--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รัฐบาลเมินเสียง ยี้ ดันตั้งแกนนำแดงนั่งเลขาฯรมต. ปัดเด้ง วิเชียร..!!?

โฆษกรัฐบาล เผยพรุ่งนี้ ครม.แต่งตั้งแกนนำแดง นั่งที่ปรึกษาฯ เลขาฯ รมต.แน่ ไม่สนเสียงค้าน ส่วนเรื่องเด้ง "วิเชียร" ยังไม่พิจารณา ฉะ ผบ.ตร.ตีโพยตีพายไปเอง

น.ส.ฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ (30 ส.ค.) จะมีการเสนอตั้งแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าร่วมงานทางการเมืองในตำแหน่งที่ปรึกษา และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ

น.ส.ฐิติมา อ้างว่าการแต่งตั้งแกนนำคนเสื้อแดงเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองครั้งนี้ เป็นเรื่องของรัฐมนตรีแต่ละท่านที่จะเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับงาน ถือเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างรัฐมนตรี และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และคาดว่าในวันนี้จะมีความชัดเจนเรื่องการเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ

ส่วนข่าวการโยกย้ายพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.พี่ชายคุณหญิงพจมาณ ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัุตร เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนถือเป็นการคาดการณ์ไปเองของสื่อมวลชน และเป็นการตีโพยตีพายไปเองของพล.ต.อ.วิเชียร ทางพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ยังไม่มีใครพูดหรือเสนอความเห็นในเรื่องนี้

สำหรับความคืบหน้ากรณีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยใช้ "บางระกำโมเดล"นั้น น.ส.ฐิติมา กล่าวว่า จากการที่นายกฯ และคณะ ได้ลงดูพื้นที่ พร้อมฟังบรรยายสรุปจากผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ทำให้มีความคืบหน้าไปมากในการแก้ไข เป็นที่ทราบกันดีว่า พื้นที่ดังกล่าเป็นเขตรับน้ำ ซึ่งหากสามารถแก้ไขที่บางระกำได้ ในพื้นที่รับน้ำอื่นๆ ก็น่าจะใช้วิธีการเดียวกันนี้ แก้ปัญหาได้ในทุกๆ จุดเช่นกัน

ที่มา: ผู้จัดการ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อิหร่านเตือน หากล้มผู้นำซีเรีย จะเกิดวิกฤติภูมิภาค !!?

อิหร่านประเทศพันธมิตรซีเรียเตือนหากล้ม ปธน. อัสซาด จะเกิดวิกฤติภูมิภาค วอนต่างชาติอย่าแทรกแซง เจ้าหน้าที่รัฐซีเรียยังคงปราบประชาชน ล่าสุดบุกจู่โจมมัสยิดด้วยแก็สน้ำตาและอาวุธปืน คณะสืบสวนของยูเอ็นสรุป แม้จะยังไม่มีวิกฤติระดับกว้างทั่วประเทศ แต่ควรรีบช่วยประชาชนซีเรียจากการถูกปราบอย่างรุนแรง

สำนักข่าว AP รายงานว่าประเทศพันธมิตรของซีเรียอย่างอิหร่านได้ออกมากล่าวแสดงความเห็นว่าภาวะปราศจากผู้นำในซีเรียอาจเป็นชนวนให้เกิดวิกฤติในพื้นที่ตะวันออกกลาง ขณะที่ผู้ประท้วงหลายพันคงยังคงปักหลักชุมนุมโดยไม่หวั่นรถถังและกระสุนปืนจนกว่าประธานาธิบดีอัสซาดจะยอมลงจากตำแหน่ง

รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน อาลี อัคบาร์ ซาเลฮี กล่าวผ่านสำนักข่าว ISNA (Iranian Students' News Agency) ของอิหร่านเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า "หากมีภาวะสูญญากาศทางการปกครองซีเรียเกิดขึ้นจะทำให้เกิดผลสะท้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน" เนื่องจากซีเรียมี "ประเทศเพื่อนบ้านที่อ่อนไหวง่าย" และการเปลี่ยนแปลงในซีเรียอาจทำให้เกิดวิกฤติต่อภูมิภาค

AP ระบุว่าอิหร่านมีความสัมพันธ์กับซีเรียเกินกว่าประเทศที่มีมิตรภาพมายาวนาน จนเป็นที่สงสัยในหมู่ประเทศอาหรับว่าทางการอิหร่านมีจุดมุ่งหมายอะไรอยู่ และหากรัฐบาลอัสซาดล่มลงก็จะทำให้อิหร่านขาดพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งตอนนี้หลายประเทศมีการลุกอือเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยมากขึ้น

ทางด้านสำนักข่าว ISNA ของอิหร่านได้รายงานคำกล่าวของซาเลฮีอีกว่า การพัฒนาในประเทศภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือนั้นทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ ขณะเดียวกันก็บอกให้ประเทศในแถบภูมิภาคนี้คอยจับตามองการแทรกแซงกิจการภายในโดยต่างชาติ และขอร้องให้ชาวต่างชาติเลิกกระทำการแทรกแซงดังกล่าวเพื่อไม่ให้มีการใช้อำนาจอย่างผิดๆ

นอกจากนี้ซาเลฮียังได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีอัสซาดปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของประชาชนที่เป็นไปอย่างถูกกฏหมายและใช้ความอดทน ระมัดระวังในการปฏิบัติต่อประชาชนมากกว่านี้ แต่ก็ระบุว่าควรให้การสนับสนุน ปธน.อัสซาดและ "ความต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในซีเรียนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปตามแบบแผน และเชื่อว่ามีจุดประสงค์ร้ายแฝงอยู่"

เจ้าหน้าที่ซีเรียบุกถล่มมัสยิดในดามากัส

สำนักอัลจาซีร่า รายงานว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรียบุกเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมในมัสยิดกรุงดามากัสเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกหลายราย

นักกิจกรรมกล่าวว่า มีประชาชน "หลายพัน" คนออกเดินขบวนไปตามท้องถนนเขตคาฟาโซเซฮ์ เขตชานเมืองฝั่งตะวันตกของดามากัส เพื่อประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีอัสซาด หลังจากเข้าทำพิธีทางศาสนาในช่วงเช้าวันที่ 27 ส.ค.

