--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

ละคร เหลิม-ชูวิทย์ สุดคุ้ม เด้ง วิเชียร..สยบบ่อนพนัน !!?

ละครแฉกลางสภาที่ “เสี่ยอ่าง” ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เล่นบทพระเอกเดินหน้าชนตำรวจนครบาลระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในช่วงแรก กำลังถึงจุดไคลแม็กซ์ที่ความจรืงเริ่มเปิดเผยตัวตนของ “เสี่ยอ่าง”แล้วว่า

แท้จริงแล้วเขาหาใช่พระเอกของเรื่องไม่ แต่เขาคือหนึ่งในขบวนการล้ม ผบ.ตร. ร่วมตีเมืองขึ้น ใช้บ่อนเป็นที่ฟอกเงินเก็บไว้เป็นทุนทางการเมือง

“เสี่ยอ่าง”บอกว่าไม่ได้รับใบสั่งทำงานให้รัฐบาลเพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร. ก็ต้องบอกว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะจอมแหลร้อยเหลี่ยมอย่าง “เสี่ยอ่าง”ที่คร่ำหวอดในแวดวงน้ำกามและธุรกิจด้านมืดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ย่อมมองทะลุว่า จะวางบทบาทตัวเองอย่างไร เนื่องจากเล่นบทว่าเป็นฝ่ายค้านอิสระตรวจสอบตามสไตล์ของตัวเองมาโดยตลอด

ดังนั้นงานนี้จึงไม่ใช่การทำตาม “ใบสั่ง” เหมือนว่าเป็นลูกจ้างประจำ แต่เป็นการรับงานเป็นจ๊อบในประเด็นที่สมประโยชน์ร่วมกันทั้งคู่ แฉกลางสภา “เสี่ยอ่าง”ได้เป็นฮีโร่ชั่วข้ามคืน

ยังไม่นับว่าจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์อื่นใด หลังการตีเมืองขึ้นกวาดล้างบ่อนการพนันกลางกรุงให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางจ่ายส่วยไปที่ฝ่ายการเมืองโดยตรง แทนที่จะอยู่ในวงแคบ ๆ เฉพาะคนในสีกากีเท่านั้น

ที่สำคัญคือ หลังกวาดล้างคราวนี้ทำให้บ่อนชายแดนคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น มีเจ้าของบ่อนรายใดแบ่งค่าคอมมิสชั่นในฐานะช่วยเรียกแขกให้กับนักการเมืองบางคนหรือไม่เป็นเรื่องที่น่าคิด

แต่ที่เขาพูดกันให้แซ่ดกลางวงไพ่ คือ มีนักการเมืองใหญ่กำลังใช้บ่อนการพนันเป็นที่ผ่องถ่ายฟอกเงินทุจริตให้เป็นเงินที่มีที่มาที่ไป เพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมทางการเมือง

เหล่านี้้เป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบในระยะยาว เพื่อไมให้มีการหลอกลวงสังคมว่า บ่อนการพนันหมดไปพร้อมการจากไปของ พล.ต.อ.วิเชียร แต่ความจริงบ่อนกลับมาเปิดเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนเส้นทางจ่ายส่วยไปที่นักการเมืองแทนหรือไม่

สำหรับสิ่งที่ต้องชี้ให้สังคมเห็นในขณะนี้จากเหตุการณ์เดียวกัน คือ การสยบยอมต่อฝ่ายการเมืองของ พล.ต.อ.วิเชียร ที่กำลังทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของข้าราชการไทยให้มีค่าเพียงธุลีดินใต้อุ้งเท้านักการเมืองอย่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเท่านั้น

กล่าวเช่นนี้เพราะ พล.ต.อ.วิเชียร ไม่ได้คิดที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจที่ไร้ความเป็นธรรมของฝ่ายการเมืองมาตั้งแต่ต้น หากมีการเกี้ยเซี๊ยะร่วมกันวางแผนตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน

คงต้องท้าวความก่อนว่าในสื่อแฉถึงการเดินทางไปดูไบของ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาโดยสายการบินเอมิเรทส์ เที่ยวบินที่ EK375 และกลับประเทศไทยในวันที่ 24 ก.ค. ด้วยเที่ยวบิน EK 374 จากนั้น 16 ส.ค.พล.ต.อ.วิเชียร มีคำสั่งแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ไปรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ย่อมเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่า พล.ต.อ.วิเชียร ยินดีที่จะทำตามใบสั่งจากดูไบ

นอกจากจะเป็นการประเคนตำแหน่งให้ นายพลเสื้อแดงแล้ว ยังมีการเจรจาลับต่อรองให้ พล.ต.อ.วิเชียร ลุกจากเก้าอี้เปิดทางให้พี่ชายคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร มาเป็น ผบ.ตร.แทน

การเจรจาเป็นไปด้วยดีจบที่ยกตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ชดเชยให้ พล.ต.อ.วิเชียร แต่ที่เกิดปัญหาในภายหลัง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสั่งการไม่ค่อยมั่นใจในตัวพล.ต.อ.วิเชียร ที่จะให้คุม สมช. จึงพยายามเสนอตำแหน่งปลัดกระทรวงอื่นแทน
การฮั้วจึงไม่ลงตัวเมื่อพล.ต.อ.วิเชียรทำท่าแข็งข้อ การตีกระหนาบเพื่อให้หลาบจำจึงเกิดขึ้น ผ่านการแฉบ่อนกลางสภา เพิ่อส่งสัญญาณให้ยอมลุกจากเก้าอี้ดี ๆ ไม่เช่นนั้นจะต้องไปนั่งตบยุงอยู่ที่สำนักนายกฯ

พล.ต.อ.วิเชียร ก็ทำท่าขึงขังเหมือนจะต่อสู้กับการใช้อำนาจเกินขอบเขตของฝ่ายการเมือง อ้างถึงการทำหน้าที่เพื่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนผู้คนในสังคมหลงเชียร์กันทั้งประเทศ แต่หม้อข้าวไม่ทันดำท่านผบ.ตร.ก็ออกมาตีหน้าเศร้ายอมจำนนพร้อมออกจากเก้าอี้หากได้ตำแหน่งที่เหมาะสม

วันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า กลับไปที่ข้อตกลงเดิม คือ พล.ต.อ.วิเชียรโยกไปนั่งเลขาฯสมช.

จะเอากันอย่างนี้ใช่ไหมบ้านเมืองนี้ ตำแหน่งราชการยกให้กันได้ง่าย ๆ อย่างนี้เอง บรรดาตำรวจแก่ทั้งหลายที่เคยเคลื่อนไหวหนักในช่วงก่อนหน้านี้หายหัวไปไหนหมด ศักดิ์ศรีข้าราชการไทยย่ำยีกันได้กระนั้นหรือ

คนที่สมควรถูตำหนิมากที่สุด คือ พล.ต.อ.วิเชียร โดยขอย้ำอีกครั้งวพล.ต.อ.วิเชียร ถือเป็นนายตำรวจที่เติบโตได้ดิบได้ดีจากการรับใช้สถาบันเบื้องสูง จนทำให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งรวดเร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่น กระทั่งชะตาพลิกผันทำให้ต้องออกจากในรั้วในวังกลับสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จึงส่งผลให้ พล.ต.อ.วิเชียรกลายเป็นนายตำรวจที่มีอาวุโสสูงสุดในองค์กรนี้ เพราะได้ติดยศนายพลก่อน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เสียอีก

ถ้า พล.ต.อ.วิเชียร แยกแยะไม่ได้ว่า ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการเกิดจากใครและควรทดแทนบุญคุณกับใคร ก็ต้องถือว่าแย่มาก และตำแหน่งไหนก็ไม่ควรได้

ที่มา: ผู้จัดการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ปู..มอบดาบให้ เหลิม..เด้ง ผบ.ตร. !!?



