--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รำลึก 35 ปี 6 ตุลา เสียงเพรียกจากญาติวีรชนที่ยังไม่มี คำตอบ !!?

35 ปีก่อน ระเบิดเอ็ม 79 ลอยละลิ่วเป็นวิถีโค้งกลางอากาศ มาพร้อมกับเสียงวี๊ดยาวๆ ข้ามตึกคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนตกลงเกือบกึ่งกลางสนามฟุตบอล วินาทีนั้นควันสีขาวลอยฟุ้งกระจายนักศึกษาต่างหมอบราบ ตามที่ได้นัดแนะไว้เมื่อได้ยินเสียงอาวุธ ไม่มีใครคิดว่าพิษร้ายของอาวุธที่ลอยมานั้น จะสังหารเพื่อนนักศึกษา และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ชุมนุมกันโดยสงบรวดเดียว 4 คน เป็นการเปิดฉาก “ไทยฆ่าไทย” กลางพระนครที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในรุ่งสางวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2519

เหตุการณ์วันนั้น มีนักศึกษามากมายที่ต้องสังเวยชีวิต ท่ามกลางเสียงกระสุนที่กรีดกรายพุ่งเข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาหลายคนพยายามหนีลงแม่น้ำเจ้าพระยาด้านหลังตึกโดม เพื่อเดินเลาะริมตลิ่งไปทางท่าพระจันทร์ บางคนหนีขึ้นไปหลบตามตึก ทั้งตึกคณะบัญชีฯ ตึกคณะวารสารฯ ความเป็น ความตายของเขา และ เธอจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย

หลายคน “ตาย” แต่หลายคน “ถูกจับ” บทสรุปช่วงเช้าวันนั้น กลายเป็นข้ออ้างในการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชในช่วงเย็น

35 ปีต่อมา หนุ่มสาวปัญญาชนในวันนั้น วันนี้แปรสภาพสู่ช่วงวัยกลางคน ต่างมุ่งหน้ามารวมตัวยังลานปฏิมากรรมบริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ ที่ที่เขา และ เธอ เคยวิ่งหลบหนีตายจากวิถีกระสุน และความบ้าคลั่งของฝูงชนที่ถูกล้างสมองมาเพื่อจัดการกับนักศึกษา ในงาน “สัปดาห์รำลึก 35 ปี 6 ตุลา ประชาธิปไตยประชาชน” บางคนลางานมาเพื่อร่วมงานนี้เพียงคนเดียว บางคนพาครอบครัวย้อนรอยรำลึกความหลัง

บรรยากาศในช่วงเช้าดำเนินไปอย่างเรียบง่าย รอยยิ้มปรากฏอยู่บนหน้าของผู้ร่วมเหตุการณ์เมื่อ 35 ปีก่อน

“สุธรรม แสงประทุม” สมาชิกบ้านเลขที่ 111 พรรคไทยรักไทย อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในกาลนั้น เดินทักทายคนที่มาร่วมงานหลายคน ก่อนมาหยุดคุยกับ “ธงชัย วนิจจะกุล” อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน สหรัฐอเมริกา ผู้รับหน้าที่เป็นโฆษกบนเวทีเพียงคนเดียว ในห้วงเวลาที่มีการกราดยิงนักศึกษา

ก่อน “สุธรรม” คนเดิมจะเดินไปโอบกอดทักทาย “จินดา ทองสินธุ์” พ่อที่พลิกแผ่นดินตามหาลูกชาย “จารุพงษ์ ทองสินธุ์” นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ คนที่พยายามเร่งให้เพื่อนักศึกษารีบออกจากตึกคณะนิติศาสตร์ ไปหลบยังตึกคณะวารสาร ด้วยความหวังอันริบหรี่เป็นเวลาถึง 10 ปี กว่าจะรู้ว่าลูกชายอันเป็นความหวังของครอบครัวได้จากโลกนี้ไปแล้ว

“วันนั้นข่าวมันช้ากว่าจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็นานแล้ว ผมไปตามหารายชื่อตามสถานีตำรวจ สน.ชนะสงคราม แม้ตอนนั้นจะพบแค่บัตรนักศึกษาก็ดีใจแล้ว” จินดาเอ่ยเสียงเรียบๆ

“เหตุการณ์นั้นมันไม่ได้รับความเป็นธรรม อยากให้ลูกชายของผมเป็นคนสุดท้าย แต่ก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ประชาธิปไตยที่ได้มา ก็ได้มาแค่ชื่อเท่านั้น นักการเมืองไม่ว่ายุคไหนก็นึกหาประโยชน์ของพวกพ้อง ไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนจริงๆ จังๆ มีผลประโยชน์แอบแฝงทั้งนั้น” เขาระบายความอัดอั้นออกมา แม้เหตุการณ์จะผ่านไปกว่า 30 ปี

 “เหตุการณ์ 6 ตุลา ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีผู้วางแผนผู้กระทำ อยากให้รัฐบาลช่วยให้ความกระจ่างแก่เราด้วย สุดท้ายขอให้ประเทศไทยปรองดองกัน จะเป็นจริงหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ขอให้จบแค่นั้น ให้หยุดกันได้แล้ว อยากให้ทุกฝ่ายจับมือกัน ประเทศไทยจะได้สมบูรณ์แบบ มีประชาธิปไตย มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นเสียที”

ความรู้สึกนี้ไม่ต่างจาก “เล็ก วิทยาภรณ์” มารดาของ “มนู วิทยาภรณ์” นักศึกษาธรรมศาสตร์อีกคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยชีวิตให้กับการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองไทย “อิฉันรักลูกมากที่สุด แล้วก็มาเข่นฆ่าลูกอิฉัน แล้วยังมาแถมโลงศพให้อีกใบหนึ่ง โลงศพใบนี้อิฉันไม่ต้องการ”

“คนไหนไม่ซื่อตรง ไม่ซื่อสัตย์ คิดเข่นฆ่าลูกอิฉัน เวลานี้เริ่มเห็นกฎแห่งกรรมลางๆ แล้ว คนที่ฆ่าลูกอิฉันก็ถูกคนอื่นเข่นฆ่าเช่นกัน ขอฝากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า 6 ตุลา ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ช่วยสะสางด้วย” เธอกล่าวในฐานะกรรมการญาติวีรชน

ทั้งสองคือตัวแทนของญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ในเช้าตรู่วันนั้น สูญเสียลูกที่รักยิ่งเหมือนกัน อายุล่วงเลยเข้าสู่บั้นปลายเช่นเดียวกัน ทั้งคู่กำลังรอคอยคำตอบทั้งที่รู้ว่าจะไมมีเสียงใดสะท้อนกลับมา แต่ “พ่อจินดา” กับ “แม่เล็ก” ก็ยังรอคอย

รายงานโดย ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ
ผู้สื่อข่าวการเมือง นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เกษียร เตชะพีระ: ปกป้องสถาบัน !!?

รศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ

ระหว่างติดตามสดับตรับฟังวิวาทะสืบเนื่องจากข้อเสนอของเพื่อนอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ที่ ให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ดังอื้ออึงอยู่นั้น ผมอดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ว่า…
สิ่งที่คณะรัฐประหาร คปค. กระทำเมื่อ ๕ ปีก่อนคือการใช้อำนาจปืนลุกขึ้นฉีกกฎหมายสูงสุดของชาติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยกำกับไว้ทิ้งโดยพลการ

ขณะสิ่งที่คณะนิติราษฎร์ทำตอนนี้คือนำเสนอหลักเหตุผลข้อถกเถียงทางวิชาการเพื่อให้สังคมไทยพิจารณาตัดสินใจลบล้างผลพวงของการละเมิดกฎหมายและอำนาจอธิปไตยของแผ่นดิน โดย คปค. ครั้งนั้น ผ่านกระบวนการและวิธีการโดยชอบในกรอบของกฎหมายปัจจุบัน

เนื้อแท้ที่แตกต่างตรงกันข้ามของสิ่งที่ทั้งสองคณะกระทำ, และปฏิกิริยาที่ต่างกันอย่างสิ้น เชิงต่อกรณีทั้งสองโดยเฉพาะในหมู่นักกฎหมายทนายความและครูบาอาจารย์นิติศาสตร์บางคน ช่างเป็นที่น่าแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจเสียนี่กระไร?!?!?
เราจะเข้าใจพวกเขาว่าอย่างไรดี?

มองในแง่ดีที่สุด ผมเข้าใจว่าสิ่งที่นักกฎหมายทนายความและครูบาอาจารย์นิติศาสตร์บางคนพยายามทำ คือปกป้องสถาบันเก่าแก่สำคัญของชาติสถาบันหนึ่งไว้ นั่นคือสถาบันรัฐประหาร!
สถาบันดังกล่าวอยู่คู่กับสถาบันหลักทั้งสามอันได้แก่ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์มาตลอด ยุคการเมืองไทยสมัยใหม่ หน้าที่สำคัญของสถาบันหลักของชาติแห่งที่สี่นี้คือเป็นเครื่องมือหรือวิธี การ (instrument/means) ที่พลังการเมืองบางกลุ่มบางฝ่ายในสังคมการเมืองไทยเก็บไว้ใช้เพื่อปกป้องสถาบันหลักทั้งสามในยามที่พวกเขาเห็นกันไปเองว่าคับขันจำเป็น



สถานะถูกผิดดีชั่วทางศีลธรรม (moral/immoral) ของสิ่งที่เป็นเครื่องมือย่อมไม่มีอยู่ในตัว มันเอง (ก็มันเป็นแค่เครื่องมืออ่ะ…..) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งมันเป็นกลางทางศีลธรรม (amoral) ตราบเท่าที่มันสามารถนำไปสู่เป้าหมายที่พึงประสงค์ มันก็ใช้ได้แล้ว

ในระเบียบวิธีคิดแบบ instrumentalism (อุปกรณ์นิยม), pragmatism (สัมฤทธิ์คตินิยม) หรือ consequentialism (ผลลัพธ์นิยม) นี้ เป้าหมายย่อมเป็นตัวให้ความชอบธรรมกับวิธีการ (The end justifies the means.) หากเป้าหมาย (ปกป้องสถาบันหลักทั้งสาม, ปราบทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ) ถูกต้องชอบธรรมเสียอย่างแล้ว ไม่ว่าวิธีการใด ๆ (รัฐประหาร, ใช้กำลังบังคับปราบปรามประชาชน, ก่อการร้าย ฯลฯ) ก็ใช้ได้ ต่อให้มันผิดเลวชั่วร้ายทางศีลธรรมหรือการเมืองเพียงใดก็ตาม เพราะเป้าหมายที่ถูกต้องย่อมจะเสกบันดาลให้วิธีการดังกล่าวกลายเป็นถูกต้องดีงามในสายตาของผู้ใช้ไปได้โดยปริยาย

ในโลกที่ “จะแมวดำหรือแมวขาวก็ช่าง ขอให้จับหนูได้เป็นพอ” หรือ “จะรัฐประหารหรือระบอบรัฐสภาก็ช่าง ขอให้ปราบคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบันได้เป็นพอ” นี้ แนวคิดและหลักปฏิบัติ เรื่องสิทธิเสรีภาพ, อำนาจอธิปไตยของประชาชน, หลักนิติธรรม ฯลฯ ย่อมกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม และฟุ่มเฟือย มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะ “เมืองไทยเสียอย่าง เรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครอื่นเขาในโลก”, “ความเป็นไทยจะให้ไปเดินตามหลักสากลของฝรั่งมังค่าตะวันตกได้อย่างไร” ฯลฯลฯ

เป็นเรื่องง่ายที่จะฟันธงว่าความคิดข้างต้นต่อต้านประชาธิปไตย ส่วนที่ยุ่งกว่าหน่อยคือ พยายามเข้าใจว่าลำดับเหตุผลตรรกะการคิดที่นำคนฉลาดๆ อย่างท่านไปสู่จุดนั้นมันเป็นอย่างไร?
ผมคิดว่ามันเป็นอะไรบางอย่างทำนองนี้ครับ…..

