--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฝ่าวิสัยทัศน์ ยิ่งลักษณ์..ชู โอฬาร-มิ่งขวัญ หัวหน้าทีมศก.!!?

โดย : วีระศักดิ์ พงศ์อักษร

"ยิ่งลักษณ์"ดัน"โอฬาร- มิ่งขวัญ"หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ชู "ฟื้นความเชื่อมั่น ฟื้นเศรษฐกิจ" เพิ่มรายได้ประชาชน ลดต้นทุนธุรกิจ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ อย่างเป็นระบบครั้งแรก โดยเธอเห็นว่าหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยวันนี้ คือ การฟื้นความเชื่อมั่น เพราะทั้งภาคธุรกิจมีเงินทุนอยู่พอสมควร ธนาคารพาณิชย์พร้อมให้กู้ ส่วนภาคประชาชน มีเงินออมอยู่จำนวนมาก แต่สาเหตุที่การลงทุนยังต่ำ และไม่มีการบริโภค เพราะส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่น เหตุผลสำคัญเนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคตโดยเฉพาะรายได้ และทิศทางของประเทศ

ขณะเดียวกัน แม้นโยบายจะออกมาดีแต่หากไม่สามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่สามารถบริหารจัดการได้ ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ ซึ่งเธอจะใช้ประสบการณ์ทางธุรกิจเข้ามาบริหารจัดการนโยบายให้สัมฤทธิผล โดยมี 2 แกนนำด้านเศรษฐกิจ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหัวหอก หากพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล

"จะมีการวางยุทธศาสตร์ประเทศไทย 2 ด้าน สิ่งแรกเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีทั้งวางพื้นฐานตั้งแต่เกษตรกร ไปจนถึงการแปรรูปสินค้า นอกจากนั้น จะทำให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว อย่างแท้จริง"

ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า โดยภาครวมเศรษฐกิจวันนี้ ดีขึ้น ส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโตไม่เสถียรในระยะยาว และบางภาคไม่ได้รับประโยชน์จากการเจริญเติบโตโดยเฉพาะแรงงาน นอกจากค่าแรงต่ำ รายได้ไม่โตแล้ว ยังไม่มีการจ้างงานเพิ่ม แถมลดลงอีกด้วย ซึ่งเท่ากับว่าเศรษฐกิจไทยโตแบบไม่กระจาย

"การจ้างงานหลังจาก 19 ก.ย. 2549 ลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น เท่ากับว่าไม่ได้เกิดการกระจายจากการโตของเศรษฐกิจ ผลที่ตามมา คือ ความยากจนเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อรายได้ไม่เพิ่ม แต่เจอของแพง ประชาชนย่อมเดือดร้อน หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น ประชาชนฐานรากของประเทศมีปัญหา"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเสนอแนวนโยบายออกมา ว่า ประเทศจำเป็นต้อง "สร้างรายได้" ซึ่งจะผ่านช่องทางโครงการเมกะโปรเจค การลงทุนภาครัฐ เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม ขณะเดียวกัน โครงการพักหนี้เกษตรกรและคนยากจน วงเงินหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท และนโยบายการรับจำนำข้าว ก็จะช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และการสร้างหลักประกันบัณฑิตจบใหม่มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท

การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนดังกล่าว ก็จะผลักดันให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียน ยิ่งหากรัฐบาลสามารถทำให้ประชาชน นักธุรกิจเชื่อมั่นได้ว่าแนวนโยบายเดินมาถูกทิศทางและทำได้จริง ต้นทุนแข่งขันได้ ย่อมจะเกิดการลงทุน และจับจ่ายใช้สอยสินค้าตามมา

"สำหรับการแก้ปัญหาว่างงานเรามีนโยบายกองทุนตั้งตัวได้ เพื่อสร้างผู้ประกอบขนาดย่อย รายใหม่ ทั้งนี้ จะร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยใหม่ๆ ให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งมีการวางงบประมาณไว้ มหาวิทยาลัยละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งนโยบายไม่ใช่การแจกเงิน เพราะกองทุนตั้งตัวเป็นโครงการเพื่อช่วยให้บัณฑิตที่จบมาใหม่ได้เป็นเถ้าแก่น้อย ทุกนโยบายของเพื่อไทยทำได้จริง และดิฉันจะใช้ประสบการณ์จากการทำธุรกิจมากกว่า 10 ปี เข้ามาประยุกต์การบริหารจัดการนโยบายทางการเมือง"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เริ่มทำงานในภาคธุรกิจตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2534 ในบริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด ต่อเนื่องมาถึงบริษัทไอบีซี อย่างไรก็ตาม ที่ทำให้เธอโดดเด่น เป็นที่รู้จัก เห็นจะเป็นปี พ.ศ. 2545 เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานกรรมการบริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทรายได้หลักของกลุ่มชินคอร์ป รับไม้ต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ามาสู่การเมืองอย่างเต็มตัวหลังพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง เมื่อ 6 ม.ค. 2544

อย่างไรก็ตาม 23 ม.ค. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส โดยยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด ก่อนที่จะลาออกเมื่อไม่นานนี้ เพื่อลงสู่สนามการเมืองตามรอยพี่ชาย

ชูระบบรางลดการใช้น้ำมัน

สำหรับปัญหาภาคขนส่ง เธอยังเห็นว่าแนวนโยบาย สร้างระบบรางสามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตและต้นทุนเศรษฐกิจวันนี้มาจากน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ พรรคเพื่อไทย จึงคิดถึงรถไฟทางคู่ ที่กระจายไปทั่วภูมิภาค รถไฟฟ้า 10 สาย จ่าย 20 บาท รถไฟความเร็วสูงจาก กทม. ไปสู่เชียงใหม่ โคราช และหัวหิน อีกทั้งยังมีแอร์พอร์ตลิ้งค์ ที่เชื่อมไปถึง ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและพัทยา ทั้งนี้ เมื่อมีการกระจายระบบรางออกไปทั่วภูมิภาค ก็จะเป็นการกระจายอุตสาหกรรม กระจายความเจริญตามไปด้วย

เพิ่มรายได้เกษตร ลดต้นทุนธุรกิจ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขยายแนวทางเพิ่มรายได้ภาคเกษตรเพิ่มเติม ว่า สิ่งแรกรัฐจะเป็นผู้ลงทุนเครื่องไม้ เครื่องมือ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรรม ขณะเดียวกัน ก็จะนำระบบไอที มีบริหารจัดการผลผลิตโดยเฉพาะเรื่องข้าว เพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาดกระทบราคา ซึ่งต้องทำควบคู่กับการประเมินและวิเคราะห์ตลาด ซึ่งก็เหมือนกับการทำธุรกิจ ที่ต้องวิเคราะห์ ประเมินกันตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ด้านราคาก็จะใช้ระบบจำนำ โดยมีการประกันราคาข้าวเปลือกที่ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิที่ 20,000 บาท ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับนโยบายเครดิตการ์ดเกษตรกร เพื่อใช้ซื้อปัจจัยการผลิต ยกระดับการผลิตให้เกษตรกรไทย

"เราเห็นว่าความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจสำคัญที่สุด ซึ่งหากทำให้ภาคธุรกิจ และประชาชน มั่นใจได้ว่าต้นทุนของเขาลงทุน และรัฐพร้อมเข้าไปช่วยเหลือ ความมั่นใจจะตามมา การลงทุนจะเกิด การจับจ่ายใช้สอยจะมีมากขึ้น เพราะตอนนี้ประชาชนมีเงินออมมาก แต่ไม่กล้าจ่าย เพราะไม่มั่นใจ ดังนั้น เราจึงคิดถึงการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ในปีแรก และลดลงเหลือ 20% ในปีที่สอง"

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น แน่นอนว่า น่าจะขยับแบบค่อยเป็นค่อยไปตามทิศทางเงินเฟ้อ แต่หากพิจารณาอัตราตอนนี้ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีต แต่หัวใจอยู่ที่ความเชื่อมั่น หากเชื่อว่าธุรกิจเดินได้แน่ อนาคตประชาชน เกษตรกร แรงงานมีรายได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยระดับปัจจุบัน ก็ไม่น่ามีปัญหา

"ดิฉันทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทราบดีว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยอยู่บ้าง ในการตัดสินใจซื้อบ้าน แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ขึ้นอยู่กับความมั่นใจในรายได้ในอนาคตมากกว่า"

รายงานข่าวแจ้งว่าในวันนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุม ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกครั้งจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75%
ในเวลาที่มีจำกัดได้ถามถึง เศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งเธอเห็นว่าปัจจุบันโลกมีสภาพคล่องล้น จึ่งอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรประเทศไทยสามารถดึงเม็ดเงินเหล่านั้นมาก่อเกิดประโยชน์ในการลงทุนได้มากที่สุด

ชูโอฬาร-มิ่งขวัญ หัวหน้าทีม ศก.รัฐบาลใหม่

"แกนนำเศรษฐกิจหากจัดตั้งรัฐบาลมีสองท่าน คือ ดร.โอฬารและคุณมิ่งขวัญ แต่ก็เปิดรับผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย เพราะหัวใจของนโยบายอยู่ที่การนำไปใช้ ซึ่งคิดว่าประสบการณ์ภาคธุรกิจ จะช่วยได้มาก โดยเฉพาะการประเมิน วิเคราะห์ปัญหา เรื่องไข่ชั่งกิโล สะท้อนให้เห็นว่าคนทำไม่เข้าใจ เพราะธรรมชาติไข่แตกง่าย ไม่สามารถนำมาชั่งกิโลขายได้"

ในตอนท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า หากเป็นรัฐบาล 3 อย่างแรกที่จะทำ คือ การลดภาษีนิติบุคคล เพิ่มรายได้เกษตรกร และบัตรเครดิตเกษตรกร

เมื่อถามว่าจะดึงพรรคการเมืองใดมาร่วมรัฐบาลนั้น เธอเห็นว่าวันนี้เร็วไปที่จะระบุว่าพรรคไหนบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะให้ใครจัดตั้งรัฐบาล และต้องดูว่าพรรคการเมืองใด นโยบายคล้ายหรือเข้ากันได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพร้อมเปิดรับทุกพรรค ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน หรือนโยบายเดียวกัน เพราะสิ่งนี้พรรคเพื่อไทยได้สัญญากับประชาชนไว้แล้ว

เมื่อถามว่ากับประชาธิปัตย์ร่วมกันได้ไหม คำตอบที่ได้รับ คือ "หัวเราะ"

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทีมงานลับ-แผนลึก-สคริปต์แน่น ยุทธวิธีปั้น ยิ่งลักษณ์ . ปูทาง ทักษิณ. กลับบ้าน !!?