“ปู”มอบดาบให้ “เหลิม”เด้ง ผบ.ตร.

นายกฯ ย้ำให้สิทธิ์ “เฉลิม” พิจารณาเด้ง ผบ.ตร. ยอมรับที่ผ่านมาทำงานดี แต่ต้องขันน็อตปราบยา-อาชญากรรม

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนเรื่องการโยกย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่า วันนี้ยังไม่ได้มีนโยบายอะไร ทั้งหมดจะเป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะนำมาพิจารณา เมื่อถามว่า แต่ ผบ.ตร.บอกว่ามีฝ่ายการเมืองกดดัน น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่จริง ตนยังไม่ได้หารือกับท่านในเรื่องนี้ คุยกันแต่เรื่องนโยบาย อย่างไรก็ตามได้มอบอำนาจให้กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้ไปดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แล้ว เพราะตนมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องทำในภาพรวม

เมื่อถามว่า ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่าจะย้ายให้ พล.ต.อ.วิเชียร ไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกัน เมื่อถามต่อว่า แสดงว่าจะให้อำนาจ ร.ต.อ.เฉลิม ตัดสินใจคนเดียวใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวยอมรับว่า ใช่ เพราะโดยบทบาทแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม ดูแล สตช. เรื่องนี้ต้องมาจากต้นสังกัด

เมื่อถามอีกว่า ในสายตานายกฯ มองการทำงานของ พล.ต.อ.วิเชียรที่ผ่านมาเป็นอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ท่านทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ แต่ช่วงนี้อาจมีเรื่องข่าวคราว ที่จะต้องตามให้กระชับขึ้น และนโยบายของรัฐบาลก็เน้นปราบปรามยาเสพติด และการดูแลความสงบเรียบร้อย ดังนั้นต้องเคร่งครัดในส่วนนี้ เมื่อถามว่า มีชื่อของ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ รอง ผบ.ตร. เข้ามาเกี่ยวพันในการโยกย้ายครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ยังไม่มีอะไร ยังไม่ได้คุยเรื่องการโยกย้าย เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่มีชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ซึ่งเป็นเครือญาติมาเกี่ยวข้องด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบเพียงว่า ยังไม่ได้คุยกัน

ที่มา: เดลินิวส์
///////////////////////////////////////////////////////////////

เปิดโฉมหน้ากุนซือบ้านพิษยุค ยิ่งลักษณ์ ..!!?


บ้านพิษณุโลกถูกปัดกวาดเป็นที่อยู่ของ "กุนซือ" การเมืองที่ หวือหวาอีกครั้งในยุค "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

หลังจากก่อสร้างมาครบ 111 ปี (2443-2554) เพื่อเป็นที่พำนักของข้าราชบริพาร ของพลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) ทหารมหาดเล็กส่วนพระองค์ ที่รับใช้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

บ้านอันเป็นตำนานแห่งทีมที่ปรึกษาข้อราชการแผ่นดินนานถึง 4 รัชสมัย

เมื่อ 23 ปีก่อน ยุคอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่บ้านพิษณุโลกคลาคล่ำไปด้วยขุนพลเศรษฐกิจ-นักกฎหมาย-การต่างประเทศ-นักกลยุทธ์การเมือง อย่างนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร, ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี, ดร.ชวนชัย อัชนันท์, ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย และนาย ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ

ย้อนไปเมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยุคนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เคยใช้บ้านแห่งนี้พำนักเป็นช่วงสั้น ๆ

เมื่อคราว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการประชุม "ลับ" เพื่อเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท แล้วเกิดปรากฏการณ์ "ข่าวรั่ว" ไปถึงหูนักธุรกิจ-การเมืองระดับ 7 หมื่นล้าน ก็มาจากห้องประชุมในบ้านพิษณุโลก

บ้านพิษณุโลกแห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ 10 ปีก่อน ยุคที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ อดีต ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ปัดฝุ่นปรับปรุงบ้านหลังนี้ให้เป็นที่รับรองแขกต่างประเทศ และใช้เป็นห้องประชุมนัดสำคัญ

การประชุมที่ พ.ต.ท.ทักษิณนั่งหัวโต๊ะ แล้วออกมติทางการเมืองที่สำคัญเป็นจุดเปลี่ยนพรรคไทยรักไทยยุค 377 เสียง ให้แกนนำพรรค "กางมุ้ง" ในพรรคได้ ก็มาจากการประชุมในบ้านหลังนี้

ยุคที่บ้านพิษณุโลกบรรจุปัญญาชนไว้มากที่สุดเป็นยุค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่แห่งนี้เป็นห้องทำงาน ห้องประชุมของอดีตนายกรัฐมนตรี นายอานันท์ ปันยารชุน ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และสมัชชาปฏิรูปประเทศที่ น.พ.ประเวศ วะสี เป็นหัวขบวน

ยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้มีการประกาศแต่งตั้งข้าราชการการเมืองไปแล้ว 32 ราย เฉพาะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมี 4 ราย ทั้ง พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี, นายโอฬาร ไชยประวัติ, นายสุชน ชาลีเครือ และ พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร

ยังมีนักการเมืองอกหัก-สอบตกขุนพลเสื้อแดง และที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องใช้หนี้บุญคุณทางการเมืองอีก 13 ราย ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อาทิ นางไพจิตร อักษรณรงค์, นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ และ นายอรรถชัย อนันตเมฆ เป็นต้น

บรรดาทีมที่ปรึกษาทั้ง 1 โหลกว่ายังไม่มี Job description และอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน อีกทั้งยังไม่มีที่นั่งประจำการ ประจำตำแหน่ง

ต่างจากนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 จำนวนนับ 10 คน ที่ได้รับ คำสั่งเป็นการภายในพรรคเพื่อไทย ให้ประจำการเป็น "ทีมงานบ้านพิษณุโลก" ประจำรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

บุคคลมีตำแหน่งหมายเลข 1 นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานทีมที่ปรึกษาชื่อ นาย นพดล ปัทมะ มีความสามารถพิเศษโดดเด่นเรื่องกฎหมาย ทนายความประจำตระกูลชินวัตร เคยปฏิบัติหน้าที่โฆษกตอบโต้ ชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณในต่างประเทศ และแถลงเรื่องคดีความของอดีตภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีสม่ำเสมอ

บุคคลที่อยู่ในแถวที่ 2 ชื่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ที่หายตัวไปในช่วงที่เพื่อไทยต้องต่อสู้ทางการเมืองจากรอบทิศทาง แต่เขาไปปรากฏตัวร่วมทีมกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพื่อแถลงข่าวส่วนตัวเรื่องที่พัวกันกับการจงรักภักดี

บุคคลที่อยู่ในลำดับที่ 3 ชื่อ นาย พงศ์เทพ เทพกาญจนา ตำแหน่งทางการเมืองที่ปรากฏหลังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง คือ โฆษกส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ

นอกจากนี้ยังมีนักการเมือง ทีมงาน การเมืองอีกนับ 10 คน ร่วมเป็นทีมงานยุทธศาสตร์การเมือง

