--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำเตือนก่อนคุณทักษิณไปญี่ปุ่น: ใครฉลาด? ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?

โดยวีรพัฒน์ ปริยวงศ์เมื่อ 15 สิงหาคม
นักกฎหมายระหว่างประเทศ นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ที่มา facebook.com/verapat.pariyawong

พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่ามีความผิดเกี่ยวกับการทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี แต่คุณทักษิณเห็นว่าคำพิพากษานั้นไม่เป็นธรรม จึงปฏิเสธการจับกุมโดยหลีกไปอาศัยอยู่ ณ ต่างประเทศ

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าคุณทักษิณได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจที่ประเทศญี่ปุ่น และมีการให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทย แม้จะมีรายงานข่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ยอมรับว่าได้หารือเรื่องดังกล่าวกับทูตของญี่ปุ่นก็ตาม (http://bit.ly/p91HBp)

ล่าสุด (15 สิงหาคม 2554) สำนักข่าว Kyodo ประเทศญี่ปุ่นรายงานการแถลงข่าวโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า กงสุลใหญ่แห่งญี่ปุ่น ณ ดูไบ ได้ออกหนังสือตรวจลงตรา (วีซ่า) เพื่ออนุญาตให้คุณทักษิณสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกรณีพิเศษ หลังได้รับการร้องขอจากรัฐบาลไทย (“in response to a request from Thailand” http://bit.ly/qVFL8h)

สำนักข่าว AFP รายงานคำแถลงข่าวของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นในทางเดียวกันว่า รัฐบาลไทยได้แจ้งว่าไม่มีนโยบายห้ามคุณทักษิณเดินทางไปประเทศอื่น และขอให้ประเทศญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ (“The Thai government… takes a policy of not prohibiting former prime minister Thaksin from visiting any country and requested that Japan issue a visa” http://bit.ly/mRPUg2)

หากคำพูดของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นพอเชื่อถือได้ สื่อมวลชนไทยสมควรต้องกลับมาถามรัฐบาลไทยที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่กี่วันว่า ที่มีคนบอกว่ารัฐบาลไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซ่าครั้งนี้นั้น ใครพูดจริง ใครโกหก???

ความจริงหากจะพูดให้ดูดีหน่อย ก็น่าจะบอกว่า กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (ข้อ 12 แห่งสนธิสัญญา ICCPR ซึ่งทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องเคารพ) ก็รับรองสิทธิเสรีภาพของคุณทักษิณให้สามารถเดินทางได้อย่างเสรีภายในประเทศใดประเทศหนึ่งได้ หากคุณทักษิณเข้าไปในประเทศนั้นโดยถูกกฎหมาย

อีกทั้งรัฐธรรมนูญไทย มาตรา 82 ก็สื่อความให้รัฐบาลไทยต้องเคารพสิทธิมนุษยชนข้อนี้ แน่นอนว่าหากคุณทักษิณเดินทางเข้ามาสู่เขตบังคับของกฎหมายไทย ไทยก็ย่อมต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย

ในเมื่อสุดท้ายคุณทักษิณก็ยังคงเป็นมนุษย์ กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งติดตัวคุณทักษิณอยู่แต่เดิมก็มิได้หายไปไหน การที่คุณทักษิณได้รับวีซ่าญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายเพื่อเดินทางไปแสดงความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจ หรือแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยธรรมชาติ จึงมิใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย และก็คงอยู่นอกอำนาจที่รัฐบาลไทยจะไปห้ามญี่ปุ่นได้ ไทยจะไปยุ่มย่ามเรื่องภายในก็จะหาว่าแทรกแซงและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ

อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและผู้ลี้ภัยของประเทศญี่ปุ่น ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2009 มาตรา 5-2 ได้เปิดช่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสามารถออกวีซ่าพิเศษให้กับผู้ที่ต้องโทษจำคุก เช่น คุณทักษิณ ให้เข้าญี่ปุ่นได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีสมควร

แต่เมื่อรัฐบาลไทยไม่เคยชินกับการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และดันมีคนใจดีไปช่วยขอวีซ่าจนกลายเป็นข่าว จนมีผู้ตั้งประเด็นว่าเป็นการทำให้การจับกุมคุณทักษิณลำบากขึ้นและผิดกฎหมายนั้น เป็นการฉลาดหรือไม่ ก็น่าคิดอยู่!

ใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน?

เกิดคำถามตามมาว่า ในเมื่อคุณทักษิณมีความผิดตามกฎหมายไทย ถูกศาลฎีกาไทยพิพากษาจำคุก 2 ปี แล้วหากคุณทักษิณเดินไปญี่ปุ่น ไทยจะขอให้ญี่ปุ่นส่งตัวคุณทักษิณกลับมารับโทษในประเทศไทยในลักษณะการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่?

ตอบว่าไทยขอได้ แต่ญี่ปุ่นจะส่งตัวคุณทักษิณมาหรือไม่ เป็นไปได้ยาก หากตอบโดยไม่ต้องนึกถึงข้อกฎหมายใดๆ การที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้คุณทักษิณเข้าเมืองมากล่าวสุนทรพจน์และเยี่ยมผู้ประสบภัยเป็นกรณีพิเศษ แล้วค่อยเข้าจับกุมส่งตัวนั้น คงจะดูแปลกอยู่

และหากพิจารณาในข้อกฎหมาย ก็จะพบอุปสรรคหลายด่าน ดังนี้

ด่านที่ 1: ไทยและญี่ปุ่นยังไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

จริงอยู่ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2552 ไทยและญี่ปุ่นได้ลงนามสนธิสัญญาอีกฉบับ คือสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งอาจมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ความจริงสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับกรณีที่ไทยจับคนญี่ปุ่นที่ทำผิดกฎหมายไทย แล้วอาจส่งตัวคนญี่ปุ่นนั้นกลับไปจำคุกที่ญี่ปุ่นตามโทษกฎหมายไทย ในทางเดียวกัน ญี่ปุ่นก็อาจส่งตัวคนไทยที่ทำผิดกฎหมายญี่ปุ่นกลับมาจำคุกที่ไทย

แต่กรณีคดีของคุณทักษิณนั้น เป็นกรณีที่คนไทยต้องโทษจำคุกตามกฎหมายไทย จึงไม่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว (นอกจากคุณทักษิณเข้าญี่ปุ่นแล้วดันทะลึ่งทำผิดกฎหมายบ้านเขาแล้วถูกจำคุก ไทยก็อาจขอให้ส่งตัวมาได้)

ด่านที่ 2: ไม่มีสนธิสัญญาก็ส่งได้ แต่ส่งยาก

การที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ไม่ได้แปลว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะทำไม่ได้ เพียงแต่ทำได้ยาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต้องอาศัยกฎหมายภายในประเทศและ “วิถีทางการทูต” (diplomatic channel)” ซึ่งอาศัยดุลพินิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสำคัญ

ด่านที่ 3: กฎหมายไทยให้อำนาจนักการเมือง ไม่ใช่อัยการ

พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 มาตรา 30 ให้อัยการสูงสุดของไทยมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะร้องขอให้ญี่ปุ่นส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ แต่กระนั้น กฎหมายก็ยังเปิดช่องให้ “คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นอย่างอื่น” ได้ กล่าวคือหากอัยการสูงสุดต้องการขอ แต่คณะรัฐมนตรีไม่ต้องการให้ขอ สุดท้ายก็ขอไม่ได้

ด่านที่ 4: กฎหมายญี่ปุ่นไม่ให้ส่งฟรีๆ

แม้หากสุดท้ายคณะรัฐมนตรีไทยไม่ขัดข้อง ก็มิได้แปลว่าไทยขอแล้วญี่ปุ่นจะให้ทันที แต่กฎหมายภายในของประเทศญี่ปุ่น คือ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ค.ศ. 1953 แก้ไขล่าสุด ค.ศ. 2004 กำหนดว่า นอกจากฝ่ายไทยต้องส่งคำขอพร้อมเอกสารรายละเอียดที่เข้าเงื่อนไขต่างๆแล้ว มาตรา 3 ยังบังคับว่า ไทยต้องให้คำมั่นว่าจะส่งตัวผู้ร้ายจากไทยไปที่ญี่ปุ่นในลักษณะต่างตอบแทนอีกด้วย (reciprocity) กล่าวโดยง่ายก็คือ หากไทยไม่มีผู้ร้ายไปสัญญาแลก ญี่ปุ่นก็ไม่ส่งให้

ด่านที่ 5: รัฐมนตรีญี่ปุ่นต้องพอใจ

ไทยต้องเอาผู้ร้ายไปสัญญาแลกเท่านั้นไม่พอ กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 4 ยังกำหนดว่า ในกรณีที่ไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นมีดุลพินิจพิจารณาอย่างกว้างขวางว่า “หากเป็นการไม่เหมาะสม” (deemed to be inappropriate) ญี่ปุ่นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำขอของไทย ซึ่งอะไรจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ก็คงสุดแท้แต่ที่ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะคิด

ด่านที่ 6: กฎหมายญี่ปุ่นระบุข้อห้ามไม่ให้ส่งตัว

แม้ท่านรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะมองว่าเป็นการเหมาะสมที่จะส่งคุณทักษิณกลับมาประเทศไทย ก็มิใช่ว่าจะส่งได้ แต่ต้องผ่านด่านกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของญี่ปุ่น มาตรา 2 ซึ่งกำหนดข้อห้ามไม่ให้ส่งตัวคุณทักษิณไว้อีกหลายกรณี หากเข้ากรณีใดกรณีหนึ่ง ก็ส่งไม่ได้ อาทิ

- ห้ามส่งตัวหากเห็นว่าความผิดของคุณทักษิณเป็นความผิดทางการเมือง (political offense) หรือการขอให้ส่งตัวคุณทักษิณเป็นการพยายามนำตัวคุณทักษิณมาลงโทษทางการเมือง

(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คดีความทั้งหมดที่มุ่งเล่นงานคุณทักษิณตั้งแต่กระบวนการรัฐประหารโค่นอำนาจทางการเมือง ฯลฯ แต่คุณทักษิณก็ต้องไม่ลืมว่าคดีที่ศาลฎีกาตัดสินนั้นเป็นเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการประมูลที่ดิน ญี่ปุ่นอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องการเมือง)

- ห้ามส่งตัวหากความผิดคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่มีโทษเบา กล่าวคือกฎหมายญี่ปุ่นกำหนดว่า หากโทษความผิดคุณทักษิณเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ก็ห้ามส่งตัว

(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า คุณทักษิณถูกศาลไทยพิพากษาจำคุกเพียง 2 ปี จึงเป็นกรณีโทษเบาที่ไม่ให้ส่งตัว แต่อย่าลืมว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ศาลไทยใช้ลงโทษคุณทักษิณนั้น มาตรา 122 ได้บัญญัติให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี สุดท้ายก็ขึ้นอยู่ว่าญี่ปุ่นจะตีความกฎหมายอย่างไร)

- ห้ามส่งตัวหากความผิดของคุณทักษิณตามกฎหมายไทยเป็นความผิดที่ไม่สามารถเอาผิดหรือลงโทษตามกฎหมายของญี่ปุ่นได้ (double criminality)

(เช่น คุณทักษิณอาจต่อสู้ว่า ความผิดเรื่องการทุจริตที่เกิดจากการประมูลที่ดินโดยภรรยานายกรัฐมนตรีนั้น แม้กฎหมายไทยจะมองว่าผิด แต่กฎหมายญี่ปุ่นอาจไม่ถือว่าเป็นความผิด ก็ห้ามส่งตัว)
หากจะบอกว่าคุณทักษิณมั่นใจในข้อกฎหมายว่าไม่ถูกส่งตัวกลับไทย ก็พอเข้าใจอยู่ แต่ที่น้องคุณทักษิณต้องมานั่งตอบคำถามว่า ทำไมถึงไม่ขอส่งตัว หรือทำไมขอแล้วส่งมาไม่ได้ ก็อาจเข้าใจยากหน่อย

หรือกล่าวอีกทางหนึ่ง สุดท้ายใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ข้อนี้ตอบง่าย แต่งานนี้ใครฉลาดหรือไม่ ข้อนี้ตอบยาก!!!

ฮือ!!?หวยยิ่งลักษณ์ ตรงเป๊ะป้ายรถเด็กพท.รวยอื้อ...

