ตามกำหนดการ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในระหว่างวันที่ 23-24 สิงหาคมที่จะถึงนี้ แต่ดูเหมือนการเริ่มต้นของรัฐบาลตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นลักษณะที่เรียกว่า ’หาเรื่องใส่ตัว“ ซะมากกว่าถูกคู่กรณีทางการเมืองอย่างพรรคฝ่ายค้าน ’ตามขุดคุ้ย“
นอกจากแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ’สัญญาหน้าฝน“ ไว้เมื่อครั้งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งจะถูกตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ ถูกตั้งคำถามถึงระยะเวลาเพื่อให้สัญญาเหล่านั้นเกิดผลเป็น ’รูปธรรม“ ขึ้นมาแล้ว ยังถูกถามถึงนโยบายบางอย่างว่าเป็นลักษณะของการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายสืบสายโลหิตผู้เป็น ’ต้นแบบ“ ทางการเมือง ขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญกับความต้องการของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มุ่งเดินหน้าแสวงหาความยุติธรรมให้กับ ’มวลชน“ ผ่านข้อเสนออย่างการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้สูญเสีย 91 ศพ ศพละ 10 ล้านบาท รวมถึงข้อเสนอที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.3 ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ มิหนำซ้ำยังโดนมรสุมจากข่าวผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยที่ชื่อ วิม รุ่งวัฒนจินดา อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริหารจัดการสื่อมวลชน 3 ฉบับ
ทั้งหมดนี้เป็น “ความเคลื่อนไหว” ที่มีปลายทางอยู่ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเป็นสำคัญ ถือเป็น ’มรสุมการเมือง“ ที่ตั้งเค้าอย่างรวดเร็วกับรัฐบาลซึ่งในทาง
นิตินัยแล้วเป็น “รัฐบาลผสม” ขณะที่ในทางพฤตินัยแล้วเป็น ’รัฐบาลพรรคเดียว“ เสียงเกินกึ่งหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
น่าสนใจว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความจงใจของพรรคเพื่อไทย เป็นความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นของมวลชนคนเสื้อแดงหรือเป็น ’สถานการณ์“ ที่ไหลมาบรรจบกันพอดี
นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ไว้เนื่องในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 79 ช่วงหนึ่งถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไว้ว่า
“ผมฟังจากรัฐมนตรีบางคนเล่าให้ฟังว่าในการประชุมครม. นายกฯ พูดดี ขอให้รอดูท่านชี้แจง อย่างไรก็ตาม คิดว่านายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงทุกข้อให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือ รมต. แต่ละด้านไปชี้แจงอย่างเช่นด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง แล้วนายกฯ ก็อาจจะสรุปรวบยอดเป็นเรื่อง ๆ ไป คนบริหารธุรกิจขนาดนี้คงไม่มีปัญหาในการโต้ตอบ นายกฯ เป็นผู้หญิงจึงอ่อนน้อมถ่อมตนนิดหน่อย ไม่เหมือนผู้ชายที่ตูมตาม”
ถือเป็น ’ข้อคิด“ จากนายกรัฐมนตรีคนที่ 21
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก้าวขึ้นมาท่ามกลางความคาดหวังจากคนส่วนใหญ่ของประเทศให้เข้ามาแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสร้างความปรองดอง พร้อม ๆ กับความไม่สมหวังจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้จึงถือว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีเวลาและยังเป็นที่พึ่งที่หวังของคนส่วนมากอยู่
นี่กระมังที่เป็น ’เกราะ“ ป้องกันชั้นดีให้รัฐบาลที่มา พร้อมกับความคาดหวังอย่างสูงยิ่ง ได้รับโอกาสในการทำงานและไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามสภาพความเป็นจริง และนี่แหละที่จะเป็น ’เกราะ“ ที่สำคัญหากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะใช้โอกาสตรงนี้ คลายปมทางการเมืองให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
กรณี วีซ่ารัฐบาลญี่ปุ่น นั่นคือเรื่องแรก เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนที่ตรงกันว่า เป็นการร้องขอจากรัฐบาลตามที่โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงข่าว เป็นการทำหน้าที่ของ รมว.การต่างประเทศที่ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่แต่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่งและการดำเนินการตามกฎหมายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นนโยบายหรือไม่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคเพื่อไทยระบุว่า จะเร่งรัดให้เสร็จภายใน 3 เดือน ก็เป็นเรื่องที่สร้างความกังขาว่า นี่ใช่เรื่องที่รัฐบาล ’สัญญา“ ไว้ว่าจะทำทันทีหรอกหรือ
ยิ่งความเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง ที่แม้จะมี ’บางฝ่าย“ เห็นว่าไม่ควรเคลื่อนไหวเพราะจะกลายเป็น ’ภาระ“ กลายเป็นประเด็นไปกลบเกลื่อนความพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ดูเหมือนแกนนำบางส่วนก็ยังคงเดินหน้า ทั้งการมีข้อเสนอศพละ 10 ล้านบาท ทั้งการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัว ’แนวร่วม“ ทั้งการจัดการชุมนุมรำลึกถึงเหตุการณ์
หรือกรณี ’ข้อหา“ ที่กรรมการบริหารพรรคถูก ’กล่าวหา“ ว่ามีส่วนเข้าไปจัดการบริหารสื่อ
ทั้งหมดนี้แม้จะถูกมองว่าเป็น ’ด้านลบ“ กับรัฐบาลและทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตกเป็นเป้าทางการเมืองและอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าแก้ไขปัญหา แต่หากมองโดยดูจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหากจะต้องใช้เวลา เพราะตามธรรมชาติของการเป็นรัฐบาลมี ’น้อยมาก“ และเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ยิ่งอยู่นานคะแนนความนิยมทางการเมืองจะยิ่งสูงขึ้น
ตามธรรมชาติของคนทำงาน ย่อมมีข้อตำหนิติติงเป็นธรรมดา ยิ่งทำแล้วงานไม่เข้าก็ยิ่งสร้างความเสียหายไปอีกเท่าทวีคูณ ดังนั้น การเดินทางทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มีพื้นที่ การเดินหน้าเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมวลชนคนเสื้อแดง จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างแรก พร้อม ๆ กับการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
เป็นการเลือกที่จะเดินไปพร้อมกัน มากกว่าการเลือกที่จะก้าวด้านหนึ่งด้านใดออกไปก่อน
การที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย พร้อมสรรพ ทั้งมวลชน ทั้งการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ผ่านการเลือกตั้ง ทั้งการได้เป็นรัฐบาล ถืออำนาจรัฐ และการมี ’ทุน“ สนับสนุนทางการเมืองที่มโหฬาร ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รณรงค์เพื่อเช็กเรตติ้งการเมืองผ่านการ ’โหวตโน“ และพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ยังอยู่ในสภาพ ’แพแตก“
ที่สำคัญ รัฐบาลยังไม่ได้ตอบสนองต่อ ’ความหวัง“ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ลดภาษีนิติบุคคล เริ่มโครงการรับจำนำข้าว ฯลฯ
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงมีสภาพอย่างที่เห็นคือ เดินไปพร้อม ๆ กันทั้ง 2 ทางทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณและคนเสื้อแดง
แต่ ’โอกาส“ ในทางการเมืองนั้นมีเวลา แต่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้ไปอย่างพร่ำเพรื่อ
สภาพวันนี้จึงเหมือนกับว่ารัฐบาลกำลัง ’เล่นเกมเร็ว“ เพราะเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้าทางการเมืองอย่างการกลับมาของคนบ้านเลขที่ 111 จะผลิกโฉมหน้ารัฐบาลอีกครั้ง.
ที่มา: เดลินิวส์
////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554
กิตติรัตน์
จะมีสักกี่คน...ที่ปฏิเสธตำแหน่งรัฐมนตรี เท่ากับที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง เคยปฏิเสธมา...
กระบี่สำคัญที่ทำให้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย...ได้รับความเชื่อถือในระดับที่เป็นสากลเช่นปัจจุบัน... ก็คือเขา...
กิตติรัตน์...ขอวางมือในขณะที่คนทุกๆ ฝ่ายขอร้องให้เขาอยู่ต่อ...
จะมีสักกี่คนที่ได้รับการเสนอให้ทำงานและบริหารในกิจการขนาดใหญ่เกือบจะทุกชนิด แต่เขาเลือกที่จะไปอยู่กับฟุตบอลและอยากจะสร้างฟุตบอลไทยให้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลก
แค่ 6 ปี... หลังจบปริญญาตรี...เขาเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของบริษัทมหาชน...
20 ปีหลังปริญญาตรี เขาเป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์...หลายฝ่ายคิดว่าเป็นส้มหล่น...เพราะคนที่ถูกวางตัวไว้ก่อนหน้า... ไม่ว่า โอฬาร ไชยประวัติ หรือ วิชิต สุรพงษ์ชัย... ซึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ... กิตติรัตน์ ก็ได้รับการทาบทามวางตัว
กับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์... และนโยบายรับจำนำข้าวในราคาตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท... นี่เป็นเรื่องใหญ่และเป็นความเป็นความตายของรัฐบาลนี้...
ถ้ารัฐบาลนี้ทำได้... ความจนของชาวนาไทยก็จะสิ้นสุด...ธุรกิจราคาล้านๆ บาท... ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับประเทศต่างๆ เกือบจะทั่วโลก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย... จึงต้องพึ่งพาคนที่เธอไว้ใจและเชื่อถืออย่างที่สุด
การกำจัดคนกลางออกจากวงการค้าข้าว... คือการเผชิญหน้ากับ...ขบวนการมาเฟียที่มีอายุยืนยาวที่สุด การช่วงชิงความมั่งคั่งมั่งมีจาก มาเฟียข้าว เอามาจ่ายแจกให้กับชาวนา...ย่อมต้องเผชิญกับอิทธิพลและคลื่นลมมากมาย
นี่อาจจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์...
ยิ่งใหญ่เพราะว่า 100 ปีที่ผ่านมา...บนความยากจนข้นแค้นของชาวนา...ได้สร้าง ธนราชันย์ขึ้นมาเป็นเจ้าของของ...สถาบันการเงิน...ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศนี้
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กระบี่สำคัญที่ทำให้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย...ได้รับความเชื่อถือในระดับที่เป็นสากลเช่นปัจจุบัน... ก็คือเขา...
กิตติรัตน์...ขอวางมือในขณะที่คนทุกๆ ฝ่ายขอร้องให้เขาอยู่ต่อ...
จะมีสักกี่คนที่ได้รับการเสนอให้ทำงานและบริหารในกิจการขนาดใหญ่เกือบจะทุกชนิด แต่เขาเลือกที่จะไปอยู่กับฟุตบอลและอยากจะสร้างฟุตบอลไทยให้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลก
แค่ 6 ปี... หลังจบปริญญาตรี...เขาเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ของบริษัทมหาชน...
20 ปีหลังปริญญาตรี เขาเป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์...หลายฝ่ายคิดว่าเป็นส้มหล่น...เพราะคนที่ถูกวางตัวไว้ก่อนหน้า... ไม่ว่า โอฬาร ไชยประวัติ หรือ วิชิต สุรพงษ์ชัย... ซึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ... กิตติรัตน์ ก็ได้รับการทาบทามวางตัว
กับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์... และนโยบายรับจำนำข้าวในราคาตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท... นี่เป็นเรื่องใหญ่และเป็นความเป็นความตายของรัฐบาลนี้...
ถ้ารัฐบาลนี้ทำได้... ความจนของชาวนาไทยก็จะสิ้นสุด...ธุรกิจราคาล้านๆ บาท... ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับประเทศต่างๆ เกือบจะทั่วโลก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย... จึงต้องพึ่งพาคนที่เธอไว้ใจและเชื่อถืออย่างที่สุด
การกำจัดคนกลางออกจากวงการค้าข้าว... คือการเผชิญหน้ากับ...ขบวนการมาเฟียที่มีอายุยืนยาวที่สุด การช่วงชิงความมั่งคั่งมั่งมีจาก มาเฟียข้าว เอามาจ่ายแจกให้กับชาวนา...ย่อมต้องเผชิญกับอิทธิพลและคลื่นลมมากมาย
นี่อาจจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์...
ยิ่งใหญ่เพราะว่า 100 ปีที่ผ่านมา...บนความยากจนข้นแค้นของชาวนา...ได้สร้าง ธนราชันย์ขึ้นมาเป็นเจ้าของของ...สถาบันการเงิน...ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศนี้
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554
อยู่ในใจประชาชน!!
“ซุเปอร์พี” พินิจ จารุสมบัติ ยังเสมอต้นเสมอปลาย ขยันขันแข็ง ออกไปพบปะกับชาวหนองคายทุกคน??
ใครมีสารทุกข์สุขดิบ เดือดร้อนประการใด “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” ก็เป็นธุระแก้ไขทันที
อีกทั้งสร้างเกียรติคุณให้ชาวหนองคาย โดยไปทอดผ้าป่าสามัคคี หาเงินสร้างหอสมุดเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ให้โรงเรียนวิสิทธิ์อำนวยฯ เป็นบ่อเกิดทางปัญญา ชั้นดี
สิ่งใดที่ทำให้ “ชาวหนองคาย” อยู่ดี กินดี เรียนดี มีความรู้ “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” เดินหน้าทำอย่างไม่หยุดยั้ง!!!
เป็นนักการเมืองที่คบได้สนิทใจ....ใครมีอะไร... “คุณพี่พินิจ” ก็ลงแก้ไขให้ทุกครั้ง???
++++++++++++++++++++++++++++
ทำ “ประเทศชาติ” ให้สะอาด!!!
หยุด! ไม่ให้ “ยาเสพติด” ได้ระบาด???
ต้องบอกว่า...นโยบายของสมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ “อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน...ทำให้เยาวชนไทย ห่างไกล ยาเสพติด
“ท่านสุวัจน์” นำนักกีฬาระดับบิ๊กซุเปอร์โฟร์ ทั้ง เทนนิส-สนุกเกอร์-กอล์ฟ มาเป็นแบบอย่าง ให้เยาวชนเดินตาม จนท๊อปฮิต
ทุกวันนี้, เยาวชนไทย ต่างหันมาเล่นกีฬากันอย่างสร้างสรรค์ ไม่หมกมุ่น งมงาย อยู่กับยาบ้า ยาไอซ์ ยาเลิฟ.. ทำให้อนาคตของชาติ กระปรี้กระเปร่า พากันสุขสรรค์!!!
เครดิตแห่งความดี....ขอยกให้ “คุณพี่สุวัจน์”คนนี้?...เอาไปรับประทานเต็มที่ขอรับท่าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“ทองแท้” ผู้ไม่ กลัวไฟ!!!
เป็นน้ำโพลารีสชั้นเยี่ยม เป็นนักการเมืองชั้นยอด..ขอบอกว่า “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” ส.ส.กทม.เขต ๔ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองน้ำใหม่????
อนาคตใสปิ๊ง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจ เสมอมา
นับแต่เป็น “ผู้แทน” มีแต่ผลงานที่เข้าต๊า..เข้าตา
ไม่สร้างปัญหา,แบ่งแยกสีเสื้อใด ๆ ..เป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ และเดินสายกลาง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ...ดูอนาคตกันแล้ว “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” น่าได้เป็นรัฐมนตรี!!!
ประชาธิปัตย์กลับมาใหญ่...เก้าอี้รัฐมนตรีก็ไม่ไปไหน..ต้องหล่นใส่ “คุณอนุชา”จ๊ะคุณพี่
+++++++++++++++++++++++++++++++++
จัดแถวเรียงหนึ่ง ไปเรียบร้อย!!
ชื่นมื่น ชื่นชม “รัฐมนตรีปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เก๋ไก๋กว่า “รัฐมนตรีอภิสิทธิ์” มิใช่น้อย?
มาดูแถวสองกันบ้าง...ผู้ที่จะเข้ามาเป็น “ประธานที่ปรึกษาความมั่นคง” กลั่นกรองงานให้กับ “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ยืนตะเบ๊ะท่าฮึกเหิม อยู่ตรงนู้น ก้อ, “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”
จะเข้ามามีบทบาท เป็นหูเป็นตา ดูแลกระทรวงกลาโหม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ศอ.บต.” และ กองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ “กอ.รมน.”
ใครที่จะมาจับ “คุณยิ่งลักษณ์” ดองเป็นปูเค็ม คงไม่ง่ายคงไม่หมู!!
เมื่อมี “บิ๊กพัลลภ”เป็นแบ็ค....ขืนใครตะลุยแหลก?...ต้องแหกด่าน “บิ๊กพัลลภ”ก่อนถึงตัว “นายกฯปู”??
++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น “เงื่อนไข” ข้อเดียว!!!
ที่นายกฯหญิงแห่งประเทศไทย “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ให้แดงเข้ามาเกี่ยว??
เพื่อไม่ให้กระแส ที่กราดเกรี้ยว ลงมาเล่นงาน “รัฐบาลปู๑” แบบโหมกระหน่ำ..
แต่รับประกันซ่อมฟรีว่า ภายใน ๖ เดือน “นปช.แดงทั้งแดง” ต้องได้เป็น “รัฐมนตรี”อย่างสง่างาม
ทั้ง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” คิดจะกินอาหารให้อร่อย ก็ต้องคอยใจเย็น..เย็น!!!!!
รัฐมนตรีได้เป็นแน่นอนล่ะน้อง...อดใจอย่าได้เรียกร้อง?..ถึงเวลายังไง ก็ต้องได้เป็น???
ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
ใครมีสารทุกข์สุขดิบ เดือดร้อนประการใด “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” ก็เป็นธุระแก้ไขทันที
อีกทั้งสร้างเกียรติคุณให้ชาวหนองคาย โดยไปทอดผ้าป่าสามัคคี หาเงินสร้างหอสมุดเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ให้โรงเรียนวิสิทธิ์อำนวยฯ เป็นบ่อเกิดทางปัญญา ชั้นดี
สิ่งใดที่ทำให้ “ชาวหนองคาย” อยู่ดี กินดี เรียนดี มีความรู้ “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” เดินหน้าทำอย่างไม่หยุดยั้ง!!!
เป็นนักการเมืองที่คบได้สนิทใจ....ใครมีอะไร... “คุณพี่พินิจ” ก็ลงแก้ไขให้ทุกครั้ง???
++++++++++++++++++++++++++++
ทำ “ประเทศชาติ” ให้สะอาด!!!
หยุด! ไม่ให้ “ยาเสพติด” ได้ระบาด???
ต้องบอกว่า...นโยบายของสมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ “อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน...ทำให้เยาวชนไทย ห่างไกล ยาเสพติด
“ท่านสุวัจน์” นำนักกีฬาระดับบิ๊กซุเปอร์โฟร์ ทั้ง เทนนิส-สนุกเกอร์-กอล์ฟ มาเป็นแบบอย่าง ให้เยาวชนเดินตาม จนท๊อปฮิต
ทุกวันนี้, เยาวชนไทย ต่างหันมาเล่นกีฬากันอย่างสร้างสรรค์ ไม่หมกมุ่น งมงาย อยู่กับยาบ้า ยาไอซ์ ยาเลิฟ.. ทำให้อนาคตของชาติ กระปรี้กระเปร่า พากันสุขสรรค์!!!