กระแส "ยิ่งลักษณ์-เป็นนายกฯหญิง" ถูกปั่นจนติดเพดานด้วยทีมงานคุณภาพ

ครึ่งหนึ่งของทีมปั้น "ยิ่งลักษณ์" เป็นคนการเมืองที่เคยปั้น "ทักษิณ ชินวัตร" ส่งถึงทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว

ทุกจังหวะก้าว-จังหวะพูดของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีทั้งทีมงานเขียนสคริปต์ ทีมงานสร้างภาพลักษณ์ และทีมเสริม

ที่เป็นนักการเมืองระดับสายตรง "ทักษิณ" 24 ชั่วโมง ครบทีม

กว่าชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จะได้เป็นปาร์ตี้ลิสต์หมายเลข 1 ทีมงานส่วนตัว "ทักษิณ" มีชื่อให้เลือก 4 ชื่อ

ชื่อแรก สายตรงยิ่งกว่าตรง ชื่อ

คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ แต่มีอันต้องตกไป เพราะเจ้าของชื่อไม่ประสงค์ลงสนามการเมืองอีก

ชื่อที่สอง สายใน ชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ แต่ต้องหลุดออกจากโผ เพราะปัญหาเรื่องความ "เกรงใจ-ในฐานะพี่ภริยา" หากได้เป็นใหญ่จะสั่ง-บังคับบัญชายาก

สุดท้ายจึงมีชื่อ "ยิ่งลักษณ์" เพราะเป็นน้องที่ "ทักษิณ" รักที่สุด การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทุกตำแหน่งคาดการณ์ ทำนายผลได้

ข้อเสนอ-เหตุผลแนบท้ายชื่อของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีนัยว่า หากน้องสาวทำงานการเมืองได้ดี ก็จะผลักดันให้สูงสุดถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่หากกระแสไม่เอื้อ จะ "ถอน" ออกจากตำแหน่ง สลับกับคนอื่น น้องสาวก็ไม่โกรธ ไม่มีปัญหาระดับพรรค มีเพียงปัญหาในครอบครัว

ชื่อ "ยิ่งลักษณ์" จึงถูกสรุปด้วยบรรทัดเดียว "ชื่อนี้ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย"

ชื่อที่ตกคุณสมบัติตั้งแต่ต้นคือ ชื่อ "ดร.วีรพงษ์ รามางกูร" โดยมีเหตุผลและปัญหาแนบท้าย 3 ข้อใหญ่

ข้อแรก "ทักษิณและคณะ" เกรงว่า

ชื่อนี้จะถูกกระตุกจากผู้มีบารมีใหญ่ใน "บ้านเทเวศร์" แล้วจะทำให้จังหวะการเมืองมีปัญหาซ้ำรอย สมัยที่จะโน้มน้าวให้ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" ที่เจรจา "จบ" แล้ว แต่ถึงเวลาสถานการณ์ก็เปลี่ยน

ข้อสอง หากนำชื่อ "ดร.โกร่ง" เข้าแผนเพื่อไทย อาจซ้ำรอยสมัยพลังประชาชน ที่ยากแก่การควบคุมทิศทางในรัฐบาล และการจัดตัว-วางตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ให้เป็นตามทิศทางของพรรคและทักษิณ

ข้อสาม หากนำชื่อคนนอกพรรคมาเป็นหมายเลข 1 แล้วเกิดกระแสปั่นป่วนในพรรค จะทำให้เกิดความระส่ำระสาย มีปัญหาตั้งแต่จัดการเลือกตั้งไปจนถึงจัดรัฐบาล ไม่จบสิ้น

เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นระดับสงครามครั้งสุดท้าย ทุกจังหวะก้าว-จังหวะคิด ทุกเม็ด ทุกเสียงของ

"ยิ่งลักษณ์" จึงมีความหมาย

ภารกิจส่ง "ยิ่งลักษณ์" ที่ทำเนียบรัฐบาล จึงต้องเป็นไปตามสคริปต์

ทุกชอต ทุกเวที

บทพูดกับสื่อ-บทปราศรัยกับชาวบ้าน-บทตอบคำถามระดับสัมภาษณ์พิเศษ หรือสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า จึงถูกกำหนดด้วยคีย์เวิร์ดหลัก จำง่าย โดนใจ กว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง

สคริปต์-สำหรับการปรากฏตัวทางการเมือง แถลงข่าวครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทย จงใจใช้คำ "แก้ไข ไม่แก้แค้น"

ตามด้วยบทพูดปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ครอบคลุมเรื่องนิรโทษ-ปรองดอง ภายใต้สคริปต์ที่ทีมงานกำหนดไว้ 45 นาที

แต่ "ยิ่งลักษณ์" พูดได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น

1 ในทีมงานคุณภาพที่กำกับเนื้อหาสคริปต์ มีชื่อ จาตุรนต์ ฉายแสง อยู่เบื้องหลัง

1 ในทีมงานสร้างภาพที่กำกับจังหวะการปรากฏตัวกับสื่อ มีชื่อ "สุทิษา ประทุมกุล" อดีตทีมประชาสัมพันธ์คู่หู "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" เจ้าของผลงาน

วิทยานิพนธ์เรื่อง "กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ของพรรคไทยรักไทยในภาวะวิกฤตการเมืองปี 2549" ประกบติดตัวแทบทุกชั่วยาม

ประกบกับทีมงานประชาสัมพันธ์ที่มีชื่อ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล จากตึกชินคอร์ป อยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่าง

ทีมงานที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา "ปรับปรุง" เป็นทีมงานการเมืองที่มี นายสมชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กำกับการแสดง

ทีมงานวอลเปเปอร์กำลังจะถูกโละทิ้ง-ถอนออกในเร็ว ๆ นี้ มีชื่อ "สุนีย์ เหลืองวิจิตร"

ทีมงานที่ "ทักษิณ" ปรารถนาให้อยู่ใกล้เป็นวอลเปเปอร์แบบติดทน-ถาวร เป็นทีมที่ "ทักษิณ" ส่งข้อความมาถึง

ทีมงานว่าต้องเป็น "economic team"

ทีมงานเศรษฐกิจที่ "ทักษิณ" ต้องการให้ปรากฏตัวรอบกาย "ยิ่งลักษณ์" มี 3 ชื่อ 1.ดร.โอฬาร ไชยประวัติ 2.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช 3.นายพิชัย นริพทะพันธ์

ส่วนชื่อ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ไม่มีอยู่ในทีมวอลเปเปอร์เศรษฐกิจ แต่ให้อยู่ในทีมวอลเปเปอร์บนเวทีปราศรัยใน

หัวเมืองใหญ่

หลังเปิดตัว-ปราศรัยไปแล้ว 25 วัน 10 เวที ทั้งเวทีหลัก เวทีย่อย "ทีมงานยุทธศาสตร์" ขอปรับปรุง และต่อยอด ติวเข้ม 3 เรื่อง

เรื่องแรก การปราศรัยเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ถูกเขียนสคริปต์ใหม่เป็นแนวเปรียบเทียบด้วยคีย์เวิร์ด "เลือกประชาธิปัตย์ ข้าวยากหมากแพง เลือกเพื่อไทย อยู่ดีกินดี"

เรื่องที่สอง ปัญหาการเมืองเรื่องนิรโทษกรรม "ทักษิณและคณะ" ถูกปรับใหม่ จากเดิมพูดปัดพ้นตัวไปว่า ให้เป็นหน้าที่ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ทำให้ถูกโจมตีจากทั่วสารทิศ

คำแก้ไขประกาศของ "ยิ่งลักษณ์" สอดรับกับทีมงานยุทธศาสตร์ ที่รับคำสั่งจาก "ทักษิณ" มาถ่ายทำ-อีกทอด ด้วยการเตรียมเปิดประเด็น "นิรโทษด้วยรัฐธรรมนูญ" แบบจัดเต็ม

ดังนั้น หลังจากนี้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องติวเข้ม 2 เรื่องคือ เศรษฐกิจ และกฎหมาย ฉบับฟังง่าย-ไม่ถูกนำไปตีความ

การบริหารเรตติ้งที่พุ่ง-พีกติดเพดานก่อนเวลาอันควร จึงต้องใส่ "เนื้อหา" เพิ่ม เพื่อดึงกระแสให้ต่อเนื่องจนถึงเลือกตั้ง

ทีมงานจึงแบ่งตารางเวลาที่เหลือเป็น 2 ระยะ

ระยะแรก 20 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง จะให้ "ยิ่งลักษณ์" เร่งพูดเนื้อหา-ลง

รายละเอียดแนวทางการนำนโยบายเศรษฐกิจไปปฏิบัติ และแตะเนื้อหาภาพรวมเศรษฐกิจใน-ต่างประเทศ

สคริปต์นี้ทีมงานยุทธศาสตร์วิเคราะห์วิธีการว่า จะต้องให้ "ยิ่งลักษณ์" ปราศรัยก่อน "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทุกเวที เพื่อเพิ่มความสำคัญ-เพิ่มดีกรีความจริงจังให้กับเรื่องเศรษฐกิจเพียว ๆ ด้วยคำสั่ง "ส่งให้ยิ่งลักษณ์เด่น ไม่เน้นตลก"

ระยะที่สอง 15 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง จะให้ "ยิ่งลักษณ์" ประกาศแผน

"ปรองดอง" เป็นบันได 3 ขั้น ให้ทักษิณได้กลับเมืองไทย คือ บันไดขั้นแรกชนะเลือกตั้ง ขั้นที่สองได้จัดตั้งรัฐบาล ขั้นที่สามได้รับการนิรโทษกรรม

