อังกฤษต้องส่งตำรวจปราบจลาจลเข้าแก้ไขสถานการณ์การจลาจลของประชาชนราว 300 คน ที่ขยายตัวมากขึ้นในย่านทางเหนือของกรุงลอนดอนเมื่อวาน หลังกลุ่มผู้ก่อจลาจลได้เผารถลาดตระเวนของตำรวจ 2 คัน รถบัส 2 ชั้น 1 คัน และร้านค้าอีก 1 ร้าน โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจที่ตำรวจไปยิงชายคนหนึ่ง
เหตุการณ์เผารถเกิดที่ด้านนอกสถานีตำรวจที่ไฮโร๊ด ซึ่งเป็นย่านที่มีผู้คนจอแจของเมืองท็อตแน่ม นอกจากนั้น ร้านค้าอีกหลายร้านก็ถูกทุบกระจก และมีการฉกฉวยเอาทรัพย์สินจากร้านค้าเหล่านี้ นอกจากนั้น กลุ่มผู้ก่อจลาจลก็ยังมีการส่งข้อความทางทวิตเตอร์ ระดมกำลังประชาชนให้ออกมาร่วมในการจลาจลมากขึ้นด้วย
สำหรับรถตำรวจที่ถูกเผานั้น จอดอยู่ห่างจากสถานีตำรวจราว 200 เมตร ประชาชนยึดเอารถไปได้ ระหว่างที่ตำรวจลงไปอำนวยความสะดวกให้กับการจราจร โดยกลุ่มผู้ก่อจลาจลได้ขว้างปาระเบิดขวดเข้าใส่รถตำรวจ หลังเกิดเหตุ มีการส่งกำลังตำรวจมายังพื้นที่ทางเหนือและใต้ของสถานีตำรวจเพื่อขับไล่กลุ่มผู้ก่อจลาจล
การจลาจลเริ่มขึ้นหลังจากการเดินขบวนมาจากย่าน " บรอดวอเตอร์ ฟาร์ม " ของกลุ่มประชาชนราว 100 คน ผู้ไม่พอใจที่ผู้โดยสารรถแท็กซี่วัย 29 ปีคนหนึ่งถูกตำรวจของเมืองนี้ยิงตายเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากที่เขายิงปะทะกับตำรวจ งานนี้ ตำรวจเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย
ที่มา.เนชั่น
************************************
วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เนติบริกร แนะ ยิ่งลักษณ์ อย่าทวนเข็มนาฬิกา ปฏิวัติ 49 !!?
สัมภาษณ์พิเศษ
อาชีพให้บริการทางเนติ ยังติดตัว "วิษณุ เครืองาม"
ทุกครั้งที่สังคมใคร่รู้เรื่องปัญหากฎหมาย ชื่อ "วิษณุ" เป็นชื่อแรกที่ถูกนึกถึง
ทุกครั้งที่เกิดการจัดตั้งรัฐบาล ชื่อ "วิษณุ" ถูกถามหา ให้ไขปัญหาขั้นตอน-พิธีการระหว่างรัฐบาลกับราชสำนัก
รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ต่างไปจากรัฐบาลที่ผ่านมาอย่างไร และต้องปฏิบัติต่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ" อย่างไร "วิษณุ"ไขคำตอบไว้แล้ว
- ดูลักษณะการบริหารของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะวาระแห่งชาติ แต่อาจมีคดีค้างเก่า เช่น คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ต้องแยกให้ออกว่า ถ้าเป็นเรื่องของคุณทักษิณก็ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล รัฐบาลก็ไม่ควรกระโดดเข้าไปแก้ไข ถ้าจะแก้ไขก็ต้องเป็นประโยชน์แก่คน อื่น ๆ ด้วย ส่วนจะทำอย่างไร อยู่ที่ปัญหาคืออะไร จึงต้องแก้ให้ถูกจุด ต้องตอบคำถามประชาชนว่าแก้ทำไม 2 ข้อ คือ เรื่องอะไร และแก้ทำไม เพราะการแก้บางเรื่องขึ้นอยู่กับรัฐบาล บางเรื่องขึ้นอยู่กับสภา
- พรรคเพื่อไทยค่อนข้างพูดเยอะว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่มีอำนาจในการจัดการในสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่ คตส.เป็นโมฆะทำได้หรือไม่
ณ สถานะในวันนี้พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะคำพิพากษาหลายฉบับวินิจฉัยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำได้ และมีอำนาจ การโต้แย้งทำได้ แย้งทีไรศาลก็ไม่เห็นด้วย และยังเห็นว่ามีอำนาจใน ทุกคดีเสมอมา เพราะฉะนั้นจะบอกว่าไม่มีอำนาจก็เหมือนกับปากแข็ง
แต่ถ้าทำให้สถานะเปลี่ยนไปมากำหนดให้ คตส.ไม่มีอำนาจ แต่สิ่งใดที่ คตส.ทำไปถือว่าใช้ไม่ได้ โดยหลัก ให้มีผลตั้งแต่วันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะ คตส.ไม่มีอีกแล้วในวันนี้ แต่จะย้อนกลับไปบอกว่าสิ่งที่ คตส.ทำเสมือนหนึ่งไม่มี คตส.อยู่เลย ผมคิดว่าจะมีปัญหาทางกฎหมาย และเป็นปัญหาในทาง การจัดการ เพราะหลายเรื่อง คตส. บอกไม่ผิด และบางเรื่องบอกว่าผิดพอกลับไปสู่ศูนย์เสมือนหนึ่งไม่เคยมี คตส. ก็คือที่เคยบอกว่าผิดก็ไม่เคยเป็นความผิด ที่บอกว่าไม่ผิดก็ยังไม่แน่ว่าไม่ผิด ทีนี้จะยุ่งกันใหญ่ ซึ่งมีการท้าทายให้ฟ้องใหม่
และเราไม่เคยทำประเภทที่ศาล เคยตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด โดยเฉพาะศาลนั้นคือศาลฎีกา และมาบอกว่าเสมือนหนึ่งไม่เคยมี คตส.อยู่เลยคงยาก และตรงนี้จะทำให้เกิดการโต้เถียงกันมาก จะมีปัญหาคือ 1.คนที่คิดอย่างนี้จะบริหารประเทศโดยไม่ปกติสุข 2.จะเกิดความแตกแยกครั้งใหญ่ในบ้านเมือง
การจะหมุนเวลากลับไปจะกระทบ อีกหลายเรื่อง เพราะจะมีปัญหาว่า การจัดตั้งรัฐบาลในเวลาต่อมาจะเป็นอย่างไร ส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ชาวบ้านอีกหลายเรื่อง หากเลือกเอาเฉพาะเรื่องที่ได้ ไม่เอาเรื่องที่เสียก็เจาะเอาบางเรื่อง เลือกในส่วนที่กระทบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือกระทบกับรัฐบาล แต่ไม่ใช่ระบุว่าคดีนั้นคดีนี้
- ถือว่าเป็นเดิมพันของคุณทักษิณและพวก คือหากกลับไปแก้ปัญหากฎหมายบางส่วนอาจทำให้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทได้คืนมา
ถ้าเป็นเดิมพันสำหรับคนคนเดียว ประเทศก็ชุลมุนในเรื่องนี้เรื่องเดียว จะทำอย่างไรให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ความจริงเราก็เคยทำในอดีตที่ประเทศชุลมุนอยู่กับเรื่องใดเรื่องเดียว แต่ครั้งนั้นคนทั้งประเทศเห็นด้วยสมัยจอมพลถนอม (กิตติขจร) ยึดอำนาจในปี 2514 คุณอุทัย พิมพ์ใจชน ฟ้องจอมพลถนอม คณะปฏิวัติเลยสั่งจำคุกคุณอุทัยและพวกอีก 2 คน พอติดคุกไปแล้วจะปล่อยตัวทีหลังก็ไม่ใช่แค่ไขกุญแจแล้วเปิดประตูให้เดินออกมา เพราะถูกจำคุกโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ จึงต้องเกิดพระราชบัญญัติ เพื่อที่จะทำให้คุณอุทัยและพวกเดินออกมาจากคุกได้โดยที่ไม่มีความผิด นั่นทำให้ทั้งสภาทั้งหมดมาชุลมุนกับการออกกฎหมาย
แต่นั่นก็เป็นความต้องการ และเข้าใจว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรม ทำอย่างไรให้กรณีของคุณทักษิณเกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาแก่คนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่ ส.ส. เท่านั้น ในครั้งนั้นก็มีคนถามว่า เราจะมาออกกฎหมายแค่คน 2-3 คนนั้นเท่านั้นหรือ ซึ่งต้องถามว่าเรื่องนั้นเป็นธรรมหรือไม่ หากคิดว่าไม่เป็นธรรมก็คงไม่มีทางอื่น นอกจากปฏิวัติอีกทีแล้วค่อยปล่อยคุณอุทัย ในเหตุการณ์ปกติคิดว่ามีหนทางเดียวก็ต้องใช้วิธีนี้
คำถามนั้นต้องถามตอนนี้ว่า การที่จะออก พ.ร.บ. ทำให้คุณทักษิณได้ประโยชน์อย่างเดิม เป็นความรู้สึกที่ถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ที่คุณทักษิณโดนอย่างนั้น ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้องก็ออกกฎหมายมา แต่กรณีคุณทักษิณจะซับซ้อนกว่าของคุณอุทัย เพราะสุดท้ายก็จบในเรื่องเดียว แต่ของคุณทักษิณจะมีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก
ครั้งนั้นข้อกฎหมายระบุ "ใครโดน ให้ปล่อยหมด" ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อคุณอุทัย ทำให้เหมือนมีคนอีกหมื่นคนได้ประโยชน์ ครั้งนี้ก็เช่นกัน "ใครโดน ปล่อยหมด" ทำให้เหมือนอีกหมื่นคนได้ประโยชน์ แต่จริง ๆ มีอยู่คนเดียว ดังนั้นต้องพูดกับประชาชนให้เข้าใจ
- เสียงโหวตทั่วประเทศจะนำมารองรับว่าเป็นคนส่วนใหญ่ได้หรือไม่
การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คนลงคะแนนด้วยเหตุต่าง ๆ กัน เช่น ค่าจ้าง 300 บาท เพราะสงสารคุณทักษิณ เพราะเงินเดือน 15,000 บาท ต้องการให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ดังนั้น บางทีก็ต้องนำเรื่องทางนิตินัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราจะมาบอกว่าคนกี่ล้านคนเลือกเพราะต้องการอย่างนี้ ในทางนิตินัยก็พูดยาก เพราะแม้แต่บางคนเลือกพรรคเพื่อไทย ก็เพราะว่าหมั่นไส้ประชาธิปัตย์เท่านั้น ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น
- ประเด็นปัญหากฎหมายที่ทำให้ รัฐบาลวุ่นวายมีเรื่องอะไรบ้าง
กฎหมายมี 2 ชนิด คือข้อกฎหมายจร และกฎหมายที่ตั้งหลักเข้ามาทำข้อกฎหมายที่ตั้งหลักอาจจะมีหลายเรื่อง อย่างเรื่องสถานภาพ เรื่องยึดทรัพย์
กฎหมายจร คือเรื่องที่ไม่ได้เป็นหลักที่จะเข้ามาทำ แต่เข้ามาถึงตัวแล้วต้องทำ เช่น เรื่องงบประมาณ กฎหมายกระทรวงต่าง ๆ ที่อั้นอยู่ และอีกหลายอย่างที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ ซึ่งบางเรื่องต้องมีกฎหมายรองรับไว้
ผมพูดกับทุกรัฐบาลเสมอว่า ผมเชื่อว่าท่านเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็มีเจตนาฝันอยากจะทำอะไรบ้าง แต่ในที่สุดท่านจะได้ทำตามที่คิดหรือฝันอยู่ถึง 50% ก็บุญแล้ว เพราะที่เหลือ ท่านจะเสียเวลาไปกับเรื่องเงินทองงบประมาณ สมอง และคนไปกับเรื่องที่ท่านไม่คิดว่าจะทำ นั่นคือปัญหาที่จรเข้ามา
ท่านอานันท์ (ปันยารชุน) ต้องมาเสียเวลาไปกับปัญหาศึกตุลาการ ครึ่งหนึ่งของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหานี้
ท่านสุรยุทธ์ (จุลานนท์) ต้องมาเสียงบประมาณ ใช้เวลาไปจำนวนมากกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมใน 48 จังหวัด จนเกือบจะไม่ได้ทำอย่างอื่น
รัฐบาลคุณสมัคร (สุนทรเวช) คุณสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) ลงท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร ได้ใช้เงิน เวลา หัวคิด ไปกับการแก้ปัญหาเรื่องม็อบ แม้แต่คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ก็ใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหานี้ ก็ผลักดันนโยบายออกมาได้บางส่วน
แม้แต่คุณทักษิณเอง เมื่อตอนปลายรัฐบาลมีงบประมาณเหลือมาก มากพอที่จะหยุด ไม่เก็บภาษีประชาชน 1 ปี ต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ชั่วข้ามคืนอย่างสึนามิในภาคใต้ ต้องเอางบประมาณ สมอง เวลาทั้งหมดมาใช้กับการแก้ปัญหานั้น
- ปัญหากฎหมายที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
