ผลการเลือกตั้งใน 4 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา มันได้บังเกิดเป็นคำถามมากมาย..ที่สามารถขมวดปมได้ว่าจะมีพรรคการเมืองใดสามารถยืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงกว่าพรรคการเมืองสีแดงจาก “ไทยรักไทย 1” สู่ “ไทยรักไทย 2” เปลี่ยนผ่านมาเป็น “รัฐบาลพลังประชาชน” กระทั่งมาจรด “ครม.ปู 1” ถ้าไม่นับรวม “รัฐบาลปฏิวัติ” ไม่นับรวม “รัฐบาลที่ปฏิวัติกันแบบเงียบๆ” มาคั่นกลาง นั่นจะเท่ากับว่าตั้งแต่ปี 2544 มาจนถึงปี 2554 ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยังคงเทใจให้กับพรรคการเมืองแดง ภายใต้การบัญชาการของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งนั่นมันก็ล่วงเลยมาแล้วกว่า 10 ปี
ลงรายละเอียดลงลึกไปกว่านั้น ผ่านบุคลากรในการต่อสู้ฟาดฟันกันทางการเมือง จับหลักเฉพาะเงื่อนไขทางประชาธิปไตย โฟกัสไปที่หลังการล่มสลายของ “รัฐนาวาไทยรักไทย” ได้มีเหล่านักเลือกตั้งสเปกมากพรรษาบารมี แยกย้ายกันไปก่อตั้งพรรค การเมือง เพื่อลงสู่สนามเลือกตั้งหลังจาก “รัฐบาลขิงแก่” สิ้นอายุขัย “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ..พินิจ จารุสมบัติ..ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ..สมศักดิ์ เทพสุทิน..สุชาติ ตันเจริญ..สุวิทย์ คุณกิตติ..สุรนันทน์ เวชชาชีวะ..สนธยา คุณปลื้ม”..หรืออาจจะนับรวม “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เข้าไปด้วยก็ได้ในฐานะที่มีบทบาทอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองเกิดใหม่ในบางช่วง และเมื่อสแกนดูชื่อบุคคลระดับนำที่ตีกรรเชียงออกจาก “รัฐนาวาไทยรักไทย” จะพบ ว่า ล้วนเป็นประเภท เซียนเขี้ยวมากพรรษาบารมี และมี ส.ส.ในคอนโทรลเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่า
ปรากฏการณ์เลือดไหลออกในครั้งนั้น พรรคไทยรักไทย มี ส.ส.ไหลออก ในตัวเลขใกล้ๆ 100 คน และหากนำมาเขย่ารวมกับจำนวน ส.ส.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทย มันก็มีความเป็นไปได้ว่าการเลือกตั้งรอบใหม่ “ประชาธิปัตย์” และพันธมิตรใหม่ จะมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล!!! แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอด เมื่อเหตุการณ์ตกผลึก ประเทศไทยก็มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ข้ามช็อตมาที่การเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ซึ่ง “พรรคประชาธิปัตย์” ดำรงตนอยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ มีเครื่องไม้เครื่องมือและกระสุนดินดำพร้อมเพรียง แถมได้คีย์แมนใหญ่ในภาคอีสานอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” มาเป็นตัวตัดแต้มเก้าอี้ ส.ส. พรรคเพื่อไทย
จะว่าไปแล้ว รอบนี้พร้อมรบกว่ารอบที่แล้วมาก แต่ประชาชนกลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้น และในที่สุดก็เกิดแลนด์สไลด์ซัด “ประชาธิปัตย์” กับ “ภูมิใจไทย” ไปนั่งตบยุงในซีกฝ่ายค้านอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะเป็นที่มาของบันทึกหน้าใหม่ทางการเมืองกับ “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยกระแสภูมิภาคนิยมยังคงเข้มแข็งเฉพาะภาคใต้ แต่ในส่วน..บรรหารบุรี..เนวินซิตี้..โคราช..ชลบุรี..ล้วนถูกเจาะไข่แดงอย่างน่าตกใจ และว่ากันว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ของคะแนนนิยมหลงทางเลยเถิดไปมากกว่านี้ พรรคขนาดเล็กและพรรค ขนาดกลาง อาจมีอันสูญพันธุ์ในเวลาไม่นานและนี่คือการบ้านข้อใหญ่ ที่พรรคการเมืองอื่นต้องเร่งแก้ไขเป็นการด่วน แต่จะ กลับลำ สวิงสถานการณ์กลับอย่างไร
คงต้องปล่อยให้วอร์รูมพรรคเป็นฝ่ายแก้โจทย์ อย่างไรก็ดี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยือนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดเลย ที่จะว่าไปแล้วไม่ต่างจากเมืองหลวงและเมืองรองของพรรคเพื่อไทย ได้มี โอกาสไปชื่นชมธรรมชาติ ได้เข้าถึงโครงการชุมชนเข้มแข็ง ได้พบเจอผลผลิตที่ผลิดอก ออกผลจาก “กองทุนเอสเอ็มแอล”ผมต้องยอมรับโดยดุษณีครับว่าขอนแก่นกับเมืองเลยที่ผมเคยเห็น มันได้เปลี่ยนไปมาก เนื่องด้วยปัจจุบันมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ตามแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น “โฮมสเตย์” แม้ตัวบ้านด้านบนจะเป็นเรือนไม้จริง แต่พื้นบ้านชั้นล่างบ้างก็ปูด้วยกระเบื้อง บ้างก็ปูด้วยหินอ่อน
นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นความกินดีอยู่ดีที่เปลี่ยน ไปของคนในพื้นที่ แต่หากย้อนกลับไปดู “ภูมิภาคนิยม” อันสุดเข้มแข็งในภาคใต้ ผมกลับไม่ประสบพบเจออะไรอะไรทำนองนี้ ซึ่งนั่นมันก็เป็นความต่างที่เห็นกันได้ชัด ที่ผมขออนุญาตยกออกมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง และมันน่าจะเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ที่ทุกพรรคการเมืองควรจะแนบท้ายไว้ในยุทธศาสตร์..หาก คุณอภิสิทธิ์ คุณเนวิน คุณบรรหาร หรือ คุณสุวัจน์ คิดจะสร้าง..คัมภีร์ หยุดระบอบทักษิณ..อย่าเอาแต่ว่าคนอื่นทุจริต นอกจากจับโกงเก่ง ต้องบริหารเป็นด้วย
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เครือมติชน-ข่าวสด ออกแถลงการณ์โต้คำชี้แจงของคณะอนุกรรมการฯ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชนและข่าวสด ออกแถลงการณ์ชี้แจงคำแถลงของคณะอนุกรรมการฯสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ดังนี้
1.แถลงการณ์ของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับว่ากำหนดประเด็นการสอบขึ้นมาเอง โดยมิได้แจ้งให้องค์กรที่ถูกสอบสวนรับทราบและชี้แจง หรือการสรุปเอาเองว่าที่ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วนนั้นเพราะเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวหมิ่นเหม่ต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
สะท้อนข้อเท็จจริงตามที่มติชน-ข่าวสดชี้เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ดำเนินการไปด้วยความเอนเอียง มีอคติ และมีข้อสรุปล่วงหน้าเอาไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะให้ผลสอบออกมาอย่างไร
2.เมื่อมีข้อสรุปล่วงหน้าอยู่แล้ว วิธีการสอบสวนก็ดำเนินไปตามแนวทางที่วางไว้ก่อน แม้กระทั่งการบิดเบือนข้อมูลให้รองรับความต้องการ อาทิ การระบุว่าในที่ประชุมสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ที่มีการรายงานความคืบหน้าการสอบสวนนี้ ไม่มีกรรมการผู้ใดรวมทั้งกรรมการจากเครือมติชนที่เข้าร่วมประชุมด้วยท้วงติงหรือคัดค้านความคืบหน้าและแนวทางการสืบสวน
ทั้งที่ข้อเท็จจริงก็คือ กรรมการจากเครือมติชนซึ่งถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มิได้เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าว ดังนั้นจึงมิได้รับทราบข้อมูลและวิธีการในการสอบสวน และย่อมไม่สามารถไปทักท้วงกับใครหรืออะไรได้
3.ความพยายามในการตอบว่าการเปิดเผยนามปากกามิใช่เรื่องผิด เพราะไม่ได้ทำให้ผู้เขียนเกิดความเสียหาย สะท้อนว่าคณะกรรมการตั้งกติกาของตนเองขึ้นมาเอง ทั้งที่เมื่อคณะกรรมการทำงานภายใต้ชื่อของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ก็จะต้องเคารพและดำเนินการตามกรอบและกติกาของข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
4.ในแถลงการณ์ล่าสุด มีความพยายามในการเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาโจมตีหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหา อาทิ การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐ อันเป็นงานที่หนังสือพิมพ์ดำเนินการไปโดยสุจริต เปิดเผย และสามารถตรวจสอบได้
ตอกย้ำข้อสังเกตของแถลงการณ์มติชน-ข่าวสดที่ผ่านมา ว่าคณะกรรมการมีธงล่วงหน้าในการสอบสวนอยู่แล้ว เพราะเมื่อไม่ได้ดังใจในประเด็นหนึ่ง ก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมากล่าวหาโจมตีเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด
5.เมื่อประกอบกับการที่แถลงการณ์ฉบับล่าสุดนี้มิได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ รวมทั้งสะท้อนข้อเท็จจริงอยู่ในตัวเองว่า คณะอนุกรรมการดำเนินการสอบสวนไปโดยความเอนเอียง มีธงในการสอบสวนอยู่ก่อนแล้ว มีการบิดเบือนข้อมูลรับใช้ความต้องการส่วนตัว ขณะที่มีหลักฐานปรากฎชัดเจนว่าอนุกรรมการบางรายมีความเกี่ยวโยงกับพรรคการเมืองที่ถูกระบุว่าเป็นผู้เสียหายจากแถลงการณ์นี้
เครือมติชน-ข่าวสด ย่อมไม่สามารถรับผลการสอบสวนที่ออกมา และเห็นว่าแถลงการณ์ฉบับล่าสุดนี้ยิ่งตอกย้ำและเปิดเผยจุดยืน และเจตนารมณ์อันไม่บริสุทธิ์ของกระบวนการและขบวนการดังกล่าวได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++
1.แถลงการณ์ของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับว่ากำหนดประเด็นการสอบขึ้นมาเอง โดยมิได้แจ้งให้องค์กรที่ถูกสอบสวนรับทราบและชี้แจง หรือการสรุปเอาเองว่าที่ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วนนั้นเพราะเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวหมิ่นเหม่ต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
สะท้อนข้อเท็จจริงตามที่มติชน-ข่าวสดชี้เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ดำเนินการไปด้วยความเอนเอียง มีอคติ และมีข้อสรุปล่วงหน้าเอาไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะให้ผลสอบออกมาอย่างไร
2.เมื่อมีข้อสรุปล่วงหน้าอยู่แล้ว วิธีการสอบสวนก็ดำเนินไปตามแนวทางที่วางไว้ก่อน แม้กระทั่งการบิดเบือนข้อมูลให้รองรับความต้องการ อาทิ การระบุว่าในที่ประชุมสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ที่มีการรายงานความคืบหน้าการสอบสวนนี้ ไม่มีกรรมการผู้ใดรวมทั้งกรรมการจากเครือมติชนที่เข้าร่วมประชุมด้วยท้วงติงหรือคัดค้านความคืบหน้าและแนวทางการสืบสวน
ทั้งที่ข้อเท็จจริงก็คือ กรรมการจากเครือมติชนซึ่งถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มิได้เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าว ดังนั้นจึงมิได้รับทราบข้อมูลและวิธีการในการสอบสวน และย่อมไม่สามารถไปทักท้วงกับใครหรืออะไรได้
3.ความพยายามในการตอบว่าการเปิดเผยนามปากกามิใช่เรื่องผิด เพราะไม่ได้ทำให้ผู้เขียนเกิดความเสียหาย สะท้อนว่าคณะกรรมการตั้งกติกาของตนเองขึ้นมาเอง ทั้งที่เมื่อคณะกรรมการทำงานภายใต้ชื่อของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ก็จะต้องเคารพและดำเนินการตามกรอบและกติกาของข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
4.ในแถลงการณ์ล่าสุด มีความพยายามในการเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาโจมตีหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหา อาทิ การจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐ อันเป็นงานที่หนังสือพิมพ์ดำเนินการไปโดยสุจริต เปิดเผย และสามารถตรวจสอบได้
ตอกย้ำข้อสังเกตของแถลงการณ์มติชน-ข่าวสดที่ผ่านมา ว่าคณะกรรมการมีธงล่วงหน้าในการสอบสวนอยู่แล้ว เพราะเมื่อไม่ได้ดังใจในประเด็นหนึ่ง ก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมากล่าวหาโจมตีเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด
5.เมื่อประกอบกับการที่แถลงการณ์ฉบับล่าสุดนี้มิได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ รวมทั้งสะท้อนข้อเท็จจริงอยู่ในตัวเองว่า คณะอนุกรรมการดำเนินการสอบสวนไปโดยความเอนเอียง มีธงในการสอบสวนอยู่ก่อนแล้ว มีการบิดเบือนข้อมูลรับใช้ความต้องการส่วนตัว ขณะที่มีหลักฐานปรากฎชัดเจนว่าอนุกรรมการบางรายมีความเกี่ยวโยงกับพรรคการเมืองที่ถูกระบุว่าเป็นผู้เสียหายจากแถลงการณ์นี้
เครือมติชน-ข่าวสด ย่อมไม่สามารถรับผลการสอบสวนที่ออกมา และเห็นว่าแถลงการณ์ฉบับล่าสุดนี้ยิ่งตอกย้ำและเปิดเผยจุดยืน และเจตนารมณ์อันไม่บริสุทธิ์ของกระบวนการและขบวนการดังกล่าวได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++
ฐิติมา เผย เฉลิม ชงให้รมต.เสนอวาระจรให้น้อยที่สุด !!?
นางสาวฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมครม.วันนี้ ว่า ในที่ประชุมครม.วันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเป็นพิเศษให้รัฐมนตรีแต่ละคนทำงานให้ฉับไวรอบคอบในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณ อย่าให้มีการเบิกซ้ำซ้อนเพราะอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูแลงบฯให้ทั่วถึงด้วย
นางสาวฐิติมา กล่าวอีกว่า ในการทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลที่ตนเป็นตัวหลัก ในส่วนของรองโฆษกรัฐบาลนั้นมีการเสนอชื่อในที่ประชุมครม. แต่ยังไม่มีการแต่งตั้งนางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ให้รับหน้าที่ในด้านของเศรษฐกิจ และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด จะรับหน้าที่ในด้านการเมือง และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินเสนอชื่อ นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา เข้าไปเป็นรองโฆษกฯ แต่ทั้งนี้ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ได้โควต้าหนึ่งคน แต่ยังไม่มีการเสนอชื่อเข้ามา หากเสนอเข้ามาก็จะเป็น 4 คน ก็จะเกินโควต้าของตำแหน่งรองโฆษกที่ปกติจะมีเพียง 3 คนเท่านั้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ส่วนเรื่องวาระจรนั้นนายกฯได้เน้นย้ำให้มีน้อยที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลมาจากการเสนอของร.ต.อ.ฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งในที่ประชุมก็เห็นด้วยเนื่องจากรัฐมนตรีบางคนมีวาระจรเยอะมากจนทำให้ดูเนื้อหาไม่ทั่วถึง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++
นางสาวฐิติมา กล่าวอีกว่า ในการทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลที่ตนเป็นตัวหลัก ในส่วนของรองโฆษกรัฐบาลนั้นมีการเสนอชื่อในที่ประชุมครม. แต่ยังไม่มีการแต่งตั้งนางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ให้รับหน้าที่ในด้านของเศรษฐกิจ และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด จะรับหน้าที่ในด้านการเมือง และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินเสนอชื่อ นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา เข้าไปเป็นรองโฆษกฯ แต่ทั้งนี้ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ได้โควต้าหนึ่งคน แต่ยังไม่มีการเสนอชื่อเข้ามา หากเสนอเข้ามาก็จะเป็น 4 คน ก็จะเกินโควต้าของตำแหน่งรองโฆษกที่ปกติจะมีเพียง 3 คนเท่านั้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ส่วนเรื่องวาระจรนั้นนายกฯได้เน้นย้ำให้มีน้อยที่สุด ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลมาจากการเสนอของร.ต.อ.ฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งในที่ประชุมก็เห็นด้วยเนื่องจากรัฐมนตรีบางคนมีวาระจรเยอะมากจนทำให้ดูเนื้อหาไม่ทั่วถึง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++
รมว.พลังงาน ขี่ม้าสีอะไร ทำไมรัฐบาล ปู-1 ถึงกล้านัก. สั่งเลิกกองทุนเสือนอนกิน..!!?
หลังสิ้นสุดการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย...ภาคประชาชนในกลุ่มต่างๆ ได้เริ่มหันมาทวงสัญญากับการใช้นโยบายหาเสียงแบบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์...จนถูกอกถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะนโยบาย “ด้านพลังงาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจ ไม่แพ้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท...เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยที่คนไทยไม่สามารถขาดแคลนได้
ขณะที่หลายรัฐบาลต่างใช้วิธีการบริหารแก้ปัญหาไม่ให้ราคาสูง สุดท้ายกลับล้มเหลวโดยไม่เป็นท่า
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะรู้สึกท้าทายกับปัญหาดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ได้ประกาศออกมาอย่างความมั่นอกมั่นใจถึงขั้นทำให้ประชาชนตกตะลึงว่า...
“สิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยจะทำหากได้เป็นรัฐบาล คือการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ...ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 7.50 บาทต่อลิตร...ทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ลดลง 6.78 บาท และดีเซล ลดลง 2.20 บาท...เพราะราคาน้ำมันเป็นต้นทุนใหญ่ เป็นต้นทุนของทุกประเภท จะให้พ่อแม่พี่น้องมาแบกรับภาระได้อย่างไร”
แต่ปัญหาเร่งด่วนเช่นนี้...เห็นจะหนีไม่พ้นจะต้องเป็นหน้าที่ของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ ซึ่งก็คือ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ โดยเป็นผู้ที่จะลงมาดูแลในส่วนของพลังงานทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยมีแหล่งพลังงานหลายประเภทด้วยกัน แต่อาจจะมีในปริมาณค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ บางครั้งวิกฤตการณ์ของโลกอาจจะทำให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะประเทศไทยยังต้องมีการสั่งน้ำมันเข้าเป็นจำนวนมาก
นายพิชัย มองว่า...ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางพลังงานของภูมิภาคอาเซียน ก่อนอื่นเราต้องให้คนไทยมีพลังงานใช้กันอย่างเพียงพอ และมีคุณค่ามากที่สุด...ที่สำคัญ ประชาชนต้องใช้พลังงานเหล่านั้นอย่างมีความสุข คือ แบบสบายๆ ไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
แต่ปัญหาคือ...เราจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไร หากตัดสินใจยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงก๊าซซีเอ็นจีสำหรับเครื่องยนต์เอ็นจีวี และ แอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) จะเอาเงินมาจากไหนในการอุดหนุน
เพราะกองทุนน้ำมันฯ ต้องมีไว้ใช้ในยามจำเป็นเมื่อเกิดวิกฤติราคาน้ำมันแพง เพื่อดูแลเศรษฐกิจได้ แต่ที่ผ่านมามีการตรึงราคาเป็นระยะเวลานานเกินไปจนแทบจะถาวร ซึ่งหากตรึงนาน เกินไปก็ไม่ไหว เพราะจะยิ่งสูญเสียงบประมาณอย่างไม่สมเหตุสมผล
ในแต่ละปีประเทศไทยใช้เงินกองทุนน้ำมัน ในการอุดหนุนเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนปีละหลายหมื่นล้านบาท
หากคำนวณคร่าวๆ พบว่า...การยกเลิกเก็บเงินน้ำมันเบนซิน 95 ในอัตรา 7.50 บาทต่อลิตรทำให้กองทุนฯ สูญเสียรายได้ 16 ล้านบาทต่อเดือน
ยกเลิกเก็บเบนซิน 91 สูญเสียรายได้กว่า 1,400 ล้านบาท และยกเลิกเก็บดีเซล สูญเสียรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมเงินที่สูญเสียกว่า 3,416 ล้านบาท
แต่ปัจจุบันกองทุนฯ มีภาระหนักในการชดเชยแอลพีจีเดือนละ 4,000 ล้านบาท และ ก๊าซซีเอ็นจี เกือบ 400 ล้านบาท
นักวิชาการและผู้ค้าน้ำมันจำนวนมากจึงขอให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาแบบรอบคอบ เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าจึงไม่มีวันที่จะควบคุมได้ หากเข้าไปคุมรัฐบาลก็ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเหมือนกับอดีตเข้าให้อีก
นั่นเป็นปัญหาที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน มองเห็นเป็นเส้นสายโยงใยเชื่อมถึงกัน...แต่อยู่ที่ว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรให้ออกมาดี และยั่งยืน
จะแก้ด้วยวิธีการเอารายได้จากส่วนอื่นมารองรับ หรือ จะปฏิรูปการใช้พลังงานของคนไทยทั้งระบบ ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าพลังงานสะอาด และรณรงค์เพื่อให้เกิดการใช้
อย่างไรก็ตาม ทางเลือกหนึ่งที่ดูจะสดใส และเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการนั่นก็คือ...นโยบาย “ด้านพลังงานทดแทน” ที่กระทรวงพลังงานได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานต้องมีการอัดเม็ดเงิน รวมไปถึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ในการเข้าไปช่วยพัฒนาพลังงานทางเลือก...ซึ่งรัฐบาลจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน โดยไม่ต้องไปสนใจตัวกลางหรือนายหน้าที่จ้องเข้ามาทำธุรกิจเพื่อแสวงหาประโยชน์
ซึ่งในต่างประเทศ...โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ ที่มีการใช้ปริมาณพลังงานสูงลิ่ว...เขามีความคิดไปถึง “การจุดไฟในน้ำ” กันมาแล้ว
ซึ่งมันมิใช่วิธีการเอาชนะธรรมชาติ...แต่เป็นการนำหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดพลังงานทดแทนอย่างคุ้มค่า
โดยการค้นพบที่น่าทึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในห้องทดลองของ จอห์น คันเซียส (John Kanzius) นักวิจัยด้านโรคมะเร็งในเคาน์ตีอีรี เพนซีลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ขณะที่กำลังพยายามแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยเครื่องให้กำเนิดความถี่วิทยุ เพื่อนำไปใช้บำบัดรักษาคนไข้โรคมะเร็ง โดยในระหว่างที่ปล่อยคลื่นความถี่วิทยุลงไปในน้ำทะเล ซึ่งอยู่ในหลอดทดลอง น้ำทะเลเกิดติดไฟขึ้นมา
ปัจจุบันการค้นพบของคันเซียส ได้รับความสนใจจากแวดวงนักวิทยาศาสตร์และถูกนำไปวิจัยค้นคว้าพัฒนาเป็นพลังงานใหม่ เพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนที่ได้จากน้ำมาใช้ประโยชน์สูงสุด
นี่เป็นตัวอย่างของวิวัฒนาการทางด้านพลังงานที่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องมองให้ทะลุแตกฉาน...อะไรที่เหมาะสมกับคนไทย และประเทศไทย
หากประเทศไทยมีทรัพยากรทางธรรมชาติจำนวนมาก...ก็สมควรที่จะหยิบจับเอาทรัพยากรเหล่านั้นมาพัฒนาและประยุกต์ใช้
เพราะส่วนใหญ่พลังงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่าง “น้ำมัน” มีต้นเหตุมาจากการทำธุรกิจเพื่อเก็งกำไรทั้งสิ้น!!
ดังนั้น...กระทรวงพลังงานต้องตัด”วงจรอุบาทว์”ดังกล่าวออกไปให้จงได้
ทั้งนี้ นโยบายเกี่ยวกับด้านพลังงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ด้วยการลดราคาน้ำมันทั้งเบนซิน และดีเซล ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่ยังต้องเติมน้ำมันราคาแพงในระยะเริ่มต้น...เพราะดูเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมายังแก้ไขไม่ถูกที่คัน
ลองนึกสภาพความเป็นจริงว่า...ประชาชนโดยเฉพาะ “คนชั้นกลาง” ที่มีรายได้พอจะถอยรถยนต์สักคันหนึ่ง...เกือบร้อยละ 30 ต้องนำรถที่ซื้อมาดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนเป็นการใช้เชื้อเพลิงแก๊ส...ซึ่งมีความประหยัดมากกว่า...แต่ผู้ใช้ก็จำเป็นต้องควักเงินจำนวนหลักหมื่นบาทเพื่อติดตั้งถังถังแก๊ส
มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า...ประชาชนต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเป็นที่พึ่งแห่งตน...เพราะรอการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาไม่ไหว
สิ่งสำคัญที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ กระทรวงพลังงาน ต้องคิดให้ตกผลึกเวลานี้ก็คือ...จะทำอย่างไรเพื่อให้ภาระต้นทุนการซื้อน้ำมันของประชาชนลดลง? และจะทำอย่างไรเพื่อให้มีพลังงานให้ประชาชนใช้อย่างยั่งยืน โดยการพึ่งพาประเทศอื่นให้น้อยที่สุด?
เพราะหากลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของพลังงานลงได้...เชื่อว่าประชาชนคนไทยจะสามารถนำเงินในส่วนที่เหลือไปเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต และคนในครอบครัว ให้เกิดเป็นรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
มันจึงเป็นงานหนักและงานใหญ่ของ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน...ซึ่งต้องตีโจทย์สำคัญนี้ให้แตก...มีความคิดสร้างสรรค์...และลงมือทำงานอย่างรอบคอบ
แต่สำหรับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคนชื่อ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาเคยผ่านการจับงานชิ้นใหญ่ๆ มาเยอะ...และสามารถทำให้งานเหล่านั้นสำเร็จลงได้
งานเล็กๆ ไม่...แต่งานใหญ่ต้องให้พิชัยทำ!
