--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนเป็น คนตาย !!?

เมื่อตัดสินใจเข้าสู่ถนนการเมืองและต้องแบกภาระในฐานะผู้นำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี จึงเหมือนเป็นทุกขลาภ เพราะต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
แม้แต่วันนี้ชัยชนะก็กำลังจะเป็นยาขม เพราะทุกเสียงของประชาชนต่างก็ตั้งความหวังว่าผู้นำและรัฐบาลใหม่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้

ดังนั้น การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้จึงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นแค่เรื่องของโควตาที่ใครก็เป็นรัฐมนตรีได้ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และสามารถทำงานได้ทันทีตามที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เพราะแค่เรื่องการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเรื่องเดียวก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้

ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลและภายในพรรคเพื่อไทยเองก็มีแต่ข่าวในทางลบของกลุ่มต่างๆที่ออกมาเรียกร้องขอตำแหน่ง ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้ดีว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ท่ามกลางเขาควาย ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหลายกลุ่มก็ประกาศชัดเจนว่าพร้อมจะเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลทันทีหากบริหารผิดพลาด หรือพยายามผลักดันนโยบายที่มีผลต่อความขัดแย้ง

จึงไม่แปลกที่แม้แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตำแหน่งเดียวก็ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องออกมาแสดงความชัดเจนว่าจะไม่มีการนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดๆ ซึ่งข่าวที่ออกมาจะเป็นข่าวลือ ข่าวปล่อย หรือข่าวมั่วที่ผู้สื่อข่าวคิดเองก็ตาม ล้วนส่งผลในทางลบทั้งสิ้น

ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นถึงความสำคัญของกองทัพที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ตราบใดที่สถานการณ์ทางการเมืองยังมีความขัดแย้งและแตกแยกสูง

ขณะที่ภาคประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เร่งหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ พร้อมฟื้นฟูสภาพจิตใจครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งนักโทษทางการเมืองและคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยการผลักดันให้เกิดความยุติธรรมตามหลักนิติรัฐ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้มีการประกันตัวตามหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เพื่อเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีความตามกระบวนการยุติธรรม

น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีจึงต้องให้ความสำคัญทั้งเรื่องของคนเป็นและคนตาย ซึ่งไม่ใช่แค่เสถียรภาพของรัฐบาลเท่านั้น แต่ต้องทำให้ระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปอย่างมั่นคงด้วย

เพราะหากไม่มีความยุติธรรมก็ไม่สามารถทำให้ความจริงปรากฏ และไม่มีวันทำให้สังคมไทยเกิดความปรองดองขึ้นได้

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
*******************************************

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เสียงครวญ ฉายแสง.. 19 ปี ไม่เคยสอบตก ยกตระกูล..!!?


ว่าที่ ส.ส. 17 ตระกูล 38 คน ภายในพรรควิ่งวุ่นทวงสิทธิ-บำเหน็จรางวัล หลังจากกรำศึกในพื้นที่จนได้รับชัยชนะ

แต่ยังมีบางตระกูลที่พ่ายแพ้ให้แก่พรรคคู่แข่ง แม้ผลสำรวจ-คะแนนเสียงจะ "นอนกิน" มาตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

หนึ่งในนั้นคือตระกูล "ฉายแสง" เจ้าถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่คว้าชัยมา ตั้งแต่รุ่นพ่อ "อนันต์ ฉายแสง" ซึ่ง ดำรงตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์สมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี

กระทั่งสืบสายเลือด ส่งไม้ผลัดต่อให้ลูกหญิง-ลูกชาย 3 คน "จาตุรนต์-

วุฒิพงศ์-ฐิติมา" ทำให้ตระกูล "ฉายแสง" ยังคงวนเวียนอยู่บนเวทีการเมืองตลอดมา
ครั้งนี้แม้พี่ชายคนโต "จาตุรนต์ ฉายแสง" ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี ตามก๊วนบ้านเลขที่ 111
แต่ยังมี "ฐิติมา-วุฒิพงศ์" ที่ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดฉะเชิงเทรา เขต 1 และ 4 ตามลำดับ
ด้วยบารมี-ผลงานที่สั่งสมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่า ตระกูล "ฉายแสง" จะตกเก้าอี้ ส.ส.
พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับคู่แข่งคนสำคัญ "พรรคประชาธิปัตย์" ทั้ง 2 เขต

บรรทัดต่อจากนี้ คือความในใจของ "ฐิติมา ฉายแสง" ที่เปิดเผยผ่านสายโทรศัพท์กับนักข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความลับ-หมัดเด็ด ที่คู่แข่งยิงตรง ล้มยักษ์ตระกูล "ฉายแสง" ได้สำเร็จ
"เราแพ้ยกตระกูลในรอบ 19 ปี ทุกครั้งที่สมัครรับเลือกตั้ง อย่างส่ง 2 คน อาจจะมีตกบ้าง ได้บ้าง แต่ที่ผ่านมา มีเพียงปี 2535 และครั้งนี้เท่านั้น ที่ไม่มีคนนามสกุลฉายแสงอยู่ในเก้าอี้ ส.ส."
"ปี 2535 คุณพ่อ (อนันต์ ฉายแสง) ซึ่งลงสมัครด้วย แต่ไปช่วยหาเสียงในเขตพี่อ๋อย (จาตุรนต์ ฉายแสง) จนเกิดความประมาท เสียเก้าอี้ให้กับคนอื่น"
เธอบอกว่า "โพลลับ" ก่อนวันเลือกตั้งแค่ 1 วัน ชี้ชัดว่า มีคะแนนนิยมถึง 75% ขณะที่คู่แข่งมีเพียงแค่ 25% แต่ผลลัพธ์ออกมากลับพลิกล็อกสวนทาง

"ครั้งนี้ต้องพูดว่าแพ้เพราะซื้อเสียง แพ้เพราะความไม่ยุติธรรมตามกติกาการเลือกตั้ง"
ปัจจัยแรกที่ทำให้ตระกูล "ฉายแสง" แพ้ เพราะถูกอิทธิพลใหญ่จากเครือข่ายพ่อค้ายาต้องห้ามสกัดดาวรุ่ง
เธอบอกว่า "จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นถิ่นอิทธิพลใหญ่ของพ่อค้า จากอดีตที่เคยเป็นแค่เส้นทางการค้า พัฒนาสู่การเป็นคลังกักเก็บ กระทั่งปัจจุบัน กลายเป็นฐานการผลิตรายใหญ่ในประเทศไทย"
"ในเขตของดิฉัน มีคนเขาว่าพ่อค้าขนเงิน ขนคน มาเล่นงานอย่างเต็มที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้"
เธอยืนยันคำพูดด้วยข้อมูลที่ได้รับจากเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้ง (แอมเฟล) ว่า การซื้อเสียงครั้งนี้ อาศัย "ยา" แทนการใช้เงินสด จึงทำให้ผลประโยชน์ของนักการเมือง-พ่อค้า เอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน

ปัจจัยที่สอง มาจากการซื้อสิทธิ-ขายเสียงผ่านเงินสดด้วยวิธีการที่แยบยล
"เดี๋ยวนี้การซื้อเสียงมีกระบวนการที่แยบยลมากขึ้น ให้ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นหัวคะแนนรายย่อย ชนิดที่เรียกว่าดูแลเพียงแค่ 10-15 คน แล้วค่อยรวมกันเป็นเครือข่าย เรียกได้ว่าซื้อเสียงแบบแชร์ลูกโซ่"
"วิธีการซื้อเสียงเหล่านี้ก็เพิ่งทราบหลังรู้ผลการเลือกตั้ง คืนวันเลือกตั้งเราหมดแรงแล้ว เรารู้ว่าเราแพ้ แต่มีชาวบ้านเดินถือใบแจ้งความมาให้อ่าน มีเนื้อหาสารภาพว่า ได้รับเงินจากนาย ก. มาจริงเพื่อทุจริตการเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน นาย ก. ในฐานะหัวคะแนนก็ไปสารภาพที่สถานีตำรวจ เพราะเห็นว่ายังไม่พ้น 7 วันหลังเลือกตั้ง จะถูกกัน ให้เป็นพลเมืองดีแทนผู้ต้องหา ปรากฏว่าวันนั้นวันเดียวเราได้หลักฐานเป็นใบแจ้งความทั้งผู้ซื้อผู้ขาย"
"บางคนเคยประกาศว่าเป็นนัดล้างตา ต้องใช้เงินถล่มกันเพื่อเกณฑ์คนมาลงเลือกตั้ง ในเขต 1 ลงทุน 50 ล้านบาท ส่วนเขต 4 ของพี่ชาย ซึ่งคู่แข่งไม่ค่อย มีผลงานทางการเมืองต้องใช้เงินถึง 100 ล้านบาทในการเอาชนะเรา"

หมัดเด็ดที่เธอเชื่อว่าจะล้มคู่แข่งจนนำไปสู่การเลือกตั้งซ่อม ไม่ได้มีเพียง คำพูดจากปากพยานเท่านั้น แต่ยังมี "คลิปลับ" ที่เป็นบทสนทนาจากเจ้าตัวกับทีมงานของตนเอง
"ในบทสนทนาเขายอมรับว่าได้มี การจัดเลี้ยงและสัญญาว่าจะให้ ขณะที่กฎหมายการเลือกตั้งระบุชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่ห้ามทำ ซึ่งเหตุการณ์นี้อยู่ในช่วงที่พรรคการเมืองสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงระบบเขต แต่มันก็ชัดเจนว่าพรรคไหนเบอร์อะไร แถมมี คำอุทานที่ว่า ตายแล้วยังไม่ได้ทำเรื่องนี้เรื่องนั้นเลย ถ้าไม่ทำเดี๋ยวจะผิดกฎหมาย"
สิ่งที่ "ฐิติมา ฉายแสง" เป็นห่วงมากที่สุด ไม่ใช่ข้อมูลจากหลักฐานไม่ชัด แต่เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
"บางส่วนของการคัดค้านได้แจ้งเรื่องไปถึง กกต.จังหวัดตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. ซึ่งแนบเอกสารและข้อมูลไปหมดแล้ว โดยตามหลักการจะต้องถึงมือ กกต.ใหญ่ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่มั่นใจว่า ขณะนี้เขารับรู้เรื่องเหล่านี้แล้วหรือยัง เพราะหากรับรู้แล้ว ส.ส.ชุดแรกที่จะได้ การรับรองสิทธิจะต้องไม่มีชื่อของเขต 1 และ 4 จังหวัดฉะเชิงเทรา"

หากผลลัพธ์สุดท้ายการคัดค้านครั้งนี้จะไม่สำเร็จ แต่ตระกูล "ฉายแสง" อยู่เคียงข้าง "ทักษิณ ชินวัตร" มาตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เธอจึงเชื่อว่า ยังมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 1"
"ท่านไม่เคยพูดกับเราโดยตรง แต่ทุกครั้งที่มีประชุมท่านมักจะพูดถึงเรา อย่างโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ ท่านก็ถามว่า เป็นไงบ้าง จะไปถึงฉะเชิงเทราแล้ว ดีใจไหม คนในพรรคเองก็ยังพูดแซวกัน ว่า จะเอากระทรวงไหนที่เป็นอย่างนี้เพราะผู้ใหญ่ทั้งหมดก็รู้ว่าเราทำงาน"
"หากไม่ได้เป็น ส.ส.เราก็ไม่ทวงสิทธิทวงเก้าอี้อะไร เราก็เกรงใจ เพราะมีคนต่อสู้ ทำงานในพื้นที่มาเยอะ แต่ทุกวันนี้ยังช่วยงานพรรคอยู่ คุณปู (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ก็เรียกเราเข้าประชุมทุกวัน ท่านให้ความสำคัญกับเราตลอด ซึ่ง ตอนนี้แม้จะยังไม่ได้เป็น ส.ส. ก็รับหน้าที่ดูแลนโยบายเรื่องสตรีให้พรรค"
เธอบอกว่าตำแหน่ง "รัฐมนตรี" อาจไกลเกินไปที่จะพูดถึงวันนี้ แต่ตำแหน่ง ที่ ส.ส.เป็นไม่ได้ตามกฎหมายอย่าง "เลขาฯ-ที่ปรึกษา" คงไม่ไกลเกินไป สำหรับเส้นทางการเมืองครั้งนี้

"แม้จะเป็นผู้หญิงเหมือนหัวหน้าพรรค แต่ตำแหน่งคู่คิดใกล้ชิดอย่างเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ทำไม่ได้หรอก มีคนเก่งอีกเยอะ อย่างท่านนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ยังครบครันมากกว่า แต่ถ้าหากเป็นรองเลขาฯเราก็พอ ได้นะ"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
***********************************

มาร์ค.ปิดฉาก ครม. เสธ.หนั่น ลั่นพบกันเมื่อชาติต้องการ !!?