แก่นสารส่วนที่เป็นประชาธิปไตย (democratic components) ของระเบียบการเมืองเสรี ประชาธิปไตย (liberal democracy) นั้นคือหลักของการปกครองโดยประชาชน (government by the people)
ผู้ตะขิดตะขวงใจหรือปฏิเสธไม่ยอมรับประชาธิปไตยกล่าวให้ถึงที่สุดก็คือปฏิเสธหลักการนี้แหละ
เพราะ “การปกครองโดยประชาชน” (ซึ่งฟังดูดี) แปลเป็นรูปธรรมในสังคมหนึ่ง ๆ ได้ความว่า (ขอประทานโทษ ใช้ภาษาตลาดเพื่อสื่อความเข้าใจ) “การปกครองโดยพวกมึง”!
พวกมึงน่ะน้า?!? เอื๊อกกกก…. ขืนให้พวกมึงขึ้นมาปกครองก็อิ๊บอ๋ายเท่านั้นเอง

ขึ้นชื่อว่า “ประชาชน” นั้นย่อมน่ารักในทางนามธรรม แต่พอกลายเป็น “พวกมึง” ในทางรูปธรรมแล้ว มันก็รักไม่ค่อยลง เพราะย่อมมีทั้งคนดีคนชั่ว คนฉลาดคนเขลาปะปนคละเคล้ากันไปเป็นธรรมดา และที่แย่ก็ตรงพอปล่อยให้โหวตเสรีเลือกผู้ปกครองตามใจตัวเองทีไร ก็มักจะโหวตผิดเลือกคนโกงคนทุจริตมาทุกที การที่ “ประชาชน” ผู้น่ารักดันโหวตเลือกคนไม่ดีมาสู่อำนาจ ย่อมฟ้องโทนโท่อยู่ว่า “พวกมึง” โง่ (ขาดการศึกษา) หรือชั่ว (ขายเสียงขายสิทธิ์เหมือนขายชีวิตขายชาติ) หรือยังเป็นเด็กอยู่ (ไม่บรรลุวุฒิภาวะ ถูกจูงจมูกได้ง่ายด้วยนโยบายขายฝันสารพัด) ฉะนั้นจึงจำเป็นอยู่เองที่ “พวกกู” (ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง) ผู้มีคุณธรรม สติปัญญาความสามารถและความเป็นไทยจะต้องเข้ามาแบกรับหน้าที่รับผิดชอบปกครองดูแลบ้านเมืองให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตคับขันแตกแยกนี้ไปก่อน, อะแฮ่ม, โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย หากด้วยวิธีอื่นแทน…..

แต่มันจะเป็นไรไป ในเมื่อเป้าหมาย (ปราบคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบัน) ย่อมสำคัญกว่าวิธีการ (รัฐประหาร), จะแมวดำแมวขาวก็ช่าง ขอให้จับหนู (ตัวใหญ่ หนีไปอยู่ต่างประเทศอีกแล้วตอนนี้) ได้เป็นพอ แหะ ๆ
ปัญหาอยู่ตรงประสบการณ์รอบห้าปีที่ผ่านมาบ่งชี้ชัดว่าเครื่องมือ/วิธีการรัฐประหารนั้น มันไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการปราบทุจริตคอร์รัปชั่น/ปกป้องสถาบันอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้เลย

ตรงกันข้าม ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นยังดำรงอยู่ในวงการรัฐบาลและราชการ, ปัญหาความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติกลับหนักหน่วงร้ายแรงขึ้น, มิหนำซ้ำความแตกแยกขัดแย้งระหว่างคนในชาติกลับรุนแรงลุกลามออกไปถึงขั้นฆ่าฟันกันกลางเมืองล้มตายเรือนร้อยบาดเจ็บเป็นพันเสียหายเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน

นี่คือราคาที่เราจ่ายให้การใช้วิธีการที่ผิดในนามของเป้าหมายที่ถูก แล้วมันคุ้มกันไหม? เรียกชีวิตของผู้ที่ตายไปเพราะผลพวงสืบเนื่องจากรัฐประหารกลับคืนมาได้แม้สักคนหนึ่งไหม? ใครต้องรับผิดชอบ?
ผมอยากเรียนว่าการที่คปค.ยึดอำนาจโดยอ้างเหตุผลในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ ด้วยความเชื่อว่ามีแต่วิธีการรัฐประหารเท่านั้นจะยังความมั่นคงแก่สถาบันหลักของชาติได้ เท่ากับเป็นการลากดึงเอาสถาบันหลักของชาติให้ออกห่างจากรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรมและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่เอาเข้าจริง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ตั้งอันมั่นคงที่สุดของสถาบันหลักของชาติคืออยู่ที่เดียวกับรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรมและประชาธิปไตยเท่านั้น

ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหารโดยเนื้อแท้แล้วจะส่งผลช่วยฟื้นฟูและผดุงความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติเคียงข้างรัฐธรรมนูญ, หลักนิติธรรม และประชาธิปไตยเยี่ยงนานาอารยประเทศในที่สุด

ที่มา:Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จาตุรนต์. บนทางเพื่อไทย ข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้ ทำให้ ทักษิณ. หายไปจากโลกนี้ !!?

สัมภาษณ์พิเศษ



ชื่อ "จาตุรนต์ ฉายแสง" ไม่ใช่ลูกน้อง ไม่ใช่กุนซือส่วนตัวของ "ทักษิณ ชินวัตร"

แต่ยามพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย มีภัยเขาร่วมต้าน มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุข-ชนะเลือกตั้ง เขาร่วมวง

ทุกวาระ ทุกโต๊ะประชุม ชื่อเขามักวางไว้ที่หัวโต๊ะ ตั้งแต่แผนหาเสียงจนถึงร่างนโยบายรัฐบาล

ระหว่างบรรทัดในข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีความคิดของเขาแทรกอยู่

ยุทธศาสตร์ "ปรองดอง" และแก้ไขความขัดแย้งในสังคม เขาก็มีส่วนร่วมเป็นมันสมอง

 จาตุรนต์. คนเดือนตุลา ที่ชีพจรยังเต้นอยู่ในทุกจังหวะก้าว จังหวะคิดของรัฐบาลเพื่อไทย

- คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 66/23 กับข้อเสนอคอป.เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 66/23 เป็นการเสนอในขั้นตอนที่ความขัดแย้งความคิดทางการเมืองใกล้จบ การต่อสู้ทางกระบวนการก็เบาลงเนื่องจากประเทศสังคมนิยมล่มสลาย แนวทางที่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับสังคมไทย คำสั่ง 66/23 จึงออกมาเพื่อจะเปิดทางให้คนที่มีความคิดความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองกลับมาใช้ชีวิตในอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างคนปกติทั่วไป

- ไม่เหมือนในวันนี้ที่ความขัดแย้งกำลังอลหม่าน
การต่อสู้ทางความคิดและทางการเมืองมีผลทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยังคงดำรงอยู่ แล้วยังไม่ก้าวข้ามไปสู่ที่จุดเหนือกว่าหรือด้อยกว่ากันอย่างชัดเจน จึงยังไม่อยู่ในขั้นตอนปิดเกม ฉะนั้น คอป.จึงยังต้องใช้แนวทางค้นหาความจริงเยียวยาให้ความเป็นธรรม ลดความห้ำหั่นกันทางการกระทำต่อกัน

- จึงมีแนวทางการออกแบบความยุติธรรมชˆวงเปลี่ยนผ่าน
เป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคม ที่เห็นว่าเมื่อสังคมอยู่ในขั้นวิกฤตจะต้องพยายามหาทางออกเพื่อไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง เพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้และไม่เป็นศัตรูต่อกันก็ต้องมีกติกาที่ดี แต่จะทำให้เกิดความยุติธรรมแบบเถรตรงไม่ได้ เพราะถ้าใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างเถรตรงไปเลยจะยิ่งทำให้สังคมอยู่ร่วมกันไม่ได้

- ถ้าใช้กระบวนการแบบเถรตรงก็จะทำให้เกิดความปรองดองยาก จึงต้องมีคณะกรรมการองค์กรอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.)

คณะที่คุณอุกฤษ (มงคลนาวิน เป็นประธาน) จะเสนอความเห็นต่อรัฐบาล และคงจะเปิดเผยความเห็นต่อสาธารณชนโดยเน้นเรื่องความสอดคล้องกับหลักนิติธรรม เพราะความไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมในสังคมไทยระยะ 5-8 ปีมานี้ ทำให้วิกฤตของสังคมรุนแรงขึ้น เช่น ระบบกระบวนการยุติธรรมและฝ่ายตุลาการ แต่ข้อเสนอ คอป.มันเป็นขั้นที่ยังชักเย่อกันอยู่

- ท่าทีจากฝ่ายรัฐบาลน่าจะราบรื่น จะมีฝ่ายใดที่มาชักเย่อข้อเสนอนี้
รัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ ยังมีแรงสนับสนุนมาจากต่างประเทศ แต่รัฐบาลต้องยอมรับตรงเนื้อหาที่เสนอ ถ้าไมˆคิดวิเคราะห์ให้ดี โอกาสที่จะมีแรงต้านมีอยู่ โดยเฉพาะประเด็นมาตรา 112 ที่สรุปเป็นภาษาง่าย ๆ ว่า "เราจะช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดีที่สุดได้อย่างไร" ซึ่งทำให้พวกที่จะต่อต้านอย่างน้อยก็จะฉุกคิดว่า คอป.ไม่ได้ตั้งโจทย์ในทางที่สร้างความเสียหายหรือเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

แต่เขากำลังบอกว่า การไปใช้ข้อหาเกี่ยวกับกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปเป็นประโยชน์กันทางการเมือง ไปทำลายกันทางการเมือง ไม่เป็นประโยชน์ต่อสถาบัน

- คณะกรรมการ คอ.นธ.ทำไมต้องมีคุณอุกฤษเป็นประธาน
ก็ไม่ทราบ...คนในรัฐบาลทาบทามกันมา เพราะคุณอุกฤษก็เคยแสดงความเห็นคัดค้านกับการรัฐประหาร ก็มีความเหมาะสมอยู่ ถ้าไม่รับมาทำหน้าที่นี้ก็ผิดหวัง แล้วที่เขามาทำก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่เสนอต่อรัฐบาลและสังคม ก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไร

คนในรัฐบาลกวาดสายตาไปพบว่าคุณอุกฤษเหมาะ ไม่อย่างนั้นจะเอาใคร เอาอาจารย์วรเจตน์ (ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มคณะนิติราษฎร์) เหรอ แต่อาจารย์วรเจตน์ก็จะเจอแรงต้านมาก แต่ที่อาจารย์วรเจตน์ไปทำในกลุ่มนิติราษฎร์มันก็ดีไปอีกแบบ ทำให้มีพลังเพิ่มขึ้นดีกว่านำอาจารย์วรเจตน์มาทำทุกอย่าง

- แยกกันเดินคนละขา เพื่อขับเคลื่อนหลายขา น่าจะดีกว่า
ก็นั่นนะสิ

- ข้อสนอคอป.รัฐบาลอภสิทธิ์เคยบอกว่า ไม่มีอำนาจ "สั่ง" บางหน่วยงาน รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่
รัฐบาลที่แล้วที่พูดว่าทำไม่ได้บางเรื่องก็พูดเกินจริง คือมีบางเรื่องที่ทำได้แต่อ้างว่าทำไม่ได้ พอมาถึงรัฐบาลใหม่นี้ก็ไม่สามารถทำอะไรที่เกินกว่าที่ตัวเองจะทำได้ ผมเชื่อว่ามีหลายกรณีที่สามารถทำได้ เช่น การที่กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพจะเสนอความเห็นไปยังอัยการก็ยังสามารถทำได้ การจะช่วย ผู้ต้องหาทั้งหลายประกันตัวได้ ฝ่ายบริหารโดยกระทรวงยุติธรรมน่าจะสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รัฐบาลสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นยิ่งยวดอย่าไปคัดค้านการประกันตัว รวมทั้งช่วยไปแถลงต่อศาลด้วย

- ดังนั้น สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำคือปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
นโยบายรัฐบาลที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็สามารถใช้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมได้โดยผ่านการผลักดันจากกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญจะเป็นตัวกำหนดโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมได้ตั้งแต่ต้นพอสมควรจนถึงมีนัยสำคัญ

- หากรัฐบาลไปแตะโครงสร้างของกองทัพ โครงสร้างศาลผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตจะเกิดขึ้นได้หรือไม่
รัฐบาลจะทำได้ก็เฉพาะส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร เช่น ตำรวจ ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมทั้งหลาย พอมาถึงอัยการก็จะทำอะไรเขาไม่ค่อยได้แล้ว ศาลยิ่งไม่ได้ใหญ่

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และการลงประชามติ รัฐบาลจะไม่ได้เป็นผู้กำหนดเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญเองเลย ถ้าจะมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมก็ควรเสนอต่อ ส.ส.ร. จึงไม่ใช่เป็นช่องทางที่น่าเกรงว่ารัฐบาลนี้จะไปรื้อระบบยุติธรรมอะไรได้มากมาย