ปัญหากฎหมายที่ผมห่วงมากมาตั้งแต่ครั้งคุณอภิสิทธิ์ แต่คุณอภิสิทธิ์ อาจจะน่ารัก ทำอะไรไปคนก็ไม่ว่า แต่คุณยิ่งลักษณ์อาจไม่น่ารักเท่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยว่า การปฏิบัติหน้าที่ของของคุณยิ่งลักษณ์, ส.ส., รัฐสภา, คณะรัฐมนตรี, องค์กรตามรัฐธรรมนูญ, ศาล และหน่วยงานองค์กรของรัฐ 20 กระทรวง 148 กรม จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม
มีหลายมาตราที่ระบุว่า "ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามหลักธรรมาภิบาล" นี่คือเรื่องในกฎหมาย เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ถือว่าเป็นความผิดฐานหนึ่งหากไม่ทำ
ดังนั้นรัฐบาลต้องท่องไว้ว่า ต้องยึดหลักนิติธรรม ยึดหลักธรรมาภิบาล จะท่องแบบสวดมนต์ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีคนพร้อมที่จะเข้ามาฟ้องว่าไม่ทำตามหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี เขาจะกล่าวหาเอา กล่าวหาในสภาไม่เป็นไร คุณเสียงข้างมากก็ชนะ แต่ถ้ากล่าวหาในสื่อมวลชนคนจะคล้อยตาม กล่าวหาในศาลคุณก็ต้องไปแก้คดี เขาไม่กล่าวหาวันนี้ เขารอให้คุณพ้นไปและฟ้องวันหน้า คุณก็จะซวยวันหน้า ต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก มากกว่าคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณอาจจะพลาดบ้างพลั้งบ้าง แต่ไม่มี 2 ข้อหานี้ไว้เล่นงานแก อย่างมากก็มี ม.157
ต่อไปหากไม่ทำตามหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล ก็จะนำไปสู่ความผิดอื่น ๆ ตามมาอีกมากโข ความจริงต้องระวังมาตั้งแต่รัฐบาลคุณสมัครคุณสมชาย แต่อย่างที่บอกเวลาแกน้อยมัวแต่ยุ่งเรื่องอื่น ทุกคนชุลมุนเรื่องอื่น และคุณอภิสิทธิ์แกน่ารักคนก็เลยอภัย จนลืมไป วันนี้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เขาก็เก่งพอที่จะจับผิดในเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นเป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก โอกาสที่จะพลาดพลั้งสะดุดมีมากเหลือเกินผมบอกเลยว่าจะมีทุกวัน
วันนี้คุณยิ่งลักษณ์ยังงามสง่าอยู่ ยิ่งมองยิ่งน่ารัก แต่พอเป็นรัฐบาลเข้าก็จะมีโอกาสพลาดตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ด้วยข้อหาเหล่านี้บางทีก็เห็นใจ คุณยิ่งลักษณ์อาจจะถามว่า "แล้วมันคืออะไรล่ะคะ" ก็หาคนอธิบายให้ท่านฟังยาก กลายเป็นว่า "ก็ลองทำดูก่อนสิ แล้วจะบอกให้" นี่ล่ะที่เป็นอันตราย
- ขั้นตอน พิธีการ ของรัฐบาลนายกฯ ผู้หญิง มีอะไรที่แตกต่างจากเก่า
ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงหรือชาย คือถ้าเป็นคุณยิ่งลักษณ์จริง ท่านอาจจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ส.ส.ก็ไม่เคยเป็น รัฐมนตรีก็ไม่เคยเป็น คุณทักษิณกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็ผ่านการเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ต้องมีการกระซิบกระซาบแนะนำบอกกล่าวอะไรกันคงมีมากหน่อย ไม่ใช่ความเป็นหญิง แต่เป็นเรื่องของประสบการณ์ทางการเมือง เนื้อหาท่านไปของท่านได้ แต่กระบวนการ วิธีการขั้นตอน อย่างว่าคนเป็นนายกฯ แม้แต่รัฐมนตรีเองก็คงต้องมีการฝึกกันว่า เรื่องใดควรพูด ไม่ควรพูด
หลายเรื่องที่เป็นการทำงานใหญ่ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะมีความสำคัญ เพราะคนเหล่านี้จะแนะนำโดยไม่ต้องให้ชาวบ้านรู้ ฉะนั้นสองตำแหน่งนี้ต้องได้คนที่มีประสบการณ์ มีความกล้า รวมทั้งตัวนายกรัฐมนตรีก็ต้องเปิดโอกาสให้ข้อมูลกับคนเหล่านี้ ตรงนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้มาก
- ถ้าเลขาฯ ครม.เป็นคนที่สำคัญมาก จำเป็นจะต้องเปลี่ยนเลขาฯ ครม.คนเก่าหรือไม่
นายกรัฐมนตรีที่ดีไม่ควรจะเข้ามา ตั้งต้นลงมือล้างบาง ต่อให้บางนั้นไม่ใช่บางของตัว แต่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้บางนั้นกลายเป็นบางของตัว นี่คือยุทธศาสตร์ เพราะหากคุณคิดจะล้างและล้างจนหมด มันจะมีผลมาก เพราะคุณไล่เขาออกไม่ได้ นอกจากสลับที่ และเขาจะไปอยู่ที่อื่นที่อาจเป็นปัญหา
ปัญหาของคุณทักษิณอย่างหนึ่ง ไปดูเถอะว่า คนที่เข้ามามีบทบาทใน การตรวจสอบคุณทักษิณวันนี้ ถ้าไม่ คุณทักษิณเคยมีปัญหากับเขา ก็ต้องคนที่เขาเคยมีปัญหากับคุณทักษิณ หรือแม้แต่คนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ฉะนั้น "ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง" แต่บางคนใช้วิธีแจกเงินก็ได้ช่วยระยะหนึ่ง
ผมเห็นข้อดีข้อหนึ่งในตัวคุณยิ่งลักษณ์คือ ความนิ่มนวลของผู้หญิง เวลาให้สัมภาษณ์ พูดจาปราศรัย ก็เป็นไปด้วยความนิ่มนวล ตรงนี้ทำให้เอาชนะใจคนได้ นี่คือสิ่งที่คุณทักษิณไม่มี
- แต่ภารกิจแรก ๆ ก็ทำให้คนคิดว่าต้องล้างบางขั้วเก่า
การสลับสับเปลี่ยนได้ คำว่า ล้างบางคือล้างหมดกรุ หากแค่ไม่กี่คนและมีเหตุที่ควรจะทำก็ไม่มีปัญหา ซึ่งใครจะไปก็ต้องให้มีเหตุหน่อย มาก็ต้องมีเหตุหน่อย อย่าให้มาเพราะช่วยตอนหาเสียง
- เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กระบวน การจะเริ่มโดยรัฐบาลใหม่ หรือนำเหตุผลจากรัฐบาลเก่ามาปรับปรุง
ต้องถามว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ แต่ผมคิดว่าเมื่อเป็นรัฐบาลคงไม่เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ถ้าเป็นเรื่องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเคลื่อนไหวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะแล้วแต่เสียงข้างมากของสภาที่จะว่ากัน
ถ้ารัฐบาลกระโดดลงไปทำคงไม่เป็นเรื่องฉลาดนัก เช่น นิรโทษกรรม ยังมองไม่เห็นว่าจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ การทำสิ่งเหล่านั้นจะสวนทางกับความรู้สึกของประชาชน เกิดปัญหากับประเทศ จนกระทั่งการปกครองไม่ปกติสุข
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทุกครั้งที่สังคมใคร่รู้เรื่องปัญหากฎหมาย ชื่อ "วิษณุ" เป็นชื่อแรกที่ถูกนึกถึง
ทุกครั้งที่เกิดการจัดตั้งรัฐบาล ชื่อ "วิษณุ" ถูกถามหา ให้ไขปัญหาขั้นตอน-พิธีการระหว่างรัฐบาลกับราชสำนัก
รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ต่างไปจากรัฐบาลที่ผ่านมาอย่างไร และต้องปฏิบัติต่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ" อย่างไร "วิษณุ"ไขคำตอบไว้แล้ว
- ดูลักษณะการบริหารของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะวาระแห่งชาติ แต่อาจมีคดีค้างเก่า เช่น คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ต้องแยกให้ออกว่า ถ้าเป็นเรื่องของคุณทักษิณก็ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล รัฐบาลก็ไม่ควรกระโดดเข้าไปแก้ไข ถ้าจะแก้ไขก็ต้องเป็นประโยชน์แก่คน อื่น ๆ ด้วย ส่วนจะทำอย่างไร อยู่ที่ปัญหาคืออะไร จึงต้องแก้ให้ถูกจุด ต้องตอบคำถามประชาชนว่าแก้ทำไม 2 ข้อ คือ เรื่องอะไร และแก้ทำไม เพราะการแก้บางเรื่องขึ้นอยู่กับรัฐบาล บางเรื่องขึ้นอยู่กับสภา
- พรรคเพื่อไทยค่อนข้างพูดเยอะว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่มีอำนาจในการจัดการในสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่ คตส.เป็นโมฆะทำได้หรือไม่
ณ สถานะในวันนี้พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะคำพิพากษาหลายฉบับวินิจฉัยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำได้ และมีอำนาจ การโต้แย้งทำได้ แย้งทีไรศาลก็ไม่เห็นด้วย และยังเห็นว่ามีอำนาจใน ทุกคดีเสมอมา เพราะฉะนั้นจะบอกว่าไม่มีอำนาจก็เหมือนกับปากแข็ง
แต่ถ้าทำให้สถานะเปลี่ยนไปมากำหนดให้ คตส.ไม่มีอำนาจ แต่สิ่งใดที่ คตส.ทำไปถือว่าใช้ไม่ได้ โดยหลัก ให้มีผลตั้งแต่วันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะ คตส.ไม่มีอีกแล้วในวันนี้ แต่จะย้อนกลับไปบอกว่าสิ่งที่ คตส.ทำเสมือนหนึ่งไม่มี คตส.อยู่เลย ผมคิดว่าจะมีปัญหาทางกฎหมาย และเป็นปัญหาในทาง การจัดการ เพราะหลายเรื่อง คตส. บอกไม่ผิด และบางเรื่องบอกว่าผิดพอกลับไปสู่ศูนย์เสมือนหนึ่งไม่เคยมี คตส. ก็คือที่เคยบอกว่าผิดก็ไม่เคยเป็นความผิด ที่บอกว่าไม่ผิดก็ยังไม่แน่ว่าไม่ผิด ทีนี้จะยุ่งกันใหญ่ ซึ่งมีการท้าทายให้ฟ้องใหม่
และเราไม่เคยทำประเภทที่ศาล เคยตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด โดยเฉพาะศาลนั้นคือศาลฎีกา และมาบอกว่าเสมือนหนึ่งไม่เคยมี คตส.อยู่เลยคงยาก และตรงนี้จะทำให้เกิดการโต้เถียงกันมาก จะมีปัญหาคือ 1.คนที่คิดอย่างนี้จะบริหารประเทศโดยไม่ปกติสุข 2.จะเกิดความแตกแยกครั้งใหญ่ในบ้านเมือง
การจะหมุนเวลากลับไปจะกระทบ อีกหลายเรื่อง เพราะจะมีปัญหาว่า การจัดตั้งรัฐบาลในเวลาต่อมาจะเป็นอย่างไร ส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ชาวบ้านอีกหลายเรื่อง หากเลือกเอาเฉพาะเรื่องที่ได้ ไม่เอาเรื่องที่เสียก็เจาะเอาบางเรื่อง เลือกในส่วนที่กระทบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือกระทบกับรัฐบาล แต่ไม่ใช่ระบุว่าคดีนั้นคดีนี้
- ถือว่าเป็นเดิมพันของคุณทักษิณและพวก คือหากกลับไปแก้ปัญหากฎหมายบางส่วนอาจทำให้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทได้คืนมา
ถ้าเป็นเดิมพันสำหรับคนคนเดียว ประเทศก็ชุลมุนในเรื่องนี้เรื่องเดียว จะทำอย่างไรให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ความจริงเราก็เคยทำในอดีตที่ประเทศชุลมุนอยู่กับเรื่องใดเรื่องเดียว แต่ครั้งนั้นคนทั้งประเทศเห็นด้วยสมัยจอมพลถนอม (กิตติขจร) ยึดอำนาจในปี 2514 คุณอุทัย พิมพ์ใจชน ฟ้องจอมพลถนอม คณะปฏิวัติเลยสั่งจำคุกคุณอุทัยและพวกอีก 2 คน พอติดคุกไปแล้วจะปล่อยตัวทีหลังก็ไม่ใช่แค่ไขกุญแจแล้วเปิดประตูให้เดินออกมา เพราะถูกจำคุกโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ จึงต้องเกิดพระราชบัญญัติ เพื่อที่จะทำให้คุณอุทัยและพวกเดินออกมาจากคุกได้โดยที่ไม่มีความผิด นั่นทำให้ทั้งสภาทั้งหมดมาชุลมุนกับการออกกฎหมาย
แต่นั่นก็เป็นความต้องการ และเข้าใจว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรม ทำอย่างไรให้กรณีของคุณทักษิณเกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาแก่คนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่ ส.ส. เท่านั้น ในครั้งนั้นก็มีคนถามว่า เราจะมาออกกฎหมายแค่คน 2-3 คนนั้นเท่านั้นหรือ ซึ่งต้องถามว่าเรื่องนั้นเป็นธรรมหรือไม่ หากคิดว่าไม่เป็นธรรมก็คงไม่มีทางอื่น นอกจากปฏิวัติอีกทีแล้วค่อยปล่อยคุณอุทัย ในเหตุการณ์ปกติคิดว่ามีหนทางเดียวก็ต้องใช้วิธีนี้