'มาดามปู' ให้โชค คนเสื้อแดง-รปภ.เพื่อไทยเฮ ถูกเลขท้ายหวยรัฐบาล 62 ตรงกับทะเบียนรถนายกฯหญิงเจ้าตัวหัวเราะร่า ก่อนรุดดูทะเบียนรถตัวเอง ขณะที่บางรายนำอายุ-วันเกิด “แม้ว” มาตีเป็นเลขเด็ดรวยถ้วนหน้า ด้านเซียนหวยเซ็งถ้วนหน้าเจ้ามือกินเรียบ เลขดังไม่ออก ส่วนผอ.กองสลาก เดินหน้าขอรัฐบาลใหม่ทบทวนถ่ายทอดสด ป้องกันประชาชนถูกหลอกลวง ขณะที่ ผบช.ภ.2 สนธิกำลังจับเจ้ามือหวยใต้ดินรายใหญ่เมืองพัทยา แฉมีเครือข่ายรับแทงพนันหวยจาก 108 เจ้ามือใหญ่ทั่วประเทศมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้าน

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ประกาศผลการออกรางวัลงวดประจำวันที่ 16 ส.ค. และผลปรากฏว่ารางวัลเลขท้าย 2 ตัว ออกหมายเลข 62 ทำให้บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยเป็นไปอย่างคึกคักขึ้นมาทันที โดยเฉพาะบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงที่ปักหลักประจำอยู่ที่ทำการพรรค ต่างส่งเสียงเฮแสดงความดีใจกันเป็นแถว รวมทั้งเจ้าหน้าที่พรรคหลายคน ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอาคาร เจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำลานจอดรถ ต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่ บางคนถึงกับเปรยว่า “นายกฯหญิงให้โชค” ทั้งนี้เนื่อง จากบรรดาคนเสื้อแดง และเจ้าหน้าที่ประจำพรรค ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว เลข 62 กันหลายคน

จากการสอบถามทราบว่า เลขดังกล่าวนอกจากจะเป็นเลขท้ายทะเบียนรถโฟล์คตู้สีดำป้ายแดง หมายเลข ว 1662 กรุงเทพฯ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วนั้น บางรายก็ยึดเอาอายุของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีอายุ 62 ปี บางคนก็ยึดเอาวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือวันที่ 26 ก.ค. และกลับเป็นเลข 62 ทั้งนี้แม้แต่โชว์เฟอร์ที่ขับรถให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถูกกับเขาด้วย โดยได้เดินมาบอกผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ถูกเหมือนกัน แต่ซื้อน้อย” ขณะที่ทีมรักษาความปลอดภัย ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อ บางคนก็บอกว่าไม่เล่นหวย ทั้งนี้ เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบถึงเรื่องดังกล่าว ถึงกับแสดงอาการตกใจ ก่อนที่จะสอบถามผู้สื่อข่าวว่า “จริงเหรอ เลขอะไรที่ออก” เมื่อ ผู้สื่อข่าวบอกว่าเป็นเลข 62 ซึ่งเป็นเลขของทะเบียนรถที่นายกรัฐมนตรีใช้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับยิ้มชอบใจ พร้อมหันไปถามคนใกล้ชิดว่าซื้อกันหรือเปล่า และก่อนขึ้นรถกลับก็ได้เดินไปดูทะเบียนรถตัวเองด้วย

อีกด้านหนึ่งที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อเวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) ประจำงวดที่ 40 เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีทั้งบรรดาเซียนหวยที่มาร่วมชมการออกรางวัล และยังคงเดินหาซื้อลอตเตอรี่ในนาทีสุดท้ายก่อนออกรางวัลกันจำนวนมาก เพราะไม่มีฝน และมีเลขเด็ดในงวดนี้จำนวนมาก ทั้งนี้มี นายวรวิทย์ ลิมปชัยมนตรี ผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาเป็นประธานในการออกรางวัล โดยรางวัลเลขท้าย 3 ตัวที่ออกได้แก่หมายเลข 814 345 074 และ 005 ส่วนรางวัลเลขท้าย 2 ตัวได้แก่หมายเลข 62 และรางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 356960 ขณะที่รางวัลที่ 1 พิเศษชุดที่ 1 ได้แก่ชุดที่ 25 หมายเลข 356960 สุดท้ายรางวัลที่ 1 พิเศษ ชุดที่ 2 ได้แก่ชุดที่ 53 หมายเลข 356960 ในการออกรางวัลครั้งนี้ บรรดาเซียนหวยต่างร้องเสียงเซ็งแซ่ด้วยความผิดหวัง เนื่องจากบรรดาเลขดังที่ซื้อเก็งกันไว้นั้น ไม่ออกรางวัลเลย

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ภ. 2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี นำกำลังตำรวจจากกองกำกับการสืบสวน ภ.จว.ชลบุรี สภ.บางละมุง และ สภ.เมืองพัทยา กว่า 50 นาย พร้อมหมายค้นศาลจังหวัดพัทยาที่ ค. 422/2554 ลงวันที่ 16 ส.ค. เข้าตรวจค้นบ้านหรูเลขที่ 17/34 หมู่บ้านพัทยาแลนด์แอนด์เฮ้าส์ หมู่ 13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวลักลอบจำหน่ายหวยใต้ดินรายใหญ่ระดับประเทศ จากการตรวจค้นพบภายในบ้านพบมีกลุ่มคน 68 คน กำลังนั่งจดบันทึกโพยหวย โดยมีนายสมภาร คำมณี อายุ 41 ปี รับเป็นเจ้าของบ้านและเจ้ามือ จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางเป็นเครื่องแฟกซ์ 25 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 12 เครื่อง, เครื่องคิดเลข 63 เครื่อง, สมุดเงินฝากของธนาคารต่าง ๆ 20 เล่ม, เช็คเงินสด 10 เล่ม, เงินสด 1 แสนบาท, อาวุธปืนสั้น 3 กระบอก และโพยหวยใต้ดินที่ถูกแฟกซ์มาจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศอีกจำนวนมาก

พล.ต.ท.ไถง เปิดเผยว่า การจับกุมหวยใต้ดินในครั้งนี้ถือเป็นรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก แต่ก็ยังมีอีก 2-3 แห่งในพื้นที่ศรีราชา ซึ่งจะได้ขยายผลจับกุมกันภายหลัง ส่วนรายนี้แนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นสถานที่รับแทงพนันหวยใต้ดินโดยรับจากเจ้ามือใหญ่จำนวน 108 รายทั่วประเทศ โดยมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท ส่วนพนักงานที่ มาจดโพยหวยจากการสอบถามทราบว่าได้ค่าแรงวันละ 1,500 บาท นอกจากนี้ยังทราบอีกว่า นายสมภาร เจ้าของบ้าน อดีตเคยทำธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบเครือข่าย จ.จันทบุรี แต่ภายหลังได้เลิกทำแล้วเนื่องจากถูกตำรวจกวดขันจับกุมอย่างหนัก จึงหันมาทำธุรกิจหวยใต้ดินเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ขณะที่รายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเจ้ามือหวยรายใหญ่ตามจังหวัดต่าง ๆ ทั้ง 108 ราย จะได้ขออำนาจศาลออกหมายจับมาดำเนินคดีต่อไป.

ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดาบนั้นคืนสนอง !!?

รัศมีแห่งการเข่นฆ่า, ก็ฉวัดเฉวียน โฉบเฉี่ยว ดังฉึกแน่นฉับ ไปยัง “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”, และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สิพี่น้อง
เมื่อกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ “ดีเอสไอ” รื้อแฟ้มคดีลับ จากกรุเก่าที่เก็บเอาไว้.....
ทั้ง “อภิสิทธิ-สุเทพ” จะมาแหกปากร้องกระเชอ โดนรังแกตัวงอเป็นกุ้งคงไม่ถูก...เมื่อกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ใครก็รอดสันดอนไม่ได้...และไม่มีวันหนีหลุด
ขณะนี้ “ท่านธาริต” อธิบดีคนเขื่อง..กำลังตั้งเรื่อง?..เดินเครื่อง เล่นงานกันสุด..สุด??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข!!
แต่ทั้งหมดนี้, มิได้หมายความว่า, “นายกฯปู” คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะให้อภัย??
“เสธ.ไก่อู” พันเอกสรรเสริฐ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.สร้างวีรกรรมสนั่นประเทศ ไว้เช่นใด..ท่านน่าจะรู้ดี!!
แม้จะอ้างเป็น “คำสั่งหน่วยงาน”...แต่การออกแอ็กชั่นเกินไป มันมีผลลบนะพี่
ถึงได้รับคำสั่งทำตามหน้าที่, ก็ไม่ควรเอ็กเซอร์ไซด์.. จนคนเขา ดูว่า “ล้ำเส้น”!!!
เมื่อมีน้ำขึ้นก็มีน้ำลง...ก้อ,ขอให้ท่านปลง..ปลง?...เมื่อตำแหน่งของท่านคงกระเด็น??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สลายขั้ว สลายอำนาจ!!!
ดับทุกข์แห่งความแตกแยก ของ “ทหารวงศ์เทวัญ” และ “ทหารบูรพา” ได้..ถือว่า “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม เดินเกมฉลาด??
ยิ่งการประกาศ ไปโยกย้าย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซีซ่าร์ใหญ่แห่งกองทัพบก..ได้ใจขุนศึกใหญ่เป็นตับ
เมื่อ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รับประกันซ่อมฟรี ว่าจะไม่ย้าย “บิ๊กตู่” ก็น่า เป็นเช่นนั้นแหละครับ
แต่ขอให้ระวัง “ภัยธรรมชาติ” ที่อาจจะมาถึงตัว “พล.อ.ประยุทธ์” ได้วันละ ๒๔ ชั่วโมง!
คนในรัฐบาลไม่คิดปลดท่านสักเวลา...มีแต่ “ป,เอ๋ย ปลา”?...คิดหาหนทางปลดให้ท่านลง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ปั้นงานใหญ่-งานยักษ์”
ผลักดันเต็มที่ เพื่อสร้าง “สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “ของ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้เป็นที่ประจักษ์!!!
โปรเจ็กเลิศสะแมนแตน ของ “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ดูจะอลังการสร้างสรรค์ เป็นอย่างยิ่ง
ใช้งบประมาณ หลายพันล้าน เพื่อสร้างคุณอเนกอนันต์ แก่ “ตำรวจ”ทั้งประเทศ...เป็นการฝาก “ผลงานทิ้ง”
แต่กลัวว่า,งานนี้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ต้องฝันสลายกลายเป็นหมันแน่...เพราะโอกาสถูกย้ายแรงเหลือเกิน!!!
ขืนดื้อดันทุรังต่อไป....มีแต่กลับตาย?....ชิงออกไป ก่อนที่จะยับเยิน???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เมื่อฝนจาง..ฟ้าก็สว่างสดใส!!
ถูกเช็คบิล, เก็บเอากรุไปนั่งตบยุงอยู่ เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม...ด้วยอำนาจมืออำมหิต..ตรงนี้และที่นี่ ได้แต่เห็นใจ กับ เห็นใจ
เขาไง, “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีตอธิบดีดีเอสไอ คนตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด
เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี, ท่านคงไม่ถูกดองเค็ม ให้นั่งอึดอัด
คงได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ ทำงานดี..... ฝากผลงานชั้นดี เอาไว้ในแผ่นดิน ให้คนได้จดจำ โปรดจับตา “คุณพี่ทวี”อย่าให้พลาด....คนนี้ท่านเก่งท่านฉลาด...น่าจะผงาดเป็น “ปลัดกระทรวงยุติธรรม”????


คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////

ปาฐกถา สุรินทร์ พิศสุวรรณ: 'ชายแดนใต้สู่อาเซียน ต้องเปลี่ยนทัศนะกรุงเทพฯ'


สุรินทร์ พิศสุวรรณ
อีก 4 ปี ประเทศไทยก็จะเข้าสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” อันตามมาด้วยการเปิดเสรีด้านต่างๆ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงาน

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะส่งผลบวกหรือลบอย่างไรกับแรงงานไทย นับเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาติดตามอย่างใกล้ชิด ข้อมูลที่ได้จากปาฐกถาของเลขาธิการอาเซียน “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” เรื่อง “แนวทางการรับมือกับผลกระทบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนที่มีต่อแรงงานไทย” นับเป็นอีกประเด็นที่คนไทยโดยรวมควรมีโอกาสได้รับรู้

เป็นปาฐกถาในโครงการ “แนวทางรับมือกับผลกระทบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนที่มีต่อแรงงานไทย” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา จัดร่วมกับชมรมการจัดการงานบุคลจังหวัดสงขลา ที่โรงแรมบีพี สมิหลาบีช เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา

ทำไม การจะมอบภาระให้คนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหัวหอกนำไทยสู่ตลาดอาเซียน ถึงต้องเปลี่ยนทัศนคติกรุงเทพมหานคร โปรดไล่สายตาหาเหตุผลได้ จากปาฐกถาชิ้นนี้
0 0 0

“ชายแดนภาคใต้ ประชากรมีลักษณะแตกต่างหลากหลายดีอยู่แล้ว ขอให้เปลี่ยนทัศนคติของกรุงเทพมหานคร อย่าถือว่าความแตกต่างหลากหลายและเอกลักษณ์เหล่านี้ทำลายความเป็นเอกภาพของชาติ
คนที่นี่พูดภาษามาเลย์ท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ เปลี่ยนทัศนคติได้ไหมว่า นี่คือทรัพยากรที่มีอยู่ สอนภาษามลายูกลางให้เขา สองภาษาของที่นี่ก็เป็นภาษามลายูกลางกับอังกฤษ เขาจะเป็นหัวหอกในการนำไทยสู่ตลาดอาเซียน นำนักท่องเที่ยวเข้ามา ดึงเอาการลงทุนเข้ามา ดัน SMEs สู่ตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เพราะเขารู้ภาษามลายู

ภาษาถิ่นตรงนี้เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญ รักษาไว้ พัฒนามัน สอนให้เขาพูดมาเลย์กลางที่พูดกัน 300 กว่าล้านคนในอาเซียน ครึ่งหนึ่งในอาเซียนพูดภาษามาเลย์ แต่เพราะทัศนะของกรุงเทพมหานครมองว่า สิ่งนี้จะนำไปสู่การแตกแยก มันถึงพัฒนาต่อไปไม่ได้ มันถึงกลายเป็นความแตกแยก ต้องเปลี่ยนทัศนคติ”
0 0 0