ครม.นัดอำลา "เสธ.หนั่น" ตัวแทน ครม. กล่าวลา "มาร์ค" ยกก้นมีจุดเด่นรับฟังคนอื่น ตัดสินใจถูกต้อง ปล่อยมุกทิ้งท้ายพบกันเมื่อชาติต้องการ ด้าน "อภิสิทธิ์" ขอบคุณ ครม.-ขรก.ประจำอวยพรล่วงหน้า รมต.พรรคร่วม รีเทิร์นร่วม ครม.ปู ขรก.กรี๊ดรุมขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นต์...

ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นนัดสุดท้ายของ ครม.รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักชื่นมื่น โดยมีรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมเกือบครบ ขาดเพียงบางคน อาทิ เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร รมช.คมนาคม ซึ่งที่ประชุมได้ใช้เวลาในการหารือและพิจารณาตามระเบียบวาระเพียงสั้นแค่ 1 ช.ม.เศษ

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการประชุม พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ในฐานะรัฐมนตรีอาวุโส ได้เป็นตัวแทน ครม. กล่าวขอบคุณนัดส่งท้ายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยกล่าวว่า ต้องขอขอบคุณนายกฯที่ได้ทำงานร่วมกันมาเพื่อบ้านเพื่อเมืองด้วยดีโดยตลอด ท่านนายกฯ เป็นคนที่มีจุดเด่น ที่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และมีการตัดสินใจที่ดี ที่ถูกต้อง โดยเห็นได้จากเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ทั้งนี้ต้องขออวยพรให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง "เอาไว้พบกันเมื่อชาติต้องการ" พล.ต.สนั่นกล่าว พร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจ

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็ได้กล่าวขอบคุณ ทั้งบรรดาข้าราชการประจำ ที่ได้ร่วมมือร่วมงานกันลุล่วงไปได้ด้วยดี และต้องขอบขอบคุณ ครม.ทุกคน ที่ได้ร่วมงานกันมาเป็นอย่างดี มีงานสำคัญหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จด้วยดี จากการที่ได้รับความร่วมไม้ ร่วมมือด้วยกันมา และตนต้องขอแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีบางท่าน ที่อาจจะได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ด้วย

นอกจากนี้ ในช่วงหนึ่งระหว่างที่นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวฯ ได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยว่าถือว่า ครึ่งปีเข้ามาเกินครึ่งของที่ตั้งเป้าไว้ ถึงสิ้นปีต้องเข้ามามากแน่นอน ดังนั้น จึงขอให้ทาง กต.ยกเว้นการเก็บค่าวีซ่า และตั้งกงสุลให้เยอะๆ ซึ่งนายกษิต ได้แย้งว่า ไม่ควรจะไปยกเว้นค่าวีซ่า เพราะผลประโยชน์จะไปตกอยู่กับบริษัทท่องเที่ยวหมด แต่ควรจะได้เอาเงินไปจัดทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวตัดบทว่า ไม่เป็นไร ก็เดี๋ยวท่านชุมพล ก็ดูแลต่อนี่ คอยดูว่าถึงสิ้นปีนักท่องเที่ยวจะเข้ามาเกินเป้าหรือไม่ เห็นว่านายชุมพลจะได้อยู่ต่อที่เดิม

และในตอนหนึ่งระหว่างพิจารณาการต่ออายุ พ.ร.ก.การบิรหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกฯได้แจ้งต่อครม.ด้วยว่า ตนคาดการณ์ว่าจะมี ครม.ใหม่ได้ก่อนวันที่ 11 ส.ค.นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายเมื่อเลิกการประชุม ครม.ปรากฏว่า บรรดารัฐมนตรีต่างลุกขึ้นเดินวน จับไม้จับมือกล่าวอำลา และอวยพรซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายชวรัตน์ ชาญวีระกูล รมว. มหาดไทย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ที่ลุกขึ้นไปจับมือขอบคุณเลขาธิการ สมช. ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ นอกจากนี้ บรรดาข้าราชการสำนักเลขาธิการ ครม.ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปยังห้องประชุม ครม. เพื่อขอถ่ายรูปร่วมกับนายอภิสิทธิ์ พร้อมขอลายเซ็นต์นายกฯคนที่ 27 เป็นครั้งสุดท้าย บางคนถึงขนาดให้เซ็นต์ลงบนเสื้อ และบางคนได้เตรียมของขวัญมามอบเป็นที่ระลึกแก่นายอภิสิทธิ์ด้วย

ที่มา: ไทยรัฐ
********************************

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยุบเพื่อไทย-โมฆะเลือกตั้งพันธมิตรฯ-ประชาธิปัตย์แท็กทีมร่วมร้องเรียน

ประชาธิปัตย์ยื่นฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยข้อหาติดสินบนสื่อ ส่งคนขาดคุณสมบัติลงสมัคร ส.ส. จี้ต้องสอบให้ได้ข้อยุติก่อนประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ด้านแกนนำพันธมิตรฯยื่นคัดค้านรับรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ระบุต้องประกาศให้เป็นโมฆะและจัดเลือกตั้งใหม่ เพราะมีเรื่องผิดปรกติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายเกิดขึ้นหลายเรื่อง ขู่หากดันทุรังรับรองผลเลือกตั้งเจอฟ้องอาญาซ้ำรอยเลือกตั้งปี 2549 แน่ ด้านเพื่อไทยเตรียมพร้อมเลือกตั้งใหม่ 10 เขต ที่ว่าที่ ส.ส. อาจถูกใบเหลือง มั่นใจไม่กระทบเสียงสนับสนุนรัฐบาลในสภา
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นเรื่องให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทยหลายกรณี ประกอบด้วย 1.เรื่องที่นายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย มีพฤติกรรมติดสินบนสื่อเพื่อให้นำเสนอข่าวพรรคในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และการที่นายวิมเป็นกรรมการบริหารพรรคอาจถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทยได้

2.เรื่องคุณสมบัติของนายก่อแก้ว พิกุลทอง นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยจำคุก ทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยต้องตรวจสอบว่าได้เขียนใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคใหม่หลังออกมาจากเรือนจำหรือไม่

3.กรณีของนายพิชิฏ ชื่นบาน ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 53 พรรคเพื่อไทย ที่เคยถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือนในคดีติดสินบนผู้พิพากษา ถือเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัคร ส.ส. เพราะยังพ้นโทษไม่ครบ 5 ปีตามที่กฎหมายกำหนด

ต้องสอบก่อนรับรองผลเลือกตั้ง
“กกต. ต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาและให้ได้ข้อสรุปก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง”

ที่สำนักงาน กกต. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต. ระงับการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง และให้ประกาศให้การลงคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นบัตรเสีย ไม่สามารถนับเป็นคะแนนได้

พล.ต.จำลองอ้างว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 72 ที่ระบุว่ารัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกเลือกตั้ง แต่ตนและผู้เสียหายกว่า 2 ล้านคนเสียสิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถใช้สิทธิได้เพียงเพราะไปลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเอาไว้เมื่อปี 2550

ขู่ กกต. รับรอง ส.ส. เจอฟ้อง
“หาก กกต. ยังดันทุรังประกาศรับรองผลการเลือกตั้งจะไปยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ และจะฟ้องศาลอาญาเอาผิด กกต. ทั้ง 5 คนด้วย”
นายปานเทพกล่าวว่า มาตรา 110 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ให้อำนาจ กกต. ประกาศให้การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเป็นบัตรเสียทั้งหมดและจัดการเลือกตั้งใหม่ได้หากเห็นว่าการเลือกตั้งไม่สุจริต
ไม่เป็นไปตามกฎหมาย 4 เรื่อง
พันธมิตรฯตรวจพบความผิดปรกติ 4 เรื่องที่เห็นว่าทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะได้คือ 1.การเสียสิทธิของผู้ที่เคยลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อปี 2550 ที่ไม่ได้แจ้งยกเลิก เรื่องนี้ผิดปรกติ เพราะกรณีของ พล.ต.จำลองสามารถใช้สิทธิลงคะแนนในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ได้ทั้งที่ไม่ได้แจ้งยกเลิก แต่วันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมากลับใช้สิทธิไม่ได้ 2.บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อกับแบบแบ่งเขตมีจำนวนไม่เท่ากันเป็นจำนวนมาก 3.กรณีที่พรรคการเมืองประกาศนโยบายทำนองสัญญาว่าจะให้ ถือเป็นการจูงใจให้ประชาชนลงคะแนนให้ เข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง และ 4.การปล่อยให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีอิทธิพลและสั่งการในพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคพลังชล

ระวังผิดซ้ำรอยเลือกตั้งปี 49
“ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ กกต. ไม่สมควรประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง หากยังดื้อดึงประกาศรับรองอาจมีความผิดซ้ำรอยการจัดเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ได้”
ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ เลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ยื่นเรื่องต่อ กกต. ขอให้งดการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และสอบยุบพรรค เพราะปล่อยให้ผู้ที่มีความผิดทางอาญาร้ายแรงที่เกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค นอกจากนี้ยังปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองครอบงำสั่งการพรรคด้วย

เพื่อไทยเตรียมเลือกตั้งซ่อม 10 เขต
นายไพจิต ศรีวรขาน ว่าที่ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนคัดค้านผลการเลือกตั้ง มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับว่าที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 10 กว่าเขต จึงต้องเตรียมความพร้อมในการชี้แจงและการเลือกตั้งซ่อมที่อาจเกิดขึ้นหากได้รับใบเหลือง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีว่าที่ ส.ส. ของพรรคถูกใบเหลือง แต่จะไม่กระทบต่อเสียงสนับสนุนรัฐบาลในสภา

เซ็ง ปชป. เล่นเรื่องหยุมหยิม
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังแสดงให้เห็นถึงความต่ำมาตรฐานในการทำงานที่นำเรื่องไม่เป็นเรื่องมาร้องยุบพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการติดสินบนสื่อ

“นายวิมเป็นสื่อหลายปี ทำไมต้องใช้อีเมล์ตัวเองส่งข้อความเพื่อประจานตัวเองว่าเลี้ยงดูปูเสื่อสื่อ ผมว่าคนที่ทำเรื่องนี้ต้องปัญญาอ่อน อยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายชวน หลีกภัย ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยเรียกลูกพรรคมาอบรมหน่อย เพราะการเล่นไม่เลิกแบบนี้จะทำให้ประชาชนมองว่าตีรวน ขอให้ไปตรวจสอบเรื่องใหญ่ๆดีกว่า อย่ามาอะไรกับเรื่องหยุมหยิมอย่างนี้เลย”

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

ขุนรองปลัดชู. และ วีรชนที่ทำเพื่อชาติ ผู้ถูกลืม..!!?