เครดิตแห่งความดี....ขอยกให้ “คุณพี่สุวัจน์”คนนี้?...เอาไปรับประทานเต็มที่ขอรับท่าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“ทองแท้” ผู้ไม่ กลัวไฟ!!!
เป็นน้ำโพลารีสชั้นเยี่ยม เป็นนักการเมืองชั้นยอด..ขอบอกว่า “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” ส.ส.กทม.เขต ๔ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักการเมืองน้ำใหม่????
อนาคตใสปิ๊ง รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจ เสมอมา
นับแต่เป็น “ผู้แทน” มีแต่ผลงานที่เข้าต๊า..เข้าตา
ไม่สร้างปัญหา,แบ่งแยกสีเสื้อใด ๆ ..เป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ และเดินสายกลาง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติ...ดูอนาคตกันแล้ว “คุณอนุชา บูรพชัยศรี” น่าได้เป็นรัฐมนตรี!!!
ประชาธิปัตย์กลับมาใหญ่...เก้าอี้รัฐมนตรีก็ไม่ไปไหน..ต้องหล่นใส่ “คุณอนุชา”จ๊ะคุณพี่
+++++++++++++++++++++++++++++++++
จัดแถวเรียงหนึ่ง ไปเรียบร้อย!!
ชื่นมื่น ชื่นชม “รัฐมนตรีปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เก๋ไก๋กว่า “รัฐมนตรีอภิสิทธิ์” มิใช่น้อย?
มาดูแถวสองกันบ้าง...ผู้ที่จะเข้ามาเป็น “ประธานที่ปรึกษาความมั่นคง” กลั่นกรองงานให้กับ “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
ยืนตะเบ๊ะท่าฮึกเหิม อยู่ตรงนู้น ก้อ, “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”
จะเข้ามามีบทบาท เป็นหูเป็นตา ดูแลกระทรวงกลาโหม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ “ศอ.บต.” และ กองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ “กอ.รมน.”
ใครที่จะมาจับ “คุณยิ่งลักษณ์” ดองเป็นปูเค็ม คงไม่ง่ายคงไม่หมู!!
เมื่อมี “บิ๊กพัลลภ”เป็นแบ็ค....ขืนใครตะลุยแหลก?...ต้องแหกด่าน “บิ๊กพัลลภ”ก่อนถึงตัว “นายกฯปู”??
++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น “เงื่อนไข” ข้อเดียว!!!
ที่นายกฯหญิงแห่งประเทศไทย “คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ให้แดงเข้ามาเกี่ยว??
เพื่อไม่ให้กระแส ที่กราดเกรี้ยว ลงมาเล่นงาน “รัฐบาลปู๑” แบบโหมกระหน่ำ..
แต่รับประกันซ่อมฟรีว่า ภายใน ๖ เดือน “นปช.แดงทั้งแดง” ต้องได้เป็น “รัฐมนตรี”อย่างสง่างาม
ทั้ง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” และ “จตุพร พรหมพันธ์ุ” คิดจะกินอาหารให้อร่อย ก็ต้องคอยใจเย็น..เย็น!!!!!
รัฐมนตรีได้เป็นแน่นอนล่ะน้อง...อดใจอย่าได้เรียกร้อง?..ถึงเวลายังไง ก็ต้องได้เป็น???
ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////
ถอดถอน.. คนเคยกันเองที่ เล่นกันแรง !!?
รัฐบาลควรมีสมาธิในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองมากกว่าที่จะต้องออกมาชี้แจงในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง
นายนพดล ปัทมะ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนก็เคยนั่งเก้าอี้เดียวกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศมาก่อนให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 ส.ค.
ก็เป็นเรื่องที่ใช่เลย ที่รัฐมนตรีหน้าใหม่ พึงระวังไว้ว่าไม่ควรไปทำอะไร ’นอกลู่นอกทาง“ และทำการในลักษณะเพื่อคนหนึ่งคนใด ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรจะทำ
แต่การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง อดีต รมว.วัฒนธรรมและ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา แถลงข่าวระบุว่า จะยื่น ’ถอด
ถอน“ นายสุรพงษ์ โดยใช้เสียง 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมดหรือ 125 คน จากนั้นยื่นต่อประธานวุฒิสภา ขณะเดียวกันก็ดำเนินคดีอาญากับนายสุรพงษ์และอาจจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.หากเข้าข่าย
กรณีนี้ไม่ใช่จู่ ๆ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านจะลุกขึ้นมา ’ชงเองกินเอง“ แต่เป็นข่าวที่ปรากฏออกตามสื่อมวลชนและมาจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งจากตัวนายสุรพงษ์เอง จากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและจากโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละส่วนพูดไม่ตรงกันเอาซะเลย
เรื่องนี้ถือเป็น ’เรื่องใหญ่“ ที่คนระดับรัฐมนตรีไม่ควรไปดำเนินการเช่นนี้
ที่สุดแล้ว นายสุรพงษ์ ก็กลายเป็น ’รูโหว่“ ของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ไปจนได้
แต่หากดูโจทก์ ดูจำเลยแล้วจะพบว่า ครั้งหนึ่งนายนิพิฏฐ์กับนายสุรพงษ์ เคยกอดคอสู้คดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาด้วยกัน
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ทวิตเตอร์ ผ่าน @SatitTrang เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า สมัยสุรพงษ์เป็น ส.ส.ปชป.ไม่เคยจับงานด้านต่างประเทศเลย ภารกิจตอนนั้นคือตรวจสอบทักษิณเรื่องโทรคมนาคม ไปดูรายงานการประชุมสภาได้ และสุรพงษ์มีบทบาทต้านทักษิณแข็งขันมากเพราะอยู่ไอบีเอ็มมาก่อน จนถูกฟ้องมีคดีต้องให้นิพิฏฐ์ช่วยจึงรอดมาได้ เวลามา ปชป.ตอนนั้นสุรพงษ์มักจะมาพร้อมคำทำนายต่าง ๆเรื่องการหมดอำนาจของทักษิณ จนคนใน ปชป.งงจนวันนี้ว่าสุรพงษ์คนนี้คนเดียวกับตอนนั้นรึเปล่า
แต่การเมืองก็อย่างที่รู้ ’ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร“ และนายสุรพงษ์ก็ไม่ใช่ ’ครั้งแรก“ นายนพดล นั้นเคยมาก่อนและเป็นรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ถูกเบรกกระแสจาก’นักร้องอาชีพ“ อย่าง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย
“พรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าในช่วงปลายรัฐบาลรักษาการพรรคประชาธิปัตย์ มีการทิ้งทวนหลายโครงการซึ่งพรรคจะยื่นเรื่องให้รัฐบาลใหม่ตรวจสอบ โดยเฉพาะโครงการประกวดราคาก่อสร้างบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกหรืออีสวอเตอร์ มูลค่า 900 ล้านบาทน่าจะมีการล็อกสเปก โครงการจ้างก่อสร้างอาคารปฏิบัติการและระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระเปลี่ยนเที่ยวบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 1,909 ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบปรับอากาศอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินและสะพานเทียบเครื่องบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 645 ล้านบาท ที่มีเวลาในการเตรียมข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาสั้นมาก”
ส.ส.มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ชาติ หากเห็นว่าไม่ชอบมาพากล ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนเหมือนที่ร้อง ’รายวัน“ สมัยเป็นฝ่ายค้าน คงต้องปล่อยให้เป็นไปตาม ’กระบวนการ“ เพราะหากไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกลัว แค่เริ่มยังโดนขนาดนี้ เป็นห่วงขาเก้าอี้เจ้ากระทรวงบัวแก้วซะจริง ๆ.
ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////
นายนพดล ปัทมะ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนก็เคยนั่งเก้าอี้เดียวกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศมาก่อนให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 ส.ค.
ก็เป็นเรื่องที่ใช่เลย ที่รัฐมนตรีหน้าใหม่ พึงระวังไว้ว่าไม่ควรไปทำอะไร ’นอกลู่นอกทาง“ และทำการในลักษณะเพื่อคนหนึ่งคนใด ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรจะทำ
แต่การที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง อดีต รมว.วัฒนธรรมและ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา แถลงข่าวระบุว่า จะยื่น ’ถอด
ถอน“ นายสุรพงษ์ โดยใช้เสียง 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมดหรือ 125 คน จากนั้นยื่นต่อประธานวุฒิสภา ขณะเดียวกันก็ดำเนินคดีอาญากับนายสุรพงษ์และอาจจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.หากเข้าข่าย
กรณีนี้ไม่ใช่จู่ ๆ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านจะลุกขึ้นมา ’ชงเองกินเอง“ แต่เป็นข่าวที่ปรากฏออกตามสื่อมวลชนและมาจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งจากตัวนายสุรพงษ์เอง จากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและจากโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละส่วนพูดไม่ตรงกันเอาซะเลย
เรื่องนี้ถือเป็น ’เรื่องใหญ่“ ที่คนระดับรัฐมนตรีไม่ควรไปดำเนินการเช่นนี้
ที่สุดแล้ว นายสุรพงษ์ ก็กลายเป็น ’รูโหว่“ ของรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ไปจนได้
แต่หากดูโจทก์ ดูจำเลยแล้วจะพบว่า ครั้งหนึ่งนายนิพิฏฐ์กับนายสุรพงษ์ เคยกอดคอสู้คดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาด้วยกัน
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ทวิตเตอร์ ผ่าน @SatitTrang เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า สมัยสุรพงษ์เป็น ส.ส.ปชป.ไม่เคยจับงานด้านต่างประเทศเลย ภารกิจตอนนั้นคือตรวจสอบทักษิณเรื่องโทรคมนาคม ไปดูรายงานการประชุมสภาได้ และสุรพงษ์มีบทบาทต้านทักษิณแข็งขันมากเพราะอยู่ไอบีเอ็มมาก่อน จนถูกฟ้องมีคดีต้องให้นิพิฏฐ์ช่วยจึงรอดมาได้ เวลามา ปชป.ตอนนั้นสุรพงษ์มักจะมาพร้อมคำทำนายต่าง ๆเรื่องการหมดอำนาจของทักษิณ จนคนใน ปชป.งงจนวันนี้ว่าสุรพงษ์คนนี้คนเดียวกับตอนนั้นรึเปล่า
แต่การเมืองก็อย่างที่รู้ ’ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร“ และนายสุรพงษ์ก็ไม่ใช่ ’ครั้งแรก“ นายนพดล นั้นเคยมาก่อนและเป็นรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ถูกเบรกกระแสจาก’นักร้องอาชีพ“ อย่าง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย
“พรรคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าในช่วงปลายรัฐบาลรักษาการพรรคประชาธิปัตย์ มีการทิ้งทวนหลายโครงการซึ่งพรรคจะยื่นเรื่องให้รัฐบาลใหม่ตรวจสอบ โดยเฉพาะโครงการประกวดราคาก่อสร้างบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกหรืออีสวอเตอร์ มูลค่า 900 ล้านบาทน่าจะมีการล็อกสเปก โครงการจ้างก่อสร้างอาคารปฏิบัติการและระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระเปลี่ยนเที่ยวบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 1,909 ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบปรับอากาศอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินและสะพานเทียบเครื่องบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 645 ล้านบาท ที่มีเวลาในการเตรียมข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาสั้นมาก”
ส.ส.มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ชาติ หากเห็นว่าไม่ชอบมาพากล ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนเหมือนที่ร้อง ’รายวัน“ สมัยเป็นฝ่ายค้าน คงต้องปล่อยให้เป็นไปตาม ’กระบวนการ“ เพราะหากไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกลัว แค่เริ่มยังโดนขนาดนี้ เป็นห่วงขาเก้าอี้เจ้ากระทรวงบัวแก้วซะจริง ๆ.
ที่มา: เดลินิวส์
/////////////////////////////////////////////////////////////
ตร.เร่งพิสูจน์ 169 ศพสงสัยเป็นเสื้อแดง-ฝัง 3 วัดระยองช่วงปี 53 !!?
พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับคำสั่งจากพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม และพล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ รองผบ.ตร. ให้เดินทางเข้าตรวจสอบในพื้นที่ต.ชากพง และต.ห้วยยาง อ.แกลง จ.ระยอง หลังจากมีชาวบ้านร้องเรียนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าสงสัยมีการนำศพนับร้อยศพมาฝังไว้ที่วัดในอ.แกลง เมื่อปี 2553 และยังสงสัยว่าอาจเป็นศพนปช.-คนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมประท้วงช่วงเม.ย.-พ.ค.2553 แล้วหายสาญสูญไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สัณฐานลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับพ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.กลุ่มงานคดีแพ่ง พ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ.บ้านกร่ำ จ.ระยอง นายบัญญัติ เศียรเขียว ปลัดฝ่ายความมั่งคงอำเภอแกลง นายระพินทร์ พรานนท์สถิตย์ แกนนำคนเสื้อแดงระยอง พร้อมกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเริ่มตรวจสอบจุดแรกที่วัดคลองตากวา หมู่ 1 ต.ชากพง ซึ่งมีพระอธิการวิรัตน์ อติวีโร เป็นเจ้าอาวาส
พระอธิการวิรัตน์ ให้การว่า ช่วงเดือน ส.ค.2553 มีนายพิทักษ์ ไม่ทราบนามสกุล และนายตี๋ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งทำงานอยู่ที่สมาคมพุทธสตร์สงเคราะห์อำเภอแกลงนำศพมาฝังไว้บริเวณวัด โดยแจ้งว่าได้นำศพเหล่านี้มาจาก จ.ชุมพร เป็นศพไร้ญาติ และพ้นคดีทางกฎหมายหมดแล้ว ขอนำมาฝังเอาไว้ที่วัดแห่งนี้ก่อน จากนั้นปี 2555 จะขุดศพนำไปเผารวมกันทั้งหมด
“อาตมาไม่เคยเห็นสภาพศพว่าเป็นอย่างไร เพียงเขาบอกว่ามีเพียงแต่กระดูก ห่อผ้าขาว ใส่โลงมา ใส่บนรถเทรลเลอร์ 18 ล้อมาที่วัด แล้วใช้รถแบ็กโฮขุดหลุมฝัง บริเวณสวนป่ารอบๆ หน้าวัดไว้เป็นแถวยาว ศพที่นำมาฝังไว้ 72 ศพเป็นผู้ชายทั้งหมด”พระอธิการวิรัตน์กล่าว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบบริเวณที่พระอธิการวิรัตน์ให้การว่า เป็นที่ฝังศพทั้ง 72 ศพบริเวณด้านหน้าวัดคลองตากวา พบมีหลุมฝังศพจริง มีหลุมศพอยู่เรียงรายเป็นแถวยาวประมาณ 500 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสั่งอายัดศพทั้งหมดเอาไว้ และมีคำสั่งห้ามไม่ให้บุคคลเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และห้ามเคลื่อนย้าย ศพออกเด็ดขาด
ต่อมา ตำรวจและคณะเดินทางไปต่อไปที่วัดห้วยยาง หมู่ที่ 3 ต.ห้วยยาง พบพระครูสังฆรักษ์ วุฒิสาโร เจ้าอาวาส ซึ่งให้การว่ามีคนนำศพมาขอฝังในพื้นที่วัดช่วงดังกล่าวจริง โดยพระครูสังฆรักษ์พาไปดูหลุมฝังศพอยู่ในป่าสวนยางด้านหลังวัด ซึ่งมีจำนวน 65 หลุมศพ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบที่วัดสมอโพรง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั้น พบหลุมฝังศพอีกจำนวน 32 หลุมศพ เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดหลุมศพทั้ง 2 วัดจำนวน 97 หลุมศพ ซึ่งเมื่อรวมกับที่วัดคลองตากวา จำนวน 72 หลุมศพแล้วมีทั้งสิ้น 169 หลุมศพ
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ได้รับคำสั่งจากพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้มาตรวจสอบศพเหล่านี้ว่าเป็นศพใครมาอยู่ที่ จ.ระยองได้อย่างไร เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่หายไปจากการชุมนุมประท้วงครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะมีคนเสื้อแดงหายไปเป็นจำนวนมากในการชุมนุม จึงสั่งอายัดศพทั้งหมด และต้องมีการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าศพเหล่าเป็นใครมาจากไหน ต้องพิสูจน์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอทุกศพ ทั้งนี้ วันเดียวกันนี้ได้สอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้หมดแล้ว ไม่ว่าคนที่ไปเอาศพมาฝัง ใครเป็นคนให้เอาฝัง มีหนังสือรับรองการตายหรือไม่ ที่มาที่ไปของศพเหล่านี้
“จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดทั้ง 3 แห่งทราบว่าศพจำนวนมากดังกล่าวถูกนำมาฝากฝังไว้ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 2553 ไม่มีหลักฐานการตายที่ชัดเจน โดยทางมูลนิธิพุทธศาสตร์สงเคราะห์ อ.แกลง นำมาจาก จ.ชุมพร มาฝากฝังไว้และจะทำการขุดในปี 2555 โดยในเบื้องต้นได้สั่งอายัดศพทั้งหมดไว้ และในวันที่ 19 ส.ค.นี้ จะดำเนินการขุดหลุมฝังศพขึ้นมาตรวจสอบดีเอ็นเอ” พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าว
ด้านพ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ. บ้านกร่ำ กล่าวว่า หลังจากมีคำสั่งให้ดำเนินการตรวจศพปริศนาที่นำมาฝังไว้ในพื้นที่สภ.บ้านกร่ำ เบื้องต้นสอบสวนทราบว่ามีมูลนิธิแห่งหนึ่งในอ.แกลง ได้นำศพไร้ญาติมาฝากฝังไว้ที่จริง พบว่าจำนวน 169 ศพ จึงแจ้งอายัดหลุมฝังศพทั้งหมดไว้แล้ว 169 หลุม พร้อมทั้งจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ที่วัดคลองตาวา อ.แกลง เพื่อรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความชัดเจนต่อไป
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สัณฐานลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับพ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.กลุ่มงานคดีแพ่ง พ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ.บ้านกร่ำ จ.ระยอง นายบัญญัติ เศียรเขียว ปลัดฝ่ายความมั่งคงอำเภอแกลง นายระพินทร์ พรานนท์สถิตย์ แกนนำคนเสื้อแดงระยอง พร้อมกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเริ่มตรวจสอบจุดแรกที่วัดคลองตากวา หมู่ 1 ต.ชากพง ซึ่งมีพระอธิการวิรัตน์ อติวีโร เป็นเจ้าอาวาส
พระอธิการวิรัตน์ ให้การว่า ช่วงเดือน ส.ค.2553 มีนายพิทักษ์ ไม่ทราบนามสกุล และนายตี๋ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งทำงานอยู่ที่สมาคมพุทธสตร์สงเคราะห์อำเภอแกลงนำศพมาฝังไว้บริเวณวัด โดยแจ้งว่าได้นำศพเหล่านี้มาจาก จ.ชุมพร เป็นศพไร้ญาติ และพ้นคดีทางกฎหมายหมดแล้ว ขอนำมาฝังเอาไว้ที่วัดแห่งนี้ก่อน จากนั้นปี 2555 จะขุดศพนำไปเผารวมกันทั้งหมด
“อาตมาไม่เคยเห็นสภาพศพว่าเป็นอย่างไร เพียงเขาบอกว่ามีเพียงแต่กระดูก ห่อผ้าขาว ใส่โลงมา ใส่บนรถเทรลเลอร์ 18 ล้อมาที่วัด แล้วใช้รถแบ็กโฮขุดหลุมฝัง บริเวณสวนป่ารอบๆ หน้าวัดไว้เป็นแถวยาว ศพที่นำมาฝังไว้ 72 ศพเป็นผู้ชายทั้งหมด”พระอธิการวิรัตน์กล่าว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบบริเวณที่พระอธิการวิรัตน์ให้การว่า เป็นที่ฝังศพทั้ง 72 ศพบริเวณด้านหน้าวัดคลองตากวา พบมีหลุมฝังศพจริง มีหลุมศพอยู่เรียงรายเป็นแถวยาวประมาณ 500 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสั่งอายัดศพทั้งหมดเอาไว้ และมีคำสั่งห้ามไม่ให้บุคคลเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และห้ามเคลื่อนย้าย ศพออกเด็ดขาด
ต่อมา ตำรวจและคณะเดินทางไปต่อไปที่วัดห้วยยาง หมู่ที่ 3 ต.ห้วยยาง พบพระครูสังฆรักษ์ วุฒิสาโร เจ้าอาวาส ซึ่งให้การว่ามีคนนำศพมาขอฝังในพื้นที่วัดช่วงดังกล่าวจริง โดยพระครูสังฆรักษ์พาไปดูหลุมฝังศพอยู่ในป่าสวนยางด้านหลังวัด ซึ่งมีจำนวน 65 หลุมศพ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบที่วัดสมอโพรง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั้น พบหลุมฝังศพอีกจำนวน 32 หลุมศพ เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดหลุมศพทั้ง 2 วัดจำนวน 97 หลุมศพ ซึ่งเมื่อรวมกับที่วัดคลองตากวา จำนวน 72 หลุมศพแล้วมีทั้งสิ้น 169 หลุมศพ
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า ได้รับคำสั่งจากพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ให้มาตรวจสอบศพเหล่านี้ว่าเป็นศพใครมาอยู่ที่ จ.ระยองได้อย่างไร เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่หายไปจากการชุมนุมประท้วงครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะมีคนเสื้อแดงหายไปเป็นจำนวนมากในการชุมนุม จึงสั่งอายัดศพทั้งหมด และต้องมีการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าศพเหล่าเป็นใครมาจากไหน ต้องพิสูจน์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอทุกศพ ทั้งนี้ วันเดียวกันนี้ได้สอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องไว้หมดแล้ว ไม่ว่าคนที่ไปเอาศพมาฝัง ใครเป็นคนให้เอาฝัง มีหนังสือรับรองการตายหรือไม่ ที่มาที่ไปของศพเหล่านี้
“จากการสอบถามเจ้าอาวาสวัดทั้ง 3 แห่งทราบว่าศพจำนวนมากดังกล่าวถูกนำมาฝากฝังไว้ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. 2553 ไม่มีหลักฐานการตายที่ชัดเจน โดยทางมูลนิธิพุทธศาสตร์สงเคราะห์ อ.แกลง นำมาจาก จ.ชุมพร มาฝากฝังไว้และจะทำการขุดในปี 2555 โดยในเบื้องต้นได้สั่งอายัดศพทั้งหมดไว้ และในวันที่ 19 ส.ค.นี้ จะดำเนินการขุดหลุมฝังศพขึ้นมาตรวจสอบดีเอ็นเอ” พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าว
ด้านพ.ต.ท.นาวิน ธีระวิทย์ รองผกก.สภ. บ้านกร่ำ กล่าวว่า หลังจากมีคำสั่งให้ดำเนินการตรวจศพปริศนาที่นำมาฝังไว้ในพื้นที่สภ.บ้านกร่ำ เบื้องต้นสอบสวนทราบว่ามีมูลนิธิแห่งหนึ่งในอ.แกลง ได้นำศพไร้ญาติมาฝากฝังไว้ที่จริง พบว่าจำนวน 169 ศพ จึงแจ้งอายัดหลุมฝังศพทั้งหมดไว้แล้ว 169 หลุม พร้อมทั้งจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ที่วัดคลองตาวา อ.แกลง เพื่อรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความชัดเจนต่อไป
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554
คำเตือนก่อนคุณทักษิณไปญี่ปุ่น: ใครฉลาด? ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?
