--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คืนที่ ปู. นอนไม่หลับ !!?


คืนที่ “ปู” นอนไม่หลับ !!

เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด

เชื่อว่าคืนวันที่ 4 ต่อเนื่องวันที่ 5 ส.ค.สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น่าจะเป็นวันคืนที่น่าตื่นเต้นพอดู เพราะรุ่งขึ้นคือวันที่ 5 ส.ค.จะเป็นวันที่สภาผู้แทนฯนัดหมายกันโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นเธออยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลาจริงๆ ไม่ว่าใครก็ตามมันก็อดที่จะมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นไม่ได้

ต้องไม่ลืมว่าด้วยประสบการณ์ทางการเมืองแค่ 40 วันเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า จากเดิมที่เป็นสาวสังคม ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ในความเป็นจริงมี “พี่เลี้ยง” ที่ถูกคัดเลือกมาคอยดูแลไว้พร้อมสรรพอยู่แล้ว จู่ๆก็กำลังจะกลายเป็น นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย กลายเป็น “สถิติประวัติศาสตร์” เพียงชั่วข้ามคืน เป็นใครก็ต้องนอนไม่หลับเป็นธรรมดา

ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องระทึกใจยิ่งกว่าก็คือ นับจากที่เธอได้เป็นนายกฯหญิงของไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงตอนนั้นทุกสายตาจะจับจ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว ไม่ว่าจะกระดิกตัวไปทางไหนก็ถูกมองตามไม่กระพริบ ถูกตั้งคำถามตลอดเวลา และคำตอบจะเป็นแบบอ้อมไปอ้อมมาเหมือนก่อนหน้านี้คงไม่ได้แล้ว เช่น บอกว่า “จะทำให้ดีที่สุด” หรือ “เราต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ” เลี่ยงๆแบบเดิมคงไม่ได้

สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำเป็นอันดับแรกของ ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่โฉมหน้าครม.ชุด “ปู 1” ว่าจะออกมาอย่างไร ถ้าเริ่มต้นด้วยเสียง “ยี้” แล้วละก็ อย่าว่าแต่ 6 เดือนตามที่มีคนคาดการณ์อายุของรัฐบาลนี้เลย มันอาจพังก่อนกำหนดก็ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าการคาดหวังของชาวบ้านนั้นสูงมาก สูงจนอันตราย และที่สำคัญพัฒนาการทางการเมืองของคนไทยนั้นถือว่าก้าวกระโดด โดยเฉพาะพวกเสื้อแดงนั่นแหละ แต่ที่ผ่านมาถูกปิดบังอำพราง สร้างกระแสบิดเบือน แต่ตราบใดก็ตามเมื่อได้เจอกับของจริงที่น่าผิดหวังแล้วละก็จะกลายเป็น “บูมเมอแรง” ย้อนกลับมาได้ตลอดเวลา

อีกด้านหนึ่งไม่น่าเชื่อว่าความเคลื่อนไหวฟอร์ม ครม.ยังไม่นิ่ง แม้ว่าผ่านไปกว่าเดือนเศษแล้ว ทั้งที่น่าจะมีรายชื่ออยู่ในใจตั้งแต่แรก แต่กลายเป็นว่ามีการถอดเข้าถอดออกอยู่หลายรอบ คนที่มีชื่อโผล่ในตอนแรก ตอนหลังกลับหายไปเฉยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ความคาดหวัง” จากสังคมนี่แหละจึงต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์มาก่อน อย่างเช่น วิชิต สุรพงษ์ชัย ล่าสุดข่าวว่ามานั่งรองนายกฯควบรองนายกฯ มันก็เป็นไปได้ เพราะ “ซี้เก่า” ทางธุรกิจเกื้อหนุนกันมา แต่ที่น่าจับตาก็คือ รมว.กลาโหมที่จนถึงนาทีนี้ยังไม่ลงตัว ต้องเขย่า ต้องยกหู “เคลียร์” กันไปหลายรอบแล้ว รายหลังสุดปล่อยชื่อมาว่าจะเป็น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา แต่เอาเข้าจริงทำท่าจะแผ่วลงไปอีก และมาโผล่ที่ “เสี่ยหมง” พล.อ.มงคล อัมพรพิศิษฐ์ อีกรอบ นัยว่าจะใช้ความใกล้ชิดกับ “ป๋า” ทำทางไปหา “ศูนย์กลาง” ว่ากันอย่างนั้น

แต่ที่เมาท์กันให้แซดทั้งตลาดก็คือมีชื่อของ “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ติดโผ รมว.พลังงานด้วย นี่สิไม่ธรรมดา ที่ต้องพูดแบบนั้นก็เพราะในช่วงเวลาใกล้เคียงกันดันมีข่าวทำนองว่า มี “ชายไฝ” คนหนึ่งทุ่มเงิน “จ้างตัวเอง” ด้วยตัวเลขสิบหลักขออาสาเป็นเสนาบดีเพื่อมานั่ง “ทับขี้” ระหว่างที่นั่งบริหารรัฐวิสาหกิจบางแห่งเสียด้วย เรื่องมันจึงพิลึกไม่ธรรมดา ชวนติดตามจริงๆ พับผ่า !!
ที่มา: ผู้จัดการ
********************************

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พูดได้ทำได้ !!?

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้เรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2554 เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศและนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะไม่เกินวันที่ 6 สิงหาคม ซึ่งมีรายชื่ออยู่แล้วว่าจะให้ใครดำรงตำแหน่งใด กระทรวงไหน โดยยืนยันจะไม่มีคำว่า “ยี้” แน่นอน เพราะทุกคนเชื่อถือได้
ดังนั้น การจัดตั้งรัฐบาลจึงไม่ถือว่าล่าช้า แม้ที่ผ่านมาจะมีข่าวการวิ่งเต้นจากสายต่างๆ รวมถึงการออกมาแสดงความเห็นต่างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องปรกติ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า หลังจากได้คณะรัฐมนตรีก็จะเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ทันที โดยช่วง 3 เดือนแรกจะพูดหรือให้สัมภาษณ์สื่อน้อยลง เพื่อมีเวลาทำงานมากขึ้น และถ้าคณะรัฐมนตรีไม่มีปัญหาก็จะสามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ให้ออกมาเป็นรูปธรรมก่อน เรื่องแรกคือ ปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพักหนี้ หรือค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท จะต้องทำออกมาให้ได้

แม้จะมีเสียงคัดค้านจากผู้ประกอบการหลายกลุ่ม แต่ประชาชนและแรงงานต่างมั่นใจว่ารัฐบาลทำได้ และจะไม่กระทบกับผู้ประกอบการหรือเศรษฐกิจโดยรวมอย่างที่ผู้ประกอบการออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์และเครือซิเมนต์ไทยออกมายืนยันว่าทำได้ จึงไม่น่ามีปัญหามากนัก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ยอมรับว่าไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ จึงพร้อมจะพูดคุยและขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีความรู้ความสามารถมากมาย โดยจะเดินสายพบและพูดคุยกับนักธุรกิจรายใหญ่ๆทันทีที่เริ่มทำงาน

ท่าทีดังกล่าวถือว่าเป็นจุดแข็งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะไม่ใช่แค่มีความนิ่งและความนอบน้อมเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนประนีประนอม ไม่ก้าวร้าว หรือคิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว
โดยเฉพาะการเดินสายและเปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยงานด้วยนั้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการแก้ปัญหาบ้านเมืองที่มีมากมาย รวมถึงความขัดแย้งที่ยังฝังรากลึก ซึ่งหลายฝ่ายยังวิตกกังวลว่ากลุ่มเกลียดทักษิณจะพยายามสร้างเงื่อนไขออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือกรณีคนเสื้อแดงที่จะต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาและค้นหาความจริงเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภำมหิต” นั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และต้องใช้เวลาก็ตาม

แต่ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใสจริง ก็เชื่อว่าความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น อย่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวเข้าสู่การเมืองว่าจะ “แก้ไข ไม่แก้แค้น” ถือเป็นสัญญาประชาคมสำคัญที่จะนำบ้านเมืองสู่ความปรองดองได้ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพูดได้ ทำได้ ไม่ใช่ดีแต่พูด

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ท้าทายอำนาจรัฐ!!

