั้น” และ “อ๊อด” ลูกชาย 2 คนของคุณพลอยและคุณเปรม
ทั้งสองโต้เถียงกันถึงเรื่องการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยทางฝั่งของอั้นที่เข้าด้วยกับคณะราษฎร์และยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของคณะราษฎร์ที่มีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อให้ประเทศก้าวทัน และพัฒนาไปอย่างเสมอภาคกับประเทศในแถบตะวันตก เพราะเชื่อมั่นว่าพระมหากษัตริย์เพียงแค่พระองค์เดียวไม่สามารถปกครอง และบริหารประเทศได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงควรรีบทำการเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด

ส่วนทางฝั่งของอ๊อดนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพียงแต่เชื่อว่าสยามประเทศยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือภายในหนึ่งวัน แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สามารถส่งผลกระทบตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงระดับชนชั้นผู้นำของประเทศแบบนี้ จะต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป และให้โอกาสกับทุกคนได้ศึกษา ทำความเข้าใจกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสียก่อน
จากการโต้แย้งในครั้งนี้ของพี่น้องทั้งสองคนเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้เอง ทำให้นึกถึงประโยคที่เคยมีคนพูดว่า คณะราษฎร์ได้ทำการ “ชิงสุกก่อนห่าม” ขึ้นมา เพราะจากตำราเรียนในสมัยก่อน หรือหนังสือบางเล่มก็อ้างว่าในความเป็นจริงนั้นรัชกาลที่ 7 ได้ทรงมีพระราชดำริอยู่ก่อนแล้วที่จะทรงคืนอำนาจให้แก่ประชาชน แต่กลับโดนคณะราษฎร์ชิงเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อน

ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยืนยันชัดเจนพอๆกับกลุ่มแรกว่า ในความเป็นจริงนั้นรัชกาลที่ 7 ไม่ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ถูกบีบให้คืนอำนาจเสียมากกว่า เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนจนหลายฝ่ายยอมรับได้
อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานมาก และสามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นเราจึงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันให้มากความ เพราะสิ่งที่เราอยากได้คำตอบนั่นคือ “สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงหรือ”

ถ้าพูดกันในภาพรวมแล้วก็น่าจะพูดได้ว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น เป็นระบอบการปกครองที่เป็นสากลและเหมาะกับทุกประเทศในโลกนี้ เพียงแต่ไม่มีอะไรในโลกที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกสิ่ง ประชาธิปไตยก็เช่นกัน หรืออาจจะเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับระบอบการปกครองแบบอื่นๆในโลกนี้ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นเป็นการใช้เสียงข้างมากของสังคมพื้นฐานและแนวคิดสำคัญของประชาธิปไตย คือ "ปฏิบัติตามเสียงส่วนมาก แต่ไม่ละเลยเสียงส่วนน้อย" (Majority ruled, minority right.)และสิ่งที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตย คือ ความเสมอภาค ความเสมอภาคในที่นี้คือมนุษย์ทุกคนต่างมีคุณค่าที่เท่าเทียมกัน หาได้ใช้ชาติกำเนิดในการวัดค่าไม่ จึงส่งผลให้แปรออกมาเป็นคนละหนึ่งคะแนนเสียง
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปแม้แต่แต่น้อยหากจะพูดว่า “ประเทศไทยพร้อมและเหมาะกับประชาธิปไตยแล้ว” เพียงแต่อย่างที่บอกว่าไม่มีระบอบอะไรที่ดีพร้อม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะมีนักการเมืองขี้ฉ้อ ถนัดแต่เล่นพรรคเล่นพวก หาประโยชน์ใส่ตน ขึ้นมาบริหารประเทศ เพราะนี่ก็นับเป็นผลิตผลส่วนหนึ่งจากประชาธิปไตยที่แพร่หลายไปทั่วโลก
ภูมิ ชื่นบุญ : เรื่อง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจอนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อเกิดคำถามขึ้นมา เราก็ต้องมาหาคำตอบกัน
สำหรับคำถามแรกที่รู้สึกว่า...นี่น่าจะเป็น 5 แผ่นดิน ไม่ใช่ 4 แผ่นดิน นั้นไม่ใช่คำถามเชิงประชดประชันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะจากบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์นั้น “แม่พลอย” นางเอกของเรื่องได้เกิด พบรัก และแต่งงานกับ “คุณเปรม” ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 แม่พลอยและคุณเปรมก็ได้ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวที่น่ารักขึ้นมา และนับว่าเป็นสมัยที่คุณเปรมเจริญรุ่งเรืองในราชสำนักมากที่สุด ครั้นพอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 นับเป็นช่วงที่ตกต่ำของคุณเปรมต้องลาออกจากราชสำนัก และยังเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการขี่ม้า ทำให้แม่พลอยต้องเป็นหม้าย อีกทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยที่ลูกของคนทั้ง 2 เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของคณะราษฎร์อีกด้วย และสุดท้ายที่สมัยรัชกาลที่ 8 เมื่อพระองค์ท่านถูกลอบปลงพระชนม์ได้ไม่นาน แม่พลอยก็เสียชีวิตลง และนั่นก็คือตอนจบของบทประพันธ์เรื่องนี้
เพียงในเวอร์ชั่นมิวสิคัลของคุณบอย ได้มีแถมท้ายต่อออกมาอีกนิดหน่อยหลังจากนั้นเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย(เดาล้วนๆ)นั่นก็คือ การขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
แต่ในส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในจุดนี้นั้นกลับไม่ได้ทำให้เรื่องราวผิดเพี้ยนไป แต่กลับยิ่งเป็นการกระตุ้นแนวคิดหลักของเรื่องอย่าง “การจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนในคำถามที่สองอย่าง “สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงแล้วหรือเปล่า” ที่เกิดขึ้นมานั้น ก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องราวที่นับได้ว่าเป็นจุดจุดไคลแมกซ์ของเรื่องในรัชกาลที่ 7 ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร์ ที่ได้รับแนวคิดและอิทธิพลในระบบสังคมการเมืองการปกครองจากซีกโลกตะวันตก และต้องการนำเข้ามาใช้ในสยามประเทศ (ขณะนั้นประเทศไทยยังใช้ชื่อว่า สยาม อยู่)
ในระหว่างการดำเนินเรื่องบนเวทีของโรงละครรัชดาลัยเธียร์เตอร์นั้น ได้มีช่วงหนึ่งที่เกิดการพูดจาโต้ตอบกันไปมาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนระหว่าง “อั้น” และ “อ๊อด” ลูกชาย 2 คนของคุณพลอยและคุณเปรม
ทั้งสองโต้เถียงกันถึงเรื่องการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยทางฝั่งของอั้นที่เข้าด้วยกับคณะราษฎร์และยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของคณะราษฎร์ที่มีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อให้ประเทศก้าวทัน และพัฒนาไปอย่างเสมอภาคกับประเทศในแถบตะวันตก เพราะเชื่อมั่นว่าพระมหากษัตริย์เพียงแค่พระองค์เดียวไม่สามารถปกครอง และบริหารประเทศได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงควรรีบทำการเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด
ส่วนทางฝั่งของอ๊อดนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพียงแต่เชื่อว่าสยามประเทศยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือภายในหนึ่งวัน แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สามารถส่งผลกระทบตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงระดับชนชั้นผู้นำของประเทศแบบนี้ จะต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป และให้โอกาสกับทุกคนได้ศึกษา ทำความเข้าใจกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสียก่อน
จากการโต้แย้งในครั้งนี้ของพี่น้องทั้งสองคนเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้เอง ทำให้นึกถึงประโยคที่เคยมีคนพูดว่า คณะราษฎร์ได้ทำการ “ชิงสุกก่อนห่าม” ขึ้นมา เพราะจากตำราเรียนในสมัยก่อน หรือหนังสือบางเล่มก็อ้างว่าในความเป็นจริงนั้นรัชกาลที่ 7 ได้ทรงมีพระราชดำริอยู่ก่อนแล้วที่จะทรงคืนอำนาจให้แก่ประชาชน แต่กลับโดนคณะราษฎร์ชิงเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อน
ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยืนยันชัดเจนพอๆกับกลุ่มแรกว่า ในความเป็นจริงนั้นรัชกาลที่ 7 ไม่ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ถูกบีบให้คืนอำนาจเสียมากกว่า เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนจนหลายฝ่ายยอมรับได้
อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานมาก และสามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นเราจึงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันให้มากความ เพราะสิ่งที่เราอยากได้คำตอบนั่นคือ “สังคมไทยเหมาะกับประชาธิปไตยจริงหรือ”
ถ้าพูดกันในภาพรวมแล้วก็น่าจะพูดได้ว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น เป็นระบอบการปกครองที่เป็นสากลและเหมาะกับทุกประเทศในโลกนี้ เพียงแต่ไม่มีอะไรในโลกที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกสิ่ง ประชาธิปไตยก็เช่นกัน หรืออาจจะเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับระบอบการปกครองแบบอื่นๆในโลกนี้ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นเป็นการใช้เสียงข้างมากของสังคมพื้นฐานและแนวคิดสำคัญของประชาธิปไตย คือ "ปฏิบัติตามเสียงส่วนมาก แต่ไม่ละเลยเสียงส่วนน้อย" (Majority ruled, minority right.)และสิ่งที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตย คือ ความเสมอภาค ความเสมอภาคในที่นี้คือมนุษย์ทุกคนต่างมีคุณค่าที่เท่าเทียมกัน หาได้ใช้ชาติกำเนิดในการวัดค่าไม่ จึงส่งผลให้แปรออกมาเป็นคนละหนึ่งคะแนนเสียง
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปแม้แต่แต่น้อยหากจะพูดว่า “ประเทศไทยพร้อมและเหมาะกับประชาธิปไตยแล้ว” เพียงแต่อย่างที่บอกว่าไม่มีระบอบอะไรที่ดีพร้อม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะมีนักการเมืองขี้ฉ้อ ถนัดแต่เล่นพรรคเล่นพวก หาประโยชน์ใส่ตน ขึ้นมาบริหารประเทศ เพราะนี่ก็นับเป็นผลิตผลส่วนหนึ่งจากประชาธิปไตยที่แพร่หลายไปทั่วโลก
ภูมิ ชื่นบุญ : เรื่อง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจอนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
6 ข้อเสนอ ปรองดองหรือเพื่อล้างมลทิน ทักษิณ..!!?
โดย : สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี
นพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายทักษิณ ชินวัตร อ้างว่าอดีตนายกฯ มีเงื่อนไข 6 ข้อสำหรับกระบวนการปรองดองเพื่อเปิดโต๊ะเจรจา
1. คดีการเมืองจะทำอย่างไร เช่น การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมืองของบ้านเลขที่ 111 และ 109 เพราะกฎหมายไม่เป็นธรรม นั่นคือมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ
2. คดีอาญา ที่ต่อเนื่องหลายคดี ที่เริ่มด้วยการเอาคนที่เป็นปฏิปักษ์และมีอคติต่อคุณทักษิณมาสอบ คือ คตส.
3. เรื่องยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นกว่าล้านบาทของทักษิณ ยุติธรรมแล้วหรือ เพราะคำพิพากษายึดทรัพย์ตัดแบ่งนับตั้งแต่ทรัพย์ในวันที่เป็นนายกฯ ยึดหมด วันที่เป็นนายกฯ หุ้นขึ้นโดยธรรมชาติ แล้วถูกยึดไปด้วย สมมติว่าคุณทักษิณโกง อย่างน้อยก็ควรให้ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องไว้
4. การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม คิดว่ามีหลายคนที่เห็นแล้วไม่สบายใจ ต้องมาคุยกัน
5. คดีความของทั้งสองฝ่าย ทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดง จะทำอย่างไร
6. แก้ไขรัฐธรรมนูญคิดว่าควรกลับไปสู่ฐานของรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ ก็จะปลดเงื่อนไขยุบพรรคตามมาตรา 237 ไปด้วย
นพดล บอกด้วยว่าควรจะ "ประชามติ" เรื่องเหล่านี้ก่อนที่จะเข้าสภา
มองอย่างไรแล้ว ทั้ง 6 ข้อมิได้ก้าวพ้นไปจากตัว ทักษิณ แม้แต่เรื่องเดียว เป็นการมองซึ่งยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรื่อง
เมื่อดูจากแต่ละข้อเสนอ เรื่อง "การยุบพรรค การตัดสิทธิทางการเมือง" เป็นบทลงโทษกรรมการบริหารพรรคที่ทุจริตเลือกตั้ง โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 และผู้ที่ถูกตัดสิทธิบ้านเลขที่ 111 อย่าง พงษ์เทพ เทพกาญจนา ก็ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 เองกับมือ เพราะฉะนั้น กฎหมายไม่ได้ออกมาย้อนหลังเพื่อลงโทษทักษิณ และบริวาร
ข้อเสนอต่อมา เรื่อง "คดีอาญา" กรณี ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญาในข้อหาหรือฐานความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) ซึ่งต้องรับโทษตามบทบัญญัติในมาตรา 122 ซึ่งครั้นต่อมา กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ได้ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในข้อหาหรือฐานความผิดเรื่องโมฆะกรรม ให้สัญญาซื้อขายที่ดินรัชดาตกเป็นโมฆะ โดยมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินที่รัชดาภิเษก จำนวน 4 โฉนด
โดยอ้างเหตุในคำฟ้องว่าเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่าการซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นความผิดและได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี และศาลแพ่งมีคำพิพากษาว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะและมีคำสั่งให้คุณหญิงพจมาน คืนที่ดินที่พิพาทจำนวน 4 แปลง ให้แก่ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง คืนเงินค่าซื้อขายที่ดินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า กฎหมายมีบทบัญญัติให้สามารถรื้อฟื้นคดีใหม่ได้ ซึ่งมีหลักเกณฑ์บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขื้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 โดยการรื้อฟื้นคดีอาญานั้นก็เคยมีให้เห็น เช่น กรณีการจับผู้ต้องหา หรือจำเลยผิดตัว เหมือนคดีฆ่า น.ส.เชอรี่ แอน ดันแคน หรือเรื่องพยานหลักฐานเท็จ ขณะที่คดีของ ทักษิณ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาก็เป็นคดีอาญาเช่นกัน ซึ่งหากฝ่ายผู้แพ้คดีจะยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีเพื่อพิจารณาใหม่ ก็ทำได้ถือเป็นสิทธิตามกฎหมาย ต้องการพิจารณาต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาฯ บัญญัติ