คำถามนั้นต้องถามตอนนี้ว่า การที่จะออก พ.ร.บ. ทำให้คุณทักษิณได้ประโยชน์อย่างเดิม เป็นความรู้สึกที่ถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ที่คุณทักษิณโดนอย่างนั้น ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้องก็ออกกฎหมายมา แต่กรณีคุณทักษิณจะซับซ้อนกว่าของคุณอุทัย เพราะสุดท้ายก็จบในเรื่องเดียว แต่ของคุณทักษิณจะมีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก
ครั้งนั้นข้อกฎหมายระบุ "ใครโดน ให้ปล่อยหมด" ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อคุณอุทัย ทำให้เหมือนมีคนอีกหมื่นคนได้ประโยชน์ ครั้งนี้ก็เช่นกัน "ใครโดน ปล่อยหมด" ทำให้เหมือนอีกหมื่นคนได้ประโยชน์ แต่จริง ๆ มีอยู่คนเดียว ดังนั้นต้องพูดกับประชาชนให้เข้าใจ
- เสียงโหวตทั่วประเทศจะนำมารองรับว่าเป็นคนส่วนใหญ่ได้หรือไม่
การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คนลงคะแนนด้วยเหตุต่าง ๆ กัน เช่น ค่าจ้าง 300 บาท เพราะสงสารคุณทักษิณ เพราะเงินเดือน 15,000 บาท ต้องการให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ดังนั้น บางทีก็ต้องนำเรื่องทางนิตินัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราจะมาบอกว่าคนกี่ล้านคนเลือกเพราะต้องการอย่างนี้ ในทางนิตินัยก็พูดยาก เพราะแม้แต่บางคนเลือกพรรคเพื่อไทย ก็เพราะว่าหมั่นไส้ประชาธิปัตย์เท่านั้น ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น
- ประเด็นปัญหากฎหมายที่ทำให้ รัฐบาลวุ่นวายมีเรื่องอะไรบ้าง
กฎหมายมี 2 ชนิด คือข้อกฎหมายจร และกฎหมายที่ตั้งหลักเข้ามาทำข้อกฎหมายที่ตั้งหลักอาจจะมีหลายเรื่อง อย่างเรื่องสถานภาพ เรื่องยึดทรัพย์
กฎหมายจร คือเรื่องที่ไม่ได้เป็นหลักที่จะเข้ามาทำ แต่เข้ามาถึงตัวแล้วต้องทำ เช่น เรื่องงบประมาณ กฎหมายกระทรวงต่าง ๆ ที่อั้นอยู่ และอีกหลายอย่างที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ ซึ่งบางเรื่องต้องมีกฎหมายรองรับไว้
ผมพูดกับทุกรัฐบาลเสมอว่า ผมเชื่อว่าท่านเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็มีเจตนาฝันอยากจะทำอะไรบ้าง แต่ในที่สุดท่านจะได้ทำตามที่คิดหรือฝันอยู่ถึง 50% ก็บุญแล้ว เพราะที่เหลือ ท่านจะเสียเวลาไปกับเรื่องเงินทองงบประมาณ สมอง และคนไปกับเรื่องที่ท่านไม่คิดว่าจะทำ นั่นคือปัญหาที่จรเข้ามา
ท่านอานันท์ (ปันยารชุน) ต้องมาเสียเวลาไปกับปัญหาศึกตุลาการ ครึ่งหนึ่งของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหานี้
ท่านสุรยุทธ์ (จุลานนท์) ต้องมาเสียงบประมาณ ใช้เวลาไปจำนวนมากกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมใน 48 จังหวัด จนเกือบจะไม่ได้ทำอย่างอื่น
รัฐบาลคุณสมัคร (สุนทรเวช) คุณสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) ลงท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร ได้ใช้เงิน เวลา หัวคิด ไปกับการแก้ปัญหาเรื่องม็อบ แม้แต่คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ก็ใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหานี้ ก็ผลักดันนโยบายออกมาได้บางส่วน
แม้แต่คุณทักษิณเอง เมื่อตอนปลายรัฐบาลมีงบประมาณเหลือมาก มากพอที่จะหยุด ไม่เก็บภาษีประชาชน 1 ปี ต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ชั่วข้ามคืนอย่างสึนามิในภาคใต้ ต้องเอางบประมาณ สมอง เวลาทั้งหมดมาใช้กับการแก้ปัญหานั้น
- ปัญหากฎหมายที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
ปัญหากฎหมายที่ผมห่วงมากมาตั้งแต่ครั้งคุณอภิสิทธิ์ แต่คุณอภิสิทธิ์ อาจจะน่ารัก ทำอะไรไปคนก็ไม่ว่า แต่คุณยิ่งลักษณ์อาจไม่น่ารักเท่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยว่า การปฏิบัติหน้าที่ของของคุณยิ่งลักษณ์, ส.ส., รัฐสภา, คณะรัฐมนตรี, องค์กรตามรัฐธรรมนูญ, ศาล และหน่วยงานองค์กรของรัฐ 20 กระทรวง 148 กรม จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม
มีหลายมาตราที่ระบุว่า "ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามหลักธรรมาภิบาล" นี่คือเรื่องในกฎหมาย เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ถือว่าเป็นความผิดฐานหนึ่งหากไม่ทำ
ดังนั้นรัฐบาลต้องท่องไว้ว่า ต้องยึดหลักนิติธรรม ยึดหลักธรรมาภิบาล จะท่องแบบสวดมนต์ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีคนพร้อมที่จะเข้ามาฟ้องว่าไม่ทำตามหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี เขาจะกล่าวหาเอา กล่าวหาในสภาไม่เป็นไร คุณเสียงข้างมากก็ชนะ แต่ถ้ากล่าวหาในสื่อมวลชนคนจะคล้อยตาม กล่าวหาในศาลคุณก็ต้องไปแก้คดี เขาไม่กล่าวหาวันนี้ เขารอให้คุณพ้นไปและฟ้องวันหน้า คุณก็จะซวยวันหน้า ต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก มากกว่าคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณอาจจะพลาดบ้างพลั้งบ้าง แต่ไม่มี 2 ข้อหานี้ไว้เล่นงานแก อย่างมากก็มี ม.157
ต่อไปหากไม่ทำตามหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล ก็จะนำไปสู่ความผิดอื่น ๆ ตามมาอีกมากโข ความจริงต้องระวังมาตั้งแต่รัฐบาลคุณสมัครคุณสมชาย แต่อย่างที่บอกเวลาแกน้อยมัวแต่ยุ่งเรื่องอื่น ทุกคนชุลมุนเรื่องอื่น และคุณอภิสิทธิ์แกน่ารักคนก็เลยอภัย จนลืมไป วันนี้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เขาก็เก่งพอที่จะจับผิดในเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นเป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก โอกาสที่จะพลาดพลั้งสะดุดมีมากเหลือเกินผมบอกเลยว่าจะมีทุกวัน
วันนี้คุณยิ่งลักษณ์ยังงามสง่าอยู่ ยิ่งมองยิ่งน่ารัก แต่พอเป็นรัฐบาลเข้าก็จะมีโอกาสพลาดตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ด้วยข้อหาเหล่านี้บางทีก็เห็นใจ คุณยิ่งลักษณ์อาจจะถามว่า "แล้วมันคืออะไรล่ะคะ" ก็หาคนอธิบายให้ท่านฟังยาก กลายเป็นว่า "ก็ลองทำดูก่อนสิ แล้วจะบอกให้" นี่ล่ะที่เป็นอันตราย
- ขั้นตอน พิธีการ ของรัฐบาลนายกฯ ผู้หญิง มีอะไรที่แตกต่างจากเก่า
ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงหรือชาย คือถ้าเป็นคุณยิ่งลักษณ์จริง ท่านอาจจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ส.ส.ก็ไม่เคยเป็น รัฐมนตรีก็ไม่เคยเป็น คุณทักษิณกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็ผ่านการเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ต้องมีการกระซิบกระซาบแนะนำบอกกล่าวอะไรกันคงมีมากหน่อย ไม่ใช่ความเป็นหญิง แต่เป็นเรื่องของประสบการณ์ทางการเมือง เนื้อหาท่านไปของท่านได้ แต่กระบวนการ วิธีการขั้นตอน อย่างว่าคนเป็นนายกฯ แม้แต่รัฐมนตรีเองก็คงต้องมีการฝึกกันว่า เรื่องใดควรพูด ไม่ควรพูด
หลายเรื่องที่เป็นการทำงานใหญ่ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะมีความสำคัญ เพราะคนเหล่านี้จะแนะนำโดยไม่ต้องให้ชาวบ้านรู้ ฉะนั้นสองตำแหน่งนี้ต้องได้คนที่มีประสบการณ์ มีความกล้า รวมทั้งตัวนายกรัฐมนตรีก็ต้องเปิดโอกาสให้ข้อมูลกับคนเหล่านี้ ตรงนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้มาก
- ถ้าเลขาฯ ครม.เป็นคนที่สำคัญมาก จำเป็นจะต้องเปลี่ยนเลขาฯ ครม.คนเก่าหรือไม่
นายกรัฐมนตรีที่ดีไม่ควรจะเข้ามา ตั้งต้นลงมือล้างบาง ต่อให้บางนั้นไม่ใช่บางของตัว แต่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้บางนั้นกลายเป็นบางของตัว นี่คือยุทธศาสตร์ เพราะหากคุณคิดจะล้างและล้างจนหมด มันจะมีผลมาก เพราะคุณไล่เขาออกไม่ได้ นอกจากสลับที่ และเขาจะไปอยู่ที่อื่นที่อาจเป็นปัญหา
ปัญหาของคุณทักษิณอย่างหนึ่ง ไปดูเถอะว่า คนที่เข้ามามีบทบาทใน การตรวจสอบคุณทักษิณวันนี้ ถ้าไม่ คุณทักษิณเคยมีปัญหากับเขา ก็ต้องคนที่เขาเคยมีปัญหากับคุณทักษิณ หรือแม้แต่คนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ฉะนั้น "ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง" แต่บางคนใช้วิธีแจกเงินก็ได้ช่วยระยะหนึ่ง
ผมเห็นข้อดีข้อหนึ่งในตัวคุณยิ่งลักษณ์คือ ความนิ่มนวลของผู้หญิง เวลาให้สัมภาษณ์ พูดจาปราศรัย ก็เป็นไปด้วยความนิ่มนวล ตรงนี้ทำให้เอาชนะใจคนได้ นี่คือสิ่งที่คุณทักษิณไม่มี
- แต่ภารกิจแรก ๆ ก็ทำให้คนคิดว่าต้องล้างบางขั้วเก่า
การสลับสับเปลี่ยนได้ คำว่า ล้างบางคือล้างหมดกรุ หากแค่ไม่กี่คนและมีเหตุที่ควรจะทำก็ไม่มีปัญหา ซึ่งใครจะไปก็ต้องให้มีเหตุหน่อย มาก็ต้องมีเหตุหน่อย อย่าให้มาเพราะช่วยตอนหาเสียง
- เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กระบวน การจะเริ่มโดยรัฐบาลใหม่ หรือนำเหตุผลจากรัฐบาลเก่ามาปรับปรุง
ต้องถามว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ แต่ผมคิดว่าเมื่อเป็นรัฐบาลคงไม่เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ถ้าเป็นเรื่องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเคลื่อนไหวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะแล้วแต่เสียงข้างมากของสภาที่จะว่ากัน
ถ้ารัฐบาลกระโดดลงไปทำคงไม่เป็นเรื่องฉลาดนัก เช่น นิรโทษกรรม ยังมองไม่เห็นว่าจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ การทำสิ่งเหล่านั้นจะสวนทางกับความรู้สึกของประชาชน เกิดปัญหากับประเทศ จนกระทั่งการปกครองไม่ปกติสุข
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ยุทธศาสตร์เก่าแก่!!
เพียงแค่, “ประชาธิปัตย์” ยืนเคียงข้างประชาชน เขาก็ได้เป็น “ขวัญใจประชาชน” อย่างแน่..แน่??
แต่ทว่าเดี๋ยวนี้, เขาไม่แคร์ ยืนอยู่มุมเดียวกับ “ปลายกระบอกปืนทหาร” ผิดกับวิญญาณนักการเมืองบรรพบุรุษ ที่กดศรีษะทหารจนอยู่
สัญญาลักษณ์ ระหว่าง “ประชาธิปัตย์” กับ “กองทัพ” เหมือนคู่ปรับ ที่เป็นเหมือนศัตรู
แต่วันนี้, นักการเมืองยุคทศวรรษใหม่ ผลัดใบไม้ ชื่นชม นิยม ยินดี เฮฮาปาร์ตี้ อยู่ข้างทหาร ลืมรากหญ้าที่เป็น รั้วทองแดงกำแพงเหล็ก หนุน “ประชาธิปัตย์” ล้วนเกิดจากพลังชาวบ้าน!!