สคริปต์-แผนปรองดองอันแยบยล ถูกตระเตรียมไว้ 4 ขั้นตอน คนได้ประโยชน์มี 3 กลุ่ม

ขั้นตอนแรก ประกาศนิรโทษให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับประชาชนที่ปะทะกันเพราะอุดมการณ์เหลือง-แดง ทุกกรณี

ขั้นตอนที่สอง ให้นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ 5 ปี จากไทยรักไทย 111 คน และจาก 3 พรรค รวม 109 คน พ้นโทษ กลับสู่สนามการเมืองได้ โดยจะแนบเหตุผลเรื่องไม่ต้องรับมือกับการปั่นป่วนจนเกิดการเลือกตั้งใหม่

ขั้นตอนที่สาม ขอให้มีกระบวนการลดหย่อนโทษให้ "ทักษิณ" ในคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก โดยตั้งเป้ากรณีเลวร้ายที่สุดคือ กลับเมืองไทยแล้ว "รอลงอาญา"

ขั้นตอนที่สี่ ประกาศแผนแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ที่บัญญัติว่า

"บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณี

ดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้"

มาตรานี้ส่งผลทางการเมืองกว้างขวาง แนบเนียน อย่างน้อยก็ทำให้การกระทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยปริยาย

ทีมงานคุณภาพวิเคราะห์สาเหตุที่ต้องประกาศแผนปรองดองช่วง 15 วัน โค้งสุดท้ายก่อนโหวต รู้แพ้-รู้ชนะ ว่า "เพราะต้องการให้กองทัพ-ข้างบน-คนชั้นสูง วางใจในฝ่ายทักษิณ"

คำประกาศใต้ดินที่ "ทักษิณ" ขอความไว้วางใจจากฝ่ายเจ้าของอำนาจเก่า คือ "ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะให้กองทัพเลือกกันเอง"

ตำแหน่งใหญ่ในฝ่ายความมั่นคง เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะมีการเขียนชื่อเป็นตุ๊กตาให้เลือก 2-3 คน

ทั้ง 2 ตำแหน่ง ต้องทำงานเข้ากันได้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

แหล่งข่าววงในทีมยุทธศาสตร์วิเคราะห์ตรงกันว่า "นาทีนี้ทุกฝ่ายอำนาจเชื่อว่าเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่ทุกคนไม่มั่นใจว่าจะได้จัดตั้งรัฐบาล

ดังนั้นทักษิณต้องส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายมั่นใจ และจัดการเลือกตั้งให้ชนะ

ประชาธิปัตย์เกิน 10 เสียง"

ทางหนึ่ง เอาเสียงชนะขาดไว้ต่อรองกับกองทัพ-ชนชั้นสูง และผู้มีบารมี

ทางหนึ่ง หากเสียงชนะขาด จะทำให้ขึ้นบันไดครบ 3 ขั้น ชนะเลือกตั้ง ได้จัดรัฐบาล และได้นิรโทษ

ตัวเลขชนะขาด ล่าสุดเพื่อไทยยังยืนอยู่ได้ในระดับ 240-250 ขณะที่

ประชาธิปัตย์มีเสียงล่วงหน้า 170-180 เสียง ฝ่ายชาติไทยพัฒนา 30 เสียง

และชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 20 เสียง ตามลำดับ

เสียงที่เพื่อไทยไม่ใส่ใจยังเป็น 40 เสียง ที่คาดว่าภูมิใจไทยจะได้ครอบครอง

สคริปต์ของ "ยิ่งลักษณ์" แผนลับของ "ทักษิณ" นับวันจะเข้าใกล้ทั้งความจริง และความเสี่ยง !

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร !!?

ดินแดนผืนแผ่นดินไทย ต้องเสียเอกราชไปหนึ่งกระบิ ..มันผู้นั้นที่รับผิดชอบ ต้องโดนกุดหัว เสียบประจานกันหมด?? นึกว่า, เป็นเซียนที่มีเหลี่ยมเจ้าเล่ห์ เหนือใคร
ถอนร่าง “เอ็มโอยู ๔๓” ขอตอกย้ำ เรามีแต่เสียหาย
จิ้งจอกหางด้วน “ฮุนเซ็น” แห่งกัมพูชา ..รีบฟ้องศาลไคฟง “ศาลโลก” ทันทีที่ไทยเบี้ยวถอน “เอ็มโอยู” ออกจากสภาฯ เพื่อให้ตีความ คำพิพากษาตัดสินปี ๒๕๐๕ ที่ให้ “ปราสาทเขาพระวิหาร” เป็นของลูกหลานพระยาละแวก คือรวมตัวปราสาทและแผ่นดินใช่ไหม เสร็จสรรพ!!
นักการเมืองที่ทำเรื่องยุ่งยาก..คงเจอเครื่องประหารหัวสุนัข?..เจ๊กอั๊กกันมั่งสิครับ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++

นโยบายอ่อนหัด!!
ขอบอกว่า การถอนสมอ ใส่เกียร์ถอยหลัง เอา “เอ็มโอยู ๔๓” ออกจากสภาฯ “กระทรวงการต่างประเทศ” พากันอึดอัด??
คัดค้านหัวชนฝากันยกสำรับ
มี “เอ็มโอยู ๔๓” เรายังได้สิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะบริหารจัดการ บริเวณรอบ ๆ “ปราสาทเขาพระวิหาร” กันอยู่เสร็จสรรพ
ฉะนั้น,ถ้า “ศาลโลก” ตีความว่าคำตัดสินเมื่อปี ๒๕๐๕ ให้ “ขะแมร์” ได้ปราสาทเขาพระวิหารไป รวมถึง “แผ่นดิน” ด้วยล่ะก้อ “นักการเมือง” มาซี้ซั้วโยนกลอง ให้ “ข้าราชการ”ไม่ได้
เพราะเขาค้านกันเต็มแรง...แต่นักการเมืองยังดื้อแพ่ง?..แผลงฤทธิ์ จึงต้องรับผิดชอบไป??

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ดูเหมือน “คลื่น-ลม” สงบ!!
ทว่า,จริง ๆ แล้ว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ คงเปิดฉากการสู้รบ???
สั่งการอำนาจข้ามหัว “เจ้ากระทรวงไอซีที” คุณพี่จุติ ไกรฤกษ์ กันอย่างอุตลุด
เหมือนรู้ว่า, เลือกตั้งเที่ยวนี้ “อำนาจรัฐ”จะหลุดมือไป...จึงทิ้งทวน กันตามกลยุทธ์
ต่อมามิตรรักนักเพลง หรือ ปะดาคอการเมือง “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ” ทำจู๋จี๋กันได้เนียน
แต่เบื้องหลังแล้วนะท่าน...เหยียบตาปลากัน?...จ้องประหารกัน อย่างกระหือกระเหี้ยน??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“น้ำขึ้น” ก็ต้องมี “น้ำลง”!!
รับใช้ “การเมือง” ตัวเองก็ต้องปลง??
“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ...โชคชะตาวาสนา หลังเลือกตั้ง ดูท่านจะซวนเซ
สุขภาพท่านคงฟิตปั๋งเต็มร้อย?...แต่ตำแหน่งการงานท่านจะเป๋??
มีเค้าว่าดวงจะเท.. ไปด้าน มรสุมรุมกระหน่ำ!!
ที่เคยสุขสบายมา...ขอฟันธงล่วงหน้า?...ท่านจะโดนเชือดคาเก้าอี้ อย่างสุดช้ำ??

+++++++++++++++++++++++++++++

“ตัวติดกัน” เป็นตัวเม!!!
“อัญชลี ไพรีรักษ์” หรือ “ปองตองแปด” ผู้ปลดปล่อยตัวเอง หลุดจาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ขบวนการม๊อบเหลือง ออกมาได้อย่างสุด กิ๊บเก๋??
ที่เห็นเธอเป็นเงาตามตัว “จุติ ไกรฤกษ์” รมว.ไอซีที เพราะปึกปักกันมานาน
อันตัวเธอได้ทุน จาก “อดีตรัฐมนตรีโกศล ไกรฤกษ์” คุณพ่อ “รัฐมนตรีไก่” ไปเรียนต่างประเทศสิท่าน
จึงสนิทสนม แยกกันไม่ออก จาก “รัฐมนตรีไก่” จุติ ไกรฤกษ์ จึงเห็นเธอที่กระทรวงเสมอ
ที่พันธมิตรกล่าวว่าไปหาประโยชน์...ล้วนเป็นเรื่องโป้ปด?..กล่าวมดเท็จ ทั้งหมดสิเธอ??

ที่มา.ตอดนิดตอดหน่อย การบูร.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

ปาระเบิดเอ็ม 26 ใส่หลังเวทีพันธมิตร เจ็บ 2

กลางดึกที่ผ่านมา ร.ต.อ.สุรพล ใจห้าว พนักงานสอบสวน สบ.1 สน.นางเลิ้ง รับแจ้งเหตุ ระเบิดบริเวณสะพานฆัมวานรังสรรค์ ด้านหลังเวทีกลุ่มผุ้ชุมนุมพันธมิตร ถ.ราชดำเนินกลาง เขตพระนคร ก่อนรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. ,พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น. 1 และ เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด อีโอดี ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล และยังมีเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่

ที่เกิดเหตุพบรถจยย. ยี่ห้อ ยามาฮ่า สปาร์ค สีขาวดำ หมายเลขทะเบียน วขย 568 กทม. และรถเข็นไอศกรีม ถูกไฟลุกไหม้เสียหายเกือบทั้งคันจากแรงระเบิด โดยมีกลุ่มผุ้ชุมนุมได้นำถังดับเพลิงมาฉีดไว้แล้วก่อนหน้านี้ ห่างกันประมาณ 10 เมตร บริเวณคอสะพานด้านฝั่งถนนกรุงเกษม พบกระเดื่องระเบิดตกอยู่ 1 อัน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคาดว่าน่าจะเป็นกระเดื่องลูกเกลี้ยงระเบิดชนิด เอ็ม 26 ตกอยู่เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย รายแรก นายหนูปัน ภูทองเงิน อายุ 56 ปี ชาวจ.อุดรธานี ซึ่งเป็นคนขายไอศกรีม ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกขาขวาแตกเสียเลือดมาก เจ้าหน้าที่นำตัวส่งวชิรพยาบาล ส่วนอีกรายคือนายไพฑูรย์ วิเศษศรี อายุ 57 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยรักษาตัวที่วิชรพยาบาลเช่นกัน