ถ้าจะไปปรับเรื่องของกองทัพ ต้องพูดถึงเรื่องกฎหมายโครงสร้างกองทัพ ปรับระบบในการแต่งตั้งโยกย้าย เชื่อว่าในระยะต่อไปหากยังไม่มีการปรับระบบอะไรที่เกี่ยวกับกองทัพเลยไม่น่าจะถูกต้อง เพราะรัฐบาลประชาธิปไตยจะต้องเข้าไปจัดกติกาให้สามารถแต่งตั้งผู้นำเหล่าทัพได้ ไม่ใช่ให้ผู้นำเหล่าทัพตัดสินใจกันเองอย่างที่เป็นอยู่ เพราะมันขัดต่อหลักประชาธิปไตย รวมถึงสามารถเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการเหล่าทัพได้

การทำเช่นนี้อาจจะเกิดปัญหาก็ได้ หรืออาจจะลดปัญหาก็ได้ แต่ถ้าไม่เข้าไปแก้ไข ยิ่งปล่อยไว้ยิ่งเป็นปัญหา แต่ปัญหาจะปะทุหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นหรือไม่เมื่อไร ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ตัวบุคคลที่จะมีอำนาจบทบาทอยู่ในแต่ละส่วนของรัฐบาลและกองทัพ แต่ที่สำคัญคือระบบที่ผิด

- ช่วงที่ผ่านมากองทัพมีบทบาทเหลื่อมกับการเมือง
ก็มามีบทบาทอีกครั้งหลังจากรัฐประหาร 2549 พอมาถึงขั้นนี้ผู้นำกองทัพที่มีบทบาทในการรัฐประหารได้มีบทบาทมาอย่างต่อเนื่องในสังคม ทั้งในระบบ ทั้งนอกระบบ จึงเป็นปัญหาต่อความเป็นประชาธิปไตย ฉะนั้นจึงต้อง หาทางแก้ ถ้าไม่แก้ต่อไปผู้นำกองทัพก็จะมายึดอำนาจอีก เข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างรุนแรง
++++++++++++++++++++++++++

ข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้ ทำให้ "ทักษิณ" หายไปจากโลกนี้



จาตุรนต์-เป็นคนการเมืองลำดับแรก ๆ ที่เคยเสนอวาระ "ก้าวข้ามทักษิณ"

เมื่อสถานการณ์พลิกผัน เพื่อไทยกลายเป็นฝ่ายกุมอำนาจ สามารถเสนอวาระและญัติบริหารประเทศแบบพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน

ทุกข‰อเสนอ ทุกวาระประเทศไทย มีคำถามถึง "ผล" บรรทัดสุดท้ายที่ "ทักษิณ" จะได้ร่วมเสพ

เมื่อชื่อ "ทักษิณ" ยังตามหลอนฝ่ายตรงข้ามเพื่อไทย และกลุ่มอำนาจเก่า

จาตุรนต์-ตอบคำถาม "คือ...ทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้ แต่ไม่มีทางที่เกิดขึ้นได้เลย คือการทำให้คุณทักษิณหายไปจากสารบบของประเทศไทยและในโลกนี้"

"หมายความว่ารัฐบาลกำลังทำเพื่อคุณทักษิณไม่ได้อีกแล้ว แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะคุณทักษิณยังอยู่ อยู่ในโลกซึ่งมีคนรับรู้ มีคนยอมรับมากพอสมควร และยังมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทยอยู่มากด้วย เพราะฉะนั้น สภาพการดำรงอยู่ของคุณทักษิณจึงเป็นสภาพความเป็นจริงที่ยังเป็นอยู่อย่างนี้"

ข้อเสนอของสาธารณะ ทั้งนักวิชาการ-องค์กรอิสระ ทั้งเรื่องปรองดอง แก้รัฐธรรมนูญ ล้างผลการรัฐประหาร ล้วนมีชื่อ "ทักษิณ" แนบท้าย "จาตุรนต์" บอกว่า เป็นเรื่องที่ผู้เสนอต้องชี้แจง และต้องทำใจว่าไม่มีทางเลี่ยงที่จะถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับ "ทักษิณ"

"การจะผลักดันแก้ไขปัญหาของ บ้านเมืองทั้งในเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตย ความไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ความขัดแย้งที่รุนแรง มีข้อเสนอดีๆ เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ จะทำอย่างไรไม่ให้ถูกดิสเครดิตไปด้วยข้อกล่าวหาว่าทำเพื่อคนคนเดียวชื่อทักษิณ เป็นเรื่องที่ผู้เสนอต้องชี้แจง และอธิบายว่าข้อเสนอของตนนั้นมีเหตุมีผลอย่างไร มีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่อย่างไร"

"ต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่มีวิธีใดที่จะหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับ คุณทักษิณ เพราะในความเป็นจริงปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยของประเทศไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม ความขัดแย้งและวิกฤตของประเทศเกี่ยวข้องกับคุณทักษิณแทบทั้งสิ้น เนื่องจากคุณทักษิณเป็นฝ่ายถูกกระทำ"

"เพราะคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งแล้วถูกถอดออกไปจากการรัฐประหาร ถ้าเราพูดเรื่องความไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม เช่น การใช้ประกาศคณะปฏิรูป ที่ออกโดยคณะรัฐประหารมายุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิพรรคการเมืองโดยใช้กฎหมายย้อนหลัง มันล้วนแต่ขัดหลักนิติธรรมทั้งนั้น"

"คุณทักษิณก็คือหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และเป็นผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เพราะฉะนั้นไม่มีวิธีที่จะเข้ามาแก้ปัญหา หรือการแก้วิกฤตของประเทศโดยไม่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณคือเหยื่อคนที่หนึ่ง"

จาตุรนต์-มองชื่อ "ทักษิณ" เป็นทั้งวิกฤตและโอกาสของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"

"ความคิดผม ยังเห็นว่าเป็นประโยชน์และเป็นโอกาสมากกว่า และถ้าจัดการดี ๆ ก็จะเป็นประโยชน์และเป็นโอกาสมากขึ้น แทนที่จะเป็นปัญหาก็จะเป็นน้อยลง จะคิดว่าไม่ให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ หรือจะบอกว่าคุณทักษิณไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลยมันเป็นไปไม่ได้"

"เพราะตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยก็บอกแล้วว่าทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ถือว่าคุณทักษิณคือบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อพรรค และเป็นประโยชน์มากพอที่จะนำเอาความคิดและประสบการณ์ของคุณทักษิณมาแก้ปัญหาประเทศชาติ ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่แปลกประหลาดอะไร"

"เท่าที่ดูคุณทักษิณก็ยังมีบทบาทในการช่วยคิดแนะนำรัฐมนตรีต่าง ๆ อยู่พอสมควร ถ้าหากว่ารัฐบาลนี้อาศัยคุณทักษิณอย่างเหมาะสม"

ข้อเสนอของฝ่ายค้านที่เคยท้าทายว่า ทำไม "ทักษิณ" ไม่กลับมาสู้คดี "จาตุรนต์" บอกว่าคำถามนี้เขาตอบแทน "ทักษิณ" ไม่ได้

"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องการมองความชอบธรรมในการดำเนินคดีกับคุณทักษิณที่ต่างกัน"

"คนที่เห็นว่ากระบวนการดำเนินคดีไปโดยชอบอยู่แล้วก็จะเรียกหาให้คุณทักษิณมาติดคุก แล้วสู้คดีแล้วก็ตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น แต่คนที่มองว่ากระบวนการดำเนินคดีกับคุณทักษิณนั้นขัดกับหลักนิติธรรม เขาก็จะไม่เห็นด้วยว่าทำไมคุณทักษิณต้องมาติดคุก ซึ่งการคิดแบบนี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน"

ประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกว่า "ไม่เคยมีอดีตนายกรัฐมนตรีคนไหนต้องติดคุก" สำหรับ "ทักษิณ" มีบริบท ที่ต่างไป "จาตุรนต์" คิดนานก่อนจะสรุปว่า...

"ในอดีตอาจไม่มีการตั้งหน้าตั้งตาประหัตประหารกันเท่านี้ หรือไม่ก็มีการประหัตประหารเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ใช้กระบวนการที่เรียกว่าตุลาการภิวัตน ์อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับครั้งนี้"

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธปท.รุกคลังยันจุดยืน..ไม่รับหนี้กองทุนฯ 1.1 ล้านล้าน !!?

ธปท.เล่นเกมรุกคลัง...แจงเหตุผลละเอียดหยิบสาเหตุปฎิเสธข้อเสนอรับหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.1 ล้านล้านบาท.. พร้อมทีมาที่ไปกรอบเงินเฟ้อใหม่ 3%

หลังจากที่ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้หารือกับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ ค่ำวันที่ 4 ต.ค.2554 ถึงการบ้าน4 ที่กระทรวงการคลัง ให้แบงก์ชาติไปดำเนินการก่อนหน้านี้ การบ้านในส่วน การดูแลตั๋วบี/อี จากแบงก์ชาติมาเป็นสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ดูจะไร้ปัญหาทั้งสองฝ่ายตกลงกัน แต่มี 3 ข้อแม้บางเรื่องจะสามารถตอบตกลงกันได้ แต่จำเป็นต้องบอกจุดยืนของธนาคารกลางให้ชัดเจน โดยเฉพาะกรอบเงินเฟ้อใหม่

ขณะที่การจัดตั้ง Sovereign Wealth Fund (SWF) แม้วันนี้แรงกดดันจะน้อยลง แต่แบงก์ชาติ ก็จำเป็นต้องตอกย้ำจุดยืนให้หนักแน่นเพิ่มขึ้น

ส่วนเรื่องข้อเสนอการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.1 ล้านล้านบาท มาให้เป็นภาระของแบงก์ชาติ ดูเหมือนจะมองกันคนละกรอบคิด

ดังนั้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา เวปไซค์ของแบงก์ชาติ http://www.bot.or.th/Thai/Pages/BOTDefault.aspx ได้ทำเอกสารชี้แจงจุดยืนของธนาคารกลางออกมาอย่างชัดเจน

ถือเป็นการทำงานเชิงรุก..ในเชิงข้อมูลข่าวสารอีกระดับหนึ่ง!

เริ่มจาก...แนวทางแก้ปัญหาภาระหนี้ที่เกี่ยวโยงกับกองทุนฟื้นฟู

เอกสารข่าวระบุว่า...ผู้ว่าการ ธปท. ได้ข้อสรุปจากการหารือกับคณะกรรมการ ธปท. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 และนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ที่เกี่ยวโยงกับกองทุนฟื้นฟู สาระสำคัญมีดังนี้

ประการแรก ภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูเกิดจากการรับประกันผู้ฝากเงินและการฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน ตามมติของคณะรัฐมนตรีในช่วงปี 2540-41 ซึ่งมีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่น ของประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน

ประการที่สอง กองทุนฟื้นฟูเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก ธปท. เป็นกลไกของภาครัฐที่มีหน้าที่ช่วยเหลือระบบสถาบันการเงิน คณะกรรมการจัดการกองทุนจึงมีผู้ว่าการ ธปท. และ ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานและรองประธานโดยตำแหน่ง สะท้อนการตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันของภาครัฐ ดังนั้น หนี้กองทุนฟื้นฟูจึงเป็นภาระหนี้สาธารณะที่ภาครัฐต้องเข้ามาดูแล และไม่ใช่ภาระเฉพาะของ ธปท.