ข้อเสนอที่ 3 เรื่อง "การยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน" นั้น เรี่องนี้เป็นสิ่งที่ทักษิณ ทำผิดรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนายกฯ เพราะยังถือครองหุ้นชอนคอร์ป
ตระกูลชินวัตรใช้ Ample Rich Investments Limited ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ตลอดจนการขายหุ้นชินคอร์ป ให้กลุ่มสิงคโปร์ ในลักษณะซับซ้อน ถือว่าพฤติกรรมการถือครองหุ้นชินคอร์ปของ Ample Rich Investments Limited มีพฤติการคลุมเครือและอำพราง
เมื่อปี 2542 ก.ล.ต.ก็เคยตรวจสอบแล้ว เพราะความเกี่ยวพันกับคดีซุกหุ้น ตอนนั้นเจ้าของ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนายบุญคลี ปลั่งศิริ ก็แจ้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โอนหุ้นส่วนหนึ่งให้แอมเพิล ริช เพื่อการเตรียมลงทุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีหลักฐาน ถึง 2 ครั้ง แต่นายกฯ ไม่ได้มีแจ้งในบัญชีทรัพย์สินที่ให้ไว้กับป.ป.ช.ตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในสมัยแรกว่า ไม่มีการถือหุ้นในแอมเพิลริช
พฤติกรรมเช่นนี้ ศาลจึงพิพากษายึดทรัพย์ เพราะมีการปกปิดการถือหุ้นระหว่างดำรงตำแหน่งนายกฯ ปี 2544 - 2548 โดยผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสใช้ชื่อบุตร ธิดา และญาติถือหุ้น บมจ.ชิน คอร์ปฯ แทน เป็นการฝ่าผืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี 2543 และ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.2542 เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่แท้จริงในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
และขณะเป็นนายกฯ ทักษิณ ได้เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ทำให้ชาติเสียหาย
ส่วนข้อเสนอที่ 4 "การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม" ยังไม่เห็นการปกครองประเทศยุคใดที่ผู้นำประเทศ สร้าง "รัฐตำรวจ" ส่งตำรวจคุมองค์กรอิสระ จนองค์กรเหล่านั้นทำงานไม่ได้ หรืออย่างกกต. ยุคตำรวจคุม ก็ถึงกับถูกศาลตัดสินจำคุกมาแล้ว หรือป.ป.ช. ยุคตำรวจเป็นกรรมการก็ถูกศาลสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว และ "รัฐตำรวจ" กำลังจะผุดขึ้นมาอีกครั้งในรัฐบาลน้องสาวทักษิณ
ข้อเสนอที่ 5 "คดีความเสื้อเหลือ เสื้อแดง" ที่ร้องแรกแหกกระเชอ เวลานี้ก็มีแต่พวกเสื้อแดงที่ติดคุกเหมือนธรรมดาสามัญชนไม่ได้ ต้องมีคุกการเมือง ให้ผู้ก่อการร้าย ได้นอนห้องขังติดแอร์ และที่สำคัญ ทักษิณ เป็น 1 ในผู้ถูกกล่าวหาซึ่งศาลอาญาออกหมายจับในข้อหา "ผู้ก่อการร้าย" แล้ว
ข้อเสนอที่ 6 "แก้ไขรัฐธรรมนูญ" โดย มาตรา 237 เรื่องยุบพรรค เป็นข้อเสนอที่สับขาหลอก เพราะที่เป็นผลประโยชน์ "ทักษิณ" คือ การล้มรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะห้ามผู้ถูกตัดสินยึดทรัพย์เพราะร่ำรวยผิดปกติ กลับเล่นการเมืองได้อีก นั้นเอง
ข้อเสนอปรองดองทั้ง 6 ข้อ เชื่อว่าเป็นเพียงการเสนอเพื่อชิมลาง เพื่อต่อรองเพราะเรื่องตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ทักษิณ และบ้านเลขที่ 111 ก็จะพ้นโทษในเดือนพ.ค.2555 นี้แล้ว
เหลือประการเดียวคือล็อคที่รัฐธรรมนูญ 2550 ปิดประตูตาย ห้ามผู้ร่ำรวยผิดปกติและศาลสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน กลับมาเล่นการเมืองอีก
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554
อาปู. ร่วมงานแต่ง หลานเอม. นักการเมืองแห่ยินดีเพียบ เจ้าสาวเผยพ่อมาไม่ได้ แต่ยังอยู่ในใจเสมอ !!?
นางสาวพินทองทา ชินวัตรบุตรสาวคนกลางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์เจ้าบ่าว ที่จะเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสในช่วงค่ำวันนี้ ได้ลงมาพบสื่อมวลชนที่ห้องรับรองสื่อ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียนเพื่อให้ช่างภาพได้ถ่ายรูปและตอบข้อซักถาม 2 - 3 คำถาม โดยทั้งคู่บอกว่า คุณพ่อ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ) บอกว่า "ความรักให้รู้จักเสียสละ แล้วลืมคำว่าอุปสรรคไป" ส่วนคุณแม่ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) บอกว่า "เวลามีปัญหาให้ลืมมันไป ให้นึกถึงเรื่องดีดีเข้าไว้"
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาของเจ้าสาวก็เดินทางมาแถลงข่าวโดยสวมใส่ชุดผ้าไหมสีม่วง แขนกุด มีผ้าคลุมไหล่สีม่วงมีเข็มกลัดเพชรรูปใบไม้ปักที่เอว ก่อนจะแสดงความยินดีและร่วมถ่ายรูปร่วมกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากให้พ่อมาร่วมงานนี้หรือไม่ เจ้าสาวตอบว่า "อยากให้พ่อมาและพ่อเองก็อยากมาด้วย แต่ก็เข้าใจว่าทำไมมาไม่ได้ เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่าง แต่ถึงอย่างไรพ่อก็อยู่ในใจเสมอ"
สำหรับบรรยากาศภายในงานมงคลสมรส มีแขกเหรื่อนักการเมืองมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และครอบครัว พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และภรรยา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และครอบครัว นายเสนาะ เทียนทอง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นอกจากนี้ยังมีทีมทนายความและ ส.ส.เสื้อแดงอาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อนางดารณี กฤตบุญญาลัย นายวิเชียร ขาวขำ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายการุณ โหสกุลและมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่มาร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาร่วมในงานด้วย
ที่มา: มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาของเจ้าสาวก็เดินทางมาแถลงข่าวโดยสวมใส่ชุดผ้าไหมสีม่วง แขนกุด มีผ้าคลุมไหล่สีม่วงมีเข็มกลัดเพชรรูปใบไม้ปักที่เอว ก่อนจะแสดงความยินดีและร่วมถ่ายรูปร่วมกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากให้พ่อมาร่วมงานนี้หรือไม่ เจ้าสาวตอบว่า "อยากให้พ่อมาและพ่อเองก็อยากมาด้วย แต่ก็เข้าใจว่าทำไมมาไม่ได้ เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่าง แต่ถึงอย่างไรพ่อก็อยู่ในใจเสมอ"
สำหรับบรรยากาศภายในงานมงคลสมรส มีแขกเหรื่อนักการเมืองมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และครอบครัว พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม และภรรยา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และครอบครัว นายเสนาะ เทียนทอง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นอกจากนี้ยังมีทีมทนายความและ ส.ส.เสื้อแดงอาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อนางดารณี กฤตบุญญาลัย นายวิเชียร ขาวขำ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายการุณ โหสกุลและมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่มาร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ มาร่วมในงานด้วย
ที่มา: มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////
เก็บความประทับใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ท้องสนามหลวง..ผ่านนิทรรศการมงคลนิมิต บนผืนแผ่นดินทอง !!?
สังคมไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเป็นห้วงเวลาที่ไม่สู้จะปกติเท่าใดนัก เพราะเป็นห้วงเวลา ที่สังคมเกิดการแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายห้ำหั่นประเภทไม่มีการลดราวาศอกทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาทางการเมืองนั่นเอง
กระทั่งเมื่อมวลน้ำก้อนใหญ่ทะลักไหลบ่าลงมาท่วมพื้นที่ทั้งจากภาคกลางและกรุงเทพมหานคร ส่งผลทำให้มวลน้ำได้มีส่วนในการละลายพฤติกรรมของคนไทย ได้เห็นความห่วงใยกันของคนในสังคมไทย จะมีก็เพียงคนในวงการการเมืองเท่านั้นที่ดูจะยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการกระทำ ถึงกระนั้นคนในสังคมไทยก็ยังคงมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าท้ายที่สุดคนไทยจะกลับมาเหมือนเดิม
กลับมาที่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง พื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ชาตินับจากสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีลุล่วงยาวนานกว่า 200 ปี แต่สถานที่แห่งนี้ไม่เคยห่างหายจากเรื่องราวและมนต์ขลัง ล่าสุดหลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ดำเนินการปิดปรับปรุงพื้นที่นานกว่าหนึ่งปีกระทั่งมีการเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ.2554 ท้องสนามหลวงในวันนี้จึงดูสง่างามเคียงคู่พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่างน่าประทับใจสำหรับแขกที่มาเยี่ยมชม
และเพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์สำคัญทางสำนักการโยธา กทม.จึงได้จัดนิทรรศการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ณ สถานที่แห่งนี้บอกเล่าเรื่องราวต่อคนกรุงเทพฯ เพื่อร่วมเก็บความประทับใจในพื้นที่แห่งนี้ โดยใช้ชื่อนิทรรศการครั้งนี้ว่า “ท้องสนามหลวง ณ พระนครศิวิไลซ์” แบ่งเรื่องราวในการนำเสนอออกเป็น 3 ช่วงสำคัญ ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน การละเล่นไทย” โดยจัดแสดงไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย.-25 ต.ค.54 เป็นการนำเสนอสีสันและถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตของท้องสนามหลวง เพื่อร่วมรำลึกภาพความประทับใจในบรรยากาศแห่งความสนุกสนานรื่นเริงกับนานากิจกรรมที่เคยเกิดขึ้นบนท้องสนามหลวง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ชาวสยามเป็นอย่างมาก เช่น กีฬากอล์ฟ ที่นำมาเล่นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ท้องสนามหลวงเป็นสนามในการแข่งขันกีฬาแข่งม้า ที่มีมาตั้งแต่ครั้งเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรป โดยท้องสนามหลวงเป็นสนามแข่งม้าแห่งแรกในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่กีฬาฟุตบอล ที่ชาวตะวันตกนำเข้ามาแข่งขันบนท้องสนามหลวงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสยาม รวมถึงการเล่นว่าว ซึ่งเป็นการละเล่นที่น่าตื่นเต้น สนุกสนาน จนกลายเป็นสีสันและเอกลักษณ์ให้ท้องสนามหลวงมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งรวมของโหราศาสตร์หลากหลายแขนงจากบรรดาหมอดูโคนต้นมะขาม ฯลฯ
ช่วงที่ 2 “ศรีสวัสดิ์ ณ มณฑลพิธีแห่งความศิวิไลซ์” จัดแสดงระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-27 พ.ย.54 เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลในอดีตของท้องสนามหลวงที่ผ่านระยะเวลากว่า 200 ปี ในการประกอบพิธีสำคัญของพระนคร ไม่ว่าจะเป็นพระราชพิธีพืชมงคล, พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, พระราชพิธีพิรุณศาสตร์, พระราชพิธีบวงสรวงบูชาพระมหากษัตริยาธิราชในอดีต รวมทั้งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และสำคัญของบ้านเมืองเนื่องในโอกาสวันปีใหม่และวันสงกรานต์ ตลอดจนเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีออกพระเมรุ ในส่วนของการจัดแสดงยังจัดฉายวีดิทัศน์บอกเรื่องราวอีกด้วย เรียกได้ว่านิทรรศการที่เกิดขึ้นในช่วงที่ 2 ถือเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นการเกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมของท้องสนามหลวง
มาถึงช่วงสุดท้ายของการจัดนิทรรศการถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ เพราะการจัดนิทรรศการในครั้งนี้อยู่ในห้วงเวลาที่คนไทยและสังคมไทยกำลังมีความสุข เนื่องจากเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 โดยนิทรรศการที่จัดขึ้นในครั้งนี้ใช้หัวเรื่องว่า “มงคลนิมิต บนผืนแผ่นดินทอง” เป็นการรังสรรค์ขึ้นด้วยภาพที่งดงามและเรื่องราวที่บอกเล่าถึงความเจริญรุ่งเรืองของราชอาณาจักรไทยในราชวงศ์จักรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน รวมทั้งประวัติความเป็นมาและความสำคัญของท้องสนามหลวงในฐานะที่เป็นมณฑลพิธีในการจัดพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในทุกรัชกาล เช่นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีอินทราพิเษก พระราชพิธีรัชดาภิเษก พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก และพระราชพิธีกาญจนาภิเษก
นอกจากนี้ ทางกทม.ยังได้ถือโอกาสเปิดตัวหนังสือ “ท้องพระโรงกลางแจ้ง ท้องสนามหลวง” ซึ่งถือเป็นจดหมายเหตุการปรับปรุงภูมิทัศน์ ซึ่งประมวลประวัติศาสตร์อันยาวนานของท้องสนามหลวง ตลอดจนบันทึกเรื่องราววิวัฒน์ผ่านยุคสมัย รวมทั้งฟื้นฟูและปรับปรุงภูมิทัศน์ท้องสนามหลวงในปี 2554 ซึ่งเป็นการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรื่องราว หาความรู้ และได้ร่วมภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของท้องสนามหลวงอันเป็นสมบัติของชาติ และร่วมกันธำรงรักษาไว้สืบไป
และนี่คือเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง พื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจของชาวไทย ใครที่สนใจสามารถเดินทางไปร่วมเก็บความประทับใจสำหรับนิทรรศการดีๆ ในครั้งนี้ได้ ซึ่งทางกทม.จะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.2554 - 2 ม.ค. 2555 จันทร์-ศุกร์ ระหว่างเวลา 09.00-17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่างเวลา 09.00-18.00 น.
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
กระทั่งเมื่อมวลน้ำก้อนใหญ่ทะลักไหลบ่าลงมาท่วมพื้นที่ทั้งจากภาคกลางและกรุงเทพมหานคร ส่งผลทำให้มวลน้ำได้มีส่วนในการละลายพฤติกรรมของคนไทย ได้เห็นความห่วงใยกันของคนในสังคมไทย จะมีก็เพียงคนในวงการการเมืองเท่านั้นที่ดูจะยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการกระทำ ถึงกระนั้นคนในสังคมไทยก็ยังคงมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าท้ายที่สุดคนไทยจะกลับมาเหมือนเดิม