ผมดีใจมากๆ ที่เห็นความตื่นตัวของพี่น้องชาวจังหวัดสงขลามีมากกว่าจังหวัดอื่นๆ ในการเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หัวข้อที่ตั้งไว้วันนี้คือ ผลกระทบ การเตรียมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของแรงงาน บุคคลากร ทรัพยากรมนุษย์ ที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558 หรือค.ศ. 2015
ปีนี้ ค.ศ. 2011 เหลืออีก 4 ปีจะเป็นประชาคมอาเซียน ที่เรียกว่า The ASEAN Community
ประชาคมอาเซียนวางอยู่บน 3 เสาหลัก เสาหลักที่หนึ่งคือ เรื่องการเมืองและความมั่นคง Political and Security Community เสาหลักที่สองคือ Economic Community หรือ AEC
ท่านจะเห็นว่ามีการพูดถึง AEC กันบ่อยในสื่อมวลชนทั้งหลาย ในเรื่องการเตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC การเตรียมพร้อมที่จะได้ประโยชน์จาก AEC การเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปแข่งขันใน AEC การเตรียมพร้อมเพื่อจะแย่งตลาด AEC

อีกเสาหลักหนึ่งคือเรื่องสังคมและวัฒนธรรม ASEAN Socio-Cultural Community แปลว่าเป็นเสาที่จะทำให้ประชากรอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ 600 ล้านคน มีความรู้สึก รู้จัก เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเจ้าของประชาคมนี้ด้วยกัน พร้อมจะเข้ามาหาประโยชน์จากประชาคมนี้ แข่งขันในประชาคมนี้ และเป็นเจ้าของในการสร้างประชาคมนี้ด้วยกัน

โลกสมัยใหม่คือโลกที่แข่งขันกันด้านเศรษฐกิจ ภาษาที่ใช้กันในการทูตสมัยใหม่คือ ภาษาธุรกิจ การลงทุน การแข่งขัน เดี๋ยวนี้ในทางการทูตมีการพูดถึงเรื่องความมั่นคง ข้อตกลง การรับรองข้อตกลงน้อยลง 60–70% เป็นเรื่องของการลงทุน การแลกเปลี่ยน การท่องเที่ยว การแข่งขัน การลดภาษี การลดกำแพงภาษี การลดกำแพงซึ่งไม่ใช่ภาษี

กำแพงซึ่งไม่ใช่ภาษีคือ คุณภาพของสินค้า ขนาด ส่วนผสม สีสันของสินค้า เพื่อที่จะตั้งประเด็นกีดกัน ไม่ให้สินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเข้ามา เพราะมีการลดภาษีระหว่างกันหมดแล้ว ตามข้อตกลง เขาเรียกว่า None Tariff Barrier คือ การกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่การเก็บภาษีสินค้าขาเข้า

เพราะฉะนั้น สงขลาหรือภาคใต้ของประเทศไทย ถ้ามองแผนที่ของภูมิภาค จะเห็นเป็นหัวใจที่ยื่นเข้าสู่อาเซียนทางใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ทางตะวันตก เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ทางตะวันออก 200 กว่ากิโลเมตรข้ามอ่าวไทยก็คือ เขมร เวียดนาม ไกลไปอีกหน่อยก็คือ ฟิลิปปินส์

จะเห็นได้ว่า ด้ามขวานของภาคใต้ของเรา ยื่นเข้ามาในหัวใจของอาเซียน มันจึงมีการท้าทายมาก มีสิ่งต้องเตรียมพร้อมเรียนรู้ รับรู้มาก โอกาสมีมาก ลูกหลานของเรา หรือตัวเราเอง สามารถที่จะออกไปหางานทำในภูมิภาคอาเซียนได้ ทั้ง 10 ประเทศ

ชีวิตในอนาคต จึงเป็นชีวิตที่เคลื่อนย้าย เคลื่อนไหว (Mobile) เป็นชีวิตที่มีทางเลือกเยอะ เป็นชีวิตที่มีความน่าตื่นเต้น มีโอกาสเปิดกว้าง แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เพราะต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือคุณภาพของคน จะต้องแข่งขันกับคน 600 ล้านคน

คนเรียนจบที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาเขตหาดใหญ่ หรือปัตตานีก็ตาม ไม่ได้แข่งขันกับคนแค่ 60 ล้านคนในประเทศเท่านั้น ถ้าจะเป็นวิศวกร เป็นสถาปนิก เป็นทันตแพทย์ เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นบุคลากรด้านการท่องเที่ยว

Hospitality Industry เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่แปลก สงขลาน่าจะมี เพราะมีท่าเรือ มีสนามบินนานาชาติ ต้องสำรวจสินค้าก่อนเรือและก่อนเครื่องบินออกว่า ถูกต้องตาม L/C ใบสั่ง ตามข้อตกลงที่บริษัทจากมาเลเซีย จากสิงคโปร์ จากยุโรป จากจีน จากญี่ปุ่น สั่งเข้ามาหรือไม่ เรียกอาชีพนี้ว่า Surveyor แปลว่า สำรวจสินค้าให้ถูกต้องตามสเป็คที่เขาสั่ง อีกอาชีพหนึ่งคืออาชีพการบัญชี
ขณะนี้ตกลงกันแล้วว่า เป็น 8 อาชีพ ที่จะมีโอกาสเคลื่อนย้ายในภูมิภาคของอาเซียน ไปที่ไหนก็ได้ เพราะ

ฉะนั้น 8 อาชีพนี้คือ 8 อาชีพที่มองได้ 2 แง่
1. ทางเลือกเยอะในชีวิต
2. จะไม่จำกัดอยู่ตรงนี้แล้ว
จะไปเปิดคลินิกที่สิงคโปร์ก็ได้ ไปเปิดบริษัท Consultant (ที่ปรึกษา) ทางด้านสถาปัตยกรรม และทางด้านวิศวกรรมที่มาเลเซียก็ได้
ไปทำงานใน Hospitality Industry เรียนมาทางด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการต้อนรับขับสู้คือ โรงแรม สปา การให้บริการทางด้านท่องเที่ยว เป็นไกด์ เป็นผู้นำเที่ยว หรือมัคคุเทศก์ สามารถจะไปทำงานที่บรูไนได้ หรือที่ฟิลิปปินส์ได้

มองได้ว่าโอกาสมีมากขึ้น ชีวิตน่าตื่นเต้น มีทางเลือก ชีวิตของลูกหลานเราต่อไปนี้ ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในขอบขัณฑสีมาของประเทศนี้อีกแล้ว
อีกแง่หนึ่งคือ ถ้าเราต้องการจะย้ายไปบ้านเขา เขาก็ย้ายมาที่เราได้ เพราะฉะนั้นการแข่งขันจะสูงขึ้น คุณภาพต้องดีขึ้น สามารถที่จะแข่งขันกับคนอื่นแล้วรอด หรือเอาชนะได้
ตรงนี้แหละคือ ปัญหาของประเทศไทย ปัญหาของคนสงขลา ปัญหาของคนทุกจังหวัดในประเทศไทยคือ เรื่องความสามารถในการแข่งขัน เรื่องของ Competitiveness คุณภาพของบุคคลากรที่ผลิตออกมา คุณภาพของผลผลิตในด้านทรัพยากรมนุษย์ที่เราผลิตออกมา

คนสิงคโปร์มาเที่ยวที่นครศรีธรรมราช เข้าไปร้านอาหารที่โรงแรม นั่งโต๊ะบอกว่า May I have a glass of water? พนักงานเสิร์ฟที่นครฯ บอกว่า อะไรก๊อ 3 ครั้ง เขาหายอยากเลยครับ ลุกหนี เข้าใจว่าสงขลา และหาดใหญ่ไม่มีปัญหานั้น

ผมดีใจที่ได้ยินนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พูดถึงการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน เริ่มด้วยภาษา คุณจะเป็นหมอที่ดีเยี่ยม แต่ถ้าคุณยังถามอะไรก๊ออยู่ คุณจะเป็นสถาปนิก หรือวิศวกรที่ดีเยี่ยม แต่ถ้าคุณไม่สามารถบริการลูกค้าได้ เพราะสื่อกับเขาไม่ได้ จะเป็นทันตแพทย์ หรือพยาบาล หรือหมอ ถึงแม้จะไปเปิดคลินิกในต่างประเทศ ภายใต้กรอบของอาเซียนได้ แต่ถ้ายังสื่อกับเขาไม่ได้ พูดได้แค่ภาษาเดียว คุณก็ไม่สามารถจะไปได้

ระวังให้ดี 68% ที่เข้ามาลงทุนในอาเซียน เข้ามาสู่ภาคบริการ ใน 100 บาท มี 68 บาท จะเข้าสู่ระบบของการศึกษา ธุรกิจด้านสาธารณสุข การบริการด้านให้คำปรึกษา ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว โรงแรม เป็นธุรกิจภาคบริการ

เพราะฉะนั้น จะหวังให้โรงงานจากญี่ปุ่น ย้ายมาตั้งโรงงาน ใช้คำว่า Food Processing หรือการผลิตอาหาร การบรรจุหีบห่อ การแข่งขันด้านแรงงานราคาถูก โรงงานทอผ้า แม้แต่โรงงานผลิตรถยนต์ ภาคการผลิตในโรงงานที่เรียกว่า Manufacturing ลดลง ลดลง ลดลง เหตุเพราะค่าแรงงานที่จีนถูกกว่า ค่าแรงงานที่อินเดียถูกกว่า ค่าแรงงานประเทศเพิ่งเกิดใหม่ในเอเชียกลาง ถูกกว่าในอาเซียน

68% ของการลงทุนต่างประเทศ ปีหนึ่ง 50,000 ล้านดอลลาร์ เกือบ 70% ที่เข้ามาคือ ภาคบริการ
ภาคบริการจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ภาคบริการคือการให้มูลค่าเพิ่มกับคนต่างชาติ หรือคนในประเทศ ที่ต้องการมีคุณภาพในชีวิตที่ดีขึ้น เพราะในเรื่องวัตถุ รายได้ เศรษฐกิจ เราขยับขึ้นมาแล้วจ ากการหาเช้ากินค่ำมาเป็นหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หาการบริการในชีวิตที่ดีขึ้น

ตรงนี้แหละครับ เป็นสิ่งที่ทั้ง 10 ประเทศ ทั้ง 600 ล้านคน จะต้องให้ความสนใจการพัฒนาบุคคลากรของตัวเอง เพื่อเอาประโยชน์จากการที่เขาจะแสวงหาคุณภาพชีวิต การบริการที่ดีขึ้น
ญี่ปุ่นต้องการพยาบาลจากประเทศอาเซียนทั้งหมด เพราะคนของเขาแก่ลง มีคนเข้าไปอยู่ในที่พักคนชรามากขึ้น เขาผลิตพยาบาลไม่ทัน คนรุ่นใหม่ของเขาผลิตไม่ทัน หรือผลิตแล้ว เลือกที่จะมีครอบครัวดูแลลูก แทนที่จะอยู่ในภาคการบริการพยาบาล

เขาให้ทุนมาสอนภาษาญี่ปุ่นกับพยาบาลในอาเซียน เรียนไปหนึ่งปีสอบภาษาญี่ปุ่นได้สองคน เพราะกว่าจะจบพยาบาลอายุ 23, 24, 25 ปี มันอาจจะช้าเกินไป ที่จะเลือกเรียนภาษาที่สองให้กับตนเอง
ที่สิงคโปร์ขณะนี้ ตลาดการบริการ ไม่ว่าร้านอาหาร สปา โรงแรม เต็มไปด้วยคนจีน และคนจีนเหล่านั้นพูดภาษาอังกฤษ แรงงานจีนเหล่านั้นพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าแรงงานไทย สมัยหนึ่งเป็นแรงงานจากฟิลิปปินส์ แต่ตอนนี้จีนเต็มไปหมด สมัยหนึ่งเคยเป็นคนอินโดนีเซีย แต่เดี๋ยวนี้จีนเข้ามาแย่งงานด้านการบริการระดับนั้นไป

ตอนนี้ สิ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่ปรึกษาทั้งหลาย ต้องตัดสินใจคือ แรงงานระดับไหนในอาเซียน ที่ต้องการเจาะให้เป็นพื้นที่ของแรงงานไทย จะไปแข่งกับเขาในระดับนั้นไหม ไม่มีทางที่จะสู้เขาได้ จะแข่งกับเขาในระดับนี้ไหม ไม่แน่ว่าจะสู้เขาได้หรือเปล่า
จะแข่งกับเขาในเรื่องการบริหารจัดการ หรือด้านการวิจัยค้นคว้า Research and development และพัฒนาสินค้า สู้เขาได้ไหม ไม่แน่

ตรงนี้แหละครับ 64 ล้านคน จะอยู่ตรงไหนของประชาคมอาเซียน เป็นคำถามระดับประเทศ เป็นคำถามสำหรับผู้บริหาร เป็นคำถามสำหรับรัฐบาลใหม่ เป็นคำถามของผู้บริหารระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท้องถิ่น และจังหวัดที่อยู่ชายแดน