โดย.โดย พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ
ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีภาพยนตร์เรื่องเล็กๆที่เป็นกระแสพูดถึงในวงกว้าง และเป็นการกระโดดมารับบทบาทการแสดงครั้งแรกของ เช็ก สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ คนต้นเรื่อง แห่ง “คนค้นคน”

เรื่องย่อๆก็คือ ขุนรองปลัดชู ทหารหาญแห่งเมืองวิเศษชัยชาญ หัวหน้ากองอาทมาต มีกำลังพล 400คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความสามารถในการศึกและมีวิชาอาคมแกร่งกล้า ที่ซึ่งอาสาเข้าทำศึกสงครามกับกองทัพพม่าในศึกคราวเดียวกันกับชาวบ้าน บางระจัน โดยกองอาทมาตเข้าร่วมกับกองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ รับหน้าที่เป็นกองสอดแนมข้าศึก ตั้งหลักที่เมืองกุยบุรี (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน) จนกระทั่งวันหนึ่งปะทะเข้ากับกองทัพพม่าที่อ่าวหว้าขาว กองอาทมาตของขุนรองปลัดชูต่างก็ดาหน้าเข้าสู้กับข้าศึกแบบลืมตายถวายชีพ
แต่ด้วยกำลังพลที่มีเพียง 400 คน ฤาจะสู้กับกองทัพพม่าที่มีกำลังพลเรือนหมื่น กองอาทมาตผู้เก่งกล้าค่อย ๆ ทะยอยโดนฆ่าตายไปทีละคน ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังกำดาบอยู่ในมือ จนกระทั่งนายกองคนเก่งโดนจับตัว ไพร่พลที่เหลือจึงโดนไล่ลงทะเลจมน้ำตายไปก็มาก โดนช้างไสงาเข้าแทงตายก็มาก (เนื่องจากมีวิชาอาคมมีดดาบฟันแทงไม่เข้า พม่าจึงใช้วิธีนี้) จึงถือเป็นการปิดตำนานกองอาทมาตลงในที่สุด เหลือไว้เพียงแต่ตำนานเล่าขานมาถึงปัจจุบัน (ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.zonezap.com )
ตัวอย่างภาพยนตร์ \”ขุนรองปลัดชู\”
เรียกได้ว่ากระตุ้น “ต่อมรักชาติ”ให้กับคนส่วนหนึ่งได้มาก ถึงกับพูดว่าเป็นภาพยนตร์ที่กำลังสะท้อนคนเล็กๆน้อยๆที่ถูกหลงลืมในประวัติศาสตร์ของประชาชน
แต่สิ่งที่เป็นคำถามคือ ในสมัยดังกล่าวสิ่งที่เรียกว่า “ชาติ” ดูเหมือนจะเป็นการยกที่ผิดฝาผิดตัวกับวีรกรรมดังกล่าว เหมือนเป็นการเอาบริบทปัจจุบันที่มีความเป็น “รัฐชาติ”แล้วไปอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
หากย้อนไปดุูความหมายของคำว่า “ชาติ”นั้น หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางวัฒนธรรม และมีความผูกพันกันในทางสายโลหิต เผ่าพันธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ตลอดจนมีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน หรือมีวิวัฒนาการทางการเมืองการปกครองร่วมกันในขณะนั้นอยุธยามีสถานะเพียงแค่แคว้นใหญ่ที่มีดินแดนบริวารเท่านั้น โดยการปกครองแบบรวมศูนย์การนิยามคำว่าชาติในสมัยใหม่ในความหมายของ “รัฐชาติ” นั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ “อธิปไตย” ในการปกครองแบบสมบูรณญาสิทธิราชย์นั้น ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยแท้จริงหรือ? ถ้าหากเราเอาสิ่งที่ขุนรองปลัดชูทำนั่น จึงอยู่บนคำถามว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นไปเพื่อ “ชาติ”อันหมายถึงประชาชน พี่น้องร่วมชาติ หรือ “หน้าที่”ที่จำต้องทำตามที่ได้รับการบัญชาจาก “องค์อธิปัตย์” และหากจะบอกว่าวีรกรรมครั้งดังกล่าวนั้นเป็นการปกป้อง กลุ่มคนที่มีเผ่าพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรมเดียวกันหรือไม่นั้น อาจจำต้องพิสูจน์ถึงหลักฐานส่วนอื่นๆประกอบ
บทความดังกล่าวมิได้มีเจตนาลบหลู่ความเชื่อของวีรชนผู้เสียสละ แต่เป็นการตั้งคำถามกลับไปว่า เมื่อมีการจะนำภาพยนตร์ดังกล่าวกำลังทำหน้าที่ “เครื่องมือทางการเมือง” อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่? และถ้าจะต้องรับใช้อุดมการณ์นั้นเป็นอุดมการณ์แบบใด? และเหตุใดชีิวิตของคนตัวเล็กตัวน้อยพวกเขาถึงพึ่งถูกนำมาเสนอในห้วงเวลาดังกล่าว ที่เสียงของ”คนตัวเล็กตัวน้อย”ในสังคมเริ่มดังขึ้น?
หากจะดูแก่นของเรื่องสิ่งที่พยายามจะอธิบายว่า วีรกรรมดังกล่าวอุทิศให้กับคตินิยมแบบ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ซึ่งเป็นอุดมการณ์ไม่ที่เพิ่งเกิดเมื่อวานซืน(เกิดขึ้นย้อนหลังไม่เกิน ทศวรรษ 2500 หรือในสมัย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ) ซึ่งถามกลับไปว่าในสมัยดังกล่าว อะไรคือชาติ? เรื่องศาสนานั้นก็ต้องเข้าใจว่าในสมัยนั้นคงไม่ใช่พุทธแบบในปัจจุบัน และความสัมพันธ์ระหว่างไพร่ฟ้ากับพระมหากษัตริย์ นั้นในอดีตและปัจจุบันมีความแตกต่างกันเช่นไร? ดังนั้นการเปรียบเทียบที่ถูกหยิบยกหลายๆประการ ทั้งจากรายการนำเสนอของทางสถานีไทยพีบีเอส ผ่านวิทยากรต่างๆ ดูเหมือนจะ “ผิดฝาผิดตัว”ค่อนข้างมาก
ภาพเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
กลับมาดู”ประเทศไทย”ในปัจจุบัน เรามีวีรชนที่ถูกหลงลืมมากน้อยแค่ไหน หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 14 ตุลาฯ2516,6 ตุลาฯ2519 , พฤษภาทมิฬ พวกเขาเหล่านี้ถูกหลงลืมในระยะเวลาไม่นานเท่าชั่วอายุคน หนังสือสังคมศึกษาระดับประถมศึกษา 4 -5 มีการพุดถึงการเรียกร้องประชาธิปไตย เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 เพียง 2 บรรทัด แต่เราเล่าฉากการต่อสู้ของชาวบ้านบางระจัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เป็นฉากๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการเลือกที่จะทำให้ลืม และเลือกที่จะทำให้จำ ทางประวัติศาตร์
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีกลุ่มคนจำนวนหลักร้อย เฉลิมฉลอง “วันชาติ” เนื่องในโอกาส 79 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สิ่งที่น่าสนใจคือหน่วยงานรัฐที่ควรจะทำหน้าที่หลักในการจัดการเฉลิมฉลองและรำลึกถึงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สำคัญ เมื่ออำนาจประชาธิปไตยถูกผ่องถ่ายมาอยู่ในมือประชาชน ซึ่งย้ายความหมายมาที่ชาติที่มีประชานและอำนาจอธิปไตยในมือประชาชนเป็นหลักสูงสุด หน่วยงานรัฐกลับไม่มีปฏิกิริยาในงานเฉลิมฉลองดังกล่าว มีเพียงประชาชนเพียงหยิบมือที่ยังคงรำลึกความสำคัญ เคราะห์ร้ายไปกว่านั้น ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาไม่รู้ว่าวันดังกล่าวมีความสำคัญอย่างไรต่อตนเอง แย่ไปกว่านั้นผู้ที่มาร่วมฉลองวันชาติกลับถูกมองว่าเป็นเพียง”กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่มีความคิดอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นี่เป็นความสำเร็จของการลักพาตัวความทรงจำและการทำให้ถูกลืม แม้กระทั่งผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่าง นายปรีดี พนมยงค์ พระยาพหลพลพยุหเสนา ฯลฯ ก็ยังถูกทำให้กลายเป็น “ผุ้ที่ตกสำรวจทางประวัติศาสตร์”
เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 และวีรชนนิรนาม
และ 24มิถุนายน ก็คงไม่แตกต่างจากงาน 14 ตุลาฯ , 6ตุลาฯ หรือ พฤษภาทมิฬ ที่มีแค่ญาติผู้เสียชีวิต นักต่อสู้ที่ปัจจุบันกลายเป็นนักการเมือง หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือคนที่ไม่มีส่วนร่วมแต่ใช้งานดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการปั๊มตรา “ประชาธิปไตย”ให้กับตนเอง ทั้งๆที่มีอุดมการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยของประชาชนอย่างสุดขั้ว
ในห้วงเวลา 4 -5 ปีประชาชนสองฝั่งออกมาต่อสู้นิยามคำว่า “ชาติ” ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า ชาตินั้นต้องประกอบด้วย ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ การปกครองประเทศเป็นเรื่องของผู้มีทรงศีลธรรมและบารมี ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนิยามคำว่าชาติหมายถึงอำนาจสูงสุดอยู่ในมือประชาชน ผู้ปกครองมาจากการเลือกสรรของประชาชน ช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสองฝ่ายมีผู้สูญเสีย เพียงแต่ว่าการเลือกจำและเลือกลืม ของแต่ละฝ่าย บางฝ่ายเลือกรวมไปถึงสื่อมวลชนและกรรมการสิทธิมนุษยชนชุดปัจจุบันหลายท่าน เลือกที่จะจำเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ 2551 แต่บางฝ่ายของคนเสื้อแดงเลือกจำวีรชนนิรนามของเขาในรูปแบบ “มุขปาฐะ”ที่ไม่ถูกนำเสนอผ่านสื่อกระแสหลัก ที่เลือกสะท้อนภาพความเสียหายของสถานที่ต่างๆแทน พร้อมกับประชาชนบางส่วนที่เลือกจะมองไม่เห็นคนที่ตายบนถนน ภายใต้กรอบความคิด “ขอความสุขจงคืนกลับมา” และ “Together we can” และใช้ชีวิตประจำวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสมือนว่าชีวิตของคนเหล่านั้นมิคู่ควรต่อการจดจำ
หมุดคณะราษฎร สัญลักษณ์ที่ทำให้ถูกลืม?
การมองย้อนอดีตไปยังวีรชนคนตัวเล็กตัวน้อย (จริงๆก็ไม่เล็กน้อย เพราะว่ามีตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ และก็อาจไม่ได้เรียกว่านิรนามหรือถูกลืมเพราะมีอนุสาวรีย์เป็นที่ประจักษ์) ที่ถูกลืมอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่อย่าลืมประวัติศาสตร์ของประชาชนในยุคใหม่ ที่คำว่าชาติถูกผ่องถ่ายมาอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนและมีวีรชน “นิรนาม”ที่พลีชีพเพื่อประชาธิปไตยของประชาชน หากชาติที่นิยามไม่ถูกรวมถึงประชาชน จะมีคุณค่าอะไร? ไม่ได้ขอเรียกร้องให้ต้องสร้างภาพยนตร์เพื่อรำลึกวีรชนนิรนาม เพียงแต่อย่าลืมในสิ่งที่เขาทำและจงปกป้องประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยที่พวกเขาสละชีวิตเพื่อปกป้องเท่านั้นพอ!!