ชี้นิ้ว, สั่งปลด พ้นตำแหน่งใน ๒๔ ชั่วโมง กันกลางอากาศ??
คงจำความเฉียบขาด, สมัยที่ “ท่านชวน หลีกภัย” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ย้าย “พล.อ.วิชิต ยาทิพย์” ขุนศึกคู่ใจ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” กันกลางสภากลาโหม
ไม่ปล่อยให้ “นายทหารคนใด” มาท้ายทายอำนาจรัฐ อย่างไม่เหมาะสม
ถึง “บิ๊กชวน” จะเป็นพลเรือน ไม่มีดีกรี เป็น “พลเอก” หรือ “จอมพล” แต่ประการใด แต่ก็ใช้อำนาจ ควบคุมทหาร ให้อยู่ในวินัยแห่งกองทัพ!!!
ทหารก็เหมือนกับม้า...เมื่อพยศขึ้นมา?...ก็ต้องปลดวันละสามเวลา เสียให้จั๋งหนับ??
------------------------------
อำนาจเป็นของ “ประชาชน”!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็แค่มีอำนาจคุมกำลังพล??
ขอบิณฑบาตกันสักครั้ง เลิกเอะอะมะเทิ่ง “ว่าทำกันอย่างนี้ แล้วจะอยู่กันอย่างไร”??
ท่านมีอำนาจคุมเพียงกองทัพบก ไม่ใช่ “ผู้นำประเทศ” เมื่อคิดจะเซดอะไรออกมา .. “ควรคิดใหม่ และทำใหม่”
ถึงการแสดงจุดยืน อย่างขวานผ่าซาก...แต่ก็ต้องเข้าใจจุดยืนของ “ประชาชน” ที่เขาเลือก “พรรคเพื่อไทย” ๑๕ ล้านเสียงให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกฯหญิงคนแรก เสียด้วย!
ทหารอย่าเล่นบทเกิน..เฮี้ยวนักก็ดูจะไม่เพลิน?..แล้วจะเดินไปกับรัฐบาล ได้ไงอย่างสดสวย
------------------------------
“ดาวอังคาร” ถอยกรูด!!
ทางเกจิโหราจารย์ ทักทายว่า “ทหาร” เรี่ยวแรงกำลังทรุด??
ก่อนหน้าวันที่ ๒๖ กรกฎาคม เห็นกันอยู่แล้ว ฮ.ตกร่วงผล็อย ๓ ลำติด ๆ ..ขุนพลผู้กล้าพลีชีพไป ๑๗ชีวิต และมีพลเรือนช่างภาพดับสูญ ไปอีก ๑ คน
จากหลังที่ ๒๖ กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป... “ดาวอังคาร” ส่งผลให้ กำลังทหารเฉื่อย ไม่มีอิทธิพล
ยิ่งไปชน, ถึง กลางเดือนตุลาคมด้วยแล้ว “ทหาร” จะยิ่งเละเป็นแป้ง กำลังอ่อนล้า อย่างไม่เคยมีมา...จะไปเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ก็ปีหน้าในเดือนพฤษภาฯปีหน้า ถึงจะเลิกหมองมัว!!!
ฉะนั้น,ทหารที่แข็งข้อกับ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”..ระวังดวงจะทรุดหนัก?..เก้าอี้หักไม่รู้ตัว??
------------------------------
“กางมุ้ง”ในพรรค!!
จริงอยู่โอกาส ของ “เสี่ยเพ้ง” พงศ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คนรู้ใจ “ทักษิณชินวัตร” มีอยู่เป็นอันมากส์??
แต่เป็นห่วง ที่ “เสี่ยเพ้ง” ไปจับมือกับ นักการเมืองเก่านักล็อบบี้ยีสต์ ผู้มีสายสนิทชิดเชื้อกลมเกลียว กับ “สายจีน” มาทำตัวเป็นใหญ่ในพรรคเพื่อไทย
ที่หมายมั่นปั้นมือ ตีตั๋วจองเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” บางที อาจไม่ได้
จะคิดทำการอะไร?.. “เสี่ยเพ้ง” อย่าให้จุ้นจ้านมากนักเลย...ถึงจะเป็นเพื่อนคู่คิด-มิตรคู่ใจ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนทะเลทราย ก็ควรทำตัว ให้สงบ!!!
ดังนั้นขอกระซิบไปถึง “เสี่ยเพ้ง”....ถ้ายังทำตัวล้งเล้ง?...บอกได้เลยว่าตัวเองนั้น จะจบ??
------------------------------
“เนื้อหอม” ผลงานมีเข้าตา!!
“คุณพี่นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” มีคนจับจองเก้าอี้รัฐมนตรีมาให้มากนักดา??
“กระทรวงไอซีที” คุมการสื่อสาร คนก็อยากให้เข้าไปเป็น
“รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” หน้าที่ดูแลสื่อ คนก็หนุนกัน เช้าเย็น
แต่เก้าอี้ที่ดูแล้วเห็นว่าเหมาะสุด น่าจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” ที่นักการนักคิดนักปฏิบัติ มือฉมัง เข้ามาคุม!!!
ได้ “คุณนิวัฒน์ธำรง”ไปนั่งตำแหน่ง..รับประกันว่าไม่มี “ฝูงแร้ง”?..ยื้อแย่งเข้าไปรุม??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
******************************************

นางร้องให้.. ธรรมเนียมที่หายไป จากการพระศพเจ้านาย !!?


“นางร้องให้” เป็นอีกธรรมเนียมหนึ่งในพิธีของราชสำนัก ที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยแต่ผู้ล่วงลับ

การมีนางร้องให้ในราชสำนักอาจได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากชนชาติ “มอญ” ในประเพณีมอญมีพวกรับจ้างร้องให้ มีเสียงร้องทำนองโอดครวญ จนนำมาตั้งเป็นชื่อทำนองเพลงว่า “มอญร้องให้”
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐานการมีนางร้องให้ในคำให้การ “ขุนหลวงหาวัด” อธิบายถึงการจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ว่าได้เกณฑ์นางสนมกำนัลมาเป็นนางร้องให้ ซึ่งในการร้องให้จะควบคู่การประโคมมโหรีปี่พาทย์ ดังนี้ ...

“แล้วจึงกะเกณฑ์ให้พระสนมกำนับทั้งปวงมานั่งห้อมล้อมพระบรมศพ แล้วก็ร้องให้เปนเวลาหน้าที่เปนอันมาก แล้วมีนางขับรำเกณฑ์ทำมโหรี กำนัลนารีน้อยๆ งามๆ ดั่งกินนร กินนรี มานั่งห้อมล้อม ขับรำทำเพลงอยู่เปนอันมาก แล้วจึงให้ประโคมฆ้อง กลอง แตรสังข์ และมโหรีปี่พาทย์อยู่ทุกเวลา”

ธรรมเนียมการพระศพนี้ ทำสืบเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็นพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ซึ่งมีนางร้องให้ และประโคมกลองชนะตามเวลา เหมือนอย่างพระมหากษัตริย์แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

วิธีการร้องให้ต้องใช้คนจำนวนมาก ส่วนใหญจะใช้นางพระสนม นางพระกำนัล หรือผู้ที่ได้ถวายตัว มีต้นเสียง 4 คน และมีคู่ร้องรับประมาณ 80-100 คน

ครั้งสุดท้ายที่มี “นางร้องให้” ตามราชประเพณี คืองานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัด “นางร้องให้” คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี โดยให้เจ้าจอมและพนักงานคอยร้องให้ตามบท ในเวลาประโคมย่ำยาม คือ ย่ำรุ่ง เที่ยง ย่ำค่ำ ยาม สองยาม สามยาม มีเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เจ้าจอมพระองค์สุดท้ายในรัชกาลที่ 5 เป็นต้นเสียงร้องนำ

เนื้อหาของคำร้องให้ เป็นการถวายความจงรักภักดี ที่เหล่าข้าบาทบริจาริกาขอตามไปปรนนิบัติยังสรวงสวรรค์ และถึงกับมีเรื่องเล่าในราชสำนัก ตามที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าไว้ในหนังสือประวัติต้นรัชกาลที่ 6 ว่า ...
“ได้ยินเขาเล่ากันว่า ทูลกระหม่อมปู่ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) เมื่อเสด็จลงไปเยี่ยมพระบรมศพเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 ได้ทรงฟังนางร้องให้ มีกระแสท้วงว่า..ถ้าใครๆ ก็จะขอตามเสด็จไปเสียหมดแล้วใครจะอยู่รับใช้พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่เล่า? .. ครั้งนั้นเลยต้องงดนางร้องให้ ในเวลาที่ทูลกระหม่อมปู่เสด็จลงไปอยู่ที่พระมหาปราสาท”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็ว่า “ให้รู้สึกรกหูเสียจริงๆ และร้องซ้ำไปซ้ำมา ไม่เป็นการร้องให้จริงๆ กับทั้งยังส่งเสียงรบกวนเวลาที่พระกำลังถวายพระธรรมเทศนา รวมไปถึงความประพฤติของผู้ที่ไปฟังและตัวของนางร้องให้เอง ที่แสดงกิริยาขาดความเคารพในกาละเทศะ อย่างยิ่ง”

ความไม่เหมาะสมหลายประการ ที่ไม่ต้องด้วยพระราชนิยม ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้า ทรงมีพระราชดำริที่จะยกเลิกธรรมเนียมการพระบรมศพดังกล่าว