สงขลานี่ยิ่งกว่าชายแดนอีก เพราะเป็นบริเวณที่สภาพภูมิศาสตร์ยื่นเข้าไปในหัวใจของอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดการแข่งขันที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะฉะนั้นที่คิดเรื่องนี้นี่ถูกแล้ว แต่อยากจะเรียกร้องว่า ต้องเร็วกว่านี้ ต้องมี Sense of Urgency ความรู้สึกว่ามันฉุกเฉินแล้วนะ วันเดียวก็เสียไปไม่ได้แล้ว ชั่วโมงเดียวก็ปล่อยไม่ได้แล้ว ต้องตื่นตัวทั้งองคาพยพ

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาบอกว่า ในตลาดของการขุดเจาะนอกฝั่งสงขลา แรงงานต่างประเทศทั้งนั้น เพราะเราไม่มีบุคลากรด้านนั้น ในราคานั้น ในระดับความรู้ความสามารถ Skill ขนาดนั้น
การต่อท่อในโครงสร้างทางทะเล การบริหารจัดการ การส่งทรัพยากร หรือปัจจัยทั้งหลายบนแท่นขุดเจาะ ไม่ว่าอาหาร น้ำ พืชผัก มันจะมีเรื่อง Logistics เข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะมีเรื่องขนส่งสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะมีเรื่องการบริการเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าสงขลาไม่พร้อมที่จะสู้ ถ้าภาคใต้ของไทยไม่พร้อมเข้าไปแข่งขันในตลาดตรงนั้นที่กำลังเกิดขึ้น ก็ต้องระวัง เพราะมันจะเต็มไปด้วยแรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาแข่งขันกับเรา

ตรงนี้แหละครับที่ท่านทั้งหลายกำลังทำอยู่ในวันนี้ ทำในสิ่งซึ่งเป็นหัวใจ และปัจจัยของประชาคมอาเซียน เราอยากให้คนทั้ง 600 ล้านคนแหละครับได้ประโยชน์ในระดับที่แตกต่างกัน แล้วแต่ความพร้อม ความสามารถ และความตั้งใจที่จะเข้าไปแข่งขันในตลาดนี้ แต่ที่แน่ๆ รออยู่ตรงนี้ไม่ได้ ทั้งองคาพยพที่มีอยู่ในประเทศนี้ ต้องพัฒนา ต้องปรับปรุง ต้องขยัน

อาเซียนคนรู้จักเยอะ โรงแรมอาเซียนมีอยู่ในหาดใหญ่ใช่ไหมครับ โฆษณาให้เขาหน่อย เพราะผมใช้บ่อย ที่ภูเก็ตมีร้านตัดผมอาเซียน ที่พัทยามีสถานอาบ อบ นวด อาเซียน แต่คนไทย 64 ล้านคน เข้าใจสปิริต เข้าใจสาระ เข้าใจจุดประสงค์ และเป้าหมายของคำว่า อาเซียนแค่ไหน นี่คือภารกิจที่ผมต้องทำ ในช่วงที่เหลืออีกปีครึ่ง ก่อนจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน

ผมหวังจะเห็นคำว่า อาเซียนจะมีความหมายมากกว่าโรงแรมที่หาดใหญ่ มากกว่าร้านตัดผมที่หาดป่าตอง และมากกว่าสถานอาบ อาบ อบ นวดที่พัทยา เพราะถ้าไม่รู้จัก ปี 2558 มันมาเร็วมาก ตอนนั้นผมไม่อยู่แล้ว
อีก 44 ปีครึ่ง ประเทศไทยถึงจะมีโอกาสเป็นเลขาธิการอาเซียนอีกครั้งหนึ่ง เพราะเราผลัดเปลี่ยนกันเป็นประเทศละ 5 ปี 10 ประเทศ 50 ปี เพราะฉะนั้น ถ้าจะเตรียมลูกเตรียมหลานไปเป็นเลขาธิการอาเซียนคนต่อไป ยังมีเวลาให้เตรียมตัวอีก 45 ปี

หวังว่าผมหมดวาระแล้ว อย่างน้อยๆ คนไทยจะรู้จักอาเซียนมากขึ้น บางทีนักเรียนมากล่าวหาผมว่า สะกดคำว่า ASEAN ผิด บอกว่าตัว I ครับท่านเลขาธิการไม่ใช่ตัว E อันนี้มัน ASEAN Association Of Southeast Asian Nation เกิดที่ประเทศไทย ตั้งที่ประเทศไทย ประเทศไทยเป็นผู้ขับดัน ผลักดันในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของอาเซียนมาโดยตลอด

หรือเรื่อง AEC หรือ AFTA หรือ ASEAN Free Trade Area เป็นความคิดของนายอานันท์ ปันยารชุน ตอนเป็นนายกรัฐมนตรีรอบแรก เพราะจีนกับอินเดียกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เราใช้คำว่าจีนกับอินเดีย ดึงเอาออกซิเจนทางเศรษฐกิจ ทางการลงทุนจากต่างประเทศ ไปจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็วมาก เราไม่มีอากาศจะหายใจ เราไม่มีออกซิเจนบริสุทธิ์ที่จะหายใจ มีแต่คาร์บอนไดออกไซด์
นายอานันท์ถึงบอกว่า ถ้าไม่คิดถึง AFTA เขตการค้าเสรีอาเซียน อย่าหวังเลยว่า จะยืนหยัดอยู่ได้ในรูปของประชาคม เพราะฉะนั้นต้องคิดถึงเขตการค้าเสรี นี่เป็นความคิดของคนไทย

ถามว่าตั้งแต่ปี 1992 ที่คุณอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรีรอบแรก จนกระทั่งบัดนี้เราพร้อมกว่าเดิมไหม ผมไม่แน่ใจ ทัศนคติของภาคเอกชนดีครับ ภาคเอกชนไทยนี่ กล้า มั่นใจ พร้อมที่จะเผชิญ พร้อมที่จะแข่งขัน
จะเห็นว่า ผู้นำภาคเศรษฐกิจไทยไม่มีใครบอกว่า ต้องปิดประเทศ ไม่มีใครบอกว่าต้องชะลอ ไม่มีใครบอกว่าต้องถอย ทุกคนบอกว่าต้องสู้ ต้องพัฒนา ต้องปรับปรุง ต้องเปลี่ยนระบบการผลิต ต้องมีเทคโนโลยีใหม่ ต้องมีการบริหารจัดการใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ต้องแข่งขันกับเขา ต้องพัฒนาบุคคลากร
หลายประเทศหวั่นไหว หลายประเทศมีเสียงโอดครวญ หลายประเทศมีทัศนคติที่ค่อนข้างจะรีรอ แต่เชื่อผมเถอะ อาเซียนไม่เปิด WTO ก็เปิด ถึง ASEAN, WTO ไม่เปิด Globalization มันก็จะเปิด เพราะในโลกของยุคโลกาภิวัตน์ การแข่งขันมันเกิดขึ้นในทุกมุม ทุกพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล โรงงานจะย้ายเข้ามาสู่หมู่บ้านมากขึ้น

สมัยที่ผมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ๆ ปี 2529 หาเสียงในเขตพื้นที่ชนบทนครศรีธรรมราช ไม่มีคนต่างชาติ ไม่มีคนตาสีทอง ไม่มีคนตาสีฟ้าแม้แต่คนเดียว

3–4 ปีให้หลัง เดินหาเสียงในพื้นที่ทุกชุมชนทุกหมู่บ้าน ลูกเขยเป็นฝรั่ง ลูกสะใภ้เป็นฝรั่ง หลานสะใภ้เป็นคนญี่ปุ่น หลานเขยเป็นคนเกาหลี เหลนเขยเป็นคนออสเตรเลีย เพราะแรงงานของเราเคลื่อนย้าย โลกาภิวัตน์มันไหลไปทุกที่ ลูกหลานของเราออกไปหางานทุกที่ งานมันเข้ามาหา และการแข่งขันมันเข้ามาหาทุกพื้นที่ มันไม่ใช่สังคมเกษตรกรรมเหมือน 30–40 ปีที่แล้ว

ขับรถมาจากพัทลุงก่อนเข้าสงขลา เฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ เฟอร์นิเจอร์จากจีนทั้งนั้น โรงงานมาจากต่างประเทศทั้งนั้น แทนที่จะเอาน้ำยางหรือก้อนยางออกไปผลิตในโรงงานเขา เขามาผลิตในบ้านเรา ราคายังถูกอยู่ ค่าขนส่งไม่ใช่ขนส่งเป็นก้อนใหญ่ๆ เรือใหญ่ๆ เป็นวัตถุดิบ แต่แปรสภาพเปลี่ยนสภาพเป็นสินค้าที่ใช้ได้ ออกจากสงขลา จากหาดใหญ่ไปสู่ตลาดผู้บริโภค เข้าตลาดเข้าร้านเค้าเรียกว่า Modern Trade หรือศูนย์การค้าใหญ่ๆ ได้ทันที ขึ้นหิ้ง ขึ้น Shelf ได้เลย

ประเทศในอาเซียน มีชนชั้นกลางมากขึ้น ประเทศในอาเซียนคนมีกำลังซื้อมากขึ้น ประเทศในอาเซียนการแข่งขันแรงงานจะสูงขึ้น ประเทศในอาเซียนจะถูกแย่งงานในระดับแรงงานขั้นต่ำมากขึ้น ประเทศในอาเซียนมีการประกอบสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น

ทั้งหมดต้องการแรงงานที่พัฒนามากกว่านี้ ทั้งหมดต้องการผู้บริหารการจัดการด้านแรงงานสูงกว่านี้ ต้องการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความรู้ ประสบการณ์ด้านการบริหารมากกว่าที่เป็นอยู่
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมี Sense of urgency รู้สึกว่านี่คือ ภาวะฉุกเฉินแล้ว วิ่งเกียร์หนึ่ง เกียร์สองอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ต้องเกียร์สี่ เกียร์ห้า

สถาบันการศึกษาต้องเข้าใจ สิ่งท้าทายอันนี้ ผลิตหมอไม่ใช่เพื่อ 76 จังหวัด หรือ 77 จังหวัดในประเทศไทย เพราะจะมีหมอฟิลิปปินส์มาแย่งงาน ด้านการบริการสุขภาพ จะมีพยาบาลจากอินโดนีเซีย จะมีแพทย์จากสิงคโปร์ ถ้าเราหวังให้เขาเปิด เขาไม่ได้เปิดอยู่ข้างเดียว
yes mobile ชีวิตในอนาคตมีทางเลือกเยอะ แต่ลูกหลานเราก็ต้องเก่งและดีจริงๆ ตรงนี้แหละครับจะทำอย่างไร

ตอนอยู่ในรัฐบาล ผมเคยเสนอว่า สาม สี่ ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชากรมีลักษณะที่แตกต่างหลากหลายดีอยู่แล้ว ขอให้เปลี่ยนทัศนคติของกรุงเทพมหานครนิดเดียว อย่าถือว่าความแตกต่างหลากหลายและเอกลักษณ์เหล่านี้ ทำลายความเป็นเอกภาพของชาติ

คนจะนะ สะบ้าย้อย เทพา นาทวี พูดภาษามาเลย์ท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ เปลี่ยนทัศนคติได้ไหมว่า นี่คือทรัพยากรที่มีอยู่ สอนภาษามลายูกลางให้เขา สองภาษาของที่นี่ก็เป็นภาษามลายูกลางกับอังกฤษ เขาจะเป็นหัวหอกในการนำไทยออกสู่ตลาดอาเซียน นำนักท่องเที่ยวเข้ามา ไปดึงเอาการลงทุนเข้ามา ดัน SMEs เข้าสู่ตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เพราะเขารู้ภาษามลายู

ผมเคยพูดอยู่ตลอดว่า ภาษาถิ่นตรงนี้เป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญ รักษาไว้ พัฒนามัน สอนให้เขาพูดมาเลย์กลางที่พูดกัน 300 กว่าล้านคนในอาเซียน ครึ่งหนึ่งในอาเซียนพูดภาษามาเลย์ แต่เพราะทัศนะของกรุงเทพมหานครมองว่า สิ่งนี้จะนำไปสู่การแตกแยก มันถึงพัฒนาต่อไปไม่ได้ มันถึงกลายเป็นความแตกแยก เพราะฉะนั้น ต้องเปลี่ยนทัศนคติ

ผมยืนยันว่าภาษาอังกฤษดีขึ้น 25% วันรุ่งขึ้นประเทศไทย จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขึ้น 100% เพราะเราที่ผ่านมาเราสื่อกับเขาไม่ได้ เราไปหลงภูมิใจในประวัติศาสตร์ว่า อย่ามาโทษเรานะภาษาต่างประเทศเราไม่ดี เพราะเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร พูดอยู่อย่างนี้ 30, 40, 50 ปี จนกระทั่งประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น ที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งลาว เขมร เวียดนาม พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเรา สอบ TOFEL ได้มากกว่านักเรียนไทย ดีกว่านักศึกษาไทย ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ ใช้ภาษาฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศอาณานิคม เป็นประเทศแม่ แล้วเราจะอธิบายยังไง

ผู้นำไทยทุกระดับที่ออกไปสู่ประชาคมอาเซียน ออกไปแล้วพูดกับเขาไม่ได้ ออกไปแล้วไม่สามารถที่จะแสดงความคิด มีส่วนร่วม โต้ตอบ ดีเบตเสนอความคิดกับเขาได้ มีแต่ Yes Coca cola มีแต่ No Pepsi มันต้องเปลี่ยนตรงนี้