ทั้งการเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551...และเคยเป็นที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน...รวมไปถึงการเป็น “Energy Keyman” ซึ่งเหล่ากูรูด้านพลังงานให้ความสนใจเป็นอย่างมากเวลานี้
เพราะเขาเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ...ที่สำคัญ เป็นคนที่มองเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง...
โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ถูกจัดลำดับใน บัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. เป็นลำดับที่ 124 แต่สุดท้ายได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ดังนั้น ผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย...รวมไปถึงคณะทีมที่ปรึกษาในการทำงานทั้งหลาย...พวกเขามองเห็นอะไรในตัว นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ
สุดท้าย...ประชาชนคงต้องจับตาดูการทำงานของเขาในวันข้างหน้า...แล้วจะรู้ว่าคนๆ นี้มีดีอะไร?! ถ้าเขาเป็น”พระเอก” จะขี่ม้าขาวมา หรือขี่ม้าสีอะไร?? เป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่าได้กระพริบ!!
โดยเฉพาะนโยบาย “ด้านพลังงาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจ ไม่แพ้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท...เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยที่คนไทยไม่สามารถขาดแคลนได้
ขณะที่หลายรัฐบาลต่างใช้วิธีการบริหารแก้ปัญหาไม่ให้ราคาสูง สุดท้ายกลับล้มเหลวโดยไม่เป็นท่า
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะรู้สึกท้าทายกับปัญหาดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ได้ประกาศออกมาอย่างความมั่นอกมั่นใจถึงขั้นทำให้ประชาชนตกตะลึงว่า...
“สิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยจะทำหากได้เป็นรัฐบาล คือการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ...ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 7.50 บาทต่อลิตร...ทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ลดลง 6.78 บาท และดีเซล ลดลง 2.20 บาท...เพราะราคาน้ำมันเป็นต้นทุนใหญ่ เป็นต้นทุนของทุกประเภท จะให้พ่อแม่พี่น้องมาแบกรับภาระได้อย่างไร”
แต่ปัญหาเร่งด่วนเช่นนี้...เห็นจะหนีไม่พ้นจะต้องเป็นหน้าที่ของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ ซึ่งก็คือ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ โดยเป็นผู้ที่จะลงมาดูแลในส่วนของพลังงานทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยมีแหล่งพลังงานหลายประเภทด้วยกัน แต่อาจจะมีในปริมาณค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ บางครั้งวิกฤตการณ์ของโลกอาจจะทำให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะประเทศไทยยังต้องมีการสั่งน้ำมันเข้าเป็นจำนวนมาก
นายพิชัย มองว่า...ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางพลังงานของภูมิภาคอาเซียน ก่อนอื่นเราต้องให้คนไทยมีพลังงานใช้กันอย่างเพียงพอ และมีคุณค่ามากที่สุด...ที่สำคัญ ประชาชนต้องใช้พลังงานเหล่านั้นอย่างมีความสุข คือ แบบสบายๆ ไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
แต่ปัญหาคือ...เราจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไร หากตัดสินใจยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงก๊าซซีเอ็นจีสำหรับเครื่องยนต์เอ็นจีวี และ แอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) จะเอาเงินมาจากไหนในการอุดหนุน
เพราะกองทุนน้ำมันฯ ต้องมีไว้ใช้ในยามจำเป็นเมื่อเกิดวิกฤติราคาน้ำมันแพง เพื่อดูแลเศรษฐกิจได้ แต่ที่ผ่านมามีการตรึงราคาเป็นระยะเวลานานเกินไปจนแทบจะถาวร ซึ่งหากตรึงนาน เกินไปก็ไม่ไหว เพราะจะยิ่งสูญเสียงบประมาณอย่างไม่สมเหตุสมผล
ในแต่ละปีประเทศไทยใช้เงินกองทุนน้ำมัน ในการอุดหนุนเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนปีละหลายหมื่นล้านบาท
หากคำนวณคร่าวๆ พบว่า...การยกเลิกเก็บเงินน้ำมันเบนซิน 95 ในอัตรา 7.50 บาทต่อลิตรทำให้กองทุนฯ สูญเสียรายได้ 16 ล้านบาทต่อเดือน
ยกเลิกเก็บเบนซิน 91 สูญเสียรายได้กว่า 1,400 ล้านบาท และยกเลิกเก็บดีเซล สูญเสียรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมเงินที่สูญเสียกว่า 3,416 ล้านบาท
แต่ปัจจุบันกองทุนฯ มีภาระหนักในการชดเชยแอลพีจีเดือนละ 4,000 ล้านบาท และ ก๊าซซีเอ็นจี เกือบ 400 ล้านบาท
นักวิชาการและผู้ค้าน้ำมันจำนวนมากจึงขอให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาแบบรอบคอบ เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าจึงไม่มีวันที่จะควบคุมได้ หากเข้าไปคุมรัฐบาลก็ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเหมือนกับอดีตเข้าให้อีก
นั่นเป็นปัญหาที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน มองเห็นเป็นเส้นสายโยงใยเชื่อมถึงกัน...แต่อยู่ที่ว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรให้ออกมาดี และยั่งยืน
จะแก้ด้วยวิธีการเอารายได้จากส่วนอื่นมารองรับ หรือ จะปฏิรูปการใช้พลังงานของคนไทยทั้งระบบ ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าพลังงานสะอาด และรณรงค์เพื่อให้เกิดการใช้
อย่างไรก็ตาม ทางเลือกหนึ่งที่ดูจะสดใส และเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการนั่นก็คือ...นโยบาย “ด้านพลังงานทดแทน” ที่กระทรวงพลังงานได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานต้องมีการอัดเม็ดเงิน รวมไปถึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ในการเข้าไปช่วยพัฒนาพลังงานทางเลือก...ซึ่งรัฐบาลจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน โดยไม่ต้องไปสนใจตัวกลางหรือนายหน้าที่จ้องเข้ามาทำธุรกิจเพื่อแสวงหาประโยชน์
ซึ่งในต่างประเทศ...โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ ที่มีการใช้ปริมาณพลังงานสูงลิ่ว...เขามีความคิดไปถึง “การจุดไฟในน้ำ” กันมาแล้ว
ซึ่งมันมิใช่วิธีการเอาชนะธรรมชาติ...แต่เป็นการนำหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดพลังงานทดแทนอย่างคุ้มค่า
โดยการค้นพบที่น่าทึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในห้องทดลองของ จอห์น คันเซียส (John Kanzius) นักวิจัยด้านโรคมะเร็งในเคาน์ตีอีรี เพนซีลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ขณะที่กำลังพยายามแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยเครื่องให้กำเนิดความถี่วิทยุ เพื่อนำไปใช้บำบัดรักษาคนไข้โรคมะเร็ง โดยในระหว่างที่ปล่อยคลื่นความถี่วิทยุลงไปในน้ำทะเล ซึ่งอยู่ในหลอดทดลอง น้ำทะเลเกิดติดไฟขึ้นมา
ปัจจุบันการค้นพบของคันเซียส ได้รับความสนใจจากแวดวงนักวิทยาศาสตร์และถูกนำไปวิจัยค้นคว้าพัฒนาเป็นพลังงานใหม่ เพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนที่ได้จากน้ำมาใช้ประโยชน์สูงสุด
นี่เป็นตัวอย่างของวิวัฒนาการทางด้านพลังงานที่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องมองให้ทะลุแตกฉาน...อะไรที่เหมาะสมกับคนไทย และประเทศไทย
หากประเทศไทยมีทรัพยากรทางธรรมชาติจำนวนมาก...ก็สมควรที่จะหยิบจับเอาทรัพยากรเหล่านั้นมาพัฒนาและประยุกต์ใช้
เพราะส่วนใหญ่พลังงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่าง “น้ำมัน” มีต้นเหตุมาจากการทำธุรกิจเพื่อเก็งกำไรทั้งสิ้น!!
ดังนั้น...กระทรวงพลังงานต้องตัด”วงจรอุบาทว์”ดังกล่าวออกไปให้จงได้
ทั้งนี้ นโยบายเกี่ยวกับด้านพลังงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ด้วยการลดราคาน้ำมันทั้งเบนซิน และดีเซล ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่ยังต้องเติมน้ำมันราคาแพงในระยะเริ่มต้น...เพราะดูเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมายังแก้ไขไม่ถูกที่คัน
ลองนึกสภาพความเป็นจริงว่า...ประชาชนโดยเฉพาะ “คนชั้นกลาง” ที่มีรายได้พอจะถอยรถยนต์สักคันหนึ่ง...เกือบร้อยละ 30 ต้องนำรถที่ซื้อมาดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนเป็นการใช้เชื้อเพลิงแก๊ส...ซึ่งมีความประหยัดมากกว่า...แต่ผู้ใช้ก็จำเป็นต้องควักเงินจำนวนหลักหมื่นบาทเพื่อติดตั้งถังถังแก๊ส
มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า...ประชาชนต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเป็นที่พึ่งแห่งตน...เพราะรอการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาไม่ไหว
สิ่งสำคัญที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ กระทรวงพลังงาน ต้องคิดให้ตกผลึกเวลานี้ก็คือ...จะทำอย่างไรเพื่อให้ภาระต้นทุนการซื้อน้ำมันของประชาชนลดลง? และจะทำอย่างไรเพื่อให้มีพลังงานให้ประชาชนใช้อย่างยั่งยืน โดยการพึ่งพาประเทศอื่นให้น้อยที่สุด?
เพราะหากลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของพลังงานลงได้...เชื่อว่าประชาชนคนไทยจะสามารถนำเงินในส่วนที่เหลือไปเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต และคนในครอบครัว ให้เกิดเป็นรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
มันจึงเป็นงานหนักและงานใหญ่ของ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน...ซึ่งต้องตีโจทย์สำคัญนี้ให้แตก...มีความคิดสร้างสรรค์...และลงมือทำงานอย่างรอบคอบ
แต่สำหรับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคนชื่อ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาเคยผ่านการจับงานชิ้นใหญ่ๆ มาเยอะ...และสามารถทำให้งานเหล่านั้นสำเร็จลงได้
งานเล็กๆ ไม่...แต่งานใหญ่ต้องให้พิชัยทำ!
ทั้งการเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551...และเคยเป็นที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน...รวมไปถึงการเป็น “Energy Keyman” ซึ่งเหล่ากูรูด้านพลังงานให้ความสนใจเป็นอย่างมากเวลานี้
เพราะเขาเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ...ที่สำคัญ เป็นคนที่มองเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง...
โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ถูกจัดลำดับใน บัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. เป็นลำดับที่ 124 แต่สุดท้ายได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ดังนั้น ผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย...รวมไปถึงคณะทีมที่ปรึกษาในการทำงานทั้งหลาย...พวกเขามองเห็นอะไรในตัว นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ
สุดท้าย...ประชาชนคงต้องจับตาดูการทำงานของเขาในวันข้างหน้า...แล้วจะรู้ว่าคนๆ นี้มีดีอะไร?! ถ้าเขาเป็น”พระเอก” จะขี่ม้าขาวมา หรือขี่ม้าสีอะไร?? เป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่าได้กระพริบ!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
นักวิชาการให้คะแนนรัฐบาล 5.5 !!?