คำสั่ง "ลับ" ภายในพรรคเพื่อไทยครั้งนี้มาจากกรอบแนวคิด-ข้อเสนอของนักการเมืองฝ่ายซ้าย อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงที่เสนอขึ้นในช่วงหลังชนะเลือกตั้งว่า "รัฐบาลควรมีทีมที่ปรึกษาพิเศษ เพราะมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องนำนโยบายไปปฏิบัติ และยากมากที่จะขับเคลื่อนได้ด้วยฝ่ายรัฐมนตรีฝ่ายเดียว"

ข้อเสนอมีหลักการ-เหตุผลแนบท้ายว่า นโยบายหลายข้อจาก 16 ข้อเร่งด่วนที่ต้องทำทันที จำเป็นต้องมีทีมที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์การเป็นรัฐมนตรี รอบรู้เรื่องกฎหมาย รู้ขั้นตอนในการขับเคลื่อนเข้ามาช่วยเสริมจึงจะทำงานได้ราบรื่น

โมเดลในการทำงานของทีม "ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก" จะรวบรวมข้อมูลการขับเคลื่อนนโยบาย แล้วส่งผ่านไปที่ทีม "เลขาธิการนายกรัฐมนตรี" นำไปประสานสั่งการระดับกระทรวง

วาระและประเด็นที่อยู่ในมือของทีมงานบ้านพิษณุโลกยุค "111+109" มีวาระร้อน 2 ประเด็นด่วน คือ 1.ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ 2.ขับเคลื่อนแนว ทางปรองดอง ด้วยโรดแมปที่ชัดเจน โดยมีทีมงานระดับ "ทีมเนติบริกร" ระดับนักกฎหมายมหาชน-นักกฎหมายเอกชน และผู้เชี่ยวชาญกฎหมายธุรกิจร่วมขบวน

จังหวะการทำงานจะคล้ายกับยุค "พ.ต.ท.ทักษิณ-ไทยรักไทย" คือขับเคลื่อนควบคู่ระหว่างการทำงานการ เมือง-มวลชนของพรรค แล้วส่งต่อไป เป็นนโยบาย มาตรการของรัฐบาล ซึ่ง มีทีมงานสนับสนุนทั้งสายข้าราชการ และสายของการปฏิบัติการระดับทีมงานของพรรค

โปรดรอคอยติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของทีมกุนซือบ้านพิษณุโลกยุคยิ่งลักษณ์ที่หวือหวาด้วยความระทึก
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปู-1 หมดเวลาฮันนีมูน-สารพัดข่าวลบประดังเข้าใส่ !!?

ผ่าประเด็นร้อน

เพิ่งผ่านมาแค่เดือนเศษเท่านั้น ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก หลังจากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายทำให้คนในครอบครัวชินวัตรได้กลับมายึดอำนาจรัฐอีกรอบ อย่างไรก็ดี การเข้าบริหารราชการแผ่นดินในฐานะรัฐบาลอย่างเป็นทางการต้องผ่านการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสียก่อน ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นมาเพียงแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์เท่านั้น

อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ ทำไมรัฐบาลภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงถูกจับจ้องและถูกวิจารณ์มากเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกันเฉพาะรัฐบาลใน “เครือข่าย” เดียวกัน อย่าง รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นพี่ชายในยุคพรรคไทยรักไทยที่ชนะการเลือกตั้งเหนือ

พรรคประชาธิปัตย์ในปี 2544 อย่างขาดลอย แม้จะไม่ถล่มทลายแบบยุคปัจจุบัน แต่บรรยากาศต่างกันลิบลับ ในยุค ทักษิณ ตอนนั้น มีช่วงจังหวะฮันนีมูนอย่างน้อย 6-7 เดือนหรือนานนับปี และในช่วงแรกมีเสียงฮือฮากับนโยบายประชานิยมที่ปล่อยออกมาเป็นชุด เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค พักหนี้ กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ชาวบ้าน “ซี๊ดปาก” ปรบมือดังลั่น อาจเป็นเพราะมีความแปลกใหม่ มีความฉับไว เมื่อเปรียบเทียบกับยุค “ชวนเชื่องช้า” ที่ต้องรอรายงานก่อน อีกทั้งในเวลานั้นชาวบ้านยังไม่รู้เท่าทัน “เล่ห์เหลี่ยมจัด” ของ ทักษิณ และที่สำคัญทุกนโยบายประชานิยมล้วนใช้งบประมาณของรัฐ หน่วยงานของรัฐเป็นตัวขับเคลื่อนสามารถสั่งได้ทันที แต่มาในยุค “โคลนนิ่ง” รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ต้องไปเกี่ยวข้องกับภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องค่าแรง 300 บาท จบปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท มันก็ทำให้การขับเคลื่อนได้ยาก จนล่าสุดเริ่มออกมาในแนวทางบิดพลิ้ว เป็น “รายได้รวม” และ “เพิ่มเงินค่าครองชีพ” อีกทั้งยังไม่มีการประกาศออกมาให้ชัดเจนว่าทำได้เมื่อใด การรู้ทันของชาวบ้าน เนื่องจากได้เห็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของคนในครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมาต่อเนื่องเกือบสิบปี มีแต่เกี่ยวข้องกับคดี ทุจริตทำผิดกฎหมาย

โดยเฉพาะจะเกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” คดี “เลี่ยงภาษี” หรือ “ซุกหุ้น” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็พัวพันมาถึง น้องสาว คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกจับตามองทุกฝีก้าว ว่าจะ “รับงาน” มาจากพี่ชายในลักษณะ “วาระซ่อนเร้น” อย่างไรหรือไม่ แม้ว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยและเธอชนะการเลือกตั้ง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะความผิดหวังที่เคยมีต่อรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีผลงาน “ห่วยแตก” และทุจริตกันอย่างมโหฬาร แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไฟเขียวให้รัฐบาลใหม่มาปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองอย่างไรก็ได้ แต่ในช่วงระยะไม่กี่วันที่ผ่านมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้ทำให้สังคมเกิดความระแวง และเกิดความไม่มั่นใจเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ เพราะสิ่งที่บอกว่า “ทำทันที” นั้นกลับเป็นเรื่องที่เอื้อต่อประโยชน์ส่วนตัวของครอบครัวชินวัตรและพวกพ้องกันเองทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานล็อบบี้ให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกวีซ่าให้ ทักษิณ เข้าประเทศ ข่าวการเจรจาเรื่องฮุบผลประโยชน์ทางด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย และล่าสุดมีการบำเหน็จรางวัลให้กับ “หัวโจก” คนเสื้อแดงโดยไม่เลือกหน้า ขอเพียงแต่สร้างประโยชน์ ใช้เป็นฐานมวลชนสนับสนุนรัฐบาลเท่านั้นเป็นพอ ไม่สนใจต่อความรู้สึกของชาวบ้านทั่วไป ล่าสุดกำลังไฟเขียวให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี สร้างเงื่อนไขเพื่อ “ขับไล่” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพียงแค่จะผลักดัน “พี่เมียทักษิณ” คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในปีหน้าเท่านั้น หรือก่อนหน้านี้ หากพิจารณาจากรายชื่อคณะรัฐมนตรีแต่ละคนล้วนแล้วแต่น่าผิดหวังทั้งสิ้น มีแต่ออกมาในลักษณะเป็นพวก “คนรับใช้” หรือ ประเภท “เด็กในบ้าน” ที่พร้อมจะรับคำสั่งซ้ายหันขวาหันทั้งสิ้น ขณะเดียวกันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ยุค “บรรยากาศแห่งความกลัว” มีแนวโน้มจะมีการฟื้นฟู “รัฐตำรวจ” ขึ้นมาอีกครั้ง รวมไปถึง “ขบวนการเรดการ์ด” ออกมาข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้าม แม้กระทั่งสื่อมวลชนก็เริ่มถูกคุกคาม ดังกรณีที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้สื่อข่าวสาวรายหนึ่งของสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

ปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวดังกล่าวรับรองว่าไม่เป็นผลบวกกับ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีบางเรื่องอาจจะสร้างความพึงพอใจกับชาวบ้านแบบเฉพาะหน้านั่นคือการลดราคาน้ำมันลงมาอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งกลับกลายเป็นว่าทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีการคงไว้ในลักษณะแบบนี้อีกนานแค่ไหน และในอนาคตจะต้องกู้เงินมาโปะอีกจำนวนเท่าได ดังนั้น ถ้าให้พิจารณาบรรยากาศที่เป็นอยู่ในเวลานี้ รับรองว่าไม่ใช่เป็นบรรยากาศฮันนีมูนอันแสนหวานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างแน่นอน แต่เริ่มเข้าสู่การตรวจสอบและเสียง

วิจารณ์ก็เริ่มดังขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันนี่อาจเป็นความจงใจต้องการให้เกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะมั่นใจในเสียงสนับสนุนจากมวลชน และกลไกอำนาจรัฐที่รุกเข้าไปยึดกุมในทุกหน่วยงานหลักไว้หมดแล้วก็เป็นได้ ที่มา: ผู้จัดการ ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์.. แต่งตั้งเสื้อแดงเต็มแผงทุก กระทรวง !!?

การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 54 มีการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการเมือง ดังนี้
@ครม.มีมติตั้งข้าราชการประจำกระทรวง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในหลายกระทรวง ดังนี้

กระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี พล.อ.วรวิทย์ ชินนะนาวิน เป็นเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประกอบด้วย นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี และน.ส.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี

กระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย นายโสภณ เพชรสว่าง เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี นายประแสง มงคลศิริ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยฯ (นางบุญรื่น ศรีธเรศ) นายศักดา บูรณ์พงศ์ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี นายวรกร คำสิงห์นอก เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยฯ (นางบุญรื่น ศรีธเรศ) และนายชัชวาลย์ ชัยเชาวรัตน์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยฯ (นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล)

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกอบด้วย นายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ เป็นที่ปรึกษา น.ส.วิลาวัลย์ ธรรมชาติ เป็นเลขานุการ รัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน พล.ต.ต.ลัทธสัญญา เพียรสมภาร เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี และนายเอกธนัช อินทร์รอด ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี

กระทรวงการต่างประเทศ ประกอบด้วย นายนาวิน บุญเสรฐ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย นางนฤมล ธารดำรงค์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย นายอารี ไกรนรา เป็นเลขานุการรัฐมนตรี นายวุรวิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยฯ (นายชูชาติ หาญสวสัดิ์ )และนายยศวริศ ชูกล่อม ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยฯ (นายฐานิสร์ เทียนทอง)

กระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย นายชินวัฒน์ หาบุญพาด เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี นายชาญยุทธ เฮงตระกูล เป็นเลขานุการรัฐมนตรี นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยฯ (พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก) นายสมบัติ รัตโน เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยฯ (พล.ต.ท.ชัชจ์) นายวัน อยู่บำรุง เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยฯ (นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์) กระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย นายสมหวัง อัสราศี เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี นายชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยฯ (นายภูมิ สาระผล) นายจิรวุฒิ สิงโตทอง เป็นเลขานุการรัฐมนตรี พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยฯ (นายภูมิ)

 @ส.ส.สอบตกเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี 20 คน

ทั้งนี้ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ครม.มีมติแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งจะผู้แทนของคณะรัฐมนตรีในการประสานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ และการเสนอแนะมาตรการเพื่อประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี จำนวน 20 ราย ประกอบด้วย พล.อ.วัฒนา สรรพานิช นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล นายภาคิน สมมิตร นายสฤษฏ์ อึ้งอภินันท์ นายสุเทพ สายทอง พล.โทมะ โพธิ์งาม นายประภัสร์ จงสวน นายพิทยา พุกกะมาน พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ นางสาวมาลินี อินฉัตร นายเหรียญชัย ลิขิตพฤกษ์ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ นายสุรชัย เบ้าจรรยา นายปรีชา ธนานันท์ นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ นายวิสา คัญทัพ นางฉวีวรรณ คลังแสง นายวิบูลย์ แช่มชื่น นายมานิตย์ ภาวสุทธิ์ นายธวัชชัย สุทธิบงกช

 ด้านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ตำแหน่ง รวมจำนวน 10 ราย ดังนี้ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง 2 ราย ประกอบด้วย นายสรรพภัญญู ศิริไปล์ (นายยงยุทธ วิชัยดษฐ์ รองนายกฯ) พ.ต.อ.ปราณ์รนต์ สันติปราน์รนต์ (พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ) ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายก คือ นายถาวร จำปาเงิน(นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกฯ) ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายก 7 ราย ได้แก่ นายพงษ์พิเชรษฐ์ สุขจินดาทอง นายจำรัส เวียงสงค์ น.ส.นพสรัญ วรรณศิริกุล นายถนอม สมพล นายสุรชัย ทิณเกิด น.ต.วรวิทย์ เตชะสุภาภูร และ นายไพสาล ชโนวรรณ

@ทีทีอาร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 5 คน นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ครม.ยังได้อนุมัติแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย ประกอบด้วย นางนลินี ทวีสิน นายพิเชษฐ์ สถิรชวาล นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ นางลินดา เชิดชัย และนายวรวีร์ มะกูดี

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กัมพูชาแถลงการณ์อัด..อภิสิทธิ์..ชม ทักษิณ !!?

กัมพูชา ออกแถลงการณ์เปิดรับ'ยิ่งลักษณ์'เจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล การันตี'ทักษิณ ไม่มีผลประโยชน์ร่วม แฉรัฐบาล'อภิสิทธิ์'ขอเจรจาลับ

องค์การปิโตเลียมแห่งชาติกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงการดำเนินการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา ในอ่าวไทย ซึ่งในการเจรจาภายใต้การดำเนินการของรัฐบาลสมเด็จฮุน ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาใดๆ ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชา รวมถึงข้อกล่าวหาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ทำลายการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลลง โดยที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นี้ก็มีความพยายามติดต่อเจรจาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมายังรัฐบาลสมเด็จฮุน เซ็น ด้วย

นอกจากนี้ แถลงการณ์ได้แสดงความยินดีจะเปิดการเจรจากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกี่ยวกับเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน ทั้ง 2 ประเทศ

ในแถลงการณ์ มีเนื้อหาระบุ โดยได้อ้างบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชา อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิ.ย.2544 และการจัดตั้งเขตพัฒนาร่วม ซึ่งเอ็มโอยูปี 2544 ไม่ใช่เอกสารธรรมดา แต่เป็นเอกสารบันทึกความเข้าใจของ 2 ประเทศ ที่ได้จัดตั้งคณะงานทางเทคนิค ขึ้นมาเจรจาในเรื่องเขตแดน ในระหว่างปี 2544 - 2550 โดย 2 ประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกระทั่งได้เกิดข้อเสนอในหลายประการ ทั้งในเรื่องการแบ่งโซนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ในอ่าวไทย