ผู้เห็นเหตุกาณ์กล่าวกับอัลจาซีร่าว่า มีเจ้าหน้าที่และนักเลงของรัฐบาลเข้ามาในพื้นที่และใช้ระเบิดเสียงกับแก็สน้ำตาในการสลายการชุมนุม ด้านผู้ชุมนุมก็ได้ขว้างปาก้อนหินและแก็สน้ำตากลับเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่โต้ตอบกลับด้วยการยิงปืนเข้าใส่จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 ราย

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าต่อว่า หลังจากนั้นผู้ชุมนุมก็ได้ถอยร่นกลับเข้าไปในมัสยิด ซึ่งมีกลุ่มเจ้าหน้าที่และแก็งค์นักเลง "ชาบีฮา" (แก๊งค์ติดอาวุธของอัสซาด) เข้าล้อม

นักกิจกรรมรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าไปในตัวมัสยิด จู่โจมอิหม่ามอายุ 80 ปี จนถูกนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา มีอาคารภายในบางส่วนได้รับความเสียหาย และมีประชาชนกว่า 150 รายถูกจับกุม

ขณะที่มัสยิดถูกล้อมอยู่นั้น ประชาชนก็ได้รวมตัวกันประท้วงอยู่ที่ลานกลางมัสยิด โดยนักกิจกรรมรายงานว่ามีประชาชน 5 รายได้รับบาดเจ็บเมื่อเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตาและยิงปืนใส่เพื่อสลายผู้ชุมนุม

นักกิจกรรมยังได้ระบุอีกว่าในวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐบาลได้ยิงกลุ่มผู้ประท้วงในเมืองทางตะวันออกและทางตินใต้จนมีผู้เสียชีวิต 12 ราย

ทีมสืบสวนยูเอ็น สรุปต้องรีบปกป้องประชาชนจากความรุนแรงของรัฐบาล

ขณะเดียวกัน ทีมสืบสวนของสหประชาชาติ ก็ได้กล่าวสรุปหลังการไปเยือนซีเรียว่า แม้จะมีความต้องการอย่างเร่งด่วนในการปกป้องประชาชนจากการใช้ความรุนแรงในการปราบปราม แต่ทางคณะของสหประชาชาติก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ได้เต็มที่เนื่องจากการห้ามปรามของรัฐบาลซีเรีย

"การที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลานั้น ทำให้ถูกจำกัดไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้เต็มที่ และขาดอิสระในการเข้าไปสำรวจสถานการณ์" ฟาร์ฮาน ฮัค โฆษกของสหประชาชาติกล่าว

"ทางคณะทำงานได้สรุปว่าแม้จะยังไม่มีวิกฤติเชิงมนุษยธรรมกว้างในระดับประเทศ แต่ก็มีความต้องการเร่งด่วนในการปกป้องประชาชนจากการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ"

เมื่อตัวแทนของสหประชาติมาเยือนเมืองฮอมส์ ก็มีประชาชนหลายร้อยมาชุมนุมที่จัตุรัสตะโกนคำขวัญต่อต้านรัฐบาล แต่ไม่นานหลังจากที่ตัวแทนของสหประชาชาติออกจากเมืองไป เจ้าหน้าที่ก็เปิดฉากยิงผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 3 รายจากปากคำของนักกิจกรรม

ที่มา

Iran warns of regional crisis if Syria falls, AP, 27-08-2011
Iran's Salehi warns of vacuum in Syrian gov't, ISNA , 27-08-2011
Syria security forces 'storm Damascus mosque' , Aljazeera, 27-08-2011
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหลิม.. คุมตร.-ยธ.ภารกิจด่วนตั้ง เพรียวพันธุ์-รื้อคดีพิเศษ !?

เรียกว่าถูกตัวถูกคนทีเดียวสำหรับการแบ่งงานให้กับรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 5 คน โดยเฉพาะการมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งคาดหมายกันว่าจะได้รับมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้นั่งเป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อีกด้วย

ขณะเดียวกันการได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) อยู่ในสังกัด ซึ่งมันน่าจับตามองไม่น้อย หากพิจารณาจากความเป็นจริงในเวลานี้ในฐานะที่รับบทเป็น “หัวหน้าองครักษ์” พิทักษ์ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งในและนอกสภา

หากไล่เรียงทีละภารกิจก็จะเห็นความเคลื่อนไหวที่ต้องปรากฏออกมาโดยเร็ว เริ่มจากการดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เวลานี้ “ในวงการ” กำลังจับตากันอยู่ว่าจะใช้จังหวะ ช่วงเวลาใดผลักดัน “พี่เมียทักษิณ” คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการโดยด่วนอีกด้วย เพราะเหลือเวลาอีกเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นคือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 หากพลาดหวังคราวนี้ ก็น่าจะหมดหวังค่อนข้างแน่

อย่างไรก็ดีการจะผลักดัน ให้ “พี่ชาย” ของ พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ไปถึงฝั่งฝันเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญ เพราะถือว่าเป็นเครือญาติคนสุดท้ายที่ยังไปไม่ถึงเป้าหมายตามเส้นทางของตัวเอง เพราะหากย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆไล่มาตั้งแต่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องที่อุตส่าห์ไปขุดมาจาก “ทหารช่าง” บ้านนอก นอกไลน์ แต่ก็ยังได้ขึ้นไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้ว ถัดมาก็ดันหลัง “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ที่มีบุคลิก “เซื่องๆซึมๆ” ก็ยังได้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม มีการต่ออายุจนเต็มเพดานและในที่สุดก็ได้ก้าวมาถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หรือแม้แต่ “น้องสาวคนเล็ก” อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เถอะ ขนาดไม่ประสีประสาทางการเมืองก็สามารถผลักดันให้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศจนได้

ดังนั้นก็เหลือเพียง พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ นี่แหละที่ยังไม่ถึงฝั่ง แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการแผ้วถางทางเอาไว้จนโล่ง แต่เมื่อโชคชะตาพลิกผันเกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้อง “แป็ก” อยู่กับที่จนถึงวันนี้ และหากพิจารณาจากโอกาสครั้งนี้ก็ถือว่าน่าจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และต้องทำอย่างเร่งด่วนดังกล่าว

อย่างไรก็ดีหากจะไปให้ถึงฝัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องเขี่ย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกไปให้พ้นทางเสียก่อน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากที่ผ่านมาก็ถือว่า “ประคองตัว” ได้ดี ภาพที่ออกมาก็ไม่ได้เอนเอียงเข้าไปอยู่ในขั้วอำนาจข้างใดข้างหนึ่งจนน่าเกลียด แม้ว่าจะเป็นอดีต ตท.12 รุ่นเดียวกับ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม

แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี่เองที่เพิ่งพบสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น นั่นคือการออกมาเปิดโปงเรื่อง “บ่อนการพนันกลางกรุง” และแหล่งอบายมุขขายยาเสพติดในสถานบันเทิง รวมไปถึงการแฉ “นายพลตำรวจ” รับส่วยวันละ 2 ล้านบาท ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จนเป็นที่ฮือฮา

หากพิจารณาผิวเผินแบบไม่คิดอะไรมากก็ถือเป็นเรื่องดี และทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาไม่ให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ระบาดในสังคม แต่ขณะเดียวกันในอีกมุมหนึ่งหากมองด้วยความ “ระแวง” มันก็เหมือนกับการ “รับงานมาขย่ม” ใครบางคนหรือไม่ โดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน เพื่อเป็นสาเหตุทำให้ต้องเด้งแล้วดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ขึ้นมาเสียบแทนแบบเร่งด่วนหรือไม่ มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะเมื่อพิจารณาภารกิจแล้วมันต่อเชื่อมได้ทันทีนั่นคือ เฉลิม ดูแลปราบปรามยาเสพติด อบายมุข ขณะที่ เพรียวพันธุ์ ก็ดูแลยาเสพติด ช่างลงตัวจริงๆ

ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับไปดูความสัมพันธ์ ระหว่าง เฉลิม กับ ชูวิทย์ ก่อนหน้านี้ หากยังจำกันได้ ในช่วงที่การต่อรองในพรรคเพื่อไทยกำลังเข้มข้นกับ “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ “นักรบห้องแอร์” ในสายตาเฉลิม เขาก็ขู่ว่าจะไปตั้งพรรคใหม่ร่วมกับ ชูวิทย์ ลงเลือกตั้งใช่หรือไม่ หากมองแบบนี้มันก็เข้าเค้าเหมือนกัน

นอกเหนือจากนี้การเปิดโปงในเรื่องบ่อนการพนัน แหล่งค้ายาเสพติด รับรองว่าแตะไปตรงไหนมันก็ต้องเจอทั้งนั้น และคนที่เป็นจำเลยก็ต้องเป็นตำรวจวันยังค่ำ และยังเชื่ออีกว่าถ้าลองไปคุ้ยที่ “บางบอน” ก็ต้องเจอแน่นอน ส่วนจะใหญ่จะเล็กนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ดังนั้นงานนี้แม้ไม่อยากขัดคอ ขัดอารมณ์หลายคนที่กำลังชื่นชมบทบาทของชูวิทย์ แต่มันก็อดที่จะชี้ให้เห็นถึงความ “ผิดปกติ” ในบางแง่มุมไม่ได้

ขณะเดียวกันอีกภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการก็คือ การ “เช็กบิล”ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เป้าหมาย ที่มีผลในทางการเมือง และเคยถูกสับเปลี่ยนในยุคที่ “ยี้ห้อย” ครอบครองกระทรวงมหาดไทย และที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยประกาศเอาไว้ขณะหาเสียง ก็คง “ต้องทำทันที” เหมือนกัน และแม้ว่าจะไม่ได้รับผิดชอบโดยตรงแต่ในฐานะที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาก่อนคงจะร่วมตรวจสอบรายชื่อกับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เคยเป็นอดีตปลัดกระทรวงมาก่อนมันก็ย่อมรู้ลู่ทางดีอยู่แล้ว

และที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การแย้มให้ได้ยินว่ากำลังจะได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการพิจารณาคดีพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ถือว่าน่าจับตาไม่น้อย รวมไปถึงคำกล่าวที่เป็นปริศนาเมื่อถูกถามว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ว่าให้ “รออีก 2 สัปดาห์” ก็น่าจะเป็นสองสัปดาห์ที่ระทึกใจสำหรับบางคนแน่นอน !!

ที่มา: ผู้จัดการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คำมั่นสัญญา !!?

หนึ่งในประเด็นการอภิปรายในการแถลงนโยบายของรัฐบาลคือ เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ซึ่งรัฐบาลได้เปลี่ยนถ้อยคำเป็นรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โจมตีว่านอกจากจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย รัฐบาลยังบิดเบือนไม่ทำตามที่หาเสียง ดังนั้น หากรัฐบาลยืนยันว่าทำทันทีไม่ได้ตามที่หาเสียงก็ต้องประกาศค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน วันที่ 1 มกราคม 2555

นโยบายเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้หลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนโยบายประชานิยมและสัญญาว่าจะทำทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลนั้น นอกจากขึ้นอยู่ที่เงินที่จะนำมาใช้แล้ว ยังต้องเป็นไปตามกฎระเบียบและกฎหมาย รวมทั้งกลไกในรูปแบบต่างๆ

อย่างกรณีค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งต้องผ่านคณะกรรมการไตรภาคี แต่เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายเป็นรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท ทำให้ผู้ใช้แรงงานเริ่มไม่เชื่อมั่นรัฐบาลว่าจะทำได้ นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ก็เห็นว่ารัฐบาลบิดพลิ้ว เพราะรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท หมายถึงค่าจ้างบวกกับค่าสวัสดิการและค่าโอที แต่ถ้าเป็นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เป็นกฎหมายบังคับที่ไม่รวมสวัสดิการและโอที แต่ฝ่ายนายจ้างก็ต้องให้ความร่วมมือ เพราะฝ่ายนายจ้างก็รู้ดีว่าค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบันยังต่ำกว่าความเป็นจริง และไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ

ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนถ้อยคำอย่างไรก็ต้องทำให้ได้ตามที่หาเสียง แล้วยังจะเป็นการพิสูจน์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีภาวะความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะนโยบายที่หาเสียงเป็นคำมั่นสัญญาที่เป็นความหวังอย่างยิ่งของประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์

กรณีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท แม้ผู้ประกอบการจำนวนมากจะคัดค้าน แต่ก็มีผู้ประกอบการที่พร้อมจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งไม่ได้สะท้อนแค่ด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงคุณธรรมของนายจ้างที่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้แรงงานด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะต้องทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขและความปรองดอง รัฐบาลต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณในการแก้ปัญหาบ้านเมือง โดยยึดมั่นในนิติรัฐและนิติธรรมอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน

โดยเฉพาะการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่สังคมทาสอย่างในอดีตที่เห็นคนเยี่ยงสัตว์ ดังนั้น ค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็นแค่กำไรของผู้ประกอบการที่ลดลง แต่เป็นรายได้ที่มีความหมายอย่างยิ่งกับผู้ใช้แรงงานที่จะได้กินอิ่มนอนหลับและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงต้องทำตามสัญญาปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การเมืองน้ำเน่า

ยังอยู่ในวังวนเก่าๆ เรื่องราวของชาวประชาธิปไตย ในการอภิปรายวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลใหม่..

ทั้งๆ ที่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา...ประชาชนได้เปลี่ยนไปแล้ว...ประชาชนเลือกพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมด

ทั้งๆ ที่พรรคการเมืองพรรคนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน

ทั้งๆ ที่โดนย่ำโดนยำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง…

ทั้งๆ ที่ต้องสู้กับบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์มากกว่าจำนวนผู้ใช้สิทธิ์อย่างมากมาย...