ประการที่สาม ความพยายามแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาเป็นแนวทางที่ถูกต้องและสอดคล้องกับหลักสากล กล่าวคือ ภาคการคลังรับภาระการแก้ไขปัญหา (fiscalization) โดยในปี 2541 และ 2545 รัฐบาลได้ออกกฎหมาย2 ฉบับ เพื่อออกพันธบัตรกู้เงินมาชดใช้ความเสียหาย ยอดหนี้คงค้างปัจจุบันมีรวมกัน 1.14 ล้าน ล้านบาท ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่ภาระสุทธิทางการคลังที่เกิดจากการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินในต่างประเทศก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย สูงเกินกว่าร้อยละ 50 ของ GDP (ของไทยประมาณร้อยละ35 ของ GDP)

ประการที่สี่ ธนาคารกลางไม่สามารถรับภาระหนี้ดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจเก็บภาษี และที่สำคัญ หากธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมาใช้หนี้ (monetization) จะเป็นการผิดวินัยทางการเงิน กระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่หลักของธนาคารกลาง และส่งผลเสียหายต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของประเทศในภาพรวม

ประการที่ห้า การนำส่งกำไรของ ธปท. เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการดำเนินการปกติทั่วไปที่หน่วยงานของรัฐต้องนำส่งกำไรต่อรัฐอยู่แล้ว เพียงแต่ระบุวัตถุประสงค์การใช้เงินนำส่งนั้นให้ชัดเจน และไม่ถือเป็นการพิมพ์เงินออกมาใช้หนี้

สำหรับแนวทางอื่นที่เป็นไปได้ คือ (1) การโอนสินทรัพย์คงเหลือภายหลังการปิดกองทุนฟื้นฟูให้ กระทรวงการคลังเพื่อชำระหนี้ดังกล่าว (2) ปรับวิธีบันทึกบัญชีของทุนสำรองเงินตราในการรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนเพื่อลดข้อจำกัดทางบัญชี ซึ่งจะเอื้อต่อการมีเงินนำส่งกำไรเพื่อชำระคืนหนี้ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรทำความเข้าใจกับสาธารณชนและควรกำหนดระดับขั้นต่ำของบัญชีสำรองพิเศษของทุนสำรองเงินตราที่ต้องมีเหลือไว้ เพื่อให้ทุนสำรองเงินตรายังคงมีเสถียรภาพ

/////////////////////////////////////

กรอบเงินเฟ้อใหม่...แบงก์ชาติชี้แจงว่า

ธปท. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting)มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและเหมาะสมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ

ทั้งนี้ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใช้ในปัจจุบันคืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ 0.5 – 3.0 ต่อปี ซึ่งใช้มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 และเป็นการปรับช่วงเป้าหมายให้แคบลงจากก่อนหน้าที่อยู่ระหว่างร้อยละ 0.0 – 3.5 ต่อปีการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อนับว่าประสบความสำเร็จ โดย ธปท. สามารถดูแล
เสถียรภาพด้านราคาได้ดี และรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ระบุให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หารือและ
ทำความตกลงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อสำหรับปีถัดไป ก่อนเสนอ
คณะรัฐมนตรีอนุมัติภายในเดือนธันวาคมของทุกปี ในปีนี้ กนง. จึงได้มีการพิจารณากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่
เหมาะสมสำหรับปี 2555 เพื่อใช้ในการหารือร่วมกับ รมว. คลัง และเห็นควรเสนอปรับเป้าหมายเงินเฟ้อจากเดิมเป็น
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีที่ร้อยละ 3.0 โดยสามารถเบี่ยงเบนไปจากค่ากลางนี้ได้ไม่เกิน ± ร้อยละ 1.5 ตาม
เหตุผลดังนี้

1. จากการที่ระยะหลังอัตราการขยายตัวของราคาในหมวดพลังงานและอาหารสดแตกต่างจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
มาก การใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นดัชนีเป้าหมายแทนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะช่วยสะท้อนค่าครองชีพของประชาชนได้ดีขึ้น และเนื่องจากเป็นดัชนีที่ครัวเรือนและธุรกิจใช้อ้างอิงในชีวิตประจำวัน จึงเอื้อต่อการสื่อสาร ง่ายต่อความเข้าใจ และสามารถยึดเหนี่ยวคาดการณ์เงินเฟ้อได้ดีกว่า

2. การกำหนดระยะเวลาของเป้าหมายให้ยาวขึ้นจากรายไตรมาสเป็นรายปี นอกจากจะสื่อถึงการมองไปข้างหน้ามากขึ้น ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของนโยบายการเงินในการรองรับปัจจัยที่ไม่คาดฝัน (Shock) ต่างๆง่ายต่อการสื่อสาร และสอดคล้องกับระยะเวลาที่ใช้ในการส่งผ่านนโยบายการเงินที่ 4 – 8 ไตรมาส รวมถึงการทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อที่ทำเป็นประจำทุกปีด้วย

3. การกำหนดค่ากลางที่ชัดเจน จะเหมาะสมกว่าในการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับการกำหนด
เป็นช่วงเป้าหมายที่มีเฉพาะขอบบนและขอบล่าง และการอนุญาตให้อัตราเงินเฟ้อสามารถเบี่ยงเบนไปจากค่ากลาง
เป็นการรักษาความยืดหยุ่นของการดำเนินนโยบายการเงิน โดยค่ากลางและค่าความเบี่ยงเบนที่กำหนดนี้ได้พิจารณาให้มีความสอดคล้องกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง เพื่อป้องกันการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และมีความเหมาะสมกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางถึงระยะยาว

/////////////////////////////////////////

ส่วนการนำเงินสำรองไปจัดตั้ง SWF...ระบุว่า

หน้าที่ของเงินสำรองระหว่างประเทศกับการจัดตั้ง Sovereign Wealth Fund (SWF) ที่ผ่านมาประเทศไทยมีระดับเงินสำรองระหว่างประเทศสะสมค่อนข้างสูง ขณะที่ผลตอบแทนจากการนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนไม่สูงนัก รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะนำเงินสำรองฯ มาจัดตั้ง SWF เพื่อเพิ่มประโยชน์จากการใช้เงินสำรองฯ โดย ธปท. ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการจัดตั้ง SWF ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในการหารือเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ดังนี้.....
เงินสำรองฯ มีหน้าที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ คือ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ และเป็น cushion รองรับความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศ โดยสามารถนำไปใช้แทรกแซงเพื่อดูแลค่าเงินบาทในภาวะที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงและการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของค่าเงินอาจส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงได้ ดังนั้นหลักการบริหารเงินสำรองฯ เพื่อให้บรรลุหน้าที่หลักข้างต้นจึงต้องให้ความสำคัญกับรักษามูลค่าของเงินสำรองฯและการดำรงสภาพคล่องสูง เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้ทันการณ์เมื่อมีการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศอย่างฉับพลัน

หรือในยามคับขันที่ตลาดโลกผันผวนมาก ทำให้การนำเงินสำรองฯ ไปลงทุนต้องเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มี
ความเสี่ยงต่ำและมีสภาพคล่องของตลาดสูง ซึ่งสินทรัพย์เหล่านั้นมีอัตราผลตอบแทนที่ต่ำ สะท้อนความเสี่ยงที่ต่ำ
ของการลงทุน

การจัดตั้ง SWF เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูง แปลว่าจะมีความเสี่ยงในการลงทุนสูงขึ้นไปด้วย การนำเงินสำรองมาจัดตั้ง SWF จึงอาจจะไม่สอดคล้องกับหลักการบริหารเงินสำรองฯ ทั้งนี้ แม้หลายประเทศมีการจัดตั้ง SWF แต่ส่วนใหญ่ถึง 2 ใน 3 เป็นประเทศที่มีทรัพยากรพลังงาน และเงินที่ใช้จัดตั้ง SWF มาจากรายได้จากการขายสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ได้มาจากเงินสำรองฯ นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ มีเป้าหมายการจัดตั้งที่ชัดเจนเช่น เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ หรือเพื่อรักษาความมั่งคั่งจากการขายทรัพยากรที่อาจไม่เหลือไว้สำหรับประชากรในอนาคต

ดังนั้น ข้อสรุปตามที่ได้หารือกับคณะกรรมการ ธปท. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 และนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คือ....

1. รัฐบาลจะต้องมีเป้าหมายการจัดตั้ง SWF ที่ชัดเจน และต้องมีความพร้อมรองรับในทุกด้าน เช่น มีรูปแบบโครงสร้าง
องค์กรที่เหมาะสม วางกรอบธรรมาภิบาลที่รัดกุม กำหนดระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพตลอดจนมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ SWF สามารถบรรลุเป้าหมายในการจัดตั้ง

2. หากจำเป็นต้องจัดสรรเงินจากเงินสำรองฯ ออกไปตั้ง SWF รัฐบาลควรออกพันธบัตรรัฐบาลขายในตลาด และนำเงินที่ได้มาแลกเงินตราต่างประเทศจากเงินสำรองฯ ซึ่งเป็นการสร้างระบบความรับผิดชอบที่ชัดเจนของรัฐบาล

3. สำหรับทางเลือกอื่น อาทิ แก้กฎหมาย ธปท. ให้จัดแยกบัญชีย่อยเพื่อให้สามารถจัดสรรเงินจากเงินสำรองฯ ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือร่วมลงทุนในต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาลนั้น คณะกรรมการ ธปท.ไม่เห็นด้วย เนื่องจาก 1) เป็นการลงทุนมีความเสี่ยงสูง ไม่สอดคล้องกับหลักการบริหารเงินสำรองฯ 2) ธปท. ต้องรับความเสี่ยง แต่ไม่มีอำนาจบริหารจัดการโดยตรง 3) มีความห่วงใยด้านหลักธรรมาภิบาล เพราะแนวทางการบริหารในรูปแบบคณะกรรมการร่วมอาจทำให้ถูกแทรกแซงได้ และการชดเชยความเสียหายของรัฐบาลอาจเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ และ 4) เป็นการสร้างกรณีตัวอย่างที่อาจนำไปสู่การแก้กฎหมายเพื่อจุดประสงค์อื่นในอนาคต

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปากอย่างใจอย่าง !!?

“ประมุขบ้านดอกเหมยสี่เสา”?....ยอมรับในกติกา ของประชาธิปไตย โดยไม่มีข้ออ้าง
เมื่อคนทั้งประเทศ ยอมเปิดบริสุทธิ์ ให้นักการเมืองหน้าใหม่ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำตามกติกา
ปล่อยให้ นายกรัฐมนตรีสวยเลือกได้ นำความผาสุกมาสู่ประเทศ โดยไม่ปัดแข้งปัดขา
แต่ของจริงที่เห็น!.. ไม่ยักเป็น เหมือนที่ “คนใกล้ชิด” นำมาบรรยาย กันเสร็จสรรพ!!
ยังมีผู้ร่วมขบวน...ออกมาป่วน?...ตีร่วนหนัก กว่าเก่า ด้วยสิครับ??

+++++++++++++++++++++++++++++

ดาบนั้นคืนสนอง!!
เป็นไปได้ว่า, “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ว่าที่ รองผบ.ทบ. มีสิทธิ์หงายท้อง??
ถ้าถูก “กล่าวหา” ในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภาหฤโหด อนาคตคงไม่รุ่ง
เหมือน “ข้าราชการ” หลายคน ที่ถูกโยกย้ายนอกฤดู ไปนั่งตบยุง
เป็นไปตามวัฎจักร ของ “ข้าราชการประจำทั้งหลาย” ที่โดนกันมาทั่วหน้า!!
และทุกคนต้องปฏิบัติ..ไม่มีใครฮึดฮัด?...นั่นเป็นมาตรฐาน ที่เขาปฏิบัติกันมา??

+++++++++++++++++++

เป็น “คนของใคร”!!
ได้ดิบได้ดี โซ้ยตำแหน่งผู้อำนวยการกองสลาก ในยุคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่??
แต่จู่ ๆ “นายวันชัย สุระกุล” เจ้าพ่อหวยรัฐบาล..ใยถึงมาผุดตั้ง “บ่อนกาสิโน”ในยุคนี้
ถ้าคิดจะทำ ปั้มไอเดียกระฉูด น่าผุดในยุค ที่ “อภิสิทธิ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี
เป้าหมายหลัก เพื่อให้เปิด “กาสิโน” เหมือนทุกประเทศ...หรือต้องการให้ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” หลายฝ่ายหันมาเล่นงานกันแยะ
พอเรื่องนี้ดังกระหึ่ม...คอรัปชั่นที่ กทม.ฟาดกันสะบึม?..เล่นเอาคนลืม เชียวแหละ??

++++++++++++++++++++

“ปล้นภาษี”กันจนฉาว!!
กระซิบไปถึง “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม..ช่วยดูพนักงานรถไฟระดับ ๗-๘ ทำไม ถึงได้ขี้เกียจหลังยาว???
เสาร์-อาทิตย์-วันหยุดขัตฤกษ์ กินโอทีกันแก้มตุ่ย ..แต่มาทำงานกัน ช่วงบ่าย๒ บ่าย ๓
ผิดกับ “คนรถไฟชั้นผู้น้อย” มาทำงาน ก่อน ๘ โมงเช้า เป็นประจำ
แต่พวกระดับ ๗ ระดับ ๘ กลับนำเวลาราชการไปช็อปปี้ง ซื้อของแถวคลองถม เสียนี้
ต้องลงโทษให้ยับเยิน..ท่านผู้ว่าฯรถไฟ “ยุทธนา ทัพเจริญ”..ปล่อยพวกนี้ปล้นภาษีเพลิน ได้ไงกันจ๊ะพี่???