โดยวีรพัฒน์ ปริยวงศ์เมื่อ 15 สิงหาคม
นักกฎหมายระหว่างประเทศ นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ที่มา facebook.com/verapat.pariyawong
พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่ามีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี แต่คุณทักษิณเห็นว่าคำพิพากษานั้นไม่เป็นธรรม จึงปฏิเสธการจับกุมโดยหลีกไปอาศัยอยู่ ณ ต่างประเทศ
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าคุณทักษิณได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจที่ประเทศญี่ปุ่น และมีการให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทย แม้จะมีรายงานข่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ยอมรับว่าได้หารือเรื่องดังกล่าวกับทูตของญี่ปุ่นก็ตาม (http://bit.ly/p91HBp)
ล่าสุด (15 สิงหาคม 2554) สำนักข่าว Kyodo ประเทศญี่ปุ่นรายงานการแถลงข่าวโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า กงสุลใหญ่แห่งญี่ปุ่น ณ ดูไบ ได้ออกหนังสือตรวจลงตรา (วีซ่า) เพื่ออนุญาตให้คุณทักษิณสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกรณีพิเศษ หลังได้รับการร้องขอจากรัฐบาลไทย (“in response to a request from Thailand” http://bit.ly/qVFL8h)
สำนักข่าว AFP รายงานคำแถลงข่าวของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นในทางเดียวกันว่า รัฐบาลไทยได้แจ้งว่าไม่มีนโยบายห้ามคุณทักษิณเดินทางไปประเทศอื่น และขอให้ประเทศญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ (“The Thai government… takes a policy of not prohibiting former prime minister Thaksin from visiting any country and requested that Japan issue a visa” http://bit.ly/mRPUg2)
หากคำพูดของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นพอเชื่อถือได้ สื่อมวลชนไทยสมควรต้องกลับมาถามรัฐบาลไทยที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่กี่วันว่า ที่มีคนบอกว่ารัฐบาลไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่าครั้งนี้นั้น ใครพูดจริง ใครโกหก???
ความจริงหากจะพูดให้ดูดีหน่อย ก็น่าจะบอกว่า กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (ข้อ 12 แห่งสนธิสัญญา ICCPR ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ) ก็รับรองสิทธิเสรีภาพของคุณทักษิณให้สามารถเดินทางได้อย่างเสรีภายในประเทศใดประเทศหนึ่งได้ หากคุณทักษิณเข้าไปในประเทศนั้นโดยถูกกฎหมาย
อีกทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ก็สื่อความให้รัฐบาลไทยต้องเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แน่นอนว่าหากคุณทักษิณเดินทางเข้ามาสู่เขตบังคับของกฎหมายไทย ไทยก็ย่อมต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย
ในเมื่อสุดท้ายคุณทักษิณก็ยังคงเป็นมนุษย์ กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งติดตัวคุณทักษิณอยู่แต่เดิมก็มิได้หายไปไหน การที่คุณทักษิณได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อเดินทางไปแสดงความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และก็คงอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะไปห้ามญี่ปุ่นได้ ไทยจะไปยุ่มย่ามเรื่องภายในก็จะหาว่าแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ
อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 ได้เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ที่ต้องโทษจำคุก เช่น คุณทักษิณ ให้เข้าญี่ปุ่นได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีสมควร
แต่เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีไปช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จนมีผู้ตั้งประเด็นว่าเป็นการทำให้การจับกุมคุณทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้น เป็นการฉลาดหรือไม่ ก็น่าคิดอยู่!
ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?
เกิดคำถามตามมาว่า ในเมื่อคุณทักษิณมีความผิดตามกฎหมายไทย ถูกศาลฎีกาไทยพิพากษาจำคุก 2 ปี แล้วหากคุณทักษิณเดินไปญี่ปุ่น ไทยจะขอให้ญี่ปุ่นส่งตัวคุณทักษิณกลับมารับโทษในประเทศไทยในลักษณะการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่?
ตอบว่าไทยขอได้ แต่ญี่ปุ่นจะส่งตัวคุณทักษิณมาหรือไม่ เป็นไปได้ยาก หากตอบโดยไม่ต้องนึกถึงข้อกฎหมายใดๆ การที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้คุณทักษิณเข้าเมืองมากล่าวสุนทรพจน์และเยี่ยมผู้ประสบภัยเป็นกรณีพิเศษ แล้วค่อยเข้าจับกุมส่งตัวนั้น คงจะดูแปลกอยู่
และหากพิจารณาในข้อกฎหมาย ก็จะพบอุปสรรคหลายด่าน ดังนี้
ด่านที่ 1: ไทยและญี่ปุ่นยังไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
จริงอยู่ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2552 ไทยและญี่ปุ่นได้ลงนามสนธิสัญญาอีกฉบับ คือสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งอาจมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ความจริงสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับกรณีที่ไทยจับคนญี่ปุ่นที่ทำผิดกฎหมายไทย แล้วอาจส่งตัวคนญี่ปุ่นนั้นกลับไปจำคุกที่ญี่ปุ่นตามโทษกฎหมายไทย ในทางเดียวกัน ญี่ปุ่นก็อาจส่งตัวคนไทยที่ทำผิดกฎหมายญี่ปุ่นกลับมาจำคุกที่ไทย
แต่กรณีคดีของคุณทักษิณนั้น เป็นกรณีที่คนไทยต้องโทษจำคุกตามกฎหมายไทย จึงไม่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว (นอกจากคุณทักษิณเข้าญี่ปุ่นแล้วดันทะลึ่งทำผิดกฎหมายบ้านเขาแล้วถูกจำคุก ไทยก็อาจขอให้ส่งตัวมาได้)
ด่านที่ 2: ไม่มีสนธิสัญญาก็ส่งได้ แต่ส่งยาก
การที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ไม่ได้แปลว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะทำไม่ได้ เพียงแต่ทำได้ยาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต้องอาศัยกฎหมายภายในประเทศและ “วิถีทางการทูต” (diplomatic channel)” ซึ่งอาศัยดุลพินิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสำคัญ
ด่านที่ 3: กฎหมายไทยให้อำนาจนักการเมือง ไม่ใช่อัยการ
พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 มาตรา 30 ให้อัยการสูงสุดของไทยมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะร้องขอให้ญี่ปุ่นส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ แต่กระนั้น กฎหมายก็ยังเปิดช่องให้ “คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นอย่างอื่น” ได้ กล่าวคือหากอัยการสูงสุดต้องการขอ แต่คณะรัฐมนตรีไม่ต้องการให้ขอ สุดท้ายก็ขอไม่ได้
ด่านที่ 4: กฎหมายญี่ปุ่นไม่ให้ส่งฟรีๆ
แม้หากสุดท้ายคณะรัฐมนตรีไทยไม่ขัดข้อง ก็มิได้แปลว่าไทยขอแล้วญี่ปุ่นจะให้ทันที แต่กฎหมายภายในของประเทศญี่ปุ่น คือ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2004 กำหนดว่า นอกจากฝ่ายไทยต้องส่งคำขอพร้อมเอกสารรายละเอียดที่เข้าเงื่อนไขต่างๆแล้ว มาตรา 3 ยังบังคับว่า ไทยต้องให้คำมั่นว่าจะส่งตัวผู้ร้ายจากไทยไปที่ญี่ปุ่นในลักษณะต่างตอบแทนอีกด้วย (reciprocity) กล่าวโดยง่ายก็คือ หากไทยไม่มีผู้ร้ายไปสัญญาแลก ญี่ปุ่นก็ไม่ส่งให้
ด่านที่ 5: รัฐมนตรีญี่ปุ่นต้องพอใจ
ไทยต้องเอาผู้ร้ายไปสัญญาแลกเท่านั้นไม่พอ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 4 ยังกำหนดว่า ในกรณีที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นมีดุลพินิจพิจารณาอย่างกว้างขวางว่า “หากเป็นการไม่เหมาะสม” (deemed to be inappropriate) ญี่ปุ่นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำขอของไทย ซึ่งอะไรจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ก็คงสุดแท้แต่ที่ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะคิด
ด่านที่ 6: กฎหมายญี่ปุ่นระบุข้อห้ามไม่ให้ส่งตัว
แม้ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะมองว่าเป็นการเหมาะสมที่จะส่งคุณทักษิณกลับมาประเทศไทย ก็มิใช่ว่าจะส่งได้ แต่ต้องผ่านด่านกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 2 ซึ่งกำหนดข้อห้ามไม่ให้ส่งตัวคุณทักษิณไว้อีกหลายกรณี หากเข้ากรณีใดกรณีหนึ่ง ก็ส่งไม่ได้ อาทิ
- ห้ามส่งตัวหากเห็นว่าความผิดของคุณทักษิณเป็นความผิดทางการเมือง (political offense) หรือการขอให้ส่งตัวคุณทักษิณเป็นการพยายามนำตัวคุณทักษิณมาลงโทษทางการเมือง
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คดีความทั้งหมดที่มุ่งเล่นงานคุณทักษิณตั้งแต่กระบวนการรัฐประหารโค่นอำนาจทางการเมือง ฯลฯ แต่คุณทักษิณก็ต้องไม่ลืมว่าคดีที่ศาลฎีกาตัดสินนั้นเป็นเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการประมูลที่ดิน ญี่ปุ่นอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องการเมือง)
- ห้ามส่งตัวหากความผิดคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่มีโทษเบา กล่าวคือกฎหมายญี่ปุ่นกำหนดว่า หากโทษความผิดคุณทักษิณเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ก็ห้ามส่งตัว
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คุณทักษิณถูกศาลไทยพิพากษาจำคุกเพียง 2 ปี จึงเป็นกรณีโทษเบาที่ไม่ให้ส่งตัว แต่อย่าลืมว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ศาลไทยใช้ลงโทษคุณทักษิณนั้น มาตรา 122 ได้บัญญัติให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี สุดท้ายก็ขึ้นอยู่ว่าญี่ปุ่นจะตีความกฎหมายอย่างไร)
- ห้ามส่งตัวหากความผิดของคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่ไม่สามารถเอาผิดหรือลงโทษตามกฎหมายของญี่ปุ่นได้ (double criminality)
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า ความผิดเรื่องการทุจริตที่เกิดจากการประมูลที่ดินโดยภรรยานายกรัฐมนตรีนั้น แม้กฎหมายไทยจะมองว่าผิด แต่กฎหมายญี่ปุ่นอาจไม่ถือว่าเป็นความผิด ก็ห้ามส่งตัว)
หากจะบอกว่าคุณทักษิณมั่นใจในข้อกฎหมายว่าไม่ถูกส่งตัวกลับไทย ก็พอเข้าใจอยู่ แต่ที่น้องคุณทักษิณต้องมานั่งตอบคำถามว่า ทำไมถึงไม่ขอส่งตัว หรือทำไมขอแล้วส่งมาไม่ได้ ก็อาจเข้าใจยากหน่อย
หรือกล่าวอีกทางหนึ่ง สุดท้ายใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ข้อนี้ตอบง่าย แต่งานนี้ใครฉลาดหรือไม่ ข้อนี้ตอบยาก!!!
นักกฎหมายระหว่างประเทศ นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ที่มา facebook.com/verapat.pariyawong
พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่ามีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี แต่คุณทักษิณเห็นว่าคำพิพากษานั้นไม่เป็นธรรม จึงปฏิเสธการจับกุมโดยหลีกไปอาศัยอยู่ ณ ต่างประเทศ
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าคุณทักษิณได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจที่ประเทศญี่ปุ่น และมีการให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทย แม้จะมีรายงานข่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ยอมรับว่าได้หารือเรื่องดังกล่าวกับทูตของญี่ปุ่นก็ตาม (http://bit.ly/p91HBp)
ล่าสุด (15 สิงหาคม 2554) สำนักข่าว Kyodo ประเทศญี่ปุ่นรายงานการแถลงข่าวโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า กงสุลใหญ่แห่งญี่ปุ่น ณ ดูไบ ได้ออกหนังสือตรวจลงตรา (วีซ่า) เพื่ออนุญาตให้คุณทักษิณสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกรณีพิเศษ หลังได้รับการร้องขอจากรัฐบาลไทย (“in response to a request from Thailand” http://bit.ly/qVFL8h)
สำนักข่าว AFP รายงานคำแถลงข่าวของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นในทางเดียวกันว่า รัฐบาลไทยได้แจ้งว่าไม่มีนโยบายห้ามคุณทักษิณเดินทางไปประเทศอื่น และขอให้ประเทศญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ (“The Thai government… takes a policy of not prohibiting former prime minister Thaksin from visiting any country and requested that Japan issue a visa” http://bit.ly/mRPUg2)
หากคำพูดของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นพอเชื่อถือได้ สื่อมวลชนไทยสมควรต้องกลับมาถามรัฐบาลไทยที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่กี่วันว่า ที่มีคนบอกว่ารัฐบาลไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่าครั้งนี้นั้น ใครพูดจริง ใครโกหก???
ความจริงหากจะพูดให้ดูดีหน่อย ก็น่าจะบอกว่า กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (ข้อ 12 แห่งสนธิสัญญา ICCPR ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ) ก็รับรองสิทธิเสรีภาพของคุณทักษิณให้สามารถเดินทางได้อย่างเสรีภายในประเทศใดประเทศหนึ่งได้ หากคุณทักษิณเข้าไปในประเทศนั้นโดยถูกกฎหมาย
อีกทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ก็สื่อความให้รัฐบาลไทยต้องเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แน่นอนว่าหากคุณทักษิณเดินทางเข้ามาสู่เขตบังคับของกฎหมายไทย ไทยก็ย่อมต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย
ในเมื่อสุดท้ายคุณทักษิณก็ยังคงเป็นมนุษย์ กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งติดตัวคุณทักษิณอยู่แต่เดิมก็มิได้หายไปไหน การที่คุณทักษิณได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อเดินทางไปแสดงความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และก็คงอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะไปห้ามญี่ปุ่นได้ ไทยจะไปยุ่มย่ามเรื่องภายในก็จะหาว่าแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ
อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 ได้เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ที่ต้องโทษจำคุก เช่น คุณทักษิณ ให้เข้าญี่ปุ่นได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีสมควร
แต่เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีไปช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จนมีผู้ตั้งประเด็นว่าเป็นการทำให้การจับกุมคุณทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้น เป็นการฉลาดหรือไม่ ก็น่าคิดอยู่!
ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?