คนที่ควรจะเปลี่ยนคือ คนที่อยู่ชายแดน คนที่ควรจะเปลี่ยนคือ คนที่อยู่ท่ามกลางพายุของการแข่งขัน คนที่ควรจะเปลี่ยนคือ พวกท่านที่อยู่ตรงนี้ คนภาคใต้คือคนที่ถูกโลกาภิวัตน์โดยภาคบังคับ เพราะภูมิศาสตร์ภาคใต้ หยิบยื่นลงไปในภูมิภาคส่วนใหญ่ของอาเซียน

ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย กำลังกลายเป็นมหาสมุทรที่มีการแข่งขันสูงยิ่งในขณะนี้ มีทั้งจีน อเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่นเข้ามา เพราะช่องแคบมะละกาคือ เส้นชีวิตของจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หมื่นกว่าลำเรือสินค้า ด้านพลังงาน แก๊ส Oil Fuel แปลว่าน้ำมันดิบ มีอยู่ไม่รู้กี่หมื่นลำ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับช่องแคบมะละกา ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไม่มีอากาศจะหายใจ เพราะไม่มีพลังงานไปผลิตสินค้า

จะผลักดันโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็เกิดปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น พลังงานจะต้องผ่านที่ไหนก่อน ถ้าจะผ่านประเทศไทยก็ตรงนี้ ภูเก็ต ตรัง เกาะปีนัง วิชาการเทคโนโลยีทั้งหลาย มันมาทางยุโรปมาที่เรา ถ้ามันมาจากจีน ญี่ปุ่น มันจะขึ้นฝั่งอ่าวไทย
ตรงนี้ล่ะครับคือ โลกาภิวัตน์ภาคบังคับของประเทศไทย

ลัทธิ ความคิด ความเชื่อ ไปดูสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองหลวงของเรา กรุงเทพมหานคร วัดจีนอยู่ฝั่งนี้ โบสถ์แขกอยู่ฝั่งนั้น โบสถ์คริสต์อยู่ฝั่งนี้ โบสถ์ฮินดูอยู่ฝั่งนั้นคือ สัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ มาทางเรือทั้งนั้นแหละ แล้วมาทางไหนก่อน ไม่ได้มาทางตอนเหนือของประเทศไทย แต่มาทางภาคใต้นี้แหละครับ เพราะฉะนั้นทัศนคติของคนตรงนี้ จึงพร้อมที่สู้ พร้อมที่เปิด พร้อมที่จะเผชิญ

จึงไม่แปลกที่คนภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สตูล จะคิดอย่างนี้ จึงไม่แปลกที่นครศรีธรรมราชคิดอย่างนี้ แต่ต้องต่อยอด เราอยู่กับอดีตไม่ได้ ต้องมองไปข้างหน้าและพร้อมจะเผชิญ
อย่างที่ผมเรียนให้ถือว่าอาเซียนคือ บ้านพักกลางทาง โลกาภิวัตน์มันมาแน่ และเราคุ้นเคยกับมันด้วย สำหรับกระแสนี้ การเปิดตลาด การแข่งขันตามมาแน่ และเราคุ้นเคยกับมัน เราเคยอยู่รอดมาแล้ว ให้ถือซะว่าอาเซียนคือบ้านพักกลางทาง ถ้าไม่มีอาเซียนมันจะแข่งขันกันรุนแรงกว่านี้

อาเซียน ให้เราเปิด ให้เราเผยอ ให้เราแย้ม และให้เราพัก หยุดพักเหนื่อยได้ ไม่เช่นนั้นจะเปิดกว้างทันที สู้เค้าไม่ได้ รับไม่ไหว ทนไม่ไหว เขาเอาหมด เขาแย่งหมด เขากินหมด เขากินเรียบ และอาเซียนค่อยๆเปิด ค่อยๆ เตือน ค่อยๆ สร้างความพร้อม และค่อยๆ ให้เราได้ปรับตัว

ไม่มีอาเซียนก็มี WTO ไม่มีอาเซียน ไม่มี WTO ก็มีโลกาภิวัตน์ เราปิดประเทศไม่ได้ ยกกำแพงขึ้นมาล้อมรอบไม่ได้ มีหนังสือเรื่องเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ฉบับหนึ่งเขาบอกว่า โลกแบนแล้วครับ ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่น่าสนใจมาก The World is flat ซึ่งมันขัดกับที่เราเรียนมา กาลิเลโอบอกว่าโลกกลม วิทยาศาสตร์บอกว่าโลกกลม แต่ไอ้นี่บอกว่า The World is flat เพราะมันไม่มีกำแพงระหว่างกันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเคลื่อนย้ายได้

6 ประเทศอาเซียนบอกว่า ต่อไปนี้ ภาษีสินค้า 0% ทุกชนิด ขณะเดียวกันทั้ง 6 ประเทศก็พยายามกีดกันในส่วนซึ่งไม่ใช่ภาษี เช่น คุณภาพ สีสัน ขนาด ยาของคุณมีส่วนผสมอันนั้นเกินไปจากมาตรฐานของเรา ลิปสติกของ You มีสารชนิดนั้นมากกว่าที่เราอนุญาต เพราะฉะนั้นไม่ให้นำเข้า
สิ่งเหล่านี้กำลังได้รับการเจรจา สิ่งเหล่านี้กำลังได้รับการแก้ไข สิ่งเหล่านี้กำลังได้รับความสนใจ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน สำหรับคน 600 ล้านคน เมื่อตลาดเป็น 600 ล้านคน แน่นอน งานมันจะเพิ่มขึ้น แต่มันต้องแข่งขัน เมื่อตลาดเป็น 600 ล้านคนจริง แน่นอนการลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามา เพราะเขาต้องการลูกค้า 600 ล้านคนตรงนี้

ตรงนี้คือโจทย์ คือปัญหาที่เราต้องเตรียมรับ ผมก็ได้แต่เตือน ได้แต่เรียกร้อง ได้แต่พยายามที่จะกระตุ้น คุณพ่อ คุณแม่อยู่บ้านต้องเอาใจใส่ ในเรื่องที่ลูกเรียน ต้องเอาใจใส่ในเรื่องที่ลูกกำลังเตรียมตัวเพื่ออนาคต ต้องเอาใจใส่สาขาวิชาที่ลูกเรียน และต้องเรียกร้องจากสถาบันการศึกษา ไม่ว่าเป็นภาครัฐ หรือภาคเอกชน หลักสูตรของ You ต้องดีเลิศ การฝึกอบรม Training ของ You ต้องตลอดชีพ สนใจวิชาอะไร เข้ามาเรียนภาคฤดูร้อน เรียนภาคค่ำ เพราะต้องแข่งขันกับคนข้างนอก

สำคัญที่สุดคือ พอกันทีกับความภูมิใจในอดีต ในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เช่น เรามีภาษาของเราเอง เราไม่ต้องเรียนภาษาอื่น เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร
โลกสมัยนี้ เขาไม่ถามว่าคุณเป็นเมืองขึ้นของใครหรือเปล่า โลกสมัยนี้เขาถามว่า คุณรับการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน แรงงานของคุณมีคุณภาพแค่ไหน เทคโนโลยีของคุณพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน การบริหารจัดการมีสมรรถนะ สมรรถภาพแค่ไหนที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับแรงงานได้ดีและราบรื่นไม่มีปัญหา

อีกอันหนึ่งที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาพูดคือ Sustain Ability พัฒนาให้ยั่งยืน พัฒนาแล้วไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พัฒนาแล้วไม่ทำลายแหล่งน้ำ พัฒนาแล้วไม่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นเครื่องจรรโลงชีวิตที่มีคุณภาพ

เพราะฉะนั้น Sustain Ability กับเรื่องของการยั่งยืนและการพัฒนา คือสิ่งที่โลกมองเหมือนกัน แม้แต่สวนปาล์มและน้ำมันปาล์ม ผลิตผลน้ำมันปาล์มก็เป็นประเด็นที่มีความขัดแย้ง เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนออกมาบอกว่า การปลูกปาล์มน้ำมัน เป็นการเปลี่ยนป่าเมืองร้อนเป็นป่าชนิดเดียว กว้างขวางหลายร้อยหลายพันตารางกิโลเมตร คุณทำลาย Diversity ของป่าเมืองร้อน เราบอกว่า นี่คืออาชีพของเรา เขาบอกว่าถ้าคุณปลูกพืชชนิดเดียว มันทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย

ตอนนี้ มีการต่อต้านการปลูกน้ำมันปาล์ม และผลิตผลจากน้ำมันปาล์มโดยที่เราไม่รู้ตัว

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งลักษณ์..ยัน ชดใช้เสื้อแดง ต้องดูเรื่องงบ ยุทธศักดิ์. แนะปรองดอง เยียวยาทุกฝ่าย !!?

ทนาย น.ป.ช.เผยส.ส.เพื่อไทยผนึกกำลังเตรียมชดใช้ตำแหน่งยื่นประกันแนวร่วมเสื้อแดง 22 คนพ้นคุก ขณะที่กรมคุ้มครองสิทธิฯเล็งอนุมัติงบกองทุนยุติธรรมช่วยเหลืออีกแรง เผยดีเอสไอและ สตช.ไม่คัดค้านการประกันตัวแล้ว “ยิ่งลักษณ์” แย้มเงินชดใช้ให้เสื้อแดงที่เสียชีวิตต้องดูเรื่องงบฯ และความเหมาะสม “บิ๊ก อ๊อด” แนะเพื่อความปรองดองต้องเยียวยาทุกฝ่าย ขณะที่ “มท.1” ยันไม่มีนโยบายสลายหมู่บ้านเสื้อแดง ตราบใดที่ไม่ขัดหลักกฎหมาย ด้าน “มาร์ค” เผยเคยจ่ายเงินชดเชยให้คนตายไปแล้ว

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง เตรียมเข้าพบเพื่อขอค่าชดเชยให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมรายละ 10 ล้านบาทว่า คงเป็นการหารือในเชิงนโยบายก่อน ส่วนรายละเอียดตัวเลขคงต้องคุยกันทั้งงบประมาณและความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม กล่าวว่า ถ้ามองถึงหลักความสามัคคีและความปรองดองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องให้การชดเชยทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดงอย่างเดียว หากจะชดเชยควรให้ทหารและเสื้อเหลืองด้วย เพื่อให้ทั้งหมดมีความสุขกัน ถ้วนหน้า

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจ่ายชดเชยเรื่องดังกล่าวว่า เห็นด้วย เพราะชีวิตคนมีค่ามากกว่า 10 ล้านบาท ที่สำคัญคนที่ตายถูกทำให้ตายจึงต้องชดใช้ คิดว่าคนเหล่านี้เป็นวีรบุรุษด้วยซ้ำ เมื่อถามว่า จะเอาเงินจากไหนมาจ่าย รมว.วิทยาศาสตร์ฯกล่าวว่า จะให้ตั้งกระทู้ถามในสภา ดีหรือไม่ว่า ให้เอาเงินที่รัฐบาลที่แล้วโกงไปมาแจกให้กับผู้เสียชีวิต โดยตั้งเป็น คตส.ภาค 2

ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงนโยบายเกี่ยวกับการสลายหมู่บ้านคนเสื้อแดงว่า ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้กฎหมายหรือข้อบังคับก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ ขอให้ไม่ขัดหลักการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนก็พอ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพรออกมาทวงให้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมเดือน เม.ย. คนละ 10 ล้านบาทว่า เรื่องนี้ทางคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดูแลอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และจ่ายค่าชดเชยไปแล้ว

นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า การเรียกร้องของนายจตุพรเป็นเพียงการหาคะแนนนิยมจากกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีเนื้อหาสาระใด ๆ และบุคคลที่นายจตุพรควรเรียกร้องให้รับผิดชอบเงินชดเชยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นต้นเหตุของการสูญเสียทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ

นายอรรถพรกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่เกิดความสูญเสียไม่เคยเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ต่อประชาชนที่เสียชีวิตเพื่อตนเอง เช่น การชดเชย หรือช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีเงินหลายหมื่นล้านบาท ตนจึงขอเสนอแนะให้นายจตุพรเรียกร้องมนุษยธรรมจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และควรเรียกร้องรวมไปถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ตากใบและกรือเซะด้วย

ด้านนายคารม พลทะกลาง ทนายความของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการยื่นประกันตัวแนวร่วม นปช. จำนวน 22 คน ที่ถูกยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดอุดรธานีรวม 4 คดีว่า ได้ประสานขอใบรับรองเงินเดือน ส.ส.อุดรธานี ทั้ง 9 คนของพรรคเพื่อไทย และ นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อจะใช้ตำแหน่ง ส.ส. ของทั้ง 10 คนเป็นหลักทรัพย์ในการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยหลักทรัพย์ที่จะเสนอต่อศาลขอประกันตัวจำเลยทั้ง 22 คนอยู่ที่คนละ 500,000 บาท ที่สำคัญจะชี้ให้ศาลเห็นถึงเรื่องความปรองดอง เพราะรัฐบาลใหม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ศาลจะพิจารณาอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำ นปช. ประธานชมรมคนรักอุดรธานี กล่าวว่า จำเลยทั้ง 22 คน ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปปลุกปั่นยุยง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจะเผาศาลากลางจังหวัด และอำเภอ โดยจำเลยได้ต่อสู้คดีมาโดยตลอดปีกว่า และก่อนหน้านี้มีจำเลยที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษแล้ว 3 คน ให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งเราจะช่วยเหลือยื่นประกันตัวต่อไปด้วย

นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังเสื้อแดงว่า ตนเคยส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจกลุ่มผู้ต้องขังเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ที่ จ.อุดรธานีแล้ว แต่กลุ่มผู้ต้องขังแสดงความจำนงที่จะไม่รับการช่วยเหลือ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนใจยื่นเรื่องเข้ามาที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือในส่วนนี้มีขั้นตอนการตรวจสอบ เช่นการขอความเห็นจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยล่าสุดทั้งสองหน่วยงานตอบกลับความเห็นว่าจะไม่คัดค้านการประกันตัว ดังนั้นกรมคุ้มครองสิทธิฯ จะดำเนินการยื่นขอประกันผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง จ.อุดรธานี เข้าสู่ที่ประชุมกองทุนยุติธรรมเพื่อขออนุมัติเงินช่วยเหลือในการประกันตัว

นางสุวณา กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบทางการเมืองว่า ได้แยกการช่วยเหลือออกเป็น 2 กลุ่ม คือ การยื่นขอประกันตัวผู้ต้องขังกลุ่มเสื้อแดง และดูแลผู้ต้องขังคดีการเมืองให้ได้รับสิทธิตามกฎหมาย และการให้ความช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สำหรับความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ ประกอบด้วยผู้ยื่นเรื่องขอรับการเยียวยา 243 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือไปแล้ว 172 ราย รวมเป็นเงินกว่า 8 ล้านบาท ไม่ผ่านการอนุมัติ 49 ราย ทั้งนี้จากผู้ยื่นคำร้องขอรับการเยียวยา 243 ราย พิจารณาไปแล้ว 221 ราย ค้างพิจารณา 22 ราย.