ทั้งๆ ที่บัตรเลือกตั้งมีเหตุให้เข้าใจผิดและเป็นบัตรเสียโดยง่าย...จากการใช้ภาษาอย่างเฉลียวฉลาดกับบัตรเลือกตั้งที่น่าเคลือบแคลงสงสัย

พรรคประชาธิปัตย์..ต้องยอมรับในคำพิพากษาของประชาชนและทำตัวเป็นฝ่ายประชาชนในการควบคุมดูแลให้รัฐบาลใหม่ทำตามที่ให้สัญญาไว้หรือสนับสนุนให้ประชาชนได้ในสิ่งที่สมควรได้

วันแถลงนโยบาย..ไม่ใช่วันแห่งการติเตียนแดกดัน..และยิ่งไม่ใช่วันสาวไส้ของพรรคการเมืองทั้งหลาย เพราะท่านเพิ่งผ่านมหกรรมแห่งการสาวไส้กันมาอย่างสดๆ ร้อนๆ ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง

และยิ่งไม่ใช่...การเอาถกเถียงกันในเรื่องความจงรักภักดี...ว่าผมมีคุณไม่…

ประชาธิปัตย์ยังเหมือนเก่า..กับทุกลีลาที่โบราณล้าสมัย..ประชาชนรับไม่ได้แล้วกับการอภิปรายแบบเสียดสีใส่ไคล้..หรือตั้งคำถามโดยอาศัยเรื่องเท็จ...ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งจากการถูกจับโกหกในเรื่องที่พูดถึงในระหว่างเป็นฝ่ายค้าน

ข้อหาดีแต่พูด...จากป้ายโชว์ของประชาชนคนหนึ่ง...ทำลายคะแนนที่ควรได้ของพรรคประชาธิปัตย์คิดเป็นมูลค่าหลายร้อยหลายพันล้าน…

ประชาธิปัตย์...เอาคืนได้ ก็ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการของพรรคเสียใหม่...จากการใช้แต่การเสียดสีมีแต่วลีโวหาร..ประชาชนวันนี้รู้เช่นเห็นทันและเขาต้องการมากกว่าความบันเทิงจากการมีสภาผู้แทน...เขาเลือกคนเข้ามาทำงาน...เขาต้องการคนที่ทำให้ประเทศชาติเจริญและไม่ล้าหลัง

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...อาสาเข้ามาเป็นหัวหน้าประชาธิปัตย์อีกครั้ง...แต่ดูจากการอภิปรายเมื่อวันวาน...ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์เขียว...เกื้อหนุน...ท่านจะเป็นฝ่ายค้านนาน 8 ปีขึ้นไป…

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Bird EyeView คัมภีร์พิชิต ทักษิณ !!?

ผลการเลือกตั้งใน 4 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา มันได้บังเกิดเป็นคำถามมากมาย..ที่สามารถขมวดปมได้ว่าจะมีพรรคการเมืองใดสามารถยืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงกว่าพรรคการเมืองสีแดงจาก “ไทยรักไทย 1” สู่ “ไทยรักไทย 2” เปลี่ยนผ่านมาเป็น “รัฐบาลพลังประชาชน” กระทั่งมาจรด “ครม.ปู 1” ถ้าไม่นับรวม “รัฐบาลปฏิวัติ” ไม่นับรวม “รัฐบาลที่ปฏิวัติกันแบบเงียบๆ” มาคั่นกลาง นั่นจะเท่ากับว่าตั้งแต่ปี 2544 มาจนถึงปี 2554 ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยังคงเทใจให้กับพรรคการเมืองแดง ภายใต้การบัญชาการของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งนั่นมันก็ล่วงเลยมาแล้วกว่า 10 ปี

ลงรายละเอียดลงลึกไปกว่านั้น ผ่านบุคลากรในการต่อสู้ฟาดฟันกันทางการเมือง จับหลักเฉพาะเงื่อนไขทางประชาธิปไตย โฟกัสไปที่หลังการล่มสลายของ “รัฐนาวาไทยรักไทย” ได้มีเหล่านักเลือกตั้งสเปกมากพรรษาบารมี แยกย้ายกันไปก่อตั้งพรรค การเมือง เพื่อลงสู่สนามเลือกตั้งหลังจาก “รัฐบาลขิงแก่” สิ้นอายุขัย “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ..พินิจ จารุสมบัติ..ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ..สมศักดิ์ เทพสุทิน..สุชาติ ตันเจริญ..สุวิทย์ คุณกิตติ..สุรนันทน์ เวชชาชีวะ..สนธยา คุณปลื้ม”..หรืออาจจะนับรวม “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เข้าไปด้วยก็ได้ในฐานะที่มีบทบาทอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองเกิดใหม่ในบางช่วง และเมื่อสแกนดูชื่อบุคคลระดับนำที่ตีกรรเชียงออกจาก “รัฐนาวาไทยรักไทย” จะพบ ว่า ล้วนเป็นประเภท เซียนเขี้ยวมากพรรษาบารมี และมี ส.ส.ในคอนโทรลเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่า

ปรากฏการณ์เลือดไหลออกในครั้งนั้น พรรคไทยรักไทย มี ส.ส.ไหลออก ในตัวเลขใกล้ๆ 100 คน และหากนำมาเขย่ารวมกับจำนวน ส.ส.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทย มันก็มีความเป็นไปได้ว่าการเลือกตั้งรอบใหม่ “ประชาธิปัตย์” และพันธมิตรใหม่ จะมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล!!! แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอด เมื่อเหตุการณ์ตกผลึก ประเทศไทยก็มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ข้ามช็อตมาที่การเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ซึ่ง “พรรคประชาธิปัตย์” ดำรงตนอยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ มีเครื่องไม้เครื่องมือและกระสุนดินดำพร้อมเพรียง แถมได้คีย์แมนใหญ่ในภาคอีสานอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” มาเป็นตัวตัดแต้มเก้าอี้ ส.ส. พรรคเพื่อไทย

จะว่าไปแล้ว รอบนี้พร้อมรบกว่ารอบที่แล้วมาก แต่ประชาชนกลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้น และในที่สุดก็เกิดแลนด์สไลด์ซัด “ประชาธิปัตย์” กับ “ภูมิใจไทย” ไปนั่งตบยุงในซีกฝ่ายค้านอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะเป็นที่มาของบันทึกหน้าใหม่ทางการเมืองกับ “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยกระแสภูมิภาคนิยมยังคงเข้มแข็งเฉพาะภาคใต้ แต่ในส่วน..บรรหารบุรี..เนวินซิตี้..โคราช..ชลบุรี..ล้วนถูกเจาะไข่แดงอย่างน่าตกใจ และว่ากันว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ของคะแนนนิยมหลงทางเลยเถิดไปมากกว่านี้ พรรคขนาดเล็กและพรรค ขนาดกลาง อาจมีอันสูญพันธุ์ในเวลาไม่นานและนี่คือการบ้านข้อใหญ่ ที่พรรคการเมืองอื่นต้องเร่งแก้ไขเป็นการด่วน แต่จะ กลับลำ สวิงสถานการณ์กลับอย่างไร