แถลงการณ์ ระบุว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คณะทำงานไม่ได้มีการประชุมอย่างเป็นทางการ แต่ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ พยายามติดต่อเพื่อเปิดเจรจาในเรื่องนี้กับทางรัฐบาลฮุน เซ็น โดยมีการประชุมระหว่างสมเด็จฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในวันที่ 27 มิ.ย. 2551 ที่ จ.กันดาน ใกล้กับกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

นอกจากนี้ ยังมีการประชุมระหว่างนายสุเทพ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กับนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2552 และที่คุนหมิง ประเทศสาธารณรัฐประชาชน ในวันที่ 16 ก.ค.2553 ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว นายสุเทพ ได้แสดงความตั้งใจ และอ้างพันธะที่ได้รับมอบหมายจากนายอภิสิทธิ์ ในการดำเนินการเปิดเจรจาดังกล่าว ที่นำไปสู่คำถามจากรัฐบาลสมเด็จฮุน เซ็น ว่า ทำไมถึงต้องมีการประชุมลับ ทั้งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ สามารถเจรจากับกัมพูชาได้อย่างเปิดเผย

แถลงการณ์ ได้อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวหาการเจรจาครั้งก่อนๆ ว่า เต็มไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวมากมาย ดังนั้น รัฐบาลกัมพูชาจึงขอถามว่า ทำไมภายใต้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะต้องมีประชุมลับเช่นนี้ด้วย ซึ่งประชาชน ส.ส.ของไทย และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทราบถึงการเจรจาทางลับนี้หรือไม่ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในขณะนี้ ได้ประกาศยืนยันความโปร่งใสครั้งแรกครั้งเหล่า แล้วที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น นายอภิสิทธ์ ได้กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ซึ่งทำงานกับกัมพูชาอย่างเปิดเผย ว่า มีผลประโยชน์ส่วนตัวกับกัมพูชา นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังคงพยายามขัดขวางการเจรจาระหว่างรัฐบาลสมเด็จฮุน เซ็น กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดังนั้นกัมพูชาจึงมีความจำเป็นเปิดเผยความลับนี้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ประชุมใดๆ กับกัมพูชา หรือมีข้อเสนอใดกับกัมพูชา เกี่ยวกับการเจรจาผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ตามที่นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวหาในการแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อรัฐสภา ในระหว่างวันที่ 23 - 25 ส.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กัมพูชา ยินดีจะเปิดการเจรจาอีกครั้งในเรื่องนี้ ในการแสวงหาแนวทางปฏิบัติและเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน 2 ประเทศ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กระบี่ปากแกว่ง!!?

จาก “นายกรัฐมนตรี” และ “รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง” ลดเพดานบินลงมาเหลือ แค่เป็น “คู่ปรับ” ของ “ส.ส.เสื้อแดง”??
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” สิ้นลายเสือ หมดลายสิงห์ เมื่อยืนซดน้ำลาย กับ “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ”
หมดน้ำยา หมดน้ำอิ๊ว ไม่เหลือแคนดิเดท กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” แล้วล่ะท่าน
คนเราลองทำตัวเป็น “เด็กแว้น” เที่ยวไล่แจ้น ทะเลาะกับเขาได้ทุกเรื่อง?..ก็หมดความรู้ ทางยีนส์ปัญญาด้านสมอง ที่จะไปทำงานอื่นแล้วหล่ะ!!!
ไม่เชื่อ ๒ ผู้ใหญ่พรรคประชาธิปัตย์...จะลดเกรดมาเป็น “มวยวัด”?..ขาดมาตรฐาน จริง ๆนะฮ่ะ??

++++++++++++++++++++++++++++++

เรียกแขกมา “รัฐประหาร”!!
ส่งรหัสเอสโอเอส เตือนไปยัง “คุณปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ระวังตัว ไว้นะท่าน??
เขาเปิดเกมตีร่วนในสภาฯ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายขายปลาช่อน
หวังล้มอำนาจประชาธิปไตย เสียงข้างมากของประชาชน เพื่อเป็นการฆ่าตัดตอน
เพื่อไม่ให้ “รัฐบาลปูจ๋า” เข้าไปรื้อ การเทกระจาด อนุมัติโครงการกว่า ๒ แสนล้าน วันเดียว๒๐๐ กว่าโครงการ..จึงทำทุกอย่างเพื่อให้ “สีขียว” เข้ามาล้ม รัฐบาลปู ให้พับ!!!
ถ้าปล่อยให้ “รัฐบาลปู”มารื้อ...คงเห็นการงาบอื้อ?...เขาจึงควักมือเรียกทหารไงล่ะครับ

++++++++++++++++++++++++++++++

เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น!!!
มีคอการเมือง เขาขอตอบโต้ เพื่อเอาคืน??
ที่ “นายหัวชวน หลีกภัย” ย้ำจุดยืน...ภาคใต้ ๓ จังหวัดที่รุนแรง เป็นเพราะฝีมือ ของ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร”
ยะลา-ปัตตานี-นราธิวาส รุนแรงและดับเบิลล์ความหนักหน่วง ตั้งแต่ “คุณชวน” เป็นนายกฯ ..ตามจริง ก็เห็นกันอยู่ชัด..ชัด
ยิ่งสมัยที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี..ท่ามกลางมวลชนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งภาคใต้..ปรากฎว่าสถานการณ์เพิ่มขีดความรุนแรง มาอีกอื้อ!!
ประชาชนเทใจให้ล้นหลาม...แต่ทำงานไม่ได้ความ?....ยังมาถามความรับผิดชอบ จากคนอื่นอีกหรือ??

+++++++++++++++++++++++++++++

สนิมเกิดจากเนื้อใน!!!
ถึงจะเป็นเรื่องเล็กปะติ๋ว แต่หลายคน เกรงว่าจะลามเป็นเรื่องใหญ่??
กรณี เตรียมทหารรุ่น ๑๐ เพื่อนรัก เพื่อนเลิฟ กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” เกิดมีทัศนะวิสัย แตกแยกกับ “คุณพี่วิชาญ มีนชัยนันท์”
มองกันต่างมุม ยืนอยู่คนละข้าง อุ้ย, เราไม่ว่ากัลล์
แต่คนเขาเกรงว่า จะเป็นบาดทะยักทางใจ.. เหมือนกับความสัมพันธ์ ของ “ชวน หลีกภัย” ที่จับมือกันแน่นกับ “บัญญัติ บรรทัดฐาน”..แลกกันคนละหนุบคนละหนับ กับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” จนพรรคเลือดสาด!!
รีบจับมือกันเร็ว...ก่อนที่จะพาพรรคลงเหว?....เกิดความล้มเหลว เหมือนประชาธิปัตย์

+++++++++++++++++++++++++++++

เป็นทหารสายเลือด “วงศ์เทวัญ”!!
ปะฉะดะ เลือดร้อนไฟแรง กับเขา เหมือนกัน???
อย่าเพิ่งมองข้ามช็อทว่า “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าออกอาวุธในแนวบู๊
บอกให้ทราบ “บิ๊กอ๊อด” เป็นพวกใจเกินร้อย เป็นนักรบ เลือดนักรบ
เรื่องมาศิโรราบอ่อนข้อง่ายๆ ให้กับ “กลุ่มบูรพาพยัคฆ์” คงไม่เป็นเช่นนั้น หรอก!!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา...ระวังไว้หนา?..จะเสียท่า เดี๋ยวหาว่าไม่บอก????


ที่มา คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รัฐบาลเมินเสียง ยี้ ดันตั้งแกนนำแดงนั่งเลขาฯรมต. ปัดเด้ง วิเชียร..!!?