ที่มา.Siam Intelligence Unit
----------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไทย-กัมพูชา ต้องเจรจา อย่าตกหลุมพรางปลุกระดม !!?

โดย : ประสิทธิ์ ไชยชมพู

ถูกใจเขมรนัก ไทยจะมีรัฐบาลใหม่พรรค พท.เป็นแกน พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ประเทศ อธิปไตยดินแดน แหล่งน้ำมันในอ่าวไทย ช่วยคนไทยถูกจับอย่างไร
เมื่อพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งมาอันดับหนึ่ง สร้างความพอใจให้กัมพูชาอย่างเหลือล้น ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ติงรัฐบาลชุดใหม่ ให้เน้นความสำคัญปกป้องผลประโยชน์ประเทศไทย โดยต้องดูแลเขตแดนทางบกให้เรียบร้อย ถ้าเร่งทำเรื่องเขตแดนทางทะเล โอกาสจะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์นั้นไม่คุ้มค่า (5 ก.ค.54)

ก่อนนั้น นายฮอ นำฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา แสดงความคาดหวังว่าจะทำงานกับรัฐบาลไทยชุดใหม่ได้ดี โดยเฉพาะปัญหาเขตแดนทับซ้อนทางทะเล ซึ่งประเทศไทยน่าจะเปิดช่องให้บริษัทเข้าไปสำรวจแหล่งน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทยได้
ย้อนไปเมื่อ 6 มิ.ย. สื่อทีวีและหนังสือพิมพ์กัมพูชา ลงข่าวนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โต้ตอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายอย่าง ประโยคที่มีนัยสำคัญ คือ ความว่า
"กัมพูชาและไทยมีพื้นที่ทับซ้อนกันในทะเล ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนทางบกไม่ว่าที่ใดก็ตาม"
คำกล่าวนี้รวมถึงท่าทีของคณะรัฐบาลกัมพูชาในหลายวาระ โดยเฉพาะช่วงไปชี้แจงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (30-31 พ.ค.54) ตีความเข้าข้างตัวเอง โดยอ้างบันทึกความเข้าใจร่วมไทย-กัมพูชา 2543 (เอ็มโอยู 43) เป็นการตกลงปักปันหลักเขตแดนร่วมกันเท่านั้น ไม่ใช่การพิจารณาร่วมกำหนดเขตแดน

เฉพาะเขตแดนทางบกก็บานปลายถึงขั้นสู้รบด้วยอาวุธหลายระลอก ยังเรื่องเขตแดนทับซ้อนทางทะเลมีแหล่งพลังงานมูลค่ามหาศาลอีก ซึ่งเป็นหนึ่งประเด็นการปลุกระดมชุมนุมปี 2549 ปี 2551 และ 2554 แต่ทั้งหมด ข้อมูล เท็จ,จริง ยังคลุมเครือ
อ่าวไทยกับแหล่งพลังงาน
*จากหนังสือ "เขตทางทะเลของประเทศไทย" พลเรือเอกถนอม เจริญลาภ อดีตเจ้าหน้าที่เทคนิกของคณะผู้แทนไทยในการเจรจากำหนดเขตทางทะเลกับมาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา ในอ่าวไทย และพม่า อินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในทะเลอันดามัน และที่ปรึกษารัฐบาลเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเล เขียนไว้เป็นตำรา สาระสำคัญมีว่า
ในอดีต อ่าวไทยตอนบน(ตอนใน) นักแผนที่เรียกอ่าวตัว "ก" แผนที่เดินเรือต่างประเทศในอดีตเรียก "อ่าวกรุงเทพ" ส่วนเส้นปิดอ่าวไทย"ชั้นนอก" ไทยกำหนดเอาปลายแหลมแสมสาน แนวละติจูด 12 องศา 35 ลิปดา 45 ฟิลิปดาเหนือ เป็นเส้นปิด [ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องอ่าวไทยตอนใน, แผนที่แสดงอ่าวประวัติศาสตร์ของประเทศไทย, แผนที่ท้าย พ.ร.บ.กำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ.2502)]
เบื้องต้นต้องรู้ว่า ก่อนมีกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเลและไหล่ทวีปนั้น รัฐชายฝั่งรอบอ่าวไทย คือ ไทย กัมพูชา เวียดนาม และ มาเลเซีย ต่างยอมรับประกาศทะเลอาณาเขตเพียง 3 ไมล์ทะเล เมื่อมีอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1958 ว่าด้วยเขตไหล่ทวีป ประเทศรอบอ่าวไทยจึงประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล

แต่ก็ยังไม่มีประเทศใดประกาศเขตไหล่ทวีปตามอนุสัญญานี้
จากปัญหาน้ำมันแพงเพราะกลุ่มผู้ค้าโอเปค รวมหัวกำหนดราคา ประกอบกับผลศึกษาทางธรณีวิทยา “อ่าวไทย”น่าจะเป็นแหล่งปิโตรเลียมที่สมบูรณ์ จึงจูงใจให้รัฐติดฝั่งทะเลต่างแสดงสิทธิอธิปไตยเหนืออาณาเขตทะเล จึงทำให้เขตไหล่ทวีปทับซ้อนกัน 4 ประเทศ คือ ไทย เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย
ไทยอ้างสิทธิครอบคลุมบางส่วนบนไหล่ทวีปในอ่าวไทย โดยแผนที่และประกาศเขตสัมปทานขุดค้นและแสวงประโยชน์ปิโตรเลียมในอ่าวไทย พ.ศ.2510 ต่อมา มีประกาศพระบรมราชโองการ กำหนดเขตไหล่ทวีปของไทยด้านอ่าวไทย ลงวันที่ 18 พ.ค.2516
2510 -2514 ไทยจัดทำหลักเกณฑ์การขออนุญาตสำรวจและผลิตปิโตรเลียม พร้อมจัดแผนที่แสดงและปรับปรุงแผนที่เขตสัมปทาน 5 ครั้ง แต่...แผนที่เหล่านี้ไม่มีพิกัดจุดต่างๆ ด้านประชิดกับ 3 ประเทศ และตอนนั้นก็ไม่มีประเทศใดคัดค้านหรือทักท้วง!

แม้จะอธิบายเขตแดนทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชา แต่ก็ต้องเชื่อมโยงกับเวียดนามพอสังเขปด้วย
เวียดนาม เขตไหล่ทวีป พ.ศ.2514
เวียดนามเรียกเขตไหล่ทวีป เป็นเขตขุดค้นแสวงประโยชน์จากปิโตรเลียม (ทำนองเดียวกับไทย) แต่มีค่าพิกัดกำกับตลอดแนวทั้งในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้
ประกาศเขตไหล่ทวีปเวียดนาม 2514, และประกาศเขตไหล่ทวีปกัมพูชา 2515 ส่วนไทยประกาศ 2516 จึงทำให้มีพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 4,000 ตารางไมล์ทะเลในอ่าวไทย จากทั้งหมดประมาณ 10,000 ตารางไมล์ทะเล (แผนที่เลข 10)
กระทั่งเวียดนามใต้ล่มไป เป็นเวียดนามปัจจุบัน กัมพูชาพ้นจากเขมรแดงยึดครอง เป็นกัมพูชาปัจจุบัน ใน ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) เวียดนามกับกัมพูชา ได้กำหนดเส้น Working Arrangement Line ในอ่าวไทย แบ่งเขตไหล่ทวีป 2 ประเทศด้วยเส้นมัธยะจากจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะไว(กัมพูชา) กับเกาะปันจังหรือโตจู(เวียดนาม) ลงมาทิศตะวันตกเฉียงใต้

ไทยกับเวียดนามใต้ เจรจาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยอย่างไม่เป็นทางการ พ.ศ.2515 แล้วเว้นไป 20 ปีเปิดเจรจาอีกเป็นทางการระหว่าง พ.ศ.2535 ถึง 2540 รวม 9 ครั้ง จึงได้ข้อยุติ
สาระสำคัญ คือ ฝ่ายไทยได้พื้นที่ 67.5% ฝ่ายเวียดนามได้ 32.5% ของพื้นที่ทับซ้อน หรือ 4,101 ตร.กม. กับ 1,972 ตร.กม.ตามลำดับ ลงนามเมื่อ 9 ส.ค.2540 แลกเปลี่ยนสัตยาบันเมื่อ 27 ก.พ.2541
ไทย-กัมพูชา เจรจาเขตแดนทางทะเล
กัมพูชาประกาศกฤษฎีกาเขตไหล่ทวีป(439/72/PRK) ผนวกแผนที่เดินเรือกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศส ลงนามโดยประธานาธิบดีลอน นอล เมื่อ 1 ก.ค.1972 (หมายเลข 4) ถัดมา 12 ก.ย.1972 มีประกาศกฤษฎีกากำหนดทะเลอาณาเขตของกัมพูชา(518/72/PRK) พร้อมแผนที่ผนวก
ไทยกับกัมพูชาเจรจาเขตแดนทางทะเล ครั้งที่ 1 เมื่อ 2-5 ธ.ค.2513 ณ กรุงพนมเปญ แต่ชะงักไปถึง 24 ปีด้วยปัญหาภายในกัมพูชา

การเจรจาเริ่มใหม่ในพ.ศ.2537 ต่อเนื่องมาจนถึงบัดนี้ และพักการเจรจาไว้ ยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งผู้เขียน(พล.ร.อ.ถนอม) เห็นว่ายังไม่สมควรนำรายละเอียดมาเผยแพร่
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็น "เกาะกูด" มีคนจำนวนมากยังเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งก็มีส่วนอยู่บ้างในการเจรจา เพราะเกาะกูดครึ่งล่างอยู่ในบริเวณ(ซึ่งกัมพูชาอ้างว่า) เป็นพื้นที่ทับซ้อน แต่ในรายละเอียด พลเรือเอกถนอม ยืนยันว่า "เกาะกูด" อยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยทั้งเกาะอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ความสรุปจากหน้า 209 ...รัฐบาลลอนนอล ขีดเส้นเขตไหล่ทวีปจากจุด A อ้างว่าคือหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ 73 (สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907) ลากจากทิศตะวันตกเฉียงลงใต้เล็กน้อย (เล็งตรงมายอดสูงสุดเกาะกูด) เขตไหล่ทวีปกัมพูชาจะหยุดเพียงขอบเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วเส้นจะเริ่มต้นใหม่ทางขอบเกาะเกาะกูดด้านทิศตะวันตก ในระดับและทิศทางเดียวกัน ตรงไปทิศตะวันตกจนถึงเกือบกึ่งกลางอ่าวไทย
กึ่งกลางขอบตะวันตกเกาะกูดมีอักษรภาษาอังกฤษกำกับว่า "koh Kut (Siam)"
จะเห็นว่าเส้นนี้ไม่มีข้อพิจารณาใดเลยว่า กัมพูชาอ้างสิทธิใด ๆ บนเกาะกูด