คงต้องปล่อยให้วอร์รูมพรรคเป็นฝ่ายแก้โจทย์ อย่างไรก็ดี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยือนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดเลย ที่จะว่าไปแล้วไม่ต่างจากเมืองหลวงและเมืองรองของพรรคเพื่อไทย ได้มี โอกาสไปชื่นชมธรรมชาติ ได้เข้าถึงโครงการชุมชนเข้มแข็ง ได้พบเจอผลผลิตที่ผลิดอก ออกผลจาก “กองทุนเอสเอ็มแอล”ผมต้องยอมรับโดยดุษณีครับว่าขอนแก่นกับเมืองเลยที่ผมเคยเห็น มันได้เปลี่ยนไปมาก เนื่องด้วยปัจจุบันมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ตามแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น “โฮมสเตย์” แม้ตัวบ้านด้านบนจะเป็นเรือนไม้จริง แต่พื้นบ้านชั้นล่างบ้างก็ปูด้วยกระเบื้อง บ้างก็ปูด้วยหินอ่อน

นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นความกินดีอยู่ดีที่เปลี่ยน ไปของคนในพื้นที่ แต่หากย้อนกลับไปดู “ภูมิภาคนิยม” อันสุดเข้มแข็งในภาคใต้ ผมกลับไม่ประสบพบเจออะไรอะไรทำนองนี้ ซึ่งนั่นมันก็เป็นความต่างที่เห็นกันได้ชัด ที่ผมขออนุญาตยกออกมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง และมันน่าจะเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ที่ทุกพรรคการเมืองควรจะแนบท้ายไว้ในยุทธศาสตร์..หาก คุณอภิสิทธิ์ คุณเนวิน คุณบรรหาร หรือ คุณสุวัจน์ คิดจะสร้าง..คัมภีร์ หยุดระบอบทักษิณ..อย่าเอาแต่ว่าคนอื่นทุจริต นอกจากจับโกงเก่ง ต้องบริหารเป็นด้วย

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เครือมติชน-ข่าวสด ออกแถลงการณ์โต้คำชี้แจงของคณะอนุกรรมการฯ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชนและข่าวสด ออกแถลงการณ์ชี้แจงคำแถลงของคณะอนุกรรมการฯสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ดังนี้

1.แถลงการณ์ของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับว่ากำหนดประเด็นการสอบขึ้นมาเอง โดยมิได้แจ้งให้องค์กรที่ถูกสอบสวนรับทราบและชี้แจง หรือการสรุปเอาเองว่าที่ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วนนั้นเพราะเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวหมิ่นเหม่ต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพ

สะท้อนข้อเท็จจริงตามที่มติชน-ข่าวสดชี้เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ดำเนินการไปด้วยความเอนเอียง มีอคติ และมีข้อสรุปล่วงหน้าเอาไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะให้ผลสอบออกมาอย่างไร

2.เมื่อมีข้อสรุปล่วงหน้าอยู่แล้ว วิธีการสอบสวนก็ดำเนินไปตามแนวทางที่วางไว้ก่อน แม้กระทั่งการบิดเบือนข้อมูลให้รองรับความต้องการ อาทิ การระบุว่าในที่ประชุมสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ที่มีการรายงานความคืบหน้าการสอบสวนนี้ ไม่มีกรรมการผู้ใดรวมทั้งกรรมการจากเครือมติชนที่เข้าร่วมประชุมด้วยท้วงติงหรือคัดค้านความคืบหน้าและแนวทางการสืบสวน

ทั้งที่ข้อเท็จจริงก็คือ กรรมการจากเครือมติชนซึ่งถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มิได้เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าว ดังนั้นจึงมิได้รับทราบข้อมูลและวิธีการในการสอบสวน และย่อมไม่สามารถไปทักท้วงกับใครหรืออะไรได้
    
3.ความพยายามในการตอบว่าการเปิดเผยนามปากกามิใช่เรื่องผิด เพราะไม่ได้ทำให้ผู้เขียนเกิดความเสียหาย สะท้อนว่าคณะกรรมการตั้งกติกาของตนเองขึ้นมาเอง ทั้งที่เมื่อคณะกรรมการทำงานภายใต้ชื่อของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ก็จะต้องเคารพและดำเนินการตามกรอบและกติกาของข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

4.ในแถลงการณ์ล่าสุด มีความพยายามในการเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาโจมตีหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหา อาทิ การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐ อันเป็นงานที่หนังสือพิมพ์ดำเนินการไปโดยสุจริต เปิดเผย และสามารถตรวจสอบได้
    
ตอกย้ำข้อสังเกตของแถลงการณ์มติชน-ข่าวสดที่ผ่านมา ว่าคณะกรรมการมีธงล่วงหน้าในการสอบสวนอยู่แล้ว เพราะเมื่อไม่ได้ดังใจในประเด็นหนึ่ง ก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมากล่าวหาโจมตีเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด
    
5.เมื่อประกอบกับการที่แถลงการณ์ฉบับล่าสุดนี้มิได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ รวมทั้งสะท้อนข้อเท็จจริงอยู่ในตัวเองว่า คณะอนุกรรมการดำเนินการสอบสวนไปโดยความเอนเอียง มีธงในการสอบสวนอยู่ก่อนแล้ว มีการบิดเบือนข้อมูลรับใช้ความต้องการส่วนตัว ขณะที่มีหลักฐานปรากฎชัดเจนว่าอนุกรรมการบางรายมีความเกี่ยวโยงกับพรรคการเมืองที่ถูกระบุว่าเป็นผู้เสียหายจากแถลงการณ์นี้

เครือมติชน-ข่าวสด ย่อมไม่สามารถรับผลการสอบสวนที่ออกมา และเห็นว่าแถลงการณ์ฉบับล่าสุดนี้ยิ่งตอกย้ำและเปิดเผยจุดยืน และเจตนารมณ์อันไม่บริสุทธิ์ของกระบวนการและขบวนการดังกล่าวได้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++


ฐิติมา เผย เฉลิม ชงให้รมต.เสนอวาระจรให้น้อยที่สุด !!?

นางสาวฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมครม.วันนี้ ว่า ในที่ประชุมครม.วันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเป็นพิเศษให้รัฐมนตรีแต่ละคนทำงานให้ฉับไวรอบคอบในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณ อย่าให้มีการเบิกซ้ำซ้อนเพราะอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูแลงบฯให้ทั่วถึงด้วย

นางสาวฐิติมา กล่าวอีกว่า ในการทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลที่ตนเป็นตัวหลัก ในส่วนของรองโฆษกรัฐบาลนั้นมีการเสนอชื่อในที่ประชุมครม. แต่ยังไม่มีการแต่งตั้งนางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ให้รับหน้าที่ในด้านของเศรษฐกิจ และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด จะรับหน้าที่ในด้านการเมือง และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินเสนอชื่อ นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา เข้าไปเป็นรองโฆษกฯ แต่ทั้งนี้ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ได้โควต้าหนึ่งคน แต่ยังไม่มีการเสนอชื่อเข้ามา หากเสนอเข้ามาก็จะเป็น 4 คน ก็จะเกินโควต้าของตำแหน่งรองโฆษกที่ปกติจะมีเพียง 3 คนเท่านั้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ส่วนเรื่องวาระจรนั้นนายกฯได้เน้นย้ำให้มีน้อยที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลมาจากการเสนอของร.ต.อ.ฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งในที่ประชุมก็เห็นด้วยเนื่องจากรัฐมนตรีบางคนมีวาระจรเยอะมากจนทำให้ดูเนื้อหาไม่ทั่วถึง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี

ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++

รมว.พลังงาน ขี่ม้าสีอะไร ทำไมรัฐบาล ปู-1 ถึงกล้านัก. สั่งเลิกกองทุนเสือนอนกิน..!!?