ที่มา: เดลินิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จี้ ก.แรงงาน-สปส. บังคับเข้มให้นายจ้างขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนแรงงานข้ามชาติ !!?

องค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ ออกแถลงการณ์ร่วม กรณีแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติและมีใบอนุญาตทำงานถูกกฎหมาย ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาพยาบาลได้ เพราะนายจ้างไม่ได้นำชื่อเขาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม ส่งผลให้เขาเสียชีวิตหลังออกจากโรงพยาบาลได้ 2 วันเนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่ารักษาพยาบาลได้

แม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย" แถลงการณ์ร่วมระบุ

ทั้งนี้ องค์กรร่วมเสนอให้กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ ประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง รวมถึงเรียกร้องว่า กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย เพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์

000000

นโยบายการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติยังใช้ไม่ได้จริง
หลังแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายต้องเสียชีวิตโดยไร้การคุ้มครอง

สำหรับเผยแพร่วันที่ 15 สิงหาคม 2554

นับตั้งแต่ปลายปี 2552 แรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติที่เป็นการเปลี่ยนสถานะของพวกเขาให้เป็นแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีของการดำเนินการดังกล่าว รัฐบาลไทยได้มีนโยบายชัดเจนที่ผลักดันให้แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการดังกล่าว รวมทั้งการรับรองว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติแล้วนั้น จะสามารถได้รับสิทธิต่างๆ เทียบเท่าแรงงานไทย โดยเฉพาะสิทธิในเรื่องประกันสังคม

นายทูเวนโก แรงงานข้ามชาติชาวพม่าที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ เป็นแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายได้รับอนุญาตทำงานและมีนายจ้างอย่างถูกต้องในประเทศไทยมานานกว่า 6 เดือน โดยได้เปลี่ยนนายจ้างมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่ที่ บริษัท เซ้าท์อีสต์เอเชียนแพคเกจจิงแอนด์แคนนิ่ง จำกัด ตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 นายทูเวนโกประสบอุบัติเหตุศีรษะกระแทกพื้น ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูของโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชัลแนล สมุทรสาคร (โรงพยาบาลศรีวิชัย 5) แต่เมื่อทางโรงพยาบาลตรวจสอบสิทธิทางการรักษา กลับแจ้งว่าเขาไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ เนื่องจากนายจ้างไม่ได้นำชื่อเขาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม ทำให้เขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง หลังจากรับการรักษาเพียงไม่กี่วัน ญาติต้องจำใจนำตัวเขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่ารักษากว่า 120,000 บาทได้ และเขาก็เสียชีวิตลงหลังจากออกจากโรงพยาบาลได้เพียง 2 วัน

แม้ว่ากระทรวงแรงงานจะออกมายืนยันว่าแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับใบอนุญาตทำงาน เป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย สามารถได้รับสิทธิตามกฎหมาย สามารถเข้าบริการของรัฐและระบบประกันสังคมได้ อีกทั้ง ตามกฎหมายประกันสังคม ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องนำลูกจ้างขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคมภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและรวมถึงกรณีของแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยด้วย แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังคงถูกนายจ้างหลบเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้อง โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบ ทำให้นโยบายการปกป้อง คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายตามที่ภาครัฐได้ประกาศไว้ ยังคงเป็นเพียงแค่แนวนโยบายที่ยังขาดการบังคับใช้ และปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติอย่างแท้จริง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่แม้จะมีสถานะเป็น “แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย” ในประเทศไทยยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของความบกพร่องของระบบ สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์และการหลีกเลี่ยงการจ้างงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและช่องว่างของระบบในการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย กรณีนี้สำนักงานประกันสังคมต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบ เนื่องจากสิทธิในการประกันสังคมของลูกจ้างนั้นมีอยู่แล้ว แต่เป็นความผิดของนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องที่ทางประกันสังคมต้องไปบังคับและไล่เบี้ยจากนายจ้างโดยตรง ลูกจ้างไม่ควรต้องมาแบกรับภาระนี้ด้วยตนเอง และสำนักงานประกันสังคมต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการเข้าไปตรวจสอบและลงโทษนายจ้างที่หลบเลี่ยงกฎหมายดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้น” นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กล่าว

เพื่อให้เกิดการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยอย่างแท้จริงและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ซ้ำ ทางองค์กรแรงงานและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ จึงมีข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงาน ดังนี้
กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต้องบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคมอย่างเข้มงวด โดยจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและมีมาตรการส่งเสริมการขึ้นทะเบียนเข้าเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไปยังนายจ้าง แรงงานข้ามชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างเด็ดขาดกรณีที่นายจ้างหลีกเลี่ยงไม่ดำเนินการขึ้นทะเบียนลูกจ้างกับสำนักงานประกันสังคม
สำนักงานประกันสังคมจะต้องประสานงานกับสถานพยาบาลและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานที่ควรได้รับตามกฎหมายอย่างแท้จริง
กระทรวงสาธารณสุขจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยเพราะเหตุที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ เนื่องจากสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์

องค์กรลงนาม
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
เครือข่ายปฎิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ(ANM)
โครงการเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ
สหพันธ์คนงานข้ามชาติ

ที่มา.ประชาไท
*****************************************

วาทกรรม ดีแต่พูด ระวัง อาจตามหลอน พท..!!?

ยังไม่ทันจะ ได้แถลงนโยบาย "รัฐบาลปู 1" ที่กำหนดไว้คร่าวๆ เป็นวันที่ 24 ส.ค.ที่จะถึงนี้้ กลับปรากฎข่าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 โดยกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มแดง ให้กับ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่แดนไกล รวมทั้งเตรียมแต่งตั้งนายห้างดูไบห่อ ให้มาเป็นผู้แทนทางการค้า...
ต้องยอมรับว่า สร้างกระแสความไม่พอใจให้กับคนในสังคมส่วนหนึ่งทันที เนื่องจากแทนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งตั้งหน้าตั้งตาทำงาน โดยเฉพาะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ประสบอุทกภัยอย่างหนักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเต็มที่

แต่งานแรกกลับกลายเป็นรัฐบาล 300 เสียงเพื่อไทย เตรียมช่วยเหลือพี่ชายนายกรัฐมนตรีหญิง ซึ่งหากกล่าวไป เหมือนเป็นการช่วยเหลือคนๆ เดียวหรือไม่อย่างไรไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ร้อนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ คนใหม่ ที่ยังไม่ทันได้เข้าทำงานในกระทรวงบัวแก้วอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ต้องออกมาทำหน้าที่เคลียร์หน้าเสื่อ ยืนยันไม่มีเรื่องการพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มสีแดง หรือแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวแทนทูตการค้าแน่นอน แต่ถ้าจับลีลาการตอบคำถามของคนทั้งคู่ จะสังเกตเห็นว่าเป็นการตอบคำถามแบบที่เรียกว่า กั๊กๆ อยู่ในที เพราะไม่ได้ระบุว่าไม่คืนแน่นอน แต่บอกว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย หรือจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาเท่านั้น

ก็ไม่ทราบว่างานนี้เป็นการข่าวปล่อยของฝ่ายตรงกันข้าม ที่ต้องการทำให้รัฐบาลปู 1 เสียศูนย์ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าบริหารประเทศ หรือรัฐบาลในขณะนี้มีความพยายามที่จะดำเนินการจริงตามที่มีคนตั้งข้อสงสัย หรืออาจมีแรงกดดันจากคนที่มีอำนาจอยู่ดูไบ ประกอบกับเมื่อวานนี้ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประทศ ก็ออกมายอมรับว่า "ญี่ปุ่น" อนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศได้ตามคำเชิญของบริษัทเอกชนญี่ปุ่น เป็นกรณีพิเศษเสียด้วย

สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล

ส่วนนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยังออกมาสำทับอีกว่า รู้สึกพอใจที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศได้ ก็อาจทำให้หลายคนเกิดเชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะคืนพาสปอร์ตเล่มแดง หรือพยายามที่จะตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้แทนการค้าจริง อย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้

ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำที่ผ่านมาดังกล่าว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ทำให้รัฐบาลปู 1 เสียรังวัดไปพอสมควร เพราะประชาชนในสังคมบางกลุ่มอาจเห็นว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อคนๆ เดียว ขัดกับคำประกาศที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาประชาคม ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ไว้ภายหลังทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการ ชั้น 7 พรรคเพื่อไทย ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศนั่น เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะทำงานเอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และจะไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว

จากนี้ไป กาลเวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลเพื่อไทย จะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ นอกเหนือจากต้องตามติดว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ด้วย ไม่ว่านโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และคนจบปริญญาตรีใหม่ รายละ 15,000 บาท แจกแท๊บเล็ตนักเรียนชั้นป.1 นโยบายลดราคาน้ำมันเบนซิน 7.50บาท/ลิตร ฯลฯ

หากสุดท้าย สิ่งที่เคยประกาศให้คำมั่นว่า จะไม่ทำหรือช่วยเหลือใครเพียงแค่คนเดียว ที่นายกรัฐมนตรีหญิงประกาศไว้ ยังไม่สามารถกระทำได้ ก็น่าคิดแล้ว ถ้าเป็นนโยบายข้ออื่นที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ ยังจะสามารถฝากความหวังอะไรได้อีกหรือไม่? ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง อย่าให้คำนิยาม "ดีแต่พูด" ที่ พท.อุตส่าห์คิดและประดิษฐ์เป็นวาทกรรม ใช้ทิ่มแทงใส่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเลือกตั้งอย่างได้ผล จนทำให้ต้องยอมรับสภาพกลายเป็นฝ่ายค้าน ย้อนกลับมาหลอกหลอน "พท." แทนเองก็แล้วกัน แล้วจะหาว่าไม่เตือน...

ที่มา: ไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สวนดุสิตโพลเผย ปชช.พอใจ นายกฯหญิงมากสุด ร้อยละ 51 ผิดหวังสุรพงษ์ นั่งกต.!!?

จากกรณีที่สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,996 คน ในระหว่างวันที่ 10-13 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการประเมินผลงานรัฐบาลในระยะต่อๆ ไป นั้น จากการสำรวจพบว่า รัฐมนตรีที่ประชาชนสมหวังมากที่สุด อันดับ 1 คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร้อยละ73.18 อันดับ 2 พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร้อยละ 71.97 และอันดับ 3 พ.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร้อยละ 70.58

ด้าน รัฐมนตรีที่ประชาชนผิดหวัง อันดับ 1 คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร้อยละ 51.89 อันดับ 2 นางบุญรึ่น ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร้อยละ 49.13 และอันดับ 3 นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 47.25

ขณะที่ รัฐมนตรีที่ประชาชนรู้จักน้อยที่สุด อันดับ 1 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร้อยละ 17.23 อันดับ 2 นางบุญรื่น ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร้อยละ17.89 อันดับ 3 นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 18.14 อันดับ 4 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร้อยละ 18.39 และอันดับ 5 นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 18.89

ที่มา: มติชนออนไลน์
********************************************

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำลดตอผุด คอป.ชง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ บี้คนฆ่าลอยนวลไม่ยุติธรรม !!?