จากแผนที่ผนวกประกาศทะเลอาณาเขตกัมพูชา เส้นสีดำทึบอยู่ด้านซ้ายเส้นขอบนอกทะเลอาณาเขตกัมพูชา ออกจากจุด A ซึ่งเป็นหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ลากจากตะวันตก โดยทับเส้นเขตไหล่ทวีปมาถึงจุด E1 ที่ขอบตะวันออกเกาะกูด จากจุด E1 จะมีเครื่องหมาย (++++) ทอดชิดกับขอบเกาะกูดด้านตะวันออกลงมาทางใต้จนถึงจุด E2 ที่ปลายเกาะกูดด้านใต้
เครื่องหมายบวกนั้น ในแผนที่หมายความว่า "เขตแดนระหว่างประเทศ"
จากเส้นแสดงทะเลอาณาเขตกัมพูชา แสดงชัดว่า กัมพูชาไม่ได้อ้างสิทธิเหนือเกาะกูดเลย จากจุด E1 ถึง E2 กัมพูชาแสดงเครื่องหมายเส้นเขตแดนระหว่างประเทศกำกับพื้นที่ไว้ และเส้นทะเลอาณาเขตกัมพูชาที่แนบชิดกับเกาะกูดทางด้านตะวันตกของปลายด้านใต้ของเกาะก็เป็นสิ่งแสดงชัดว่า เกาะไม่ได้เป็นของกัมพูชา
เพราะถ้ากัมพูชาคิดว่าเป็นของตน ทะเลอาณาเขตของกัมพูชาจะต้องขยายไป 12 ไมล์รอบเกาะที่เป็นของกัมพูชา อีกทั้งข้างเกาะกูดด้านซ้ายยังเขียนกำกับว่า “เกาะกูด(สยาม)” ด้วย

ยิ่งกว่านั้น สิ่งสำคัญมาก คือ “กระโจมไฟเกาะกูด” กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ สร้างไว้ปลายด้านใต้ของเกาะกูด โดยประกาศชาวเรือ(Nation to Mariners) 19 ธ.ค.2517 มีรายละเอียดตำบลที่ติดตั้งลักษณะกระโจมและลักษณะไฟ ส่งไปประเทศสมาชิกองค์การอุทกศาสตร์สากล
การติดตั้งกระโจมไฟจะถูกนำไปแสดงในแผนที่ประเทศเดินเรือประเทศต่าง ๆ เช่น แผนที่เดินเรืออังกฤษหมายเลข 3967
การตั้งกระโจมไฟเป็นหลักฐานแสดงอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยเหนือเกาะกูดเสียยิ่งกว่าการย้ายคนเข้าไปอยู่ หรือเอาทหารเข้าไปตั้งหน่วย
ดังที่ศาลโลกตัดสินคดีพิพาทระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย เหนือเกาะลิกิตัน และเกาะสิปาตัน** (Ligitan and Sipatan) เสร็จสิ้นเมื่อ 17 ธ.ค.2545 โดยกระโจมไฟของมาเลเซียติดตั้งบนเกาะทั้งสอง มีส่วนอย่างสำคัญทำให้ได้เกาะทั้งสอง
สรุป
ดังนั้น คำกล่าวของคณะรัฐบาลกัมพูชา ต่อเรื่องเขตแดนทางบกไม่มีทับซ้อนกับไทยเลย จึงไม่อาจจะเชื่อถือได้ เช่นเดียวกัน ไม่อาจให้บริษัทต่างชาติเข้ามาสำรวจแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทยได้ โดยยังไม่มีข้อตกลงเขตแดนสองประเทศ
ส่วนจะขึ้นทะเบียนร่วมปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก รวมกับโบราณสถาน โบราณวัตถุอื่น ๆ ในดินแดนประเทศไทย ให้ครบองค์ประกอบความเป็นเทวสถานแห่งนี้ เพื่อบริหารจัดการให้สมกับเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม ซึ่งอย่าเอาแผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน หรือเรื่องเขตแดนมาเกี่ยวข้องเป็นเด็ดขาด
เพื่อไม่ให้อ้างอิงยึดโยงไปตลอดแนวชายแดนทางบก ตามที่คนไทยกังวลวิตก และพฤติการณ์ของกัมพูชาก็ส่อแสดงไปเช่นนั้น กระทั่งนำไปสู่การสู้รบ การจับกุมนายวีระ สมความคิด น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์

สิ่งที่ต้องย้ำคือ ไม่ว่าใครจะขีดเส้นเขตแดนลงในแผนที่ใด ๆ ก็ตาม จะไม่มีผลบังคับใช้ได้ ตราบใดไม่ผ่านมติเจรจาข้อตกลงร่วมกัน 2 ประเทศ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศรองรับ
สัมภาษณ์
เจรจาวันนี้ แสวงประโยชน์ร่วมอนาคต
พลเรือเอกถนอม เจริญลาภ  อธิบายเพิ่มเติมว่า การประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1958 ซึ่งได้นิยาม ไหล่ทวีป ว่า ใช้อ่างอิงถึง พื้นดิน ท้องทะเล และดินใต้ผิวดิน (sea-bed and subsoil) ของบริเวณใต้ทะเล (submarine areas) ที่ประชิดกับชายฝั่งแต่อยู่ภายนอกบริเวณทะเลอาณาเขตจนถึงความลึก 200 เมตร ฯ

จากนิยามไหล่ทวีป เส้นเขตไหล่ทวีปก็คือเส้นที่ทอดไปตามพื้นท้องทะเล (sea-bed) ไปตามบริเวณใต้ทะเล (submarine areas) ดังนั้น ไม่เกี่ยวกับเกาะหรือแม้แต่ห้วงน้ำหรือมวลน้ำอยู่เหนือพื้นท้องทะเลเสียด้วยซ้ำ
ซึ่งข้อพิจารณานี้สอดคล้องกับแผนที่ผนวกกฤษฎีกาประกาศเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาฉบับจริงที่เป็นทางการ
พลเรือเอกถนอม กล่าวอีกว่า การขุดเจาะสำรวจพลังงานจะทำได้ก็ต่อเมื่อ ข้อตกลง 2 ประเทศชัดเจน ตัวอย่างการเจรจากับมาเลเซีย ระหว่าง 2515 - 2522 พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรีของไทย กับนายดาโต๊ะ ฮุสเซนออน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ลงนามในปี 2522 เพิ่งจะมกราคม 2548 ได้ก๊าซขึ้นมาใช้ กับเวียดนาม ใช้เวลาถึง 25 ปี ดังนั้น กับกัมพูชา ยืนยันได้ไม่สามารถจะให้สัมปทานในเขตทับซ้อนทางทะเลกับไทยได้อย่างแน่นอน
"บริษัทน้ำมันจะไม่สุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา เพราะมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศกำกับอยู่ ประเทศคู่กรณีต้องตกลงกันได้เสียก่อน อีกอย่าง การลงทุนสูงมาก แท่นขุดเจาะมูลค่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จะไม่เอามาลงง่าย ๆ"
สำหรับเขตแดนทางบกนั้น อดีตเจ้ากรมอุทกศาสตร์ กล่าวว่า ต้องยอมรับประเทศไทยหรือสยาม ถูกประเทศมหาอำนาจทั้งอังกฤษ และฝรั่งเศสเอาเปรียบ กับฝรั่งเศส ไทยต้องจำยอมทำสนธิสัญญาเสียเปรียบ เขตแดนทางบกตั้งแต่ ค.ศ.1902 1904 1907 และ 1908 สมัยนั้นนอกจากถูกบีบบังคับด้วยแสนยานุภาพทางทหาร ยังเสียเปรียบทางเทคนิค และเจตนาเอาเปรียบดื้อ ๆ อีกด้วย เช่น สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม กรณีพรมแดนไทย-ลาว ระบุให้แบ่งตามร่องน้ำลึก แต่กรณีเป็นโขดหินที่ดอนและเกิดร่องน้ำหลายร่อง ให้ถือเอากึ่งกลางร่องน้ำที่ติดฝั่งไทยที่สุด แม้ไม่มีน้ำไหลผ่านตลอดฤดูก็ตามเรียกว่า หมาป่ากับลูกแกะ นั่นแหละ คือยังไงลูกแกะก็ผิด

กับกัมพูชา นอกจากสยามเสียเปรียบด้วยเทคนิคแล้ว ยังเสียเปรียบด้วยคำพิพากษาศาลโลก คนไทยต้องเข้าใจไม่ว่ารัฐบาลใดมาบริหาร ยุทธศาสตร์ต้องเหมือนเดิม คือผลประโยชน์ประเทศชาติสูงสุด ส่วนยุทธวิธี ก็ปรับไปตามสภาพ
การเจรจาแสวงประโยชน์ร่วมกัน อาจต้องให้เวลานานถึง 30-40 ปี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในและระหว่างประเทศ บอกได้เลยว่า แม้ไทยกับกัมพูชาตกลงแสวงประโยชน์ร่วมกันได้ในทะเล อีก 10 ปีก็ยังไม่แน่จะได้น้ำมันคิวบิกเมตรแรกมาใช้
เรื่องนี้ละเอียดซับซ้อน บางคนจะเอามาเป็นเครื่องมือปลุกระดมได้ ซึ่งเรื่องดาวเทียมสำรวจแหล่งพลังงานในทะเลแบบแม่นยำก็เช่นกัน ยังไม่มี เทคโนโลยียังไปไม่ถึงขั้นนั้น อาจต้องใช้เวลาอีกห้าสิบปีจะไปถึงจินตนาการนั้นได้ ตัวอย่างเช่นจีนพิพาทกับเวียดนาม ก็เพราะวางท่อสำรวจ และเวียดนามอ้างว่าเรือลาดตระเวนของจีนมาชนสายเคเบิ้ลขาด ตึงเครียดไปทั้งอ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้ ก็คือเทคโนโลยีตัวนี้
"บ่อน้ำมัน ไม่ใช่บ่อน้ำธรรมดา ค่าวางท่อก๊าซ กิโลเมตรละ 2 ล้านบาท นับร้อยกิโลเมตรเป็นเงินเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเกาะกูด ต้องเรียนว่า เขมรเคยอ้างสิทธิเฉพาะทะเลด้านใต้เกาะกูด ไม่ได้อ้างผ่าเอาครึ่งเกาะกูด แต่ก็น่าคิดกับคำพูดทำนองว่า เกาะกูดตั้งล้ำเข้าไปในอาณาเขตทะเลของกัมพูชา!" พลเรือเอกถนอม กล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิง
*เขตทางทะเลของประเทศไทย พลเรือเอก ถนอม เจริญลาภ, พิมพ์เมษายน 2550 : จัดพิมพ์และจำหน่าย บริษัท สำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด
**อ่านเพิ่มเติมใน "ปัญหากำหนดเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา" กวีพล สว่างแผ้ว, เอกสารหมายเลข 13 ประกอบงานสัมมนา "รัฐชาติ-พรมแดน : ความขัดแย้งและข้อยุติบนเส้นทางสันติภาพอาเซียน" 27 พ.ย.2552

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดชื่อต้องห้ามรัฐมนตรี ทักษิณ.แจกใบแดงคู่แค้น..!!?