จากการสอบถาม นายปราการ ประสพโชค อายุ 28 ปี เจ้าของรถจยย.ที่เกิดเหตุ ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า ตนแวะมาชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร ร่วมโหวตโน เป็นปกติเป็นประจำทุกวัน แต่วันนี้จอดรถได้เพียง 15 นาทีได้มีเสียงระเบิดดังขึ้น เมื่อเดินออกมาดูพบไฟลุกท่วมรถจยย.และรถไอติม ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ช่วยกันนำถังดับเพลิงมาฉีดดับก่อนมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

ด้านพล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า เบื้องต้น มีพยานเห็นผู้ต้องสงสัย ได้ขับขี่รถจยย.ฮอนด้า คลิก ไม่ทราบสีและหมายเลขทะเบียน สวมใส่แจคเกตสีดำ และหมวกกันน็อค ขี่รถคันดังกล่าวมาตามถนน.กรุงเกษม และมาจอดรถที่บริเวณคอสะพานก่อนเกิดเหตุ และขี่รถมุ่งหน้าไปที่ทางแยกเทวกรรม ซึ่งขณะนี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนออกหาข่าวและภาพจากกล้องวงจรปิดในแยกใกล้เคียง สำหรับการก่อเหตุดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรได้มีการรณรงค์ให้โหวตโน ซึ่งอาจจะมีกลุ่มคนไม่พอใจ พยายามสร้างสถานการณ์ดังกล่าวให้รุนแรง

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทางด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตร ได้เดินทางออกมาดู พร้อมก้บได้พูดคุยกับทางพล.ต.ต.วิชัย พร้อมก้บมีการตำหนิว่า หลังจากที่ตำรวจได้ขอเปิดพื้นที่บริเวณสะพานฆ้มวานแล้ว ก็ไม่มีตำรวจมายืนดูสถานการณ์ในจุดดังกล่าวเพื่อรักษาความปลอดภัย มีแต่เพียงกลุ่มวินจยย.มายืนที่สะพานฆัมวาน จึงทำให้ผู้ที่ไม่หวังดีมาก่อเหตุลอบกัด กลุ่มพันธมิตรที่ชุมนุมสันติ หลังจากนั้นได้เดินกลับไป และขึ้นเวทีปราศรัย ในเชิงตำหนิการทำงานของตำรวจอีกครั้งหนึ่ง


ที่มา.เนชั่น
**********************************

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"มาร์ค"หาเสียงย่านสายไหมเจอถือป้าย"เรยา ทางการเมือง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 06.30 น. ที่ตลาดวงศกร ถ.สุขาภิบาล 5 เขตสายไหม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผอ.การเลือกตั้ง กทม. ได้มาช่วยนายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้สมัคร ส.ส.เขตสายไหม หาเสียง โดยทันทีที่มาถึงนายอภิสิทธิ์ก็ได้รับดอกกุหลาบให้กำลังใจจากกลุ่มผู้ค้าในตลาด ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็ได้เดินหาเสียงรอบตลาดเพื่อรับฟังปัญหาสินค้าราคาแพงและซักถามถึงแนวทางแก้ไข รวมทั้งพูดคุยถึงนโยบายพรรค อย่างไรก็ตามในช่วงหนึ่งมีหญิงกลางคน ทราบชื่อว่า นางสิริมา นวลแจ่ม สวมเสื้อสีแดงได้ยืนถือป้ายเขียนข้อความว่า "ไร้ฝีมือ ข้าวยากหมากแพง" ดักรอนายอภิสิทธิ์ แต่ก่อนที่นายอภิสิทธิ์จะเดินไปถึงบริเวณดังกล่าวก็มีตำรวจเข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งนายสิริมาก็ยินยอมที่จะออกไปแต่โดยดี


อย่างไรก็ตามในภายหลัง นางสิริมา ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการมาแสดงออกถึงประชาธิปไตย เพราะไม่พอใจนโยบายการแก้ปัญหาของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะเรื่องไข่ชั่งกิโล และการบริหารประเทศที่ทำให้สินค้าราคาแพง ทั้งนี้แสดงความน้อยใจว่าเมื่อครั้งผู้สมัครเพื่อไทยมาหาเสียง เหตุใดตำรวจใน สน.นี้จึงไม่มาบ้างเลย แต่พอนายอภิสิทธิ์มาก็ยกกันมาแทบทั้งโรงพัก


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ก่อนหน้าที่นางสิริมาจะมาถือป้าย ก็มีชายกลางคนดักถือป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เช่นกัน โดยเขียนข้อความว่า "เรยาทางการเมือง ปากจัดทำไม่เป็น" แต่ตำรวจก็ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งชายคนดังกล่าวก็ยินยอมที่จะออกไปเช่นเดียวกัน


ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นับถอยหลังเลือกตั้ง ทำให้-ไม่ทำกิน เลือก ‘ชูวิทย์’ เป็นฝ่ายค้าน..ต้านคอร์รัปชั่น!

“นับถอยหลังการเลือกตั้ง” ไม่มีเลือกปฏิบัติ เปิดทุกมิติการ เมือง ทุกแง่มุมบนสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ ฉบับนี้ขอนำเสนอป้อมค่ายการ เมืองที่ถือเป็นสีสันอันดับหนึ่งในวันกำหนดอนาคตประเทศ นั่นคือ พรรค เบอร์ 5 ในนามรักประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ที่แสดงตัวล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่พึงประสงค์จะร่วมรัฐบาล แต่จะขอดำรงตน ในฐานะฝ่ายค้าน เพื่อเป็นกระบอกเสียงในวาระแฉแหลกที่เจ้าตัวถนัดให้ประชาชนรับรู้

เหตุผลที่รีเทิร์นสู่การเมืองในนามพรรครักประเทศไทย
“ผมทนไม่ไหว เพราะเห็นพรรคการ เมืองแต่ละพรรค หัวหน้าก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นนอมินีบ้าง เป็นคนอยู่หลังฉากบ้าง ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ตั้งใจจริงอยากจะมาเป็น รัฐบาล เพียงแต่อยากจะเซ้งรัฐบาล อยากจะสัมปทานประเทศไทยในช่วงเลือกตั้ง ลักษณะอย่างนี้ผมบอกว่าผมทนไม่ไหว ผมออกมา ผมขอเป็นฝ่ายค้าน”
“คนเป็นฝ่ายค้านก็ไม่ได้ตั้งใจเป็น ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเพราะอยากไปเป็นรัฐบาล แล้วถ้าผมยืนเป็นฝ่ายค้านได้ และบางคนถามว่าถ้าผมเป็นคนเดียวแล้วมันได้ อะไร สมมติเลือกชูวิทย์เป็นคนเดียวแล้วมันได้อะไร ผมบอกว่าคนเดียวมันก็มากเกิน พอ เพราะอีก 150 คนมันรีโมตคอนโทรล กดแล้วมันยกมือได้ ถูกต้องหรือเปล่า มันปกป้องผลประโยชน์พรรคมากกว่าผลประโยชน์ประเทศ”
“ลองคิดดู สมมติผมคนเดียว แต่ผม พูด เช้า สาย บ่าย เย็น แล้วสังคมฟังและ เห็นด้วยกับผม รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ คุณว่า จริงหรือไม่จริง เพราะฉะนั้น ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องมีตัวเลข ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ใช่รัฐบาล ที่ต้องมี 251 เสียง”

แนวทางการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
“ไม่เห็นจะยาก อะไรดีผมก็ส่งเสริม อะไรไม่ดีผมก็มาพูดให้สังคมฟัง ผมไม่พูดให้ประธานฟังหรอก ประธานฟังเขาก็ไม่เชื่อผมหรอก เขาก็เอาแต่เออๆๆ เหมือนหุ่นยนต์ ผมก็มาพูดให้สังคมฟังว่ารัฐบาลทำแบบนี้มันเหมาะสมหรือไม่ ทีนี้ผมจะรู้ได้ อย่างไร สื่อจะรู้ได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ผมมีวิธีสื่อสารกับประชาชนได้หลายวิธีอินเตอร์เน็ตก็มี การสื่อสารช่องทางอื่นก็มี ผมก็อาศัยช่องทางเหล่านี้มาสื่อสารให้ประชาชนและสังคมรับทราบ”
“ยกตัวอย่างเช่น เรียนฟรี 15 ปี แล้วมันจริงตรงไหน ชาวบ้านเขายังจ่ายเงินอยู่ เลย ค่าภาษาอังกฤษ ค่าคอมพิวเตอร์ และก็แอร์พอร์ต ลิงค์ พอทำไปแล้วมีคนนั่งอยู่ 6 คนต่อวัน คุณทำไป 364 ปีถึงจะคืนทุน แล้วจะอย่างไร คุณจะให้การรถไฟทำต่อเหรอ คุณไม่เปลี่ยนเหรอ อย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ผมที่ต้องมาบอก”
“อีกอย่างแอร์พอร์ต ลิงค์ มันเป็นแค่นโยบายขายฝัน ผมก็เคยจับผิดให้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปมิวนิค ไปเยอรมันมา ผมไปคุยกับซีเมนส์ ผมไปคุยกับคนทำมา ซีเมนส์บอกว่า รถไฟฟ้าบ้านเรามีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรก คือ ระบบราง แบบเมืองไปเมือง อย่างเช่น กรุงเทพฯ-ฉะเชิง เทรา แบบที่ 2 ในเมืองออกชานเมือง เช่น แอร์พอร์ต ลิงค์ ประเภทที่ 3 คือในเมืองเช่น MRT และ BTS”
“ส่วนในเมืองออกไปชานเมืองคือแอร์พอร์ต ลิงค์ นั้นขยายได้ไม่เกิน 25-30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วเขาออกนโยบายว่าผมจะทำแอร์พอร์ต ลิงค์ ไปถึงพัทยาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ซีเมนส์บอกว่าทำไม่ได้ แล้วจะให้ใครทำ ให้การรถไฟทำเหรอ แล้วจะเป็นไปได้อย่าง ไร เมื่อบริษัทเขาบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าผมเป็น ฝ่ายค้าน และออกมาพูดสิ่งเหล่านี้ แล้วมัน เป็นประโยชน์หรือเปล่า คุณลองไปคิดดูใช่ หรือไม่”