ศาสตราจารย์คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จัดเสวนาในหัวข้อ เรื่อง “การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงตามหลักสากล” โดยได้เปิดเผยรายงานฉบับที่ 2 พร้อมข้อเสนอแนะถึง รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

โดยตอนหนึ่งนายสมชาย หอมละออ กรรมการ คอป. เปิดเผยว่า มีผู้ร่วมชุมนุม โดนตั้งข้อกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะพนักงานสอบสวนถูกกดดันจากผู้บริหารระดับนโยบาย ชี้ชัดตั้งข้อหาก่อการร้ายเกินกว่าเหตุผลการเมืองสั่ง แต่กลับไม่ดำเนินคดีทหารฆ่า

นายสมชาย หอมละออ กรรมการ คอป. ในฐานะประธานอนุกรมการค้นหาข้อเท็จจริง ในงานด้านกฎหมาย เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบพบว่า ผู้ที่ถูกคุมขังนั้น ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาที่เกินเลยจากความเป็นจริง ซึ่งมีมากถึง 53 คน ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย และวางเพลิง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษถึงประหารชีวิต

ทั้งนี้จากการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน คือตำรวจ-DSI และพนักงานอัยการพบว่า การตั้งข้อหาดังกล่าวนั้นเกิดจากแรงกดดันของผู้บริหารระดับนโยบาย อีกทั้งการจับกุมและตั้งข้อกล่าวหายังเป็นในลักษณะของการเหวี่ยงแห ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ทั้งนี้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการยังไม่สามารถพิสูจน์พยานหลักฐาน

“จากการตรวจสอบพบว่ามูลเหตุสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงดำรงอยู่ คือ ความรู้สึกของผู้ที่ชุมนุมที่เห็นว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของการกระทำ และกระบวนการยุติธรรมเพียงฝ่ายเดียว ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เชื่อว่ามีส่วนกระทำความผิดทางอาญาไม่มากก็น้อย ยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม” นายสมชาย กล่าว

ทั้งนี้ คอป.จัดเวทีเสวนาในวันนี้เพื่อรับฟังความเห็นจากภาคนักวิชาการ ผู้แทนองค์กรด้านการต่างประเทศ เรื่อง การเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความนรุนแรงตามหลักสากล ก่อนนำข้อมูลไปจัดทำรายงาน คอป.ฉบับที่ 2 นำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป
เผยยังโดนขังคุก105คน เครียดสูง10%มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย2
นพ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการการเยียวยา ฟื้นฟู และ ป้องกันความรุนแรง คอป. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจผู้ที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง รวมถึงประชาชนและเจ้าหน้าที่ พบว่าส่วนใหญ่ยังมีความเครียดสูง อีกทั้งยังไม่ได้รับการเยียวยา และการชดเชย

สำหรับผู้ที่ร่วมชุมนุมและเกี่ยวข้อง ที่ถูกคุมขัง จำนวน 105 คน นั้น จากการเข้าไปสำรวจ ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 54 พบว่า ร้อยละ 10 มีอาการเครียดสูงมาก ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมี 2 คนที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย
นพ.รณชัย กล่าวต่อว่าจากผลสำรวจดังกล่าว ทางอนุกรรมการฯ มีข้อเสนอแนะเบื้องต้นไปยังรัฐบาล จำนวน 8 ข้อ ได้แก่

1. เร่งเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจเหยื่อการชุมนุมให้มีความเข้มแข็งในใช้ชีวิต

2. รัฐบาลต้องเร่งรัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจ เป็นศูนย์กลางด้านงบประมาณพื่อเยียวยาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ เพราะจากการสำรวจพบว่าครอบครัวผู้ที่ถูกคุมขัง ต้องไปกู้เงินนอกระบบจำนวนมากเพื่อนำมาประกันตัว

3.รัฐบาลควรประเมินตัวเลขความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รวมถึงครอบครัว

4.รัฐบาลควรขยายขอบเขตการเยียวยา ฟื้นฟู ไปยังสังคมด้านอื่นๆ เช่น แหล่งที่อยู่ , แหล่งการค้า

5. ต้องจัดทำข้อเท็จจริง เผยแพร่ไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดทัศนคติที่ดี ให้อภัย เกิดความเห็นใจ รวมถึงจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณให้กับทุกฝ่าย

6. เร่งช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขัง ตามแนวทางของกฎหมาย เพราะบางรายมีภาวะของความเครียด ซึมเศร้า และมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย

7. รัฐบาลต้องเร่งรัดการประกันสิทธิ์ ผู้ที่ถูกคุมขัง รวมถึงตรวจสอบ จำแนกโทษที่แท้จริง

 8. ควรประสานความร่วมมือไปยังองค์กร หน่วยงานและทุกภาคส่วน และร่วมกับบูรณาการการทำงานภายใต้องค์กรกลางที่ดูแลข้อพิพาททางการเมือง ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพี่อให้การทำงานเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------------------------------------------

ทักษิณ. เป็นทูตพิเศษ !?

เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด

- ต้องยอมรับว่ากระทรวงหลัก นอกเหนือจาก ต่างประเทศแล้ว ยังต้องจับตา คมนาคม ที่ “เหลี่ยมจัด” ส่งเพื่อนซี้ ตท.10 คนสุดท้ายในกองทัพอย่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรทัต เข้ามาคุมเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีโปรเจ็กต์ยักษ์ รออยู่ข้างหน้านับแสนนับล้านล้านบาท ทั้งโครงการรถไฟฟ้าทั่วกรุงเชื่อมปริมณฑล รถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ-ภูมิภาค ขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯ นี่แหละคือคำตอบว่าทำไมต้องให้เพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้ และสั่งได้เข้ามากำกับดูแลโดยตรง

- อีกด้านหนึ่งสำหรับ “เสี่ยปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่อาสาเข้ามารับหน้าที่เป็น รมว.ต่างประเทศสำหรับภารกิจ “เฉพาะกิจ” ที่แพลมๆออกมาแล้วว่าเร่งด่วนจะต้อง “คืนพาสสปอร์ตสีแดง” ให้ “นายใหญ่” แต่ปัญหาก็คือจะหาเหตุผลอย่างไรที่คนอื่นฟังแล้วไม่ชวนโมโหเสียก่อน นอกจากนี้ภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่รออยู่ข้างหน้าก็คือการฟื้นฟูสัมพันธ์กับกัมพูชาให้กลับมาอีกครั้ง แต่อย่าเพิ่งเอ็ดไปเพราะมีคนกำลังสงสัยกันว่าจะพ่วงด้วยผลประโยชน์อะไรบ้าง

- งานนี้ไม่ต้องเดาก็พอจับทางออกว่า เรื่องหลักต้องมีเจรจาสานต่อธุรกิจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย ที่ค้างเอาไว้ตั้งแต่ปี 48-49 มีการขีดเส้นขีดวงกันไปบ้างแล้ว แฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย ทั้งฮุนเซน และ ทักษิณ แต่ที่ผ่านมาโดนพวก พันธมิตรฯมันรู้ทันคอยขัดคอ จนทำให้ทหารนำไปใช้เป็นสาเหตุก่อรัฐประหารในนามของ คมช.นั่นแหละ

- เริ่มแล้วสำหรับภารกิจพิเศษของ ทักษิณ ชินวัตร ล่าสุดเดินทางเข้าเยอรมันนีเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้รับ “ไฟเขียว” ไปเมื่อเดือนก่อน ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดเรื่องอายัดเครื่องบิน “โบอิ้ง 737” ที่นั่นพอดี ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าแต่เอาเป็นว่ามันประจวบเหมาะกันพอดี ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าการเมืองระหว่างประเทศมันก็อิงกับ “ผลประโยชน์” ด้วยกันทั้งสิ้น ตามการเมืองที่พลิกไปตามกระแส

- เชื่อว่าการเดินทางในลักษณะแบบนี้คงไม่หยุดแค่เยอรมันเท่านั้น เพราะเชื่อว่าเป้าหมายจะต้องเป็นยุโรปและอเมริกาในโอกาสต่อไป เพราะนี่คือ “ภารกิจพิเศษ” ไม่ต่างจาก “ทูตพิเศษ” เป็นการกรุยทางตามแผนกรุยทางสู่วีรบุรุษ เพื่อรับการแห่แหนกลับเข้าประเทศไทย หลังจากมีข้ออ้างประกอบคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองมากมาย และหากไปด้อมๆมองที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศเริ่มมีการเคลื่อนไหวตั้งเรื่องคืน “พาสปอร์ตสีแดง” กันแล้ว เพื่อรอจังหวะให้กับ ทั่น “รมต.ปึ้ง” ตัดสินใจเท่านั้นเอง !!

- กำหนดการออกมาแล้วว่า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 24 ส.ค.หลังจากนั้นก็จะได้เดินหน้ากันเต็มตัว แต่เชื่อว่าในวันนั้นจะเป็นที่น่าจับตาหลายอย่าง โดยเฉพาะบทบาทในสภาของนายกฯหญิงคนใหม่จะทำได้ดีแค่ไหน หรือจะต้องอ่านสคิปต์กันตลอดรายการ ซึ่งก็ต้องจับตามองว่าเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่าย ปชป.ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถนัดเรื่องพูดอยู่แล้ว รอลุ้นว่าผลจะออกมาอย่างไร !!

ที่มา: ผู้จัดการ
*******************************************************

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำไมรัฐบาลอังกฤษไม่ประกาศ state of emergency

โดย ชญานิน เตียงพิทยากร


การจลาจลในอังกฤษ 2011
ภาพจาก The Daily Bail
ล่าสุดรัฐบาลของเดวิด คาเมร่อน เพิ่งจะประกาศมาตรการใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงและกระสุนพลาสติกเพื่อต่อกรกับกลุ่มผู้ก่อจลาจล หลังความวุ่นวาย ทุบทำลายทรัพย์สิน เผาสิ่งปลูกสร้างใหญ่น้อย ลามไปทั่วในหลายเมืองสำคัญของอังกฤษมา 5 วันติดต่อกัน และรัฐบาลปฏิเสธที่จะใช้ ‘ไม้แข็ง’ ในการปราบปรามมวลชนมาตลอด
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลอังกฤษใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงในการสลายชุมนุม
‘ไม้แข็ง’ ที่ชาวอังกฤษพูดถึงกันว่ารัฐบาลควรงัดออกมาใช้ ก็จำกัดอยู่แค่การใช้กระสุนพลาสติกกับปืนฉีดน้ำแรงดันสูงนะครับ นี่คือแรงที่สุดที่เขาจะใช้กับคนที่ก่อจลาจลแล้ว

ท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่น ที่รัฐบาลถูกโจมตีว่าทำงานแย่ แก้ปัญหาล่าช้า กล้าๆ กลัวๆ ไม่เด็ดขาด ไร้ภาวะผู้นำ (รองนายกฯ นิค เคลกก์ รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่และนักการเมืองถึงกับโดนประชาชนโห่ไล่ตอนลงพื้นที่ บอกว่ากูทนมานานเกินไปแล้วโว้ย พวกมึงทำห่าอะไรกันอยู่วะ) และกลุ่มสันนิบาตเพื่อปกป้องอังกฤษ (EDL) ประกาศระดมพลต่อกรกับม็อบป่วนเมือง ไม่รับประกันว่าสองฝ่ายจะปะทะกันจนบาดเจ็บเสียชีวิตหรือไม่ หลังเห็นว่าตำรวจจัดการอะไรไม่ได้จนบานปลายเละเทะไปทั้งบ้านทั้งเมือง
โชคดีว่าไม่มีการปะทะกันจนเกิดเรื่องซ้อนเป็นม็อบปะทะ เมื่อกรุงลอนดอนเริ่มสงบลงบ้าง ทาง EDL ก็ระดมพลเรียกร้องให้ออกมาทำความสะอาดเมืองหลวง ทูเกตเตอร์วีแคนกันให้พร้อมเพรียงหลังเหตุเผาเหตุปล้นสะดม

ขออนุญาตไม่วิเคราะห์อะไรถึงสถานการณ์การเมืองอังกฤษ ประเด็นทางสังคมชนชั้น เศรษฐกิจ ชาติพันธุ์วรรณา ฯลฯ (ผู้สนใจไปอ่านได้ ที่นี่ - ที่นี่ และ ที่นี่) แต่เห็นความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างที่อดจะเอามาพูดถึงไม่ได้เสียจริงๆ เพราะเหล่าคนไทยในเฟซบุคที่สถิตอยู่ตามว่านเครือต่างๆ ของเฟรนด์รอบตัว เล่นประเด็นนี้เป็นสำคัญกันก็มาก เพื่อนพี่น้องที่ตอนนี้ไปเรียนต่อไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษก็มากหลาย บางคนอยู่อพาร์ตเมนต์ห่างจากจุดจลาจลไม่กี่ร้อยเมตร บางคนออกไปถ่ายรูปเหตุการณ์แล้วถูกหนึ่งใน rioter เข้ามาข่มขู่ให้ลบรูปในกล้องทิ้งซะ

ข้อที่น่าสนใจคือกลุ่มคนไทย (ทั้งในไทยและในอังกฤษ) ที่เอาจลาจลเที่ยวนี้มาโยงกับการชุมนุมของเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว ด้วยประเด็น ‘เผาบ้านเผาเมือง’ อ่านไปอ่านมาแล้วก็อดหัวร่อมิได้กลั้นไว้มิอยู่ไปประมาณ 112 นาที – หยิบมายกตัวอย่างพอสังเขปให้ได้ยลกันโดยไม่ต้องขอเจ้าตัว
“ทำไมรัฐบาลอังกฤษไม่ประกาศ state of emergency วะ!”
“นึกถึงภาพทหารไทย ถูกฝูงควายแดงรุมกระหน่ำปางตาย”
“อังกฤษเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตย แต่ยังตามหลังไทยในด้านการเผาเมือง”
“นักก่อจลาจลในอังกฤษยังตามหลังไทยในเรื่องการยิงทหาร ยิง M79 ฆ่าคนที่คิดต่าง”
“คนพวกนี้ไม่รู้รึไงว่าตัวเองกำลังทำให้เศรษฐกิจโลกเสื่อมถอย และกำลังทำให้โลกร้อนไม่รู้เท่าไหร่ด้วยการเผาร้าน”