 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ทรงเขียนเล่าไว้ว่า “ฉันเองโดนเข้าอย่างนั้น ก็โกรธและต้องสั่งให้หยุดเหมือนกัน แต่มีคนที่ชอบนางร้องให้ก็มีมาก เพราะเหตุต่างๆ พวกชนชั้นเก่า มีกรมนราธิปเปนต้น ชอบเพราะเห็นว่าหรู ในพวกชั้นใหม่ๆ ไปฟังกันแน่นๆ เพราะไม่เคยฟัง จึ่งอยากฟังฉนั้นก็มี แต่ที่ไปฟังสำหรับความต้องการส่วนตัวก็มี เช่นผู้ชายไปฟังเพราะอยากเห็นตัวนางร้องให้ หรือถือเปนโอกาสไปพบปะผู้หญิงที่ไปฟังนางร้องให้อีกต่อหนึ่ง นับว่าเป็นการฟังนางร้องให้เท่ากับไปฟังสังคีตและกรอกัน”

“...ฝ่ายตัวผู้เปนนางร้องให้เองก็ออกจะถือเปนโอกาสในการประชุมคุยกัน คล้ายไปสโมสร ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ นันฉันจึ่งเกลียดนางร้องให้ และสั่งไว้ว่า เมื่อถึงงานศพฉันขออย่าให้มีนางร้องให้เลย”
............................
อิศรินทร์ หนูเมือง/เรียบเรียงจาก หนังสือธรรมเนียมพระบรมศพ และพระศพเจ้านาย : สำนักพิมพ์มติชน 2551
//////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิชิต สายตรง ทักษิณ..ยึดเก้าอี้คลังคุมเศรษฐกิจ !!?



เปิดโผ รมต.เศรษฐกิจคนนอก"วิชิต สุรพงษ์ชัย"ผงาดรมว.คลัง จ่อควบรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ จับตา "โอฬาร" ถอนตัวขออยู่เบื้องหลังนายกฯ

ความคืบหน้าในการวางตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย หลังจากได้ข้อสรุปตำแหน่งประธานสภาและรอง 2 คนแล้ว แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ล่าสุด ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (ครม.) บางส่วนเริ่มชัดเจนแล้ว
โดยในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจมีข้อสรุปบางตำแหน่งที่เป็นคนนอกพรรคแล้ว โดยบุคคลที่จะนั่งตำแหน่ง รมว.คลัง คือ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) ธนาคารไทยพาณิชย์ ในปัจจุบัน และอาจได้รับการพิจารณาให้ควบรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ ด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ทีมเศรษฐกิจคนในของพรรค

โดยผู้ที่ดึงนายวิชิต เข้ามา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากความรู้ความสามารถ มีบารมีทางการเงินการธนาคารมายาวนาน และมีภาพพจน์ที่ดีไม่มีกระแสต้านแล้ว ดร.วิชิตยังสนิทกับพ.ต.ท.ทักษิณ จน พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้วางใจอย่างมาก
ดร.วิชิต เคยรับตำแหน่ง รมว.คมนาคม ระหว่างปี 2537-2538 ในโควตาพรรคพลังธรรม หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลประชาธิปัตย์ในสมัยรัฐบาลชวน 1 โควตาของพรรคพลังธรรม ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่

"บัณฑูร"ดูงบฯ-"ธีระชัย"จ่อรมช.คลัง
ขณะที่ นายบัณฑูร สุภัควณิช อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกวางตัวให้อยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โควตาคนนอก แน่นอนแล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่า จะวางตัวให้นั่ง รมช.คลัง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยภารกิจหลักที่ทางพรรคต้องการให้นายบัณฑูรดูแล คือ เรื่องงบประมาณโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมานายบัณฑูร ได้เข้าร่วมประชุมและทำงานกับทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่องระยะหนึ่งแล้ว
เช่นเดียวกับนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่กำลังจะครบวาระตำแหน่งในเร็วๆ นี้ ก็ถูกวางตัวเป็น รมช.คลัง แล้ว

"กิตติรัตน์"จ่อรมว.พาณิชย์-"วิรุฬ"รมช.
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ที่ชัดเจนแล้วว่าจะเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์แน่นอน โดยแกนนำพรรคอยู่ระหว่างพิจารณาตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ให้ ส่วนนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นคนใน ถูกวางตัว รมช.พาณิชย์

ยังไม่สรุปตำแหน่ง "โอฬาร"
ส่วน ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญในทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงเลือกตั้งนั้น ยังไม่มีข้อสรุป โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดนายโอฬาร เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางพรรคยังไม่ได้แจ้งว่าดร.โอฬารจะได้ไปนั่งกระทรวงใด โดยที่ผ่านมาดร.โอฬารได้ทำงาน ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจภาพรวม และไม่เคยแสดงท่าทีว่าอยากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด และก็ยังไม่ได้แจ้งขอสละสิทธิ์ตำแหน่งรัฐมนตรี

ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคเพื่อไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในการหารือของแกนนำพรรค เบื้องต้นเห็นว่า ดร.โอฬารน่าจะนั่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ดูแลในภาพรวม เพราะแนวคิดของนายโอฬารบางประเด็นไม่เห็นด้วยกับนโยบายสำคัญด้านเศรษฐกิจของพรรค ที่ใช้ในการหาเสียง จึงอาจมีปัญหาในการทำงาน
จึงมีแกนนำบางส่วนเห็นว่า ดร.โอฬารควรไปนั่ง รมว.ศึกษาธิการ

ขณะเดียวกันก็มีอีกกระแสข่าวระบุว่า ดร.โอฬาร อาจปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งในครม.โดยอ้างว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ และอาจจะยอมรับเพียงฐานะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เท่านั้น และขอทำงานอยู่เบื้องหลัง

"สุชาติ"ลุ้นรองนายกฯ
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ส่วนทีมเศรษฐกิจ ที่เป็นคนในพรรคเพื่อไทยคนอื่นๆ เช่น ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง จะมีตำแหน่งในครม.แน่นอน โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะให้ไปนั่งรองนายกรัฐมนตรี ดูแลเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า หรือนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดบี

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมื่อ ยิ่งลักษณ์แพ้คดี 100 ล้าน. วันที่ ทักษิณ. กราบบังคมทูล คุณหญิงอ้อ ในบทกุนซือ ชินวัตร.!!?


วันที่นักการเมืองไม่มีอำนาจ ปากกับใจของเขาจะตรงกัน

"วิษณุ เครืองาม" วันพ้นดงการเมือง ปากกา-ใจ ถูกถ่ายทอดเป็นตัวอักษร เห็นภาพ เห็นฉาก และเห็นตัวละคร

เขาเล่าประสบการณ์-ความเกี่ยวพันในการให้บริการทางเนติครั้งสุดท้าย หลังครองเก้าอี้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมา 9 ปี

เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนักเรียนทุนรุ่นเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกันรู้เรื่อง และในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอให้ "วิษณุ" ลาออกจากความเป็นข้าราชการประจำ เหตุเกิดหลังปี 2545 ยุคที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" พ้นพงหนามคดี "ซุกหุ้น"

เขาเล่าว่า "วันหนึ่งมีคดีระหว่างองค์การโทรศัพท์กับบริษัทของคุณทักษิณ ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นซีอีโอ พิพาทกันเป็นเงินนับร้อยล้าน เรื่องต้องส่งให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา ทางองค์การตั้ง คุณชัยเกษม นิติสิริ เป็นอนุญาโตตุลาการ บริษัทตั้งอัยการเก่าอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนเลือกผมมาเป็นประธานอนุญาโตฯ แต่ละคนตัดสินใจให้แต่ละฝ่ายชนะ ผมกลายเป็นคนที่ต้องชี้ขาด โดยเห็นด้วยกับฝ่ายองค์การ ให้องค์การชนะสองต่อหนึ่ง"

"...เมื่ออีกหลายปีต่อมา คุณทักษิณมาเป็นนายกฯ มีลูกน้องคุณทักษิณมา ชี้หน้าผมเหมือนกันว่า คนนี้แหละที่ตัดสินให้เราแพ้องค์การโทรศัพท์"

"...วันหนึ่ง คุณทักษิณเรียกผมไปประชุมที่ห้องทำงานนายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้า ตอนนั้นมีประเด็นว่า ถ้าเรื่องของกระทรวงหนึ่งกำลังอยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการแพ้ รัฐบาลจะทำอย่างไร...คุณทักษิณบอกคนในห้องนั้นว่า เลขาฯวิษณุเคยชี้ขาดให้ผมแพ้ต้องจ่ายเงินหรือขาดกำไรไปหลายสิบล้าน แต่เขาทำถูกแล้ว...คุณทักษิณจะพูดจริงหรือพูดเล่น จะชมหรือประชดก็ตาม แต่ผมรู้สึกดีกับคุณทักษิณขึ้นเยอะ"

ในยุคที่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาล "วิษณุ" เล่าว่า เขาและครอบครัวได้พบ พ.ต.ท.ทักษิณอีกหลายครั้ง ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แต่คนที่ทำให้เขาประทับใจและมีอิทธิพลทางความคิดในการเปลี่ยนอาชีพจากข้าราชการมาเป็นนักการเมือง กลับเป็น "คุณหญิงพจมาน"

เขาเล่าว่า ระหว่างที่มีการซักซ้อมกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล "วิษณุและครอบครัว" ได้รับโอกาสไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านจันทร์ส่องหล้าหลายครั้ง

"คนที่น่าประทับใจคนหนึ่งคือ คุณหญิงพจมาน ผมได้เห็นการวางตัวที่ดี ไม่พูดเรื่องการเมืองเลย แต่โอภาปราศรัยกับแขกอย่างอ่อนโยน เป็นกันเอง แสดงความเอาใจใส่ในสารทุกข์สุกดิบ เมื่อรู้ว่าภริยาของผมป่วยเป็น โรคไต ต้องเข้ารับการผ่าตัด ก็กุลีกุจอปวารณาตัวว่า จะฝากฝังหมอที่โรงพยาบาลของท่านให้..."