แต่วันนี้ที่“ประชาธิปัตย์”ถดถอย...เพราะจุดยืนท่านเอนจอย?...คอยรับใช้ “บิ๊กทหาร??
------------------------------
กวนน้ำให้ขุ่น??
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีขี้แพ้...ยังกล้าแบกหน้า มาเป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” อีกหรือคุณ??
พาพรรคแม่ธรณีบีบมวยผม แพ้แบบถล่มทลายให้กับ ดรุณีแรกรุ่น สมัยเดียวที่ลงมาเล่นการเมือง แล้ว “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง
หัวหน้าแก๊งค์ไอติม “อภิสิทธิ์” ทำท่าว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ ที่มีสปิริต จริง
ยอมทิ้งเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” เพื่อให้นักการเมืองรุ่นใหม่-น้ำดี ขึ้นมาสืบสานปณิธาน...แต่สุดท้าย “อภิสิทธิ์” ก็ถ่มน้ำลายรดหน้า ขันอาสากลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีก ในวันที่ ๖ สิงหาฯ!!
ชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบ...อย่าทำตัวเป็นอีแอบ?....ชะแว๊ปกลับมาหลอกหู หลอกตา??
------------------------------
สงครามไม่เกิด!!!
พี่น้องชายแดนชาวไทย และ ชาวเขมร ถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ??
การได้ “รัฐบาลปู๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดูแลชาติบ้านเมือง นอกจากทำให้คนไทยทั้งชาติมีความสุขกันแล้ว ..พี่น้องชายแดนชาวขะแมร์ ถิ่นแดนปลากรอบ ต่างแฮปปี้
แต่ชิชะ, นักการเมืองพรรคบาง พรรคค่าย ต่างตีปี๊บ ว่า “รัฐบาลปู” จะขายแผ่นดินเสียนี่
ทั้งที่เขาเข้า กับ ประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี...เลิกคิดอคติ ด้วยใจอกุศลเสียเหอะ...เพราะบ้านเมืองที่อยู่สงบสุข เป็นสิ่งที่ชาวบ้านทุกคนต้องการ!!!
เลิกโจมตี “ว่าที่นายกฯยิ่งลักษณ์”...เพราะยิ่งโจมตีหนัก?..ท่านจะได้สัญญาลักษณ์ว่าเป็น “ตัวมาร”??
------------------------------
“น้ำ” กับ “น้ำมัน” ที่เข้ากันไม่ได้!!
เพราะ “ตู่” จตุพร พรหมพันธ์ุ อาศัยความเป็นเสื้อแดง กระทบกระแทก จนเกิดเรื่องกินใจ??
ทำให้ “นายพลแม็คอาเธ่อร์” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พี่ใหญ่แห่ง จปร. รุ่น ๗ หงุดหงิด
เรื่องเก่าที่ผ่านมา หวังว่า “บิ๊กพัลลภ” กับ “เสื้อแดง” คงไม่เก็บมาคิด
ควรจะจับมือ และ เดินหน้า แก้ปัญหาที่หมักหมม สะสม อมโรค ที่รัฐบาลเก่า ทิ้งเอาไว้อื้อซ่า เถอะนะ!!!!
ถึงจะกระแทกกันหนัก....ก็ยังไม่แตกหัก?...โถ,ยังขอกันกินมาก กว่านี้ไม่ใช่หรือจ๊ะ??
-------------------------------
รู้ไส้ทุกขด??
เมื่อ “ท่านยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” ก้าวขึ้นมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย” หรือ “มท. ๑” ต่างรู้ไส้ “พรรคประชาธิปัตย์” หมด??
เพราะแต่ก่อนรอนชะไร , “คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” ก็เคยเป็นทัพหน้า ทำงานให้กับ “ท่านชวน หลีกภัย” มาเก่าแก่
ปั้นรากฐาน สนามเลือกตั้งที่ภาคใต้ จนพรรคอื่นถูกประชาชนทิ้ง..มองอย่าไม่เหลียวแล
เมื่อได้ “คุณยงยุทธ” มาเป็น “เจ้าพ่อคลองหลอด” คงจะตีกิน พื้นที่เลือกตั้งถิ่นสะตอ กลับมาเป็น ของ “พรรคเพื่อไทย” ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ มั่งหละนาย!!!
ที่ ปชป.ได้ สส.ภาคใต้กันสุด..สุด..ก็เพราะมี “คุณพี่ยงยุทธ”...เป็นผู้เปิดจุดยุทธศาสตร์ นั่นปะไร??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
------------------------------------
แต่ทว่าเดี๋ยวนี้, เขาไม่แคร์ ยืนอยู่มุมเดียวกับ “ปลายกระบอกปืนทหาร” ผิดกับวิญญาณนักการเมืองบรรพบุรุษ ที่กดศรีษะทหารจนอยู่
สัญญาลักษณ์ ระหว่าง “ประชาธิปัตย์” กับ “กองทัพ” เหมือนคู่ปรับ ที่เป็นเหมือนศัตรู
แต่วันนี้, นักการเมืองยุคทศวรรษใหม่ ผลัดใบไม้ ชื่นชม นิยม ยินดี เฮฮาปาร์ตี้ อยู่ข้างทหาร ลืมรากหญ้าที่เป็น รั้วทองแดงกำแพงเหล็ก หนุน “ประชาธิปัตย์” ล้วนเกิดจากพลังชาวบ้าน!!
แต่วันนี้ที่“ประชาธิปัตย์”ถดถอย...เพราะจุดยืนท่านเอนจอย?...คอยรับใช้ “บิ๊กทหาร??
------------------------------
กวนน้ำให้ขุ่น??
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีขี้แพ้...ยังกล้าแบกหน้า มาเป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” อีกหรือคุณ??
พาพรรคแม่ธรณีบีบมวยผม แพ้แบบถล่มทลายให้กับ ดรุณีแรกรุ่น สมัยเดียวที่ลงมาเล่นการเมือง แล้ว “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง
หัวหน้าแก๊งค์ไอติม “อภิสิทธิ์” ทำท่าว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ ที่มีสปิริต จริง
ยอมทิ้งเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” เพื่อให้นักการเมืองรุ่นใหม่-น้ำดี ขึ้นมาสืบสานปณิธาน...แต่สุดท้าย “อภิสิทธิ์” ก็ถ่มน้ำลายรดหน้า ขันอาสากลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีก ในวันที่ ๖ สิงหาฯ!!
ชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบ...อย่าทำตัวเป็นอีแอบ?....ชะแว๊ปกลับมาหลอกหู หลอกตา??
------------------------------
สงครามไม่เกิด!!!
พี่น้องชายแดนชาวไทย และ ชาวเขมร ถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ??
การได้ “รัฐบาลปู๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดูแลชาติบ้านเมือง นอกจากทำให้คนไทยทั้งชาติมีความสุขกันแล้ว ..พี่น้องชายแดนชาวขะแมร์ ถิ่นแดนปลากรอบ ต่างแฮปปี้
แต่ชิชะ, นักการเมืองพรรคบาง พรรคค่าย ต่างตีปี๊บ ว่า “รัฐบาลปู” จะขายแผ่นดินเสียนี่
ทั้งที่เขาเข้า กับ ประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี...เลิกคิดอคติ ด้วยใจอกุศลเสียเหอะ...เพราะบ้านเมืองที่อยู่สงบสุข เป็นสิ่งที่ชาวบ้านทุกคนต้องการ!!!
เลิกโจมตี “ว่าที่นายกฯยิ่งลักษณ์”...เพราะยิ่งโจมตีหนัก?..ท่านจะได้สัญญาลักษณ์ว่าเป็น “ตัวมาร”??
------------------------------
“น้ำ” กับ “น้ำมัน” ที่เข้ากันไม่ได้!!
เพราะ “ตู่” จตุพร พรหมพันธ์ุ อาศัยความเป็นเสื้อแดง กระทบกระแทก จนเกิดเรื่องกินใจ??
ทำให้ “นายพลแม็คอาเธ่อร์” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พี่ใหญ่แห่ง จปร. รุ่น ๗ หงุดหงิด
เรื่องเก่าที่ผ่านมา หวังว่า “บิ๊กพัลลภ” กับ “เสื้อแดง” คงไม่เก็บมาคิด
ควรจะจับมือ และ เดินหน้า แก้ปัญหาที่หมักหมม สะสม อมโรค ที่รัฐบาลเก่า ทิ้งเอาไว้อื้อซ่า เถอะนะ!!!!
ถึงจะกระแทกกันหนัก....ก็ยังไม่แตกหัก?...โถ,ยังขอกันกินมาก กว่านี้ไม่ใช่หรือจ๊ะ??
-------------------------------
รู้ไส้ทุกขด??
เมื่อ “ท่านยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” ก้าวขึ้นมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย” หรือ “มท. ๑” ต่างรู้ไส้ “พรรคประชาธิปัตย์” หมด??
เพราะแต่ก่อนรอนชะไร , “คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” ก็เคยเป็นทัพหน้า ทำงานให้กับ “ท่านชวน หลีกภัย” มาเก่าแก่
ปั้นรากฐาน สนามเลือกตั้งที่ภาคใต้ จนพรรคอื่นถูกประชาชนทิ้ง..มองอย่าไม่เหลียวแล
เมื่อได้ “คุณยงยุทธ” มาเป็น “เจ้าพ่อคลองหลอด” คงจะตีกิน พื้นที่เลือกตั้งถิ่นสะตอ กลับมาเป็น ของ “พรรคเพื่อไทย” ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ มั่งหละนาย!!!
ที่ ปชป.ได้ สส.ภาคใต้กันสุด..สุด..ก็เพราะมี “คุณพี่ยงยุทธ”...เป็นผู้เปิดจุดยุทธศาสตร์ นั่นปะไร??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
------------------------------------
เสื้อแดงกับเพื่อไทย
กลายเป็นแม่น้ำสองสาย..ที่ไหลไปในทิศทางเดียวกัน แต่แยกกันเป็นสองเส้นทาง..มุ่งสู่ความเป็นประชาธิปไตยของไทย
แม่น้ำสายแรก คือ พรรคเพื่อไทย ในวันที่ได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง..เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง..
แม่น้ำสายที่สองคือ "คนเสื้อแดง"..มหาประชาชนที่หล่อหลอมรวมกันทำการต่อสู้กับอำนาจแปลกปลอมที่มาชุบย้อมประชาธิปไตยของประเทศ..
การต่อสู้ที่ประชาชนมือเปล่าๆ ก้าวเท้าดาหน้าเข้าหาอาวุธสงครามใต้คำสั่งของพรรคประชาธิปัตย์..ศพหนึ่งล้มลงไปต่อหน้า..คนเป็นก็อาสาเข้าเป็นศพต่อไป
มือเปล่าเอาชนะอาวุธสงครามได้..ก็เพราะจิตใจประชาธิปไตย..ที่หลั่งไหลไร้วันจบสิ้น..แถมยังมีแต่เพิ่มเติมเสริมจำนวน
กว่าประชาธิปไตยจะได้มา..ไม่ใช่ของง่าย..ซ้ำซากจำเจกันมาแล้ว หลายครั้งหลายหน..แต่มันก็ยังหมุนวนไปมาไม่รู้จาก
พรรคเพื่อไทย..อำนาจที่ท่านได้ไปเป็นอำนาจของประชาชน..ท่านจึงต้องใช้มันเพื่อประโยชน์ของมหาชน..พรรคเพื่อไทยถึงจะเติบใหญ่ต่อไปได้
พรรคเพื่อไทย..ชัยชนะจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม..หากเป็นประเทศอื่นมันก็เป็นชัยชนะยาวนานจนกว่าจะครบวาระ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว..มันยังเป็นแค่ประกายฟ้าแลบ
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า..ถ้านับเป็นวันของปี..มันก็แค่เศษหนึ่งส่วนสามร้อยหกสิบห้า..อาวุธที่ท่านมี..ก็มีเพียงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง..
สำหรับคนเสื้อแดง..ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย..ไม่ใช่ชัยชนะของคนเสื้อแดง..ชัยชนะของคนเสื้อแดง..คือการสร้างประชาธิปไตยที่ถาวรขึ้นมาให้ได้ในประเทศนี้
มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่คิดว่ามันง่าย ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐบาล..เพราะมันเป็นงานสร้างชาติปูรากฐานเพื่อนำไปสู่การเมืองแห่งอนาคต
เป็นอนาคตที่ให้การต่อสู้โดยที่ยังไม่รู้ว่าศัตรูคนต่อไปจะเป็นใคร
คนเสื้อแดงจึงจะต้อง..หล่อหลอมรวมกันเข้าให้เป็นน้ำหนึ่งเนื้อเดียวกัน..ตั้งแต่แกนนำแถวแรกไปจนถึงผู้มาที่หลังรั้งท้าย
ปฏิเสธมันทั้งสิ้นที่เป็นเผด็จการ..ถึงแม้ว่ามันจะเป็นลูกในไส้ที่เราให้กำเนิดมันมา
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
------------------------------------
แม่น้ำสายแรก คือ พรรคเพื่อไทย ในวันที่ได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง..เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง..