เกิดคำถามตามมาว่า ในเมื่อคุณทักษิณมีความผิดตามกฎหมายไทย ถูกศาลฎีกาไทยพิพากษาจำคุก 2 ปี แล้วหากคุณทักษิณเดินไปญี่ปุ่น ไทยจะขอให้ญี่ปุ่นส่งตัวคุณทักษิณกลับมารับโทษในประเทศไทยในลักษณะการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่?
ตอบว่าไทยขอได้ แต่ญี่ปุ่นจะส่งตัวคุณทักษิณมาหรือไม่ เป็นไปได้ยาก หากตอบโดยไม่ต้องนึกถึงข้อกฎหมายใดๆ การที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้คุณทักษิณเข้าเมืองมากล่าวสุนทรพจน์และเยี่ยมผู้ประสบภัยเป็นกรณีพิเศษ แล้วค่อยเข้าจับกุมส่งตัวนั้น คงจะดูแปลกอยู่
และหากพิจารณาในข้อกฎหมาย ก็จะพบอุปสรรคหลายด่าน ดังนี้
ด่านที่ 1: ไทยและญี่ปุ่นยังไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
จริงอยู่ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2552 ไทยและญี่ปุ่นได้ลงนามสนธิสัญญาอีกฉบับ คือสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งอาจมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ความจริงสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับกรณีที่ไทยจับคนญี่ปุ่นที่ทำผิดกฎหมายไทย แล้วอาจส่งตัวคนญี่ปุ่นนั้นกลับไปจำคุกที่ญี่ปุ่นตามโทษกฎหมายไทย ในทางเดียวกัน ญี่ปุ่นก็อาจส่งตัวคนไทยที่ทำผิดกฎหมายญี่ปุ่นกลับมาจำคุกที่ไทย
แต่กรณีคดีของคุณทักษิณนั้น เป็นกรณีที่คนไทยต้องโทษจำคุกตามกฎหมายไทย จึงไม่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว (นอกจากคุณทักษิณเข้าญี่ปุ่นแล้วดันทะลึ่งทำผิดกฎหมายบ้านเขาแล้วถูกจำคุก ไทยก็อาจขอให้ส่งตัวมาได้)
ด่านที่ 2: ไม่มีสนธิสัญญาก็ส่งได้ แต่ส่งยาก
การที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ไม่ได้แปลว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะทำไม่ได้ เพียงแต่ทำได้ยาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต้องอาศัยกฎหมายภายในประเทศและ “วิถีทางการทูต” (diplomatic channel)” ซึ่งอาศัยดุลพินิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสำคัญ
ด่านที่ 3: กฎหมายไทยให้อำนาจนักการเมือง ไม่ใช่อัยการ
พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 มาตรา 30 ให้อัยการสูงสุดของไทยมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะร้องขอให้ญี่ปุ่นส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ แต่กระนั้น กฎหมายก็ยังเปิดช่องให้ “คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นอย่างอื่น” ได้ กล่าวคือหากอัยการสูงสุดต้องการขอ แต่คณะรัฐมนตรีไม่ต้องการให้ขอ สุดท้ายก็ขอไม่ได้
ด่านที่ 4: กฎหมายญี่ปุ่นไม่ให้ส่งฟรีๆ
แม้หากสุดท้ายคณะรัฐมนตรีไทยไม่ขัดข้อง ก็มิได้แปลว่าไทยขอแล้วญี่ปุ่นจะให้ทันที แต่กฎหมายภายในของประเทศญี่ปุ่น คือ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2004 กำหนดว่า นอกจากฝ่ายไทยต้องส่งคำขอพร้อมเอกสารรายละเอียดที่เข้าเงื่อนไขต่างๆแล้ว มาตรา 3 ยังบังคับว่า ไทยต้องให้คำมั่นว่าจะส่งตัวผู้ร้ายจากไทยไปที่ญี่ปุ่นในลักษณะต่างตอบแทนอีกด้วย (reciprocity) กล่าวโดยง่ายก็คือ หากไทยไม่มีผู้ร้ายไปสัญญาแลก ญี่ปุ่นก็ไม่ส่งให้
ด่านที่ 5: รัฐมนตรีญี่ปุ่นต้องพอใจ
ไทยต้องเอาผู้ร้ายไปสัญญาแลกเท่านั้นไม่พอ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 4 ยังกำหนดว่า ในกรณีที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นมีดุลพินิจพิจารณาอย่างกว้างขวางว่า “หากเป็นการไม่เหมาะสม” (deemed to be inappropriate) ญี่ปุ่นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำขอของไทย ซึ่งอะไรจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ก็คงสุดแท้แต่ที่ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะคิด
ด่านที่ 6: กฎหมายญี่ปุ่นระบุข้อห้ามไม่ให้ส่งตัว
แม้ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะมองว่าเป็นการเหมาะสมที่จะส่งคุณทักษิณกลับมาประเทศไทย ก็มิใช่ว่าจะส่งได้ แต่ต้องผ่านด่านกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 2 ซึ่งกำหนดข้อห้ามไม่ให้ส่งตัวคุณทักษิณไว้อีกหลายกรณี หากเข้ากรณีใดกรณีหนึ่ง ก็ส่งไม่ได้ อาทิ
- ห้ามส่งตัวหากเห็นว่าความผิดของคุณทักษิณเป็นความผิดทางการเมือง (political offense) หรือการขอให้ส่งตัวคุณทักษิณเป็นการพยายามนำตัวคุณทักษิณมาลงโทษทางการเมือง
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คดีความทั้งหมดที่มุ่งเล่นงานคุณทักษิณตั้งแต่กระบวนการรัฐประหารโค่นอำนาจทางการเมือง ฯลฯ แต่คุณทักษิณก็ต้องไม่ลืมว่าคดีที่ศาลฎีกาตัดสินนั้นเป็นเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการประมูลที่ดิน ญี่ปุ่นอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องการเมือง)
- ห้ามส่งตัวหากความผิดคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่มีโทษเบา กล่าวคือกฎหมายญี่ปุ่นกำหนดว่า หากโทษความผิดคุณทักษิณเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ก็ห้ามส่งตัว
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คุณทักษิณถูกศาลไทยพิพากษาจำคุกเพียง 2 ปี จึงเป็นกรณีโทษเบาที่ไม่ให้ส่งตัว แต่อย่าลืมว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ศาลไทยใช้ลงโทษคุณทักษิณนั้น มาตรา 122 ได้บัญญัติให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี สุดท้ายก็ขึ้นอยู่ว่าญี่ปุ่นจะตีความกฎหมายอย่างไร)
- ห้ามส่งตัวหากความผิดของคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่ไม่สามารถเอาผิดหรือลงโทษตามกฎหมายของญี่ปุ่นได้ (double criminality)
(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า ความผิดเรื่องการทุจริตที่เกิดจากการประมูลที่ดินโดยภรรยานายกรัฐมนตรีนั้น แม้กฎหมายไทยจะมองว่าผิด แต่กฎหมายญี่ปุ่นอาจไม่ถือว่าเป็นความผิด ก็ห้ามส่งตัว)
หากจะบอกว่าคุณทักษิณมั่นใจในข้อกฎหมายว่าไม่ถูกส่งตัวกลับไทย ก็พอเข้าใจอยู่ แต่ที่น้องคุณทักษิณต้องมานั่งตอบคำถามว่า ทำไมถึงไม่ขอส่งตัว หรือทำไมขอแล้วส่งมาไม่ได้ ก็อาจเข้าใจยากหน่อย
หรือกล่าวอีกทางหนึ่ง สุดท้ายใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ข้อนี้ตอบง่าย แต่งานนี้ใครฉลาดหรือไม่ ข้อนี้ตอบยาก!!!
ฮือ!!?หวยยิ่งลักษณ์ ตรงเป๊ะป้ายรถเด็กพท.รวยอื้อ...
'มาดามปู' ให้โชค คนเสื้อแดง-รปภ.เพื่อไทยเฮ ถูกเลขท้ายหวยรัฐบาล 62 ตรงกับทะเบียนรถนายกฯหญิงเจ้าตัวหัวเราะร่า ก่อนรุดดูทะเบียนรถตัวเอง ขณะที่บางรายนำอายุ-วันเกิด “แม้ว” มาตีเป็นเลขเด็ดรวยถ้วนหน้า ด้านเซียนหวยเซ็งถ้วนหน้าเจ้ามือกินเรียบ เลขดังไม่ออก ส่วนผอ.กองสลาก เดินหน้าขอรัฐบาลใหม่ทบทวนถ่ายทอดสด ป้องกันประชาชนถูกหลอกลวง ขณะที่ ผบช.ภ.2 สนธิกำลังจับเจ้ามือหวยใต้ดินรายใหญ่เมืองพัทยา แฉมีเครือข่ายรับแทงพนันหวยจาก 108 เจ้ามือใหญ่ทั่วประเทศมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้าน
เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ประกาศผลการออกรางวัลงวดประจำวันที่ 16 ส.ค. และผลปรากฏว่ารางวัลเลขท้าย 2 ตัว ออกหมายเลข 62 ทำให้บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยเป็นไปอย่างคึกคักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงที่ปักหลักประจำอยู่ที่ทำการพรรค ต่างส่งเสียงเฮแสดงความดีใจกันเป็นแถว รวมทั้งเจ้าหน้าที่พรรคหลายคน ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอาคาร เจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำลานจอดรถ ต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่ บางคนถึงกับเปรยว่า “นายกฯหญิงให้โชค” ทั้งนี้เนื่อง จากบรรดาคนเสื้อแดง และเจ้าหน้าที่ประจำพรรค ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว เลข 62 กันหลายคน
จากการสอบถามทราบว่า เลขดังกล่าวนอกจากจะเป็นเลขท้ายทะเบียนรถโฟล์คตู้สีดำป้ายแดง หมายเลข ว 1662 กรุงเทพฯ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วนั้น บางรายก็ยึดเอาอายุของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีอายุ 62 ปี บางคนก็ยึดเอาวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือวันที่ 26 ก.ค. และกลับเป็นเลข 62 ทั้งนี้แม้แต่โชว์เฟอร์ที่ขับรถให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถูกกับเขาด้วย โดยได้เดินมาบอกผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ถูกเหมือนกัน แต่ซื้อน้อย” ขณะที่ทีมรักษาความปลอดภัย ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อ บางคนก็บอกว่าไม่เล่นหวย ทั้งนี้ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบถึงเรื่องดังกล่าว ถึงกับแสดงอาการตกใจ ก่อนที่จะสอบถามผู้สื่อข่าวว่า “จริงเหรอ เลขอะไรที่ออก” เมื่อ ผู้สื่อข่าวบอกว่าเป็นเลข 62 ซึ่งเป็นเลขของทะเบียนรถที่นายกรัฐมนตรีใช้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับยิ้มชอบใจ พร้อมหันไปถามคนใกล้ชิดว่าซื้อกันหรือเปล่า และก่อนขึ้นรถกลับก็ได้เดินไปดูทะเบียนรถตัวเองด้วย
อีกด้านหนึ่งที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อเวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) ประจำงวดที่ 40 เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีทั้งบรรดาเซียนหวยที่มาร่วมชมการออกรางวัล และยังคงเดินหาซื้อลอตเตอรี่ในนาทีสุดท้ายก่อนออกรางวัลกันจำนวนมาก เพราะไม่มีฝน และมีเลขเด็ดในงวดนี้จำนวนมาก ทั้งนี้มี นายวรวิทย์ ลิมปชัยมนตรี ผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาเป็นประธานในการออกรางวัล โดยรางวัลเลขท้าย 3 ตัวที่ออกได้แก่หมายเลข 814 345 074 และ 005 ส่วนรางวัลเลขท้าย 2 ตัวได้แก่หมายเลข 62 และรางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 356960 ขณะที่รางวัลที่ 1 พิเศษชุดที่ 1 ได้แก่ชุดที่ 25 หมายเลข 356960 สุดท้ายรางวัลที่ 1 พิเศษ ชุดที่ 2 ได้แก่ชุดที่ 53 หมายเลข 356960 ในการออกรางวัลครั้งนี้ บรรดาเซียนหวยต่างร้องเสียงเซ็งแซ่ด้วยความผิดหวัง เนื่องจากบรรดาเลขดังที่ซื้อเก็งกันไว้นั้น ไม่ออกรางวัลเลย
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ภ. 2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี นำกำลังตำรวจจากกองกำกับการสืบสวน ภ.จว.ชลบุรี สภ.บางละมุง และ สภ.เมืองพัทยา กว่า 50 นาย พร้อมหมายค้นศาลจังหวัดพัทยาที่ ค. 422/2554 ลงวันที่ 16 ส.ค. เข้าตรวจค้นบ้านหรูเลขที่ 17/34 หมู่บ้านพัทยาแลนด์แอนด์เฮ้าส์ หมู่ 13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวลักลอบจำหน่ายหวยใต้ดินรายใหญ่ระดับประเทศ จากการตรวจค้นพบภายในบ้านพบมีกลุ่มคน 68 คน กำลังนั่งจดบันทึกโพยหวย โดยมีนายสมภาร คำมณี อายุ 41 ปี รับเป็นเจ้าของบ้านและเจ้ามือ จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางเป็นเครื่องแฟกซ์ 25 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 12 เครื่อง, เครื่องคิดเลข 63 เครื่อง, สมุดเงินฝากของธนาคารต่าง ๆ 20 เล่ม, เช็คเงินสด 10 เล่ม, เงินสด 1 แสนบาท, อาวุธปืนสั้น 3 กระบอก และโพยหวยใต้ดินที่ถูกแฟกซ์มาจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศอีกจำนวนมาก
พล.ต.ท.ไถง เปิดเผยว่า การจับกุมหวยใต้ดินในครั้งนี้ถือเป็นรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก แต่ก็ยังมีอีก 2-3 แห่งในพื้นที่ศรีราชา ซึ่งจะได้ขยายผลจับกุมกันภายหลัง ส่วนรายนี้แนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นสถานที่รับแทงพนันหวยใต้ดินโดยรับจากเจ้ามือใหญ่จำนวน 108 รายทั่วประเทศ โดยมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท ส่วนพนักงานที่ มาจดโพยหวยจากการสอบถามทราบว่าได้ค่าแรงวันละ 1,500 บาท นอกจากนี้ยังทราบอีกว่า นายสมภาร เจ้าของบ้าน อดีตเคยทำธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบเครือข่าย จ.จันทบุรี แต่ภายหลังได้เลิกทำแล้วเนื่องจากถูกตำรวจกวดขันจับกุมอย่างหนัก จึงหันมาทำธุรกิจหวยใต้ดินเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ขณะที่รายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเจ้ามือหวยรายใหญ่ตามจังหวัดต่าง ๆ ทั้ง 108 ราย จะได้ขออำนาจศาลออกหมายจับมาดำเนินคดีต่อไป.
ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ประกาศผลการออกรางวัลงวดประจำวันที่ 16 ส.ค. และผลปรากฏว่ารางวัลเลขท้าย 2 ตัว ออกหมายเลข 62 ทำให้บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยเป็นไปอย่างคึกคักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงที่ปักหลักประจำอยู่ที่ทำการพรรค ต่างส่งเสียงเฮแสดงความดีใจกันเป็นแถว รวมทั้งเจ้าหน้าที่พรรคหลายคน ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอาคาร เจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำลานจอดรถ ต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่ บางคนถึงกับเปรยว่า “นายกฯหญิงให้โชค” ทั้งนี้เนื่อง จากบรรดาคนเสื้อแดง และเจ้าหน้าที่ประจำพรรค ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว เลข 62 กันหลายคน
จากการสอบถามทราบว่า เลขดังกล่าวนอกจากจะเป็นเลขท้ายทะเบียนรถโฟล์คตู้สีดำป้ายแดง หมายเลข ว 1662 กรุงเทพฯ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วนั้น บางรายก็ยึดเอาอายุของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีอายุ 62 ปี บางคนก็ยึดเอาวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือวันที่ 26 ก.ค. และกลับเป็นเลข 62 ทั้งนี้แม้แต่โชว์เฟอร์ที่ขับรถให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถูกกับเขาด้วย โดยได้เดินมาบอกผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ถูกเหมือนกัน แต่ซื้อน้อย” ขณะที่ทีมรักษาความปลอดภัย ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อ บางคนก็บอกว่าไม่เล่นหวย ทั้งนี้ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบถึงเรื่องดังกล่าว ถึงกับแสดงอาการตกใจ ก่อนที่จะสอบถามผู้สื่อข่าวว่า “จริงเหรอ เลขอะไรที่ออก” เมื่อ ผู้สื่อข่าวบอกว่าเป็นเลข 62 ซึ่งเป็นเลขของทะเบียนรถที่นายกรัฐมนตรีใช้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับยิ้มชอบใจ พร้อมหันไปถามคนใกล้ชิดว่าซื้อกันหรือเปล่า และก่อนขึ้นรถกลับก็ได้เดินไปดูทะเบียนรถตัวเองด้วย
อีกด้านหนึ่งที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อเวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) ประจำงวดที่ 40 เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีทั้งบรรดาเซียนหวยที่มาร่วมชมการออกรางวัล และยังคงเดินหาซื้อลอตเตอรี่ในนาทีสุดท้ายก่อนออกรางวัลกันจำนวนมาก เพราะไม่มีฝน และมีเลขเด็ดในงวดนี้จำนวนมาก ทั้งนี้มี นายวรวิทย์ ลิมปชัยมนตรี ผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาเป็นประธานในการออกรางวัล โดยรางวัลเลขท้าย 3 ตัวที่ออกได้แก่หมายเลข 814 345 074 และ 005 ส่วนรางวัลเลขท้าย 2 ตัวได้แก่หมายเลข 62 และรางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 356960 ขณะที่รางวัลที่ 1 พิเศษชุดที่ 1 ได้แก่ชุดที่ 25 หมายเลข 356960 สุดท้ายรางวัลที่ 1 พิเศษ ชุดที่ 2 ได้แก่ชุดที่ 53 หมายเลข 356960 ในการออกรางวัลครั้งนี้ บรรดาเซียนหวยต่างร้องเสียงเซ็งแซ่ด้วยความผิดหวัง เนื่องจากบรรดาเลขดังที่ซื้อเก็งกันไว้นั้น ไม่ออกรางวัลเลย
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ภ. 2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี นำกำลังตำรวจจากกองกำกับการสืบสวน ภ.จว.ชลบุรี สภ.บางละมุง และ สภ.เมืองพัทยา กว่า 50 นาย พร้อมหมายค้นศาลจังหวัดพัทยาที่ ค. 422/2554 ลงวันที่ 16 ส.ค. เข้าตรวจค้นบ้านหรูเลขที่ 17/34 หมู่บ้านพัทยาแลนด์แอนด์เฮ้าส์ หมู่ 13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวลักลอบจำหน่ายหวยใต้ดินรายใหญ่ระดับประเทศ จากการตรวจค้นพบภายในบ้านพบมีกลุ่มคน 68 คน กำลังนั่งจดบันทึกโพยหวย โดยมีนายสมภาร คำมณี อายุ 41 ปี รับเป็นเจ้าของบ้านและเจ้ามือ จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางเป็นเครื่องแฟกซ์ 25 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 12 เครื่อง, เครื่องคิดเลข 63 เครื่อง, สมุดเงินฝากของธนาคารต่าง ๆ 20 เล่ม, เช็คเงินสด 10 เล่ม, เงินสด 1 แสนบาท, อาวุธปืนสั้น 3 กระบอก และโพยหวยใต้ดินที่ถูกแฟกซ์มาจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศอีกจำนวนมาก
พล.ต.ท.ไถง เปิดเผยว่า การจับกุมหวยใต้ดินในครั้งนี้ถือเป็นรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก แต่ก็ยังมีอีก 2-3 แห่งในพื้นที่ศรีราชา ซึ่งจะได้ขยายผลจับกุมกันภายหลัง ส่วนรายนี้แนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นสถานที่รับแทงพนันหวยใต้ดินโดยรับจากเจ้ามือใหญ่จำนวน 108 รายทั่วประเทศ โดยมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท ส่วนพนักงานที่ มาจดโพยหวยจากการสอบถามทราบว่าได้ค่าแรงวันละ 1,500 บาท นอกจากนี้ยังทราบอีกว่า นายสมภาร เจ้าของบ้าน อดีตเคยทำธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบเครือข่าย จ.จันทบุรี แต่ภายหลังได้เลิกทำแล้วเนื่องจากถูกตำรวจกวดขันจับกุมอย่างหนัก จึงหันมาทำธุรกิจหวยใต้ดินเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ขณะที่รายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเจ้ามือหวยรายใหญ่ตามจังหวัดต่าง ๆ ทั้ง 108 ราย จะได้ขออำนาจศาลออกหมายจับมาดำเนินคดีต่อไป.
ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ดาบนั้นคืนสนอง !!?
รัศมีแห่งการเข่นฆ่า, ก็ฉวัดเฉวียน โฉบเฉี่ยว ดังฉึกแน่นฉับ ไปยัง “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สิพี่น้อง
เมื่อกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ “ดีเอสไอ” รื้อแฟ้มคดีลับ จากกรุเก่าที่เก็บเอาไว้.....
ทั้ง “อภิสิทธิ-สุเทพ” จะมาแหกปากร้องกระเชอ โดนรังแกตัวงอเป็นกุ้งคงไม่ถูก...เมื่อกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ใครก็รอดสันดอนไม่ได้...และไม่มีวันหนีหลุด
ขณะนี้ “ท่านธาริต” อธิบดีคนเขื่อง..กำลังตั้งเรื่อง?..เดินเครื่อง เล่นงานกันสุด..สุด??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข!!
แต่ทั้งหมดนี้, มิได้หมายความว่า, “นายกฯปู” คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะให้อภัย??
“เสธ.ไก่อู” พันเอกสรรเสริฐ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.สร้างวีรกรรมสนั่นประเทศ ไว้เช่นใด..ท่านน่าจะรู้ดี!!
แม้จะอ้างเป็น “คำสั่งหน่วยงาน”...แต่การออกแอ็กชั่นเกินไป มันมีผลลบนะพี่
ถึงได้รับคำสั่งทำตามหน้าที่, ก็ไม่ควรเอ็กเซอร์ไซด์.. จนคนเขา ดูว่า “ล้ำเส้น”!!!
เมื่อมีน้ำขึ้นก็มีน้ำลง...ก้อ,ขอให้ท่านปลง..ปลง?...เมื่อตำแหน่งของท่านคงกระเด็น??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สลายขั้ว สลายอำนาจ!!!
ดับทุกข์แห่งความแตกแยก ของ “ทหารวงศ์เทวัญ” และ “ทหารบูรพา” ได้..ถือว่า “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม เดินเกมฉลาด??
ยิ่งการประกาศ ไปโยกย้าย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซีซ่าร์ใหญ่แห่งกองทัพบก..ได้ใจขุนศึกใหญ่เป็นตับ
เมื่อ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รับประกันซ่อมฟรี ว่าจะไม่ย้าย “บิ๊กตู่” ก็น่า เป็นเช่นนั้นแหละครับ
แต่ขอให้ระวัง “ภัยธรรมชาติ” ที่อาจจะมาถึงตัว “พล.อ.ประยุทธ์” ได้วันละ ๒๔ ชั่วโมง!
คนในรัฐบาลไม่คิดปลดท่านสักเวลา...มีแต่ “ป,เอ๋ย ปลา”?...คิดหาหนทางปลดให้ท่านลง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ปั้นงานใหญ่-งานยักษ์”
ผลักดันเต็มที่ เพื่อสร้าง “สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “ของ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้เป็นที่ประจักษ์!!!
โปรเจ็กเลิศสะแมนแตน ของ “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดูจะอลังการสร้างสรรค์ เป็นอย่างยิ่ง
ใช้งบประมาณ หลายพันล้าน เพื่อสร้างคุณอเนกอนันต์ แก่ “ตำรวจ”ทั้งประเทศ...เป็นการฝาก “ผลงานทิ้ง”
แต่กลัวว่า,งานนี้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ต้องฝันสลายกลายเป็นหมันแน่...เพราะโอกาสถูกย้ายแรงเหลือเกิน!!!
ขืนดื้อดันทุรังต่อไป....มีแต่กลับตาย?....ชิงออกไป ก่อนที่จะยับเยิน???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อฝนจาง..ฟ้าก็สว่างสดใส!!
ถูกเช็คบิล, เก็บเอากรุไปนั่งตบยุงอยู่ เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม...ด้วยอำนาจมืออำมหิต..ตรงนี้และที่นี่ ได้แต่เห็นใจ กับ เห็นใจ
เขาไง, “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีตอธิบดีดีเอสไอ คนตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด
เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี, ท่านคงไม่ถูกดองเค็ม ให้นั่งอึดอัด
คงได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ ทำงานดี..... ฝากผลงานชั้นดี เอาไว้ในแผ่นดิน ให้คนได้จดจำ โปรดจับตา “คุณพี่ทวี”อย่าให้พลาด....คนนี้ท่านเก่งท่านฉลาด...น่าจะผงาดเป็น “ปลัดกระทรวงยุติธรรม”????
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////
เมื่อกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ “ดีเอสไอ” รื้อแฟ้มคดีลับ จากกรุเก่าที่เก็บเอาไว้.....
ทั้ง “อภิสิทธิ-สุเทพ” จะมาแหกปากร้องกระเชอ โดนรังแกตัวงอเป็นกุ้งคงไม่ถูก...เมื่อกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ใครก็รอดสันดอนไม่ได้...และไม่มีวันหนีหลุด
ขณะนี้ “ท่านธาริต” อธิบดีคนเขื่อง..กำลังตั้งเรื่อง?..เดินเครื่อง เล่นงานกันสุด..สุด??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข!!
แต่ทั้งหมดนี้, มิได้หมายความว่า, “นายกฯปู” คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะให้อภัย??
“เสธ.ไก่อู” พันเอกสรรเสริฐ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.สร้างวีรกรรมสนั่นประเทศ ไว้เช่นใด..ท่านน่าจะรู้ดี!!
แม้จะอ้างเป็น “คำสั่งหน่วยงาน”...แต่การออกแอ็กชั่นเกินไป มันมีผลลบนะพี่
ถึงได้รับคำสั่งทำตามหน้าที่, ก็ไม่ควรเอ็กเซอร์ไซด์.. จนคนเขา ดูว่า “ล้ำเส้น”!!!
เมื่อมีน้ำขึ้นก็มีน้ำลง...ก้อ,ขอให้ท่านปลง..ปลง?...เมื่อตำแหน่งของท่านคงกระเด็น??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สลายขั้ว สลายอำนาจ!!!
ดับทุกข์แห่งความแตกแยก ของ “ทหารวงศ์เทวัญ” และ “ทหารบูรพา” ได้..ถือว่า “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม เดินเกมฉลาด??
ยิ่งการประกาศ ไปโยกย้าย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซีซ่าร์ใหญ่แห่งกองทัพบก..ได้ใจขุนศึกใหญ่เป็นตับ
เมื่อ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รับประกันซ่อมฟรี ว่าจะไม่ย้าย “บิ๊กตู่” ก็น่า เป็นเช่นนั้นแหละครับ
แต่ขอให้ระวัง “ภัยธรรมชาติ” ที่อาจจะมาถึงตัว “พล.อ.ประยุทธ์” ได้วันละ ๒๔ ชั่วโมง!
คนในรัฐบาลไม่คิดปลดท่านสักเวลา...มีแต่ “ป,เอ๋ย ปลา”?...คิดหาหนทางปลดให้ท่านลง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ปั้นงานใหญ่-งานยักษ์”
ผลักดันเต็มที่ เพื่อสร้าง “สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “ของ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้เป็นที่ประจักษ์!!!
โปรเจ็กเลิศสะแมนแตน ของ “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดูจะอลังการสร้างสรรค์ เป็นอย่างยิ่ง
ใช้งบประมาณ หลายพันล้าน เพื่อสร้างคุณอเนกอนันต์ แก่ “ตำรวจ”ทั้งประเทศ...เป็นการฝาก “ผลงานทิ้ง”
แต่กลัวว่า,งานนี้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ต้องฝันสลายกลายเป็นหมันแน่...เพราะโอกาสถูกย้ายแรงเหลือเกิน!!!
ขืนดื้อดันทุรังต่อไป....มีแต่กลับตาย?....ชิงออกไป ก่อนที่จะยับเยิน???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อฝนจาง..ฟ้าก็สว่างสดใส!!
ถูกเช็คบิล, เก็บเอากรุไปนั่งตบยุงอยู่ เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม...ด้วยอำนาจมืออำมหิต..ตรงนี้และที่นี่ ได้แต่เห็นใจ กับ เห็นใจ
เขาไง, “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีตอธิบดีดีเอสไอ คนตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด
เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี, ท่านคงไม่ถูกดองเค็ม ให้นั่งอึดอัด
คงได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ ทำงานดี..... ฝากผลงานชั้นดี เอาไว้ในแผ่นดิน ให้คนได้จดจำ โปรดจับตา “คุณพี่ทวี”อย่าให้พลาด....คนนี้ท่านเก่งท่านฉลาด...น่าจะผงาดเป็น “ปลัดกระทรวงยุติธรรม”????
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////
ปาฐกถา สุรินทร์ พิศสุวรรณ: 'ชายแดนใต้สู่อาเซียน ต้องเปลี่ยนทัศนะกรุงเทพฯ'
รายงาน: จริงใจ จริงจิตร
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะส่งผลบวกหรือลบอย่างไรกับแรงงานไทย นับเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาติดตามอย่างใกล้ชิด ข้อมูลที่ได้จากปาฐกถาของเลขาธิการอาเซียน “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” เรื่อง “แนวทางการรับมือกับผลกระทบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนที่มีต่อแรงงานไทย” นับเป็นอีกประเด็นที่คนไทยโดยรวมควรมีโอกาสได้รับรู้
เป็นปาฐกถาในโครงการ “แนวทางรับมือกับผลกระทบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนที่มีต่อแรงงานไทย” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา จัดร่วมกับชมรมการจัดการงานบุคลจังหวัดสงขลา ที่โรงแรมบีพี สมิหลาบีช เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา
ทำไม การจะมอบภาระให้คนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหัวหอกนำไทยสู่ตลาดอาเซียน ถึงต้องเปลี่ยนทัศนคติกรุงเทพมหานคร โปรดไล่สายตาหาเหตุผลได้ จากปาฐกถาชิ้นนี้
0 0 0
“ชายแดนภาคใต้ ประชากรมีลักษณะแตกต่างหลากหลายดีอยู่แล้ว ขอให้เปลี่ยนทัศนคติของกรุงเทพมหานคร อย่าถือว่าความแตกต่างหลากหลายและเอกลักษณ์เหล่านี้ทำลายความเป็นเอกภาพของชาติ
คนที่นี่พูดภาษามาเลย์ท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ เปลี่ยนทัศนคติได้ไหมว่า นี่คือทรัพยากรที่มีอยู่ สอนภาษามลายูกลางให้เขา สองภาษาของที่นี่ก็เป็นภาษามลายูกลางกับอังกฤษ เขาจะเป็นหัวหอกในการนำไทยสู่ตลาดอาเซียน นำนักท่องเที่ยวเข้ามา ดึงเอาการลงทุนเข้ามา ดัน SMEs สู่ตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เพราะเขารู้ภาษามลายู
ภาษาถิ่นตรงนี้เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญ รักษาไว้ พัฒนามัน สอนให้เขาพูดมาเลย์กลางที่พูดกัน 300 กว่าล้านคนในอาเซียน ครึ่งหนึ่งในอาเซียนพูดภาษามาเลย์ แต่เพราะทัศนะของกรุงเทพมหานครมองว่า สิ่งนี้จะนำไปสู่การแตกแยก มันถึงพัฒนาต่อไปไม่ได้ มันถึงกลายเป็นความแตกแยก ต้องเปลี่ยนทัศนคติ”
0 0 0
ผมดีใจมากๆ ที่เห็นความตื่นตัวของพี่น้องชาวจังหวัดสงขลามีมากกว่าจังหวัดอื่นๆ ในการเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หัวข้อที่ตั้งไว้วันนี้คือ ผลกระทบ การเตรียมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของแรงงาน บุคคลากร ทรัพยากรมนุษย์ ที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558 หรือค.ศ. 2015
ปีนี้ ค.ศ. 2011 เหลืออีก 4 ปีจะเป็นประชาคมอาเซียน ที่เรียกว่า The ASEAN Community
ประชาคมอาเซียนวางอยู่บน 3 เสาหลัก เสาหลักที่หนึ่งคือ เรื่องการเมืองและความมั่นคง Political and Security Community เสาหลักที่สองคือ Economic Community หรือ AEC
ท่านจะเห็นว่ามีการพูดถึง AEC กันบ่อยในสื่อมวลชนทั้งหลาย ในเรื่องการเตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC การเตรียมพร้อมที่จะได้ประโยชน์จาก AEC การเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปแข่งขันใน AEC การเตรียมพร้อมเพื่อจะแย่งตลาด AEC
อีกเสาหลักหนึ่งคือเรื่องสังคมและวัฒนธรรม ASEAN Socio-Cultural Community แปลว่าเป็นเสาที่จะทำให้ประชากรอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ 600 ล้านคน มีความรู้สึก รู้จัก เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเจ้าของประชาคมนี้ด้วยกัน พร้อมจะเข้ามาหาประโยชน์จากประชาคมนี้ แข่งขันในประชาคมนี้ และเป็นเจ้าของในการสร้างประชาคมนี้ด้วยกัน
โลกสมัยใหม่คือโลกที่แข่งขันกันด้านเศรษฐกิจ ภาษาที่ใช้กันในการทูตสมัยใหม่คือ ภาษาธุรกิจ การลงทุน การแข่งขัน เดี๋ยวนี้ในทางการทูตมีการพูดถึงเรื่องความมั่นคง ข้อตกลง การรับรองข้อตกลงน้อยลง 60–70% เป็นเรื่องของการลงทุน การแลกเปลี่ยน การท่องเที่ยว การแข่งขัน การลดภาษี การลดกำแพงภาษี การลดกำแพงซึ่งไม่ใช่ภาษี
กำแพงซึ่งไม่ใช่ภาษีคือ คุณภาพของสินค้า ขนาด ส่วนผสม สีสันของสินค้า เพื่อที่จะตั้งประเด็นกีดกัน ไม่ให้สินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเข้ามา เพราะมีการลดภาษีระหว่างกันหมดแล้ว ตามข้อตกลง เขาเรียกว่า None Tariff Barrier คือ การกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่การเก็บภาษีสินค้าขาเข้า
เพราะฉะนั้น สงขลาหรือภาคใต้ของประเทศไทย ถ้ามองแผนที่ของภูมิภาค จะเห็นเป็นหัวใจที่ยื่นเข้าสู่อาเซียนทางใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ทางตะวันตก เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ทางตะวันออก 200 กว่ากิโลเมตรข้ามอ่าวไทยก็คือ เขมร เวียดนาม ไกลไปอีกหน่อยก็คือ ฟิลิปปินส์
จะเห็นได้ว่า ด้ามขวานของภาคใต้ของเรา ยื่นเข้ามาในหัวใจของอาเซียน มันจึงมีการท้าทายมาก มีสิ่งต้องเตรียมพร้อมเรียนรู้ รับรู้มาก โอกาสมีมาก ลูกหลานของเรา หรือตัวเราเอง สามารถที่จะออกไปหางานทำในภูมิภาคอาเซียนได้ ทั้ง 10 ประเทศ
ชีวิตในอนาคต จึงเป็นชีวิตที่เคลื่อนย้าย เคลื่อนไหว (Mobile) เป็นชีวิตที่มีทางเลือกเยอะ เป็นชีวิตที่มีความน่าตื่นเต้น มีโอกาสเปิดกว้าง แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เพราะต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือคุณภาพของคน จะต้องแข่งขันกับคน 600 ล้านคน
คนเรียนจบที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาเขตหาดใหญ่ หรือปัตตานีก็ตาม ไม่ได้แข่งขันกับคนแค่ 60 ล้านคนในประเทศเท่านั้น ถ้าจะเป็นวิศวกร เป็นสถาปนิก เป็นทันตแพทย์ เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นบุคลากรด้านการท่องเที่ยว
Hospitality Industry เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่แปลก สงขลาน่าจะมี เพราะมีท่าเรือ มีสนามบินนานาชาติ ต้องสำรวจสินค้าก่อนเรือและก่อนเครื่องบินออกว่า ถูกต้องตาม L/C ใบสั่ง ตามข้อตกลงที่บริษัทจากมาเลเซีย จากสิงคโปร์ จากยุโรป จากจีน จากญี่ปุ่น สั่งเข้ามาหรือไม่ เรียกอาชีพนี้ว่า Surveyor แปลว่า สำรวจสินค้าให้ถูกต้องตามสเป็คที่เขาสั่ง อีกอาชีพหนึ่งคืออาชีพการบัญชี
ขณะนี้ตกลงกันแล้วว่า เป็น 8 อาชีพ ที่จะมีโอกาสเคลื่อนย้ายในภูมิภาคของอาเซียน ไปที่ไหนก็ได้ เพราะ
ฉะนั้น 8 อาชีพนี้คือ 8 อาชีพที่มองได้ 2 แง่
1. ทางเลือกเยอะในชีวิต
2. จะไม่จำกัดอยู่ตรงนี้แล้ว
จะไปเปิดคลินิกที่สิงคโปร์ก็ได้ ไปเปิดบริษัท Consultant (ที่ปรึกษา) ทางด้านสถาปัตยกรรม และทางด้านวิศวกรรมที่มาเลเซียก็ได้
ไปทำงานใน Hospitality Industry เรียนมาทางด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการต้อนรับขับสู้คือ โรงแรม สปา การให้บริการทางด้านท่องเที่ยว เป็นไกด์ เป็นผู้นำเที่ยว หรือมัคคุเทศก์ สามารถจะไปทำงานที่บรูไนได้ หรือที่ฟิลิปปินส์ได้
มองได้ว่าโอกาสมีมากขึ้น ชีวิตน่าตื่นเต้น มีทางเลือก ชีวิตของลูกหลานเราต่อไปนี้ ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในขอบขัณฑสีมาของประเทศนี้อีกแล้ว
อีกแง่หนึ่งคือ ถ้าเราต้องการจะย้ายไปบ้านเขา เขาก็ย้ายมาที่เราได้ เพราะฉะนั้นการแข่งขันจะสูงขึ้น คุณภาพต้องดีขึ้น สามารถที่จะแข่งขันกับคนอื่นแล้วรอด หรือเอาชนะได้
ตรงนี้แหละคือ ปัญหาของประเทศไทย ปัญหาของคนสงขลา ปัญหาของคนทุกจังหวัดในประเทศไทยคือ เรื่องความสามารถในการแข่งขัน เรื่องของ Competitiveness คุณภาพของบุคคลากรที่ผลิตออกมา คุณภาพของผลผลิตในด้านทรัพยากรมนุษย์ที่เราผลิตออกมา
คนสิงคโปร์มาเที่ยวที่นครศรีธรรมราช เข้าไปร้านอาหารที่โรงแรม นั่งโต๊ะบอกว่า May I have a glass of water? พนักงานเสิร์ฟที่นครฯ บอกว่า อะไรก๊อ 3 ครั้ง เขาหายอยากเลยครับ ลุกหนี เข้าใจว่าสงขลา และหาดใหญ่ไม่มีปัญหานั้น
ผมดีใจที่ได้ยินนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พูดถึงการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน เริ่มด้วยภาษา คุณจะเป็นหมอที่ดีเยี่ยม แต่ถ้าคุณยังถามอะไรก๊ออยู่ คุณจะเป็นสถาปนิก หรือวิศวกรที่ดีเยี่ยม แต่ถ้าคุณไม่สามารถบริการลูกค้าได้ เพราะสื่อกับเขาไม่ได้ จะเป็นทันตแพทย์ หรือพยาบาล หรือหมอ ถึงแม้จะไปเปิดคลินิกในต่างประเทศ ภายใต้กรอบของอาเซียนได้ แต่ถ้ายังสื่อกับเขาไม่ได้ พูดได้แค่ภาษาเดียว คุณก็ไม่สามารถจะไปได้