"วิษณุ" มีคอนเน็กชั่นกับคนในตระกูล "ดามาพงศ์" อีกคนที่เป็น "ตัวช่วย" พ.ต.ท.ทักษิณ คือ "พี่ชาย" ของคุณหญิงพจมานที่ชื่อ "บรรณพจน์"

"...คุณชัชวาล อภิบาลศรี และเพื่อนเรียน วปอ.รุ่นเดียวกับผมอีกคนที่ชื่อคุณบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นญาติกับคุณหญิงพจมาน ชวนผมไปรับประทานอาหาร การสนทนาแกล้มอาหารมื้อนั้นเป็นเรื่องสัพเพเหระ หนักเข้าก็เป็นเรื่องการบ้านการเมือง ผมก็ได้ปรารภจุดแข็งจุดอ่อนของนายกฯทักษิณให้คุณบรรณพจน์ฟัง และวิตกว่าคุณทักษิณหลังคดีซุกหุ้นมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ฟังคนน้อยลง"

"...ไหนจะมีเงิน ไหนจะมีสติปัญญา ไหนจะมีพวกพ้องเสียงเชียร์มาก ไหนจะมีเสียงในสภาท่วมท้น ไหนจะหมดชนักปักหลัง คนอย่างนี้ผมเห็นมามากแล้วว่าจะคึกคะนองดุจอินทรชิตที่ได้ฤทธิ์จากพระเป็นเจ้าจนบิดเบือนกายินเหมือนองค์อมรินทร์ทรงคชเอราวัณได้"

"วิษณุ" แนะนำ "ทักษิณ" ผ่าน "บรรณพจน์" พี่ชาย "คุณหญิงพจมาน" ยาวเหยียด

ทั้งเรื่องเกรงว่าเมืองไทยจะเป็นรัฐตำรวจ

ทั้งเรื่องรัฐบาลขาดมือกฎหมาย ต้องใช้บริการคณะกรรมการกฤษฎีกา

พร้อมเสนอชื่อที่ปรึกษากฎหมายราว 10 คน

"บรรณพจน์" ไม่เป็นอันรับประทานอาหาร เพราะต้องจดชื่อและประเด็นที่ "วิษณุแนะ" ลงในกระดาษ

สามวันต่อมา "วิษณุ" ถูกคุณหญิงพจมานเชิญไปพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า มีวาระ "กระดาษ-คำแนะนำ-ชื่อที่ปรึกษา" ที่ "บรรณพจน์" จดมานำเสนอ

"คุณหญิงให้ผมวิจารณ์รัฐบาลให้ฟัง ว่าใครเป็นอย่างไร นายกฯเป็นอย่างไร ปัญหาในการทำงานมีอะไรบ้าง ที่ว่าไม่ค่อยฟังใครเช่นเรื่องอะไร ถ้าไม่ฟังแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คณะที่ปรึกษาที่ผมเสนอนั้น ไว้ใจได้ไหม"

จากนั้นผ่านไป 1 เดือน "วิษณุ" เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่วังไกลวังวล หัวหิน พร้อมกับ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เพื่อถวายรายงานการปฏิรูปราชการ

"ตอนหนึ่งรับสั่งถามอย่างเป็นห่วงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ของทำเล่น ใครจะดูแล นายกฯกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า รับสั่งถามว่า แล้วที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน การพัฒนาแหล่งน้ำ ที่ดิน ที่ทำกินซึ่งยืดเยื้อมานานซึ่งทรงเป็นห่วงมาก เป็นภารกิจหลักของรัฐบาล ใครจะดูแล นายกฯกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า"

"รับสั่งถามถึงกี่เรื่อง นายกฯก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า สุดท้ายรับสั่งว่าเรื่องศาสนาก็เป็นเรื่องใหญ่ ละเอียดอ่อน เวลานี้มีปัญหาใคร จะดูแล นายกฯก็กราบบังคมทูลว่าข้าพระพุทธเจ้า"

แต่พอกลับจากเข้าเฝ้าฯ ยังไม่ทัน พ้นประตูวังไกลกังวล "พ.ต.ท.ทักษิณ" พูดกับ "วิษณุ" ว่า

"นี่เป็นเรื่องบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องการ เมือง ที่กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าน่ะ ผมว่าผมทำไม่ไหวหรอก"

จากนั้นก็ชักชวนให้ "วิษณุ" และบุคคลระดับ "อัครมหาเศรษฐี" เมืองไทยช่วยทำ

"วิษณุ" ถูกชวนเข้าร่วมวงนักธุรกิจชั้นนำที่บางกอกคลับ ถนนสาทร ณ ที่นั้น คนที่รวมตัวรออยู่ก่อนแล้วมีทรัพย์สินรวมกันใกล้ ๆ ยอดงบประมาณประเทศไทย ทั้งคุณชาตรี โสภณพนิช คุณธนินท์ เจียรวนนท์ คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี คุณบุญสิทธิ์ โชควัฒนา และคุณสถาพร กวิตานนท์

"พ.ต.ท.ทักษิณ" บอกกับกลุ่มเจ้าสัวว่า "ชวนวิษณุมาช่วยจำข้อเสนอของพวกท่าน"

จากนั้นไม่กี่วัน "วิษณุ" ก็ถูกเชิญจาก "ทักษิณ" ให้เข้าร่วมวงคณะรัฐมนตรี

ภายใต้เงื่อนไขของ "คุณหญิง" ที่ทั้ง "วิษณุและ พ.ต.ท.ทักษิณ" ไม่อาจปฏิเสธ

หมายเหตุ : ข้อมูลจากหนังสือ โลกนี้คือละคร โดยสำนักพิมพ์มติชน
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ขอโทษ..

คำขอโทษ..ที่หลุดจากปาก ผู้บัญชาการทหารบก..พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา..นำมาซึ่งความรู้สึกที่ดีระหว่างผู้คนหลายฝักหลายฝ่าย..ที่มีความเห็นต่างและมีความคิดแปลก ซึ่งก็เป็นปรกติธรรมดา..ของโลกีย์สถานที่ประกอบกันเป็นโลกใบนี้
อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้สิ่งที่ได้สูญเสียไปแล้วทั้งชีวิตและทรัพย์สิน..ไม่ต้องสูญเสียเพิ่มขึ้นในส่วนที่ยังเป็นชีวิตอยู่และส่วนที่ยังมีอยู่
ภารกิจในการเข้าไปช่วยเหลือกำลังพลที่ประสบเคราะห์กรรมในระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น..เป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้..เพราะมันเป็นผลโดยตรงกับกำลังใจของผู้เสี่ยงภัย..ที่ไปทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชนโดยรวม
ในกองทัพที่ยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก..อย่างสหรัฐอเมริกา..ก็สูญเสียมาแล้วสำหรับภาระหน้าที่เช่นเดียวกัน..เช่นกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า

ในสังคมใหญ่อย่างประเทศไทย..จะไม่มีสัดส่วนใดดำรงอยู่โดยเอกเทศ..ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว-หมู่บ้าน-ตำบล-หรือกองทัพ
คำวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้..ผู้ได้รับความเสียหายจะต้องอดทนต่อการชี้แจงแสดงเหตุผล..ทำความเข้าใจกับประชาชนและสังคมอันหลากหลาย เพื่อสร้างความรู้แจ้งเห็นจริงให้ปรากฏขึ้นมาให้ได้
มันจึงเป็นหน้าที่เช่นเดียวกับการเข้าไปกอบกู้ช่วยเหลือ..ไม่ว่าจะเป็นผู้บาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต
กองทัพต้องยอมรับในส่วนของความบกพร่อง..มีเหตุผลต่างๆ มากมาย..ที่จะอธิบายได้ถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องแสดงอาการโกรธเกรี้ยวหรือยกป้ายเขตทหารห้ามเข้า..ให้เป็นที่ระคายเคือง

สื่อกับนักวิจารณ์..ก็ย่อมมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป..แต่ไม่ได้หมายความว่า..จ้องจะทำลายกองทัพ..หรือปรารถนาจะปรักปรำผู้บัญชาการทหารบก
เพราะความจริงก็คือ..ไม่มีใครอยากให้เฮลิคอปเตอร์ตกและมีทหารตาย..
ความจริงก็คือทุกคนเสียใจที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
การแก้ไขต่างหากที่จำเป็นที่สุดในปัจจุบัน บทเรียนต่างหากที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่จะ..นำมานำสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง

มันต้องอยู่กันให้ได้อยู่ร่วมกันไปอยู่รวมกันเป็นไทย..ชั่วกัปชั่วกัลป์

โดย.พญาไม้ทูเดย์.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////

ฮือฮากันทั้งรุ่น!!