+++++++++++++++++++++++++++++

แก้ปัญหาไม่ตรงจุด!!
อย่าทำอะไร “บ่มิไก๊”มากไป..เดี๋ยวยิ่งจะไร้น้ำยากันสุด..สุด
กระชุ่น พร้อมกระซิบไปถึง “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ “เจริญ จรรย์โกมล” ๑ ประธาน ๑ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ที่ออกคำสั่งห้าม ผู้ติดตาม สส. ๕ คนเข้าสภาฯ ในนัดประชุมสภาฯ เป็นคำสั่งของผู้นำ ที่มีเชิงบริหารแสนมือจะอ่อน
คนติดตาม สส.ที่เดินเพ่นพ่าน ขวักไขว่ ไม่เป็นระเบียน ที่ใต้ถุนสภาฯ..เพราะไม่มีโซฟา หรือเก้าอี้ให้กับเขานั่ง...ผิดกับยุคพรรคไทยรักไทย ของประธานสภาฯ “วันนอร์” และ “ท่านโภคิน พลกุล” จัดที่นั่งอย่างดี ทุกอย่างจึงเป็นระเบียบ ไม่ดูวุ่น!!!
แค่จัดโซฟาเก้าอี้อย่างที่บอก...ปัญหาหญ้าปากคอก?...แก้ออกได้ทันที เชียวนะคุณ???

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***********************************************

แนะเก็บทองคำเข้าพอร์ตกระจายความเสี่ยงลงทุน !!?

น.ส.รัชดา ตั้งหะรัฐ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวางแผนการลงทุน-ส่วนตัวแทนขาย บลจ. ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยในงานเสวนาเรื่อง “เล็งโอกาส เลี่ยงความเสี่ยง เลือกสินทรัพย์ เล่าเรื่องลงทุน” ว่า ในช่วงนี้นักลงทุนควรกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยง หลังที่ผ่านมาภาพรวมการลงทุนมีความผันผวนมาก โดยแนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมทองคำทั้งในรูปแบบทองคำแท่งหรือกองทุนทองคำไว้ในพอร์ตประมาณ 20% เพื่อชดเชยกับการลงทุนประเภทอื่นที่ปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ

“ในการลงทุนทองคำนักลงทุนควรติดตามข่าวสารต่าง ๆ พร้อมทั้งนำปัจจัยพื้นฐานของทองคำมาประกอบการพิจารณาการลงทุน หลังที่ผ่านมาราคาทองคำแกว่งตัวผันผวนมาก ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันผู้ที่มีทองคำในพอร์ตการลงทุนจะมีกำไรแล้ว 15% ซึ่งสามารถนำไปชดเชยกับการลงทุนที่ปรับลดลง 15% ได้”

ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนระยะยาวลงทุนทองคำในช่วงที่มีข่าวสารต่าง ๆ เพราะหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวยาว จะทำให้มีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและมีความปลอดภัย โดยเฉพาะความต้องการจากธนาคารกลางทั่วโลกที่จะมีมากขึ้น.

ที่มา: เดลินิวส์
//////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ครม. ไฟเขียวตั้งกรรมการเยียวยาเหยื่อการเมือง !!?


ครม. ไฟเขียวตั้งกรรมการเยียวยาเหยื่อการเมือง
รัฐบาลตั้ง “ปคอป.” เยียวยาเหยื่อการเมืองทุกสี “ยงยุทธ” นั่งหัวโต๊ะสานต่อข้อเสนอ “คอป.” พร้อมผุดคณะกรรรมการแก้ไขไฟใต้เป็นการเฉพาะ

วันที่ 4 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ( ปคอป.) ตามที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยเสนอ โดย ปคอป. จะมีนายยงยุทธ เป็นประธานคณะกรรมการ รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน ส่วนกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อัยการสูงสุด ผบ.ตร. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ

ทั้งนี้ ปคอป. มีหน้าที่เสริมสร้างความเข้าใจ สนับสนุนการดำเนินการของ คอป. เสนอแนะมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหาย รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ประสานขอความมือและติดตามผลการดำเนินการของ คอป. นอกจากนั้นที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเฉพาะ โดยให้ รมว.ยุติธรรม เป็นประธานคณะกรรมการ.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=167625
ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

พระเกษมหนีจีวรปลิวปัดขัดคำสั่งคณะสงฆ์จ้อผ่านวิทยุสื่อสารเย้ยเก่งจริงเข้ามาหา 300 ถ้ำ !!?


พระเกษมหนีจีวรปลิวปัดขัดคำสั่งคณะสงฆ์จ้อผ่านวิทยุสื่อสารเย้ยเก่งจริงเข้ามาหา 300 ถ้ำ
'พระเกษม' ลั่น 'หากจะสึกอาตมาควรจะไปสึกพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีเงินทอง' หลังเจ้าคณะตำบลวังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ หอบมติคณะสงฆ์ ที่มีคำสั่งให้เจ้าสำนักสงฆ์ฉาวลาสิกขาภายใน 3 วัน ไปยื่นให้ถึงที่ หลังเจ้าตัวหัวหมออ้างไม่เคยได้รับทราบ แต่พระเกษมกลับหลบซุ่มอยู่ในสำนักไม่ออกมาพบเจ้าหน้าที่ จ้อท้าผ่านวิทยุสื่อสาร “จะมาจับสึกมันง่ายเกินไปมั้ง มายังไงก็ไม่เจอตัว” เตรียมทำหนังสือโต้-ส่งทนายฟ้องกลับ

ความคืบหน้าการดำเนินการเอาผิดกับพระเกษม อาจิณณสีโล เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์สามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ที่มีพฤติ กรรมไม่เหมาะสม เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่3 ก.ย. หลวงปู่พิมพา เจ้าคณะตำบลวังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ พร้อมด้วยนายอเนกสนามชัย ผอ.ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาสำนักเลขาธิการสมาคม และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 20 นาย นำโดย พ.ต.อ.ปริญญาวิศิษฐ์ฏากุล รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ พ.ต.อ.สมภพ มณีรัตน์ ผกก.สภ.น้ำหนาว เดินทางไปพบพระเกษมที่สำนักสงฆ์สามแยก เพื่อนำหนังสือมติคณะสงฆ์ที่ออกโดยเจ้าคณะภาค 4 ฝ่ายธรรมยุต เรื่องให้พระเกษมลาสิกขา ภายใน 3 วัน ในข้อหาประพฤติตัวไม่เหมาะสมต่อสมณเพศ ไปมอบให้ หลังจากทางพระเกษมอ้างว่าไม่ทราบว่ามีมติดังกล่าวมาถึง

โดยเจ้าหน้าที่ไม่พบตัวพระเกษม มีเพียงลูกศิษย์กว่าร้อยคนมายืนรอ และต่อว่าทางคณะสงฆ์ไม่ให้ความเป็นธรรม กลั่นแกล้งรังแกพระเกษมอย่างไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ดีทางลูกศิษย์ได้ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับพระเกษมที่ซ่อนตัวอยู่ภายในบริเวณสำนักสงฆ์ไม่ออกมาพบเจ้าหน้าที่ โดยพูดตอบโต้ทางวิทยุสื่อสารกับลูกศิษย์ว่า “การมาของเจ้าหน้าที่มันผิดขั้นตอน อาตมาไม่ได้หนีไปไหนอยู่ใกล้ ๆ ศาลานี่แหละ จะมาจับสึกมันง่ายเกินไปมั้ง ไม่ให้ความเป็นธรรมกับอาตมา ทำไมไม่สอบสวนก่อน ให้อาตมาสึกก็ผิดวินัยผิดกฎหมาย จะมาจับอาตมาไม่ใช่เรื่องง่าย บวชมาแล้ว 26 พรรษา มายังไงก็ไม่เจอตัว ที่นี่มีถ้ำตั้ง 300 กว่าถ้ำ ต้องต่อสู้กันอีกยาวนาน”

ทางพระเกษมได้พูดผ่านวิทยุสื่อสารอีกว่า หากจะสึกอาตมาควรจะไปสึกพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีเงินมีทอง จะนั่งจะยืนจะนอนก็ผิดวินัยหมดเป็นอาบัติใหญ่ ส่วนเราเป็นอาบัติเล็กต้องไล่สึกตั้งแต่อาบัติใหญ่จนมาถึงอาบัติเล็ก และยังยืนยันว่าตนเองทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยทุกประการ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ต้องอาบัติทุกวินาทีทุกนาทีทุกชั่วโมง พรุ่งนี้อาตมาจะทำหนังสือตอบโต้ ถึงเจ้าคณะตำบลวังกวาง เจ้าคณะอำเภออุดรธานี เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ เถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทุกวันนี้ป่าไม้จังหวัดก็มาหา แต่พิกัดไม่เคยแจ้งให้ทราบว่าไม่ให้ใช้พื้นที่แต่อย่างใด ซึ่งพระเกษมไม่ยอมออกมาพบเจ้าหน้าที่ มีเพียงส่งเสียงทางวิทยุอยู่ราว 1 ชั่วโมง

ภายหลังคณะเจ้าหน้าที่ได้กลับออกไปแล้วประมาณ 5 นาที พระเกษมได้เดินออกมาพร้อมกับพระภิกษุรูปหนึ่งกางร่มให้โดยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า หลังจากนี้จะแจ้งทางทนายความขอกำลังเจ้าหน้าที่มาอารักขา ขั้นตอนที่มาในวันนี้ผิดทั้งพระวินัยและกฎหมาย หากจะลงโทษอาตมาต้องเรียกไปสอบสวนเสียก่อน การให้พระสึกเท่ากับโทษประหาร ต้องมีการสอบสวนเสียก่อนไม่ใช่ทำอย่างนี้ ขั้นตอนต่อไปจะให้ทนายดำเนินการว่าทำถูกต้องตามกฎหมายและพระธรรมวินัยหรือไม่ หากไม่ถูกต้องจะดำเนินการให้ทนายดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ด้าน พ.ต.อ.ปริญญา วิศิษฐ์ฏากุล รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ กล่าวสั้น ๆ ว่า วันนี้ได้มาอารักขาคณะสงฆ์ที่นำหนังสือมาแจ้ง และรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ได้มาจับพระเกษมสึกแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ได้อยู่ในขั้นตอน.

ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentId=167480

ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

รื้อ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อไทยเล่นแรง !!?

พรรคเพื่อไทยคิดแต่เรื่องแบบนี้ ปัญหาประชาชนถึงมาทีหลัง จนทำให้เรื่องน้ำท่วม ของแพง ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับความพยายามที่จะจุดประเด็นให้เกิดความขัดแย้ง”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สะกิดต่อมจินตนาการของนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคเพื่อไทย หลังออกมาระบุว่า มีกระบวนการ ’ล้ม“ รัฐบาล พรรคเพื่อไทยโดยใช้แผนการ 9 ข้อ เมื่อ ’จินตนาการ“ มา ก็ไม่แปลกหาก สกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จะจินตนาการกลับไปว่า 9ข้อที่ว่านั้น รัฐบาลล้วนทำตัวเองทั้งสิ้น คือ 1. นายกฯไร้ความสามารถขาดภาวะผู้นำ บริหารผิดพลาดและถูกแทรกแซงจาก พ.ต.ท.ทักษิณพี่ชาย 2. เอาแต่โยกย้ายข้าราชการโดยปราศจากความเป็นธรรม 3. ทำไม่ได้ตามที่หาเสียงไว้ 4. ปล่อยคนเสื้อแดงแทรกแซงการทำงานหน่วยงานต่าง ๆ 5. ปล่อยให้กระบวนการหมิ่นสถาบันให้ดำรงอยู่ 6.การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ 7. ปล่อยสินค้าอุปโภค-บริโภคแพงขึ้น 8. ไม่สามารถแก้อุทกภัยได้ 9. ความพยายามเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แต่เรื่องหนึ่งที่ทำไปทำมา ทำท่าจะเป็นเรื่องขึ้นมา หลังแกนนำคนเสื้อแดงจุดประเด็นเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551

ล่าสุด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แกนนำกลุ่ม นปช. เอาด้วยกับ พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล ที่ปรึกษารมว.กลาโหม ที่เสนอให้กฤษฎีกาตีความว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล โดยระบุว่าเป็น กฎหมายยุค คมช.และที่สำคัญ การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้องค์ประชุมสภา ’ไม่ครบ“

ถือว่ากฎหมายฉบับนี้เป็น ’ผลไม้พิษ“ อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีอีก 170 ฉบับที่มีลักษณะเดียวกัน

ขณะที่ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แกนนำ ตท.10 พรรคเพื่อไทย ระบุว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้สมควรแก้ไขเพราะ รมว.กลาโหมไม่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายอะไรได้เลย เช่นเดียวกับ พล.ท.มะ โพธิ์งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีและ ตท.10 อีกคนระบุว่า

“ประชาชนเลือกมาทำงาน ถ้าทำงานไม่สะดวกก็ต้องแก้ไข ประชาชนให้อำนาจเรามาเป็นฝ่ายบริหาร ถ้าทำไม่ได้จะสนองตอบความต้องการของประชาชนได้อย่างไร”

จากข้อมูลพบว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านวาระ 3 จากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 50 ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 85 เสียง

น่าคิดว่าการแก้ไขนั้นจะทำได้หรือไม่ เพราะในมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว (5)ระบุว่า การพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการทหารต้องผ่านมติสภากลาโหม

น่าสนใจว่า เหตุที่คนพรรคเพื่อไทยต้องการแก้ไข มาจากคำพูดในโอกาส 5 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. ที่ว่า ’กองทัพยังเข้มแข็งอยู่“ ใช่หรือไม่

ทำไมฝ่ายการเมืองต้องเข้าไปโยกย้าย และหากเข้าไปใครจะรับประกันได้ว่า จะไม่มีสภาพอย่างที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

ทุกวันนี้การแต่งตั้งตำแหน่งระดับหัวแถวต่าง ๆ ผ่านคนในประเทศหรือคนไกลบ้านก็รู้ ๆ กันอยู่

กองทัพเป็นเครื่องมือรัฐบาลนั้นใช่ แต่กองทัพไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองของใคร ที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นคือ กองทัพต้องไม่ใช่และทำเพื่อใครคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ.