บรรยากาศ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) ถนนเพชรบุรี อบอวลไปด้วย "ฝุ่น"
หลัง "พรรค 265 เสียง" ประกาศความสำเร็จในการจัดตั้ง "รัฐบาลผสม 5 พรรค"
หลัง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 จ่อขึ้นเก้าอี้ "นายกรัฐมนตรีคนที่ 28" ของไทย

หลังคนการเมืองทั้งใน-นอกพรรค พากันปล่อยชื่อจริง-ชื่อลวง-ชื่อล่อให้หลงทางออกมาทางหน้าสื่ออย่างสนุกสนาน โดยหมายเตะตัดขา "คู่แข่ง" ให้สะดุดลงกลางทาง เพื่อให้ตนวิ่งเข้าเส้นชัย-ได้ครอบครองเก้าอี้ "คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดที่ 60" สมใจ
อย่างไรก็ตาม หากรู้จักคนอย่าง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี-นายใหญ่ พท. ย่อมรู้ว่าเขามีวิธี "บริหารคน" ที่ไม่ธรรมดา
สายตรง "ดูไบ" แจ้งว่า การจัดสรรโควตา ครม. 35 ตำแหน่ง และประธานสภาและรองประธานสภา 3 ตำแหน่ง รวม 38 ตำแหน่ง อยู่ภายใต้เงื่อนไข-หลักเกณฑ์อย่างน้อย 5 ข้อ ดังนี้

หนึ่ง ปูนบำเหน็จให้ "มือทำงานพรรค-ผู้จงรักภักดีนายใหญ่" ตลอดห้วง 2 ปีที่ผ่านมา
สอง ส่ง "ลูกน้องคนสนิท" ไปคุมกระทรวงที่ต้องบริหารจัดการเป็นพิเศษ
สาม เปิดทางให้ "คนนอก" เข้ามารั้งเก้าอี้กระทรวงด้านเศรษฐกิจ (บางส่วน) และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของรัฐบาล เช่นเดียวกับกระทรวงกลาโหมที่เปิดทางให้ "คนในเครื่องแบบ" ส่งชื่อแคนดิเดตรัฐมนตรีมา เพื่อบริหารความสัมพันธ์กับกองทัพ
สี่ เน้นหยิบคนการเมืองจากบัญชีรายชื่อ (โดยให้ลาออกจากการเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นเป็น ส.ส.แทน) บัญชี 2 และบัญชี 3 ของ พท. เป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อ "เสียงในสภา"
และห้า ปิดโอกาสบรรดา "คนเคยรักที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน" ไม่ให้ขึ้นแท่นเสนาบดี

ว่ากันว่า "เงื่อนไขข้อ 5" นี้เป็น "เงื่อนตาย" ที่ทำให้ "ความฝัน" ของ "ใครหลายคน" สลายลงในชั่วพริบตา เพราะรู้ว่างานนี้ "นายใหญ่" เอาจริง

หลังมีตัวอย่างให้เห็นจากการ "แจ้งเตือน-แจกใบเหลือง" ให้คนเหล่านี้มาแล้วก่อนการเลือกตั้ง!
ในขณะที่ "บัญชีแคนดิเดต รมต." กำลังถูกคนใน พท. รุมเขย่าอย่างเมามัน "บัญชีบุคคลต้องห้ามดำรงตำแหน่ง รมต." ก็ถูกจารึกติดอยู่ที่ข้างฝา "คนดูไบ" โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
"กลุ่มแรก" หนีไม่พ้น "กลุ่มมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่สร้างความคับแค้นใจให้ "นายใหญ่" หลายกรณี ไล่ตั้งแต่การตั้งก๊กต่อรองตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ โดยจ่ายเงินให้ "ลูกก๊วน" รายละ 1 แสนบาท/เดือน
จากนั้นเมื่อมานำทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล "อภิสิทธิ์" ก็สร้างผลงานได้แบบไม่น่าประทับใจ จนหลายคนบ่นเสียดายเวลาและโอกาส

แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ "มิ่งขวัญ" โดน "ใบเหลือง" คือการเปิด "ปฏิบัติการ 3 ประสาน" ด้วยความร่วมมือจาก "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตประธาน พท. และ "เสนาะ เทียนทอง" อดีตหัวหน้า ป.ช.ร. ในการ "ปั่นหัว" คน พท. ให้ "แปรพักตร์" ออกไปร่วมงานกับพรรคประชาราช (ป.ช.ร.)
ทำให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" โกรธมาก และได้ "สั่งสอน" ด้วยการแสร้งทำ "ชื่อตก" จากบัญชีผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคทั้ง 2 ระบบในวันเปิดนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" เมื่อวันที่ 23 เมษายน
แม้สุดท้ายชื่อ "มิ่งขวัญ" จะกลับมาอยู่ในบัญชี (จริง) ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของ พท. แต่เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ยอมมาสุมหัวร่วมคิดนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรค ไม่ย่างกรายขึ้นเวทีปราศรัยแม้แต่หนเดียว

กระทั่ง พท. คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง "มิ่งขวัญ" ถึงโผล่มาร่วมงานแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล-รับประทานอาหารกับผู้แทนพรรคร่วมรัฐบาล ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม
นอกจาก "หัวหน้ามุ้ง" ต้องเผชิญวิบากกรรมแล้ว บรรดา "คนใกล้ชิด" ที่เคยออกอาละวาดในช่วง "ปลายฝ่ายค้าน พท." ก็พลอยถูกหางเลขด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็น "สุพล ฟองงาม" ว่าที่ ส.ส.อุบลราชธานี เจ้าของไอเดีย "ก้าวข้ามตระกูลชินวัตร" ซึ่งยกโขยงแกนนำ ส.ส.อีสาน 9 คนเดินทางไปเหยียบจมูก-กดดัน พ.ต.ท.ทักษิณถึงถิ่น พร้อมประกาศสนับสนุนให้ "มิ่งขวัญ" ถึงฝั่งฝันบนเก้าอี้นายกฯ

ทำให้ชื่อ "สุพล" หลุดจากบัญชีเสนาบดีนับตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ชะตากรรมดี หลังถูกลดชั้นจาก "ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับดี" เป็น "ผู้สมัคร ส.ส.เขต"
เช่นเดียวกับ "สามารถ แก้วมีชัย" ว่าที่ ส.ส.เชียงราย ที่ถูกหมายหัวเอาไว้ เพราะมีความสนิทสนมกับ "มิ่งขวัญ" เป็นพิเศษ ถึงขั้นเปิดห้องรองประธานสภาเป็น "ศูนย์บัญชาการของนายมิ่ง"

รวมถึง "กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์" ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ "ดวงเข้าเคราะห์" ก็คราวนี้ เนื่องจากเป็นคนสนิทของ "เฮียมิ่ง" และยังแนบแน่นกับ "เจ๊ตุ๋ย" ที่เชื่อกันเป็น "ท่อน้ำเลี้ยงใหญ่" สายมิ่งขวัญ แม้เป็นผู้แทนฯอาวุโส แต่ก็ไม่มีชื่อติดโผ ครม.
หลายเสียงใน พท. ยืนยันว่า "3 สหายมิ่ง" ถูกบันทึกลง "บัญชีกรรมทักษิณ" เรียบร้อยแล้ว
แต่สำหรับตัว "มิ่งขวัญ" เอง ได้รับคำยืนยันจากแกนนำ พท. รายหนึ่งว่าถือว่า "รับเคราะห์-โดนใบแดง" จากการห้ามเป็นแคนดิเดตนายกฯไปแล้ว จากนี้จึงมีสิทธิลงชิงเก้าอี้ รมต.ในกระทรวงด้านเศรษฐกิจ (ที่ไม่ใช่หัวใจหลัก)

โดยแว่วมาว่าอาจได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "พีอาร์ไทยแลนด์" ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในกรณี "นายห้าง" ไม่โยนให้พรรคร่วมดูแล
"กลุ่มที่ 2" คือ บรรดาลูกน้องคนสนิทของ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตประธาน พท. ที่ขย่มพรรคด้วยการสร้างปรากฏการณ์ "พ่อใหญ่ลา"
ทำให้บรรดา "ลิ่วล้ออาวุโส" ที่ทั้ง "ชื่อ" และ "มือ" ถึงขั้น ส่อเค้าโดนสั่ง "แบน" อาทิ ไพจิต ศรีวรขาน ว่าที่ ส.ส.นครพนม พีรพันธ์ พาลุสุข ว่าที่ ส.ส.ยโยธร พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ว่าที่ ส.ส.กาญจนบุรี

ก่อนหน้านี้ทั้ง "พล.ต.ศรชัย" และ "ชวลิต วิชยสุทธิ์" ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ถูก "ใบเหลือง" จากการไม่มีรายชื่อใน "บัญชีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส." ขณะไปร่วมงานเปิดนโยบายพรรคเมื่อวันที่ 23 เมษายนแล้วเช่นกัน จนออกอาการ "เต้นผาง"

แม้สุดท้ายจะได้เป็นว่าที่ ส.ส. แต่โอกาสลุ้นเก้าอี้ รมต. เหลือน้อยนิด
และ "กลุ่มที่ 3" คือ กลุ่ม "คนเคยปันใจ" อาทิ "ปานปรีย์ พหิทธานุกร" ที่เคยลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้า พท. ด้วยเงื่อนไขส่วนตัว แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะพอใจ "วิธีคิด" แบบ "เสี่ยตั๊ก" แต่บริวารใกล้ชิดอดีตนายกฯ คอยยุยงส่งเสริมว่า "ไว้วางใจไม่ได้"
เช่นเดียวกับ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" อดีต ผบ.ตร. ที่เคยมีชื่อในโผหัวหน้า พท. คนใหม่ แต่ด้วยอุปสรรคจาก "ฟ้า" ทำให้ "บิ๊กโก" เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย ทั้งที่ลงทุนบินไปดูไบ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2553
ทำให้การปรับโครงสร้างภายใน พท. เสียขบวนไปช็อตหนึ่ง

ทั้งหมดนี้คือชื่อรายชื่อบุคคลต้องห้ามเป็น รมต. หลังถูก "บิ๊กแม้ว" แจกใบแดง!!!