นโยบายหาเสียงในฐานฝ่ายค้าน
“นโยบายคือฝ่ายค้านนี่แหละ จุดขาย คือผมนี่แหละชัดเจนที่สุด ฝ่ายค้านต้านคอร์รัปชั่น
ผมเป็นฝ่ายค้านให้คุณ คนอื่นอยากเป็นรัฐบาลก็ให้เขาเป็นไป ผมเป็นฝ่ายค้าน อย่ากลัวผมแล้วกัน เพราะผมพูดแล้วมีคน ฟัง เช้า สาย บ่าย เย็น ผมก็พูดให้ประชาชนฟัง สังคมเชื่อผม รัฐบาลอยู่ไม่ได้ แล้วอย่างนี้ไม่ใช่จุดแข็งได้อย่างไร ถามหน่อยเถอะว่า ในสภามีฝ่ายรัฐบาลข้างเดียวหรือไม่ มันต้องมีฝ่ายค้านด้วย และในเมื่อฝ่ายค้านเข้มแข็ง รัฐบาลระวังตัว แล้วมันไม่ดีตรงไหน
“ที่นี้มีคนไปคิดถึงแต่เรื่องนโยบายที่ ไม่จริง นโยบายสร้างภาพ นโยบายขายฝัน นโยบายที่อยู่ภายใต้ผลประโยชน์ทับซ้อน นโยบายคอร์รัปชั่น ผมเขียนติดเต็มไปหมด นโยบาย+คอร์รัปชั่น นโยบาย+ผลประโยชน์ ทับซ้อน รัฐบาล+ผลประโยชน์ ผมสื่อสาร กับประชาชนอยู่ ผมมีหน้าที่ให้ข้อมูล ให้ การศึกษา และพูดความจริง”

ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยล้มในสภา เพราะปรากฏการณ์ฝักถั่ว
“ปัญหาของมันคือว่า คนที่เป็นฝ่าย ค้านไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านจริงๆ ฝ่ายค้าน ก็ค้านแหลก ฝ่ายรัฐบาลก็สนับสนุนแหลก และคะแนนมันก็เท่าเดิม ตั้งแต่ 2475 มันก็ไม่มีครั้งไหนที่ฝ่ายค้านล้มรัฐบาลได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถามว่าจุดไคลแมกซ์จุดไฮไลต์ผมอยู่ที่ไหน มันอยู่นอกสภา เพราะการล้มของสภาทุกครั้งมันไม่ได้อยู่ในสภา”
“แต่ถามว่าอยู่นอกสภาคุณจะเอาเสื้อเหลืองเสื้อแดงใช่หรือไม่ ถ้าคุณชอบแบบนั้น ก็ไม่ต้องไปเลือกผม เพราะคุณมีเสื้อเหลืองเสื้อแดงอยู่แล้ว แต่ผมไม่เคยขึ้น เวทีทั้งเหลืองทั้งแดง ผมเล่นการเมืองผมเข้า ตามตรอกออกตามประตู ดังนั้นผมใช้วิธีสภา ผมมีสิทธิ์มีเสียงผมพูดได้ ผมก็ออกไป พูดนอกสภา แต่ผมไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพูด ในสภา ตั้งโต๊ะพูดกับผู้สื่อข่าวก็ได้ มันมีวิธี อื่นอีกตั้งมากมายในการสื่อสารกับประชาชน”

ฐานเสียงของ “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย”
“ฐานเสียงของผมคือคนที่เบื่อการ เมือง คนที่เซ็งนักการเมือง ปวดหัวไง ผมสื่อสารกับประชาชนว่าผมเบื่อการเมือง เบื่อนักการเมือง แต่ต้องไปเลือกตั้ง คนที่ไม่เลือกใคร ไม่ซ้ายไม่ขวา ก็เลือกผม เพราะผมเบอร์ 5 คนหนึ่งเบอร์ 1 คนหนึ่งเบอร์ 10 ก็ผมเบอร์ 5 อยู่ตรงกลาง คนไม่ชอบซ้าย ไม่ชอบขวา ไม่ชอบเหลือง ไม่ชอบแดง ไม่ชอบประชาธิปัตย์ ไม่ชอบเพื่อไทย ก็เลือกเบอร์ 5 เลือกชูวิทย์ เลือกรักประ เทศไทย”
“ผมก็เป็นตัวเลือกให้กับประชาชน อีกทาง การเมืองไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าที่จะ มีสินค้ามีทางเลือกให้คุณเลือกมากมาย มัน ไม่มี ในทางการเมืองมีสินค้าอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ถูกไหม ถ้ามีปลาก็มีปลาอยู่ไม่กี่ประ เภท เช่นพวกปลาดูด ปลาไหล และก็ปลาหมอ มีอยู่ 3 ประเภทเท่านั้นเอง”

มุมมองการปฏิรูปประเทศไทย
“ผมไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ เราเปลี่ยน รัฐธรรมนูญมากี่ฉบับยังทำไม่ได้เลย อเมริกา ใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวมา 200 ปี ทำไมเขาทำได้ แต่ประเทศไทยเปลี่ยนทุก 2 ปี ทำไมยังทำไม่ได้ เรื่องนี้ผมจึงไม่เชื่อ จุดยืนผมคือเป็นฝ่ายค้าน ผมตัวคนเดียวคงไปทำ เรื่องอย่างนั้นไม่ได้ ที่ผมทำได้ในฐานะฝ่าย ค้าน คือทำให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูล ก็ผม ทำได้แค่นี้ ผมทำให้ผมไม่ได้ทำกิน ถ้าทำกินนั่นคนอื่น ผมทำได้แค่นี้ ทำได้แค่เป็นกระบอกเสียงของประชาชน”

มิติปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
“จริงๆ ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหา ใหญ่ แต่คนไทยมักจะมองข้าม ถามว่ามอง ข้ามอะไร ก็มองข้ามเพราะมัวแต่ไปฟังเรื่องนโยบายแจกนั่นแจกนี่ เรียนฟรีบ้าง เบี้ยนู่น เบี้ยนี่บ้าง ผมว่าไม่จริงสักอย่าง เพราะรัฐบาลหาเสียงแบบโฆษณาชวนเชื่อ จุดยืนผมคือจะไปทำให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่อง จริง จะตามทวงถามให้กลายเป็นเรื่องจริง ผมไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ใช่พรรค เพื่อไทย ผมไม่ใช่รัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศด้วยซ้ำ แต่ผมตามทวงสิทธิ์ที่ประ ชาชนควรได้ให้กับเขา ผมทำหน้าที่เท่านี้ ผมถือว่ามากแล้ว ตรงนี้สำคัญแล้ว ก็อย่าง ที่ผมเขียนไว้ในโปสเตอร์หาเสียง เลือกชูวิทย์ เป็นฝ่ายค้าน ต้านคอร์รัปชั่น คือการต้านคอร์รัปชั่นจะเป็นนโยบายเดียวที่ผมจะทำ ทุกอย่างมันเกี่ยวกับการต้านคอร์รัปชั่นเท่านั้น”

กลยุทธ์การหาเสียง
“คะแนนเสียงเนื่องจากเราหาในกระแส ไม่ใช่กระสุน ไม่ใช่กระสาย แต่เป็น กระแส เพราะฉะนั้น ผมต้องเล่นกระดาน โต้คลื่นกับคลื่นกระแส ผมก็จะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนเลือกผม ไม่สามารถที่จะไปแจกบัตร ไปยกมือไหว้ ไปหาเสียง ผมทำไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นทุกคนก็ทำเป็น
“กลยุทธ์ที่สอง ผมต้องนำเสนอความแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ ถ้าคุณไม่เสนอ คุณก็จะเป็นเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ แล้วผมจะเลือกคุณทำไม ข้อที่สาม ผมต้องแสดงตัวตนปรากฏให้สื่อเข้าใจในระยะเวลาที่สั้น เพราะผมพรรคเล็ก เพราะพรรคใหญ่ได้เวลาเยอะ แต่ผมพรรค เล็กทีวีให้เวลาผม 5-10 วินาที หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลงให้ แล้วจะเหลืออะไรให้ผม แต่ทำไม วันนี้โพลผมขึ้นมาอยู่อันดับ 5 ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไร ก็เพราะคนอาจเบื่อก็ได้ เขาเห็นนักการเมืองโกหกมากๆ เขาก็อาจจะเบื่อมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”

สุดท้าย “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย” อยากฝากอะไรถึงประชาชน
“ผมอยากจะบอกประชาชนว่า มันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่นัก การเมืองมาบอกว่าให้เปลี่ยน ไม่ใช่เพราะ ประชานิยม ประชาภิวัฒน์ ประชาวิบัติ เขาเอาเงินจากกระเป๋าคุณ ประชาชนทำ งานได้รับเงินเดือนถูกหักประกันสังคม แต่ประกันสังคมรัฐบาลเอาไปใช้ ไม่ได้เอามา บำรุงสุขภาพคุณเพราะคุณกินยาเม็ด คุณอุจจาระเป็นมิตร เพราะฉะนั้น คุณต้องการ ให้เขามาทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้น นี่แหละครับ ตัวสำคัญ ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็ไม่ควรเป็น รัฐบาลอีกต่อไป”
คนคนเดียวเปลี่ยนโลกไม่ได้ (เพราะไม่ใช่ประชาธิปไตย) แต่หลายคนเชื่อว่า “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” คนเดียวสามารถเป็น กระบอกเสียงให้กับอีกหลายๆ คนได้ แต่สุดท้าย “รักประเทศไทย” จะชนะใจประ ชาชนจนสามารถเข้าไปยืนซีกฝ่ายค้านในสภาอย่างที่หวังใจได้หรือไม่???
ดีเดย์ 3 กรกฎาคม..จะมีคำตอบสุดท้ายแห่งฉันทามติ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลั่นรอผลเลือกตั้ง รับทุกพรรคตั้งรัฐบาล !!?