ต้นฉบับ: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentId=167489

ที่มา: เดลินิวส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สู้กับคอร์รัปชัน เรื่องเพ้อเจ้อที่ต้องเริ่มจริงจังเสียที !!?


ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
บทความนี้ เป็นบทความที่เขียนโดย คุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งตีพิมพ์ในสื่อออนไลน์ “ไทยพับลิก้า” ผมเห็นว่าเป็นบทความที่น่าสนใจ จึงขอคัดลอกมาให้อ่าน

ดังนี้ครับ

ผลการสำรวจระบุว่ากว่าครึ่งของสังคมยอมรับคอร์รัปชันได้หากสร้างความเจริญให้กับประเทศ จริงหรือ ที่มีการคอร์รัปชันชนิดที่สร้างความเจริญได้ ?

นักธุรกิจกว่าร้อยละ 70 ยอมรับว่าตนจ่ายค่าคอร์รัปชัน และในจำนวนนั้น กว่าร้อยละ 80 คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็น และก็ได้ผลคุ้มค่า จริงหรือ ที่ธุรกิจไม่สามารถแข่งขันได้ ถ้าไม่จ่ายคอร์รัปชัน ?

รายได้ตามกฎหมายที่น้อยจนไม่พอกิน ทำให้ข้าราชการและนักการเมืองจำเป็นจะต้อง “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” เพื่อประทังความอยู่รอด จริงหรือ ที่ทุกคนจะคอร์รัปชันเพียงเพื่อเลี้ยงอัตภาพ และไม่เกินเลยไปสู่การกอบโกยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ?

สังคมไทยเลวร้ายลง เพราะปัญหาการคอร์รัปชันทวีมากขึ้นจนเกินระดับที่สมควร จริงหรือ ที่จะมีกลไกที่สามารถกำหนดระดับดุลยภาพและสร้างคอร์รัปชันขนาด “พอสมควร” ได้ ?

คอร์รัปชันเป็นวัฒนธรรมอันหยั่งรากลึกในสังคมไทยทุกระดับ ไม่มีทางที่ขุดถอนสำเร็จ จริงหรือ ที่การต่อสู้กับคอร์รัปชันเป็นเรื่องเพ้อไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย สมควรที่จะเอาทรัพยากรไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า ?

ความเชื่อข้างต้นเป็นมายาคติของสังคมไทยปัจจุบันที่ตั้งอยู่บนความเห็นแก่ได้ ความมักง่าย การเข้าข้างตนเอง และคิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เฉพาะหน้า โดยไม่ไยดีถึงความเสียหายร้ายแรงที่จะตามมา ซึ่งในที่สุดก็จะนำมาสู่จุดจบซึ่งกระทบถึงทุกภาคส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้ เพราะว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดอันดับหนึ่งของสังคม เป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งมวลที่เรากำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแตกแยก ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม การกดขี่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบ การแย่งชิงทรัพยากร ทั้งยังนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรอย่างผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งบั่นทอนศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ

บทความนี้ได้แต่หวังจะเป็นก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่จะมาร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ของสังคมเพื่อช่วยถมทับหนองบึงความชั่วร้ายแห่งการคอร์รัปชัน ซึ่งนับวันรังแต่จะแผ่ขยายครอบคลุม และดูดกลืนทุกภาคส่วนของสังคมไทยให้ดิ่งลึกลงทุกที

1. ประเภทของคอร์รัปชัน

เราพอจะแบ่งประเภทการทุจริตคอร์รัปชันออกได้เป็น 3 ประเภท ใหญ่ๆ ดังนี้ คือ

1.1 การทุจริตคอร์รัปชันในภาคเอกชน อันได้แก่ การฉ้อฉลคดโกงกันเอง ระหว่างเอกชนด้วยกัน การที่พนักงานโกงบริษัท การที่ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ฉ้อฉลเอาเปรียบผู้ถือหุ้นอื่น ซึ่งการฉ้อฉลในภาคเอกชนด้วยกันนี้ มักจะมีผู้ที่มีส่วนได้เสียโดยตรงคอยตรวจสอบรักษาผลประโยชน์ตน และมีการพัฒนากฎหมาย รวมทั้งกลไกป้องกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

1.2 การทุจริตโดยเบียดบังทรัพย์สินของรัฐโดยตรง เช่น การฉ้อฉลเงินงบประมาณแผ่นดิน การจัดการถ่ายโอนทรัพย์สินและทรัพยากรสาธารณะเป็นของตนและพรรค พวกในราคาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการฉ้อฉลของผู้ที่มีอำนาจรัฐ โดยอาศัยช่องว่างของ กฎระเบียบต่างๆ และความไม่เท่าทันของสังคม

1.3 การที่ภาคเอกชนจ่ายสินบนให้กับผู้มีอำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ตน ซึ่งการทุจริตประเภทนี้จะเกิดจากความร่วมมือสองฝ่าย คือผู้จ่าย ที่หวังจะได้ประโยชน์โดยมิชอบ และผู้รับซึ่งสามารถใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ที่ว่าได้ (บทความนี้จะมุ่งวิเคราะห์ การทุจริตประเภทนี้เป็นหลัก) ซึ่งพอจะแยกการทุจริตประเภทนี้ได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ดังนี้

1.3.1 การซื้อหาความได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่การที่ภาคเอกชนจ่ายสินบนเพื่อให้ตนสามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้ โดยไม่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพแท้จริง ซึ่งหลักการใหญ่ๆ ก็คือการกีดกันไม่ให้มีการแข่งขันสมบูรณ์ในวงกว้าง ตามอุดมการณ์ทุน นิยมเสรี เช่น การล็อคสเปคทุกรูปแบบ (ระบาดหนักอยู่ทุกหย่อมหญ้าในการจัดซื้อจัดจ้าง ภาครัฐ) การให้ใบอนุญาตพิเศษ การให้สัมปทาน (ซึ่งก็คือการแจกจ่าย Monopoly หรือ Oligopoly หรือการอนุญาตให้ใช้ไว้ทรัพยากรสาธารณะ) ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจะได้ประโยชน์ส่วนเกินที่ควรได้ เพียงพอที่จะนำไปจ่ายสินบน และยังคงมีเหลือสำหรับความมั่งคั่งส่วนตนและพรรคพวก ซึ่งทุจริตประเภทนี้ เป็นประเภทที่มีปริมาณวงเงินสูงสุด และก่อความเสียหายให้กับประเทศมากที่สุด

1.3.2 การซื้อหาความสะดวก ได้แก่ การที่ประชาชน และภาคเอกชน จำเป็นที่จะต้องใช้บริการ ภาครัฐ ซึ่งมีระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทำให้เกิดความซับซ้อน (รวมทั้งข้อบังคับที่ต้องการลดการทุจริตด้วย) และสามารถใช้อำนาจรัฐ ในการขัดขวางความสะดวกรวดเร็ว ทำให้ภาคเอกชนจำเป็นที่จะต้องให้สินบน เพื่อทำให้ภารกิจสามารถดำเนินไปได้ ทั้งๆ ที่สินบนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจใดๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ เช่นการขอใบอนุญาตต่างๆ ระเบียบพิธีการศุลกากร สรรพากร งานตำรวจ ฯลฯ ซึ่งเป็นประเภทที่มีจำนวนรายการกว้างขวางมากที่สุด แทบจะในทุกๆ ระบบราชการ

1.3.3 การซื้อหาความไม่ผิด ได้แก่ การที่ผู้กระทำความผิดกฎหมาย สามารถที่จะให้สินบนในกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ-อัยการ-ศาล) เพื่อให้ตนพ้นผิดได้ ซึ่งในปัจจุบันระบาดหนักถึงขนาดที่ในบางครั้ง ผู้ที่ไม่ได้ทำความผิดยังอาจจะต้องจ่ายสินบน เพื่อให้พ้นจากกระบวนการซึ่งนำความยุ่งยาก และอันตรายให้แก่กิจการและสวัสดิภาพส่วนบุคคล

2. กลยุทธ์การคอร์รัปชัน

ถึงแม้จะมีกฎหมายระเบียบข้อบังคับ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ข้อเท็จจริงกลับมีการทุจริตกว้างขวางขึ้น และปริมาณมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพของมาตรการต่างๆ ยังมีผลมาจากวิวัฒนาการด้านกลยุทธ์ทั้งของผู้ให้ สินบนและผู้ใช้อำนาจรัฐในการทุจริต โดยที่สังคมส่วนใหญ่ ขาดความรู้ ความเข้าใจ และแรงจูงใจ ในการป้องกันและปราบปราม ในที่นี้จะวิเคราะห์ถึงรูปแบบการทุจริต 3 ลักษณะใหญ่ ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

2.1 ได้กระจุก เสียกระจาย การทุจริตที่ไม่มีผู้รู้สึกเสียหาย ย่อมทำให้เกิดแรงจูงใจในการป้องกันปราบปรามได้น้อย ดังนั้นการทุจริตที่กระจายต้นทุนไปได้ทั่ว เช่น ทุจริตจากงบประมาณซึ่งต้นทุนจะกระจายไปแก่ประชาชนทุกคน จนไม่รู้สึกถึง ความเสียหายร้ายแรงอื่นๆ (ถ้าทุจริต 6,500 ล้านบาท ทุกคนจะรู้สึกว่าเสียหายเพียงคนละ 100 บาท ทั้งที่ความจริงมีความเสียหายร้ายแรงอื่นๆ ที่ซ่อนไว้อีกมากมายที่จะกระทบกับทุกภาคส่วนในที่สุด) เรื่องทุจริตที่มักจะเป็นกรณีได้รับการต่อต้าน มักจะเกิดจากการที่มีผู้เสียหายโดยตรงเพียงกลุ่มเล็ก ตัวอย่างเช่น การปล้นชิงทรัพยากรสาธารณะในชุมชน การทุจริตในกิจการที่ประชาชนผู้ใช้บริการต้องแบกรับภาระโดยตรง หรือการทุจริตที่มีลักษณะพยายาม “กินรวบ” ทำให้ธุรกิจอื่นๆ ที่แข่งขันอยู่ (โดยอาจจะเคยสามารถมีช่องทางจ่ายสินบนได้ด้วย) ถูกกีดกันออกจากการแข่งขันโดยสิ้นเชิง

นักทุจริตที่ใช้กลยุทธ์นี้จนเชี่ยวชาญ ยังสามารถประยุกต์วิธีการ “แจกกระจุก” เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐที่จะนำมาซึ่งโอกาสในการทุจริต เช่น การที่ข้าราชการหรือนักการเมืองซื้อตำแหน่งหรือซื้อเสียง การที่ภาคเอกชนจ่ายเงินสนับสนุนนักการเมืองที่มีโอกาสสร้างช่องทางทางธุรกิจให้ตน ตลอดจนการที่นักการเมืองสามารถใช้อิทธิพลเบียดเบียนงบประมาณจากภาคส่วนอื่นมาพัฒนาท้องถิ่นตนจนเกินควร (จนท้องถิ่นอื่นเรียกร้องให้ผู้แทนของตนเอาเยี่ยงอย่าง ว่าเป็นผู้แทนในอุดมคติ)