หลังสิ้นสุดการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย...ภาคประชาชนในกลุ่มต่างๆ ได้เริ่มหันมาทวงสัญญากับการใช้นโยบายหาเสียงแบบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์...จนถูกอกถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะนโยบาย “ด้านพลังงาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจ ไม่แพ้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท...เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยที่คนไทยไม่สามารถขาดแคลนได้ 

ขณะที่หลายรัฐบาลต่างใช้วิธีการบริหารแก้ปัญหาไม่ให้ราคาสูง สุดท้ายกลับล้มเหลวโดยไม่เป็นท่า
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะรู้สึกท้าทายกับปัญหาดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ได้ประกาศออกมาอย่างความมั่นอกมั่นใจถึงขั้นทำให้ประชาชนตกตะลึงว่า...

“สิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยจะทำหากได้เป็นรัฐบาล คือการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ...ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 7.50 บาทต่อลิตร...ทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ลดลง 6.78 บาท และดีเซล ลดลง 2.20 บาท...เพราะราคาน้ำมันเป็นต้นทุนใหญ่ เป็นต้นทุนของทุกประเภท จะให้พ่อแม่พี่น้องมาแบกรับภาระได้อย่างไร”
แต่ปัญหาเร่งด่วนเช่นนี้...เห็นจะหนีไม่พ้นจะต้องเป็นหน้าที่ของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ ซึ่งก็คือ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ โดยเป็นผู้ที่จะลงมาดูแลในส่วนของพลังงานทั้งหมด

สำหรับประเทศไทยมีแหล่งพลังงานหลายประเภทด้วยกัน แต่อาจจะมีในปริมาณค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ บางครั้งวิกฤตการณ์ของโลกอาจจะทำให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะประเทศไทยยังต้องมีการสั่งน้ำมันเข้าเป็นจำนวนมาก

นายพิชัย มองว่า...ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางพลังงานของภูมิภาคอาเซียน ก่อนอื่นเราต้องให้คนไทยมีพลังงานใช้กันอย่างเพียงพอ และมีคุณค่ามากที่สุด...ที่สำคัญ ประชาชนต้องใช้พลังงานเหล่านั้นอย่างมีความสุข คือ แบบสบายๆ ไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

แต่ปัญหาคือ...เราจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไร หากตัดสินใจยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงก๊าซซีเอ็นจีสำหรับเครื่องยนต์เอ็นจีวี และ แอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) จะเอาเงินมาจากไหนในการอุดหนุน
เพราะกองทุนน้ำมันฯ ต้องมีไว้ใช้ในยามจำเป็นเมื่อเกิดวิกฤติราคาน้ำมันแพง เพื่อดูแลเศรษฐกิจได้ แต่ที่ผ่านมามีการตรึงราคาเป็นระยะเวลานานเกินไปจนแทบจะถาวร ซึ่งหากตรึงนาน เกินไปก็ไม่ไหว เพราะจะยิ่งสูญเสียงบประมาณอย่างไม่สมเหตุสมผล

ในแต่ละปีประเทศไทยใช้เงินกองทุนน้ำมัน ในการอุดหนุนเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนปีละหลายหมื่นล้านบาท

หากคำนวณคร่าวๆ พบว่า...การยกเลิกเก็บเงินน้ำมันเบนซิน 95 ในอัตรา 7.50 บาทต่อลิตรทำให้กองทุนฯ สูญเสียรายได้ 16 ล้านบาทต่อเดือน
ยกเลิกเก็บเบนซิน 91 สูญเสียรายได้กว่า 1,400 ล้านบาท และยกเลิกเก็บดีเซล สูญเสียรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมเงินที่สูญเสียกว่า 3,416 ล้านบาท
แต่ปัจจุบันกองทุนฯ มีภาระหนักในการชดเชยแอลพีจีเดือนละ 4,000 ล้านบาท และ ก๊าซซีเอ็นจี เกือบ 400 ล้านบาท

นักวิชาการและผู้ค้าน้ำมันจำนวนมากจึงขอให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาแบบรอบคอบ เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าจึงไม่มีวันที่จะควบคุมได้ หากเข้าไปคุมรัฐบาลก็ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเหมือนกับอดีตเข้าให้อีก
นั่นเป็นปัญหาที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน มองเห็นเป็นเส้นสายโยงใยเชื่อมถึงกัน...แต่อยู่ที่ว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรให้ออกมาดี และยั่งยืน

จะแก้ด้วยวิธีการเอารายได้จากส่วนอื่นมารองรับ หรือ จะปฏิรูปการใช้พลังงานของคนไทยทั้งระบบ ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าพลังงานสะอาด และรณรงค์เพื่อให้เกิดการใช้

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกหนึ่งที่ดูจะสดใส และเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการนั่นก็คือ...นโยบาย “ด้านพลังงานทดแทน” ที่กระทรวงพลังงานได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานต้องมีการอัดเม็ดเงิน รวมไปถึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ในการเข้าไปช่วยพัฒนาพลังงานทางเลือก...ซึ่งรัฐบาลจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน โดยไม่ต้องไปสนใจตัวกลางหรือนายหน้าที่จ้องเข้ามาทำธุรกิจเพื่อแสวงหาประโยชน์

ซึ่งในต่างประเทศ...โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ ที่มีการใช้ปริมาณพลังงานสูงลิ่ว...เขามีความคิดไปถึง “การจุดไฟในน้ำ” กันมาแล้ว
ซึ่งมันมิใช่วิธีการเอาชนะธรรมชาติ...แต่เป็นการนำหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดพลังงานทดแทนอย่างคุ้มค่า
โดยการค้นพบที่น่าทึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในห้องทดลองของ จอห์น คันเซียส (John Kanzius) นักวิจัยด้านโรคมะเร็งในเคาน์ตีอีรี เพนซีลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

ขณะที่กำลังพยายามแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยเครื่องให้กำเนิดความถี่วิทยุ เพื่อนำไปใช้บำบัดรักษาคนไข้โรคมะเร็ง โดยในระหว่างที่ปล่อยคลื่นความถี่วิทยุลงไปในน้ำทะเล ซึ่งอยู่ในหลอดทดลอง น้ำทะเลเกิดติดไฟขึ้นมา
ปัจจุบันการค้นพบของคันเซียส ได้รับความสนใจจากแวดวงนักวิทยาศาสตร์และถูกนำไปวิจัยค้นคว้าพัฒนาเป็นพลังงานใหม่ เพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนที่ได้จากน้ำมาใช้ประโยชน์สูงสุด