ไปจนถึงคอลัมนิสต์คนหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวันที่ “คิดว่าเหตุการณ์ร้ายอย่างนี้มีโอกาสที่จะลามปามไปยังเมืองใหญ่ในประเทศอื่น เป็นลัทธิเอาอย่าง อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ” (อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกโชคดีอย่างวิปริตที่ชาวซีเรียส่วนใหญ่ไม่น่าจะอ่านภาษาไทยได้)
ถ้าไม่นับว่าอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยมาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ผมคงไม่ชินกับการเชื่อมโยงที่มั่วซั่ว แถแหลก ไร้ตรรกะขนาดนี้มาเป็นทุนจนต้องหัวเราะลั่น

เพราะพอลองเข้าออฟฟิเชียลเว็บไซต์ของกลุ่มสันนิบาตฯ EDL ก็พบว่า นี่ขนาดกลุ่มการเมืองขวาจัดที่สนับสนุนการสังหารหมู่ในนอร์เวย์ ก็ยังดูมีเหตุมีผล และจับตาสถานการณ์ในอังกฤษได้น่ารับฟัง อย่างน้อยก็ไม่งี่เง่าเหมือนกลุ่มขวาจัดในหลายๆ ประเทศ ที่เอะอะก็โยนบาปให้มุสลิม ให้พวกต่างด้าวอพยพ ว่าเป็นต้นตอความฉิบหายทั้งมวลในบ้านเมืองอันศิวิไลซ์
อย่างน้อย EDL ก็รู้ว่า 3 ใน 4 ผู้เสียชีวิตระหว่างการจลาจลเป็นมุสลิมที่ออกมาปกป้องชุมชนและศาสนสถานของตัวเองจากพวก rioter และออกตัวว่าพวกเขาไม่คิดจะโจมตีกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงสำหรับการจลาจลเที่ยวนี้
รู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ถ้าคนไทย (ที่ก่นด่าความวุ่นวายอย่างไร้แก่นสารและเชื่อมโยงอย่างไร้รายละเอียด) จะไม่รู้เรื่องนี้ หรือไม่เห็นว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะเอามาพิจารณาเหตุการณ์ มากไปกว่าเอามาเชื่อมโยงกับเสื้อแดงเพื่อความสะใจมันส์ปากไปเรื่อยๆ
ก็ขนาดชาวชุมชนนางเลิ้งที่ถูกยิงเสียชีวิตตอนจลาจลเสื้อแดงเมื่อปี 2552 (และไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง) ยังถูกลืมไปจากสารบบการเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย

ถึงได้กล้าไปพูดปาวๆ อวดฉลาดว่า ทำไมรัฐบาลอังกฤษไม่ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน (แบบประเทศชั้น!)
สมาชิก EDL ที่อ่านภาษาไทยออกคงตกใจสิ้นสติ “โอ้ว คนไทยนี่มันขวาจัดกว่ากูอีกนะนี่ มิติแห่งการเป็นฝ่ายขวามีอะไรให้ศึกษาอีกมาก เรายังอ่อนยังด้อยนัก สมแล้วที่เป็นประเทศบาร์บาเรี่ยนเล็กจ้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะนอกจากขวาจัดแบบไม่เอาม็อบอย่างสิ้นเชิง สนับสนุนรัฐอย่างสุดเหยียด (ยิงมันเลยค่า ยิงมันเลย) ยังขวาจัดคลั่งชาติว่า ‘พวกมึงเลียนแบบกู’ อีกแน่ะ – อ่านแล้วกูดูเป็น moderate ขึ้นมาทันทีทันใด”
คนที่มองว่า riot นี้เป็น “ลัทธิเอาอย่าง” แล้วเอาไปเทียบกับเสื้อแดงไทย เทียบกับเหตุการณ์ในตูนีเซีย, ลิเบีย, ซีเรีย, อียิปต์, เยเมน, โมร็อคโค นี่ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกเขาแยกระหว่าง ‘การเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงทางการเมือง’ กับ ‘การจลาจล’ ไม่ได้หรืออย่างไร
ลำพังแค่ลักษณะของเหตุการณ์ก็ต่างกันแล้วไม่ว่าจะทางทฤษฎีหรือทางปฏิบัติ

เหมือนกับว่าการเรียกร้องทางการเมืองทุกครั้ง ประชาชนต้องอาศัยแต่สถานการณ์ไม่สงบ เพื่อจะได้ฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง และเมื่อพวกนี้สร้างความวุ่นวาย รัฐก็ต้องปราบให้หนักเพื่อความสงบ – สุดแสนจะเดินตามสเต็ป อย่างกับเป็นเทมเพลตพื้นฐานตอนทำพาวเวอร์พอยนต์ส่งอาจารย์
รณรงค์ทำความสะอาดกรุงลอนดอน หลังจลาจล
UK's Together We Can (ภาพจากหนังสือพิมพ์ Herald Sun)
คนที่พูดได้เช่นนี้คือคนที่ไม่สนใจความตึงเครียดรอบๆ ตัวเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นเหตุของจลาจลในอังกฤษ เกิดจากตำรวจวิสามัญฆาตกรรมชายคนหนึ่ง เหมือนกับคราวที่ตำรวจฝรั่งเศสบีบคนต่างด้าวอพยพคนหนึ่งจนเสียชีวิต แล้วเกิดจลาจลเมื่อปี 2005 ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายกลายเป็นปล้นสะดมและเผาสถานที่ต่างๆ ด้วยความคึกคะนอง
การหยิบเอาการชุมนุมรวมตัวของประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง และเป้าประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจน ไปตีขลุมรวมกับการจลาจล (และคนที่พยายามอธิบายการจลาจลเพื่อความคึกคะนอง และพฤติกรรมแบบอาชญากร ให้ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์อันหนักแน่นอย่างโรแมนติก) แสดงให้เห็นชัดว่าคนที่พูดเช่นนั้น ‘ไร้การศึกษา’ อย่างไม่น่าให้อภัย

ผมเคยพูดอย่างคะนองปากในเฟซบุคทำนองว่า ดูสิ อังกฤษก่อจลาจลบ้านเมืองวอดวายแค่เพราะตำรวจยิงคนตายคนเดียว ส่วนเมืองไทยยังมีพวกเรียกร้องให้ฆ่าคนที่คิดต่างอยู่ คิดเอาเองแล้วกันว่าอีกกี่สิบกี่ร้อยปีถึงจะตามเขาทัน แต่จากความคิดทางการเมืองของคนไทยต่อเหตุจลาจลครั้งนี้ กว่าจะตามเขาทันคงนานกว่าที่ผมสันนิษฐานไว้แต่แรก ในเมื่อคำว่า การชุมนุมทางการเมือง ได้ถูกริบเรือนไปจากพจนานุกรมของประชาชนในประเทศนี้เสียแล้ว
หลังจากนี้ก็จะไม่มีใครสนใจจลาจลในอังกฤษมากไปกว่าเป็นแค่เหตุการณ์โลกที่ผ่านมาผ่านไป (เร็วพอๆ กับตอนบินละดินตาย) แต่ก็ไม่แน่… ถ้าบอลพรีเมียร์ลีกต้องเลื่อนเปิดฤดูกาล

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จารีต-ธรรมเนียม-ราชสำนัก อำนาจในทำเนียบ ที่ ยิ่งลักษณ์. ไม่อาจปฏิเสธ !!?


แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เปลี่ยนสถานะจากซีอีโอ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ยักษ์จัดสรรขาใหญ่ของตระกูล "ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 28

ทิ้งสถานภาพเจ้าของธุรกิจบ้านเศรษฐี มีกำลังลงทุนปีละหลายพันล้าน เข้ารับเงินเดือนเดือนละ 121,1990 บาท ไปเป็นผู้ "อนุมัติ" รายจ่ายรัฐบาลปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท

ทิ้งห้องทำงานสุดหรูหราจากตึกชินวัตร เข้าประจำการที่ตึกไทยคู่ฟ้า ที่พี่ชาย-อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 "พ.ต.ท.ทักษิณ" เคยบ่นว่า "เป็นห้องที่อึดอัด ไม่มีหน้าต่างกระจก จะเปิดดูเดือนดูตะวันก็ไม่ได้"

ภารกิจข้างหน้าของเธอ นอกจากงานใหญ่หลวง นำพาประเทศให้พ้นจากหลุมดำ-ความขัดแย้ง และมรสุมเศรษฐกิจ ยังมีงานย่อย-รูทีน หลายสิบแฟ้ม ให้เธอต้องพิจารณาตัดสินใจ

อย่างน้อยก็มีงานในหมวดหมู่ที่เรียกว่า "หน่วยงานอิสระภายใต้การกำกับของนายกรัฐมนตรี" 2 หน่วยงาน ที่มีทั้งงานจารีตและธรรมเนียมปฏิบัติ ที่ต้องศึกษา

ทั้งสำนักพระราชวัง (Bureau of the Royal Household) สำนักงานเก่าแก่ ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลและรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชวัง ตลอดจนดูแลรักษาทรัพย์สินและผลประโยชน์ในองค์พระมหากษัตริย์ โดยมีเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารราชกิจราชการ

ปีที่ผ่านมา (2554) ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 2,606.2 ล้านบาท มี นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เป็นเลขาธิการ สืบทอดจาก นายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ตั้งแต่ปี 2530 ถึงปัจจุบัน

ยังมีสำนักราชเลขาธิการ (ร.ล.) ที่เป็นหน่วยงานราชการ ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเลขานุการในพระองค์พระมหากษัตริย์ เกี่ยวกับงานหนังสือ ที่หน่วยราชการ เอกชน และบุคคลทั่วไป ส่งเข้ามา เพื่อขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต พระบรมราชวินิจฉัย และพระมหากรุณา แล้วแต่กรณี

รวมทั้งทำหน้าที่รับพระราชทานพระราชดำริ และพระราชดำรัส เพื่อเชิญไปยังหน่วยงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีบทบาทเป็นผู้ประสานงาน ระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และบุคคลทั่วไป ทั้งที่เป็นราชการแผ่นดิน และการส่วนพระองค์

ในวาระที่ผ่านมา หากนายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯกราบบังคมทูล และทรงมีพระราชดำรัส มีพระราชดำริ หรือมี พระราชเสาวณีย์ เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง นายกรัฐมนตรีมักจะนำกระแสพระราชดำรัสนั้นมาถ่ายทอดต่อให้คณะรัฐมนตรี รับสนองไปปฏิบัติ ในระดับกระทรวง กรม และสำนัก

ในยุค "ทักษิณ 1" เคยมีคนใกล้ชิด เสนอให้แต่งตั้ง "รัฐมนตรีประสานงานกับราชสำนัก" อย่างไม่เป็นทางการ แต่ก็ไม่ได้แต่งตั้งจวบจนจบสมัย

อนึ่ง ในปีที่ผ่านมา ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 474.1 ล้านบาท ภายใต้การบริหารของ "ราชเลขาธิการ" ที่ชื่อ นายอาสา สารสิน

ที่เหลือเป็น "ส่วนราชการ ที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี" มีทั้งงานเศรษฐกิจ-ความมั่นคงและกฎหมาย ภายใต้คณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนากฎหมายและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ยังมีงานด้านความมั่นคง แม้นายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้ "รองนายกรัฐมนตรี" กำกับ แต่ยังอยู่ภายใต้การ รับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี ตามหลัก "นิติธรรม" ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550

และเพื่อไม่ให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" พลาดตั้งแต่วันรุ่งขึ้นที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำแนะนำของ "วิษณุ เครืองาม" เธอจึงจำเป็นต้อง "ปฏิบัติตาม" ข้อเสนอของส่วนราชการทั้งสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ, สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ อย่างเคร่งครัด

งานบริหารบุคคลภาครัฐ ที่ถูกจับตาตั้งแต่ก้าวแรก ในนโยบายหาเสียง "ข้าราชการเงินเดือน 15,000 บาท" ทำให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ไม่อาจละสายตา-วางมือจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

ไม่นับรวมมาตรการ-พิมพ์เขียว ตั้งรับมรสุมเศรษฐกิจ และรุกขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้าหมาย ปีละ 6%

ด้วยการทุ่มงบประมาณลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์นับแสนล้าน แต่แทบทุกโครงการ ก่อนถึงมือ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ต้องผ่านการวิเคราะห์จากสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่อยู่ภายใต้การกำกับโดยตรงเสียก่อน

ในยุค 2 นายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และ ยุค "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เลือกกำกับส่วนราชการด้านเศรษฐกิจ 2 หน่วยงานนี้ ด้วยตัวเอง เป็นลำดับต้น ๆ

ในแต่ละวัน ความสูงของแฟ้ม-พันธะ-ภาระตามจ็อบเดสคริปชั่นของ "ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี" ที่รออยู่ให้ "น.ส.ยิ่งลักษณ์" ลงนาม-อนุมัติ จึงมีอย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่า 1 ฟุต

จากนี้ไป ภารกิจ-พายุอำนาจในทำเนียบรัฐบาล ล้วนอยู่ในมือของเธอ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++