"ยิ่งลักษณ์"ลั่นรอผลเลือกตั้ง รับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกันทำงานร่วมกัน ด้าน"สุรพงษ์"โวพท.ชนะเลือกตั้งถล่ม เตรียมจับมือ"ชทพ.-ชพน."
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พรรคขนาดกลาง 3 พรรค คือพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เตรียมจับขั้วเพื่อต่อรองทางการเมืองว่า ขอให้ใจเย็นๆ รอให้ผลการเลือกตั้งออกมาก่อนว่าพรรคไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะดีกว่า แต่ส่วนตัวแล้วพร้อมเปิดกว้างรับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เหมือนกันในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีพรรคไหนบ้างที่อุดมการณ์ไม่ตรงกับพรรคเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้ เอาไว้ถึงเวลานั้นก่อน ส่วนพรรคภูมิใจไทยสามารถร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้ยังเร็วไปที่จะพูด สำหรับกรณีที่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เสนอเรื่องนายกรัฐมนตรีปรองดองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้เราเข้าสู่โหมดเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งและผ่านกลไกของรัฐสภา ดังนั้นควรจะให้เป็นไปในรูปแบบนั้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวถึงการเปิดตัวนโยบายปรองดองด้วยว่า คงต้องคุยกันในรายละเอียดก่อน ซึ่งตนไม่ต้องการให้เปิดเป็นขั้นๆ และไม่อยากให้ออกมาในรูปแบบที่เราคิดคนเดียว เพราะอยากทำงานกับทุกภาคส่วนที่จะหาแนวทางร่วมกัน โดยประเด็นหลักที่สำคัญคือ อยากให้มองว่าทำอย่างไรที่จะให้เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติมากกว่า

โวพท.ชนะเลือกตั้งถล่ม เตรียมจับมือ "ชทพ.-ชพน."ตั้งรัฐบาล

ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคขนาดกลางเริ่มจะจับขั้วกันตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งว่า แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะรู้สภาพตัวเองว่ากระแสแรงสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้เพราะ นโยบายของพรรคที่เปิดออกไปและการเปิดตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศ ดังนั้นเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะถล่มทลายอย่างแน่นอน โดยมีพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมรัฐบาลด้วยทั้งนี้ เพราะตามหลักโหรแล้วมีพรรคที่ได้เบอร์ 2 และเบอร์ 21 นั้นถือว่าถูกโฉลกกับพรรคเพื่อไทยที่ได้เบอร์ 1

ด้านนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ผู้สมัครส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้พรรคขนาดกลางเริ่มรู้แล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์กระแสสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยถูกใจประชาชนจนทำให้มีกระแสตอบรับที่ดี สำหรับกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า จะมีนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเล็กนั้น ขอให้เลิกฝันค้างได้เลยว่าพรรคเล็กจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คงต้องเป็นชาติหน้าตอนบ่ายๆ

เสียงแหบ ตุนน้ำจับเลี้ยง แก้เจ็บคอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสักการะพระแก้วมรกตและศาลหลักเมืองแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมทั้งบุตรชาย ได้เดินทางไปยังตลาดสามย่านเพื่อจับจ่ายซื้อของใช้ส่วนตัว โดยใช้เวลาเลือกซื้ออยู่ประมาณ 30 นาที

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ซื้อน้ำจับเลี้ยง "เจ๊หงส์" ซึ่งเป็นร้านดังของตลาดสามย่านด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เจ็บคอและเสียงแหบจึงซื้อน้ำจับเลี้ยงดื่มเพื่อให้ชุ่มคอ และจะซื้อตุนไว้ดื่ม 2-3 วันด้วย เนื่องจากของร้านดังกล่าวน้ำจับเลี้ยงมีสรรพคุณดี

จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ตรงไปยังร้านค้าขายไข่ เพื่อสอบถามว่ามีไข่ชั่งกิโลขายหรือไม่ ซึ่งเจ้าของร้านกล่าวว่า ขายเป็นฟองและแผง เพราะขายเป็นกิโลกรัมนั้นไม่สะดวก ก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะซื้อไข่กลับบ้านประมาณ 10 ฟอง เพื่อนำไปประกอบอาหาร

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังซื้อกุ้ยช่ายกลับบ้านอีกจำนวนหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม การเดินตลาดสามย่านของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น สร้างสีสันให้กับพ่อค้าแม่ค้าและนักศึกษาที่กำลังเลิกเรียน โดยมีส่วนหนึ่งได้เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จาก ชินคอร์ป.สู่ อินทัช การเมืองหรือเรื่องธุรกิจ !!?

พอปี่กลองการเมืองเริ่มโหมโรง ก็เริ่มมีข่าวคราวว่า "ชิน คอร์ปอเรชั่น" เปลี่ยนชื่อเรียกขานเสียใหม่ ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
9 ใน 10 คนทั่วไปที่ผมพูดคุยด้วย ยกเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ทั้งๆ ที่ฟังแล้วก็ดูแปลกๆ อยู่ไม่น้อย อีกคนที่เหลือส่ายหน้า ไม่รู้ว่าไม่ขอออกความเห็นหรือไม่รู้เรื่องราวเอาจริงๆ

เมื่อมีโอกาสได้เจอะเจอ คุณสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร อินทัช กรุ๊ป ก็ต้องถามกันให้กระจ่าง

คำตอบเรื่องนี้เป็นที่คาดหมายกันได้ ว่า ยังไงๆ คำตอบก็ต้องเป็น "ไม่เกี่ยวข้องกับการ เมือง" ประเด็นสำคัญของคำถามนี้จึงอยู่ที่ "เหตุผล" ประกอบคำตอบที่ว่านั้น ว่าชวนให้รับฟังได้มากน้อยแค่ไหน

คุณสมประสงค์บอกเหตุผลแรกของการเปลี่ยนไว้ง่ายๆ ว่า เปลี่ยนเพราะต้องการความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นวิธีการที่บริษัทธุรกิจใช้กันอยู่เป็นปกติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือชื่อ "ชิน คอร์ปอเรชั่น" ที่ใช้มาร่วมๆ 20 ปี ก็ไม่ได้เป็นชื่อแรกและดั้งเดิมของบริษัท ตรงกันข้ามกลับเป็นชื่อที่ผ่านการปรับเปลี่ยนมาแล้วถึง 2 ครั้ง

"ชื่อแรกสุดที่ใช้คือ เอสซี เมื่อมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพิ่มเติมก็เปลี่ยนใหม่ กลายเป็น เอสซีแอนด์ซี เพิ่มคำว่า คอมพิวเตอร์เข้าไปด้วย แล้วก็มีการเปลี่ยนอีกครั้งกลายเป็น ชิน คอร์ป.อย่างที่คุ้นกัน"

เหตุผลถัดมา คุณสมประสงค์บอกว่า เปลี่ยนหนนี้ เป็นการเปลี่ยนเพื่อแสดงความเป็น "สากล" มากยิ่งขึ้น เข้าใจง่ายและสัมผัสได้มากขึ้นในมุมมองของคนต่างชาติ สะท้อนถึงความต้องการสร้างความหลากหลายในการลงทุนทำธุรกิจมากขึ้น ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศไทย และเไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในด้าน โทรคมนาคมและมีเดีย ที่เคยเป็นธุรกิจหลัก ของบริษัทมาก่อนหน้านี้

"อินทัช" จะเพิ่มธุรกิจอะไรขึ้นมาอีก? ซีอีโออินทัช ตอบอย่างกว้างๆ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจไว้ว่า ส่วนแรกเป็นธุรกิจใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาแต่ยังคงเกี่ยวข้องเชื่อมโยงอยู่กับธุรกิจหลักเดิมของบริษัท กับอีกส่วนเป็น "ของใหม่" อย่างแท้จริง
นอกจากจะเปลี่ยนเพื่อขยายขอบเขตธุรกิจแล้ว การปรับเปลี่ยนหนนี้ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงภาพลักษณ์ใหม่ที่ "อินทัช" ต้อง การแสดงออกมาให้เห็น

"เราต้องการสื่อถึงภาพลักษณ์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเชิงนามธรรมมากขึ้น นามธรรมที่ว่านั้นห่อหุ้มความสุภาพ อ่อนน้อม ความใกล้ชิด เข้าถึงได้ง่ายอยู่ด้วยในตัว" คุณสมประสงค์บอก

พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า "สัญลักษณ์" ใหม่ของบริษัทจึงมีความพลิ้วไหวอยู่ในตัว มองไปครั้งหนึ่งอาจนึกถึงรอยยิ้มแย้ม แต่มองไปอีกคราวอาจได้ความรู้สึกถึงสายน้ำ ที่ไหลริน นุ่มนวล แต่รุดหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยไหลกลับ

"เราเลือกสีเขียว เพราะนอกจากจะสดใส สดชื่นแล้วยังสะท้อนถึงการเติบโต ผลิใบเติบใหญ่อยู่ตลอดเวลา"

ความหมายล่ะ "อินทัช" หมายความว่าอะไร? ตามความเข้าใจของผมมันหมายถึงการติดต่อ การเชื่อมโยงใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนคุณสมประสงค์จะมีอีกความหมายหนึ่ง "มันหมายถึงการเกิดมายิ่งใหญ่ครับ"

ทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย

"ไม่เกี่ยวเลย ถ้าจะเปลี่ยนชื่อเพื่อล้างการเข้าไปเกี่ยวพันกับการเมือง เราคงเปลี่ยนตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว คงไม่รอมาเปลี่ยนตอนนี้ จริงมั้ย?" ยิ่งกว่านั้น คุณสมประสงค์บอกว่า เรื่องการเปลี่ยนชื่อนี้เริ่มคิดและทำกันมาตั้งแต่ 1 ปีก่อนหน้านี้ มีการว่าจ้างบริษัทผู้ชำนาญการให้เสนอรูปแบบสัญลักษณ์และชื่อมาให้เลือก มีการจัดตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการคัดเลือก ลงเอยด้วยการที่ คณะกรรมการบริหารของบริษัทลงมติตคัด 1 ใน 3 ชื่อในรอบสุดท้าย ก่อนที่จะประกาศเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทาง การเมือง 1 เมษายนที่ผ่านมา