งานพบปะสังสรรค์ ตท.รุ่น ๑๕ หรือ จปร.รุ่นที่ ๓๑..รุ่นเดียว กับ “พล.ต.ตะวัน เรืองศรี” ผบ.พล.ร.๙ ผู้วายชีพ เพราะ “ฮ.” ตกนั่นปะไร ล่ะคุณ??
เพื่อนร่วมรุ่น บรรจงจับเอาชื่อออก จากงานที่เลี้ยงตามประเพณี ที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ศุกร์ที่ ๒๒ กรกฏาฯ..เพื่อนทหารและตำรวจ ได้หยิบเอาชื่อ “ผู้การตะวัน” ออกจากการจับรางวัล
แต่ไฉน, ชื่อที่คัดออกหยิบออก กลับโผล่ขึ้น..จนเพื่อน ๆ ขนลุกกันไปทั้งงาน
อีกอย่าง น่าเป็นความผูกพัน ระหว่าง “พล.ต.ตะวัน เรืองศรี” กับพ้องเพื่อนที่รักใคร่กันมานาน จึงแสดงปาฏิหาริย์ ให้เห็น!!!
นับเป็นความน่ารัก...ที่ดวงวิญญาณ “พล.ต.ตะวัน”ได้มาทัก!...สมัครพรรคพวกได้มีการตื่นเต้น??

-------------------

เป็นความสูญเสียอย่างมหันต์!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. บอกปัดแก้ต่าง เป็นเพราะ “อากาศปิด” คงจะไม่ได้ ดอกนะท่าน??
อยากกราบเรียนให้รู้เหมือนกัน..ที่ผ่านมา “ฮ.” ของ “สำนักงานตำรวจ” เคยตกร่วงกราว เหมือน “ฮ.เบลล์” ของ “ทหาร” หรือเปล่าหนอ
เหตุที่ความปลอดภัย ของฝ่ายทหาร มีไม่เพียงพอ
ก็น่าจะมาจากการ เปลี่ยนถ่าย “อะไหล่”ไม่ตามสเป็ก..ที่ “ฮ.” ตำรวจบินกันปร๋อ เพราะเขาให้ “การบินไทย” เปลี่ยนน็อตตามชั่วโมงบิน แต่ฝ่ายทหารให้ใครเปลี่ยนเห็น ฮ. ตกกันจัง!!
ฮ.ตกเสียหายไม่เป็นไหร่...แต่ที่มีคนตาย?...โทษแต่อากาศปิด คงไม่ได้กระมัง??

--------------------

ไม่ธรรมดา...ไม่ธรรมดา!!
“บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๒๓ พรรคเพื่อไทย คนนี้น่าจับตา
สัมพันธ์แนบชิดกับ “ ทักษิณ ชินวัตร” มีไม่เท่าไหร่?...แต่เมื่อคราวโอลิมปิกที่จีน “บิ๊กอ๊อด” เป็นผู้พา “นายห้างดูไบ”หนี
โอกาสเกาะลิฟท์แก้ว เป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ก็มี
ยิ่งฐานของน้องรักน้องเลิฟ “พล.อ.อัครเดช ศศิประภา” ประธานใหญ่นวนคร ที่ได้ดูแลนายทหารใหญ่ ๆ มีทั้ง “พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี” , “พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร” รวมอยู่กันครบเซ็ท
ถ้า “บิ๊กอ๊อด” ขึ้นมาเป็นใหญ่...ขุนศึกรุ่นต่างๆ จะไปไหน?..ล้วนอยู่ใต้อาณัติกันเบ็ดเสร็จ

--------------------

ไม่เคยเห็นหัวผู้ใหญ่!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คงเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร??
ทั้งที่ “สัมพันธ์ ทองสมัคร” หรือ “ท่านหมอผี” ทำคุณเอาไว้พรรคประชาธิปัตย์เอาท่วมท้น ก่อนที่ “อภิสิทธิ์” จะเข้ามาแจ้งเกิดบนถนนการเมือง
ผลักไสไล่ส่ง ให้“ท่านสัมพันธ์” มา ลงสส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับที่ ๔๘ อย่างไม่ใช่เรื่อง
ขณะเดียวกันใช้กำลังภายใน ผลักดันให้ “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ลงปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๓๖ ทั้งที่ก่อเรื่องสร้างเหตุ ให้ “ประชาธิปัตย์” ขัดใจกับพรรคอื่น ๆ จนเขาพากันเป็นศัตรู!!
ที่ “อภิสิทธิ์”พาประชาธิปัตย์เจ๊ง...ก็เพราะความอวดเก่ง?...ที่เล็งไม่เห็นหัวผู้ใหญ่เท่าที่รู้

--------------------

“สัมพันธ์สวาท” เห็นที จะต่อติดยาก!!!
บอกได้เลยว่า วันนี้ “ท่านนิพนธ์ พร้อมพันธ์ุ” ปฏิเสธ ที่จะมองหน้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือ “นายกฯมาร์ค”
เรื่องเกาเหลากินใจระหว่าง “ท่านนิพนธ์” กับ “อภิสิทธิ์” มีอยู่เป็นกอง
แต่เรื่องที่มองกันไม่ติด ..เมื่อ “ท่านนิพนธ์” ฝากฝังให้ “สุธรรม ลิมสุวรรณ” เด็กสร้างเด็กปั้น ลง สส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ ๕๐ หรือ ต้น ๕๐ แต่ “อภิสิทธิ์” โยกไปลงอันดับที่ ๙๓ โดยไม่แคร์คำขอร้อง
เหมือนกับว่า “พรรคประชาธิปัตย์” มีแต่ “อภิสิทธิ์” ใหญ่คนเดียวเช่นนั้น!!
ก้อชอบทำตัวใหญ่คับพรรค....คนดีๆ จึงพากันตีจาก?...เพราะเขาเซ็ง “มาร์ค”ขึ้นทุกวัน

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เยอรมันไฟเขียว แม้ว เข้าประเทศ-ผลประโยชน์มาก่อน !!?

เยอรมันไฟเขียว “แม้ว” เข้าประเทศ-ผลประโยชน์มาก่อน !?

ถ้าข่าวที่อ้างรายงานโดยสื่อเยอรมันระบุว่าทางการเยอรมันโดยกระทรวงการต่างประเทศนั้นได้ประกาศยกเลิกคำสั่งห้าม ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา มันก็สะท้อนให้เห็นภาพหลายอย่างตามมา ทั้งในเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่างประเทศ

หลังจากทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกรณีซื้อที่ดินผืนงามย่านรัชดาภิเษก โดยเขาหลบหนีไม่ยอมมารับฟังคำพิพากษาดังกล่าว ขณะเดียวกันยังถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตอีกหลายคดี แต่จำต้องยุติลงชั่วคราวเนื่องจากหลบหนีหมายจับของศาล

จากนั้นทางการไทยก็ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูต(พาสปอร์ตแดง) และติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ขณะเดียวกันมีหลายประเทศในยุโรปรวมทั้งสหรัฐอเมริกาสั่งห้ามเข้าประเทศ โดยเฉพาะ อังกฤษได้อายัดทรัพย์สินของเขารวมทั้งเงินฝากในธนาคารด้วย

สำหรับประเทศเยอรมันนั้นตามรายงานโดยสื่อต่างประเทศระบุว่าได้มีคำสั่งห้าม ทักษิณ เข้าประเทศเมื่อราวปี 2552 และล่าสุดเพิ่งมีรายงานว่าได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในรายละเอียดกรณียกเลิกคำสั่งห้ามเข้าประเทศของเยอรมันมันก็มีข้อน่าสังเกตหลายอย่างตามมา และถือว่าเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะยังเป็นช่วงที่มีคาบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทางการเยอรมันนีทำการยึดอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 จากกรณีบริษัทวอเตอร์ บาวน์ คู่กรณีที่ฟ้องเรียกค่าชดใช้จากรัฐบาลไทย จากเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ากรณีที่เกิดขึ้นได้สร้างรอยร้าวต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุครัฐบาลรักษาการของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เพราะหลังจากนั้นก็มีการเชิญเอกอัครราชทูตเยอรมันมาประท้วง และมีแถลงการณ์ตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศตามมา ซึ่งภาพก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเยอรมันกับ รัฐบาลไทยในปลายยุคของ นายกฯ อภิสิทธิ์ เริ่มไม่ลงรอย