ระวังให้ดี 68% ที่เข้ามาลงทุนในอาเซียน เข้ามาสู่ภาคบริการ ใน 100 บาท มี 68 บาท จะเข้าสู่ระบบของการศึกษา ธุรกิจด้านสาธารณสุข การบริการด้านให้คำปรึกษา ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว โรงแรม เป็นธุรกิจภาคบริการ
เพราะฉะนั้น จะหวังให้โรงงานจากญี่ปุ่น ย้ายมาตั้งโรงงาน ใช้คำว่า Food Processing หรือการผลิตอาหาร การบรรจุหีบห่อ การแข่งขันด้านแรงงานราคาถูก โรงงานทอผ้า แม้แต่โรงงานผลิตรถยนต์ ภาคการผลิตในโรงงานที่เรียกว่า Manufacturing ลดลง ลดลง ลดลง เหตุเพราะค่าแรงงานที่จีนถูกกว่า ค่าแรงงานที่อินเดียถูกกว่า ค่าแรงงานประเทศเพิ่งเกิดใหม่ในเอเชียกลาง ถูกกว่าในอาเซียน
68% ของการลงทุนต่างประเทศ ปีหนึ่ง 50,000 ล้านดอลลาร์ เกือบ 70% ที่เข้ามาคือ ภาคบริการ
ภาคบริการจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ภาคบริการคือการให้มูลค่าเพิ่มกับคนต่างชาติ หรือคนในประเทศ ที่ต้องการมีคุณภาพในชีวิตที่ดีขึ้น เพราะในเรื่องวัตถุ รายได้ เศรษฐกิจ เราขยับขึ้นมาแล้วจ ากการหาเช้ากินค่ำมาเป็นหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หาการบริการในชีวิตที่ดีขึ้น
ตรงนี้แหละครับ เป็นสิ่งที่ทั้ง 10 ประเทศ ทั้ง 600 ล้านคน จะต้องให้ความสนใจการพัฒนาบุคคลากรของตัวเอง เพื่อเอาประโยชน์จากการที่เขาจะแสวงหาคุณภาพชีวิต การบริการที่ดีขึ้น
ญี่ปุ่นต้องการพยาบาลจากประเทศอาเซียนทั้งหมด เพราะคนของเขาแก่ลง มีคนเข้าไปอยู่ในที่พักคนชรามากขึ้น เขาผลิตพยาบาลไม่ทัน คนรุ่นใหม่ของเขาผลิตไม่ทัน หรือผลิตแล้ว เลือกที่จะมีครอบครัวดูแลลูก แทนที่จะอยู่ในภาคการบริการพยาบาล
เขาให้ทุนมาสอนภาษาญี่ปุ่นกับพยาบาลในอาเซียน เรียนไปหนึ่งปีสอบภาษาญี่ปุ่นได้สองคน เพราะกว่าจะจบพยาบาลอายุ 23, 24, 25 ปี มันอาจจะช้าเกินไป ที่จะเลือกเรียนภาษาที่สองให้กับตนเอง
ที่สิงคโปร์ขณะนี้ ตลาดการบริการ ไม่ว่าร้านอาหาร สปา โรงแรม เต็มไปด้วยคนจีน และคนจีนเหล่านั้นพูดภาษาอังกฤษ แรงงานจีนเหล่านั้นพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าแรงงานไทย สมัยหนึ่งเป็นแรงงานจากฟิลิปปินส์ แต่ตอนนี้จีนเต็มไปหมด สมัยหนึ่งเคยเป็นคนอินโดนีเซีย แต่เดี๋ยวนี้จีนเข้ามาแย่งงานด้านการบริการระดับนั้นไป
ตอนนี้ สิ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาทั้งหลาย ต้องตัดสินใจคือ แรงงานระดับไหนในอาเซียน ที่ต้องการเจาะให้เป็นพื้นที่ของแรงงานไทย จะไปแข่งกับเขาในระดับนั้นไหม ไม่มีทางที่จะสู้เขาได้ จะแข่งกับเขาในระดับนี้ไหม ไม่แน่ว่าจะสู้เขาได้หรือเปล่า
จะแข่งกับเขาในเรื่องการบริหารจัดการ หรือด้านการวิจัยค้นคว้า Research and development และพัฒนาสินค้า สู้เขาได้ไหม ไม่แน่
ตรงนี้แหละครับ 64 ล้านคน จะอยู่ตรงไหนของประชาคมอาเซียน เป็นคำถามระดับประเทศ เป็นคำถามสำหรับผู้บริหาร เป็นคำถามสำหรับรัฐบาลใหม่ เป็นคำถามของผู้บริหารระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท้องถิ่น และจังหวัดที่อยู่ชายแดน
สงขลานี่ยิ่งกว่าชายแดนอีก เพราะเป็นบริเวณที่สภาพภูมิศาสตร์ยื่นเข้าไปในหัวใจของอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดการแข่งขันที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะฉะนั้นที่คิดเรื่องนี้นี่ถูกแล้ว แต่อยากจะเรียกร้องว่า ต้องเร็วกว่านี้ ต้องมี Sense of Urgency ความรู้สึกว่ามันฉุกเฉินแล้วนะ วันเดียวก็เสียไปไม่ได้แล้ว ชั่วโมงเดียวก็ปล่อยไม่ได้แล้ว ต้องตื่นตัวทั้งองคาพยพ
นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาบอกว่า ในตลาดของการขุดเจาะนอกฝั่งสงขลา แรงงานต่างประเทศทั้งนั้น เพราะเราไม่มีบุคลากรด้านนั้น ในราคานั้น ในระดับความรู้ความสามารถ Skill ขนาดนั้น
การต่อท่อในโครงสร้างทางทะเล การบริหารจัดการ การส่งทรัพยากร หรือปัจจัยทั้งหลายบนแท่นขุดเจาะ ไม่ว่าอาหาร น้ำ พืชผัก มันจะมีเรื่อง Logistics เข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะมีเรื่องขนส่งสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะมีเรื่องการบริการเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าสงขลาไม่พร้อมที่จะสู้ ถ้าภาคใต้ของไทยไม่พร้อมเข้าไปแข่งขันในตลาดตรงนั้นที่กำลังเกิดขึ้น ก็ต้องระวัง เพราะมันจะเต็มไปด้วยแรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาแข่งขันกับเรา
ตรงนี้แหละครับที่ท่านทั้งหลายกำลังทำอยู่ในวันนี้ ทำในสิ่งซึ่งเป็นหัวใจ และปัจจัยของประชาคมอาเซียน เราอยากให้คนทั้ง 600 ล้านคนแหละครับได้ประโยชน์ในระดับที่แตกต่างกัน แล้วแต่ความพร้อม ความสามารถ และความตั้งใจที่จะเข้าไปแข่งขันในตลาดนี้ แต่ที่แน่ๆ รออยู่ตรงนี้ไม่ได้ ทั้งองคาพยพที่มีอยู่ในประเทศนี้ ต้องพัฒนา ต้องปรับปรุง ต้องขยัน
อาเซียนคนรู้จักเยอะ โรงแรมอาเซียนมีอยู่ในหาดใหญ่ใช่ไหมครับ โฆษณาให้เขาหน่อย เพราะผมใช้บ่อย ที่ภูเก็ตมีร้านตัดผมอาเซียน ที่พัทยามีสถานอาบ อบ นวด อาเซียน แต่คนไทย 64 ล้านคน เข้าใจสปิริต เข้าใจสาระ เข้าใจจุดประสงค์ และเป้าหมายของคำว่า อาเซียนแค่ไหน นี่คือภารกิจที่ผมต้องทำ ในช่วงที่เหลืออีกปีครึ่ง ก่อนจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน
ผมหวังจะเห็นคำว่า อาเซียนจะมีความหมายมากกว่าโรงแรมที่หาดใหญ่ มากกว่าร้านตัดผมที่หาดป่าตอง และมากกว่าสถานอาบ อาบ อบ นวดที่พัทยา เพราะถ้าไม่รู้จัก ปี 2558 มันมาเร็วมาก ตอนนั้นผมไม่อยู่แล้ว
อีก 44 ปีครึ่ง ประเทศไทยถึงจะมีโอกาสเป็นเลขาธิการอาเซียนอีกครั้งหนึ่ง เพราะเราผลัดเปลี่ยนกันเป็นประเทศละ 5 ปี 10 ประเทศ 50 ปี เพราะฉะนั้น ถ้าจะเตรียมลูกเตรียมหลานไปเป็นเลขาธิการอาเซียนคนต่อไป ยังมีเวลาให้เตรียมตัวอีก 45 ปี
หวังว่าผมหมดวาระแล้ว อย่างน้อยๆ คนไทยจะรู้จักอาเซียนมากขึ้น บางทีนักเรียนมากล่าวหาผมว่า สะกดคำว่า ASEAN ผิด บอกว่าตัว I ครับท่านเลขาธิการไม่ใช่ตัว E อันนี้มัน ASEAN Association Of Southeast Asian Nation เกิดที่ประเทศไทย ตั้งที่ประเทศไทย ประเทศไทยเป็นผู้ขับดัน ผลักดันในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของอาเซียนมาโดยตลอด
หรือเรื่อง AEC หรือ AFTA หรือ ASEAN Free Trade Area เป็นความคิดของนายอานันท์ ปันยารชุน ตอนเป็นนายกรัฐมนตรีรอบแรก เพราะจีนกับอินเดียกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เราใช้คำว่าจีนกับอินเดีย ดึงเอาออกซิเจนทางเศรษฐกิจ ทางการลงทุนจากต่างประเทศ ไปจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็วมาก เราไม่มีอากาศจะหายใจ เราไม่มีออกซิเจนบริสุทธิ์ที่จะหายใจ มีแต่คาร์บอนไดออกไซด์
นายอานันท์ถึงบอกว่า ถ้าไม่คิดถึง AFTA เขตการค้าเสรีอาเซียน อย่าหวังเลยว่า จะยืนหยัดอยู่ได้ในรูปของประชาคม เพราะฉะนั้นต้องคิดถึงเขตการค้าเสรี นี่เป็นความคิดของคนไทย
ถามว่าตั้งแต่ปี 1992 ที่คุณอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีรอบแรก จนกระทั่งบัดนี้เราพร้อมกว่าเดิมไหม ผมไม่แน่ใจ ทัศนคติของภาคเอกชนดีครับ ภาคเอกชนไทยนี่ กล้า มั่นใจ พร้อมที่จะเผชิญ พร้อมที่จะแข่งขัน
จะเห็นว่า ผู้นำภาคเศรษฐกิจไทยไม่มีใครบอกว่า ต้องปิดประเทศ ไม่มีใครบอกว่าต้องชะลอ ไม่มีใครบอกว่าต้องถอย ทุกคนบอกว่าต้องสู้ ต้องพัฒนา ต้องปรับปรุง ต้องเปลี่ยนระบบการผลิต ต้องมีเทคโนโลยีใหม่ ต้องมีการบริหารจัดการใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ต้องแข่งขันกับเขา ต้องพัฒนาบุคคลากร
หลายประเทศหวั่นไหว หลายประเทศมีเสียงโอดครวญ หลายประเทศมีทัศนคติที่ค่อนข้างจะรีรอ แต่เชื่อผมเถอะ อาเซียนไม่เปิด WTO ก็เปิด ถึง ASEAN, WTO ไม่เปิด Globalization มันก็จะเปิด เพราะในโลกของยุคโลกาภิวัตน์ การแข่งขันมันเกิดขึ้นในทุกมุม ทุกพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล โรงงานจะย้ายเข้ามาสู่หมู่บ้านมากขึ้น
สมัยที่ผมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ๆ ปี 2529 หาเสียงในเขตพื้นที่ชนบทนครศรีธรรมราช ไม่มีคนต่างชาติ ไม่มีคนตาสีทอง ไม่มีคนตาสีฟ้าแม้แต่คนเดียว
3–4 ปีให้หลัง เดินหาเสียงในพื้นที่ทุกชุมชนทุกหมู่บ้าน ลูกเขยเป็นฝรั่ง ลูกสะใภ้เป็นฝรั่ง หลานสะใภ้เป็นคนญี่ปุ่น หลานเขยเป็นคนเกาหลี เหลนเขยเป็นคนออสเตรเลีย เพราะแรงงานของเราเคลื่อนย้าย โลกาภิวัตน์มันไหลไปทุกที่ ลูกหลานของเราออกไปหางานทุกที่ งานมันเข้ามาหา และการแข่งขันมันเข้ามาหาทุกพื้นที่ มันไม่ใช่สังคมเกษตรกรรมเหมือน 30–40 ปีที่แล้ว
ขับรถมาจากพัทลุงก่อนเข้าสงขลา เฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ เฟอร์นิเจอร์จากจีนทั้งนั้น โรงงานมาจากต่างประเทศทั้งนั้น แทนที่จะเอาน้ำยางหรือก้อนยางออกไปผลิตในโรงงานเขา เขามาผลิตในบ้านเรา ราคายังถูกอยู่ ค่าขนส่งไม่ใช่ขนส่งเป็นก้อนใหญ่ๆ เรือใหญ่ๆ เป็นวัตถุดิบ แต่แปรสภาพเปลี่ยนสภาพเป็นสินค้าที่ใช้ได้ ออกจากสงขลา จากหาดใหญ่ไปสู่ตลาดผู้บริโภค เข้าตลาดเข้าร้านเค้าเรียกว่า Modern Trade หรือศูนย์การค้าใหญ่ๆ ได้ทันที ขึ้นหิ้ง ขึ้น Shelf ได้เลย
ประเทศในอาเซียน มีชนชั้นกลางมากขึ้น ประเทศในอาเซียนคนมีกำลังซื้อมากขึ้น ประเทศในอาเซียนการแข่งขันแรงงานจะสูงขึ้น ประเทศในอาเซียนจะถูกแย่งงานในระดับแรงงานขั้นต่ำมากขึ้น ประเทศในอาเซียนมีการประกอบสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น
ทั้งหมดต้องการแรงงานที่พัฒนามากกว่านี้ ทั้งหมดต้องการผู้บริหารการจัดการด้านแรงงานสูงกว่านี้ ต้องการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความรู้ ประสบการณ์ด้านการบริหารมากกว่าที่เป็นอยู่
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมี Sense of urgency รู้สึกว่านี่คือ ภาวะฉุกเฉินแล้ว วิ่งเกียร์หนึ่ง เกียร์สองอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ต้องเกียร์สี่ เกียร์ห้า
สถาบันการศึกษาต้องเข้าใจ สิ่งท้าทายอันนี้ ผลิตหมอไม่ใช่เพื่อ 76 จังหวัด หรือ 77 จังหวัดในประเทศไทย เพราะจะมีหมอฟิลิปปินส์มาแย่งงาน ด้านการบริการสุขภาพ จะมีพยาบาลจากอินโดนีเซีย จะมีแพทย์จากสิงคโปร์ ถ้าเราหวังให้เขาเปิด เขาไม่ได้เปิดอยู่ข้างเดียว
yes mobile ชีวิตในอนาคตมีทางเลือกเยอะ แต่ลูกหลานเราก็ต้องเก่งและดีจริงๆ ตรงนี้แหละครับจะทำอย่างไร
ตอนอยู่ในรัฐบาล ผมเคยเสนอว่า สาม สี่ ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชากรมีลักษณะที่แตกต่างหลากหลายดีอยู่แล้ว ขอให้เปลี่ยนทัศนคติของกรุงเทพมหานครนิดเดียว อย่าถือว่าความแตกต่างหลากหลายและเอกลักษณ์เหล่านี้ ทำลายความเป็นเอกภาพของชาติ
คนจะนะ สะบ้าย้อย เทพา นาทวี พูดภาษามาเลย์ท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ เปลี่ยนทัศนคติได้ไหมว่า นี่คือทรัพยากรที่มีอยู่ สอนภาษามลายูกลางให้เขา สองภาษาของที่นี่ก็เป็นภาษามลายูกลางกับอังกฤษ เขาจะเป็นหัวหอกในการนำไทยออกสู่ตลาดอาเซียน นำนักท่องเที่ยวเข้ามา ไปดึงเอาการลงทุนเข้ามา ดัน SMEs เข้าสู่ตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เพราะเขารู้ภาษามลายู
ผมเคยพูดอยู่ตลอดว่า ภาษาถิ่นตรงนี้เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญ รักษาไว้ พัฒนามัน สอนให้เขาพูดมาเลย์กลางที่พูดกัน 300 กว่าล้านคนในอาเซียน ครึ่งหนึ่งในอาเซียนพูดภาษามาเลย์ แต่เพราะทัศนะของกรุงเทพมหานครมองว่า สิ่งนี้จะนำไปสู่การแตกแยก มันถึงพัฒนาต่อไปไม่ได้ มันถึงกลายเป็นความแตกแยก เพราะฉะนั้น ต้องเปลี่ยนทัศนคติ
ผมยืนยันว่าภาษาอังกฤษดีขึ้น 25% วันรุ่งขึ้นประเทศไทย จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขึ้น 100% เพราะเราที่ผ่านมาเราสื่อกับเขาไม่ได้ เราไปหลงภูมิใจในประวัติศาสตร์ว่า อย่ามาโทษเรานะภาษาต่างประเทศเราไม่ดี เพราะเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร พูดอยู่อย่างนี้ 30, 40, 50 ปี จนกระทั่งประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น ที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งลาว เขมร เวียดนาม พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเรา สอบ TOFEL ได้มากกว่านักเรียนไทย ดีกว่านักศึกษาไทย ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ ใช้ภาษาฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศอาณานิคม เป็นประเทศแม่ แล้วเราจะอธิบายยังไง
ผู้นำไทยทุกระดับที่ออกไปสู่ประชาคมอาเซียน ออกไปแล้วพูดกับเขาไม่ได้ ออกไปแล้วไม่สามารถที่จะแสดงความคิด มีส่วนร่วม โต้ตอบ ดีเบตเสนอความคิดกับเขาได้ มีแต่ Yes Coca cola มีแต่ No Pepsi มันต้องเปลี่ยนตรงนี้
คนที่ควรจะเปลี่ยนคือ คนที่อยู่ชายแดน คนที่ควรจะเปลี่ยนคือ คนที่อยู่ท่ามกลางพายุของการแข่งขัน คนที่ควรจะเปลี่ยนคือ พวกท่านที่อยู่ตรงนี้ คนภาคใต้คือคนที่ถูกโลกาภิวัตน์โดยภาคบังคับ เพราะภูมิศาสตร์ภาคใต้ หยิบยื่นลงไปในภูมิภาคส่วนใหญ่ของอาเซียน
ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย กำลังกลายเป็นมหาสมุทรที่มีการแข่งขันสูงยิ่งในขณะนี้ มีทั้งจีน อเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่นเข้ามา เพราะช่องแคบมะละกาคือ เส้นชีวิตของจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หมื่นกว่าลำเรือสินค้า ด้านพลังงาน แก๊ส Oil Fuel แปลว่าน้ำมันดิบ มีอยู่ไม่รู้กี่หมื่นลำ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับช่องแคบมะละกา ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไม่มีอากาศจะหายใจ เพราะไม่มีพลังงานไปผลิตสินค้า
จะผลักดันโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็เกิดปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น พลังงานจะต้องผ่านที่ไหนก่อน ถ้าจะผ่านประเทศไทยก็ตรงนี้ ภูเก็ต ตรัง เกาะปีนัง วิชาการเทคโนโลยีทั้งหลาย มันมาทางยุโรปมาที่เรา ถ้ามันมาจากจีน ญี่ปุ่น มันจะขึ้นฝั่งอ่าวไทย
ตรงนี้ล่ะครับคือ โลกาภิวัตน์ภาคบังคับของประเทศไทย
ลัทธิ ความคิด ความเชื่อ ไปดูสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองหลวงของเรา กรุงเทพมหานคร วัดจีนอยู่ฝั่งนี้ โบสถ์แขกอยู่ฝั่งนั้น โบสถ์คริสต์อยู่ฝั่งนี้ โบสถ์ฮินดูอยู่ฝั่งนั้นคือ สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ มาทางเรือทั้งนั้นแหละ แล้วมาทางไหนก่อน ไม่ได้มาทางตอนเหนือของประเทศไทย แต่มาทางภาคใต้นี้แหละครับ เพราะฉะนั้นทัศนคติของคนตรงนี้ จึงพร้อมที่สู้ พร้อมที่เปิด พร้อมที่จะเผชิญ
จึงไม่แปลกที่คนภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สตูล จะคิดอย่างนี้ จึงไม่แปลกที่นครศรีธรรมราชคิดอย่างนี้ แต่ต้องต่อยอด เราอยู่กับอดีตไม่ได้ ต้องมองไปข้างหน้าและพร้อมจะเผชิญ
อย่างที่ผมเรียนให้ถือว่าอาเซียนคือ บ้านพักกลางทาง โลกาภิวัตน์มันมาแน่ และเราคุ้นเคยกับมันด้วย สำหรับกระแสนี้ การเปิดตลาด การแข่งขันตามมาแน่ และเราคุ้นเคยกับมัน เราเคยอยู่รอดมาแล้ว ให้ถือซะว่าอาเซียนคือบ้านพักกลางทาง ถ้าไม่มีอาเซียนมันจะแข่งขันกันรุนแรงกว่านี้
อาเซียน ให้เราเปิด ให้เราเผยอ ให้เราแย้ม และให้เราพัก หยุดพักเหนื่อยได้ ไม่เช่นนั้นจะเปิดกว้างทันที สู้เค้าไม่ได้ รับไม่ไหว ทนไม่ไหว เขาเอาหมด เขาแย่งหมด เขากินหมด เขากินเรียบ และอาเซียนค่อยๆเปิด ค่อยๆ เตือน ค่อยๆ สร้างความพร้อม และค่อยๆ ให้เราได้ปรับตัว
ไม่มีอาเซียนก็มี WTO ไม่มีอาเซียน ไม่มี WTO ก็มีโลกาภิวัตน์ เราปิดประเทศไม่ได้ ยกกำแพงขึ้นมาล้อมรอบไม่ได้ มีหนังสือเรื่องเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ฉบับหนึ่งเขาบอกว่า โลกแบนแล้วครับ ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่น่าสนใจมาก The World is flat ซึ่งมันขัดกับที่เราเรียนมา กาลิเลโอบอกว่าโลกกลม วิทยาศาสตร์บอกว่าโลกกลม แต่ไอ้นี่บอกว่า The World is flat เพราะมันไม่มีกำแพงระหว่างกันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเคลื่อนย้ายได้