อาจารย์จุฬาฯ ให้คะแนนรัฐบาล 5.5. ชี้ ‘แม้ว’ แย่งซีนจ้อนโยบายทำ ‘ยิ่งลักษณ์’ ดับ ตอกย้ำ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” มอง ‘ปู’ เปิดตัวแถลงไม่คม
นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวเนชั่น” ถึงภาพรวมการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันแรกว่า ตัวนโยบายภาพรวมถือว่าดี แต่การแถลงนโยบายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังขาดความเป็นผู้นำ ยังไม่คม ไม่เด่น ใช้การอ่านเหมือนไม่ใช่เจ้าของนโยบาย ทำให้ตัวนโยบายและนายกฯไม่ได้ไปด้วยกัน
ส่วนนโยบายค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และเรื่องการปรองดองยังเป็นนามธรรม หรืออาจทำได้ยาก ทำให้การทำงานตามนโยบายต่าง ๆ ที่ได้แถลงไว้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ของรัฐบาลต้องเก่งกว่านี้
ขณะที่กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศวันเดียวกัน โดยให้รายละเอียดของแต่ละนโยบายได้อย่างดีนั้น ก็เป็นไปตามสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อย่างชัดเจน เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ คิด และกำกับนโยบาย ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงการนำสารมาสู่สภา
"หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ คิดนโยบายจริง ทั้งน้ำเสียง น้ำหนักของคำพูดจะดีกว่านี้ ทำให้ความเชื่อถือดูลดน้อย ขณะที่การเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ภาพผู้นำประเทศไม่ใช่ตัวจริง หากจะให้คะแนนการแถลงนโยบายรัฐบาลตนขอให้ 5.5 จาก 10 คะแนน ส่วนคะแนน 4.5 ที่หายไป คือความเป็นไปได้ของนโยบายเป็นไปได้ยาก รวมถึงความหนักแน่นของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในการแถลงนโยบายที่ดูน้อยลง"
ทั้งนี้ นายกฯยังขาดทักษะ และความสมเหตุสมผลของนโยบายในบางเรื่อง เพราะยังขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คิดว่าตัวนโยบายยังขาดน้ำหนัก ครม.ครึ่งหนึ่งในรัฐบาลคงทำตามนโยบายไม่ได้ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหยุดเคลื่อนไหว ปล่อยให้ 6 เดือนจากนี้ นายกรัฐมนตรีและครม.ได้ทำนโยบายให้เต็มที่ โดยพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลัง แต่วันนี้ครม.บวกนายกฯเป็นมวยรอง ภาพจึงดูจืดชืดและขาดน้ำหนัก แต่ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณปล่อย รัฐบาลอาจจะได้ 7-8 คะแนนได้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวเนชั่น” ถึงภาพรวมการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันแรกว่า ตัวนโยบายภาพรวมถือว่าดี แต่การแถลงนโยบายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังขาดความเป็นผู้นำ ยังไม่คม ไม่เด่น ใช้การอ่านเหมือนไม่ใช่เจ้าของนโยบาย ทำให้ตัวนโยบายและนายกฯไม่ได้ไปด้วยกัน
ส่วนนโยบายค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และเรื่องการปรองดองยังเป็นนามธรรม หรืออาจทำได้ยาก ทำให้การทำงานตามนโยบายต่าง ๆ ที่ได้แถลงไว้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ของรัฐบาลต้องเก่งกว่านี้
ขณะที่กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศวันเดียวกัน โดยให้รายละเอียดของแต่ละนโยบายได้อย่างดีนั้น ก็เป็นไปตามสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อย่างชัดเจน เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ คิด และกำกับนโยบาย ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงการนำสารมาสู่สภา
"หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ คิดนโยบายจริง ทั้งน้ำเสียง น้ำหนักของคำพูดจะดีกว่านี้ ทำให้ความเชื่อถือดูลดน้อย ขณะที่การเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ภาพผู้นำประเทศไม่ใช่ตัวจริง หากจะให้คะแนนการแถลงนโยบายรัฐบาลตนขอให้ 5.5 จาก 10 คะแนน ส่วนคะแนน 4.5 ที่หายไป คือความเป็นไปได้ของนโยบายเป็นไปได้ยาก รวมถึงความหนักแน่นของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในการแถลงนโยบายที่ดูน้อยลง"
ทั้งนี้ นายกฯยังขาดทักษะ และความสมเหตุสมผลของนโยบายในบางเรื่อง เพราะยังขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คิดว่าตัวนโยบายยังขาดน้ำหนัก ครม.ครึ่งหนึ่งในรัฐบาลคงทำตามนโยบายไม่ได้ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหยุดเคลื่อนไหว ปล่อยให้ 6 เดือนจากนี้ นายกรัฐมนตรีและครม.ได้ทำนโยบายให้เต็มที่ โดยพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลัง แต่วันนี้ครม.บวกนายกฯเป็นมวยรอง ภาพจึงดูจืดชืดและขาดน้ำหนัก แต่ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณปล่อย รัฐบาลอาจจะได้ 7-8 คะแนนได้
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ศักดิ์ศรี.. ผู้นำประเทศต้องมี !!?
ใช้ความเครียดแค้น ถอนพาสปอร์ตแดง ถูกที่ไหนกันล่ะพี่??
ยุค “โคไมนี่”, ผู้นำอียิปต์ ยึดอำนาจ “ชาร์” เขายังไม่ยึดพาสปอร์ต แต่ประการใด
“มาร์กอส” แห่งฟิลิปปินส์ ถูกขับออกนอกประเทศ ยังให้ ใช้พาสปอร์ต กันอย่างสบาย
ถามว่า “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตผู้นำประเทศไทย ซึ่งนำความรุ่งเรืองมาสู่มหาประชาชนชาวบ้านให้อยู่ดี สุขสบาย..แต่กลับถูกถอนพาสปอร์ต..เพื่อไม่ให้มีบทบาทช่วยเหลือประเทศ!!!
“ทักษิณ” เป็นผู้นำชั้นดี.....แต่ถูกกลั่นแกล้งแบบนี้?...ต้องบอกว่านี่, คือความทุเรศ??
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกลือจิ้มเกลือ!!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ถึงวันสิ้นลายเสือ??
เมื่อหลักฐาน ปูดพะเนินเทินทึก เข้าไปหาตัว
ที่สาหัสสากรรจ์เป็นอันมากส์.. ก้อ, “เทพเทือก” แหละทูนหัว
เพราะการนำร่อง นำสืบ ของ “ดีเอสไอ” ใต้คอนโทรล “ท่านอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์” ดูน้ำหนักล็อกเป้า โดนเข้าอย่างจั๋งหนับ!!
“รัฐบาลอภิสิทธิ์”อยู่สุขกันทั่วหน้า...แต่ปัญหาเทลงมา?..ที่หน้า “พี่เทพ”คนเดียวได้ไงล่ะครับ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ยิ่งกว่า “กาวตราช้าง”!!!
เส้นทางชีวิตของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนดัง???
ยังนั่งตำแหน่ง “ประมุขสำนักสีเขียว” ได้อย่าง ไม่มีปัญหา...
แต่ที่ระเหเร่ร่อน...ถูกปรับก่อน น่าจะเป็น “พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” เสธ.ทบ. ที่จะตกหลุมอำนาจ หลุดจากอำนาจ ไปก่อนสิจ๋า
นึกเสียว่า “สมบัติผลัดกันชม” ..ยามน้ำขึ้นท่านก็ใหญ่ ยามน้ำลง ท่านก็ต้องไปตามวิถี!!!
อย่านึกอะไรให้ชอกช้ำ....ยึดหลักคำพระนำ?...ว่าสัจจะธรรม ของคนมักเป็นเช่นนี้???
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อ “หัวโขนหลุด”!!!
“ข้าราชการ” ที่เคยพินอบพิเทา ก็โกยหนีอ้าว กันอย่างสุด...สุด???
จากที่ “อดีตรัฐมนตรีบุญจง วงศ์ไตรรัตน์” มท. ๒ เคยไปไหน...มีคาราวาน ทั้งนายอำเภอ และ ผู้ว่าราชการจังหวัด มารอรับกันสลอน
เมื่อ “คุณพี่บุญจง” ไร้ตำแหน่ง เขา...ก็บินหนี จากจร
ฉะนั้น, ขอให้ “คุณพี่บุญจง” อย่ายึดติดกับอำนาจ และวาสนา ..เห็นได้จากวันนี้, ที่เคยมีคนตามเป็นพรวน...ปัจจุบันที่บ้านท่าน กลับอันตรธานหายวับ ไม่ยอมมาปรากฎ!!!
พอไม่มีหัวโขนสวมใส่... “คุณพี่บุญจง”ก็เหนื่อยใจ?...เพราะใครต่อใคร หนีหายกันหมด
+++++++++++++++++++++++++++++++++
มาตามนัด!!!
เป็นพวกที่เลือกข้างชัด..ชัด??
ทั้ง “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” พิธีกรฝีปากเอกแห่งช่อง ๑๑ และ “ฟองสมาน จามรจันทร์” นักเล่าข่าวหญิงแห่งคลื่นเอเอ็มทหาร....
จากนี้,คงใส่เกียร์ถอยหลัง ไม่ได้จัดรายการเหมือนก่อน แล้วสิท่าน
เมื่อมาด้วยการเมือง ก็ต้องไปด้วยการเมือง...แม้จะมีคุณภาพเต็มร้อย แต่เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ก็ต้องไปจากคลื่น!!!!
ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยที่แน่ ๆ นี่ไม่ใช่เป็นการรังแก?...ใครอย่าสาระแน ว่าเป็นการ “ทวงแค้นคืน”??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**************************************************
ยุค “โคไมนี่”, ผู้นำอียิปต์ ยึดอำนาจ “ชาร์” เขายังไม่ยึดพาสปอร์ต แต่ประการใด
“มาร์กอส” แห่งฟิลิปปินส์ ถูกขับออกนอกประเทศ ยังให้ ใช้พาสปอร์ต กันอย่างสบาย
ถามว่า “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตผู้นำประเทศไทย ซึ่งนำความรุ่งเรืองมาสู่มหาประชาชนชาวบ้านให้อยู่ดี สุขสบาย..แต่กลับถูกถอนพาสปอร์ต..เพื่อไม่ให้มีบทบาทช่วยเหลือประเทศ!!!
“ทักษิณ” เป็นผู้นำชั้นดี.....แต่ถูกกลั่นแกล้งแบบนี้?...ต้องบอกว่านี่, คือความทุเรศ??
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกลือจิ้มเกลือ!!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ถึงวันสิ้นลายเสือ??
เมื่อหลักฐาน ปูดพะเนินเทินทึก เข้าไปหาตัว
ที่สาหัสสากรรจ์เป็นอันมากส์.. ก้อ, “เทพเทือก” แหละทูนหัว
เพราะการนำร่อง นำสืบ ของ “ดีเอสไอ” ใต้คอนโทรล “ท่านอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์” ดูน้ำหนักล็อกเป้า โดนเข้าอย่างจั๋งหนับ!!
“รัฐบาลอภิสิทธิ์”อยู่สุขกันทั่วหน้า...แต่ปัญหาเทลงมา?..ที่หน้า “พี่เทพ”คนเดียวได้ไงล่ะครับ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ยิ่งกว่า “กาวตราช้าง”!!!
เส้นทางชีวิตของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนดัง???
ยังนั่งตำแหน่ง “ประมุขสำนักสีเขียว” ได้อย่าง ไม่มีปัญหา...
แต่ที่ระเหเร่ร่อน...ถูกปรับก่อน น่าจะเป็น “พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” เสธ.ทบ. ที่จะตกหลุมอำนาจ หลุดจากอำนาจ ไปก่อนสิจ๋า
นึกเสียว่า “สมบัติผลัดกันชม” ..ยามน้ำขึ้นท่านก็ใหญ่ ยามน้ำลง ท่านก็ต้องไปตามวิถี!!!
อย่านึกอะไรให้ชอกช้ำ....ยึดหลักคำพระนำ?...ว่าสัจจะธรรม ของคนมักเป็นเช่นนี้???
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อ “หัวโขนหลุด”!!!
“ข้าราชการ” ที่เคยพินอบพิเทา ก็โกยหนีอ้าว กันอย่างสุด...สุด???
จากที่ “อดีตรัฐมนตรีบุญจง วงศ์ไตรรัตน์” มท. ๒ เคยไปไหน...มีคาราวาน ทั้งนายอำเภอ และ ผู้ว่าราชการจังหวัด มารอรับกันสลอน
เมื่อ “คุณพี่บุญจง” ไร้ตำแหน่ง เขา...ก็บินหนี จากจร
ฉะนั้น, ขอให้ “คุณพี่บุญจง” อย่ายึดติดกับอำนาจ และวาสนา ..เห็นได้จากวันนี้, ที่เคยมีคนตามเป็นพรวน...ปัจจุบันที่บ้านท่าน กลับอันตรธานหายวับ ไม่ยอมมาปรากฎ!!!
พอไม่มีหัวโขนสวมใส่... “คุณพี่บุญจง”ก็เหนื่อยใจ?...เพราะใครต่อใคร หนีหายกันหมด
+++++++++++++++++++++++++++++++++
มาตามนัด!!!
เป็นพวกที่เลือกข้างชัด..ชัด??
ทั้ง “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” พิธีกรฝีปากเอกแห่งช่อง ๑๑ และ “ฟองสมาน จามรจันทร์” นักเล่าข่าวหญิงแห่งคลื่นเอเอ็มทหาร....
จากนี้,คงใส่เกียร์ถอยหลัง ไม่ได้จัดรายการเหมือนก่อน แล้วสิท่าน
เมื่อมาด้วยการเมือง ก็ต้องไปด้วยการเมือง...แม้จะมีคุณภาพเต็มร้อย แต่เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ก็ต้องไปจากคลื่น!!!!
ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยที่แน่ ๆ นี่ไม่ใช่เป็นการรังแก?...ใครอย่าสาระแน ว่าเป็นการ “ทวงแค้นคืน”??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**************************************************
วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554
สุชาติ ธาดาธำรงเวช..โผล่เป็น ปธ.เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรฯ..!!?
ประกาศหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้เงินกองทุนหมู่บ้าน กองทุน SME ก่อน ลั่นต้องนำ”ทักษิณ”กลับบ้าน
อุดรธานี (21 สค.2554) ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทยชูธงแดงนำสมาชิกเดินหน้าเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งใหม่ ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง ประกาศต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 สิงหาคม 2554 นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เดินทางเป็นประธานเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย” ที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม ซึ่งเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง 6 หมู่บ้าน ยกระดับเป็นตำบลเสื้อแดง ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง โดยมีนายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย นายอานนท์ แสนน่าน เลขานุการหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรธานี นำชาวบ้านกว่า 1,000 คนมาร่วมงาน
นายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หมู่บ้านเสื้อแดงคือหัวใจสำคัญ ในการขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประชาชน เพราะการกระทำของรัฐบาลที่ผ่านมา บริหารงานแบบ 2 มาตรฐาน คนเสื้อแดงอุดรธานีไม่มีวันตาย หรือแตกดับ จะก้าวเดินต่อไปในฐานะผู้ริเริ่ม ที่จะทำให้หมู่บ้านเสื้อแดงเกิดจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย หลักพัน และหลักแสน บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ป้าย “ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ทุกหมู่บ้านจะเป็นสีแดง
“การผนึกกำลังแสดงพลัง ด้วยสัญญาลักษณ์เชิงต่อสู้ มีธงแดงติดไว้หน้าบ้านทุกหลังคาเรือน รวมคนเสื้อแดงตามหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง ถึงแม้การต่อสู่ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ ที่ทุกคนต้องต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่เราจะต้องใช้สติปัญญาที่จะก้าวต่อไป“
ในขณะที่ นายสุชาติ กล่าวในพิธีเปิดช่วงหนึ่งว่า ในการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ต่อไปจะมีการมอบเงินกองทุนให้หมู่บ้านเสื้อแดงฯ หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุน รวมถึงกองทุน SME ให้กับหมู่บ้านเสื้อแดงอีก หมู่บ้านละ 5 แสนบาท โดยหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้เงินก่อน
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อุดรธานี (21 สค.2554) ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทยชูธงแดงนำสมาชิกเดินหน้าเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งใหม่ ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง ประกาศต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 สิงหาคม 2554 นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เดินทางเป็นประธานเปิด “หมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อประชาธิปไตย” ที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม ซึ่งเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง 6 หมู่บ้าน ยกระดับเป็นตำบลเสื้อแดง ลำดับที่ 291 ของอุดรธานี และ เป็นหมู่บ้านแรกที่เปิดหลังจากมีการเลือกตั้ง โดยมีนายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย นายอานนท์ แสนน่าน เลขานุการหมู่บ้านเสื้อแดงอุดรธานี นำชาวบ้านกว่า 1,000 คนมาร่วมงาน
นายเพชรศักดิ์ กิตติดุษฎีกุล ประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หมู่บ้านเสื้อแดงคือหัวใจสำคัญ ในการขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประชาชน เพราะการกระทำของรัฐบาลที่ผ่านมา บริหารงานแบบ 2 มาตรฐาน คนเสื้อแดงอุดรธานีไม่มีวันตาย หรือแตกดับ จะก้าวเดินต่อไปในฐานะผู้ริเริ่ม ที่จะทำให้หมู่บ้านเสื้อแดงเกิดจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย หลักพัน และหลักแสน บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ป้าย “ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ทุกหมู่บ้านจะเป็นสีแดง
“การผนึกกำลังแสดงพลัง ด้วยสัญญาลักษณ์เชิงต่อสู้ มีธงแดงติดไว้หน้าบ้านทุกหลังคาเรือน รวมคนเสื้อแดงตามหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง ถึงแม้การต่อสู่ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ ที่ทุกคนต้องต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่เราจะต้องใช้สติปัญญาที่จะก้าวต่อไป“
ในขณะที่ นายสุชาติ กล่าวในพิธีเปิดช่วงหนึ่งว่า ในการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ต่อไปจะมีการมอบเงินกองทุนให้หมู่บ้านเสื้อแดงฯ หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุน รวมถึงกองทุน SME ให้กับหมู่บ้านเสื้อแดงอีก หมู่บ้านละ 5 แสนบาท โดยหมู่บ้านไหนเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก่อนจะได้เงินก่อน
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554
มรสุมการเมืองลูกใหม่เริ่ม ตั้งเค้า เมื่อรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ หาเรื่องใส่ตัว!!?
ตามกำหนดการ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในระหว่างวันที่ 23-24 สิงหาคมที่จะถึงนี้ แต่ดูเหมือนการเริ่มต้นของรัฐบาลตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นลักษณะที่เรียกว่า ’หาเรื่องใส่ตัว“ ซะมากกว่าถูกคู่กรณีทางการเมืองอย่างพรรคฝ่ายค้าน ’ตามขุดคุ้ย“
นอกจากแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ’สัญญาหน้าฝน“ ไว้เมื่อครั้งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งจะถูกตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ ถูกตั้งคำถามถึงระยะเวลาเพื่อให้สัญญาเหล่านั้นเกิดผลเป็น ’รูปธรรม“ ขึ้นมาแล้ว ยังถูกถามถึงนโยบายบางอย่างว่าเป็นลักษณะของการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายสืบสายโลหิตผู้เป็น ’ต้นแบบ“ ทางการเมือง ขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญกับความต้องการของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มุ่งเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมให้กับ ’มวลชน“ ผ่านข้อเสนออย่างการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้สูญเสีย 91 ศพ ศพละ 10 ล้านบาท รวมถึงข้อเสนอที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.3 ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ มิหนำซ้ำยังโดนมรสุมจากข่าวผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยที่ชื่อ วิม รุ่งวัฒนจินดา อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริหารจัดการสื่อมวลชน 3 ฉบับ
ทั้งหมดนี้เป็น “ความเคลื่อนไหว” ที่มีปลายทางอยู่ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเป็นสำคัญ ถือเป็น ’มรสุมการเมือง“ ที่ตั้งเค้าอย่างรวดเร็วกับรัฐบาลซึ่งในทาง
นิตินัยแล้วเป็น “รัฐบาลผสม” ขณะที่ในทางพฤตินัยแล้วเป็น ’รัฐบาลพรรคเดียว“ เสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
น่าสนใจว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความจงใจของพรรคเพื่อไทย เป็นความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงหรือเป็น ’สถานการณ์“ ที่ไหลมาบรรจบกันพอดี
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ไว้เนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 79 ช่วงหนึ่งถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้ว่า
“ผมฟังจากรัฐมนตรีบางคนเล่าให้ฟังว่าในการประชุมครม. นายกฯ พูดดี ขอให้รอดูท่านชี้แจง อย่างไรก็ตาม คิดว่านายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงทุกข้อให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือ รมต. แต่ละด้านไปชี้แจงอย่างเช่นด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง แล้วนายกฯ ก็อาจจะสรุปรวบยอดเป็นเรื่อง ๆ ไป คนบริหารธุรกิจขนาดนี้คงไม่มีปัญหาในการโต้ตอบ นายกฯ เป็นผู้หญิงจึงอ่อนน้อมถ่อมตนนิดหน่อย ไม่เหมือนผู้ชายที่ตูมตาม”
ถือเป็น ’ข้อคิด“ จากนายกรัฐมนตรีคนที่ 21
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก้าวขึ้นมาท่ามกลางความคาดหวังจากคนส่วนใหญ่ของประเทศให้เข้ามาแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสร้างความปรองดอง พร้อม ๆ กับความไม่สมหวังจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้จึงถือว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีเวลาและยังเป็นที่พึ่งที่หวังของคนส่วนมากอยู่
นี่กระมังที่เป็น ’เกราะ“ ป้องกันชั้นดีให้รัฐบาลที่มา พร้อมกับความคาดหวังอย่างสูงยิ่ง ได้รับโอกาสในการทำงานและไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามสภาพความเป็นจริง และนี่แหละที่จะเป็น ’เกราะ“ ที่สำคัญหากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะใช้โอกาสตรงนี้ คลายปมทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
กรณี วีซ่ารัฐบาลญี่ปุ่น นั่นคือเรื่องแรก เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนที่ตรงกันว่า เป็นการร้องขอจากรัฐบาลตามที่โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงข่าว เป็นการทำหน้าที่ของ รมว.การต่างประเทศที่ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่แต่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่งและการดำเนินการตามกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นนโยบายหรือไม่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคเพื่อไทยระบุว่า จะเร่งรัดให้เสร็จภายใน 3 เดือน ก็เป็นเรื่องที่สร้างความกังขาว่า นี่ใช่เรื่องที่รัฐบาล ’สัญญา“ ไว้ว่าจะทำทันทีหรอกหรือ
ยิ่งความเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง ที่แม้จะมี ’บางฝ่าย“ เห็นว่าไม่ควรเคลื่อนไหวเพราะจะกลายเป็น ’ภาระ“ กลายเป็นประเด็นไปกลบเกลื่อนความพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ดูเหมือนแกนนำบางส่วนก็ยังคงเดินหน้า ทั้งการมีข้อเสนอศพละ 10 ล้านบาท ทั้งการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัว ’แนวร่วม“ ทั้งการจัดการชุมนุมรำลึกถึงเหตุการณ์
หรือกรณี ’ข้อหา“ ที่กรรมการบริหารพรรคถูก ’กล่าวหา“ ว่ามีส่วนเข้าไปจัดการบริหารสื่อ
ทั้งหมดนี้แม้จะถูกมองว่าเป็น ’ด้านลบ“ กับรัฐบาลและทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตกเป็นเป้าทางการเมืองและอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าแก้ไขปัญหา แต่หากมองโดยดูจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหากจะต้องใช้เวลา เพราะตามธรรมชาติของการเป็นรัฐบาลมี ’น้อยมาก“ และเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ยิ่งอยู่นานคะแนนความนิยมทางการเมืองจะยิ่งสูงขึ้น
ตามธรรมชาติของคนทำงาน ย่อมมีข้อตำหนิติติงเป็นธรรมดา ยิ่งทำแล้วงานไม่เข้าก็ยิ่งสร้างความเสียหายไปอีกเท่าทวีคูณ ดังนั้น การเดินทางทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีพื้นที่ การเดินหน้าเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมวลชนคนเสื้อแดง จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างแรก พร้อม ๆ กับการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
เป็นการเลือกที่จะเดินไปพร้อมกัน มากกว่าการเลือกที่จะก้าวด้านหนึ่งด้านใดออกไปก่อน
การที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย พร้อมสรรพ ทั้งมวลชน ทั้งการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ผ่านการเลือกตั้ง ทั้งการได้เป็นรัฐบาล ถืออำนาจรัฐ และการมี ’ทุน“ สนับสนุนทางการเมืองที่มโหฬาร ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รณรงค์เพื่อเช็กเรตติ้งการเมืองผ่านการ ’โหวตโน“ และพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ยังอยู่ในสภาพ ’แพแตก“
ที่สำคัญ รัฐบาลยังไม่ได้ตอบสนองต่อ ’ความหวัง“ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ลดภาษีนิติบุคคล เริ่มโครงการรับจำนำข้าว ฯลฯ
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงมีสภาพอย่างที่เห็นคือ เดินไปพร้อม ๆ กันทั้ง 2 ทางทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณและคนเสื้อแดง
แต่ ’โอกาส“ ในทางการเมืองนั้นมีเวลา แต่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้ไปอย่างพร่ำเพรื่อ
สภาพวันนี้จึงเหมือนกับว่ารัฐบาลกำลัง ’เล่นเกมเร็ว“ เพราะเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้าทางการเมืองอย่างการกลับมาของคนบ้านเลขที่ 111 จะผลิกโฉมหน้ารัฐบาลอีกครั้ง.
ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////
นอกจากแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ’สัญญาหน้าฝน“ ไว้เมื่อครั้งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งจะถูกตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ ถูกตั้งคำถามถึงระยะเวลาเพื่อให้สัญญาเหล่านั้นเกิดผลเป็น ’รูปธรรม“ ขึ้นมาแล้ว ยังถูกถามถึงนโยบายบางอย่างว่าเป็นลักษณะของการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายสืบสายโลหิตผู้เป็น ’ต้นแบบ“ ทางการเมือง ขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญกับความต้องการของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มุ่งเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมให้กับ ’มวลชน“ ผ่านข้อเสนออย่างการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้สูญเสีย 91 ศพ ศพละ 10 ล้านบาท รวมถึงข้อเสนอที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.3 ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ มิหนำซ้ำยังโดนมรสุมจากข่าวผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยที่ชื่อ วิม รุ่งวัฒนจินดา อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริหารจัดการสื่อมวลชน 3 ฉบับ
ทั้งหมดนี้เป็น “ความเคลื่อนไหว” ที่มีปลายทางอยู่ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเป็นสำคัญ ถือเป็น ’มรสุมการเมือง“ ที่ตั้งเค้าอย่างรวดเร็วกับรัฐบาลซึ่งในทาง
นิตินัยแล้วเป็น “รัฐบาลผสม” ขณะที่ในทางพฤตินัยแล้วเป็น ’รัฐบาลพรรคเดียว“ เสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
น่าสนใจว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความจงใจของพรรคเพื่อไทย เป็นความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงหรือเป็น ’สถานการณ์“ ที่ไหลมาบรรจบกันพอดี
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ไว้เนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 79 ช่วงหนึ่งถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้ว่า
“ผมฟังจากรัฐมนตรีบางคนเล่าให้ฟังว่าในการประชุมครม. นายกฯ พูดดี ขอให้รอดูท่านชี้แจง อย่างไรก็ตาม คิดว่านายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงทุกข้อให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือ รมต. แต่ละด้านไปชี้แจงอย่างเช่นด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง แล้วนายกฯ ก็อาจจะสรุปรวบยอดเป็นเรื่อง ๆ ไป คนบริหารธุรกิจขนาดนี้คงไม่มีปัญหาในการโต้ตอบ นายกฯ เป็นผู้หญิงจึงอ่อนน้อมถ่อมตนนิดหน่อย ไม่เหมือนผู้ชายที่ตูมตาม”
ถือเป็น ’ข้อคิด“ จากนายกรัฐมนตรีคนที่ 21
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก้าวขึ้นมาท่ามกลางความคาดหวังจากคนส่วนใหญ่ของประเทศให้เข้ามาแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสร้างความปรองดอง พร้อม ๆ กับความไม่สมหวังจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้จึงถือว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีเวลาและยังเป็นที่พึ่งที่หวังของคนส่วนมากอยู่
นี่กระมังที่เป็น ’เกราะ“ ป้องกันชั้นดีให้รัฐบาลที่มา พร้อมกับความคาดหวังอย่างสูงยิ่ง ได้รับโอกาสในการทำงานและไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามสภาพความเป็นจริง และนี่แหละที่จะเป็น ’เกราะ“ ที่สำคัญหากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะใช้โอกาสตรงนี้ คลายปมทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
กรณี วีซ่ารัฐบาลญี่ปุ่น นั่นคือเรื่องแรก เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนที่ตรงกันว่า เป็นการร้องขอจากรัฐบาลตามที่โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงข่าว เป็นการทำหน้าที่ของ รมว.การต่างประเทศที่ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่แต่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่งและการดำเนินการตามกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นนโยบายหรือไม่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคเพื่อไทยระบุว่า จะเร่งรัดให้เสร็จภายใน 3 เดือน ก็เป็นเรื่องที่สร้างความกังขาว่า นี่ใช่เรื่องที่รัฐบาล ’สัญญา“ ไว้ว่าจะทำทันทีหรอกหรือ
ยิ่งความเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง ที่แม้จะมี ’บางฝ่าย“ เห็นว่าไม่ควรเคลื่อนไหวเพราะจะกลายเป็น ’ภาระ“ กลายเป็นประเด็นไปกลบเกลื่อนความพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ดูเหมือนแกนนำบางส่วนก็ยังคงเดินหน้า ทั้งการมีข้อเสนอศพละ 10 ล้านบาท ทั้งการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัว ’แนวร่วม“ ทั้งการจัดการชุมนุมรำลึกถึงเหตุการณ์
หรือกรณี ’ข้อหา“ ที่กรรมการบริหารพรรคถูก ’กล่าวหา“ ว่ามีส่วนเข้าไปจัดการบริหารสื่อ
ทั้งหมดนี้แม้จะถูกมองว่าเป็น ’ด้านลบ“ กับรัฐบาลและทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตกเป็นเป้าทางการเมืองและอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าแก้ไขปัญหา แต่หากมองโดยดูจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหากจะต้องใช้เวลา เพราะตามธรรมชาติของการเป็นรัฐบาลมี ’น้อยมาก“ และเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ยิ่งอยู่นานคะแนนความนิยมทางการเมืองจะยิ่งสูงขึ้น
ตามธรรมชาติของคนทำงาน ย่อมมีข้อตำหนิติติงเป็นธรรมดา ยิ่งทำแล้วงานไม่เข้าก็ยิ่งสร้างความเสียหายไปอีกเท่าทวีคูณ ดังนั้น การเดินทางทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีพื้นที่ การเดินหน้าเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมวลชนคนเสื้อแดง จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างแรก พร้อม ๆ กับการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
เป็นการเลือกที่จะเดินไปพร้อมกัน มากกว่าการเลือกที่จะก้าวด้านหนึ่งด้านใดออกไปก่อน
การที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย พร้อมสรรพ ทั้งมวลชน ทั้งการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ผ่านการเลือกตั้ง ทั้งการได้เป็นรัฐบาล ถืออำนาจรัฐ และการมี ’ทุน“ สนับสนุนทางการเมืองที่มโหฬาร ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รณรงค์เพื่อเช็กเรตติ้งการเมืองผ่านการ ’โหวตโน“ และพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ยังอยู่ในสภาพ ’แพแตก“
ที่สำคัญ รัฐบาลยังไม่ได้ตอบสนองต่อ ’ความหวัง“ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ลดภาษีนิติบุคคล เริ่มโครงการรับจำนำข้าว ฯลฯ
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงมีสภาพอย่างที่เห็นคือ เดินไปพร้อม ๆ กันทั้ง 2 ทางทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณและคนเสื้อแดง
แต่ ’โอกาส“ ในทางการเมืองนั้นมีเวลา แต่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้ไปอย่างพร่ำเพรื่อ
สภาพวันนี้จึงเหมือนกับว่ารัฐบาลกำลัง ’เล่นเกมเร็ว“ เพราะเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้าทางการเมืองอย่างการกลับมาของคนบ้านเลขที่ 111 จะผลิกโฉมหน้ารัฐบาลอีกครั้ง.
ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554
กิตติรัตน์
จะมีสักกี่คน...ที่ปฏิเสธตำแหน่งรัฐมนตรี เท่ากับที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เคยปฏิเสธมา...
กระบี่สำคัญที่ทำให้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย...ได้รับความเชื่อถือในระดับที่เป็นสากลเช่นปัจจุบัน... ก็คือเขา...
กิตติรัตน์...ขอวางมือในขณะที่คนทุกๆ ฝ่ายขอร้องให้เขาอยู่ต่อ...
จะมีสักกี่คนที่ได้รับการเสนอให้ทำงานและบริหารในกิจการขนาดใหญ่เกือบจะทุกชนิด แต่เขาเลือกที่จะไปอยู่กับฟุตบอลและอยากจะสร้างฟุตบอลไทยให้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลก
แค่ 6 ปี... หลังจบปริญญาตรี...เขาเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของบริษัทมหาชน...
20 ปีหลังปริญญาตรี เขาเป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์...หลายฝ่ายคิดว่าเป็นส้มหล่น...เพราะคนที่ถูกวางตัวไว้ก่อนหน้า... ไม่ว่า โอฬาร ไชยประวัติ หรือ วิชิต สุรพงษ์ชัย... ซึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ... กิตติรัตน์ ก็ได้รับการทาบทามวางตัว
กับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์... และนโยบายรับจำนำข้าวในราคาตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท... นี่เป็นเรื่องใหญ่และเป็นความเป็นความตายของรัฐบาลนี้...
ถ้ารัฐบาลนี้ทำได้... ความจนของชาวนาไทยก็จะสิ้นสุด...ธุรกิจราคาล้านๆ บาท... ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับประเทศต่างๆ เกือบจะทั่วโลก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย... จึงต้องพึ่งพาคนที่เธอไว้ใจและเชื่อถืออย่างที่สุด
การกำจัดคนกลางออกจากวงการค้าข้าว... คือการเผชิญหน้ากับ...ขบวนการมาเฟียที่มีอายุยืนยาวที่สุด การช่วงชิงความมั่งคั่งมั่งมีจาก มาเฟียข้าว เอามาจ่ายแจกให้กับชาวนา...ย่อมต้องเผชิญกับอิทธิพลและคลื่นลมมากมาย
นี่อาจจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์...
ยิ่งใหญ่เพราะว่า 100 ปีที่ผ่านมา...บนความยากจนข้นแค้นของชาวนา...ได้สร้าง ธนราชันย์ขึ้นมาเป็นเจ้าของของ...สถาบันการเงิน...ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศนี้
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กระบี่สำคัญที่ทำให้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย...ได้รับความเชื่อถือในระดับที่เป็นสากลเช่นปัจจุบัน... ก็คือเขา...
กิตติรัตน์...ขอวางมือในขณะที่คนทุกๆ ฝ่ายขอร้องให้เขาอยู่ต่อ...
จะมีสักกี่คนที่ได้รับการเสนอให้ทำงานและบริหารในกิจการขนาดใหญ่เกือบจะทุกชนิด แต่เขาเลือกที่จะไปอยู่กับฟุตบอลและอยากจะสร้างฟุตบอลไทยให้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลก
แค่ 6 ปี... หลังจบปริญญาตรี...เขาเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของบริษัทมหาชน...
20 ปีหลังปริญญาตรี เขาเป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์...หลายฝ่ายคิดว่าเป็นส้มหล่น...เพราะคนที่ถูกวางตัวไว้ก่อนหน้า... ไม่ว่า โอฬาร ไชยประวัติ หรือ วิชิต สุรพงษ์ชัย... ซึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ... กิตติรัตน์ ก็ได้รับการทาบทามวางตัว
กับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์... และนโยบายรับจำนำข้าวในราคาตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท... นี่เป็นเรื่องใหญ่และเป็นความเป็นความตายของรัฐบาลนี้...
ถ้ารัฐบาลนี้ทำได้... ความจนของชาวนาไทยก็จะสิ้นสุด...ธุรกิจราคาล้านๆ บาท... ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับประเทศต่างๆ เกือบจะทั่วโลก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย... จึงต้องพึ่งพาคนที่เธอไว้ใจและเชื่อถืออย่างที่สุด
การกำจัดคนกลางออกจากวงการค้าข้าว... คือการเผชิญหน้ากับ...ขบวนการมาเฟียที่มีอายุยืนยาวที่สุด การช่วงชิงความมั่งคั่งมั่งมีจาก มาเฟียข้าว เอามาจ่ายแจกให้กับชาวนา...ย่อมต้องเผชิญกับอิทธิพลและคลื่นลมมากมาย
นี่อาจจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์...
ยิ่งใหญ่เพราะว่า 100 ปีที่ผ่านมา...บนความยากจนข้นแค้นของชาวนา...ได้สร้าง ธนราชันย์ขึ้นมาเป็นเจ้าของของ...สถาบันการเงิน...ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศนี้
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554
อยู่ในใจประชาชน!!
“ซุเปอร์พี” พินิจ จารุสมบัติ ยังเสมอต้นเสมอปลาย ขยันขันแข็ง ออกไปพบปะกับชาวหนองคายทุกคน??
ใครมีสารทุกข์สุขดิบ เดือดร้อนประการใด “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” ก็เป็นธุระแก้ไขทันที
อีกทั้งสร้างเกียรติคุณให้ชาวหนองคาย โดยไปทอดผ้าป่าสามัคคี หาเงินสร้างหอสมุดเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ให้โรงเรียนวิสิทธิ์อำนวยฯ เป็นบ่อเกิดทางปัญญา ชั้นดี
สิ่งใดที่ทำให้ “ชาวหนองคาย” อยู่ดี กินดี เรียนดี มีความรู้ “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” เดินหน้าทำอย่างไม่หยุดยั้ง!!!
เป็นนักการเมืองที่คบได้สนิทใจ....ใครมีอะไร... “คุณพี่พินิจ” ก็ลงแก้ไขให้ทุกครั้ง???
++++++++++++++++++++++++++++
ทำ “ประเทศชาติ” ให้สะอาด!!!
หยุด! ไม่ให้ “ยาเสพติด” ได้ระบาด???
ต้องบอกว่า...นโยบายของสมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ “อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน...ทำให้เยาวชนไทย ห่างไกล ยาเสพติด
“ท่านสุวัจน์” นำนักกีฬาระดับบิ๊กซุเปอร์โฟร์ ทั้ง เทนนิส-สนุกเกอร์-กอล์ฟ มาเป็นแบบอย่าง ให้เยาวชนเดินตาม จนท๊อปฮิต
ทุกวันนี้, เยาวชนไทย ต่างหันมาเล่นกีฬากันอย่างสร้างสรรค์ ไม่หมกมุ่น งมงาย อยู่กับยาบ้า ยาไอซ์ ยาเลิฟ.. ทำให้อนาคตของชาติ กระปรี้กระเปร่า พากันสุขสรรค์!!!
เครดิตแห่งความดี....ขอยกให้ “คุณพี่สุวัจน์”คนนี้?...เอาไปรับประทานเต็มที่ขอรับท่าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“ทองแท้” ผู้ไม่ กลัวไฟ!!!
เป็นน้ำโพลารีสชั้นเยี่ยม เป็นนักการเมืองชั้นยอด..ขอบอกว่า “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” ส.ส.กทม.เขต ๔ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองน้ำใหม่????
อนาคตใสปิ๊ง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจ เสมอมา
นับแต่เป็น “ผู้แทน” มีแต่ผลงานที่เข้าต๊า..เข้าตา
ไม่สร้างปัญหา,แบ่งแยกสีเสื้อใด ๆ ..เป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ และเดินสายกลาง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ...ดูอนาคตกันแล้ว “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” น่าได้เป็นรัฐมนตรี!!!
ประชาธิปัตย์กลับมาใหญ่...เก้าอี้รัฐมนตรีก็ไม่ไปไหน..ต้องหล่นใส่ “คุณอนุชา”จ๊ะคุณพี่
+++++++++++++++++++++++++++++++++
จัดแถวเรียงหนึ่ง ไปเรียบร้อย!!
ชื่นมื่น ชื่นชม “รัฐมนตรีปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เก๋ไก๋กว่า “รัฐมนตรีอภิสิทธิ์” มิใช่น้อย?
มาดูแถวสองกันบ้าง...ผู้ที่จะเข้ามาเป็น “ประธานที่ปรึกษาความมั่นคง” กลั่นกรองงานให้กับ “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ยืนตะเบ๊ะท่าฮึกเหิม อยู่ตรงนู้น ก้อ, “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”
จะเข้ามามีบทบาท เป็นหูเป็นตา ดูแลกระทรวงกลาโหม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ศอ.บต.” และ กองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ “กอ.รมน.”