ประกอบกับก่อนหน้านี้หากจำกันได้ก็เคยมีรายงานว่ามีทีมทนายความของ ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกด้วย แต่ต่อมาก็มีการปฏิเสธกันอย่างสิ้นเชิงเรื่องจึงเงียบหายไป อย่างไรก็ดีเมื่อล่าสุดมีรายงานข่าวชิ้นใหม่ก็คือ ทางการเยอรมันยกเลิกคำสั่งห้าม ทักษิณ เข้าประเทศ มันก็ย่อมนำมาปะติดปะต่อรวมกันได้ว่าทั้งสองกรณีน่าจะเชื่อมโยงกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกันทางไหนก็ต้องมาวิเคราะห์กันทีละประเด็น

ถ้าพิจารณากันแบบรวบรัดตัดความแล้วก็ต้องเริ่มจากความสัมพันธ์ที่เริ่มเสื่อมทรามลงระหว่างรัฐบาลเยอรมันกับรัฐบาล อภิสิทธิ์ ในยุคปลาย เพราะหากย้อนไปฟังคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่หลุดปากมาว่าที่ผ่านมาบริษัทวอเตอร์บาวน์ พยามยาม “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อขอให้รัฐบาลไทย “ชำระหนี้” ให้จงได้ ความหมายก็คือ “วิ่งเต้น” กันทุกวิถีทาง แต่ไม่สำเร็จ

ความหมายต่อมาก็คือ เมื่อวิ่งเต้นกับรัฐบาลหนึ่งไม่สำเร็จ ก็ต้องหาทางวิ่งเต้นกับรัฐบาลใหม่ ซึ่งทางการเยอรมันก็ย่อมรู้ข้อมูลดีอยู่แล้วไม่ต่างจากคนไทยว่าคนที่มีอำนาจและเป็น “เจ้าของ” ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตัวจริงก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง มันจึงต้องมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างประเทศในอนาคตหรือไม่

การเปิดไฟเขียวให้ ทักษิณ เข้าประเทศ มันก็เหมือนเป็นการปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ทางด้านอื่นตามมาหรือไม่ เพราะรู้กันอยู่แล้วรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กำลัง “ตกกระป๋อง” เพราะอย่างที่เข้าใจกันก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนใหญ่ล้วนตามมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ไม่ใช่อยู่บนพื้นฐาน หรือหลักการทางกฎหมาย หรือความยุติธรรมที่ตายตัวที่มักอ้างบังหน้าแต่อย่างใดไม่

กรณีที่เกิดขึ้นกับ ทักษิณ ที่เกิดขึ้น หากเป็นจริงตามรายงานข่าวต่างประเทศยืนยัน ประกอบกับความบาดหมางในเรื่องการยึดอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่มีบริษัทวอเตอร์บาวน์ มาเกี่ยวข้องนั้น มันก็สะท้อนให้เห็นว่าทางการเยอรมันได้เปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่อย่างชัดเจนแล้ว และที่สำคัญก็คือเป็นการเลือกที่จะต่อรองผลประโยชน์กับรัฐบาลใหม่ที่ชี้นำโดย ทักษิณ ชินวัตร มากกว่า เพราะภาพที่ปรากฏให้เห็นมันจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้

ขณะเดียวกันมันก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลในยุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อ กษิต ภิรมย์ กว่าสองปี ที่ทำหน้าที่ก็ประสบความ “ล้มเหลว” ในทุกเรื่อง และกรณีเยอรมัน ถือว่าเกิดขึ้นล่าสุด !!

ที่มา: ผู้จัดการ
////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พล.อ.ไวพจน์ ผ่าทหาร-การเมือง ใช้ประโยชน์-ครอบงำ-ไร้สมดุล..!!?


โดย : ปกรณ์ พึ่งเนตร
ทหาร กองทัพไทย กับการเมืองไทยผูกติดมาตลอด ในหลายรูปแบบ ล่าสุดรัฐประหาร2549 ไล่รัฐบาล ทรท.ไป ปัจจุบันกับรัฐบาลใหม่ พท. จะเป็นเช่นไร

พลวัตการเมืองไทยในห้วงครึ่งทศวรรษมานี้ นับจากการรัฐประหารเที่ยวล่าสุดเมื่อปี 2549 ปฏิเสธไม่ได้ว่า "กองทัพ" เข้ามามีบทบาททางการเมืองสูงมาก และกลายเป็นจุดเปราะบางอันสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคู่ขัดแย้งกับทหารโดยตรง
ประเด็นที่เกี่ยวกับ "บทบาท" ที่เหมาะควรของทหาร และ"ระยะห่าง" หรือ "ความสัมพันธ์" ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลควรเป็นอย่างไร เพื่อขับเคลื่อนการเมืองไทยต่อไปในทิศทางที่เหมาะสมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น นับเป็นโจทย์ที่น่าค้นหาคำตอบไม่น้อยทีเดียว

พลเอกไวพจน์ ศรีนวล อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งผ่านงานการเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคง ทั้งผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.) และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานเดิมของเขา คือสำนักนโยบายและแผนกลาโหม ทั้งยังร่วมกับองค์กรเอกชนต่างประเทศจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปกองทัพสำหรับประเทศกำลังพัฒนาด้วย เพ่งมองภาพความเปราะบางนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ

พลเอกไวพจน์ ชี้ว่า ปัญหากองทัพหรือทหารเข้าไปมีบทบาททางการเมือง เกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาแทบทุกประเทศ ไม่เฉพาะไทย สาเหตุประการหนึ่งเป็นเพราะกองทัพมีทรัพยากรบุคคลมาก จึงช่วยงานพัฒนาในประเทศที่ยังไม่พร้อมได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจำกัดบทบาทอยู่เพียงแค่นี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร

แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อสถานการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ฝ่ายการเมืองเองจึงพยายามใช้ทหารเป็นเครื่องมือ เมื่อเลือกใช้ทหาร ฝ่ายทหารก็ชอบ เพราะได้งบประมาณมากขึ้น แล้วก็แสดงบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางประเทศกลายเป็นการครอบงำฝ่ายการเมืองไปเลย ซึ่งเป็นสร้างปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา

ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุด พล.อ.ไวพจน์ บอกว่า ต้องสร้างสมดุลด้วยการ "ปฏิรูปกองทัพ" หรือ Military Reform ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็คิดและทำมานานมากแล้ว แต่ไม่ค่อยมีความคืบหน้า
"สาเหตุที่การปฏิรูปกองทัพทำได้ไม่ค่อยดี เพราะ 1.การเปลี่ยนแปลงกองทัพเป็น Political Issue หรือประเด็นปัญหาทางการเมือง ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนด้วย คือต้องมี Political Will หรือเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน แน่วแน่ แต่บ้านเราฝ่ายการเมืองไม่เข้มแข็ง กลับใช้กองทัพเป็นเครื่องมือ กองทัพก็เอนจอย (enjoy - สนุกสนาน) เพราะได้อำนาจต่อรองเพิ่ม ทั้งงบประมาณ และสถานะ เนื่องจากกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเมืองไปแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปจึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และจะไม่คืบหน้าต่อไปถ้าการเมืองยังไม่เข้มแข็งอยู่แบบนี้"

"2.กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ของกองทัพยังมีลักษณะยึดติดกับกรอบคิดแบบเดิมๆ ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ซึ่งกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ถูกชี้นำโดยประเทศมหาอำนาจ แม้จะยึดผลประโยชน์ชาติ หรือ National Interest แต่ทิศทางยังมีอคติ เพราะอยู่ภายใต้การชี้นำของมหาอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ จึงไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ชาติแบบเต็มร้อย แต่กลับเป็นไปในลักษณะตอบสนอบเฉพาะกลุ่ม"

ในทัศนะของ พลเอกไวพจน์ เขาให้น้ำหนักไปที่กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยเห็นว่าเป็นจุดอ่อนทั้งในระดับกองทัพเองและรัฐบาล เขาขยายความว่า ในระดับผู้นำกองทัพหรือนายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ที่ผ่านมา แม้ทำให้กองทัพมีการเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่เป็นการเปลี่ยนเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อน คือเมื่อเดินตามฝรั่ง ก็จะมุ่งเปลี่ยนแปลงเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งเกิดผลน้อย หากจะเปลี่ยนแปลงให้ได้ผลจริงๆ ต้องเปลี่ยนคู่กัน 2 แนวทาง คือ โครงสร้างการบริหารจัดการ และทิศทางการก้าวเดินซึ่งต้องเปลี่ยนด้วย