กลับมาที่เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง พื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ชาตินับจากสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีลุล่วงยาวนานกว่า 200 ปี แต่สถานที่แห่งนี้ไม่เคยห่างหายจากเรื่องราวและมนต์ขลัง ล่าสุดหลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ดำเนินการปิดปรับปรุงพื้นที่นานกว่าหนึ่งปีกระทั่งมีการเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ.2554 ท้องสนามหลวงในวันนี้จึงดูสง่างามเคียงคู่พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่างน่าประทับใจสำหรับแขกที่มาเยี่ยมชม
และเพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์สำคัญทางสำนักการโยธา กทม.จึงได้จัดนิทรรศการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ณ สถานที่แห่งนี้บอกเล่าเรื่องราวต่อคนกรุงเทพฯ เพื่อร่วมเก็บความประทับใจในพื้นที่แห่งนี้ โดยใช้ชื่อนิทรรศการครั้งนี้ว่า “ท้องสนามหลวง ณ พระนครศิวิไลซ์” แบ่งเรื่องราวในการนำเสนอออกเป็น 3 ช่วงสำคัญ ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน การละเล่นไทย” โดยจัดแสดงไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย.-25 ต.ค.54 เป็นการนำเสนอสีสันและถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตของท้องสนามหลวง เพื่อร่วมรำลึกภาพความประทับใจในบรรยากาศแห่งความสนุกสนานรื่นเริงกับนานากิจกรรมที่เคยเกิดขึ้นบนท้องสนามหลวง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ชาวสยามเป็นอย่างมาก เช่น กีฬากอล์ฟ ที่นำมาเล่นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ท้องสนามหลวงเป็นสนามในการแข่งขันกีฬาแข่งม้า ที่มีมาตั้งแต่ครั้งเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรป โดยท้องสนามหลวงเป็นสนามแข่งม้าแห่งแรกในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่กีฬาฟุตบอล ที่ชาวตะวันตกนำเข้ามาแข่งขันบนท้องสนามหลวงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสยาม รวมถึงการเล่นว่าว ซึ่งเป็นการละเล่นที่น่าตื่นเต้น สนุกสนาน จนกลายเป็นสีสันและเอกลักษณ์ให้ท้องสนามหลวงมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งรวมของโหราศาสตร์หลากหลายแขนงจากบรรดาหมอดูโคนต้นมะขาม ฯลฯ
ช่วงที่ 2 “ศรีสวัสดิ์ ณ มณฑลพิธีแห่งความศิวิไลซ์” จัดแสดงระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-27 พ.ย.54 เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลในอดีตของท้องสนามหลวงที่ผ่านระยะเวลากว่า 200 ปี ในการประกอบพิธีสำคัญของพระนคร ไม่ว่าจะเป็นพระราชพิธีพืชมงคล, พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, พระราชพิธีพิรุณศาสตร์, พระราชพิธีบวงสรวงบูชาพระมหากษัตริยาธิราชในอดีต รวมทั้งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และสำคัญของบ้านเมืองเนื่องในโอกาสวันปีใหม่และวันสงกรานต์ ตลอดจนเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีออกพระเมรุ ในส่วนของการจัดแสดงยังจัดฉายวีดิทัศน์บอกเรื่องราวอีกด้วย เรียกได้ว่านิทรรศการที่เกิดขึ้นในช่วงที่ 2 ถือเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นการเกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมของท้องสนามหลวง
มาถึงช่วงสุดท้ายของการจัดนิทรรศการถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ เพราะการจัดนิทรรศการในครั้งนี้อยู่ในห้วงเวลาที่คนไทยและสังคมไทยกำลังมีความสุข เนื่องจากเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 โดยนิทรรศการที่จัดขึ้นในครั้งนี้ใช้หัวเรื่องว่า “มงคลนิมิต บนผืนแผ่นดินทอง” เป็นการรังสรรค์ขึ้นด้วยภาพที่งดงามและเรื่องราวที่บอกเล่าถึงความเจริญรุ่งเรืองของราชอาณาจักรไทยในราชวงศ์จักรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาชน รวมทั้งประวัติความเป็นมาและความสำคัญของท้องสนามหลวงในฐานะที่เป็นมณฑลพิธีในการจัดพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในทุกรัชกาล เช่นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีอินทราพิเษก พระราชพิธีรัชดาภิเษก พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก และพระราชพิธีกาญจนาภิเษก
นอกจากนี้ ทางกทม.ยังได้ถือโอกาสเปิดตัวหนังสือ “ท้องพระโรงกลางแจ้ง ท้องสนามหลวง” ซึ่งถือเป็นจดหมายเหตุการปรับปรุงภูมิทัศน์ ซึ่งประมวลประวัติศาสตร์อันยาวนานของท้องสนามหลวง ตลอดจนบันทึกเรื่องราววิวัฒน์ผ่านยุคสมัย รวมทั้งฟื้นฟูและปรับปรุงภูมิทัศน์ท้องสนามหลวงในปี 2554 ซึ่งเป็นการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรื่องราว หาความรู้ และได้ร่วมภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของท้องสนามหลวงอันเป็นสมบัติของชาติ และร่วมกันธำรงรักษาไว้สืบไป
และนี่คือเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง พื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจของชาวไทย ใครที่สนใจสามารถเดินทางไปร่วมเก็บความประทับใจสำหรับนิทรรศการดีๆ ในครั้งนี้ได้ ซึ่งทางกทม.จะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.2554 - 2 ม.ค. 2555 จันทร์-ศุกร์ ระหว่างเวลา 09.00-17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่างเวลา 09.00-18.00 น.
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เกมข่าวปรับ ครม. ยิ่งลักษณ์ แผนปั่นน้ำแอปเปิลของ ทักษิณ. เขย่าขวัญ 8 ตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อไทย !!?
ทฤษฎี "ปั่นน้ำแอปเปิล" ของ "ทักษิณ ชินวัตร" ถูกปฏิบัติการครึกโครมอีกครั้ง
เมื่อชื่อตัวละครจากที่เคยมีแค่ 4 คน เพิ่มมาอีก 2 คน 2 ตำแหน่งใหญ่ จากมุ้งใหญ่ในเพื่อไทย
เดิมมีคนเก้าอี้สั่นไหว 4 ตำแหน่ง ที่ถูกอ้างเหตุ "ผลงานไม่เข้าตา" คือ 1.นางกฤษณา สีหลักษณ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ 2.นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ 3.นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ 4.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ต่อมามีเหตุ "เขย่าเก้าอี้" 2 รัฐมนตรีขาใหญ่ ในเครือข่ายสายตรง "ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ"
ชื่อที่ 1 ที่ถูกปล่อยออกจากห้องประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นชื่อเก่าที่ถูกเขย่าจนโยกเอน คือ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เก้าอี้ใหญ่ที่รองนายกรัฐมนตรี "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ก็หมายปอง
ชื่อที่ 2 ตำแหน่งใหญ่-เจ้าของ โปรเจ็กต์แสนล้าน ไม่มีคอนเน็กชั่นในเพื่อไทย แต่เส้นใหญ่ระดับ "เพื่อน-ทักษิณ" คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม
ความเคลื่อนไหวเลื่อยขาเก้าอี้รัฐมนตรี ถูกพัฒนาจากข่าวการ "ปรับเล็ก" ไปสู่การ "ปรับใหญ่"
เลื่อนเวลาจากเดิมปรับ ครม.ใหม่ในช่วงกลางปี 2555 หลังคนเดือนตุลา และคนบ้านเลขที่ 111 พ้นภัยการเมือง ถูกเร่งวันเร่งคืนเข้ามาเป็นช่วงหลังเทศกาลปีใหม่
รวดเร็วจาก 6 เดือน เหลือเพียงไม่เกิน 45 วัน
ทั้งนี้ การอ้างเหตุฟ้องร้องกับ "ทักษิณ" เพื่อขอปรับ ครม.วาระแรก มาจากข้ออ้างรัฐมนตรีไร้ผลงานจนเข้าข่ายโลกลืม