2.2 ได้วันนี้ เสียวันหน้า การทุจริตที่ไม่ส่งผลเสียในทันที ย่อมมีโอกาสที่ถูกต่อต้าน หรือถูกตรวจสอบป้องกันปราบปรามน้อยกว่า เช่น การลงทุนขนาดใหญ่ในภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่สามารถกล่าวอ้างคาดคะเนถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และ สังคมได้โดยยากที่จะพิสูจน์ผลได้ในระยะสั้น โดยจะผลักภาระต้นทุนความเสียหายให้ แก่ผู้เสียภาษีในอนาคต (ผ่านกระบวนการหนี้สาธารณะ) ซึ่งในบางครั้งสามารถว่าจ้างผู้ เชี่ยวชาญกำมะลอ มาช่วยยืนยันข้อมูลในการศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อผลักดันโครง การที่ไม่มีความคุ้มค่า ตัวอย่างเช่น การลงทุนในโครงการขนส่งสาธารณะที่มีผู้เชี่ยวชาญ คาดคะเนว่าจะมีผู้ใช้บริการวันละหลายหมื่นคน ในขณะที่เมื่อแล้วเสร็จมีผู้ใช้บริการจริงไม่กี่พันคนต่อวัน ความเสียหายและต้นทุนที่เกิดจะถูก “ตัดค่าเสื่อมราคา” ได้ในเวลานาน ทำให้สามารถกระจายความเสียหายไปในอนาคตได้ จนหลายครั้งไม่ทำให้เกิดภาระในระยะสั้นมากนัก การจัดซื้อจัดจ้างในส่วนของถาวรวัตถุที่ราคาสูงเกินจริง หรือไม่จำเป็นของหน่วยงานต่างๆ จะมีลักษณะตามนี้จำนวนมาก

2.3 ใช้นายหน้าตัวแทน ตัวกลาง ผู้ประสานงานการทุจริต จากความพยายามป้องกันปราบปรามที่เข้มงวดมากขึ้น (แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างแท้จริง) ทำให้เกิดระบบผู้เชี่ยวชาญที่รับหน้าที่เป็นตัวแทน ตัวกลาง หรือ ประสานงาน (“นักวิ่งเต้น” หรือ “Lobbyist”) เพื่อให้การทุจริตสามารถดำเนินการผ่านช่องว่างต่างๆ ของกฎหมายได้ ทั้งนี้หน่วยธุรกิจที่เกิดขึ้น แทบจะไม่มีส่วนเพิ่ม คุณค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ระบบ แต่ได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก ทวีความรุนแรงของปัญหา “ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ” (Economic Rents) ซึ่งใช้ทรัพยากรจำนวนมาก โดยไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อจัดจ้างด้านระบบสารสนเทศ (ซึ่งเป็นทรัพย์สินไม่มีตัวตน ยากจะประเมินมูลค่าได้) ที่บริษัทเจ้าของเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลกหลายแห่ง ไม่ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายโดยตรงกับภาครัฐเลย ทั้งๆ ที่หน่วยงานภาครัฐทั้งหลายจัดหาสินค้าเหล่านี้จากตัวแทน ตัวกลาง ปีละหลายๆ หมื่นล้านบาท (เป็นภาคที่มีข่าวลือที่ทุกคนเชื่อว่าเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดภาคหนึ่ง)

เผยแพร่.ในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรียกได้ว่าถึงกับเสียรังวัด ! รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ 1


'เรียกได้ว่าถึงกับเสียรังวัด'รัฐบาล'ยิ่งลักษณ์' 1

การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเอานายกรัฐมนตรี ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงกับเสียรังวัดไปพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ตั้งแต่เรื่องซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย จำนวน 6 ลำมูลค่าเกือบ 7พันล้านบาท ของประเทศเยอรมัน ที่นายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า เรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากครม.ไปแล้ว ทำเอากองทัพเรือภายใต้การนำของ พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผบ.ทร. เกือบออกมาเปิดแชมเปญฉลองกันยกใหญ่ ก่อนที่นายกฯจะมาแก้ข่าวในภายหลังว่า จำเรื่องผิด การอนุมัติซื้อเรือดำน้ำยังไม่ผ่านความเห็นชอบออกเป็นมติครม. เพราะมีเรื่องเสนอเข้าครม.เป็นจำนวนมาก ทำเอากองทัพเรือฝันค้างกันไปเลยทีเดียว

ยังไม่พอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ยังต้องมาปล่อยไก่แบบไม่ตั้งใจ เรื่อง ปลูกหญ้าแฝก-หญ้าแพรก ซึ่งรัฐบาลเตรียมรณรงค์ให้คนไทยร่วมกันปลูกหญ้าแฝกเพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีเกิดพูดผิดแค่คำเดียวจาก"แฝก"กลายเป็น"แพรก"ในการจัดรายการวิทยุ"รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน"วันเสาร์ที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประเดิมจัดรายการเป็นครั้งแรกของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ

เปิดช่อง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย อย่างพรรคประชาธิปัตย์ หยิบมาแถลงข่าวเป็นประเด็นทางการเมือง จี้ ให้นายกฯปู ออกมาขอโทษประชาชนที่พูดผิดอ้างว่าทำให้เกรงคำพูดที่สื่อสารอออกไปจะทำให้ประชาชนคนไทยทั่วประเทศเกิดความเข้าใจผิด ทั้งยังเหมือนเป็นการดิสเครดิตไปในตัว เพราะทำให้ประชาชนคนไทยบางส่วนมีความรู้สึกว่า นายกรัฐมนตรียังไม่มีความรู้ ความเข้าใจดีพอ ในเรื่อง"หญ้าแฝก"กับ"หญ้าแพรก" รวมถึงพรรคฝ่ายค้านเองยังมีการออกมาตอกย้ำภาพ ด้านหลังมีทีมงานเขียนสคริปต์ทุกเรื่องให้นายกรัฐมนตรี นำมาพูดในรายการวิทยุฯทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถจะสลัดภาพความเชื่อของประชาชนที่ว่า"ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ" ทั้งยังอยู่ภายใต้บงการจากพี่ชายที่แสนดี อย่างพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ภาพลักษณ์ที่เห็นกลายเป็นเหมือน"มือใหม่หัดขับทางการเมือง"ไป

ซึ่งถ้าจะให้คำจำกัดความแล้วก็ต้องบอกตามภาษาชาวบ้านคงไม่มีคำใดดีไปกว่า"นายกรัฐมนตรีเสียรังวัด"นอกจากกรณีที่โพลสำนักต่างออกมาระบุว่า คะแนนนิยมของรัฐบาลปู1 ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วยิ่งเป็นกรณีการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่มีความล่าช้าด้วยแล้ว

ยังไม่นับรวมสดๆร้อนๆ เมื่อวานที่ผ่านมา พบมือมืดเข้าไปทำการแฮกข้อมูล"ยูสเซอร์เนม"และ"พาสเวิร์ด"น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ไปใช้ในทวิตเตอร์ของนายกฯปู โจมตีการทำงานและนโยบายของพรรคเพื่อไทยแบบเสียๆหายๆในโลกโซเชียลมีเดีย ถึงแม้ความเป็นจริงแล้ว ต้องยอมรับว่าการป้องกันทำได้ไม่ง่ายนัก และอาจเป็นไปอย่างที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์กับทีมข่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเกิดจากภายในทีมงานของนายกรัฐมนตรีเกิดความไม่พอใจแล้วเกิดขัดแย้งกันเอง ก็เป็นได้

ซึ่งหากมองกันในมุมนี้ความผิดก็ไม่ใช่ของนายกรัฐมนตรีหญิง แต่ก็คงทำให้"ยิ่งลักษณ์"รู้สึกเสียหน้าไม่มากก็น้อย เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในตอนนี้ถือเป็นบุคคลสำคัญระดับผู้นำประเทศมีตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย แต่กลับถูกแฮกข้อมูลได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีระบบการป้องกันที่ดีพอ ร้อนไปถึง นายอนุดิษฐ์ ​นาครทรรพ รมว.สารสนเทศและการสื่อสาร ICT ต้องเร่งตรวจสอบอย่างรวดเร็วจนทราบเบาะแสเตรียมแถลงข่าวในเช้าวันนี้เพื่อเตรียมดำเนินคดีเอาผิดกับผู้กระทำ

ดังนั้นการบ้านเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรีหญิงและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอีกข้อในตอนนี้ นอกจากต้องทำการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน และแก้ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของประเทศแล้ว "ยิ่งลักษณ์"ยังต้องเร่งทำการบ้าน และแสดงศักยภาพ ทั้งในด้านความมีภาวะผู้นำ การควบคุมการทำงานของคณะรัฐมนตรีรวมไปถึงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมกับที่เคยมีตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทภาคเอกชนที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และสมกับที่ประชาชนอย่างน้อยถึง 15 ล้านเสียง จากทั่วประเทศคาดหวัง ให้ความไว้วางใจเลือกตั้งเข้ามา

ทั้งหมด เพื่อเป็นการ ลบคำสบประมาทของพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ที่ระบุว่า นายกฯไม่รู้เรื่องการบริหารประเทศ รวมถึงไม่มีอำนาจเพราะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริง

ทั้งนี้ หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ของประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ถึงกับได้รับการขนานนามว่า เปรียบเสมือน"นารีขี่ม้าขาว"ยังคงปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่คิดแก้ไขฯไม่สามารถกระทำให้เป็นที่ประจักษ์ได้ ก็น่าคิดว่า รัฐนาวายิ่งลักษณ์ 1 จะคงอยู่ได้อีกนานเท่าใด หรือจะเป็นไปอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้ อายุรัฐบาลไม่น่าจะเกิน 6เดือน-1ปี แต่อย่างไรเสียตอนนี้เพิ่งผ่านมาไม่ถึง 2 เดือนดี เชื่อยังมีเวลาแก้ไขได้ หากมีความตั้งใจจริง...

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/pol/206184
ที่มา: ไทยรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กะเทาะเปลือก : ว่าที่เจ้าบ่าว พินทองทา ชินวัตร ตี๋อินเตอร์...อบอุ่น...จริงใจ...ไม่หน่อมแน้ม !!?


กะเทาะเปลือก ว่าที่เจ้าบ่าว "พินทองทา ชินวัตร" ตี๋อินเตอร์...อบอุ่น...จริงใจ...ไม่หน่อมแน้ม!!

ทันทีที่ “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าจะเดินทางกลับเมืองไทยเพื่อร่วมงานแต่งงาน ของลูกสาวคนกลาง “เอม–พินทองทา ชินวัตร” ในเดือน ธ.ค.นี้ ทุกคนต่างก็หูผึ่งเด้งจากเก้าอี้ และถามไถ่กันให้ลั่นเมืองว่า ลูกเขยผู้โชคดีของอดีตนายกฯทักษิณ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร และไปไงมาไงจึงสามารถพิชิตใจทายาทสาวหมื่นล้านของตระกูลชินวัตรไปครองได้

ท่ามกลางข่าวลือสับสนมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะลือกันผิดๆซะด้วย ชายหนุ่มที่ฮอตที่สุดในวินาทีนี้ “พงศ์–ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” เปิดใจให้สัมภาษณ์แบบไม่มีกั๊กเป็นครั้งแรกกับทีมข่าวสตรีไทยรัฐ ระหว่างเดินทางมาแจกการ์ดแต่งงานที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เตรียมจูงมือทายาทสาวหมื่นล้านเข้าประตูวิวาห์ตามประเพณีไทย เช้าวันที่ 11 เดือน 11 นี้ ณ บ้านจันทร์ส่องหล้า ก่อนจะจัดงานเลี้ยงฉลองสมรสที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน วันที่ 12 เดือน 12 ตามฤกษ์มงคลที่ได้จากสมเด็จเกี่ยว วัดสระเกศฯ