โฆษกรัฐบาล เผยพรุ่งนี้ ครม.แต่งตั้งแกนนำแดง นั่งที่ปรึกษาฯ เลขาฯ รมต.แน่ ไม่สนเสียงค้าน ส่วนเรื่องเด้ง "วิเชียร" ยังไม่พิจารณา ฉะ ผบ.ตร.ตีโพยตีพายไปเอง

น.ส.ฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ (30 ส.ค.) จะมีการเสนอตั้งแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าร่วมงานทางการเมืองในตำแหน่งที่ปรึกษา และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ

น.ส.ฐิติมา อ้างว่าการแต่งตั้งแกนนำคนเสื้อแดงเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองครั้งนี้ เป็นเรื่องของรัฐมนตรีแต่ละท่านที่จะเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับงาน ถือเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างรัฐมนตรี และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และคาดว่าในวันนี้จะมีความชัดเจนเรื่องการเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ

ส่วนข่าวการโยกย้ายพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.พี่ชายคุณหญิงพจมาณ ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัุตร เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนถือเป็นการคาดการณ์ไปเองของสื่อมวลชน และเป็นการตีโพยตีพายไปเองของพล.ต.อ.วิเชียร ทางพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ยังไม่มีใครพูดหรือเสนอความเห็นในเรื่องนี้

สำหรับความคืบหน้ากรณีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยใช้ "บางระกำโมเดล"นั้น น.ส.ฐิติมา กล่าวว่า จากการที่นายกฯ และคณะ ได้ลงดูพื้นที่ พร้อมฟังบรรยายสรุปจากผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ทำให้มีความคืบหน้าไปมากในการแก้ไข เป็นที่ทราบกันดีว่า พื้นที่ดังกล่าเป็นเขตรับน้ำ ซึ่งหากสามารถแก้ไขที่บางระกำได้ ในพื้นที่รับน้ำอื่นๆ ก็น่าจะใช้วิธีการเดียวกันนี้ แก้ปัญหาได้ในทุกๆ จุดเช่นกัน

ที่มา: ผู้จัดการ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อิหร่านเตือน หากล้มผู้นำซีเรีย จะเกิดวิกฤติภูมิภาค !!?

อิหร่านประเทศพันธมิตรซีเรียเตือนหากล้ม ปธน. อัสซาด จะเกิดวิกฤติภูมิภาค วอนต่างชาติอย่าแทรกแซง เจ้าหน้าที่รัฐซีเรียยังคงปราบประชาชน ล่าสุดบุกจู่โจมมัสยิดด้วยแก็สน้ำตาและอาวุธปืน คณะสืบสวนของยูเอ็นสรุป แม้จะยังไม่มีวิกฤติระดับกว้างทั่วประเทศ แต่ควรรีบช่วยประชาชนซีเรียจากการถูกปราบอย่างรุนแรง

สำนักข่าว AP รายงานว่าประเทศพันธมิตรของซีเรียอย่างอิหร่านได้ออกมากล่าวแสดงความเห็นว่าภาวะปราศจากผู้นำในซีเรียอาจเป็นชนวนให้เกิดวิกฤติในพื้นที่ตะวันออกกลาง ขณะที่ผู้ประท้วงหลายพันคงยังคงปักหลักชุมนุมโดยไม่หวั่นรถถังและกระสุนปืนจนกว่าประธานาธิบดีอัสซาดจะยอมลงจากตำแหน่ง

รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน อาลี อัคบาร์ ซาเลฮี กล่าวผ่านสำนักข่าว ISNA (Iranian Students' News Agency) ของอิหร่านเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า "หากมีภาวะสูญญากาศทางการปกครองซีเรียเกิดขึ้นจะทำให้เกิดผลสะท้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน" เนื่องจากซีเรียมี "ประเทศเพื่อนบ้านที่อ่อนไหวง่าย" และการเปลี่ยนแปลงในซีเรียอาจทำให้เกิดวิกฤติต่อภูมิภาค

AP ระบุว่าอิหร่านมีความสัมพันธ์กับซีเรียเกินกว่าประเทศที่มีมิตรภาพมายาวนาน จนเป็นที่สงสัยในหมู่ประเทศอาหรับว่าทางการอิหร่านมีจุดมุ่งหมายอะไรอยู่ และหากรัฐบาลอัสซาดล่มลงก็จะทำให้อิหร่านขาดพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งตอนนี้หลายประเทศมีการลุกอือเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยมากขึ้น

ทางด้านสำนักข่าว ISNA ของอิหร่านได้รายงานคำกล่าวของซาเลฮีอีกว่า การพัฒนาในประเทศภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือนั้นทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ ขณะเดียวกันก็บอกให้ประเทศในแถบภูมิภาคนี้คอยจับตามองการแทรกแซงกิจการภายในโดยต่างชาติ และขอร้องให้ชาวต่างชาติเลิกกระทำการแทรกแซงดังกล่าวเพื่อไม่ให้มีการใช้อำนาจอย่างผิดๆ

นอกจากนี้ซาเลฮียังได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีอัสซาดปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของประชาชนที่เป็นไปอย่างถูกกฏหมายและใช้ความอดทน ระมัดระวังในการปฏิบัติต่อประชาชนมากกว่านี้ แต่ก็ระบุว่าควรให้การสนับสนุน ปธน.อัสซาดและ "ความต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในซีเรียนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปตามแบบแผน และเชื่อว่ามีจุดประสงค์ร้ายแฝงอยู่"

เจ้าหน้าที่ซีเรียบุกถล่มมัสยิดในดามากัส

สำนักอัลจาซีร่า รายงานว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรียบุกเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมในมัสยิดกรุงดามากัสเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกหลายราย

นักกิจกรรมกล่าวว่า มีประชาชน "หลายพัน" คนออกเดินขบวนไปตามท้องถนนเขตคาฟาโซเซฮ์ เขตชานเมืองฝั่งตะวันตกของดามากัส เพื่อประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีอัสซาด หลังจากเข้าทำพิธีทางศาสนาในช่วงเช้าวันที่ 27 ส.ค.

ผู้เห็นเหตุกาณ์กล่าวกับอัลจาซีร่าว่า มีเจ้าหน้าที่และนักเลงของรัฐบาลเข้ามาในพื้นที่และใช้ระเบิดเสียงกับแก็สน้ำตาในการสลายการชุมนุม ด้านผู้ชุมนุมก็ได้ขว้างปาก้อนหินและแก็สน้ำตากลับเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่โต้ตอบกลับด้วยการยิงปืนเข้าใส่จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 ราย

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าต่อว่า หลังจากนั้นผู้ชุมนุมก็ได้ถอยร่นกลับเข้าไปในมัสยิด ซึ่งมีกลุ่มเจ้าหน้าที่และแก็งค์นักเลง "ชาบีฮา" (แก๊งค์ติดอาวุธของอัสซาด) เข้าล้อม

นักกิจกรรมรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าไปในตัวมัสยิด จู่โจมอิหม่ามอายุ 80 ปี จนถูกนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา มีอาคารภายในบางส่วนได้รับความเสียหาย และมีประชาชนกว่า 150 รายถูกจับกุม

ขณะที่มัสยิดถูกล้อมอยู่นั้น ประชาชนก็ได้รวมตัวกันประท้วงอยู่ที่ลานกลางมัสยิด โดยนักกิจกรรมรายงานว่ามีประชาชน 5 รายได้รับบาดเจ็บเมื่อเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตาและยิงปืนใส่เพื่อสลายผู้ชุมนุม