ที่มา. มติชนวิเคราะห์ (มติชนรายวัน ฉบับ8ก.ค.2554)
**************************************

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คน 2 ฝ่าย

เป็นชัยชนะอีกครั้ง..กับการเมืองของทักษิณ ชินวัตร..จาก 2544 มาจนถึง 2554 สภาผู้แทนราษฎรเป็นของ ทักษิณ..
แต่มีเพียง 5 ปี..เท่านั้น ที่เขาได้บริหารประเทศไทย
เก่าเมื่อ 10 ปีที่ผ่าน กับใหม่..ผลจากการเลือกตั้งครั้งนี้..มีฝักฝ่ายอยู่เพียง 2 ในการเมืองไทย..
ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ กับฝ่ายต่อต้านทักษิณ..
ฝ่ายต่อต้านทักษิณ..เมื่อยึดอำนาจเหนือตึกไทยคู่ฟ้ามาได้..ก็ใช้ทุกกรรมวิธีที่จะ..ก้าวข้ามทักษิณ ไปอย่างถาวร..
พวกเขาได้เพิ่มสิ่งกีดขวางขึ้นมาอย่างมากมาย..ให้อำนาจอย่างเหลือหลายยาวนานกับขบวนการและขบวนคน..เพื่อลิดรอนอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของสภาผู้แทนราษฎร
อำนาจเดียวที่ทักษิณมี..
เพราะว่า..อำนาจเดียวที่ทักษิณมี คืออำนาจที่ปกครองประเทศในโลกนี้เป็นส่วนใหญ่..คืออำนาจแห่งประชาชนในระบอบประชาธิปไตย..ที่ชี้ขาดกันด้วยการเลือกตั้งจาก 1 เสียงของประชาชน
มันจึงเป็นอำนาจที่ไม่มีวันจบไม่มีวันตาย
มันจึงเป็นอำนาจที่มีมิตรสหายแทบถ้วนทั่วไปในโลก..
ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ..แม้จะปราชัยอย่างย่อยยับให้กับการปฏิวัติรัฐประหาร..แม้จะล้มตายผ่านการต่อสู้เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่า..ชีวิตเก่าล่มไปชีวิตใหม่ก็เข้าแทนที่และมีพลังเพิ่มขึ้น..ความเจ็บช้ำนำมาซึ่งความเข้มแข็ง
ถึงอยู่ไกลไปหลายชั่วโมงบิน..แต่ทักษิณกับกลายเป็น..สัญญาลักษณ์แห่งประชาธิปไตย..ในเรือนร่างคนไทยที่ร่ำร้องเรียกร้อง..ยิ่งอยากจะขจัดปัดเป่า เขาก็ยิ่งหล่อหลอมรวมกันเข้าแน่นหนาและมากมาย
กลายเป็นแลนด์สไลด์กลายเป็นสึนามิในคูหาเลือกตั้ง
ทั้ง 2 ฝ่าย..ในแผ่นดินเดียวกัน..กับ 10 ปี แห่งการเผชิญหน้าและกลิ่นอายสงครามกลางเมือง..เราจะให้ 10 ปีที่ผ่าน..จบลงไปพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งนี้..หรือจะเริ่มกลับไปนับ 1 กันใหม่..เพื่อกำเนิดมหากาพย์แห่งความพินาศวอดวาย เช่น..พุทธกาล 2544
ทั้ง 2 ฝ่าย..ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน..ดั่งเช่น สมานฉันท์ แห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ..ต้องกลมกลืนกันไปเฉกเช่น..หยินและหยาง
ฟ้าขาดดินก็คือห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง..ดินขาดฟ้ามันก็เป็นแค่ก้อนอุกาบาตที่ลอยไหลไปบนความมืด

โดย..บางกอกทูเดย์
*****************************************

She's The ONE 40 วันทำได้จริง!!!

เลือกตั้ง 54 She's The ONE 40 วันทำได้จริง!!!ม็อตโต้ตลกร้ายที่บาดใจแฟนคลับนโยบาย 90 วันทำได้จริง ได้อย่างวิเวกวังเวงหัวใจคนที่ไม่เอา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”..ยิ่งนัก!!!

ตอกย้ำ ปักหมุดอำนาจ บนสนามเลือกตั้งประเทศไทย และแล้วนอมินีรุ่นล่าสุด “ปู-ยิ่งลักษณ์” ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย และว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 16 ของโลก ก็สามารถนำพาพลพรรคเสื้อแดงกรีธาทัพเข้าสู่สภาได้อย่างท่วมท้นถึง..264 ที่นั่ง ยึดหัวหาดจัดตั้งรัฐบาลผสม 299 เสียง กับอีก 4 พรรคร่วม การันตีชัยชนะครั้งที่ 4 บนสงครามคูหาประชาธิปไตย ที่ ไล่เรียงมาตั้งแต่การมาวินถึง 2 ครั้งของ “รัฐบาลไทยรักไทย”..ผ่านวาระฝ่าดงบาทาท็อปบูตของ “รัฐบาลพลังประชาชน” ...กระทั่งมาจดชัยชนะอันงดงามในครั้งล่าสุดกับ “รัฐบาลเพื่อไทย” เพียงแค่ 6 สัปดาห์จริงๆ ที่ได้รับรู้ในความเป็นตัวตนของ “ปู-ยิ่งลักษณ์” แต่จะด้วยความที่มีแบ็กอัพชั้นดีอย่าง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชาย และทัพเสื้อแดง หรือจะด้วยความอ่อนด้อยใน ชั้นเชิงบริหารของ “อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มันก็ล้วนมีอานิสงส์หนุนส่งให้เธอก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย
แข่งเรือแข่งพายมันพอแข่งกันได้ แต่เรื่องบุญเรื่องวาสนามันแข่งกันไม่ได้.. ดูท่าว่ามันจะจริง บางคนหาเสียงตั้งแต่ยังรุ่นๆ จนหัวหงอกยังไม่สามารถก้าวขึ้นมาสู่จุดที่ “ปู-ยิ่งลักษณ์” กำลังยืนอยู่ แต่สำหรับเธอลงสนามการเมืองแค่ 6 สัปดาห์ หรือ 40 วัน โชคชะตาบวกพลังมวลชนก็นำพาเธอไปสู่สุดยอดพีระมิด ใครจะคิดว่า ในเวลาเพียง 11 ปีบน เกมอำนาจ น้องนุชคนสุดท้องของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะต้องวางมือจากธุรกิจส่วนตัวเพื่อมาสานอำนาจทางการเมืองต่อ จากพี่ชาย พี่สาว (เยาวภา วงศ์สวัสดิ์) พี่เขย (สมชาย วงศ์สวัสดิ์) และคนสนิทอีกคนแล้วคนเล่าที่ต้องปลิดปลิวไปจากการต่อสู้ทางการเมืองบนวาระประเทศไทย ใน พ.ศ.นี้

การมาของ “ปู-ยิ่งลักษณ์” ฝ่ายที่สนับสนุนก็มองว่า เธอเป็นนัก การเมืองรุ่นใหม่น้ำดี เป็นหญิงเก่ง ที่เชี่ยวชาญในการบริหารองค์กร และอีกสารพัดคำสรรเสริญเยินยอ ที่ประเดประดังเข้ามา จนหัวกระไดพรรคเพื่อไทยแทบ ไม่เคยแห้งในทางกลับกันฝ่ายที่ไม่สนับสนุนก็มองต่างว่า การมาของ “ปู-ยิ่งลักษณ์” สถานภาพไม่ต่างจาก “นายกฯ นอมินี” บ้างก็ว่า การมาของเธอล้วนมีนัยยะสำคัญทางการเมือง อันเกี่ยวเนื่องทับซ้อนกับบริบทการนิรโทษกรรม ที่สำคัญด้วยภาพลักษณ์มือใหม่หัดขับ ที่เพิ่งออกตัวมาแค่ 40 หลักกิโลเมตร ก็เข้าวินเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้ว ฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ย่อมยอมรับไม่ได้แน่ เพราะ “ปู-ยิ่งลักษณ์” ยังไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม และเป็นชิ้นเป็นอัน

และนั่นก็เป็นปกติธรรมดาของคนสาธารณะที่ต้องมีทั้งคนรักคนเกลียด แต่จากผลการเลือกตั้งที่ชนะอย่างถล่มทลาย มันก็ได้บังเกิดอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่เซียนการเมืองยังขบไม่แตก เนื่องด้วยการเกิดสึนามิใหญ่ทาง การเมือง ภูเขาน้ำแข็งถล่ม แลนด์สไลด์ดินทลาย มันไม่ได้เกิดจากกระแสแดงทั้งแผ่นดิน และโบดำข้าวยากหมากแพงของ ประชาธิปัตย์เพียงเท่านั้นว่ากันว่า อีกหนึ่งอานิสงส์ที่ส่งให้ไทย รักไทย ทำแต้มโกยไปได้ถึง 260 กว่าเสียง ล้วนมีอานิสงส์แห่งความเป็นหญิงช่วยหญิง ที่มีความต้องการจากสุภาพสตรีส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ต้องการจะผลักดันให้เพศแม่ได้มีโอกาสก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดบนเก้าอี้ “ผู้นำ”
คุณูปการซ้ำซ้อนช่วยหนุน ช่วยอวย ส่ง “ปู-ยิ่งลักษณ์” ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย!!!จาก 40 วันทำได้จริง กำลังจะถูกพิสูจน์ทราบถึงคุณภาพ “นายกฯ ปู” ว่า 4 ปีต่อจากนี้ จะมีดีที่มากกว่าสวยมากน้อยเพียงใด ปมข้อครหาสารพัดที่ปรากฏขึ้นจากการมาของเธอ จะได้รับการสแกนถี่ยิบจากสเปเชี่ยลลิสต์ผู้ถนัดงานฝ่ายค้านระดับเวิลด์คลาส อันมี “ประชาธิปัตย์” เป็นกระบี่มือหนึ่ง และมีเซียนเขี้ยว “เครือเนวินกรุ๊ป” เป็นห้องเครื่องในการไล่ล่าหาข้อมูล แถมมีมือแฉระดับประเทศอย่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน

ลำพัง 3 ประสานฝ่ายค้านระดับเซียนขั้นเทพ รอรุมขย้ำ “นารีขี่ม้าแดง” ก็น่าสนใจแล้วว่า “กัปตันหญิง” แห่งรัฐนาวาลำใหม่จะไปไกลได้สักกี่น้ำ สักกี่หลัก กิโลเมตรประเทศไทย นี่ยังไม่นับรวมกับสารพัดคดีความที่มีทั้งเกิดขึ้น “เธอ” และที่ส่อจะเกิดขึ้นกับเครือข่ายพรรคสีแดง ที่กำลังเริ่มก่อเค้าลาง เป็นปราการดักจับที่รออยู่เบื้องหน้า ชะตากรรมของ “เธอ” จะซ้ำรอย “นายกฯ ทักษิณ” หรือซ้ำรอย “นายกฯ สมัคร สุนทรเวช” รวมไปถึง “นายกฯ สมชาย” หรือไม่ ยังไม่มีใครทราบได้???
แต่หากมองโลกในแง่ดี มองประเทศ ไทยไทยอย่างปรองดอง แม้อนาคตข้างหน้าของ “นายกฯ ปูแดง” จะเป็นอย่างไร ไม่รู้ แต่เลือกตั้งรอบนี้ เลือกตั้งปี 54 ..SHE’S THE ONE!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
****************************

ครู-เพื่อนพูดถึง ยิ่งลักษณ์...อ่อนน้อม มารยาทงาม !!?