วาระที่สองที่ถูกอ้างแนบท้าย และมีน้ำหนักกระทบโสตประสาท "ทักษิณ" คือ อาการเกาเหลาไม่ลงรอยกัน ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกับรัฐมนตรีช่วยว่าการใน 2 กระทรวง
หนึ่งคือกระทรวงคมนาคม สองคือกระทรวงศึกษาธิการ
แม้กระทั่งในทำเนียบรัฐบาลยังมีอาการเกาเหลาตั้งแต่ตึกบัญชาการไปจนถึงตึกแดง-ทะลุไปถึงศึกฉีกหน้าในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี
ทั้ง 3 ปรากฏการณ์ 3 พื้นที่เกิดเหตุ "ทักษิณ" ได้ยิน-ได้เห็นภาพ เพราะคำบอกเล่า-คำร้องและคำฟ้องจากปากคนใกล้ชิด
ทั้งจากปากคนระดับ "น้องชาย-น้องสาว-น้องเขย" นายพายัพ ชินวัตร และก๊วนเจ้แดง ภริยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ไหนจะจากปากของคนเสื้อแดงลมใต้ปีกเพื่อไทย ที่ลงทุนแห่ไปฟ้องแบบตัวต่อตัวเรื่องความไม่สมประโยชน์ทางการเมือง และความเหลื่อมล้ำระหว่าง ส.ส.กับรัฐมนตรี
ที่เกิดเหตุมีทั้งในฮ่องกง-อินเดีย และดูไบ
ที่เกิดเหตุในเมืองไทย มีทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ
บุคคลในข่าวมีถึง 6 ตำแหน่ง
ไม่นับรวมอีก 1 ตำแหน่ง รมต.ที่ออกตัวแรงด้วยพาสปอร์ต "แดง" เป็นของขวัญปีใหม่
ไม่นับรวมอีก 1 ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ที่ถูก "ทักษิณ" วิเคราะห์ว่าเป็นพวกหวังดี ประสงค์ร้าย ด้วยการโฆษณา "โครงการทักษิณกลับบ้าน" ด้วยการ "นิรโทษ"
รัฐมนตรีทุกคนที่ตกเป็นข่าว เก้าอี้ร้อน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยอมรับว่าผลงานไม่มี ความดีไม่ปรากฏ เพราะเหตุเรื่องน้ำท่วม"
บางคนแก้เกี้ยว แก้เกมด้วยการตอบโต้ว่าเป็นเพียง "ข่าวลือ"
คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกรัฐมนตรีว่าการ "รวบอำนาจ" ก็แก้ลำด้วยการเปิดอีเวนต์แถลงข่าวที่กระทรวง โดยปิดปากพวกรัฐมนตรีช่วยว่าการ และผู้ช่วยรัฐมนตรี ด้วยการมอบหมายงานเพิ่มให้
คนในพรรคนับนิ้วเก้าอี้รัฐมนตรีที่ไม่แน่นอนรวม 8 ตำแหน่ง แบ่งเป็น 2 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 รองนายกรัฐมนตรี 3 รัฐมนตรีว่าการ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ คนใกล้ชิด "ทักษิณ" ทั้งที่บินไปดูไบ และรอรับสัญญาณสายตรงในเมืองไทย วิเคราะห์ปรากฏการณ์เขย่าเก้าอี้รัฐมนตรี 2 วังใหญ่ ใน 8 ตำแหน่ง ว่าเป็นการทดสอบ "ทฤษฎีปั่นน้ำแอปเปิล" ของ "ทักษิณ" อีกรอบ
แหล่งข่าวในเพื่อไทย ยกตัวอย่าง ด้วยว่า สมัย "ทักษิณ" เป็นนายกรัฐมนตรี มักมีการปรับ ครม. ทุก 4-5 เดือน ห้วงเวลานี้ถือว่าเป็นเวลาที่ใกล้เคียง
"ที่ผ่านมารัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ไม่มีผลงานชัดเจนหลายคน มีคนที่มี ผลงานนับนิ้วได้ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการเขย่าเก้าอี้ให้รัฐมนตรีเร่งทำผลงานด้วยการเปิดประเด็นเรื่องใครสอบตกต้องถูกปรับพ้น ครม.ออกมา" แหล่งข่าวกล่าว
คนใกล้ชิด "ทักษิณ" บางคนอธิบายเพิ่มเติมว่า "ทักษิณมักพูดเสมอว่า เวลาจะทำอะไรให้ได้ผลดี บางทีต้องมีเสียงดัง เหมือนทฤษฎีการปั่นน้ำแอปเปิล ตอนปั่นจะเสียงดัง สั่น สะเทือน แต่ได้ผลเป็นน้ำผลไม้หอมหวาน"
การเคลื่อนไหวของเบี้ยบนกระดานการปรับ ครม.คราวนี้ จึงเป็นเพียงการทดสอบทฤษฎี "ปั่นน้ำแอปเปิล" ของทักษิณ...อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เสียงดังและ เสียงแตกระหว่างปรับเล็กหรือปรับใหญ่ และปรับกลางปี"55 หรือปรับหลังปีใหม่
ไม่ว่าจะปรับอย่างไร คนในพรรค เพื่อไทยก็สั่นไหวไปทั่วทั้งองคาพยพ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
อาเอ๋ย..อากง !!?
อากง..คือใคร..
อากง..ในภาษามาเลเซีย..ยังดี เปอร์ตวน อากง แปลว่า ผู้ปกครองสูงสุด..สำหรับภาษาจีน ยี่กอฮง อากง คือ เจ้าพ่อของนักเสี่ยงโชค
แต่อากง ในภาษาไทยคือชื่อของผู้ต้องโทษ 20 ปี..ที่ใช้ เอสเอ็มเอส..หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงอาการอาฆาตมาดร้าย..ในมาตรา 112
และมาตรา 14 ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ผู้คนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงอาการ..เห็นใจกับอากง...กับโทษที่ได้รับที่ผูกพันต่อเนื่องกัน..จนถึง 20 ปี..และบอกว่า..ไม่ควรมีกฎหมายนี้ หรือหากจะมีก็ให้ศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่านี้
อำพล ตั้งนพกุล คือ..ชื่อของ “อากง” น่าจะมาจากอะไร..หากจะให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็น่าจะเป็น “เพ็นเนม” ที่ใช้ในระหว่างโพสข้อความหรือท่องเน็ต..
ดังนั้น..ไม่ว่า ม.112 หรือ ม.14 จึงไม่น่าจะอยู่ห่างไกลจากความไม่เข้าใจของ... “อากง” และ “อากง” จะต้องรู้ดีอย่างยิ่ง...กับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น...หากก้าวล่วงเข้าไปในสัดส่วนที่ต้องห้าม
“อากง”...แจงว่า...มีคนอื่นหยิบไปใช้และใส่ข้อความที่เป็นอันตรายต่อเสรีภาพ...แถมยังมีการเปลี่ยนซิม...ใครก็ตามที่หยิบมือถือของ “อากง” คงไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนซิมให้เมื่อยมือ...เพราะเขาไม่จำเป็นต้องอำพรางตน...
มีไม่กี่คนที่ถือมือถือที่รู้ว่า..อีมี่...ที่มีอยู่กับตัวโทรศัพท์มือถือนั้น...มันเป็นตัวตนของโทรศัพท์เครื่องนั้น
ส่วนซิมเป็นแค่กางเกงและเสื้อ คุญจะเปลี่ยนเสื้อและกางเกงอย่างไรก็ได้ แต่คุณเปลี่ยนตัวตนของคุณไม่ได้...ฉันใดฉันนั้น
อีกทั้งระบบโทรมือถือนั้น...เขากำหนดจุดเดินทางกันระหว่างเสารับส่งสัญญาน...มันจึงแสดงถิ่นฐานระหว่างการโทรว่าอยู่ ณ ที่ใด...
จึงไม่น่าแปลกใจที่ “อากง” ยังดำรงจิตใจว่าจะสู้ต่อไป...แต่แปลกใจที่ทำไม...ถึงไปตั้งเรื่องตั้งราวว่ามีคนอื่นหยิบมือถือไปใช้และเอาไปทำผิดกฎหมาย...
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อากง..ในภาษามาเลเซีย..ยังดี เปอร์ตวน อากง แปลว่า ผู้ปกครองสูงสุด..สำหรับภาษาจีน ยี่กอฮง อากง คือ เจ้าพ่อของนักเสี่ยงโชค
แต่อากง ในภาษาไทยคือชื่อของผู้ต้องโทษ 20 ปี..ที่ใช้ เอสเอ็มเอส..หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงอาการอาฆาตมาดร้าย..ในมาตรา 112
และมาตรา 14 ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ผู้คนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงอาการ..เห็นใจกับอากง...กับโทษที่ได้รับที่ผูกพันต่อเนื่องกัน..จนถึง 20 ปี..และบอกว่า..ไม่ควรมีกฎหมายนี้ หรือหากจะมีก็ให้ศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่านี้
อำพล ตั้งนพกุล คือ..ชื่อของ “อากง” น่าจะมาจากอะไร..หากจะให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็น่าจะเป็น “เพ็นเนม” ที่ใช้ในระหว่างโพสข้อความหรือท่องเน็ต..
ดังนั้น..ไม่ว่า ม.112 หรือ ม.14 จึงไม่น่าจะอยู่ห่างไกลจากความไม่เข้าใจของ... “อากง” และ “อากง” จะต้องรู้ดีอย่างยิ่ง...กับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น...หากก้าวล่วงเข้าไปในสัดส่วนที่ต้องห้าม
“อากง”...แจงว่า...มีคนอื่นหยิบไปใช้และใส่ข้อความที่เป็นอันตรายต่อเสรีภาพ...แถมยังมีการเปลี่ยนซิม...ใครก็ตามที่หยิบมือถือของ “อากง” คงไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนซิมให้เมื่อยมือ...เพราะเขาไม่จำเป็นต้องอำพรางตน...