นักกิจกรรมยังได้ระบุอีกว่าในวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐบาลได้ยิงกลุ่มผู้ประท้วงในเมืองทางตะวันออกและทางตินใต้จนมีผู้เสียชีวิต 12 ราย

ทีมสืบสวนยูเอ็น สรุปต้องรีบปกป้องประชาชนจากความรุนแรงของรัฐบาล

ขณะเดียวกัน ทีมสืบสวนของสหประชาชาติ ก็ได้กล่าวสรุปหลังการไปเยือนซีเรียว่า แม้จะมีความต้องการอย่างเร่งด่วนในการปกป้องประชาชนจากการใช้ความรุนแรงในการปราบปราม แต่ทางคณะของสหประชาชาติก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ได้เต็มที่เนื่องจากการห้ามปรามของรัฐบาลซีเรีย

"การที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลานั้น ทำให้ถูกจำกัดไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้เต็มที่ และขาดอิสระในการเข้าไปสำรวจสถานการณ์" ฟาร์ฮาน ฮัค โฆษกของสหประชาชาติกล่าว

"ทางคณะทำงานได้สรุปว่าแม้จะยังไม่มีวิกฤติเชิงมนุษยธรรมกว้างในระดับประเทศ แต่ก็มีความต้องการเร่งด่วนในการปกป้องประชาชนจากการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ"

เมื่อตัวแทนของสหประชาติมาเยือนเมืองฮอมส์ ก็มีประชาชนหลายร้อยมาชุมนุมที่จัตุรัสตะโกนคำขวัญต่อต้านรัฐบาล แต่ไม่นานหลังจากที่ตัวแทนของสหประชาชาติออกจากเมืองไป เจ้าหน้าที่ก็เปิดฉากยิงผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 3 รายจากปากคำของนักกิจกรรม

ที่มา

Iran warns of regional crisis if Syria falls, AP, 27-08-2011
Iran's Salehi warns of vacuum in Syrian gov't, ISNA , 27-08-2011
Syria security forces 'storm Damascus mosque' , Aljazeera, 27-08-2011
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหลิม.. คุมตร.-ยธ.ภารกิจด่วนตั้ง เพรียวพันธุ์-รื้อคดีพิเศษ !?

เรียกว่าถูกตัวถูกคนทีเดียวสำหรับการแบ่งงานให้กับรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 5 คน โดยเฉพาะการมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งคาดหมายกันว่าจะได้รับมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้นั่งเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อีกด้วย

ขณะเดียวกันการได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) อยู่ในสังกัด ซึ่งมันน่าจับตามองไม่น้อย หากพิจารณาจากความเป็นจริงในเวลานี้ในฐานะที่รับบทเป็น “หัวหน้าองครักษ์” พิทักษ์ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งในและนอกสภา

หากไล่เรียงทีละภารกิจก็จะเห็นความเคลื่อนไหวที่ต้องปรากฏออกมาโดยเร็ว เริ่มจากการดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เวลานี้ “ในวงการ” กำลังจับตากันอยู่ว่าจะใช้จังหวะ ช่วงเวลาใดผลักดัน “พี่เมียทักษิณ” คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการโดยด่วนอีกด้วย เพราะเหลือเวลาอีกเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นคือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 หากพลาดหวังคราวนี้ ก็น่าจะหมดหวังค่อนข้างแน่

อย่างไรก็ดีการจะผลักดัน ให้ “พี่ชาย” ของ พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ไปถึงฝั่งฝันเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญ เพราะถือว่าเป็นเครือญาติคนสุดท้ายที่ยังไปไม่ถึงเป้าหมายตามเส้นทางของตัวเอง เพราะหากย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆไล่มาตั้งแต่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องที่อุตส่าห์ไปขุดมาจาก “ทหารช่าง” บ้านนอก นอกไลน์ แต่ก็ยังได้ขึ้นไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้ว ถัดมาก็ดันหลัง “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ที่มีบุคลิก “เซื่องๆซึมๆ” ก็ยังได้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม มีการต่ออายุจนเต็มเพดานและในที่สุดก็ได้ก้าวมาถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หรือแม้แต่ “น้องสาวคนเล็ก” อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เถอะ ขนาดไม่ประสีประสาทางการเมืองก็สามารถผลักดันให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศจนได้

ดังนั้นก็เหลือเพียง พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ นี่แหละที่ยังไม่ถึงฝั่ง แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการแผ้วถางทางเอาไว้จนโล่ง แต่เมื่อโชคชะตาพลิกผันเกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้อง “แป็ก” อยู่กับที่จนถึงวันนี้ และหากพิจารณาจากโอกาสครั้งนี้ก็ถือว่าน่าจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และต้องทำอย่างเร่งด่วนดังกล่าว

อย่างไรก็ดีหากจะไปให้ถึงฝัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องเขี่ย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกไปให้พ้นทางเสียก่อน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากที่ผ่านมาก็ถือว่า “ประคองตัว” ได้ดี ภาพที่ออกมาก็ไม่ได้เอนเอียงเข้าไปอยู่ในขั้วอำนาจข้างใดข้างหนึ่งจนน่าเกลียด แม้ว่าจะเป็นอดีต ตท.12 รุ่นเดียวกับ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม

แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี่เองที่เพิ่งพบสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น นั่นคือการออกมาเปิดโปงเรื่อง “บ่อนการพนันกลางกรุง” และแหล่งอบายมุขขายยาเสพติดในสถานบันเทิง รวมไปถึงการแฉ “นายพลตำรวจ” รับส่วยวันละ 2 ล้านบาท ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จนเป็นที่ฮือฮา

หากพิจารณาผิวเผินแบบไม่คิดอะไรมากก็ถือเป็นเรื่องดี และทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาไม่ให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ระบาดในสังคม แต่ขณะเดียวกันในอีกมุมหนึ่งหากมองด้วยความ “ระแวง” มันก็เหมือนกับการ “รับงานมาขย่ม” ใครบางคนหรือไม่ โดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน เพื่อเป็นสาเหตุทำให้ต้องเด้งแล้วดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ขึ้นมาเสียบแทนแบบเร่งด่วนหรือไม่ มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะเมื่อพิจารณาภารกิจแล้วมันต่อเชื่อมได้ทันทีนั่นคือ เฉลิม ดูแลปราบปรามยาเสพติด อบายมุข ขณะที่ เพรียวพันธุ์ ก็ดูแลยาเสพติด ช่างลงตัวจริงๆ

ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับไปดูความสัมพันธ์ ระหว่าง เฉลิม กับ ชูวิทย์ ก่อนหน้านี้ หากยังจำกันได้ ในช่วงที่การต่อรองในพรรคเพื่อไทยกำลังเข้มข้นกับ “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ “นักรบห้องแอร์” ในสายตาเฉลิม เขาก็ขู่ว่าจะไปตั้งพรรคใหม่ร่วมกับ ชูวิทย์ ลงเลือกตั้งใช่หรือไม่ หากมองแบบนี้มันก็เข้าเค้าเหมือนกัน

นอกเหนือจากนี้การเปิดโปงในเรื่องบ่อนการพนัน แหล่งค้ายาเสพติด รับรองว่าแตะไปตรงไหนมันก็ต้องเจอทั้งนั้น และคนที่เป็นจำเลยก็ต้องเป็นตำรวจวันยังค่ำ และยังเชื่ออีกว่าถ้าลองไปคุ้ยที่ “บางบอน” ก็ต้องเจอแน่นอน ส่วนจะใหญ่จะเล็กนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ดังนั้นงานนี้แม้ไม่อยากขัดคอ ขัดอารมณ์หลายคนที่กำลังชื่นชมบทบาทของชูวิทย์ แต่มันก็อดที่จะชี้ให้เห็นถึงความ “ผิดปกติ” ในบางแง่มุมไม่ได้

ขณะเดียวกันอีกภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการก็คือ การ “เช็กบิล”ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เป้าหมาย ที่มีผลในทางการเมือง และเคยถูกสับเปลี่ยนในยุคที่ “ยี้ห้อย” ครอบครองกระทรวงมหาดไทย และที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยประกาศเอาไว้ขณะหาเสียง ก็คง “ต้องทำทันที” เหมือนกัน และแม้ว่าจะไม่ได้รับผิดชอบโดยตรงแต่ในฐานะที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาก่อนคงจะร่วมตรวจสอบรายชื่อกับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เคยเป็นอดีตปลัดกระทรวงมาก่อนมันก็ย่อมรู้ลู่ทางดีอยู่แล้ว

และที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การแย้มให้ได้ยินว่ากำลังจะได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการพิจารณาคดีพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ถือว่าน่าจับตาไม่น้อย รวมไปถึงคำกล่าวที่เป็นปริศนาเมื่อถูกถามว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ว่าให้ “รออีก 2 สัปดาห์” ก็น่าจะเป็นสองสัปดาห์ที่ระทึกใจสำหรับบางคนแน่นอน !!

ที่มา: ผู้จัดการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คำมั่นสัญญา !!?

หนึ่งในประเด็นการอภิปรายในการแถลงนโยบายของรัฐบาลคือ เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ซึ่งรัฐบาลได้เปลี่ยนถ้อยคำเป็นรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีว่านอกจากจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย รัฐบาลยังบิดเบือนไม่ทำตามที่หาเสียง ดังนั้น หากรัฐบาลยืนยันว่าทำทันทีไม่ได้ตามที่หาเสียงก็ต้องประกาศค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน วันที่ 1 มกราคม 2555

นโยบายเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้หลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนโยบายประชานิยมและสัญญาว่าจะทำทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลนั้น นอกจากขึ้นอยู่ที่เงินที่จะนำมาใช้แล้ว ยังต้องเป็นไปตามกฎระเบียบและกฎหมาย รวมทั้งกลไกในรูปแบบต่างๆ

อย่างกรณีค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งต้องผ่านคณะกรรมการไตรภาคี แต่เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายเป็นรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท ทำให้ผู้ใช้แรงงานเริ่มไม่เชื่อมั่นรัฐบาลว่าจะทำได้ นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ก็เห็นว่ารัฐบาลบิดพลิ้ว เพราะรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท หมายถึงค่าจ้างบวกกับค่าสวัสดิการและค่าโอที แต่ถ้าเป็นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เป็นกฎหมายบังคับที่ไม่รวมสวัสดิการและโอที แต่ฝ่ายนายจ้างก็ต้องให้ความร่วมมือ เพราะฝ่ายนายจ้างก็รู้ดีว่าค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันยังต่ำกว่าความเป็นจริง และไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ

ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนถ้อยคำอย่างไรก็ต้องทำให้ได้ตามที่หาเสียง แล้วยังจะเป็นการพิสูจน์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีภาวะความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะนโยบายที่หาเสียงเป็นคำมั่นสัญญาที่เป็นความหวังอย่างยิ่งของประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์

กรณีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท แม้ผู้ประกอบการจำนวนมากจะคัดค้าน แต่ก็มีผู้ประกอบการที่พร้อมจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งไม่ได้สะท้อนแค่ด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงคุณธรรมของนายจ้างที่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้แรงงานด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะต้องทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขและความปรองดอง รัฐบาลต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณในการแก้ปัญหาบ้านเมือง โดยยึดมั่นในนิติรัฐและนิติธรรมอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน

โดยเฉพาะการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่สังคมทาสอย่างในอดีตที่เห็นคนเยี่ยงสัตว์ ดังนั้น ค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็นแค่กำไรของผู้ประกอบการที่ลดลง แต่เป็นรายได้ที่มีความหมายอย่างยิ่งกับผู้ใช้แรงงานที่จะได้กินอิ่มนอนหลับและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องทำตามสัญญาปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การเมืองน้ำเน่า

ยังอยู่ในวังวนเก่าๆ เรื่องราวของชาวประชาธิปไตย ในการอภิปรายวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลใหม่..

ทั้งๆ ที่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา...ประชาชนได้เปลี่ยนไปแล้ว...ประชาชนเลือกพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมด

ทั้งๆ ที่พรรคการเมืองพรรคนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน

ทั้งๆ ที่โดนย่ำโดนยำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง…

ทั้งๆ ที่ต้องสู้กับบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์มากกว่าจำนวนผู้ใช้สิทธิ์อย่างมากมาย...

ทั้งๆ ที่บัตรเลือกตั้งมีเหตุให้เข้าใจผิดและเป็นบัตรเสียโดยง่าย...จากการใช้ภาษาอย่างเฉลียวฉลาดกับบัตรเลือกตั้งที่น่าเคลือบแคลงสงสัย

พรรคประชาธิปัตย์..ต้องยอมรับในคำพิพากษาของประชาชนและทำตัวเป็นฝ่ายประชาชนในการควบคุมดูแลให้รัฐบาลใหม่ทำตามที่ให้สัญญาไว้หรือสนับสนุนให้ประชาชนได้ในสิ่งที่สมควรได้

วันแถลงนโยบาย..ไม่ใช่วันแห่งการติเตียนแดกดัน..และยิ่งไม่ใช่วันสาวไส้ของพรรคการเมืองทั้งหลาย เพราะท่านเพิ่งผ่านมหกรรมแห่งการสาวไส้กันมาอย่างสดๆ ร้อนๆ ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง

และยิ่งไม่ใช่...การเอาถกเถียงกันในเรื่องความจงรักภักดี...ว่าผมมีคุณไม่…

ประชาธิปัตย์ยังเหมือนเก่า..กับทุกลีลาที่โบราณล้าสมัย..ประชาชนรับไม่ได้แล้วกับการอภิปรายแบบเสียดสีใส่ไคล้..หรือตั้งคำถามโดยอาศัยเรื่องเท็จ...ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งจากการถูกจับโกหกในเรื่องที่พูดถึงในระหว่างเป็นฝ่ายค้าน

ข้อหาดีแต่พูด...จากป้ายโชว์ของประชาชนคนหนึ่ง...ทำลายคะแนนที่ควรได้ของพรรคประชาธิปัตย์คิดเป็นมูลค่าหลายร้อยหลายพันล้าน…

ประชาธิปัตย์...เอาคืนได้ ก็ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการของพรรคเสียใหม่...จากการใช้แต่การเสียดสีมีแต่วลีโวหาร..ประชาชนวันนี้รู้เช่นเห็นทันและเขาต้องการมากกว่าความบันเทิงจากการมีสภาผู้แทน...เขาเลือกคนเข้ามาทำงาน...เขาต้องการคนที่ทำให้ประเทศชาติเจริญและไม่ล้าหลัง

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...อาสาเข้ามาเป็นหัวหน้าประชาธิปัตย์อีกครั้ง...แต่ดูจากการอภิปรายเมื่อวันวาน...ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์เขียว...เกื้อหนุน...ท่านจะเป็นฝ่ายค้านนาน 8 ปีขึ้นไป…

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++