แม้จะยืนยันว่าบริษัทไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการ เมืองในหลายๆ ด้านอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่คุณสมประสงค์ก็ยอมรับว่า การเมืองเข้ามาพัวพันกับบริษัทตั้งแต่แรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"เรา หรือบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจนี้อดไม่ได้หรอกครับที่จะถูกมอง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือลงความเห็นว่ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะนี่เป็นธุรกิจที่รับสัมปทานจากรัฐ แต่เราไม่ได้นำการเมืองมาเป็นปัจจัยในการดำเนินงานแน่นอน"

แต่การถูกมองหรือวิพากษ์วิจารณ์ว่า "มีเอี่ยว" ในทางการเมือง ทำให้ต้อง "ระมัด ระวัง" เป็นพิเศษด้วยเช่นกัน

คุณสมประสงค์บอกว่า นั่นทำให้ที่นี่มี "หลักการ" ในการทำงานทุกเรื่องที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และไม่เอาอารมณ์ ความรู้สึกมาเป็นที่ตั้ง เอาข้อมูลหลักฐานมากองกันไว้ แยก แยะให้ออกว่าอันไหนคืออารมณ์

อันไหนเป็นความรู้สึก อันไหนเป็นข้อเท็จจริง แล้วใช้ข้อเท็จจริงนั้นเป็นฐานในการทำงานอย่างมืออาชีพ ทำตามหน้าที่ ตามตำแหน่งและภาระรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายจากพื้นฐานข้อเท็จจริงเหล่านั้น

ที่สำคัญคือต้องเป็นไปตาม "มาตรฐานของธรรมาภิบาล" ที่จับต้องได้แน่นอน เพราะเคยได้รับรางวัลบริษัทดีเด่นมาแล้วหลายครั้งจากหลายสถาบันรวมทั้ง "เดอะ เบสต์ เอมพลอย เยอร์" ในครั้งล่าสุดนี้ด้วย

การเมืองสำหรับที่นี่ เป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นสิทธิและหน้าที่ของแต่ละคนในฐานะคนไทย คุณสมประสงค์บอกอย่างนั้น แต่ต้องไม่นำมาเกี่ยวข้องกับบริษัท ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับบริษัท

"ใครจะเอาโน้ตบุ๊กที่นี่ไปช่วยหาเสียง-ทำไม่ได้ครับ" ซีอีโออินทัชสรุปพร้อมรอยยิ้ม

(เรื่อง ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th )


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

จันทราภา จินดาทอง
นักสังคมสงเคราะห์ รพ.อุ้มผาง
บทความสำหรับ Stateless Watch Review (www.statelesswatch.org)

ลองจินตนาการถึงภาพตัวเองนั่งอยู่เบื้องหน้านายแพทย์ซักคน แล้วหมอก็พูดขึ้นว่า “ทำใจดี ๆ นะครับ คุณเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หนทางรักษาให้หายขาดนั้นไม่มี ทำได้เพียงประคับประคองอาการไว้ให้นานที่สุด” แม้คุณจะเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลในประเทศนี้อย่างสมบูรณ์ แต่กระบวนการที่จะได้สิทธินั้นต้องมีขั้นตอนดังนี้

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายยื่นบัตรทอง พร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน แจ้งความจำนงเพื่อขอใช้สิทธิรับบริการทดแทนไต ที่โรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง

- รายชื่อของผู้ป่วย ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลที่ร่วมบริการทดแทนไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เพื่อเสนอข้อบ่งชี้ในการบริการต่อคณะกรรมการพิจารณาบริการทดแทนไตฯ ระดับจังหวัด

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณา บริการทดแทนไตฯ ระดับจังหวัด จะได้รับการลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยในระบบ

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะได้รับการแจ้งกลับจากโรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการบริการ ณ โรงพยาบาลที่ร่วมโครงการรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

จากนั้นคุณจะได้รับการบริการจากโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต

แต่หากคุณเป็นบุคคลที่ไม่ใช่คนสัญชาติไทย โอกาสการเข้าถึงบริการดังกล่าวคงเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับกรณีของนางชิชะพอ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) อายุ 48 ปี เป็นบุคคลอยู่ระหว่างการสำรวจเพื่อจัดทำเบียนบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เกิดที่บ้านกะลิคี ประเทศพม่า เข้ามาประเทศไทยทางด่านเปิ่งเคลิ่ง ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง ตอนอายุ 17 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านสามัคคี ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง

นางชิชะพอเริ่มเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอุ้มผางเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2552 ด้วยอาการซีด เข้ารับการเจาะเลือด แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรค Anemia จึงรับยาและเจาะเลือดซ้ำเรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 แพทย์ได้วินิจฉัยเพิ่มเติมว่าเป็นโรคไตระยะสุดท้าย End-stage renal disease (ESRD) เข้ารับการรักษาทั้งที่เป็นผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นระยะระยะ

19 มีนาคม 2554 นางชิชะพอเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน และอายุรแพทย์ประจำโรงพยาบาลอุ้มผาง ให้ความเห็นว่าควรได้รับการฟอกล้างไตเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แต่เมื่อทำการเช็คสิทธิในการรักษา ปรากฏว่า นางชิชะพอไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลจากกองทุนใด ๆ แพทย์จึงทำได้เพียงให้การรักษาทางยาเท่านั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2554 นางชิชะพอ ถูกรับตัวเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลอุ้มผางอีกครั้งด้วยอาการเหนื่อยง่าย ครั้งนี้อาการของนางชิชะพอไม่ทุเลาลง แพทย์ตัดสินใจส่งตัวไปรักษาต่อกับนายแพทย์พิสิฐ ลิมปธนโชติ แพทย์เฉพาะทางประจำหน่วยไตเทียมของโรงพยาบาลแม่สอด ในวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2554 และได้ทำการเจาะหน้าท้องเพื่อทำการล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง

การล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis หรือ CAPD) เป็นวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการยอมรับวิธีหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถทำได้ด้วยตนเอง และในช่วงเวลาที่น้ำยาอยู่ในช่องท้องสามารถทำงานได้ตามปกติ โดยผู้ป่วยปกติใช้เวลาปล่อยน้ำยาเข้าออกรอบละ 30-45 นาที และต้องดำเนินการวันละ 4 รอบ รอบละ 4-8 ชั่วโมง ซึ่งวิธีการนี้ ผู้ป่วยไม่ต้องระวังเรื่องการรับประทานอาหารมากจนหมดความสุข อีกทั้ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีความสดชื่น เนื่องจากการล้างไตทางช่องท้องเป็นการถ่ายของเสียออกจากร่างกายทุกวัน วันละประมาณ 4 ครั้ง ของเสียจึงไม่ตกค้างในร่างกายนาน

หลังจากอาการของนางชิชะพอคงที่แล้ว แพทย์วางแผนจะเจาะเส้นเลือดบริเวณต้นคอเพื่อฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis-HD) ซึ่งต้องเดินทางมารับ บริการฟอกเลือดที่หน่วยบริการที่มีเครื่องไตเทียมและแพทย์โรคไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งๆ ละ 4-5 ชั่วโมง

ในส่วนของค่าใช้จ่ายการเจาะหน้าท้องและเส้นเลือด ทางโรงพยาบาลแม่สอดแจ้งว่า ไม่สามารถให้การอนุเคราะห์ผู้ป่วยกรณีนางชิชะพอได้ ทางโรงพยาบาลอุ้มผาง จึงยินยอมรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยให้เป็นหนี้สิ้นเรียกเก็บมายังโรงพยาบาลแต่ด้วยภาระปัจจุบันของโรงพยาบาลอุ้มผางจึงยังไม่สามารถชดใช้ค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมถึงค่าใช้จ่ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ราวสามแสนบาทต่อปี

หนทางรอดของนางชิชะพอจึงเลือนรางเหมือนแสงสว่างที่รออยู่ปลายอุโมงค์ที่มืดมิด แต่กว่าจะถึงวันนั้น แสงจากคบเพลิงที่ผู้คนจะยื่นมือมาช่วยนับเป็นกำลังใจอันสำคัญที่จะทำให้เธอก้าวไปจนถึงแสงนั้นได้

ที่มา.ประชาไท
**************************************

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

5 พรรคประชัน นโยบายปากท้อง ใครของจริง ใครขายฝัน !!!?

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดสัมมนาเรื่อง "ท้าความคิด...ประชันนโยบายปากท้องกับ 5 พรรคการเมือง" ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โดยตั้งประเด็นว่า "หากพรรคได้รับเลือกเข้ามาบริหารประเทศ 90 วันแรกของการเป็นรัฐบาล จะแก้ไขปัญหาปากท้องอย่างไร"

 พิชัย นริพทะพันธุ์ ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

สิ่งแรกที่พรรคจะทำใน 90 วัน คือโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร หรือเครดิตการ์ดชาวนา ควบคู่กับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท โดยชาวนาจะต้องลงทะเบียนข้อมูลพื้นฐาน เช่น จำนวนพื้นที่เพาะปลูก จากนั้นสามารถมากู้เงินจากสถาบันการเงินของรัฐ อัตราดอกเบี้ย 0% เพื่อนำไปลงทุนด้านการผลิตก่อน เช่น ซื้อปุ๋ย ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเเพงเหมือนสินเชื่อนอกระบบ ช่วยลดต้นทุนได้ 20-40% และเมื่อชาวนาได้ผลผลิตมาจำหน่าย ก็จะได้ส่วนต่างที่เหลือจากการกู้กลับไป ทำให้ไม่เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)

 "พรรคจะต้องทำให้เศรษฐกิจประเทศโตไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี เพราะมีเป้าหมายต้องเติบโตให้ทันตามประเทศจีนและอินเดียที่โตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ขณะเดียวกัน ไทยต้องไม่มีภาวะการตกงาน พร้อมทั้งยกระดับคนระดับล่างให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยจะต้องจัดการต้นทุนภาคการขนส่งให้ต่ำลง พัฒนากิจการรถไฟและรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย เพราะปัจจุบันระบบรางของไทยยังมีปัญหา