นี่เป็นตัวอย่างของวิวัฒนาการทางด้านพลังงานที่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องมองให้ทะลุแตกฉาน...อะไรที่เหมาะสมกับคนไทย และประเทศไทย
หากประเทศไทยมีทรัพยากรทางธรรมชาติจำนวนมาก...ก็สมควรที่จะหยิบจับเอาทรัพยากรเหล่านั้นมาพัฒนาและประยุกต์ใช้

เพราะส่วนใหญ่พลังงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่าง “น้ำมัน” มีต้นเหตุมาจากการทำธุรกิจเพื่อเก็งกำไรทั้งสิ้น!!
ดังนั้น...กระทรวงพลังงานต้องตัด”วงจรอุบาทว์”ดังกล่าวออกไปให้จงได้
ทั้งนี้ นโยบายเกี่ยวกับด้านพลังงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ด้วยการลดราคาน้ำมันทั้งเบนซิน และดีเซล ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่ยังต้องเติมน้ำมันราคาแพงในระยะเริ่มต้น...เพราะดูเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมายังแก้ไขไม่ถูกที่คัน

ลองนึกสภาพความเป็นจริงว่า...ประชาชนโดยเฉพาะ “คนชั้นกลาง” ที่มีรายได้พอจะถอยรถยนต์สักคันหนึ่ง...เกือบร้อยละ 30 ต้องนำรถที่ซื้อมาดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนเป็นการใช้เชื้อเพลิงแก๊ส...ซึ่งมีความประหยัดมากกว่า...แต่ผู้ใช้ก็จำเป็นต้องควักเงินจำนวนหลักหมื่นบาทเพื่อติดตั้งถังถังแก๊ส
มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า...ประชาชนต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเป็นที่พึ่งแห่งตน...เพราะรอการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาไม่ไหว

สิ่งสำคัญที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ กระทรวงพลังงาน ต้องคิดให้ตกผลึกเวลานี้ก็คือ...จะทำอย่างไรเพื่อให้ภาระต้นทุนการซื้อน้ำมันของประชาชนลดลง? และจะทำอย่างไรเพื่อให้มีพลังงานให้ประชาชนใช้อย่างยั่งยืน โดยการพึ่งพาประเทศอื่นให้น้อยที่สุด?

เพราะหากลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของพลังงานลงได้...เชื่อว่าประชาชนคนไทยจะสามารถนำเงินในส่วนที่เหลือไปเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต และคนในครอบครัว ให้เกิดเป็นรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
มันจึงเป็นงานหนักและงานใหญ่ของ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน...ซึ่งต้องตีโจทย์สำคัญนี้ให้แตก...มีความคิดสร้างสรรค์...และลงมือทำงานอย่างรอบคอบ
แต่สำหรับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคนชื่อ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาเคยผ่านการจับงานชิ้นใหญ่ๆ มาเยอะ...และสามารถทำให้งานเหล่านั้นสำเร็จลงได้
งานเล็กๆ ไม่...แต่งานใหญ่ต้องให้พิชัยทำ!

ทั้งการเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551...และเคยเป็นที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน...รวมไปถึงการเป็น “Energy Keyman” ซึ่งเหล่ากูรูด้านพลังงานให้ความสนใจเป็นอย่างมากเวลานี้
เพราะเขาเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ...ที่สำคัญ เป็นคนที่มองเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง...

โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ถูกจัดลำดับใน บัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. เป็นลำดับที่ 124 แต่สุดท้ายได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ดังนั้น ผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย...รวมไปถึงคณะทีมที่ปรึกษาในการทำงานทั้งหลาย...พวกเขามองเห็นอะไรในตัว นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ

สุดท้าย...ประชาชนคงต้องจับตาดูการทำงานของเขาในวันข้างหน้า...แล้วจะรู้ว่าคนๆ นี้มีดีอะไร?! ถ้าเขาเป็น”พระเอก” จะขี่ม้าขาวมา หรือขี่ม้าสีอะไร?? เป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่าได้กระพริบ!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นักวิชาการให้คะแนนรัฐบาล 5.5 !!?

อาจารย์จุฬาฯ ให้คะแนนรัฐบาล 5.5. ชี้ ‘แม้ว’ แย่งซีนจ้อนโยบายทำ ‘ยิ่งลักษณ์’ ดับ ตอกย้ำ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” มอง ‘ปู’ เปิดตัวแถลงไม่คม

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวเนชั่น” ถึงภาพรวมการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันแรกว่า ตัวนโยบายภาพรวมถือว่าดี แต่การแถลงนโยบายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังขาดความเป็นผู้นำ ยังไม่คม ไม่เด่น ใช้การอ่านเหมือนไม่ใช่เจ้าของนโยบาย ทำให้ตัวนโยบายและนายกฯไม่ได้ไปด้วยกัน

ส่วนนโยบายค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และเรื่องการปรองดองยังเป็นนามธรรม หรืออาจทำได้ยาก ทำให้การทำงานตามนโยบายต่าง ๆ ที่ได้แถลงไว้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ของรัฐบาลต้องเก่งกว่านี้

ขณะที่กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศวันเดียวกัน โดยให้รายละเอียดของแต่ละนโยบายได้อย่างดีนั้น ก็เป็นไปตามสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อย่างชัดเจน เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ คิด และกำกับนโยบาย ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงการนำสารมาสู่สภา

"หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ คิดนโยบายจริง ทั้งน้ำเสียง น้ำหนักของคำพูดจะดีกว่านี้ ทำให้ความเชื่อถือดูลดน้อย ขณะที่การเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ภาพผู้นำประเทศไม่ใช่ตัวจริง หากจะให้คะแนนการแถลงนโยบายรัฐบาลตนขอให้ 5.5 จาก 10 คะแนน ส่วนคะแนน 4.5 ที่หายไป คือความเป็นไปได้ของนโยบายเป็นไปได้ยาก รวมถึงความหนักแน่นของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในการแถลงนโยบายที่ดูน้อยลง"

ทั้งนี้ นายกฯยังขาดทักษะ และความสมเหตุสมผลของนโยบายในบางเรื่อง เพราะยังขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คิดว่าตัวนโยบายยังขาดน้ำหนัก ครม.ครึ่งหนึ่งในรัฐบาลคงทำตามนโยบายไม่ได้ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหยุดเคลื่อนไหว ปล่อยให้ 6 เดือนจากนี้ นายกรัฐมนตรีและครม.ได้ทำนโยบายให้เต็มที่ โดยพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลัง แต่วันนี้ครม.บวกนายกฯเป็นมวยรอง ภาพจึงดูจืดชืดและขาดน้ำหนัก แต่ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณปล่อย รัฐบาลอาจจะได้ 7-8 คะแนนได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ศักดิ์ศรี.. ผู้นำประเทศต้องมี !!?