โดย : เอกพงศ์ ประดิษฐ์พงษ์, วรัทยา ไชยลังกา

รู้จักว่าที่นายกฯหญิงผ่านคำบอกเล่าของ "ครู" และเพื่อนร่วมรุ่น "บัวเกี๋ยง" พร้อมคำฝากของอาจารย์สมัยมหาวิทยาลัย ให้ใช้ "ธรรม" บริหารประเทศ

แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แต่คนไทยยังรู้จักตัวเธอและชีวิตของเธอในมุมอื่นๆ น้อยมาก นอกจากที่รับรู้กันในฐานะเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย และเป็นน้องสาวคนเล็กของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่านั้น

เส้นทางชีวิตของว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงเป็นอย่างไรนับว่าน่าสนใจ และผู้ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คือ "ครู" และ "เพื่อน" ในวัยเด็กของเธอ ทั้งสมัยที่ยังเป็นนักเรียนและเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย
อ่อนน้อม ถ่อมตน มีสัมมาคารวะ
นายวิษณุ ไชยแก้วเมร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เล่าว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงเข้าเรียนที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เมื่อปีการศึกษา 2525 เลขประจำตัว 19582 รุ่นของเธอชื่อรุ่น "บัวเกี๋ยง" โดยเธอสำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2528

จากที่ได้พูดคุยกับอาจารย์ที่เคยสอนหนังสือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทุกคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอเป็นคนเรียบร้อย กิริยามารยาทงดงาม มีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน โดยทุกปีจะได้รับคัดเลือกให้เข้าประกวดมารยาทงามประจำโรงเรียน นอกจากนั้นยังได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่เคยขาด ทั้งกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ช่างประดิษฐ์ ส่งเสริมสมรรถภาพทางคอมพิวเตอร์ การใช้ห้องสมุด พุทธศาสนา การถือป้ายกีฬา และการแสดงละครของโรงเรียน

"บุคลิกของคุณยิ่งลักษณ์ค่อนข้างเงียบขรึม พูดน้อย แม้จะร่วมกิจกรรมของโรงเรียนหลายอย่างแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นนักกิจกรรมตัวยง แต่เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา มักได้รับคำชมจากอาจารย์และครูผู้สอนอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่ยอมรับของเพื่อนฝูงและได้รับความไว้วางใจจากครูอาจารย์ให้เป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ของโรงเรียน"

กกต.จังหวัดเบรคขึ้นคัตเอาท์ยินดี

ผู้อำนวยการโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย บอกด้วยว่า เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ได้มีอดีตอาจารย์ที่มีความสนิทสนมและเคยสอนหนังสือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนโทรศัพท์มาสอบถามถึงการร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทยกันอย่างคึกคัก

"สำหรับผมเองก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก และเตรียมจะขึ้นคัตเอาท์หรือจัดกิจกรรมเพื่อให้ทุกคนได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อคุณยิ่งลักษณ์ แต่เมื่อได้ประสานสอบถามไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้รับคำแนะนำว่าควรรอกระบวนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้เรียบร้อยเสียก่อน มิฉะนั้นอาจถูกหยิบยกไปเป็นข้ออ้างทางการเมืองได้ว่าข้าราชการปฏิบัติตัวไม่เป็นกลาง" นายวิษณุ กล่าว

บุคลิกโดดเด่น มีความเป็นผู้ใหญ่

นายณัฐ ชพานนท์ อดีตหัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ และรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเคยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อครั้งศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าศึกษาในภาควิชารัฐศาสตร์ ในปี พ.ศ.2528 ขณะนั้นตัวเขาเป็นอาจารย์สอนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

"ในช่วงที่เป็นนักศึกษา คุณยิ่งลักษณ์ยังไม่ฉายแววความเป็นนักการเมืองอย่างโดดเด่นมากนัก ลักษณะเหมือนนักศึกษาทั่วๆ ไป แต่ก็มีบุคลิกพิเศษแตกต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นตรงที่มีความเป็นผู้ใหญ่ สุขุม และมีความรับผิดชอบ ทำให้ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในสามนักศึกษาที่เป็นคณะทำงานหาหัวข้อมาให้นักศึกษาพรีเซ็นต์ผลงานหน้าชั้นเรียน"

"แต่ลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้เป็นนักกิจกรรมตัวยง แม้จะเข้าร่วมทุกกิจกรรมของภาควิชาและมหาวิทยาลัยไม่เคยขาด แต่นั่นก็เป็นวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่แล้ว นอกจากนั้นคุณยิ่งลักษณ์ยังมีบุคลิกที่เพื่อนๆ จำง่าย คือมีรูปร่างสูงและผิวขาว ไม่ว่าเดินไปไหนก็มีคนจำได้ตลอด"

ห่วงชั่วโมงบินน้อย-แนะใช้"ธรรม"บริหารชาติ

นายณัฐ ยังกล่าวถึงลูกศิษย์สาวที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศคนใหม่ด้วยว่า ไม่เคยคาดคิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดฝ่ายบริหาร และกำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

"หลังจากทราบข่าว ผมและเพื่อนอาจารย์ได้พูดคุยกันและแสดงความเป็นห่วงถึงประสบการณ์ทางการเมืองของคุณยิ่งลักษณ์ เพราะถือว่าชั่วโมงบินยังน้อย แต่เมื่อมองถึงบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณ พี่ชายที่ได้สร้างไว้และกำลังถูกถ่ายโอนมายังตัวคุณยิ่งลักษณ์อย่างเต็มที่ บวกกับคนแวดล้อมที่ล้วนเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ก็เชื่อว่าจะช่วยกันประคับประคองให้คุณยิ่งลักษณ์บริหารประเทศไปได้"

ส่วนประสบการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เคยบริหารองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่มาแล้วนั้น รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการบริหารองค์กรธุรกิจถือว่าได้รับการยอมรับ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าจะบริหารประเทศโดยธรรมได้อย่างไร

"ในฐานะอดีตอาจารย์ อยากฝากไปถึงคุณยิ่งลักษณ์ให้เดินตามรอยพระยุคลบาท และสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเอาไว้ว่าเราจะครองแผ่นดินโดยธรรม หากน้อมนำมาใส่เกล้าฯ ยึดเป็นหลักในการทำงานและปรับใช้กับการบริหารบ้านเมืองให้เหมาะสมกับยุคสมัย ก็เชื่อมั่นว่าการบริหารประเทศของคุณยิ่งลักษณ์จะเดินหน้าไปด้วยความราบรื่นไร้อุปสรรค" นายณัฐ ระบุ

เป็นกรรมการนักเรียน-เหรัญญิกรุ่น

ขณะที่ความเห็นของเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย นายมหวรรณ กะวัง ประธานรุ่น "บัวเกี๋ยง" พูดถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า สมัยเป็นนักเรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่เป็นเหรัญญิกของรุ่น และได้รับเลือกให้เป็นกรรมการนักเรียนมาตลอด และแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่ใช่นักกิจกรรม แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะร่วมงานต่างๆ ที่เพื่อนๆ และอาจารย์ร้องขอ

"บุคลิกของคุณยิ่งลักษณ์ที่โดดเด่นมากคือ เป็นกันเอง สุภาพ กิริยามารยาทเรียบร้อย เคยได้รับรางวัลมารยาทดีเด่นของโรงเรียน และมีความรับผิดชอบ"

นายมหวรรณ กล่าวด้วยว่า เพื่อนร่วมรุ่นจะจัดงานเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว โดยรุ่น "บัวเกี๋ยง" มีเพื่อนร่วมรุ่นประมาณ 300 คน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์ประกาศ 7 ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาล !!?

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้เป็นประธานการประชุมทีมเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยเพื่อวางแนวทางเศรษฐกิจตามที่พรรคได้ประกาาศเอาไว้เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมารวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจต่างๆที่พรรคเพื่อไทยได้ทำการหาเสียงในช่วงก่อนหน้านี้ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แจ้งภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลจำนวน 7 เรื่องประกอบด้วย

1.การสร้าวความสามัคคีปรองดองของคนในชาติโดยให้นายคณิต ณ นคร ในฐานะประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ทำการอย่างอิสระและนำไปสู่ความปรองดองได้เร็วที่สุด
2. เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศร่วมกันถวายพระพรเป็นพระกำลังใจแด่พระองค์ท่าน เพื่อเสด็จความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยที่มีต่อสถาบัน
3. พลิกฟื้นเศรษฐกิจด้วยการลดค่าครองชีพและเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมกับลงทุนภาครัฐให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น
4. เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านทั้งเวทีทวิภาคีและพหุภาคี
5. เร่งพัฒนาขวัญและกำลังใจข้าราชการ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
6. เร่งแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนและสร้างปัญหากับระบบเศรษฐกิจและข้าราชการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะเร่งตรวจสอบแก้ไขปัญหาทุกอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
7. เตรียมการผลักดันทุกนโยบายที่เสนอไว้ตามที่ได้กล่าวไว้ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่สนามราชมังคลากีฬา โดยจะเร่งรัดให้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ ภายในเวลาที่กำหนด
นอกจกานั้นได้มีการเตรียมดำเนินการนโยบายที่ต้องทำทันทีหลังจากแถลงนโยบายต่อสภาได้แก่
1. ยกเลิกส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเฉพาะน้ำมันบางชนิด อาทิ เบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาท เบนซิน 91 ลดลง 6.70 บาท ดีเซล ลดลง 2.20 บาท
2. แก้ไขปัญหาของแพง
3. ประชุมจัดทำระบบประกันสุขภาพใหม่ ในเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค
4. ประชุมแก้ไขปัญหายาเสพติด
5. เร่งฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
6. เริ่มดำเนินการตามแผนปรองดองของ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

ที่มา : มติชน
**********************************************

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประชาชนแต่งตั้ง

ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ..สำหรับผลการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่าน..เมื่อพรรคที่ประชาชนให้การสนับสนุนมากที่สุดคือ..พรรคเพื่อไทย
จำนวนหนึ่งของประชาชนยอมตายเพื่อประชาธิปไตยของพวกเขา
ฉากสังหาร..ที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาประชาชนบนจอทีวีและตอกย้ำอยู่ทุกวี่ทุกวัน..ตามคลิปต่างๆ..ทำให้ประชาชนต้องการอะไรก็ตามที่..จะทำให้ความสงบและสันติสุขกลับคืนมาสู่ชีวิตของพวกเขา
และคำตอบของมันคือ..พรรคเพื่อไทย
ถ้าเพื่อไทยชนะและเป็นรัฐบาลไม่ได้..ประชาชนก็ต้องเคลื่อนไหวต่อสู้กันต่อไป..สันติสุขและความเป็นปรกติของประเทศก็ยังเกิดขึ้นมาไม่ได้..
เสียงสนับสนุนจึงเกิดขึ้นอย่างตั้งใจ..เราจึงได้เห็นประชาชนทุกเพศทุกวัยคนแก่คนพิการ เดินทางไปสู่คูหาเลือกตั้งและหย่อนบัตรใส่ตู้
พรรคเพื่อไทยชนะมาแล้วทุกครั้งตั้งแต่ปี 2544..แต่เขาเอาชนะได้แค่ในการเลือกตั้ง..ในประเทศที่มากมายไปด้วยเรื่องราวอย่างประเทศไทย...เสียงของประชาชนจึงยังไม่ใช่เสียงสวรรค์อย่างแท้จริง..
การได้มาซึ่งอำนาจยังมีตัวแปรตัวเปลี่ยนที่พร้อมจะผกผันไปตามแต่ละวิกฤติการณ์ ประชาชนจึงต้องตอกย้ำ..และยืนยันว่าเขาต้องการประชาธิปไตย..ในทุกครั้งที่มีการชุมนุมในทุกคราวที่มีการเรียกร้อง

ถึงวันนี้ ผลจากการเลือกตั้งครั้งนี้..ประชาชนกรูเกรียวกันขึ้นมา ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก..ไปยังคูหาเลือกตั้ง..นำ 1 คะแนนของเขา..มาก่อกองรวมกัน..สร้างเป็นขุนเขาสูงใหญ่เทียมฟ้า..สร้างประเทศของมหาประชาชน..
ผู้เสพย์สมอยู่กับอำนาจทั้งหลาย..จงยอมรับในอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง..เพราะอำนาจนั้น..ได้เกิดขึ้นมาแล้ว..หมดหนทางที่จะทำให้มันสลายหรือเพียงแม้แต่จะทำให้มันอ่อนแอ
การต่อสู้ต่อต้านรังแต่จะทำให้ประเทศชาติโดยรวม..อ่อนแอ..เพราะในที่สุดของที่สุดแล้ว..ประชาชนก็คือผู้ชนะ เพราะประชาชนไม่มีอายุ ประชาชนจะมีอยู่และมีอยู่ตลอดไป..ประชาชนเป็นอมตะเฉกเช่นเดียวกับประเทศชาติ..
ครับ..ประเทศไทยเป็นของประชาชน..และประชาชนต้องการประชาธิปไตย
ครับ..ประเทศไทยเป็นของประชาชน..และประชาชนเป็นเจ้าของประชาธิปไตย

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
**************************