เมื่อหันไปพิจารณาในระดับการเมืองหรือรัฐบาล จะเห็นว่าฝ่ายการเมืองเองก็ไม่มีกรอบคิดทิศทางที่ชัดเจน ใครขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ก็ปรับโครงสร้างนิดหน่อย ซื้ออาวุธนิดหน่อย ก็ถือว่าได้ปฏิรูปกองทัพแล้ว ทั้งๆ ที่เรายังมีจุดอ่อนการปฏิรูปเพื่อทำให้เกิดสมดุลระหว่างกองทัพกับการเมืองอยู่มาก

"นายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ในบ้านเรามองแนวคิดแต่ Military Strategy (ยุทธวิธีทางทหาร) คือใช้กำลัง แล้วก็จัดซื้ออาวุธ ถามว่าเดินถูกทางไหม มันก็ถูก แต่ถ้าจะแก้ปัญหาให้ได้ต้องมองให้เหนือกว่าเรื่องยุทธวิธีทางทหาร คือต้องมองไปที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง หรือ Security Strategy"

อย่างไรก็ดี พลเอกไวพจน์ ชี้ว่าสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เพราะในประเทศเหล่านั้นประชาชนจะศรัทธากองทัพมาก และกองทัพมีอิทธิพลมาก เมื่อเสนอยุทธศาสตร์อะไรไป ผู้กุมนโยบายด้านความมั่นคงก็ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ปัญหาจึงแก้ไม่ได้เพราะมองเฉพาะยุทธวิธีทางทหาร

"ยกตัวอย่างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้ามองแค่กรอบ Military Strategy ก็สั่งให้เอากำลังไปวาง แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย จุดอ่อนคือกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ไม่ได้รับการพัฒนา ประชาชนไม่สามารถหวังพึ่งกองทัพให้แก้ปัญหาชาติได้ เพราะแก้ได้แค่ระดับยุทธวิธี จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมากองทัพแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของชาติไม่ได้เลย รวมทั้งปัญหาภาคใต้ด้วย เพราะมองแต่ยุทธวิธีทางทหาร เมื่อผนวกกับการเมืองก็อ่อนแอ ต้องการใช้ทหารเป็นเครื่องมือ จึงยิ่งไม่กล้าปรับเปลี่ยน ทำให้เจตจำนงทางการเมืองไม่แจ่มชัด ถ้าเป็นอย่างนี้ก็พัฒนาไม่ได้"

พลเอกไวพจน์ เสนอว่า การจะก้าวข้ามปัญหานี้ องค์กรเหนือกองทัพต้องแสดงบทบาทมากขึ้น อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และฝ่ายการเมือง จะมาใช้กองทัพแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นปัญหาจะทับถม

"ปัญหาของกองทัพกับปัญหาของฝ่ายการเมือง จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือการกำหนดนโยบายยุทธศาตร์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่หรือขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้ ปัญหาต่างๆ จึงแก้ไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่รีบแก้ตรงจุดที่เป็นต้นเหตุนี้ การก้าวเดินต่อไปจะยิ่งไร้ทิศทาง"

"ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ยังเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง แล้วสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการจัดเวทีไปฟังปัญหา จากนั้นก็นำประเด็นที่รับฟังมากำหนดเป็นนโยบาย วิธีการแบบนี้แม้จะถูกต้องแต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาระดับชาติ เพราะปัญหามันไม่ได้ง่ายแบบเดิมแล้ว ไม่เหมือนยุคสงครามเย็น เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อนสูง ไม่ใช่เรื่อง 1+1 = 2 อีกต่อไป"

"อย่างเช่นการจะสร้างความปรองดอง แล้วบอกว่าคนในชาติมีแต่ความแตกแยก จริงๆ แล้วแตกแยกไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นผลกระทบ ฉะนั้นต้องมองย้อนกลับไปว่าสาเหตุของความแตกแยกเกิดจากอะไร ด้วยเหตุนี้การโฆษณาให้ปรองดองจึงไม่เกิดผลอะไร เพราะต้องเข้าใจและหาวิธีแก้ปัญหาที่แก่น"

"เช่นเดียวกับนโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง ประชาชนชอบเพราะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ฉะนั้นจึงใช้วิธีเดิมๆ ต่อไปอีกไม่ได้ เรากำลังจะมีรัฐบาลชุดใหม่ หลังจากนี้ก็จะมีการแถลงนโยบาย และทำแผนปฏิบัติ แต่ถ้ายังเป็นแผนเดิม ทิศทางก็เดิมๆ ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ"

ส่วนการปฏิรูปกองทัพด้วยการปรับลดขนาดลงเพื่อให้มีความคล่องตัวและพัฒนาประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้นนั้น พล.อ.ไวพจน์เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะภัยคุกคามในลักษณะที่เป็น Traditional Treat (ภัยคุกคามแบบเก่า) ในยุคสงครามเย็น ได้เปลี่ยนเป็น Nontraditional Treat หรือภัยคุกคามแบบใหม่ไปแล้ว

"การต่อสู้กับภัยคุกคามแบบเดิม คือการรบด้วยกำลังทหาร ใครที่มีกำลังพลมากกว่า อาวุธมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะนั้น ปัจจุบันแทบจะหมดไปแล้ว ทุกวันนี้ทุกประเทศพยายามเป็นมิตรกัน มีการรวมกลุ่มกัน เช่น อาเซียน และมีองค์กรระหว่างประเทศคอยแก้ไขความขัดแย้ง อาทิ องค์การสหประชาชาติ ฉะนั้นโอกาสที่จะเกิดการรบขนาดใหญ่มีน้อยมาก"

"ส่วนภัยคุกคามรูปแบบใหม่มี 4 เรื่องหลัก คือ ยาเสพติด แรงงานข้ามชาติ ภัยพิบัติ และก่อการร้าย จึงต้องถือว่ารูปแบบเปลี่ยนไป การลดกำลังพลของกองทัพลงจึงเป็นเหตุเป็นผล ปัจจุบันเทคโนโลยีมีมากขึ้น สามารถใช้แทนได้ และยังเป็นการป้องปรามทางยุทธศาสตร์ โดยไม่ต้องใช้กำลังด้วย เรื่องแบบนี้เราก็เคยคิดกัน แต่อาจจะละเลยไป"

พลเอกไวพจน์ บอกด้วยว่า ระบบป้องปรามทางยุทธศาสตร์ก็เช่น การพัฒนาเรื่องการรบร่วม แทนการจัดซื้ออาวุธบางประเภท เช่น ปืนเล็ก ซึ่งไม่ได้ตอบสนองอะไรในทางยุทธศาสตร์ ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าภัยคุกคามรูปแบบใหม่ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับประชาชน จึงต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและเอ็นจีโอจึงจะประสบความสำเร็จ

ทั้งหมดนี้คือทิศทางที่ควรจะเป็นของกองทัพในความเห็นของอดีตขุนพลด้านความมั่นคงอย่าง พล.อ.ไวพจน์ แต่การปรับบทบาทจะเป็นจริงได้หรือไม่ ต้องย้อนกลับไปถามฝ่ายการเมืองด้วยว่าเมื่อไรจะเลิกใช้กองทัพเป็นเครื่องมือเสียที!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประยุทธ์. ต้องเคลียร์เรื่อง ฮ.ตก ก่อนซื้อล็อตใหม่ 30 ลำ !!?


“ประยุทธ์”ต้องเคลียร์เรื่อง ฮ.ตก ก่อนซื้อล็อตใหม่ 30 ลำ !!