มีคนอยากรู้ทั้งบ้านทั้งเมืองค่ะว่า ลูกเขยคนแรกของนายกฯทักษิณเป็นใครมาจากไหน

ก็ขอแก้เรื่องประวัติส่วนตัวนิดหนึ่งครับ ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่บ้านผมไม่ได้อยู่โบ๊เบ๊ แต่อยู่ประตูน้ำ ครอบครัวผมทำธุรกิจการ์เมนต์ผลิตเสื้อผ้าส่งออก ทำมา 20 กว่าปีแล้ว ปาป๊าผมชื่อ “วรวิทย์” ส่วนหม่าม้าชื่อ “อัญชลี” ผมมี พี่สาว 1 คน น้องชายอีก 2 คน ผมเรียนจบปริญญาตรีจากคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ จากนั้นบินไปเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ที่เดอพอล ยูนิเวอร์ซิตี้ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา พอกลับมาเมืองไทยก็ทำงานด้านอสังหาฯ เพราะอยากเป็นดีเวลลอปเปอร์ เคยทำงานกับอารียา พรอพเพอร์ตี้ และเน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ เมื่อต้นปี 2010 ร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดธุรกิจของตัวเอง ชื่อว่า บริษัท ฟิชแมน จำกัด รับปรึกษาด้านการตลาด พัฒนาอสังหาฯ และวางแผนสื่อโฆษณา ขณะเดียวกัน ผมก็เข้าหุ้นกับปาป๊าเปิดบริษัท คูณ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยเริ่มโปรเจกต์แรกเป็นโครงการสร้างบูติกโฮเต็ลแถวประตูน้ำ ขอที่ดินจากทางบ้านมาทำ ส่วนที่ว่าผมบวชเพื่อเตรียมแต่งงานก็ไม่ใช่ เพราะบวชให้ปาป๊า ซึ่งไม่สบาย

แล้วมาปิ๊งรักกับลูกสาวคนเด่นคนดังของบ้านเมืองได้อย่างไร

เจอกันเมื่อ 3 ปีที่แล้วครับ ระหว่างที่ผมกับ “เอม” เรียนคอร์สอบรมอสังหาฯ ด้วยกันที่สถาปัตย์ จุฬาฯ รู้สึกว่า “เอม” เป็นคนน่ารัก ไม่ถือตัวเลย แต่จริงๆ เริ่มจากเป็นเพื่อนมากกว่า ในคลาสมี 150 คน และกลุ่มที่สนิทกันราว 50 คน บังเอิญว่าเราสองคนมีเพื่อนสนิทคนเดียวกัน เลยทำให้มีจังหวะเจอกันเรื่อยๆ

ถาม “เอม” บ้างนะคะ แล้ว “พี่พงศ์” เริ่มเข้ามาจีบตอนไหน

เอม : ไม่มีจีบแบบวัยรุ่นให้ดอกไม้ แต่จะปรึกษาเรื่องงานมากกว่า เพราะโตกันแล้ว คุยไปคุยมาก็เริ่มปรึกษาเรื่องส่วนตัวเรื่องที่บ้าน คือ “พี่พงศ์” เป็นคนอบอุ่นน่าเล่าน่าคุยให้ฟัง ก็เลยเริ่มสนิทและเห็นใจกัน แต่ที่ได้มาสนิทกันจริงจัง เพราะความบังเอิญมากกว่า ตอนนั้นเรียนจบไปแล้ว 2 ปี มีอยู่วันหนึ่งนัดทานข้าวกับเพื่อนเป็นกลุ่ม “พี่พงศ์” ก็มาด้วย ช่วงนั้น “เอม” ไปเรียนรู้งานด้านธุรกิจอสังหาฯกับ “อาปู” (นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เพื่อนสนิทของ “พี่พงศ์” ซึ่งสนิทกับ “เอม” ด้วย แนะนำให้ปรึกษา “พี่พงศ์” เพราะเขาทำงานด้านนี้โดยตรง

แฟนคลับฝากถามว่า คิดยังไงถึงกล้าจีบลูกสาวอดีตนายกฯทักษิณ

ผมไม่ได้คิดว่า “เอม” เป็นลูกใคร ผมคุยกับ “เอม” เพราะ “เอม” คือ “เอม” และเรียนรู้ “เอม” ที่ตัวตนของ “เอม”

“เอม” น่าจะมีคนจีบเยอะนะคะ ทำไมถึงเลือกแต่งงานกับ “พี่พงศ์”(นิ่งไปพักใหญ่) มันเป็นความสบายใจเวลาที่ได้อยู่ใกล้ “พี่พงศ์” คือ “เอม” รู้สึกว่าชีวิตไม่ต้องการอะไรหวือหวา หรือต้องลุ้นอีกแล้ว...รู้สึกเหนื่อย!! “เอม” เลยอยากให้เรื่องความรักเป็นเหมือนจุดพักผ่อน!! “พี่พงศ์” เป็นผู้ชายอบอุ่น ไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน รู้สึกว่าอยากฝากชีวิตไว้กับเขา คิดว่าเขาคือคนที่เรารอคอย!! เวลาเรามีปัญหากับที่บ้าน “พี่พงศ์” จะไม่ใช่ประเภทเข้าข้างเราตลอดเวลา และว่าคนในครอบครัวเรา มีแต่จะช่วยอธิบายว่าต้องเข้าใจความรู้สึกคนอื่นนะ และ “พี่พงศ์” ก็ดูแลทุกคนในครอบครัวเราดีมาก ไม่เคยทำให้รู้สึกผิดหวังเลย

ไม่กลัวตกเป็นเป้าโจมตีหรือคะ เพราะก็มีคนจำนวนมากไม่ชอบคุณทักษิณ

พงศ์ : คนเราคิดต่างกันได้ แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้ามีใครทำหยาบคายแยกไม่ถูก ผมก็ไม่พอใจ และคงต้องปกป้อง “เอม”!! แต่จริงๆเรื่องของเราสองคนตัดประเด็นการเมืองได้เลย ผมเจอคนที่ใช่แล้ว ก็ไม่อยากรออะไร ผมปรึกษา “อิ๊ง” ว่าถ้าจะขอ “เอม” แต่งงานจะยังไงดี ก็ช่วยกันวางแผนเป็นเดือน ไปคุกเข่าขอแต่งงานที่เมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี

เอม : สำหรับ “เอม” กับเพื่อนสนิทหรือไม่สนิท ไม่เคยถามว่าใครชอบสีไหน เพราะเป็นมุมมองของแต่ละคน “เอม” อยากให้ทุกคนคบเราในฐานะที่เราเป็นเรา มีอะไรก็จะเล่าให้เพื่อนฟังเหมือนทั่วไปว่าพ่อแม่เราโดนแบบนี้ “พี่พงศ์” เองก็ไม่เคยถามเรื่องพวกนี้ เพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมือง แต่จะรับฟังและให้คำปรึกษาทุกอย่าง

พา “พี่พงศ์” ไปพบคุณพ่อคุณแม่เมื่อไหร่

คุณแม่เจอก่อนค่ะ ตอนนั้นเริ่มคุยกันแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับตกลงเป็นแฟน วันนั้นโจทย์ยากเลย เพราะเป็นวันเกิดคุณแม่ เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว เลี้ยงกันเฉพาะญาติๆกับเพื่อนสนิท 40 คน “เอม” โทร.หา “พี่พงศ์” ตอนสองทุ่มครึ่งว่า มาเจอคุณแม่เลยไหม “พี่พงศ์” ก็ตกใจนิดหนึ่ง แต่ก็ตอบว่าได้ และเดินเข้ามาพร้อมรังนกตะกร้าใหญ่มาก

เจอ “คุณหญิงพจมาน” ครั้งแรก ตื่นเต้นไหมคะ

พงศ์ : คุณแม่ใจดีมากครับ ครอบครัว “เอม” ต้อนรับผมอบอุ่น เลยรู้สึกสบายใจมาก

เอม : วันนั้นเพื่อนๆคุณแม่กระซิบกระซาบกันใหญ่ เพราะรู้ว่า “เอม” จะพาหนุ่มมาเปิดตัว ทุกคนชมว่า “พี่พงศ์” น่ารัก และเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี คุณแม่ไม่ได้คอมเมนต์อะไรมาก แต่จะดูว่า ลูกมีความสุขหรือเปล่า

ด่านหินที่สุดคือ การพาไปแนะนำตัวกับคุณพ่อ?!

เอม : พอแน่ใจว่าคนนี้ใช่ ก็คิดว่า ต้องพา “พี่พงศ์” ไปสวัสดีคุณพ่อที่ดูไบ แต่พ่อทราบทุกอย่างจากคุณแม่แล้ว

ครั้งแรกที่ได้พบอดีตนายกฯทักษิณ รู้สึกเกร็งไหมคะ

ตื่นเต้นมากครับ ทั้งในฐานะที่เป็นคุณพ่อของ “เอม” และเป็นท่านทักษิณ ชินวัตรด้วย แต่พอได้พบท่าน ทำให้สบายใจไม่เกร็ง เพราะคุณพ่อใจดีมาก พอไปถึงท่านก็เรียกมานั่งข้างๆ และชวนคุย วันนั้นคุณพ่อเข้าครัวทำกับข้าวให้พวกเราทานด้วย ผมชื่นชมท่านในฐานะนักธุรกิจอยู่แล้ว เพราะเป็นคนเก่ง และมีวิสัยทัศน์

คุณพ่อปลื้มว่าที่ลูกเขยคนนี้มากไหม

อุ๊งอิ๊ง : คุณพ่อเห็นตอนแรกบอกว่าโหงวเฮ้งเป็นคนดีนะ!! “อิ๊ง” ไม่เคยเห็น “พี่เอม” มีความสุขขนาดนี้มาก่อน

เอม : คุณพ่อพูดตลอดว่า “เอม” เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ เป็นศูนย์กลางของครอบครัว ต้องทำหน้าที่ดูแลแม่แทนพ่อ แต่ยังไงแล้วผู้ชายก็ต้องนำผู้หญิง ผู้ชายที่จะนำ “เอม” ได้ก็ไม่ง่าย แต่คุณพ่อมองว่า “พี่พงศ์” สามารถนำเราได้

น้อยใจไหมคะถ้าวันแต่งงานจะไม่มีคุณพ่ออยู่ด้วย

เอม : ครอบครัวเราสนิทกันมาก ก็รู้สึกว่าเราแต่งงาน อยากให้คุณพ่อมาอยู่ด้วย ก็สงสารคุณพ่อ แต่คุณพ่อไม่เคยพูดว่าอยากกลับเมืองไทย พ่อจะพูดแต่ว่าไม่ต้องห่วง ตอนแรกที่ “เอม” จะแต่งงานก็ถามคุณพ่อว่า ถ้าจะแต่งงานปีนี้มันยังไง คุณพ่อจะกลับมาไหม คุณพ่อบอกว่า ไม่ต้องห่วงพ่อ ถ้ารักกันก็แต่งงานไปเลย ชีวิตไม่ต้องมาขึ้นกับว่าพ่อจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่!! สำหรับ “เอม” คงไม่ใช่เรื่องจะเศร้า ต้องเข้าใจสถานการณ์ ไม่ใช่ว่าคุณพ่อไม่ว่างไม่มา อันนี้อาจร้องไห้ แต่เรารู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น ไม่อยากให้คุณพ่อต้องกลับมา แล้วพอถึงเวลาเกิดผลร้ายต่อชาติ

พงศ์ : ผมได้พาปาป๊ากับหม่าม้าไปขอ “เอม” กับท่านที่ดูไบมาแล้ว ท่านก็น่ารักมาก ไม่เรียกสินสอดอะไรเลย เพียงแต่เล่าว่า สมัยที่ท่านขอคุณแม่แต่งงาน คุณตาบอกว่า เรื่องสินสอดไม่สำคัญ ถ้าคนสองคนรักกันและดูแลกันดีๆ ยังมีอนาคตอีกไกล!! แต่ผมก็ต้องทำตามธรรมเนียม และจัดให้สมเกียรติของเจ้าสาวครับ
แต่งงานแล้ว เรือนหออยู่ที่ไหน และจะมีลูกเลยไหมคะ

เอม : ปลูกต่อเติมจากบ้านคุณแม่ค่ะ จะได้ดูแลท่านใกล้ๆ “เอม” อยากมีหลานให้คุณพ่อคุณแม่เร็วๆ เพราะจะได้มีอะไรให้ชุ่มชื่นหัวใจ เพียงแต่ขอใช้ชีวิตคู่แป๊บหนึ่ง...ถึงจุดนี้แล้ว “เอม” คิดว่าสิ่งที่คุณพ่ออยากเห็นที่สุดคือ ลูกได้เป็นฝั่งเป็นฝา มีหลานให้อุ้ม คุณพ่ออยากกลับมาอยู่กับครอบครัว อยากเลี้ยงหลาน และสอนหนังสือ...เอมอายุแค่ 29 ปี แต่ผ่านอะไรมาเยอะมาก จนรู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรมาก และเงินก็ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต!!


ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/content/life/205957
ที่มา: ไทยรัฐ
 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++