แม่น้ำสายที่สองคือ "คนเสื้อแดง"..มหาประชาชนที่หล่อหลอมรวมกันทำการต่อสู้กับอำนาจแปลกปลอมที่มาชุบย้อมประชาธิปไตยของประเทศ..
การต่อสู้ที่ประชาชนมือเปล่าๆ ก้าวเท้าดาหน้าเข้าหาอาวุธสงครามใต้คำสั่งของพรรคประชาธิปัตย์..ศพหนึ่งล้มลงไปต่อหน้า..คนเป็นก็อาสาเข้าเป็นศพต่อไป
มือเปล่าเอาชนะอาวุธสงครามได้..ก็เพราะจิตใจประชาธิปไตย..ที่หลั่งไหลไร้วันจบสิ้น..แถมยังมีแต่เพิ่มเติมเสริมจำนวน
กว่าประชาธิปไตยจะได้มา..ไม่ใช่ของง่าย..ซ้ำซากจำเจกันมาแล้ว หลายครั้งหลายหน..แต่มันก็ยังหมุนวนไปมาไม่รู้จาก
พรรคเพื่อไทย..อำนาจที่ท่านได้ไปเป็นอำนาจของประชาชน..ท่านจึงต้องใช้มันเพื่อประโยชน์ของมหาชน..พรรคเพื่อไทยถึงจะเติบใหญ่ต่อไปได้
พรรคเพื่อไทย..ชัยชนะจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม..หากเป็นประเทศอื่นมันก็เป็นชัยชนะยาวนานจนกว่าจะครบวาระ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว..มันยังเป็นแค่ประกายฟ้าแลบ
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า..ถ้านับเป็นวันของปี..มันก็แค่เศษหนึ่งส่วนสามร้อยหกสิบห้า..อาวุธที่ท่านมี..ก็มีเพียงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง..
สำหรับคนเสื้อแดง..ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย..ไม่ใช่ชัยชนะของคนเสื้อแดง..ชัยชนะของคนเสื้อแดง..คือการสร้างประชาธิปไตยที่ถาวรขึ้นมาให้ได้ในประเทศนี้
มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่คิดว่ามันง่าย ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐบาล..เพราะมันเป็นงานสร้างชาติปูรากฐานเพื่อนำไปสู่การเมืองแห่งอนาคต
เป็นอนาคตที่ให้การต่อสู้โดยที่ยังไม่รู้ว่าศัตรูคนต่อไปจะเป็นใคร
คนเสื้อแดงจึงจะต้อง..หล่อหลอมรวมกันเข้าให้เป็นน้ำหนึ่งเนื้อเดียวกัน..ตั้งแต่แกนนำแถวแรกไปจนถึงผู้มาที่หลังรั้งท้าย
ปฏิเสธมันทั้งสิ้นที่เป็นเผด็จการ..ถึงแม้ว่ามันจะเป็นลูกในไส้ที่เราให้กำเนิดมันมา
โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
------------------------------------
พรรคการเมืองที่ได้อำนาจจากประชาชน ต้องรอบคอบรัดกุม สุขุม และมีเหตุผล
วิสา คัญทัพ
กระบวนการกำเนิดพรรคการเมือง หากย้อนมองไปในอดีตตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา มีแต่พรรคการเมืองที่ได้อำนาจมาจากอำนาจพิเศษ ทั้งถูกกำกับและแทรกแซง ภายใต้คำแอบอ้าง “ประชาธิปไตย” ทั้งสิ้น
แม้รัฐบาลหลังเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ของนิสิตนักศึกษา 14 ตุลาคม 2516 ที่ได้รัฐบาลพระราชทานนายสัญญา ธรรมศักดิ์ กระทั่งรัฐบาลจากการเลือกตั้งชุดต่อมาคือประชาธิปัตย์ และรัฐบาลหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เป็นรัฐบาลภายใต้การกำกับดูแลจากอำนาจพิเศษ จนถึงรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ยิ่งเข้าสู่ยุคแห่งการวางรากฐานให้กับความมั่นคงของพรรคการเมืองระบบขุนศึกขุนนางอำมาตย์ กระทั่งเมื่อ พลเอกเปรม ต้องลดละเลิกไปเพราะกระแสแห่งพลังประชาชนเรียกร้องต้องการให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งสูงยิ่ง อำมาตย์ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการเลือกตั้งและดูถูกว่าประชาชนโง่ จำต้องถอยออกไปวางแผนอยู่วงนอก ท่ามกลางการต่อสู้ของประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยแท้จริงสืบเนื่องมาตลอด
ประชาชนเรียนรู้และเติบโตขึ้นทุกวัน ต่อสู้ผลักดันจนได้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งสาระสำคัญกำหนดให้พรรคการเมืองหลุดพ้นจากกรอบการกำกับดูแลของอำมาตย์มากที่สุดตั้งแต่เคยมีรัฐธรรมนูญมา เป็นต้นว่า สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็ดี ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง อันทำให้พรรคการเมืองที่มาจากอำนาจประชาชนแข็งแกร่งขึ้น
ต้องพูดว่าพรรคการเมืองพรรคแรกที่ได้อำนาจจากประชาชนอย่างแท้จริง คือ “พรรคไทยรักไทย” เพราะสายธารการต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อเนื่องมาตลอด เรียกร้องการตรวจสอบระบบการเมืองที่เข้มข้นขึ้น จนทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่อำนาจจากประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลได้ครบสี่ปี และพรรคไทยรักไทยก็นำนโยบายที่ได้ประกาศไว้มาทำให้ปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ ประชาชนได้ประโยชน์ ประชาชนเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมว่า “ประชาธิปไตยกินได้” ตรงนี้เท่ากับไปถ่างช่องว่างอำนาจพิเศษให้ห่างไกลออกไปยิ่งขึ้น ซึ่งอำนาจพิเศษเริ่มดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง ปรับเครือข่าย สร้างกำลัง ปลุกระดมโจมตีตามวิธีการที่ถนัด
จากผลงานชัดเจนในสี่ปีที่พรรคไทยรักไทยบริหารชาติบ้านเมือง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น เลือกกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย กลายเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากพรรคเดียวจนทำให้อำนาจพิเศษลุกขึ้นมาต่อต้านโดยวาทกรรม “เผด็จการรัฐสภา” และอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ ที่สุดก็รัฐประหารด้วยกำลังอาวุธโค่นรัฐบาลที่มาจากอำนาจประชาชนและรัฐธรรมนูญ 2540 ลงไป วางโครงสร้างใหม่ สร้างรัฐธรรมนูญปี 2550 ขึ้นมา จากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ประชาชนต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตยมาจะห้าปีเต็มในเดือนกันยายน ปี 2554 นี้ สูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต ทรัพย์สิน และทุกสิ่งทุกอย่างมากมายมหาศาล จนที่สุดประชาชนก็สอนบทเรียนขุนศึกขุนนางอำมาตย์อีกครั้ง ด้วยการลงคะแนนเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยถล่มทลายเกือบสิบหกล้านคน ได้ ส.ส.เกินกว่าครึ่ง ข้อสรุปก็คือ
ต้องทบทวนว่าอำนาจที่พรรคเพื่อไทยได้มานั้น
มองย้อนไปตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย
นับว่า ได้มาจาก ประชาชน อย่างแท้จริง
คือมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้มาจากอำนาจพิเศษ
หลังสุดนี่ต้องใช้คำว่า “ปาดเลือดเนื้อเหงื่อนอง” ของผองพี่น้องเสื้อแดง ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล
เพราะฉะนั้นจะทำอะไรควรไตร่ตรองให้ดี
ไม่ใช่วูบวาบหวั่นไหวไปกับความคิดที่จะปรองดองอย่างถลำตัวถลำใจ
การคัดสรรบุคคลที่จะเข้ามาทำงานในตำแหน่งบริหารต้องรอบคอบ รัดกุม สุขุม และมีเหตุผล ถึงที่สุดแล้วควรเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ใส่ใจแต่ความรู้สึกของอำนาจพิเศษ อย่าลืมว่า พรรคการเมืองพรรคนี้เป็นพรรคการเมืองที่ได้อำนาจจากประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนกำลังจับตามองพรรคอยู่ หากพรรคทำเพื่อประชาชน มวลมหาประชาชนก็จะยืนเคียงข้าง เป็นฐานกำลังสำคัญให้กับพรรค
เราหวังว่า ในสถานการณ์ที่มีรัฐบาลใหม่ พวกท่านทั้งหลายจะร่วมกับประชาชนเดินหน้าต่อไป ต่อยอดดอกใบประชาธิปไตยให้เต็มต้น เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 เครื่องไม้เครื่องมือและกลไกของระบอบอำมาตย์ อุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย ภายในเวลาไม่นานนัก ด้วยการเป็นเจ้าภาพเสนอทำประชามติให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม
*****************************************
กระบวนการกำเนิดพรรคการเมือง หากย้อนมองไปในอดีตตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา มีแต่พรรคการเมืองที่ได้อำนาจมาจากอำนาจพิเศษ ทั้งถูกกำกับและแทรกแซง ภายใต้คำแอบอ้าง “ประชาธิปไตย” ทั้งสิ้น
แม้รัฐบาลหลังเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ของนิสิตนักศึกษา 14 ตุลาคม 2516 ที่ได้รัฐบาลพระราชทานนายสัญญา ธรรมศักดิ์ กระทั่งรัฐบาลจากการเลือกตั้งชุดต่อมาคือประชาธิปัตย์ และรัฐบาลหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เป็นรัฐบาลภายใต้การกำกับดูแลจากอำนาจพิเศษ จนถึงรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ยิ่งเข้าสู่ยุคแห่งการวางรากฐานให้กับความมั่นคงของพรรคการเมืองระบบขุนศึกขุนนางอำมาตย์ กระทั่งเมื่อ พลเอกเปรม ต้องลดละเลิกไปเพราะกระแสแห่งพลังประชาชนเรียกร้องต้องการให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งสูงยิ่ง อำมาตย์ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการเลือกตั้งและดูถูกว่าประชาชนโง่ จำต้องถอยออกไปวางแผนอยู่วงนอก ท่ามกลางการต่อสู้ของประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยแท้จริงสืบเนื่องมาตลอด
ประชาชนเรียนรู้และเติบโตขึ้นทุกวัน ต่อสู้ผลักดันจนได้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งสาระสำคัญกำหนดให้พรรคการเมืองหลุดพ้นจากกรอบการกำกับดูแลของอำมาตย์มากที่สุดตั้งแต่เคยมีรัฐธรรมนูญมา เป็นต้นว่า สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็ดี ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง อันทำให้พรรคการเมืองที่มาจากอำนาจประชาชนแข็งแกร่งขึ้น
ต้องพูดว่าพรรคการเมืองพรรคแรกที่ได้อำนาจจากประชาชนอย่างแท้จริง คือ “พรรคไทยรักไทย” เพราะสายธารการต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อเนื่องมาตลอด เรียกร้องการตรวจสอบระบบการเมืองที่เข้มข้นขึ้น จนทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่อำนาจจากประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลได้ครบสี่ปี และพรรคไทยรักไทยก็นำนโยบายที่ได้ประกาศไว้มาทำให้ปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ ประชาชนได้ประโยชน์ ประชาชนเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมว่า “ประชาธิปไตยกินได้” ตรงนี้เท่ากับไปถ่างช่องว่างอำนาจพิเศษให้ห่างไกลออกไปยิ่งขึ้น ซึ่งอำนาจพิเศษเริ่มดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง ปรับเครือข่าย สร้างกำลัง ปลุกระดมโจมตีตามวิธีการที่ถนัด
จากผลงานชัดเจนในสี่ปีที่พรรคไทยรักไทยบริหารชาติบ้านเมือง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น เลือกกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย กลายเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากพรรคเดียวจนทำให้อำนาจพิเศษลุกขึ้นมาต่อต้านโดยวาทกรรม “เผด็จการรัฐสภา” และอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ ที่สุดก็รัฐประหารด้วยกำลังอาวุธโค่นรัฐบาลที่มาจากอำนาจประชาชนและรัฐธรรมนูญ 2540 ลงไป วางโครงสร้างใหม่ สร้างรัฐธรรมนูญปี 2550 ขึ้นมา จากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ประชาชนต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตยมาจะห้าปีเต็มในเดือนกันยายน ปี 2554 นี้ สูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต ทรัพย์สิน และทุกสิ่งทุกอย่างมากมายมหาศาล จนที่สุดประชาชนก็สอนบทเรียนขุนศึกขุนนางอำมาตย์อีกครั้ง ด้วยการลงคะแนนเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยถล่มทลายเกือบสิบหกล้านคน ได้ ส.ส.เกินกว่าครึ่ง ข้อสรุปก็คือ
ต้องทบทวนว่าอำนาจที่พรรคเพื่อไทยได้มานั้น
มองย้อนไปตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย
นับว่า ได้มาจาก ประชาชน อย่างแท้จริง
คือมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้มาจากอำนาจพิเศษ
หลังสุดนี่ต้องใช้คำว่า “ปาดเลือดเนื้อเหงื่อนอง” ของผองพี่น้องเสื้อแดง ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล
เพราะฉะนั้นจะทำอะไรควรไตร่ตรองให้ดี
ไม่ใช่วูบวาบหวั่นไหวไปกับความคิดที่จะปรองดองอย่างถลำตัวถลำใจ
การคัดสรรบุคคลที่จะเข้ามาทำงานในตำแหน่งบริหารต้องรอบคอบ รัดกุม สุขุม และมีเหตุผล ถึงที่สุดแล้วควรเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ใส่ใจแต่ความรู้สึกของอำนาจพิเศษ อย่าลืมว่า พรรคการเมืองพรรคนี้เป็นพรรคการเมืองที่ได้อำนาจจากประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนกำลังจับตามองพรรคอยู่ หากพรรคทำเพื่อประชาชน มวลมหาประชาชนก็จะยืนเคียงข้าง เป็นฐานกำลังสำคัญให้กับพรรค
เราหวังว่า ในสถานการณ์ที่มีรัฐบาลใหม่ พวกท่านทั้งหลายจะร่วมกับประชาชนเดินหน้าต่อไป ต่อยอดดอกใบประชาธิปไตยให้เต็มต้น เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 เครื่องไม้เครื่องมือและกลไกของระบอบอำมาตย์ อุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย ภายในเวลาไม่นานนัก ด้วยการเป็นเจ้าภาพเสนอทำประชามติให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม
*****************************************
คืนที่ ปู. นอนไม่หลับ !!?
เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
เชื่อว่าคืนวันที่ 4 ต่อเนื่องวันที่ 5 ส.ค.สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น่าจะเป็นวันคืนที่น่าตื่นเต้นพอดู เพราะรุ่งขึ้นคือวันที่ 5 ส.ค.จะเป็นวันที่สภาผู้แทนฯนัดหมายกันโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเธออยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลาจริงๆ ไม่ว่าใครก็ตามมันก็อดที่จะมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นไม่ได้
ต้องไม่ลืมว่าด้วยประสบการณ์ทางการเมืองแค่ 40 วันเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า จากเดิมที่เป็นสาวสังคม ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ในความเป็นจริงมี “พี่เลี้ยง” ที่ถูกคัดเลือกมาคอยดูแลไว้พร้อมสรรพอยู่แล้ว จู่ๆก็กำลังจะกลายเป็น นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย กลายเป็น “สถิติประวัติศาสตร์” เพียงชั่วข้ามคืน เป็นใครก็ต้องนอนไม่หลับเป็นธรรมดา
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องระทึกใจยิ่งกว่าก็คือ นับจากที่เธอได้เป็นนายกฯหญิงของไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงตอนนั้นทุกสายตาจะจับจ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว ไม่ว่าจะกระดิกตัวไปทางไหนก็ถูกมองตามไม่กระพริบ ถูกตั้งคำถามตลอดเวลา และคำตอบจะเป็นแบบอ้อมไปอ้อมมาเหมือนก่อนหน้านี้คงไม่ได้แล้ว เช่น บอกว่า “จะทำให้ดีที่สุด” หรือ “เราต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ” เลี่ยงๆแบบเดิมคงไม่ได้
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำเป็นอันดับแรกของ ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่โฉมหน้าครม.ชุด “ปู 1” ว่าจะออกมาอย่างไร ถ้าเริ่มต้นด้วยเสียง “ยี้” แล้วละก็ อย่าว่าแต่ 6 เดือนตามที่มีคนคาดการณ์อายุของรัฐบาลนี้เลย มันอาจพังก่อนกำหนดก็ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าการคาดหวังของชาวบ้านนั้นสูงมาก สูงจนอันตราย และที่สำคัญพัฒนาการทางการเมืองของคนไทยนั้นถือว่าก้าวกระโดด โดยเฉพาะพวกเสื้อแดงนั่นแหละ แต่ที่ผ่านมาถูกปิดบังอำพราง สร้างกระแสบิดเบือน แต่ตราบใดก็ตามเมื่อได้เจอกับของจริงที่น่าผิดหวังแล้วละก็จะกลายเป็น “บูมเมอแรง” ย้อนกลับมาได้ตลอดเวลา
อีกด้านหนึ่งไม่น่าเชื่อว่าความเคลื่อนไหวฟอร์ม ครม.ยังไม่นิ่ง แม้ว่าผ่านไปกว่าเดือนเศษแล้ว ทั้งที่น่าจะมีรายชื่ออยู่ในใจตั้งแต่แรก แต่กลายเป็นว่ามีการถอดเข้าถอดออกอยู่หลายรอบ คนที่มีชื่อโผล่ในตอนแรก ตอนหลังกลับหายไปเฉยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ความคาดหวัง” จากสังคมนี่แหละจึงต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์มาก่อน อย่างเช่น วิชิต สุรพงษ์ชัย ล่าสุดข่าวว่ามานั่งรองนายกฯควบรองนายกฯ มันก็เป็นไปได้ เพราะ “ซี้เก่า” ทางธุรกิจเกื้อหนุนกันมา แต่ที่น่าจับตาก็คือ รมว.กลาโหมที่จนถึงนาทีนี้ยังไม่ลงตัว ต้องเขย่า ต้องยกหู “เคลียร์” กันไปหลายรอบแล้ว รายหลังสุดปล่อยชื่อมาว่าจะเป็น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา แต่เอาเข้าจริงทำท่าจะแผ่วลงไปอีก และมาโผล่ที่ “เสี่ยหมง” พล.อ.มงคล อัมพรพิศิษฐ์ อีกรอบ นัยว่าจะใช้ความใกล้ชิดกับ “ป๋า” ทำทางไปหา “ศูนย์กลาง” ว่ากันอย่างนั้น
แต่ที่เมาท์กันให้แซดทั้งตลาดก็คือมีชื่อของ “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ติดโผ รมว.พลังงานด้วย นี่สิไม่ธรรมดา ที่ต้องพูดแบบนั้นก็เพราะในช่วงเวลาใกล้เคียงกันดันมีข่าวทำนองว่า มี “ชายไฝ” คนหนึ่งทุ่มเงิน “จ้างตัวเอง” ด้วยตัวเลขสิบหลักขออาสาเป็นเสนาบดีเพื่อมานั่ง “ทับขี้” ระหว่างที่นั่งบริหารรัฐวิสาหกิจบางแห่งเสียด้วย เรื่องมันจึงพิลึกไม่ธรรมดา ชวนติดตามจริงๆ พับผ่า !!
ที่มา: ผู้จัดการ
********************************
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554
พูดได้ทำได้ !!?
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2554 เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศและนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะไม่เกินวันที่ 6 สิงหาคม ซึ่งมีรายชื่ออยู่แล้วว่าจะให้ใครดำรงตำแหน่งใด กระทรวงไหน โดยยืนยันจะไม่มีคำว่า “ยี้” แน่นอน เพราะทุกคนเชื่อถือได้ ดังนั้น การจัดตั้งรัฐบาลจึงไม่ถือว่าล่าช้า แม้ที่ผ่านมาจะมีข่าวการวิ่งเต้นจากสายต่างๆ รวมถึงการออกมาแสดงความเห็นต่างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องปรกติ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า หลังจากได้คณะรัฐมนตรีก็จะเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ทันที โดยช่วง 3 เดือนแรกจะพูดหรือให้สัมภาษณ์สื่อน้อยลง เพื่อมีเวลาทำงานมากขึ้น และถ้าคณะรัฐมนตรีไม่มีปัญหาก็จะสามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ออกมาเป็นรูปธรรมก่อน เรื่องแรกคือ ปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพักหนี้ หรือค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท จะต้องทำออกมาให้ได้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากผู้ประกอบการหลายกลุ่ม แต่ประชาชนและแรงงานต่างมั่นใจว่ารัฐบาลทำได้ และจะไม่กระทบกับผู้ประกอบการหรือเศรษฐกิจโดยรวมอย่างที่ผู้ประกอบการออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์และเครือซิเมนต์ไทยออกมายืนยันว่าทำได้ จึงไม่น่ามีปัญหามากนัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ยอมรับว่าไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ จึงพร้อมจะพูดคุยและขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีความรู้ความสามารถมากมาย โดยจะเดินสายพบและพูดคุยกับนักธุรกิจรายใหญ่ๆทันทีที่เริ่มทำงาน ท่าทีดังกล่าวถือว่าเป็นจุดแข็งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะไม่ใช่แค่มีความนิ่งและความนอบน้อมเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนประนีประนอม ไม่ก้าวร้าว หรือคิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว โดยเฉพาะการเดินสายและเปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยงานด้วยนั้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการแก้ปัญหาบ้านเมืองที่มีมากมาย รวมถึงความขัดแย้งที่ยังฝังรากลึก ซึ่งหลายฝ่ายยังวิตกกังวลว่ากลุ่มเกลียดทักษิณจะพยายามสร้างเงื่อนไขออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือกรณีคนเสื้อแดงที่จะต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาและค้นหาความจริงเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภำมหิต” นั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และต้องใช้เวลาก็ตาม แต่ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใสจริง ก็เชื่อว่าความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น อย่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวเข้าสู่การเมืองว่าจะ “แก้ไข ไม่แก้แค้น” ถือเป็นสัญญาประชาคมสำคัญที่จะนำบ้านเมืองสู่ความปรองดองได้ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพูดได้ ทำได้ ไม่ใช่ดีแต่พูด ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ********************************************************************** |
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ท้าทายอำนาจรัฐ!!
ชี้นิ้ว, สั่งปลด พ้นตำแหน่งใน ๒๔ ชั่วโมง กันกลางอากาศ??
คงจำความเฉียบขาด, สมัยที่ “ท่านชวน หลีกภัย” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ย้าย “พล.อ.วิชิต ยาทิพย์” ขุนศึกคู่ใจ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” กันกลางสภากลาโหม
ไม่ปล่อยให้ “นายทหารคนใด” มาท้ายทายอำนาจรัฐ อย่างไม่เหมาะสม
ถึง “บิ๊กชวน” จะเป็นพลเรือน ไม่มีดีกรี เป็น “พลเอก” หรือ “จอมพล” แต่ประการใด แต่ก็ใช้อำนาจ ควบคุมทหาร ให้อยู่ในวินัยแห่งกองทัพ!!!
ทหารก็เหมือนกับม้า...เมื่อพยศขึ้นมา?...ก็ต้องปลดวันละสามเวลา เสียให้จั๋งหนับ??
------------------------------
อำนาจเป็นของ “ประชาชน”!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็แค่มีอำนาจคุมกำลังพล??
ขอบิณฑบาตกันสักครั้ง เลิกเอะอะมะเทิ่ง “ว่าทำกันอย่างนี้ แล้วจะอยู่กันอย่างไร”??
ท่านมีอำนาจคุมเพียงกองทัพบก ไม่ใช่ “ผู้นำประเทศ” เมื่อคิดจะเซดอะไรออกมา .. “ควรคิดใหม่ และทำใหม่”
ถึงการแสดงจุดยืน อย่างขวานผ่าซาก...แต่ก็ต้องเข้าใจจุดยืนของ “ประชาชน” ที่เขาเลือก “พรรคเพื่อไทย” ๑๕ ล้านเสียงให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกฯหญิงคนแรก เสียด้วย!
ทหารอย่าเล่นบทเกิน..เฮี้ยวนักก็ดูจะไม่เพลิน?..แล้วจะเดินไปกับรัฐบาล ได้ไงอย่างสดสวย
------------------------------
“ดาวอังคาร” ถอยกรูด!!
ทางเกจิโหราจารย์ ทักทายว่า “ทหาร” เรี่ยวแรงกำลังทรุด??
ก่อนหน้าวันที่ ๒๖ กรกฎาคม เห็นกันอยู่แล้ว ฮ.ตกร่วงผล็อย ๓ ลำติด ๆ ..ขุนพลผู้กล้าพลีชีพไป ๑๗ชีวิต และมีพลเรือนช่างภาพดับสูญ ไปอีก ๑ คน
จากหลังที่ ๒๖ กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป... “ดาวอังคาร” ส่งผลให้ กำลังทหารเฉื่อย ไม่มีอิทธิพล
ยิ่งไปชน, ถึง กลางเดือนตุลาคมด้วยแล้ว “ทหาร” จะยิ่งเละเป็นแป้ง กำลังอ่อนล้า อย่างไม่เคยมีมา...จะไปเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ก็ปีหน้าในเดือนพฤษภาฯปีหน้า ถึงจะเลิกหมองมัว!!!
ฉะนั้น,ทหารที่แข็งข้อกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”..ระวังดวงจะทรุดหนัก?..เก้าอี้หักไม่รู้ตัว??
------------------------------
“กางมุ้ง”ในพรรค!!
จริงอยู่โอกาส ของ “เสี่ยเพ้ง” พงศ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คนรู้ใจ “ทักษิณชินวัตร” มีอยู่เป็นอันมากส์??