6 ประเทศอาเซียนบอกว่า ต่อไปนี้ ภาษีสินค้า 0% ทุกชนิด ขณะเดียวกันทั้ง 6 ประเทศก็พยายามกีดกันในส่วนซึ่งไม่ใช่ภาษี เช่น คุณภาพ สีสัน ขนาด ยาของคุณมีส่วนผสมอันนั้นเกินไปจากมาตรฐานของเรา ลิปสติกของ You มีสารชนิดนั้นมากกว่าที่เราอนุญาต เพราะฉะนั้นไม่ให้นำเข้า
สิ่งเหล่านี้กำลังได้รับการเจรจา สิ่งเหล่านี้กำลังได้รับการแก้ไข สิ่งเหล่านี้กำลังได้รับความสนใจ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน สำหรับคน 600 ล้านคน เมื่อตลาดเป็น 600 ล้านคน แน่นอน งานมันจะเพิ่มขึ้น แต่มันต้องแข่งขัน เมื่อตลาดเป็น 600 ล้านคนจริง แน่นอนการลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามา เพราะเขาต้องการลูกค้า 600 ล้านคนตรงนี้
ตรงนี้คือโจทย์ คือปัญหาที่เราต้องเตรียมรับ ผมก็ได้แต่เตือน ได้แต่เรียกร้อง ได้แต่พยายามที่จะกระตุ้น คุณพ่อ คุณแม่อยู่บ้านต้องเอาใจใส่ ในเรื่องที่ลูกเรียน ต้องเอาใจใส่ในเรื่องที่ลูกกำลังเตรียมตัวเพื่ออนาคต ต้องเอาใจใส่สาขาวิชาที่ลูกเรียน และต้องเรียกร้องจากสถาบันการศึกษา ไม่ว่าเป็นภาครัฐ หรือภาคเอกชน หลักสูตรของ You ต้องดีเลิศ การฝึกอบรม Training ของ You ต้องตลอดชีพ สนใจวิชาอะไร เข้ามาเรียนภาคฤดูร้อน เรียนภาคค่ำ เพราะต้องแข่งขันกับคนข้างนอก
สำคัญที่สุดคือ พอกันทีกับความภูมิใจในอดีต ในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เช่น เรามีภาษาของเราเอง เราไม่ต้องเรียนภาษาอื่น เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร
โลกสมัยนี้ เขาไม่ถามว่าคุณเป็นเมืองขึ้นของใครหรือเปล่า โลกสมัยนี้เขาถามว่า คุณรับการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน แรงงานของคุณมีคุณภาพแค่ไหน เทคโนโลยีของคุณพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน การบริหารจัดการมีสมรรถนะ สมรรถภาพแค่ไหนที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับแรงงานได้ดีและราบรื่นไม่มีปัญหา
อีกอันหนึ่งที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาพูดคือ Sustain Ability พัฒนาให้ยั่งยืน พัฒนาแล้วไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พัฒนาแล้วไม่ทำลายแหล่งน้ำ พัฒนาแล้วไม่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นเครื่องจรรโลงชีวิตที่มีคุณภาพ
เพราะฉะนั้น Sustain Ability กับเรื่องของการยั่งยืนและการพัฒนา คือสิ่งที่โลกมองเหมือนกัน แม้แต่สวนปาล์มและน้ำมันปาล์ม ผลิตผลน้ำมันปาล์มก็เป็นประเด็นที่มีความขัดแย้ง เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนออกมาบอกว่า การปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นการเปลี่ยนป่าเมืองร้อนเป็นป่าชนิดเดียว กว้างขวางหลายร้อยหลายพันตารางกิโลเมตร คุณทำลาย Diversity ของป่าเมืองร้อน เราบอกว่า นี่คืออาชีพของเรา เขาบอกว่าถ้าคุณปลูกพืชชนิดเดียว มันทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย
ตอนนี้ มีการต่อต้านการปลูกน้ำมันปาล์ม และผลิตผลจากน้ำมันปาล์มโดยที่เราไม่รู้ตัว
ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++
ยิ่งลักษณ์..ยัน ชดใช้เสื้อแดง ต้องดูเรื่องงบ ยุทธศักดิ์. แนะปรองดอง เยียวยาทุกฝ่าย !!?
ทนาย น.ป.ช.เผยส.ส.เพื่อไทยผนึกกำลังเตรียมชดใช้ตำแหน่งยื่นประกันแนวร่วมเสื้อแดง 22 คนพ้นคุก ขณะที่กรมคุ้มครองสิทธิฯเล็งอนุมัติงบกองทุนยุติธรรมช่วยเหลืออีกแรง เผยดีเอสไอและ สตช.ไม่คัดค้านการประกันตัวแล้ว “ยิ่งลักษณ์” แย้มเงินชดใช้ให้เสื้อแดงที่เสียชีวิตต้องดูเรื่องงบฯ และความเหมาะสม “บิ๊ก อ๊อด” แนะเพื่อความปรองดองต้องเยียวยาทุกฝ่าย ขณะที่ “มท.1” ยันไม่มีนโยบายสลายหมู่บ้านเสื้อแดง ตราบใดที่ไม่ขัดหลักกฎหมาย ด้าน “มาร์ค” เผยเคยจ่ายเงินชดเชยให้คนตายไปแล้ว
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง เตรียมเข้าพบเพื่อขอค่าชดเชยให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมรายละ 10 ล้านบาทว่า คงเป็นการหารือในเชิงนโยบายก่อน ส่วนรายละเอียดตัวเลขคงต้องคุยกันทั้งงบประมาณและความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวว่า ถ้ามองถึงหลักความสามัคคีและความปรองดองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องให้การชดเชยทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดงอย่างเดียว หากจะชดเชยควรให้ทหารและเสื้อเหลืองด้วย เพื่อให้ทั้งหมดมีความสุขกัน ถ้วนหน้า
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจ่ายชดเชยเรื่องดังกล่าวว่า เห็นด้วย เพราะชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาท ที่สำคัญคนที่ตายถูกทำให้ตายจึงต้องชดใช้ คิดว่าคนเหล่านี้เป็นวีรบุรุษด้วยซ้ำ เมื่อถามว่า จะเอาเงินจากไหนมาจ่าย รมว.วิทยาศาสตร์ฯกล่าวว่า จะให้ตั้งกระทู้ถามในสภา ดีหรือไม่ว่า ให้เอาเงินที่รัฐบาลที่แล้วโกงไปมาแจกให้กับผู้เสียชีวิต โดยตั้งเป็น คตส.ภาค 2
ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงนโยบายเกี่ยวกับการสลายหมู่บ้านคนเสื้อแดงว่า ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้กฎหมายหรือข้อบังคับก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ ขอให้ไม่ขัดหลักการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนก็พอ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพรออกมาทวงให้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมเดือน เม.ย. คนละ 10 ล้านบาทว่า เรื่องนี้ทางคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดูแลอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และจ่ายค่าชดเชยไปแล้ว
นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า การเรียกร้องของนายจตุพรเป็นเพียงการหาคะแนนนิยมจากกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีเนื้อหาสาระใด ๆ และบุคคลที่นายจตุพรควรเรียกร้องให้รับผิดชอบเงินชดเชยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นต้นเหตุของการสูญเสียทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ
นายอรรถพรกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่เกิดความสูญเสียไม่เคยเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อประชาชนที่เสียชีวิตเพื่อตนเอง เช่น การชดเชย หรือช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีเงินหลายหมื่นล้านบาท ตนจึงขอเสนอแนะให้นายจตุพรเรียกร้องมนุษยธรรมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และควรเรียกร้องรวมไปถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ตากใบและกรือเซะด้วย
ด้านนายคารม พลทะกลาง ทนายความของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการยื่นประกันตัวแนวร่วม นปช. จำนวน 22 คน ที่ถูกยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดอุดรธานีรวม 4 คดีว่า ได้ประสานขอใบรับรองเงินเดือน ส.ส.อุดรธานี ทั้ง 9 คนของพรรคเพื่อไทย และ นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อจะใช้ตำแหน่ง ส.ส. ของทั้ง 10 คนเป็นหลักทรัพย์ในการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยหลักทรัพย์ที่จะเสนอต่อศาลขอประกันตัวจำเลยทั้ง 22 คนอยู่ที่คนละ 500,000 บาท ที่สำคัญจะชี้ให้ศาลเห็นถึงเรื่องความปรองดอง เพราะรัฐบาลใหม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ศาลจะพิจารณาอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำ นปช. ประธานชมรมคนรักอุดรธานี กล่าวว่า จำเลยทั้ง 22 คน ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปปลุกปั่นยุยง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจะเผาศาลากลางจังหวัด และอำเภอ โดยจำเลยได้ต่อสู้คดีมาโดยตลอดปีกว่า และก่อนหน้านี้มีจำเลยที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษแล้ว 3 คน ให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเราจะช่วยเหลือยื่นประกันตัวต่อไปด้วย
นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังเสื้อแดงว่า ตนเคยส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจกลุ่มผู้ต้องขังเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ที่ จ.อุดรธานีแล้ว แต่กลุ่มผู้ต้องขังแสดงความจำนงที่จะไม่รับการช่วยเหลือ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนใจยื่นเรื่องเข้ามาที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือในส่วนนี้มีขั้นตอนการตรวจสอบ เช่นการขอความเห็นจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยล่าสุดทั้งสองหน่วยงานตอบกลับความเห็นว่าจะไม่คัดค้านการประกันตัว ดังนั้นกรมคุ้มครองสิทธิฯ จะดำเนินการยื่นขอประกันผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง จ.อุดรธานี เข้าสู่ที่ประชุมกองทุนยุติธรรมเพื่อขออนุมัติเงินช่วยเหลือในการประกันตัว
นางสุวณา กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบทางการเมืองว่า ได้แยกการช่วยเหลือออกเป็น 2 กลุ่ม คือ การยื่นขอประกันตัวผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง และดูแลผู้ต้องขังคดีการเมืองให้ได้รับสิทธิตามกฎหมาย และการให้ความช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สำหรับความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประกอบด้วยผู้ยื่นเรื่องขอรับการเยียวยา 243 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือไปแล้ว 172 ราย รวมเป็นเงินกว่า 8 ล้านบาท ไม่ผ่านการอนุมัติ 49 ราย ทั้งนี้จากผู้ยื่นคำร้องขอรับการเยียวยา 243 ราย พิจารณาไปแล้ว 221 ราย ค้างพิจารณา 22 ราย.
ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง เตรียมเข้าพบเพื่อขอค่าชดเชยให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมรายละ 10 ล้านบาทว่า คงเป็นการหารือในเชิงนโยบายก่อน ส่วนรายละเอียดตัวเลขคงต้องคุยกันทั้งงบประมาณและความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวว่า ถ้ามองถึงหลักความสามัคคีและความปรองดองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องให้การชดเชยทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดงอย่างเดียว หากจะชดเชยควรให้ทหารและเสื้อเหลืองด้วย เพื่อให้ทั้งหมดมีความสุขกัน ถ้วนหน้า
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจ่ายชดเชยเรื่องดังกล่าวว่า เห็นด้วย เพราะชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาท ที่สำคัญคนที่ตายถูกทำให้ตายจึงต้องชดใช้ คิดว่าคนเหล่านี้เป็นวีรบุรุษด้วยซ้ำ เมื่อถามว่า จะเอาเงินจากไหนมาจ่าย รมว.วิทยาศาสตร์ฯกล่าวว่า จะให้ตั้งกระทู้ถามในสภา ดีหรือไม่ว่า ให้เอาเงินที่รัฐบาลที่แล้วโกงไปมาแจกให้กับผู้เสียชีวิต โดยตั้งเป็น คตส.ภาค 2
ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงนโยบายเกี่ยวกับการสลายหมู่บ้านคนเสื้อแดงว่า ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้กฎหมายหรือข้อบังคับก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ ขอให้ไม่ขัดหลักการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนก็พอ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพรออกมาทวงให้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมเดือน เม.ย. คนละ 10 ล้านบาทว่า เรื่องนี้ทางคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดูแลอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และจ่ายค่าชดเชยไปแล้ว
นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า การเรียกร้องของนายจตุพรเป็นเพียงการหาคะแนนนิยมจากกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีเนื้อหาสาระใด ๆ และบุคคลที่นายจตุพรควรเรียกร้องให้รับผิดชอบเงินชดเชยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นต้นเหตุของการสูญเสียทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ
นายอรรถพรกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่เกิดความสูญเสียไม่เคยเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อประชาชนที่เสียชีวิตเพื่อตนเอง เช่น การชดเชย หรือช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีเงินหลายหมื่นล้านบาท ตนจึงขอเสนอแนะให้นายจตุพรเรียกร้องมนุษยธรรมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และควรเรียกร้องรวมไปถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ตากใบและกรือเซะด้วย
ด้านนายคารม พลทะกลาง ทนายความของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการยื่นประกันตัวแนวร่วม นปช. จำนวน 22 คน ที่ถูกยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดอุดรธานีรวม 4 คดีว่า ได้ประสานขอใบรับรองเงินเดือน ส.ส.อุดรธานี ทั้ง 9 คนของพรรคเพื่อไทย และ นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อจะใช้ตำแหน่ง ส.ส. ของทั้ง 10 คนเป็นหลักทรัพย์ในการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยหลักทรัพย์ที่จะเสนอต่อศาลขอประกันตัวจำเลยทั้ง 22 คนอยู่ที่คนละ 500,000 บาท ที่สำคัญจะชี้ให้ศาลเห็นถึงเรื่องความปรองดอง เพราะรัฐบาลใหม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ศาลจะพิจารณาอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำ นปช. ประธานชมรมคนรักอุดรธานี กล่าวว่า จำเลยทั้ง 22 คน ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปปลุกปั่นยุยง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจะเผาศาลากลางจังหวัด และอำเภอ โดยจำเลยได้ต่อสู้คดีมาโดยตลอดปีกว่า และก่อนหน้านี้มีจำเลยที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษแล้ว 3 คน ให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเราจะช่วยเหลือยื่นประกันตัวต่อไปด้วย
นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังเสื้อแดงว่า ตนเคยส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจกลุ่มผู้ต้องขังเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ที่ จ.อุดรธานีแล้ว แต่กลุ่มผู้ต้องขังแสดงความจำนงที่จะไม่รับการช่วยเหลือ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนใจยื่นเรื่องเข้ามาที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือในส่วนนี้มีขั้นตอนการตรวจสอบ เช่นการขอความเห็นจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยล่าสุดทั้งสองหน่วยงานตอบกลับความเห็นว่าจะไม่คัดค้านการประกันตัว ดังนั้นกรมคุ้มครองสิทธิฯ จะดำเนินการยื่นขอประกันผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง จ.อุดรธานี เข้าสู่ที่ประชุมกองทุนยุติธรรมเพื่อขออนุมัติเงินช่วยเหลือในการประกันตัว
นางสุวณา กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบทางการเมืองว่า ได้แยกการช่วยเหลือออกเป็น 2 กลุ่ม คือ การยื่นขอประกันตัวผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง และดูแลผู้ต้องขังคดีการเมืองให้ได้รับสิทธิตามกฎหมาย และการให้ความช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สำหรับความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประกอบด้วยผู้ยื่นเรื่องขอรับการเยียวยา 243 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือไปแล้ว 172 ราย รวมเป็นเงินกว่า 8 ล้านบาท ไม่ผ่านการอนุมัติ 49 ราย ทั้งนี้จากผู้ยื่นคำร้องขอรับการเยียวยา 243 ราย พิจารณาไปแล้ว 221 ราย ค้างพิจารณา 22 ราย.
ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554
จี้ ก.แรงงาน-สปส. บังคับเข้มให้นายจ้างขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนแรงงานข้ามชาติ !!?
องค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ ออกแถลงการณ์ร่วม กรณีแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติและมีใบอนุญาตทำงานถูกกฎหมาย ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาพยาบาลได้ เพราะนายจ้างไม่ได้นำชื่อเขาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม ส่งผลให้เขาเสียชีวิตหลังออกจากโรงพยาบาลได้ 2 วันเนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่ารักษาพยาบาลได้
แม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย" แถลงการณ์ร่วมระบุ
ทั้งนี้ องค์กรร่วมเสนอให้กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ ประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง รวมถึงเรียกร้องว่า กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย เพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
000000
นโยบายการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติยังใช้ไม่ได้จริง
หลังแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายต้องเสียชีวิตโดยไร้การคุ้มครอง
สำหรับเผยแพร่วันที่ 15 สิงหาคม 2554
นับตั้งแต่ปลายปี 2552 แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติที่เป็นการเปลี่ยนสถานะของพวกเขาให้เป็นแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีของการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลไทยได้มีนโยบายชัดเจนที่ผลักดันให้แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการดังกล่าว รวมทั้งการรับรองว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติแล้วนั้น จะสามารถได้รับสิทธิต่างๆ เทียบเท่าแรงงานไทย โดยเฉพาะสิทธิในเรื่องประกันสังคม
นายทูเวนโก แรงงานข้ามชาติชาวพม่าที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ เป็นแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายได้รับอนุญาตทำงานและมีนายจ้างอย่างถูกต้องในประเทศไทยมานานกว่า 6 เดือน โดยได้เปลี่ยนนายจ้างมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่ที่ บริษัท เซ้าท์อีสต์เอเชียนแพคเกจจิงแอนด์แคนนิ่ง จำกัด ตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 นายทูเวนโกประสบอุบัติเหตุศีรษะกระแทกพื้น ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูของโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชัลแนล สมุทรสาคร (โรงพยาบาลศรีวิชัย 5) แต่เมื่อทางโรงพยาบาลตรวจสอบสิทธิทางการรักษา กลับแจ้งว่าเขาไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ เนื่องจากนายจ้างไม่ได้นำชื่อเขาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม ทำให้เขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง หลังจากรับการรักษาเพียงไม่กี่วัน ญาติต้องจำใจนำตัวเขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่ารักษากว่า 120,000 บาทได้ และเขาก็เสียชีวิตลงหลังจากออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 2 วัน
แม้ว่ากระทรวงแรงงานจะออกมายืนยันว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับใบอนุญาตทำงาน เป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย สามารถได้รับสิทธิตามกฎหมาย สามารถเข้าบริการของรัฐและระบบประกันสังคมได้ อีกทั้ง ตามกฎหมายประกันสังคม ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องนำลูกจ้างขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคมภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและรวมถึงกรณีของแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยด้วย แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและช่องว่างของระบบในการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย กรณีนี้สำนักงานประกันสังคมต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบ เนื่องจากสิทธิในการประกันสังคมของลูกจ้างนั้นมีอยู่แล้ว แต่เป็นความผิดของนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องที่ทางประกันสังคมต้องไปบังคับและไล่เบี้ยจากนายจ้างโดยตรง ลูกจ้างไม่ควรต้องมาแบกรับภาระนี้ด้วยตนเอง และสำนักงานประกันสังคมต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการเข้าไปตรวจสอบและลงโทษนายจ้างที่หลบเลี่ยงกฎหมายดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้น” นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กล่าว
เพื่อให้เกิดการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยอย่างแท้จริงและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ซ้ำ ทางองค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ จึงมีข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงาน ดังนี้
กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไปยังนายจ้าง แรงงานข้ามชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างเด็ดขาดกรณีที่นายจ้างหลีกเลี่ยงไม่ดำเนินการขึ้นทะเบียนลูกจ้างกับสำนักงานประกันสังคม
สำนักงานประกันสังคมจะต้องประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง
กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยเพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
องค์กรลงนาม
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
เครือข่ายปฎิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ(ANM)
โครงการเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ
สหพันธ์คนงานข้ามชาติ
ที่มา.ประชาไท
*****************************************
แม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย" แถลงการณ์ร่วมระบุ
ทั้งนี้ องค์กรร่วมเสนอให้กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ ประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง รวมถึงเรียกร้องว่า กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย เพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
000000
นโยบายการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติยังใช้ไม่ได้จริง
หลังแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายต้องเสียชีวิตโดยไร้การคุ้มครอง
สำหรับเผยแพร่วันที่ 15 สิงหาคม 2554
นับตั้งแต่ปลายปี 2552 แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติที่เป็นการเปลี่ยนสถานะของพวกเขาให้เป็นแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีของการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลไทยได้มีนโยบายชัดเจนที่ผลักดันให้แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการดังกล่าว รวมทั้งการรับรองว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติแล้วนั้น จะสามารถได้รับสิทธิต่างๆ เทียบเท่าแรงงานไทย โดยเฉพาะสิทธิในเรื่องประกันสังคม
นายทูเวนโก แรงงานข้ามชาติชาวพม่าที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ เป็นแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายได้รับอนุญาตทำงานและมีนายจ้างอย่างถูกต้องในประเทศไทยมานานกว่า 6 เดือน โดยได้เปลี่ยนนายจ้างมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่ที่ บริษัท เซ้าท์อีสต์เอเชียนแพคเกจจิงแอนด์แคนนิ่ง จำกัด ตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 นายทูเวนโกประสบอุบัติเหตุศีรษะกระแทกพื้น ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูของโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชัลแนล สมุทรสาคร (โรงพยาบาลศรีวิชัย 5) แต่เมื่อทางโรงพยาบาลตรวจสอบสิทธิทางการรักษา กลับแจ้งว่าเขาไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ เนื่องจากนายจ้างไม่ได้นำชื่อเขาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม ทำให้เขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง หลังจากรับการรักษาเพียงไม่กี่วัน ญาติต้องจำใจนำตัวเขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่ารักษากว่า 120,000 บาทได้ และเขาก็เสียชีวิตลงหลังจากออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 2 วัน
แม้ว่ากระทรวงแรงงานจะออกมายืนยันว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับใบอนุญาตทำงาน เป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย สามารถได้รับสิทธิตามกฎหมาย สามารถเข้าบริการของรัฐและระบบประกันสังคมได้ อีกทั้ง ตามกฎหมายประกันสังคม ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องนำลูกจ้างขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคมภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและรวมถึงกรณีของแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยด้วย แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและช่องว่างของระบบในการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย กรณีนี้สำนักงานประกันสังคมต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบ เนื่องจากสิทธิในการประกันสังคมของลูกจ้างนั้นมีอยู่แล้ว แต่เป็นความผิดของนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องที่ทางประกันสังคมต้องไปบังคับและไล่เบี้ยจากนายจ้างโดยตรง ลูกจ้างไม่ควรต้องมาแบกรับภาระนี้ด้วยตนเอง และสำนักงานประกันสังคมต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการเข้าไปตรวจสอบและลงโทษนายจ้างที่หลบเลี่ยงกฎหมายดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้น” นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กล่าว
เพื่อให้เกิดการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยอย่างแท้จริงและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ซ้ำ ทางองค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ จึงมีข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงาน ดังนี้
กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไปยังนายจ้าง แรงงานข้ามชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างเด็ดขาดกรณีที่นายจ้างหลีกเลี่ยงไม่ดำเนินการขึ้นทะเบียนลูกจ้างกับสำนักงานประกันสังคม
สำนักงานประกันสังคมจะต้องประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง
กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยเพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
องค์กรลงนาม
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
เครือข่ายปฎิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ(ANM)
โครงการเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ
สหพันธ์คนงานข้ามชาติ
ที่มา.ประชาไท
*****************************************
วาทกรรม ดีแต่พูด ระวัง อาจตามหลอน พท..!!?
ยังไม่ทันจะ ได้แถลงนโยบาย "รัฐบาลปู 1" ที่กำหนดไว้คร่าวๆ เป็นวันที่ 24 ส.ค.ที่จะถึงนี้้ กลับปรากฎข่าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 โดยกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มแดง ให้กับ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่แดนไกล รวมทั้งเตรียมแต่งตั้งนายห้างดูไบห่อ ให้มาเป็นผู้แทนทางการค้า...
ต้องยอมรับว่า สร้างกระแสความไม่พอใจให้กับคนในสังคมส่วนหนึ่งทันที เนื่องจากแทนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งตั้งหน้าตั้งตาทำงาน โดยเฉพาะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ประสบอุทกภัยอย่างหนักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเต็มที่
แต่งานแรกกลับกลายเป็นรัฐบาล 300 เสียงเพื่อไทย เตรียมช่วยเหลือพี่ชายนายกรัฐมนตรีหญิง ซึ่งหากกล่าวไป เหมือนเป็นการช่วยเหลือคนๆ เดียวหรือไม่อย่างไรไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ร้อนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ คนใหม่ ที่ยังไม่ทันได้เข้าทำงานในกระทรวงบัวแก้วอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ต้องออกมาทำหน้าที่เคลียร์หน้าเสื่อ ยืนยันไม่มีเรื่องการพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มสีแดง หรือแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวแทนทูตการค้าแน่นอน แต่ถ้าจับลีลาการตอบคำถามของคนทั้งคู่ จะสังเกตเห็นว่าเป็นการตอบคำถามแบบที่เรียกว่า กั๊กๆ อยู่ในที เพราะไม่ได้ระบุว่าไม่คืนแน่นอน แต่บอกว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย หรือจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาเท่านั้น
ก็ไม่ทราบว่างานนี้เป็นการข่าวปล่อยของฝ่ายตรงกันข้าม ที่ต้องการทำให้รัฐบาลปู 1 เสียศูนย์ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าบริหารประเทศ หรือรัฐบาลในขณะนี้มีความพยายามที่จะดำเนินการจริงตามที่มีคนตั้งข้อสงสัย หรืออาจมีแรงกดดันจากคนที่มีอำนาจอยู่ดูไบ ประกอบกับเมื่อวานนี้ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประทศ ก็ออกมายอมรับว่า "ญี่ปุ่น" อนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศได้ตามคำเชิญของบริษัทเอกชนญี่ปุ่น เป็นกรณีพิเศษเสียด้วย
สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
ส่วนนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยังออกมาสำทับอีกว่า รู้สึกพอใจที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศได้ ก็อาจทำให้หลายคนเกิดเชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะคืนพาสปอร์ตเล่มแดง หรือพยายามที่จะตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้แทนการค้าจริง อย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้
ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำที่ผ่านมาดังกล่าว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ทำให้รัฐบาลปู 1 เสียรังวัดไปพอสมควร เพราะประชาชนในสังคมบางกลุ่มอาจเห็นว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อคนๆ เดียว ขัดกับคำประกาศที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาประชาคม ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ไว้ภายหลังทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการ ชั้น 7 พรรคเพื่อไทย ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศนั่น เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะทำงานเอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และจะไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว
จากนี้ไป กาลเวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลเพื่อไทย จะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ นอกเหนือจากต้องตามติดว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ด้วย ไม่ว่านโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และคนจบปริญญาตรีใหม่ รายละ 15,000 บาท แจกแท๊บเล็ตนักเรียนชั้นป.1 นโยบายลดราคาน้ำมันเบนซิน 7.50บาท/ลิตร ฯลฯ
หากสุดท้าย สิ่งที่เคยประกาศให้คำมั่นว่า จะไม่ทำหรือช่วยเหลือใครเพียงแค่คนเดียว ที่นายกรัฐมนตรีหญิงประกาศไว้ ยังไม่สามารถกระทำได้ ก็น่าคิดแล้ว ถ้าเป็นนโยบายข้ออื่นที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ ยังจะสามารถฝากความหวังอะไรได้อีกหรือไม่? ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง อย่าให้คำนิยาม "ดีแต่พูด" ที่ พท.อุตส่าห์คิดและประดิษฐ์เป็นวาทกรรม ใช้ทิ่มแทงใส่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเลือกตั้งอย่างได้ผล จนทำให้ต้องยอมรับสภาพกลายเป็นฝ่ายค้าน ย้อนกลับมาหลอกหลอน "พท." แทนเองก็แล้วกัน แล้วจะหาว่าไม่เตือน...
ที่มา: ไทยรัฐ
ต้องยอมรับว่า สร้างกระแสความไม่พอใจให้กับคนในสังคมส่วนหนึ่งทันที เนื่องจากแทนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งตั้งหน้าตั้งตาทำงาน โดยเฉพาะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ประสบอุทกภัยอย่างหนักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเต็มที่
แต่งานแรกกลับกลายเป็นรัฐบาล 300 เสียงเพื่อไทย เตรียมช่วยเหลือพี่ชายนายกรัฐมนตรีหญิง ซึ่งหากกล่าวไป เหมือนเป็นการช่วยเหลือคนๆ เดียวหรือไม่อย่างไรไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ร้อนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ คนใหม่ ที่ยังไม่ทันได้เข้าทำงานในกระทรวงบัวแก้วอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ต้องออกมาทำหน้าที่เคลียร์หน้าเสื่อ ยืนยันไม่มีเรื่องการพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มสีแดง หรือแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวแทนทูตการค้าแน่นอน แต่ถ้าจับลีลาการตอบคำถามของคนทั้งคู่ จะสังเกตเห็นว่าเป็นการตอบคำถามแบบที่เรียกว่า กั๊กๆ อยู่ในที เพราะไม่ได้ระบุว่าไม่คืนแน่นอน แต่บอกว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย หรือจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาเท่านั้น
ก็ไม่ทราบว่างานนี้เป็นการข่าวปล่อยของฝ่ายตรงกันข้าม ที่ต้องการทำให้รัฐบาลปู 1 เสียศูนย์ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าบริหารประเทศ หรือรัฐบาลในขณะนี้มีความพยายามที่จะดำเนินการจริงตามที่มีคนตั้งข้อสงสัย หรืออาจมีแรงกดดันจากคนที่มีอำนาจอยู่ดูไบ ประกอบกับเมื่อวานนี้ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประทศ ก็ออกมายอมรับว่า "ญี่ปุ่น" อนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศได้ตามคำเชิญของบริษัทเอกชนญี่ปุ่น เป็นกรณีพิเศษเสียด้วย
สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
ส่วนนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยังออกมาสำทับอีกว่า รู้สึกพอใจที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศได้ ก็อาจทำให้หลายคนเกิดเชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะคืนพาสปอร์ตเล่มแดง หรือพยายามที่จะตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้แทนการค้าจริง อย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้
ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำที่ผ่านมาดังกล่าว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ทำให้รัฐบาลปู 1 เสียรังวัดไปพอสมควร เพราะประชาชนในสังคมบางกลุ่มอาจเห็นว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อคนๆ เดียว ขัดกับคำประกาศที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาประชาคม ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ไว้ภายหลังทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการ ชั้น 7 พรรคเพื่อไทย ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศนั่น เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะทำงานเอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และจะไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว
จากนี้ไป กาลเวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลเพื่อไทย จะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ นอกเหนือจากต้องตามติดว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ด้วย ไม่ว่านโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และคนจบปริญญาตรีใหม่ รายละ 15,000 บาท แจกแท๊บเล็ตนักเรียนชั้นป.1 นโยบายลดราคาน้ำมันเบนซิน 7.50บาท/ลิตร ฯลฯ
หากสุดท้าย สิ่งที่เคยประกาศให้คำมั่นว่า จะไม่ทำหรือช่วยเหลือใครเพียงแค่คนเดียว ที่นายกรัฐมนตรีหญิงประกาศไว้ ยังไม่สามารถกระทำได้ ก็น่าคิดแล้ว ถ้าเป็นนโยบายข้ออื่นที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ ยังจะสามารถฝากความหวังอะไรได้อีกหรือไม่? ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง อย่าให้คำนิยาม "ดีแต่พูด" ที่ พท.อุตส่าห์คิดและประดิษฐ์เป็นวาทกรรม ใช้ทิ่มแทงใส่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเลือกตั้งอย่างได้ผล จนทำให้ต้องยอมรับสภาพกลายเป็นฝ่ายค้าน ย้อนกลับมาหลอกหลอน "พท." แทนเองก็แล้วกัน แล้วจะหาว่าไม่เตือน...
ที่มา: ไทยรัฐ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)