มีไม่กี่คนที่ถือมือถือที่รู้ว่า..อีมี่...ที่มีอยู่กับตัวโทรศัพท์มือถือนั้น...มันเป็นตัวตนของโทรศัพท์เครื่องนั้น
ส่วนซิมเป็นแค่กางเกงและเสื้อ คุญจะเปลี่ยนเสื้อและกางเกงอย่างไรก็ได้ แต่คุณเปลี่ยนตัวตนของคุณไม่ได้...ฉันใดฉันนั้น
อีกทั้งระบบโทรมือถือนั้น...เขากำหนดจุดเดินทางกันระหว่างเสารับส่งสัญญาน...มันจึงแสดงถิ่นฐานระหว่างการโทรว่าอยู่ ณ ที่ใด...
จึงไม่น่าแปลกใจที่ “อากง” ยังดำรงจิตใจว่าจะสู้ต่อไป...แต่แปลกใจที่ทำไม...ถึงไปตั้งเรื่องตั้งราวว่ามีคนอื่นหยิบมือถือไปใช้และเอาไปทำผิดกฎหมาย...
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดรายงานคอป.ครั้งที่ 2 ...
รายงานความคืบหน้าคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ครั้งที่ 2 (17 มกราคม 2554 – 16 กรกฎาคม 2554)
รายงานคอป. มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาทิ การดำเนินคดีอาญาในคดีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) รวมทั้งคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ล้วนเป็นเรื่องที่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง รัฐบาลสมควร เร่งรัดตรวจสอบให้ชัดเจนว่ามีการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินสมควรหรือไม่ หากผู้ต้องหาและจำเลยนั้นไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว รัฐบาลสมควรจัดหาสถานที่ในการควบคุมที่เหมาะสมที่มิใช่เรือนจำปกติ และนำเอาหลักวิชาการเกี่ยวกับความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน และความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ มาปรับใช้ โดยในระหว่างนี้ให้อัยการ ชะลอการดำเนินคดีอาญาเหล่านี้ไว้ก่อน
นอกจากนี้ คอป.มีความกังวลต่อสถานการณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตาม มาตรา 112และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กลายเป็นพัฒนาการทางการเมืองและการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่สหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน และนานาประเทศให้ความสนใจติดตามอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน คอป. เห็นว่ารัฐบาลต้องดำเนินการทุกวิถีทางโดยคำนึงถึงเป้าหมายสุดท้าย คือการปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในสถานะที่สามารถดำรงพระเกียรติยศได้อย่างสูงสุดเป็นสำคัญ
ประการสุดท้าย ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา คอป.ได้ข้อสรุปประการหนึ่งว่าสาเหตุอันเป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งของประเทศจนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.2553 ส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการที่ละเมิดหลักนิติธรรม อันเกิดจากกรณีของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2547 ในคดี "ซุกหุ้น" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด
เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ลงไปวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี แต่กลับมีการนำเอาคะแนนเสียง 2 เสียงนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงอีก 6 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหาว่า "ซุกหุ้น" แล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศไทย คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง
อ่านฉบับเต็ม http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/12/09/attachfile/news_attach_423629_1.pdf
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////
79 ปี รัฐธรรมนูญไทย ...
ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เมื่อปี พ.ศ. 2475 นั้น จนถึงปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญ18ฉบับ
1. พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) มีส่วนอย่างสำคัญในการร่างถือเป็นธรรมนูญฉบับแรกและเป็นฉบับชั่วคราว ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 5 เดือน 13 วัน
2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 13 ปี 5 เดือน ระหว่าง 13 ปี 5 เดือนนี้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2482 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศจาก“สยาม” เป็น “ไทย” ตามข้อเสนอของรัฐบาล ซึ่งมีนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ) เป็นนายกรัฐมนตรี ยังผลให้ชื่อของรัฐธรรมนูญต้องเปลี่ยนเป็น “รัฐธรรม-นูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ไปด้วย
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2483 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะกาลซึ่งเสนอโดยขุนบุรัสการกิตติคดี (เหมือน บุรัสการ) ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี โดยการสนับสนุนของรัฐบาล ซึ่งมีนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อันมีผลให้บทเฉพาะกาลซึ่งควรจะต้องสิ้นสุดในวันที่ 10 ธันวาคม 2485 เป็นอย่างช้า ยืดเวลาออกไปอีก 10 ปี
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2485 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามข้อเสนอของรัฐบาล ซึ่งมีจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ยังผลให้สามารถขยายเวลาอยู่ในตำแหน่ง ผู้แทนราษฎรออกไปอีกคราวละ 2 ปี
3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2489 และยกเลิกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดยการรัฐประหารของคณะรัฐประหาร อันมี พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ นายทหารกองหนุน เป็นหัวหน้า
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 5 เดือน 28 วัน
4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 4 เดือน 14 วัน ระหว่าง 1 ปี 4 เดือน 14 วันนี้ มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
3 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2490 แก้ไขคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยกำหนดอายุผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ต่ำกว่า 35 ปี และให้ พระบรมวงศานุวงศ์สามารถสมัครรับเลือกตั้งได้
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2491 แก้ไขกำหนดเวลาในการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและวิธีการร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและร่างให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2491 แก้ไขให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีเอกสิทธิ์และคุ้มกัน เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 และยกเลิกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 โดยการ รัฐประหารของคณะรัฐประหาร ซึ่งมี พล.อ. ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี 8 เดือน 6 วัน
6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2495 และยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 โดยการรัฐประหารของคณะรัฐประหาร ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 6 ปี 7 เดือน 12 วัน
7. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2502 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 9 ปี 4 เดือน 20 วัน
8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511 และยกเลิกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 โดยการรัฐประหารของคณะรัฐประหารซึ่งจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้า
เป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาในการร่างยาวนานถึง 9 ปี 4 เดือน 20 วัน แต่มีอายุในการประกาศและบังคับใช้เพียง 3 ปี 4 เดือน 27 วัน
9. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 9 เดือน 22 วัน
10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2517 และยกเลิกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยการรัฐประหารของ “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ซึ่งมี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นหัวหน้า
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี
11. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2519 และยกเลิกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 โดยการรัฐประหารของ “คณะปฏิวัติ” ซึ่งมี พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เป็นหัวหน้า
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี
12. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2520 และได้รับการยกเลิกเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 เนื่องจากการประกาศและบังคับใช้ธรรมนูญ ฉบับใหม่ คือ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521” อันเป็นธรรมนูญฉบับที่ 13
13. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2528
ประกาศใช้เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2521 โดยผลจากข้อกำหนดในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพุทธศักราช 2520 สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นับว่าเป็นประชาธิปไตยพอสมควร หากไม่นับบทบัญญัติเฉพาะกาลที่มีผลใช้บังคับอยู่ในช่วง 4 ปีแรกของการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ได้มีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ฉบับนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งประสบความสำเร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2528
14. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534
ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2534 ภายหลังจากการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน ของสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ต่อมาได้ถูกยกเลิกโดยได้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
15. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 เป็นรัฐ-ธรรมนูญที่ตราขึ้นเพื่อใช้แทนธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 โดยมีการแก้ไขเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ
รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการแก้ไขเพิ่มเติม 4 ครั้ง 6 ฉบับ
รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 5 ปี 10 เดือน 3 วัน
16. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 โดยเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างโดย สภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้ง สำหรับฉบับที่สั้นที่สุดคือฉบับที่1 พระราชบัญญัติการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 6 เดือน ฉบับที่ยาวที่สุดคือฉบับที่ 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 15 ปี 6 เดือน
17. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศชั่วคราว ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยมีจำนวน39 มาตรา โดยได้ยกเลิกไปเมื่อวันที่24 สิงหาคม 2550 ทันทีที่รัฐธรรมมนูญฉบับที่ 18 มีผลบังคับใช้
18. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 มีจำนวนมาตรา 309 มาตราช่วงที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 17 นั้น ได้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้มี "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" (ส.ส.ร.) กำหนดให้ร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จใน 180 วัน นับแต่วันเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก จากนั้นได้ทำการเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบ และจัดให้มีการออกเสียง "ประชามติ"
การลงประชามติมีขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 โดยผลที่ออกมาคือ ประชาชนลงคะแนน รับร่างรัฐธรรมนูญ 57.81%ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 42.19% จึงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน และประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ทูตสหรัฐ. ทวีตแจงกรณีจำคุก โจ กอร์ดอน หมิ่นสถาบัน !!?
นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย พูดคุยตอบคำถามประชาชนและผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว (@KristyKenny) เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยนางเคนนีย์ ชี้แจงถึงท่าทีของสถานทูตสหรัฐต่อการตัดสินจำคุก 2 ปี นายโจ กอร์ดอน เชื้อชาติไทย สัญชาติสหรัฐ ในข้อหาแปลหนังสือต้องห้ามเผยแพร่ในบล็อก ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112
นางเคนนีย์ ทวีตข้อความว่า สหรัฐมีความกังวลใจเนื่องจากการตัดสินไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเสรีภาพพื้นฐานสากลว่าด้วยสิทธิในการแสดงออก พร้อมยืนยันว่าทางการสหรัฐมีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างหาที่สุดมิได้ แต่สหรัฐสนับสนุนการมีสิทธิทางความคิดและเสรีภาพในการแสดงออกทั่วโลก ซึ่งทางสถานทูตสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือนายกอร์ดอน โดยจะเดินทางไปเข้าเยี่ยมและนำเรื่องนี้เข้าหารือกับทางการไทย พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ให้ชาวสหรัฐทั้งที่จะเดินทางมาและกำลังพำนักอยู่ในไทยได้อ่านศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลและกฎหมายเบื้องต้นของไทยทางเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐด้วย (http://travel.state.gov/travel/cis_pa_tw/cis/cis_1040.html#criminal_penalties) เนื่องจากแม้จะมีสัญชาติสหรัฐ แต่หากอยู่ในไทยก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทย
นางเคนนีย์ ยืนยันว่า สหรัฐยังคงจุดยืนที่ต้องการจะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ความร่วมมือและการค้ากับประเทศในภูมิภาคนี้ ขณะที่สหรัฐจะให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการฟื้นฟูจากอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ด้วย พร้อมยืนยันว่า เรือยูเอสเอส ลาสเซน และยูเอสเอส มัสแตง ยังเทียบท่าอยู่ที่ไทยเพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือเหตุอุทกภัย
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
นางเคนนีย์ ทวีตข้อความว่า สหรัฐมีความกังวลใจเนื่องจากการตัดสินไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเสรีภาพพื้นฐานสากลว่าด้วยสิทธิในการแสดงออก พร้อมยืนยันว่าทางการสหรัฐมีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างหาที่สุดมิได้ แต่สหรัฐสนับสนุนการมีสิทธิทางความคิดและเสรีภาพในการแสดงออกทั่วโลก ซึ่งทางสถานทูตสหรัฐจะให้ความช่วยเหลือนายกอร์ดอน โดยจะเดินทางไปเข้าเยี่ยมและนำเรื่องนี้เข้าหารือกับทางการไทย พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ให้ชาวสหรัฐทั้งที่จะเดินทางมาและกำลังพำนักอยู่ในไทยได้อ่านศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลและกฎหมายเบื้องต้นของไทยทางเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐด้วย (http://travel.state.gov/travel/cis_pa_tw/cis/cis_1040.html#criminal_penalties) เนื่องจากแม้จะมีสัญชาติสหรัฐ แต่หากอยู่ในไทยก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทย
นางเคนนีย์ ยืนยันว่า สหรัฐยังคงจุดยืนที่ต้องการจะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ความร่วมมือและการค้ากับประเทศในภูมิภาคนี้ ขณะที่สหรัฐจะให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการฟื้นฟูจากอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ด้วย พร้อมยืนยันว่า เรือยูเอสเอส ลาสเซน และยูเอสเอส มัสแตง ยังเทียบท่าอยู่ที่ไทยเพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือเหตุอุทกภัย
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////
โรคเอดส์อาละวาดมาต้ัง 30 ปีแล้ว เพิ่งคิดวัคซีีนทดลองกับหนูสำเร็จ
สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯแจ้งว่า เพิ่งทดลองวัคซีนป้องกันโรคเอดส์กับหนูเป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก นับแต่เกิดโรคเอดส์มานานถึง 30 ปีแล้ว
วารสารวิชาการ “ธรรมชาติ” ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า หนูซึ่งถูกดัดแปลงทาง พันธุกรรมสามารถสร้างแนวต้านทานเชื้อไวรัส โรคเอดส์ ซึ่งเป็นแนวหน้าของระบบภูมิคุ้มกันขึ้นได้ หลังจากที่ฉีดให้ด้วยยีน
ตั้งแต่ปรากฏขึ้นมา เมื่อ พ.ศ.2524 โรคเอดส์ได้คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 ล้านชีวิต แต่ยอดผู้เสียชีวิตได้ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ขึ้นสูงสุด เนื่องด้วยการรักษาด้วยยา
บรรดานักรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ลงความ เห็นว่า จะปราบโรคลงได้ก็ด้วยการคิดวัคซีนขึ้นได้ เท่านั้น หากแต่เคยปรากฏว่าที่คิดกันขึ้นมามีอยู่สูตรเดียวเท่านั้นสามารถป้องกันได้เพียงร้อยละ 31 เท่านั้น
นักวิจัยต้องกลับไปตั้งต้นใหม่อีกเพื่อมองหา “ภูมิคุ้มกันที่สามารถถอนพิษได้อย่างกว้างขวาง” ขึ้น.
ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/edu/222179
ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
3 ค่ายมือถือเปิดศึก ทยอยให้สาวกแอปเปิลชิง 'ไอโฟน4เอส' แล้ว !!?
ยุติการรอคอย! 3 ค่ายมือถือ เอไอเอส-ดีแทค-ทรูมูฟ เอช เปิดให้แฟนพันธุ์แท้สมาร์ทโฟนค่ายแอปเปิลจองเครื่องรุ่นล่าสุด "ไอโฟน 4 เอส" แล้ว หลังเอไอเอสและทรูมูฟ เอช ให้แสดงความสนใจก่อนเปิดจอง...
หลังจากที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้เปิดให้เข้าลงทะเบียนแสดงความสนใจสมาร์ทโฟนแบรนด์ยอดนิยมอย่างไอโฟน 4 เอส (iPhone 4S) ล่าสุด สำหรับลูกค้าที่ได้เข้ามาแสดงความสนใจแล้ว จะได้รับการติดต่อกลับทางข้อความ (เอสเอ็มเอส) และอีเมล์จากเอไอเอส ซึ่งแจ้งให้เตรียมตัวเข้ามาทำการจองไอโฟน 4 เอส จากเอไอเอส ได้ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.2554 เป็นต้นไป หรือจนกว่าสินค้าจะหมด เพื่อรับเครื่องในวันที่ 16-18 ธ.ค. ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยผู้ที่ยังต้องการเป็นเจ้าของไอโฟน 4 เอส จากเอไอเอส สามารถลงทะเบียนแสดงความสนใจได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 ธ.ค.นี้ ที่เว็บไซต์ของเอไอเอส
ขณะเดียวกัน บริษัท เรียล มูฟ จำกัด ผู้ให้บริการทรูมูฟ เอช ก็ได้เปิดให้ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนแสดงความสนใจสมาร์ทโฟน ไอโฟน 4 เอส ผ่านเว็บไซต์ทรูมูฟเอชได้แล้วเช่นกัน
ส่วนบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ได้แจ้งผ่านเว็บไซต์ดีแทค ว่าจะเปิดให้ผู้สนใจสามารถสั่งจองไอโฟน 4 เอส ได้ทางระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ (9 ธ.ค.) ในเวลา 10.00 น. โดยมีการแจ้งให้ผู้สนใจเตรียมเลขหมายดีแทคและบัตรเครดิต/เดบิต เพื่อความสะดวกในการจองสมาร์ทโฟนแบรนด์ดังด้วย.
ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/tech/222241
ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)