แต่เป็นห่วง ที่ “เสี่ยเพ้ง” ไปจับมือกับ นักการเมืองเก่านักล็อบบี้ยีสต์ ผู้มีสายสนิทชิดเชื้อกลมเกลียว กับ “สายจีน” มาทำตัวเป็นใหญ่ในพรรคเพื่อไทย
ที่หมายมั่นปั้นมือ ตีตั๋วจองเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” บางที อาจไม่ได้
จะคิดทำการอะไร?.. “เสี่ยเพ้ง” อย่าให้จุ้นจ้านมากนักเลย...ถึงจะเป็นเพื่อนคู่คิด-มิตรคู่ใจ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนทะเลทราย ก็ควรทำตัว ให้สงบ!!!
ดังนั้นขอกระซิบไปถึง “เสี่ยเพ้ง”....ถ้ายังทำตัวล้งเล้ง?...บอกได้เลยว่าตัวเองนั้น จะจบ??
------------------------------
“เนื้อหอม” ผลงานมีเข้าตา!!
“คุณพี่นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” มีคนจับจองเก้าอี้รัฐมนตรีมาให้มากนักดา??
“กระทรวงไอซีที” คุมการสื่อสาร คนก็อยากให้เข้าไปเป็น
“รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” หน้าที่ดูแลสื่อ คนก็หนุนกัน เช้าเย็น
แต่เก้าอี้ที่ดูแล้วเห็นว่าเหมาะสุด น่าจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” ที่นักการนักคิดนักปฏิบัติ มือฉมัง เข้ามาคุม!!!
ได้ “คุณนิวัฒน์ธำรง”ไปนั่งตำแหน่ง..รับประกันว่าไม่มี “ฝูงแร้ง”?..ยื้อแย่งเข้าไปรุม??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
******************************************
คงจำความเฉียบขาด, สมัยที่ “ท่านชวน หลีกภัย” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ย้าย “พล.อ.วิชิต ยาทิพย์” ขุนศึกคู่ใจ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” กันกลางสภากลาโหม
ไม่ปล่อยให้ “นายทหารคนใด” มาท้ายทายอำนาจรัฐ อย่างไม่เหมาะสม
ถึง “บิ๊กชวน” จะเป็นพลเรือน ไม่มีดีกรี เป็น “พลเอก” หรือ “จอมพล” แต่ประการใด แต่ก็ใช้อำนาจ ควบคุมทหาร ให้อยู่ในวินัยแห่งกองทัพ!!!
ทหารก็เหมือนกับม้า...เมื่อพยศขึ้นมา?...ก็ต้องปลดวันละสามเวลา เสียให้จั๋งหนับ??
------------------------------
อำนาจเป็นของ “ประชาชน”!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็แค่มีอำนาจคุมกำลังพล??
ขอบิณฑบาตกันสักครั้ง เลิกเอะอะมะเทิ่ง “ว่าทำกันอย่างนี้ แล้วจะอยู่กันอย่างไร”??
ท่านมีอำนาจคุมเพียงกองทัพบก ไม่ใช่ “ผู้นำประเทศ” เมื่อคิดจะเซดอะไรออกมา .. “ควรคิดใหม่ และทำใหม่”
ถึงการแสดงจุดยืน อย่างขวานผ่าซาก...แต่ก็ต้องเข้าใจจุดยืนของ “ประชาชน” ที่เขาเลือก “พรรคเพื่อไทย” ๑๕ ล้านเสียงให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกฯหญิงคนแรก เสียด้วย!
ทหารอย่าเล่นบทเกิน..เฮี้ยวนักก็ดูจะไม่เพลิน?..แล้วจะเดินไปกับรัฐบาล ได้ไงอย่างสดสวย
------------------------------
“ดาวอังคาร” ถอยกรูด!!
ทางเกจิโหราจารย์ ทักทายว่า “ทหาร” เรี่ยวแรงกำลังทรุด??
ก่อนหน้าวันที่ ๒๖ กรกฎาคม เห็นกันอยู่แล้ว ฮ.ตกร่วงผล็อย ๓ ลำติด ๆ ..ขุนพลผู้กล้าพลีชีพไป ๑๗ชีวิต และมีพลเรือนช่างภาพดับสูญ ไปอีก ๑ คน
จากหลังที่ ๒๖ กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป... “ดาวอังคาร” ส่งผลให้ กำลังทหารเฉื่อย ไม่มีอิทธิพล
ยิ่งไปชน, ถึง กลางเดือนตุลาคมด้วยแล้ว “ทหาร” จะยิ่งเละเป็นแป้ง กำลังอ่อนล้า อย่างไม่เคยมีมา...จะไปเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ก็ปีหน้าในเดือนพฤษภาฯปีหน้า ถึงจะเลิกหมองมัว!!!
ฉะนั้น,ทหารที่แข็งข้อกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”..ระวังดวงจะทรุดหนัก?..เก้าอี้หักไม่รู้ตัว??
------------------------------
“กางมุ้ง”ในพรรค!!
จริงอยู่โอกาส ของ “เสี่ยเพ้ง” พงศ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คนรู้ใจ “ทักษิณชินวัตร” มีอยู่เป็นอันมากส์??
แต่เป็นห่วง ที่ “เสี่ยเพ้ง” ไปจับมือกับ นักการเมืองเก่านักล็อบบี้ยีสต์ ผู้มีสายสนิทชิดเชื้อกลมเกลียว กับ “สายจีน” มาทำตัวเป็นใหญ่ในพรรคเพื่อไทย
ที่หมายมั่นปั้นมือ ตีตั๋วจองเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” บางที อาจไม่ได้
จะคิดทำการอะไร?.. “เสี่ยเพ้ง” อย่าให้จุ้นจ้านมากนักเลย...ถึงจะเป็นเพื่อนคู่คิด-มิตรคู่ใจ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนทะเลทราย ก็ควรทำตัว ให้สงบ!!!
ดังนั้นขอกระซิบไปถึง “เสี่ยเพ้ง”....ถ้ายังทำตัวล้งเล้ง?...บอกได้เลยว่าตัวเองนั้น จะจบ??
------------------------------
“เนื้อหอม” ผลงานมีเข้าตา!!
“คุณพี่นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” มีคนจับจองเก้าอี้รัฐมนตรีมาให้มากนักดา??
“กระทรวงไอซีที” คุมการสื่อสาร คนก็อยากให้เข้าไปเป็น
“รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” หน้าที่ดูแลสื่อ คนก็หนุนกัน เช้าเย็น
แต่เก้าอี้ที่ดูแล้วเห็นว่าเหมาะสุด น่าจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” ที่นักการนักคิดนักปฏิบัติ มือฉมัง เข้ามาคุม!!!
ได้ “คุณนิวัฒน์ธำรง”ไปนั่งตำแหน่ง..รับประกันว่าไม่มี “ฝูงแร้ง”?..ยื้อแย่งเข้าไปรุม??
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
******************************************
นางร้องให้.. ธรรมเนียมที่หายไป จากการพระศพเจ้านาย !!?
“นางร้องให้” เป็นอีกธรรมเนียมหนึ่งในพิธีของราชสำนัก ที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยแต่ผู้ล่วงลับ
การมีนางร้องให้ในราชสำนักอาจได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากชนชาติ “มอญ” ในประเพณีมอญมีพวกรับจ้างร้องให้ มีเสียงร้องทำนองโอดครวญ จนนำมาตั้งเป็นชื่อทำนองเพลงว่า “มอญร้องให้”
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐานการมีนางร้องให้ในคำให้การ “ขุนหลวงหาวัด” อธิบายถึงการจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ว่าได้เกณฑ์นางสนมกำนัลมาเป็นนางร้องให้ ซึ่งในการร้องให้จะควบคู่การประโคมมโหรีปี่พาทย์ ดังนี้ ...
“แล้วจึงกะเกณฑ์ให้พระสนมกำนับทั้งปวงมานั่งห้อมล้อมพระบรมศพ แล้วก็ร้องให้เปนเวลาหน้าที่เปนอันมาก แล้วมีนางขับรำเกณฑ์ทำมโหรี กำนัลนารีน้อยๆ งามๆ ดั่งกินนร กินนรี มานั่งห้อมล้อม ขับรำทำเพลงอยู่เปนอันมาก แล้วจึงให้ประโคมฆ้อง กลอง แตรสังข์ และมโหรีปี่พาทย์อยู่ทุกเวลา”
ธรรมเนียมการพระศพนี้ ทำสืบเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็นพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ซึ่งมีนางร้องให้ และประโคมกลองชนะตามเวลา เหมือนอย่างพระมหากษัตริย์แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
วิธีการร้องให้ต้องใช้คนจำนวนมาก ส่วนใหญจะใช้นางพระสนม นางพระกำนัล หรือผู้ที่ได้ถวายตัว มีต้นเสียง 4 คน และมีคู่ร้องรับประมาณ 80-100 คน
ครั้งสุดท้ายที่มี “นางร้องให้” ตามราชประเพณี คืองานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัด “นางร้องให้” คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี โดยให้เจ้าจอมและพนักงานคอยร้องให้ตามบท ในเวลาประโคมย่ำยาม คือ ย่ำรุ่ง เที่ยง ย่ำค่ำ ยาม สองยาม สามยาม มีเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมพระองค์สุดท้ายในรัชกาลที่ 5 เป็นต้นเสียงร้องนำ
เนื้อหาของคำร้องให้ เป็นการถวายความจงรักภักดี ที่เหล่าข้าบาทบริจาริกาขอตามไปปรนนิบัติยังสรวงสวรรค์ และถึงกับมีเรื่องเล่าในราชสำนัก ตามที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าไว้ในหนังสือประวัติต้นรัชกาลที่ 6 ว่า ...
“ได้ยินเขาเล่ากันว่า ทูลกระหม่อมปู่ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) เมื่อเสด็จลงไปเยี่ยมพระบรมศพเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 ได้ทรงฟังนางร้องให้ มีกระแสท้วงว่า..ถ้าใครๆ ก็จะขอตามเสด็จไปเสียหมดแล้วใครจะอยู่รับใช้พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่เล่า? .. ครั้งนั้นเลยต้องงดนางร้องให้ ในเวลาที่ทูลกระหม่อมปู่เสด็จลงไปอยู่ที่พระมหาปราสาท”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็ว่า “ให้รู้สึกรกหูเสียจริงๆ และร้องซ้ำไปซ้ำมา ไม่เป็นการร้องให้จริงๆ กับทั้งยังส่งเสียงรบกวนเวลาที่พระกำลังถวายพระธรรมเทศนา รวมไปถึงความประพฤติของผู้ที่ไปฟังและตัวของนางร้องให้เอง ที่แสดงกิริยาขาดความเคารพในกาละเทศะ อย่างยิ่ง”
ความไม่เหมาะสมหลายประการ ที่ไม่ต้องด้วยพระราชนิยม ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้า ทรงมีพระราชดำริที่จะยกเลิกธรรมเนียมการพระบรมศพดังกล่าว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ทรงเขียนเล่าไว้ว่า “ฉันเองโดนเข้าอย่างนั้น ก็โกรธและต้องสั่งให้หยุดเหมือนกัน แต่มีคนที่ชอบนางร้องให้ก็มีมาก เพราะเหตุต่างๆ พวกชนชั้นเก่า มีกรมนราธิปเปนต้น ชอบเพราะเห็นว่าหรู ในพวกชั้นใหม่ๆ ไปฟังกันแน่นๆ เพราะไม่เคยฟัง จึ่งอยากฟังฉนั้นก็มี แต่ที่ไปฟังสำหรับความต้องการส่วนตัวก็มี เช่นผู้ชายไปฟังเพราะอยากเห็นตัวนางร้องให้ หรือถือเปนโอกาสไปพบปะผู้หญิงที่ไปฟังนางร้องให้อีกต่อหนึ่ง นับว่าเป็นการฟังนางร้องให้เท่ากับไปฟังสังคีตและกรอกัน”
“...ฝ่ายตัวผู้เปนนางร้องให้เองก็ออกจะถือเปนโอกาสในการประชุมคุยกัน คล้ายไปสโมสร ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ นันฉันจึ่งเกลียดนางร้องให้ และสั่งไว้ว่า เมื่อถึงงานศพฉันขออย่าให้มีนางร้องให้เลย”
............................
อิศรินทร์ หนูเมือง/เรียบเรียงจาก หนังสือธรรมเนียมพระบรมศพ และพระศพเจ้านาย : สำนักพิมพ์มติชน 2551
//////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วิชิต สายตรง ทักษิณ..ยึดเก้าอี้คลังคุมเศรษฐกิจ !!?