ใช้ความเครียดแค้น ถอนพาสปอร์ตแดง ถูกที่ไหนกันล่ะพี่??
ยุค “โคไมนี่”, ผู้นำอียิปต์ ยึดอำนาจ “ชาร์” เขายังไม่ยึดพาสปอร์ต แต่ประการใด
“มาร์กอส” แห่งฟิลิปปินส์ ถูกขับออกนอกประเทศ ยังให้ ใช้พาสปอร์ต กันอย่างสบาย
ถามว่า “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตผู้นำประเทศไทย ซึ่งนำความรุ่งเรืองมาสู่มหาประชาชนชาวบ้านให้อยู่ดี สุขสบาย..แต่กลับถูกถอนพาสปอร์ต..เพื่อไม่ให้มีบทบาทช่วยเหลือประเทศ!!!
“ทักษิณ” เป็นผู้นำชั้นดี.....แต่ถูกกลั่นแกล้งแบบนี้?...ต้องบอกว่านี่, คือความทุเรศ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกลือจิ้มเกลือ!!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ถึงวันสิ้นลายเสือ??
เมื่อหลักฐาน ปูดพะเนินเทินทึก เข้าไปหาตัว
ที่สาหัสสากรรจ์เป็นอันมากส์.. ก้อ, “เทพเทือก” แหละทูนหัว
เพราะการนำร่อง นำสืบ ของ “ดีเอสไอ” ใต้คอนโทรล “ท่านอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์” ดูน้ำหนักล็อกเป้า โดนเข้าอย่างจั๋งหนับ!!
“รัฐบาลอภิสิทธิ์”อยู่สุขกันทั่วหน้า...แต่ปัญหาเทลงมา?..ที่หน้า “พี่เทพ”คนเดียวได้ไงล่ะครับ?

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งกว่า “กาวตราช้าง”!!!
เส้นทางชีวิตของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนดัง???
ยังนั่งตำแหน่ง “ประมุขสำนักสีเขียว” ได้อย่าง ไม่มีปัญหา...
แต่ที่ระเหเร่ร่อน...ถูกปรับก่อน น่าจะเป็น “พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” เสธ.ทบ. ที่จะตกหลุมอำนาจ หลุดจากอำนาจ ไปก่อนสิจ๋า
นึกเสียว่า “สมบัติผลัดกันชม” ..ยามน้ำขึ้นท่านก็ใหญ่ ยามน้ำลง ท่านก็ต้องไปตามวิถี!!!
อย่านึกอะไรให้ชอกช้ำ....ยึดหลักคำพระนำ?...ว่าสัจจะธรรม ของคนมักเป็นเช่นนี้???

+++++++++++++++++++++++++++++++++

เมื่อ “หัวโขนหลุด”!!!
“ข้าราชการ” ที่เคยพินอบพิเทา ก็โกยหนีอ้าว กันอย่างสุด...สุด???
จากที่ “อดีตรัฐมนตรีบุญจง วงศ์ไตรรัตน์” มท. ๒ เคยไปไหน...มีคาราวาน ทั้งนายอำเภอ และ ผู้ว่าราชการจังหวัด มารอรับกันสลอน
เมื่อ “คุณพี่บุญจง” ไร้ตำแหน่ง เขา...ก็บินหนี จากจร
ฉะนั้น, ขอให้ “คุณพี่บุญจง” อย่ายึดติดกับอำนาจ และวาสนา ..เห็นได้จากวันนี้, ที่เคยมีคนตามเป็นพรวน...ปัจจุบันที่บ้านท่าน กลับอันตรธานหายวับ ไม่ยอมมาปรากฎ!!!
พอไม่มีหัวโขนสวมใส่... “คุณพี่บุญจง”ก็เหนื่อยใจ?...เพราะใครต่อใคร หนีหายกันหมด

+++++++++++++++++++++++++++++++++

มาตามนัด!!!
เป็นพวกที่เลือกข้างชัด..ชัด??
ทั้ง “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” พิธีกรฝีปากเอกแห่งช่อง ๑๑ และ “ฟองสมาน จามรจันทร์” นักเล่าข่าวหญิงแห่งคลื่นเอเอ็มทหาร....
จากนี้,คงใส่เกียร์ถอยหลัง ไม่ได้จัดรายการเหมือนก่อน แล้วสิท่าน
เมื่อมาด้วยการเมือง ก็ต้องไปด้วยการเมือง...แม้จะมีคุณภาพเต็มร้อย แต่เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ก็ต้องไปจากคลื่น!!!!
ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยที่แน่ ๆ นี่ไม่ใช่เป็นการรังแก?...ใครอย่าสาระแน ว่าเป็นการ “ทวงแค้นคืน”??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**************************************************

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สุชาติ ธาดาธำรงเวช..โผล่เป็น ปธ.เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรฯ..!!?

ประกาศหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้เงินกองทุนหมู่บ้าน กองทุน SME ก่อน ลั่นต้องนำ”ทักษิณ”กลับบ้าน

อุดรธานี (21 สค.2554) ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทยชูธงแดงนำสมาชิกเดินหน้าเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งใหม่ ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง ประกาศต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 สิงหาคม 2554 นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เดินทางเป็นประธานเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย” ที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม ซึ่งเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง 6 หมู่บ้าน ยกระดับเป็นตำบลเสื้อแดง ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง โดยมีนายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย นายอานนท์ แสนน่าน เลขานุการหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรธานี นำชาวบ้านกว่า 1,000 คนมาร่วมงาน

นายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หมู่บ้านเสื้อแดงคือหัวใจสำคัญ ในการขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประชาชน เพราะการกระทำของรัฐบาลที่ผ่านมา บริหารงานแบบ 2 มาตรฐาน คนเสื้อแดงอุดรธานีไม่มีวันตาย หรือแตกดับ จะก้าวเดินต่อไปในฐานะผู้ริเริ่ม ที่จะทำให้หมู่บ้านเสื้อแดงเกิดจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย หลักพัน และหลักแสน บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ป้าย “ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ทุกหมู่บ้านจะเป็นสีแดง

“การผนึกกำลังแสดงพลัง ด้วยสัญญาลักษณ์เชิงต่อสู้ มีธงแดงติดไว้หน้าบ้านทุกหลังคาเรือน รวมคนเสื้อแดงตามหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง ถึงแม้การต่อสู่ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ ที่ทุกคนต้องต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่เราจะต้องใช้สติปัญญาที่จะก้าวต่อไป“

ในขณะที่ นายสุชาติ กล่าวในพิธีเปิดช่วงหนึ่งว่า ในการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ต่อไปจะมีการมอบเงินกองทุนให้หมู่บ้านเสื้อแดงฯ หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุน รวมถึงกองทุน SME ให้กับหมู่บ้านเสื้อแดงอีก หมู่บ้านละ 5 แสนบาท โดยหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้เงินก่อน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++