ผ่าประเด็นร้อน

จะเป็นเพราะต้องการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างที่มีความพยายามเปรียบเทียบให้เห็นภาพกรณีที่ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มถูกหลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกถึง 3 ลำในเวลาไล่เลี่ยกันเพียง 8 วันเท่านั้น และเกิดอุบัติเหตุในภารกิจเดียวกัน ในบริเวณใกล้เคียงกัน

อุบัติเหตุทั้งสามครั้งทำให้มีนายทหารระดับสูงคือ พล.ต.ตะวัน เรื่องศรี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 เสียชีวิต รวมไปถึง นักบิน ช่างเครื่อง ทหารและพลเรือนต้องเสียชีวิตรวมแล้ว 17 ศพ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าจนประเมินไม่ได้

ในครั้งแรกที่เริ่มเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ประเภท “ฮิวอี้” ทำให้ทหารเสียชีวิตรวม 5 ศพ ก็ค่อนข้างสรุปตรงกันว่าเป็นเพราะสภาพอากาศปิด ไม่อำนวยแม้เศร้าสลดอย่างไรก็พอทำใจยอมรับได้ว่านี่คืออุบัติเหตุเหลือวิสัย แต่ถัดมาก็มาเกิดซ้ำขึ้นอีกกับเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอร์ค” ที่ถือว่าทรงประสิทธิภาพที่สุดที่กองทัพบกนำเข้าประจำการ สร้างความสูญเสียอีก 9 ศพ และล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมก็มาเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 เสียชีวิตอีก 3 ศพ รอดตายราวปาฏิหาริย์ อีก 1 นาย แต่ก็บาดเจ็บสาหัส

หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้ถึงเพียงนี้ แม้หลายคนยอมรับตรงกันว่าภารกิจทั้งกู้ภัยช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าวต่อเนื่องกันมันสุดหิน สุดอันตราย ยากลำบากอยู่ในป่าดงดิบที่บุคคลทั่วไปจะทำได้ก็ตาม แต่ประเด็นก็คือ ต้องสอบสวนหาสาเหตุให้กระจ่าง เพราะเราไม่ต้องการให้ทหาร โดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย หรือทหารระดับรองลงมาไปเสี่ยง เนื่องจากเป็นความสูญเสียที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแบบนี้อีกแล้ว

แม้ว่าในเบื้องต้นจะสรุปค่อนข้างตรงกันว่าสาเหตุน่าจะมาจากอุบัติเหตุ สภาพอากาศเลวร้าย แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อดไม่ได้ที่ต้อง “สะกิดเตือน” กันดังๆไปถึงผู้บัญชาหารทหารบก ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานสั่งสอบสวนให้ละเอียดอีกทางหนึ่งด้วย เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนมันก็เป็นธรรมดาที่ทำให้ทหาร นักบินเกิดความหวดผวากันบ้าง ไม่เว้นแม้แต่คนไทยทั่วไปที่ช็อกและสลดหดหู่จนบอกไม่ถูก

อย่างไรก็ดีแทนที่ ผู้บัญชาการทหารบกจะเปิดใจกว้างยอมรับให้มีการตรวจสอบและสอบสวน หาสาเหตุอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความสบายใจกันทุกฝ่าย ที่สำคัญเป็นการสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับกำลังพลที่ต้องใช้อากาศยานของกองทัพบกปฏิบัติภารกิจ แต่นี่ตรงกันข้ามกลับแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด กล่าวหาว่าคนที่ออกมาวิจารณ์ดังกล่าวมีเจตนาทำให้กองทัพเสียหายไปเสียอีก

อย่างไรก็ดีสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดและพฤติกรรมของ ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้สวนทางกัน เพราะขณะกล่าวตอบโต้คนที่เรียกร้องให้มีการสอบสวนหาสาเหตุในทุกด้านเพื่อความปลอดภัยของกองกำลังพลนั้น ในทางลับกลับสั่งระงับการบินของเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันตัวเองก็ยังไม่กล้าใช้เป็นพาหนะเดินทางไปประกอบภารกิจ ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างก็คือเมื่อสองสามวันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับเดินทางโดยรถยนต์ไปร่วมงานศพ นายทหารที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าว ที่จังหวัดกาญจนบุรี

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นแล้วว่า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย ถึงกับไม่กล้าขึ้นบิน เพราะถ้ามั่นใจก็ต้องแสดง “ภาวะผู้นำ” ปลุกขวัญทหารแบบนี้ ไม่ใช่มาแสดงอาการกราดเกรี้ยวต่อหน้าสื่อ แล้วบอกว่านี่คือการแสดงภาวะผู้นำ ซึ่งถือว่าแปลกพิลึก

นอกจากนี้สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือมีการแสดงให้เห็นว่าคิดจะใช้จังหวะแบบนี้เตรียมเสนอของบประมาณในปี 2555 กับรัฐบาลใหม่เพื่อจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ล็อตใหม่จำนวน 30 ลำ ใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาท ซึ่งหากว่ากันด้วยความเป็นธรรมมันก็สมควรตั้งงบซื้อ หรือปรับปรุงกันอย่างขนานใหญ่ แต่คำถามก็คือในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้อง “เคลียร์” ทุกข้อสงสัยให้กระจ่างเสียก่อน เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่เห็นต้องแคร์ ตรงกันข้ามดีเสียอีกที่ทุกฝ่ายมีความกระตือรือร้น เป็นเจ้าของกองทัพ เพราะกองทัพเป็นของประชาชน เป็นหลักการปกติทั่วไปอยู่แล้ว

ดังนั้นหากต้องทำให้ทุกอย่างตรงประเด็นก่อนที่จะไปเรื่องอื่นให้เลยเถิดถึงเรื่องอื่น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้องสร้างภาวะผู้นำอย่างแท้จริงด้วยการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วและโปร่งใส เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หรือหากเป็นไปได้น่าจะถึงเวลา “สังคายนา” กันภายในกันสักครั้ง เพราะนี่แหละคือการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างแท้จริง !!

ที่มา: ผู้จัดการ
*************************

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อภิวันท์.แซงขุนค้อนจ่อซิว ประธานสภา พายัพ.ยันภายใน 10 ส.ค.เห็นหน้า ครม.ครบแน่ !!?

นายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ถึงกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ระบุว่าหาก ส.ส.ต้องการเป็นรัฐมนตรี จะต้องไปวิ่งเต้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในต่างประเทศว่า เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น บอกได้เลยว่าคนที่ไปวิ่งเต้นไม่ได้เป็นแน่นอน เพราะตอนนี้เรามีหมูอยู่ หากไก่จะวิ่งให้ได้เป็นหมู คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่หมูที่เรามีอยู่ตอนนี้ ยังเป็นเนื้อสันหรือสามชั้นหรือกระดูกอยู่ เราต้องไปเลือกให้เหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งการเสนอชื่อรัฐมนตรีในส่วนของภาคอีสานนั้นมีรูปแบบการเสนอชื่ออยู่ 2 แบบ คือ 1.การเสนอไปแบบยกตะกร้า เพื่อให้พรรคได้มีการคัดเลือก หรือ 2.เสนอไปแบบขนมชิ้นอร่อยๆ 2-3 ชิ้นเพื่อให้พรรคได้ทดลองเลย

นายพายัพกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการจัด ครม.นั้นขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก หากผู้สื่อข่าวต้องการรู้ถึงตำแหน่งใน ครม.ทั้งหมดขอให้มาถามตนในวันที่ 10 สิงหาคม เพราะเท่าที่ได้ประเมินระยะเวลา หากเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 สิงหาคม ก็น่าจะได้มีการเลือกตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เกินวันที่ 3 สิงหาคม จากนั้นในวันที่ 4-5 สิงหาคม น่าจะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนั้นก็จะเป็นการจัด ครม. ซึ่งน่าจะเห็นหน้าตา ครม.อย่างชัดเจนไม่เกินช่วงวันที่ 8-10 สิงหาคม

ขณะที่แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ประเมินระยะเวลาในการเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล โดยหลังจากรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินวันที่ 3-4 สิงหาคม จากนั้นวันที่ 7-8 สิงหาคม น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็จะมีความชัดเจนเรื่องคณะรัฐมนตรี

แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับการจัดสรรตำแหน่งต่างๆ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนว่าตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 คน จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด โดยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จากเดิมที่มีชื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนั้น นายวิทยาได้แสดงความจำนงกับแกนนำพรรคเพื่อไทยขอรับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ทำให้เหลือเพียงนายสมศักดิ์กับ พ.อ.อภิวันท์ ซึ่งทำให้ พ.อ.อภิวันท์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจาก ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยมากกว่านายสมศักดิ์แรงขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย และกลายเป็นแคนดิเดตอันดับที่ 1 ส่วนนายสมศักดิ์ แม้จะมีประสบการณ์และชื่อเสียงจากการที่เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเสียงคัดค้านจาก ส.ส.จำนวนมาก จึงอาจได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดซีแทน

แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ขณะนี้ยังอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ โดยมีชื่อของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่มีบทบาทในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาตลอดระยะเวลาที่เป็น ส.ส. โดยมีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแม่นยำเรื่องข้อบังคับและเกมการเมือง รวมไปถึงนายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย และนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ที่แม่นยำเรื่องกฎหมายและข้อบังคับ และเป็นตัวแทน ส.ส.ภาคอีสาน ที่จะมารับโควตาในส่วนของภาคอีสาน

แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีความเคลื่อนไหวล่าสุด พบว่ามีชื่อนายฐานิส เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย หลานชายนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีชื่อแรงเข้ามาแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แข่งกับนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่มีรายชื่อแคนดิเดตตำแหน่งนี้เพียงคนเดียวมาตลอด เนื่องจากกระทรวงแรงงาน เคยเป็นกระทรวงในโควตาของพรรคประชาราช ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ เป็นรัฐมนตรี

ที่มา : มติชนออนไลน์
*************************