เปิดโผ รมต.เศรษฐกิจคนนอก"วิชิต สุรพงษ์ชัย"ผงาดรมว.คลัง จ่อควบรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ จับตา "โอฬาร" ถอนตัวขออยู่เบื้องหลังนายกฯ
ความคืบหน้าในการวางตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย หลังจากได้ข้อสรุปตำแหน่งประธานสภาและรอง 2 คนแล้ว แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ล่าสุด ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (ครม.) บางส่วนเริ่มชัดเจนแล้ว
โดยในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจมีข้อสรุปบางตำแหน่งที่เป็นคนนอกพรรคแล้ว โดยบุคคลที่จะนั่งตำแหน่ง รมว.คลัง คือ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) ธนาคารไทยพาณิชย์ ในปัจจุบัน และอาจได้รับการพิจารณาให้ควบรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ทีมเศรษฐกิจคนในของพรรค
โดยผู้ที่ดึงนายวิชิต เข้ามา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากความรู้ความสามารถ มีบารมีทางการเงินการธนาคารมายาวนาน และมีภาพพจน์ที่ดีไม่มีกระแสต้านแล้ว ดร.วิชิตยังสนิทกับพ.ต.ท.ทักษิณ จน พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้วางใจอย่างมาก
ดร.วิชิต เคยรับตำแหน่ง รมว.คมนาคม ระหว่างปี 2537-2538 ในโควตาพรรคพลังธรรม หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลประชาธิปัตย์ในสมัยรัฐบาลชวน 1 โควตาของพรรคพลังธรรม ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
"บัณฑูร"ดูงบฯ-"ธีระชัย"จ่อรมช.คลัง
ขณะที่ นายบัณฑูร สุภัควณิช อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกวางตัวให้อยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โควตาคนนอก แน่นอนแล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่า จะวางตัวให้นั่ง รมช.คลัง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยภารกิจหลักที่ทางพรรคต้องการให้นายบัณฑูรดูแล คือ เรื่องงบประมาณโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมานายบัณฑูร ได้เข้าร่วมประชุมและทำงานกับทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่องระยะหนึ่งแล้ว
เช่นเดียวกับนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่กำลังจะครบวาระตำแหน่งในเร็วๆ นี้ ก็ถูกวางตัวเป็น รมช.คลัง แล้ว
"กิตติรัตน์"จ่อรมว.พาณิชย์-"วิรุฬ"รมช.
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ที่ชัดเจนแล้วว่าจะเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์แน่นอน โดยแกนนำพรรคอยู่ระหว่างพิจารณาตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ให้ ส่วนนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นคนใน ถูกวางตัว รมช.พาณิชย์
ยังไม่สรุปตำแหน่ง "โอฬาร"
ส่วน ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญในทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงเลือกตั้งนั้น ยังไม่มีข้อสรุป โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดนายโอฬาร เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางพรรคยังไม่ได้แจ้งว่าดร.โอฬารจะได้ไปนั่งกระทรวงใด โดยที่ผ่านมาดร.โอฬารได้ทำงาน ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจภาพรวม และไม่เคยแสดงท่าทีว่าอยากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด และก็ยังไม่ได้แจ้งขอสละสิทธิ์ตำแหน่งรัฐมนตรี
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคเพื่อไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในการหารือของแกนนำพรรค เบื้องต้นเห็นว่า ดร.โอฬารน่าจะนั่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ดูแลในภาพรวม เพราะแนวคิดของนายโอฬารบางประเด็นไม่เห็นด้วยกับนโยบายสำคัญด้านเศรษฐกิจของพรรค ที่ใช้ในการหาเสียง จึงอาจมีปัญหาในการทำงาน
จึงมีแกนนำบางส่วนเห็นว่า ดร.โอฬารควรไปนั่ง รมว.ศึกษาธิการ
ขณะเดียวกันก็มีอีกกระแสข่าวระบุว่า ดร.โอฬาร อาจปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งในครม.โดยอ้างว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ และอาจจะยอมรับเพียงฐานะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เท่านั้น และขอทำงานอยู่เบื้องหลัง
"สุชาติ"ลุ้นรองนายกฯ
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ส่วนทีมเศรษฐกิจ ที่เป็นคนในพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆ เช่น ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง จะมีตำแหน่งในครม.แน่นอน โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะให้ไปนั่งรองนายกรัฐมนตรี ดูแลเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า หรือนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดบี
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เมื่อ ยิ่งลักษณ์แพ้คดี 100 ล้าน. วันที่ ทักษิณ. กราบบังคมทูล คุณหญิงอ้อ ในบทกุนซือ ชินวัตร.!!?
วันที่นักการเมืองไม่มีอำนาจ ปากกับใจของเขาจะตรงกัน
"วิษณุ เครืองาม" วันพ้นดงการเมือง ปากกา-ใจ ถูกถ่ายทอดเป็นตัวอักษร เห็นภาพ เห็นฉาก และเห็นตัวละคร
เขาเล่าประสบการณ์-ความเกี่ยวพันในการให้บริการทางเนติครั้งสุดท้าย หลังครองเก้าอี้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมา 9 ปี
เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนักเรียนทุนรุ่นเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกันรู้เรื่อง และในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอให้ "วิษณุ" ลาออกจากความเป็นข้าราชการประจำ เหตุเกิดหลังปี 2545 ยุคที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" พ้นพงหนามคดี "ซุกหุ้น"
เขาเล่าว่า "วันหนึ่งมีคดีระหว่างองค์การโทรศัพท์กับบริษัทของคุณทักษิณ ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นซีอีโอ พิพาทกันเป็นเงินนับร้อยล้าน เรื่องต้องส่งให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา ทางองค์การตั้ง คุณชัยเกษม นิติสิริ เป็นอนุญาโตตุลาการ บริษัทตั้งอัยการเก่าอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนเลือกผมมาเป็นประธานอนุญาโตฯ แต่ละคนตัดสินใจให้แต่ละฝ่ายชนะ ผมกลายเป็นคนที่ต้องชี้ขาด โดยเห็นด้วยกับฝ่ายองค์การ ให้องค์การชนะสองต่อหนึ่ง"
"...เมื่ออีกหลายปีต่อมา คุณทักษิณมาเป็นนายกฯ มีลูกน้องคุณทักษิณมา ชี้หน้าผมเหมือนกันว่า คนนี้แหละที่ตัดสินให้เราแพ้องค์การโทรศัพท์"
"...วันหนึ่ง คุณทักษิณเรียกผมไปประชุมที่ห้องทำงานนายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้า ตอนนั้นมีประเด็นว่า ถ้าเรื่องของกระทรวงหนึ่งกำลังอยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการแพ้ รัฐบาลจะทำอย่างไร...คุณทักษิณบอกคนในห้องนั้นว่า เลขาฯวิษณุเคยชี้ขาดให้ผมแพ้ต้องจ่ายเงินหรือขาดกำไรไปหลายสิบล้าน แต่เขาทำถูกแล้ว...คุณทักษิณจะพูดจริงหรือพูดเล่น จะชมหรือประชดก็ตาม แต่ผมรู้สึกดีกับคุณทักษิณขึ้นเยอะ"
ในยุคที่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาล "วิษณุ" เล่าว่า เขาและครอบครัวได้พบ พ.ต.ท.ทักษิณอีกหลายครั้ง ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แต่คนที่ทำให้เขาประทับใจและมีอิทธิพลทางความคิดในการเปลี่ยนอาชีพจากข้าราชการมาเป็นนักการเมือง กลับเป็น "คุณหญิงพจมาน"
เขาเล่าว่า ระหว่างที่มีการซักซ้อมกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล "วิษณุและครอบครัว" ได้รับโอกาสไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านจันทร์ส่องหล้าหลายครั้ง
"คนที่น่าประทับใจคนหนึ่งคือ คุณหญิงพจมาน ผมได้เห็นการวางตัวที่ดี ไม่พูดเรื่องการเมืองเลย แต่โอภาปราศรัยกับแขกอย่างอ่อนโยน เป็นกันเอง แสดงความเอาใจใส่ในสารทุกข์สุกดิบ เมื่อรู้ว่าภริยาของผมป่วยเป็น โรคไต ต้องเข้ารับการผ่าตัด ก็กุลีกุจอปวารณาตัวว่า จะฝากฝังหมอที่โรงพยาบาลของท่านให้..."
"วิษณุ" มีคอนเน็กชั่นกับคนในตระกูล "ดามาพงศ์" อีกคนที่เป็น "ตัวช่วย" พ.ต.ท.ทักษิณ คือ "พี่ชาย" ของคุณหญิงพจมานที่ชื่อ "บรรณพจน์"
"...คุณชัชวาล อภิบาลศรี และเพื่อนเรียน วปอ.รุ่นเดียวกับผมอีกคนที่ชื่อคุณบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นญาติกับคุณหญิงพจมาน ชวนผมไปรับประทานอาหาร การสนทนาแกล้มอาหารมื้อนั้นเป็นเรื่องสัพเพเหระ หนักเข้าก็เป็นเรื่องการบ้านการเมือง ผมก็ได้ปรารภจุดแข็งจุดอ่อนของนายกฯทักษิณให้คุณบรรณพจน์ฟัง และวิตกว่าคุณทักษิณหลังคดีซุกหุ้นมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ฟังคนน้อยลง"
"...ไหนจะมีเงิน ไหนจะมีสติปัญญา ไหนจะมีพวกพ้องเสียงเชียร์มาก ไหนจะมีเสียงในสภาท่วมท้น ไหนจะหมดชนักปักหลัง คนอย่างนี้ผมเห็นมามากแล้วว่าจะคึกคะนองดุจอินทรชิตที่ได้ฤทธิ์จากพระเป็นเจ้าจนบิดเบือนกายินเหมือนองค์อมรินทร์ทรงคชเอราวัณได้"
"วิษณุ" แนะนำ "ทักษิณ" ผ่าน "บรรณพจน์" พี่ชาย "คุณหญิงพจมาน" ยาวเหยียด
ทั้งเรื่องเกรงว่าเมืองไทยจะเป็นรัฐตำรวจ
ทั้งเรื่องรัฐบาลขาดมือกฎหมาย ต้องใช้บริการคณะกรรมการกฤษฎีกา
พร้อมเสนอชื่อที่ปรึกษากฎหมายราว 10 คน
"บรรณพจน์" ไม่เป็นอันรับประทานอาหาร เพราะต้องจดชื่อและประเด็นที่ "วิษณุแนะ" ลงในกระดาษ
สามวันต่อมา "วิษณุ" ถูกคุณหญิงพจมานเชิญไปพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า มีวาระ "กระดาษ-คำแนะนำ-ชื่อที่ปรึกษา" ที่ "บรรณพจน์" จดมานำเสนอ
"คุณหญิงให้ผมวิจารณ์รัฐบาลให้ฟัง ว่าใครเป็นอย่างไร นายกฯเป็นอย่างไร ปัญหาในการทำงานมีอะไรบ้าง ที่ว่าไม่ค่อยฟังใครเช่นเรื่องอะไร ถ้าไม่ฟังแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คณะที่ปรึกษาที่ผมเสนอนั้น ไว้ใจได้ไหม"
จากนั้นผ่านไป 1 เดือน "วิษณุ" เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่วังไกลวังวล หัวหิน พร้อมกับ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เพื่อถวายรายงานการปฏิรูปราชการ
"ตอนหนึ่งรับสั่งถามอย่างเป็นห่วงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ของทำเล่น ใครจะดูแล นายกฯกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า รับสั่งถามว่า แล้วที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน การพัฒนาแหล่งน้ำ ที่ดิน ที่ทำกินซึ่งยืดเยื้อมานานซึ่งทรงเป็นห่วงมาก เป็นภารกิจหลักของรัฐบาล ใครจะดูแล นายกฯกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า"
"รับสั่งถามถึงกี่เรื่อง นายกฯก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า สุดท้ายรับสั่งว่าเรื่องศาสนาก็เป็นเรื่องใหญ่ ละเอียดอ่อน เวลานี้มีปัญหาใคร จะดูแล นายกฯก็กราบบังคมทูลว่าข้าพระพุทธเจ้า"
แต่พอกลับจากเข้าเฝ้าฯ ยังไม่ทัน พ้นประตูวังไกลกังวล "พ.ต.ท.ทักษิณ" พูดกับ "วิษณุ" ว่า
"นี่เป็นเรื่องบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องการ เมือง ที่กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าน่ะ ผมว่าผมทำไม่ไหวหรอก"
จากนั้นก็ชักชวนให้ "วิษณุ" และบุคคลระดับ "อัครมหาเศรษฐี" เมืองไทยช่วยทำ
"วิษณุ" ถูกชวนเข้าร่วมวงนักธุรกิจชั้นนำที่บางกอกคลับ ถนนสาทร ณ ที่นั้น คนที่รวมตัวรออยู่ก่อนแล้วมีทรัพย์สินรวมกันใกล้ ๆ ยอดงบประมาณประเทศไทย ทั้งคุณชาตรี โสภณพนิช คุณธนินท์ เจียรวนนท์ คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี คุณบุญสิทธิ์ โชควัฒนา และคุณสถาพร กวิตานนท์
"พ.ต.ท.ทักษิณ" บอกกับกลุ่มเจ้าสัวว่า "ชวนวิษณุมาช่วยจำข้อเสนอของพวกท่าน"
จากนั้นไม่กี่วัน "วิษณุ" ก็ถูกเชิญจาก "ทักษิณ" ให้เข้าร่วมวงคณะรัฐมนตรี
ภายใต้เงื่อนไขของ "คุณหญิง" ที่ทั้ง "วิษณุและ พ.ต.ท.ทักษิณ" ไม่อาจปฏิเสธ
หมายเหตุ : ข้อมูลจากหนังสือ โลกนี้คือละคร โดยสำนักพิมพ์มติชน
///////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)