ใครที่จะมาจับ “คุณยิ่งลักษณ์” ดองเป็นปูเค็ม คงไม่ง่ายคงไม่หมู!!
เมื่อมี “บิ๊กพัลลภ”เป็นแบ็ค....ขืนใครตะลุยแหลก?...ต้องแหกด่าน “บิ๊กพัลลภ”ก่อนถึงตัว “นายกฯปู”??
++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น “เงื่อนไข” ข้อเดียว!!!
ที่นายกฯหญิงแห่งประเทศไทย “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ให้แดงเข้ามาเกี่ยว??
เพื่อไม่ให้กระแส ที่กราดเกรี้ยว ลงมาเล่นงาน “รัฐบาลปู๑” แบบโหมกระหน่ำ..
แต่รับประกันซ่อมฟรีว่า ภายใน ๖ เดือน “นปช.แดงทั้งแดง” ต้องได้เป็น “รัฐมนตรี”อย่างสง่างาม
ทั้ง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” คิดจะกินอาหารให้อร่อย ก็ต้องคอยใจเย็น..เย็น!!!!!
รัฐมนตรีได้เป็นแน่นอนล่ะน้อง...อดใจอย่าได้เรียกร้อง?..ถึงเวลายังไง ก็ต้องได้เป็น???
ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
ใครมีสารทุกข์สุขดิบ เดือดร้อนประการใด “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” ก็เป็นธุระแก้ไขทันที
อีกทั้งสร้างเกียรติคุณให้ชาวหนองคาย โดยไปทอดผ้าป่าสามัคคี หาเงินสร้างหอสมุดเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ให้โรงเรียนวิสิทธิ์อำนวยฯ เป็นบ่อเกิดทางปัญญา ชั้นดี
สิ่งใดที่ทำให้ “ชาวหนองคาย” อยู่ดี กินดี เรียนดี มีความรู้ “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” เดินหน้าทำอย่างไม่หยุดยั้ง!!!
เป็นนักการเมืองที่คบได้สนิทใจ....ใครมีอะไร... “คุณพี่พินิจ” ก็ลงแก้ไขให้ทุกครั้ง???
++++++++++++++++++++++++++++
ทำ “ประเทศชาติ” ให้สะอาด!!!
หยุด! ไม่ให้ “ยาเสพติด” ได้ระบาด???
ต้องบอกว่า...นโยบายของสมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ “อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน...ทำให้เยาวชนไทย ห่างไกล ยาเสพติด
“ท่านสุวัจน์” นำนักกีฬาระดับบิ๊กซุเปอร์โฟร์ ทั้ง เทนนิส-สนุกเกอร์-กอล์ฟ มาเป็นแบบอย่าง ให้เยาวชนเดินตาม จนท๊อปฮิต
ทุกวันนี้, เยาวชนไทย ต่างหันมาเล่นกีฬากันอย่างสร้างสรรค์ ไม่หมกมุ่น งมงาย อยู่กับยาบ้า ยาไอซ์ ยาเลิฟ.. ทำให้อนาคตของชาติ กระปรี้กระเปร่า พากันสุขสรรค์!!!
เครดิตแห่งความดี....ขอยกให้ “คุณพี่สุวัจน์”คนนี้?...เอาไปรับประทานเต็มที่ขอรับท่าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“ทองแท้” ผู้ไม่ กลัวไฟ!!!
เป็นน้ำโพลารีสชั้นเยี่ยม เป็นนักการเมืองชั้นยอด..ขอบอกว่า “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” ส.ส.กทม.เขต ๔ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองน้ำใหม่????
อนาคตใสปิ๊ง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจ เสมอมา
นับแต่เป็น “ผู้แทน” มีแต่ผลงานที่เข้าต๊า..เข้าตา
ไม่สร้างปัญหา,แบ่งแยกสีเสื้อใด ๆ ..เป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ และเดินสายกลาง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ...ดูอนาคตกันแล้ว “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” น่าได้เป็นรัฐมนตรี!!!
ประชาธิปัตย์กลับมาใหญ่...เก้าอี้รัฐมนตรีก็ไม่ไปไหน..ต้องหล่นใส่ “คุณอนุชา”จ๊ะคุณพี่
+++++++++++++++++++++++++++++++++
จัดแถวเรียงหนึ่ง ไปเรียบร้อย!!
ชื่นมื่น ชื่นชม “รัฐมนตรีปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เก๋ไก๋กว่า “รัฐมนตรีอภิสิทธิ์” มิใช่น้อย?
มาดูแถวสองกันบ้าง...ผู้ที่จะเข้ามาเป็น “ประธานที่ปรึกษาความมั่นคง” กลั่นกรองงานให้กับ “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ยืนตะเบ๊ะท่าฮึกเหิม อยู่ตรงนู้น ก้อ, “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”
จะเข้ามามีบทบาท เป็นหูเป็นตา ดูแลกระทรวงกลาโหม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ศอ.บต.” และ กองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ “กอ.รมน.”
ใครที่จะมาจับ “คุณยิ่งลักษณ์” ดองเป็นปูเค็ม คงไม่ง่ายคงไม่หมู!!
เมื่อมี “บิ๊กพัลลภ”เป็นแบ็ค....ขืนใครตะลุยแหลก?...ต้องแหกด่าน “บิ๊กพัลลภ”ก่อนถึงตัว “นายกฯปู”??
++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น “เงื่อนไข” ข้อเดียว!!!
ที่นายกฯหญิงแห่งประเทศไทย “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ให้แดงเข้ามาเกี่ยว??
เพื่อไม่ให้กระแส ที่กราดเกรี้ยว ลงมาเล่นงาน “รัฐบาลปู๑” แบบโหมกระหน่ำ..
แต่รับประกันซ่อมฟรีว่า ภายใน ๖ เดือน “นปช.แดงทั้งแดง” ต้องได้เป็น “รัฐมนตรี”อย่างสง่างาม
ทั้ง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” คิดจะกินอาหารให้อร่อย ก็ต้องคอยใจเย็น..เย็น!!!!!
รัฐมนตรีได้เป็นแน่นอนล่ะน้อง...อดใจอย่าได้เรียกร้อง?..ถึงเวลายังไง ก็ต้องได้เป็น???
ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
ถอดถอน.. คนเคยกันเองที่ เล่นกันแรง !!?
รัฐบาลควรมีสมาธิในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองมากกว่าที่จะต้องออกมาชี้แจงในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง
นายนพดล ปัทมะ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนก็เคยนั่งเก้าอี้เดียวกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศมาก่อนให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 ส.ค.
ก็เป็นเรื่องที่ใช่เลย ที่รัฐมนตรีหน้าใหม่ พึงระวังไว้ว่าไม่ควรไปทำอะไร ’นอกลู่นอกทาง“ และทำการในลักษณะเพื่อคนหนึ่งคนใด ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรจะทำ
แต่การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง อดีต รมว.วัฒนธรรมและ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา แถลงข่าวระบุว่า จะยื่น ’ถอด
ถอน“ นายสุรพงษ์ โดยใช้เสียง 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมดหรือ 125 คน จากนั้นยื่นต่อประธานวุฒิสภา ขณะเดียวกันก็ดำเนินคดีอาญากับนายสุรพงษ์และอาจจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.หากเข้าข่าย
กรณีนี้ไม่ใช่จู่ ๆ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านจะลุกขึ้นมา ’ชงเองกินเอง“ แต่เป็นข่าวที่ปรากฏออกตามสื่อมวลชนและมาจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งจากตัวนายสุรพงษ์เอง จากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและจากโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละส่วนพูดไม่ตรงกันเอาซะเลย
เรื่องนี้ถือเป็น ’เรื่องใหญ่“ ที่คนระดับรัฐมนตรีไม่ควรไปดำเนินการเช่นนี้
ที่สุดแล้ว นายสุรพงษ์ ก็กลายเป็น ’รูโหว่“ ของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ไปจนได้
แต่หากดูโจทก์ ดูจำเลยแล้วจะพบว่า ครั้งหนึ่งนายนิพิฏฐ์กับนายสุรพงษ์ เคยกอดคอสู้คดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาด้วยกัน
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ทวิตเตอร์ ผ่าน @SatitTrang เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า สมัยสุรพงษ์เป็น ส.ส.ปชป.ไม่เคยจับงานด้านต่างประเทศเลย ภารกิจตอนนั้นคือตรวจสอบทักษิณเรื่องโทรคมนาคม ไปดูรายงานการประชุมสภาได้ และสุรพงษ์มีบทบาทต้านทักษิณแข็งขันมากเพราะอยู่ไอบีเอ็มมาก่อน จนถูกฟ้องมีคดีต้องให้นิพิฏฐ์ช่วยจึงรอดมาได้ เวลามา ปชป.ตอนนั้นสุรพงษ์มักจะมาพร้อมคำทำนายต่าง ๆเรื่องการหมดอำนาจของทักษิณ จนคนใน ปชป.งงจนวันนี้ว่าสุรพงษ์คนนี้คนเดียวกับตอนนั้นรึเปล่า
แต่การเมืองก็อย่างที่รู้ ’ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร“ และนายสุรพงษ์ก็ไม่ใช่ ’ครั้งแรก“ นายนพดล นั้นเคยมาก่อนและเป็นรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ถูกเบรกกระแสจาก’นักร้องอาชีพ“ อย่าง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย
“พรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าในช่วงปลายรัฐบาลรักษาการพรรคประชาธิปัตย์ มีการทิ้งทวนหลายโครงการซึ่งพรรคจะยื่นเรื่องให้รัฐบาลใหม่ตรวจสอบ โดยเฉพาะโครงการประกวดราคาก่อสร้างบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกหรืออีสวอเตอร์ มูลค่า 900 ล้านบาทน่าจะมีการล็อกสเปก โครงการจ้างก่อสร้างอาคารปฏิบัติการและระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระเปลี่ยนเที่ยวบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 1,909 ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบปรับอากาศอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินและสะพานเทียบเครื่องบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 645 ล้านบาท ที่มีเวลาในการเตรียมข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาสั้นมาก”
ส.ส.มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ชาติ หากเห็นว่าไม่ชอบมาพากล ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนเหมือนที่ร้อง ’รายวัน“ สมัยเป็นฝ่ายค้าน คงต้องปล่อยให้เป็นไปตาม ’กระบวนการ“ เพราะหากไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกลัว แค่เริ่มยังโดนขนาดนี้ เป็นห่วงขาเก้าอี้เจ้ากระทรวงบัวแก้วซะจริง ๆ.
ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////
นายนพดล ปัทมะ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนก็เคยนั่งเก้าอี้เดียวกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศมาก่อนให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 ส.ค.
ก็เป็นเรื่องที่ใช่เลย ที่รัฐมนตรีหน้าใหม่ พึงระวังไว้ว่าไม่ควรไปทำอะไร ’นอกลู่นอกทาง“ และทำการในลักษณะเพื่อคนหนึ่งคนใด ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรจะทำ
แต่การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง อดีต รมว.วัฒนธรรมและ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา แถลงข่าวระบุว่า จะยื่น ’ถอด
ถอน“ นายสุรพงษ์ โดยใช้เสียง 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมดหรือ 125 คน จากนั้นยื่นต่อประธานวุฒิสภา ขณะเดียวกันก็ดำเนินคดีอาญากับนายสุรพงษ์และอาจจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.หากเข้าข่าย
กรณีนี้ไม่ใช่จู่ ๆ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านจะลุกขึ้นมา ’ชงเองกินเอง“ แต่เป็นข่าวที่ปรากฏออกตามสื่อมวลชนและมาจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งจากตัวนายสุรพงษ์เอง จากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและจากโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละส่วนพูดไม่ตรงกันเอาซะเลย
เรื่องนี้ถือเป็น ’เรื่องใหญ่“ ที่คนระดับรัฐมนตรีไม่ควรไปดำเนินการเช่นนี้
ที่สุดแล้ว นายสุรพงษ์ ก็กลายเป็น ’รูโหว่“ ของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ไปจนได้
แต่หากดูโจทก์ ดูจำเลยแล้วจะพบว่า ครั้งหนึ่งนายนิพิฏฐ์กับนายสุรพงษ์ เคยกอดคอสู้คดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาด้วยกัน
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ทวิตเตอร์ ผ่าน @SatitTrang เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า สมัยสุรพงษ์เป็น ส.ส.ปชป.ไม่เคยจับงานด้านต่างประเทศเลย ภารกิจตอนนั้นคือตรวจสอบทักษิณเรื่องโทรคมนาคม ไปดูรายงานการประชุมสภาได้ และสุรพงษ์มีบทบาทต้านทักษิณแข็งขันมากเพราะอยู่ไอบีเอ็มมาก่อน จนถูกฟ้องมีคดีต้องให้นิพิฏฐ์ช่วยจึงรอดมาได้ เวลามา ปชป.ตอนนั้นสุรพงษ์มักจะมาพร้อมคำทำนายต่าง ๆเรื่องการหมดอำนาจของทักษิณ จนคนใน ปชป.งงจนวันนี้ว่าสุรพงษ์คนนี้คนเดียวกับตอนนั้นรึเปล่า
แต่การเมืองก็อย่างที่รู้ ’ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร“ และนายสุรพงษ์ก็ไม่ใช่ ’ครั้งแรก“ นายนพดล นั้นเคยมาก่อนและเป็นรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ถูกเบรกกระแสจาก’นักร้องอาชีพ“ อย่าง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย
“พรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าในช่วงปลายรัฐบาลรักษาการพรรคประชาธิปัตย์ มีการทิ้งทวนหลายโครงการซึ่งพรรคจะยื่นเรื่องให้รัฐบาลใหม่ตรวจสอบ โดยเฉพาะโครงการประกวดราคาก่อสร้างบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกหรืออีสวอเตอร์ มูลค่า 900 ล้านบาทน่าจะมีการล็อกสเปก โครงการจ้างก่อสร้างอาคารปฏิบัติการและระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระเปลี่ยนเที่ยวบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 1,909 ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบปรับอากาศอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินและสะพานเทียบเครื่องบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 645 ล้านบาท ที่มีเวลาในการเตรียมข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาสั้นมาก”
ส.ส.มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ชาติ หากเห็นว่าไม่ชอบมาพากล ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนเหมือนที่ร้อง ’รายวัน“ สมัยเป็นฝ่ายค้าน คงต้องปล่อยให้เป็นไปตาม ’กระบวนการ“ เพราะหากไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกลัว แค่เริ่มยังโดนขนาดนี้ เป็นห่วงขาเก้าอี้เจ้ากระทรวงบัวแก้วซะจริง ๆ.
ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////
ตร.เร่งพิสูจน์ 169 ศพสงสัยเป็นเสื้อแดง-ฝัง 3 วัดระยองช่วงปี 53 !!?
พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับคำสั่งจากพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม และพล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ รองผบ.ตร. ให้เดินทางเข้าตรวจสอบในพื้นที่ต.ชากพง และต.ห้วยยาง อ.แกลง จ.ระยอง หลังจากมีชาวบ้านร้องเรียนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าสงสัยมีการนำศพนับร้อยศพมาฝังไว้ที่วัดในอ.แกลง เมื่อปี 2553 และยังสงสัยว่าอาจเป็นศพนปช.-คนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมประท้วงช่วงเม.ย.-พ.ค.2553 แล้วหายสาญสูญไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สัณฐานลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับพ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.กลุ่มงานคดีแพ่ง พ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ.บ้านกร่ำ จ.ระยอง นายบัญญัติ เศียรเขียว ปลัดฝ่ายความมั่งคงอำเภอแกลง นายระพินทร์ พรานนท์สถิตย์ แกนนำคนเสื้อแดงระยอง พร้อมกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเริ่มตรวจสอบจุดแรกที่วัดคลองตากวา หมู่ 1 ต.ชากพง ซึ่งมีพระอธิการวิรัตน์ อติวีโร เป็นเจ้าอาวาส
พระอธิการวิรัตน์ ให้การว่า ช่วงเดือน ส.ค.2553 มีนายพิทักษ์ ไม่ทราบนามสกุล และนายตี๋ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งทำงานอยู่ที่สมาคมพุทธสตร์สงเคราะห์อำเภอแกลงนำศพมาฝังไว้บริเวณวัด โดยแจ้งว่าได้นำศพเหล่านี้มาจาก จ.ชุมพร เป็นศพไร้ญาติ และพ้นคดีทางกฎหมายหมดแล้ว ขอนำมาฝังเอาไว้ที่วัดแห่งนี้ก่อน จากนั้นปี 2555 จะขุดศพนำไปเผารวมกันทั้งหมด
“อาตมาไม่เคยเห็นสภาพศพว่าเป็นอย่างไร เพียงเขาบอกว่ามีเพียงแต่กระดูก ห่อผ้าขาว ใส่โลงมา ใส่บนรถเทรลเลอร์ 18 ล้อมาที่วัด แล้วใช้รถแบ็กโฮขุดหลุมฝัง บริเวณสวนป่ารอบๆ หน้าวัดไว้เป็นแถวยาว ศพที่นำมาฝังไว้ 72 ศพเป็นผู้ชายทั้งหมด”พระอธิการวิรัตน์กล่าว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบบริเวณที่พระอธิการวิรัตน์ให้การว่า เป็นที่ฝังศพทั้ง 72 ศพบริเวณด้านหน้าวัดคลองตากวา พบมีหลุมฝังศพจริง มีหลุมศพอยู่เรียงรายเป็นแถวยาวประมาณ 500 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสั่งอายัดศพทั้งหมดเอาไว้ และมีคำสั่งห้ามไม่ให้บุคคลเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และห้ามเคลื่อนย้าย ศพออกเด็ดขาด
ต่อมา ตำรวจและคณะเดินทางไปต่อไปที่วัดห้วยยาง หมู่ที่ 3 ต.ห้วยยาง พบพระครูสังฆรักษ์ วุฒิสาโร เจ้าอาวาส ซึ่งให้การว่ามีคนนำศพมาขอฝังในพื้นที่วัดช่วงดังกล่าวจริง โดยพระครูสังฆรักษ์พาไปดูหลุมฝังศพอยู่ในป่าสวนยางด้านหลังวัด ซึ่งมีจำนวน 65 หลุมศพ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบที่วัดสมอโพรง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั้น พบหลุมฝังศพอีกจำนวน 32 หลุมศพ เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดหลุมศพทั้ง 2 วัดจำนวน 97 หลุมศพ ซึ่งเมื่อรวมกับที่วัดคลองตากวา จำนวน 72 หลุมศพแล้วมีทั้งสิ้น 169 หลุมศพ
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ได้รับคำสั่งจากพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้มาตรวจสอบศพเหล่านี้ว่าเป็นศพใครมาอยู่ที่ จ.ระยองได้อย่างไร เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่หายไปจากการชุมนุมประท้วงครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะมีคนเสื้อแดงหายไปเป็นจำนวนมากในการชุมนุม จึงสั่งอายัดศพทั้งหมด และต้องมีการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าศพเหล่าเป็นใครมาจากไหน ต้องพิสูจน์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอทุกศพ ทั้งนี้ วันเดียวกันนี้ได้สอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้หมดแล้ว ไม่ว่าคนที่ไปเอาศพมาฝัง ใครเป็นคนให้เอาฝัง มีหนังสือรับรองการตายหรือไม่ ที่มาที่ไปของศพเหล่านี้
“จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดทั้ง 3 แห่งทราบว่าศพจำนวนมากดังกล่าวถูกนำมาฝากฝังไว้ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 2553 ไม่มีหลักฐานการตายที่ชัดเจน โดยทางมูลนิธิพุทธศาสตร์สงเคราะห์ อ.แกลง นำมาจาก จ.ชุมพร มาฝากฝังไว้และจะทำการขุดในปี 2555 โดยในเบื้องต้นได้สั่งอายัดศพทั้งหมดไว้ และในวันที่ 19 ส.ค.นี้ จะดำเนินการขุดหลุมฝังศพขึ้นมาตรวจสอบดีเอ็นเอ” พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าว
ด้านพ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ. บ้านกร่ำ กล่าวว่า หลังจากมีคำสั่งให้ดำเนินการตรวจศพปริศนาที่นำมาฝังไว้ในพื้นที่สภ.บ้านกร่ำ เบื้องต้นสอบสวนทราบว่ามีมูลนิธิแห่งหนึ่งในอ.แกลง ได้นำศพไร้ญาติมาฝากฝังไว้ที่จริง พบว่าจำนวน 169 ศพ จึงแจ้งอายัดหลุมฝังศพทั้งหมดไว้แล้ว 169 หลุม พร้อมทั้งจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ที่วัดคลองตาวา อ.แกลง เพื่อรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความชัดเจนต่อไป
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สัณฐานลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับพ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.กลุ่มงานคดีแพ่ง พ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ.บ้านกร่ำ จ.ระยอง นายบัญญัติ เศียรเขียว ปลัดฝ่ายความมั่งคงอำเภอแกลง นายระพินทร์ พรานนท์สถิตย์ แกนนำคนเสื้อแดงระยอง พร้อมกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเริ่มตรวจสอบจุดแรกที่วัดคลองตากวา หมู่ 1 ต.ชากพง ซึ่งมีพระอธิการวิรัตน์ อติวีโร เป็นเจ้าอาวาส
พระอธิการวิรัตน์ ให้การว่า ช่วงเดือน ส.ค.2553 มีนายพิทักษ์ ไม่ทราบนามสกุล และนายตี๋ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งทำงานอยู่ที่สมาคมพุทธสตร์สงเคราะห์อำเภอแกลงนำศพมาฝังไว้บริเวณวัด โดยแจ้งว่าได้นำศพเหล่านี้มาจาก จ.ชุมพร เป็นศพไร้ญาติ และพ้นคดีทางกฎหมายหมดแล้ว ขอนำมาฝังเอาไว้ที่วัดแห่งนี้ก่อน จากนั้นปี 2555 จะขุดศพนำไปเผารวมกันทั้งหมด
“อาตมาไม่เคยเห็นสภาพศพว่าเป็นอย่างไร เพียงเขาบอกว่ามีเพียงแต่กระดูก ห่อผ้าขาว ใส่โลงมา ใส่บนรถเทรลเลอร์ 18 ล้อมาที่วัด แล้วใช้รถแบ็กโฮขุดหลุมฝัง บริเวณสวนป่ารอบๆ หน้าวัดไว้เป็นแถวยาว ศพที่นำมาฝังไว้ 72 ศพเป็นผู้ชายทั้งหมด”พระอธิการวิรัตน์กล่าว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบบริเวณที่พระอธิการวิรัตน์ให้การว่า เป็นที่ฝังศพทั้ง 72 ศพบริเวณด้านหน้าวัดคลองตากวา พบมีหลุมฝังศพจริง มีหลุมศพอยู่เรียงรายเป็นแถวยาวประมาณ 500 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสั่งอายัดศพทั้งหมดเอาไว้ และมีคำสั่งห้ามไม่ให้บุคคลเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และห้ามเคลื่อนย้าย ศพออกเด็ดขาด
ต่อมา ตำรวจและคณะเดินทางไปต่อไปที่วัดห้วยยาง หมู่ที่ 3 ต.ห้วยยาง พบพระครูสังฆรักษ์ วุฒิสาโร เจ้าอาวาส ซึ่งให้การว่ามีคนนำศพมาขอฝังในพื้นที่วัดช่วงดังกล่าวจริง โดยพระครูสังฆรักษ์พาไปดูหลุมฝังศพอยู่ในป่าสวนยางด้านหลังวัด ซึ่งมีจำนวน 65 หลุมศพ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบที่วัดสมอโพรง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั้น พบหลุมฝังศพอีกจำนวน 32 หลุมศพ เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดหลุมศพทั้ง 2 วัดจำนวน 97 หลุมศพ ซึ่งเมื่อรวมกับที่วัดคลองตากวา จำนวน 72 หลุมศพแล้วมีทั้งสิ้น 169 หลุมศพ
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ได้รับคำสั่งจากพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้มาตรวจสอบศพเหล่านี้ว่าเป็นศพใครมาอยู่ที่ จ.ระยองได้อย่างไร เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่หายไปจากการชุมนุมประท้วงครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะมีคนเสื้อแดงหายไปเป็นจำนวนมากในการชุมนุม จึงสั่งอายัดศพทั้งหมด และต้องมีการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าศพเหล่าเป็นใครมาจากไหน ต้องพิสูจน์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอทุกศพ ทั้งนี้ วันเดียวกันนี้ได้สอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้หมดแล้ว ไม่ว่าคนที่ไปเอาศพมาฝัง ใครเป็นคนให้เอาฝัง มีหนังสือรับรองการตายหรือไม่ ที่มาที่ไปของศพเหล่านี้
“จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดทั้ง 3 แห่งทราบว่าศพจำนวนมากดังกล่าวถูกนำมาฝากฝังไว้ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 2553 ไม่มีหลักฐานการตายที่ชัดเจน โดยทางมูลนิธิพุทธศาสตร์สงเคราะห์ อ.แกลง นำมาจาก จ.ชุมพร มาฝากฝังไว้และจะทำการขุดในปี 2555 โดยในเบื้องต้นได้สั่งอายัดศพทั้งหมดไว้ และในวันที่ 19 ส.ค.นี้ จะดำเนินการขุดหลุมฝังศพขึ้นมาตรวจสอบดีเอ็นเอ” พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าว
ด้านพ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ. บ้านกร่ำ กล่าวว่า หลังจากมีคำสั่งให้ดำเนินการตรวจศพปริศนาที่นำมาฝังไว้ในพื้นที่สภ.บ้านกร่ำ เบื้องต้นสอบสวนทราบว่ามีมูลนิธิแห่งหนึ่งในอ.แกลง ได้นำศพไร้ญาติมาฝากฝังไว้ที่จริง พบว่าจำนวน 169 ศพ จึงแจ้งอายัดหลุมฝังศพทั้งหมดไว้แล้ว 169 หลุม พร้อมทั้งจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ที่วัดคลองตาวา อ.แกลง เพื่อรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความชัดเจนต่อไป
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)