พร้อมทั้งสร้างเมืองเศรษฐกิจใหม่ ให้เป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ เเทนพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ในอนาคตมองว่ามีปัญหาน้ำท่วม และรถติดรุนเเรงมากขึ้น โดยรัฐจะเปิดประมูลขายที่ดิน เป็นช่องทางรายได้ให้รัฐ เพื่อนำไปสร้างเขื่อนป้องกันปัญหาน้ำท่วม รวมถึงใช้ในระบบชลประทาน ทำท่อเชื่อมต่อทั้ง 25 ลุ่มเเม่น้ำ ทำให้ชาวนาสามารถปลูกข้าวได้มากขึ้นเป็น 3-4 ฤดูกาล จากปัจจุบัน 2-3 ฤดูกาล นอกจากนี้ พรรคยังขึ้นค่าเเรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน โดยการลดเก็บภาษีนิติบุคคล เหลือ 20% ในปี 2556 เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับเพิ่มรายได้ให้เเรงงาน รวมทั้งผู้ที่จบวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ต้องได้เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายกองทุนมหาวิทยาลัย โดยให้มหาวิทยาลัยละ 1,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ให้นักศึกษาไปสร้างรายได้ระหว่างเรียน รวมถึงโครงการพักชำระหนี้ โดยประชาชนที่มีหนี้ต่ำกว่า 5 แสนบาท จะได้รับการพักชำระหนี้ 3 ปี ส่วนรายใดที่มีหนี้เกิน 5 แสนบาท จะเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้

"กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์

ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลมาบริหารประเทศ พรรคจะมุ่งเน้นเรื่องรายได้ประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะการดูแลค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ด้วยการเพิ่มกำไรการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสำหรับการทำข้าวนาปีเป็น 50% จากเดิมกำหนดไว้ที่ 40% เพื่อให้เกษตรกรมีกำไรจากการขายสินค้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังขยายอัตราต้นทุนค่าขนส่งแบบเหมาจ่าย 200 บาทต่อตัน เหมือนกันทั่วประเทศ เป็นเหมาจ่ายตามระยะทางโดยนับจุดเริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ศูนย์กลางการค้า ดังนี้ ระยะทาง 0-300 กิโลเมตร อยู่ที่ 200 บาทต่อตัน ระยะทาง 301-600 กิโลเมตร อยู่ที่ 400 บาทต่อตัน และ 601 กิโลเมตรขึ้นไป อยู่ที่ 600 บาทต่อตัน สานต่อเรื่องปัจจัยการผลิตในส่วนของการชดเชยปุ๋ยต้นทุนต่ำตันละ 1,500 บาท การเข้าไปดูแลระบบประกันภัยนาล่ม กรณีที่เกิดภัยธรรมชาติที่ไม่คาดคิด การปรับฐานค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 25% ภายใน 2 ปี

"กรพจน์ อัศวินวิจิตร" ทีมเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน

พรรคจะดำเนินนโยบายเรื่องยกเว้นภาษีเงินได้ให้กับบัณฑิตจบใหม่ 5 ปี เพื่อให้มีเวลาสร้างรายได้ ความมั่นคงในอาชีพ ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น รวมถึงปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนพิการและผู้สูงอายุ 1,000 บาทต่อเดือน จากปัจจุบันอยู่ที่ 500 บาทต่อเดือน ให้ประชาชนสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นเฉพาะโรงพยาบาลที่มีชื่อสังกัดเท่านั้น รวมถึงดูแลปรับลดปลดหนี้ให้เกษตรกร

นอกจากนี้ พรรคจะเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้ภาคการผลิตดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 3 ปี วงเงินสินเชื่อสูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย ปรับระบบบัตรโดยสารใบเดียวใช้ได้ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือแม้แต่เรือ นอกจากนี้ พรรคยังมีนโยบายเรื่องอัตราค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 350 บาทต่อวัน ภายใน 3 ปี เพราะมองว่าหากเศรษฐกิจดี ระบบการทำงานดี การปรับค่าครองชีพให้สูงย่อมสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับนโยบายด้านรับซื้อข้าว พรรคจะเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถเลือกว่าจะเข้าระบบประกันรายได้เกษตรกรหรือระบบรับจำนำ เพราะไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ต้องใช้กลไกตลาดเป็นตัวชี้นำราคา เป็นการให้โอกาสประชาชนมากขึ้น

"สรยุทธ เพ็ชรตระกูล" ทีมเศรษฐกิจพรรคภูมิใจไทย

 ภายใน 90 วัน หลังได้รับเลือกเป็นรัฐบาล พรรคมีนโยบายจะประกันราคาข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท รวมถึงพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อให้สามารถแข่งขันระหว่างประเทศได้ รวมทั้งแจกพันธุ์ข้าว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โดยมีระบบบริหารจัดการที่ดี รวมถึงบริหารด้านการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดสรรงบประมาณให้จังหวัดละ 100 ล้านบาท จัดโครงการทำดีมีรางวัล โดยเฉพาะกลุ่มอาสาสมัครกู้ชีพต่างๆ กรณีที่ประสบอุบัติเหตุ โดยชดเชยให้วันละ 600 บาทต่อคน กรณีที่ต้องเข้ารับการรักษาตัว

พรรคจะเน้นนโยบายเศรษฐกิจระดับรากหญ้า เพราะมองว่าเศรษฐกิจเดินหน้าได้ ต้องพัฒนาจากฐานระดับล่างให้แข็งแกร่งก่อน โดยเฉพาะด้านเกษตรกร เรื่องข้าวเป็นสินค้าที่ราคายังต่ำ เมื่อเทียบกับสินค้าเกษตรชนิดอื่นที่ราคาต่างปรับขึ้นสูง ขณะที่สัดส่วนชาวนาสูงถึง 60% นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาระบบชลประทานให้มีศักยภาพมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีอยู่ 2 ล้านไร่ จากระบบชลประทานทั่วประเทศ 28 ล้านไร่ มองว่ายังน้อยมาก ถ้าเทียบกับพื้นที่เกษตรกว่า 57 ล้านไร่"

"เกษมสันต์ วีระกุล" ทีมเศรษฐกิจพรรคชาติไทยพัฒนา

นโยบายเร่งด่วนของพรรคที่ต้องทำเลยก็คือประกาศนโยบายปรองดองแห่งชาติ เพราะมองว่าถ้าไม่เริ่มต้นด้วยการปรองดองจากทุกฝ่าย การต่อยอดพัฒนาด้านต่างๆ ก็จะไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมุ่งให้บรรดาคณะรัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์ในหน้าที่ หยุดการโกง ทุจริตในเรื่องต่างๆ ต้องตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อให้รู้ว่า ประเทศไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไร และต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหน รวมถึงจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อรวบรวมข้อมูล แนวทาง และข้อได้เปรียบ ข้อเสียเปรียบ ทิศทางการกำหนดอัตราภาษีให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศคู่ค้ารองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558

"ไทยต้องปรับภาษีบุคคลต้องไม่ต่างจากประเทศคู่แข่งเกิน 10% จึงจะสามารถสู้ได้ในเวทีเออีซี นอกจากนี้ พรรคยังมีนโยบายลงทุนระบบสาธารณูปโภควงเงิน 5.5 ล้านล้านบาท โดยวงเงินดังกล่าวเป็นการลงทุนพัฒนาแหล่งน้ำ 1.7 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีนโยบายประกันราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท ช่วยเหลือค่าเช่านาไร่ละ 500 บาท มีการสนับสนุนลงทุนปัจจัยการผลิตภาคการเกษตร ฟรีดอกเบี้ย 1 ปี วงเงินสูงสุด 5 แสนบาท จัดตั้งกองทุนสวัสดิการเกษตรกร 2 หมื่นล้านบาท รวมทั้งมีการปรับโครงสร้างภาษีอย่างเป็นธรรม"

 ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
********************************************

ประพันธ์ ยันเลือกตั้งโปร่งใส !!?

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงความโปร่งใสในการจัดการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. ว่า การนำมาบัตรมาเปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนแปลงผลการลงคะแนน หรือการเวียนเทียนบัตรเลือกตั้งนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง กกต.จ้างให้โรงพิมพ์ของรัฐเป็นผู้จัดพิมพ์คือ บัตรเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กกต.จ้างโรงพิมพ์กองสลากเป็นผู้จัดพิมพ์ ส่วนบัตรเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขต กกต.จ้างโรงพิมพ์ของกองอาสารักษาดินแดง ซึ่งทั้งสองโรงพิมพ์เป็นโรงพิมพ์ของรัฐ ที่ตลอดการดำเนินการพิมพ์ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลควบคุมการผลิต 24 ชั่วโมง จึงไม่สามารถที่จะพิมพ์เกินกว่าที่กกต.สั่งไปได้ รวมถึงไม่มีผู้ใดสามารถนำบัตรออกจากโรงพิมพ์ได้อีกด้วย ส่วนหากมีการใช้บัตรเลือกตั้งปลอมก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากหลังจากที่กกต.จัดส่งบัตรเลือกตั้งไปยังกกต.จังหวัดต่างๆ แล้วก็จะต้องมีการประทับตราบัตรอีก 1 ครั้ง บัตรปลอมจะไม่มีตราประทับบัตรดังกล่าว หากนำที่ไม่มีตราประทับไปใช้ก็จะสามรถรู้ได้ทันทีว่าเป็นบัตรปลอม

กรณีที่กกต.จะต้องพิมพ์บัตรเลือกตั้งทั้งสองแบบสูงถึง 53.5 ล้านฉบับจากผู้มีสิทธิลงคะแนน 47.3ล้านคน นั้นก็เนื่องจาก กกต.คำนวณบัตรเลือกตั้งตามการเลือกตั้งในปี 2544 และปี 2548 ที่เป็นการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว จะต้องพิมพ์บัตรเผื่อไว้ในทั้งกรณีที่มีผู้เพิ่มชื่อ กรณีการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ต้องแยกบัตรเลือกตั้งไว้ต่างหาก ที่จะต้องจัดเตรียมให้พอกับผู้ที่จะมาใช้สิทธิ ป้องกันการเกิดปัญหา รวมถึงการจัดส่งบัตรเลือกตั้งที่ต้องส่งเป็นเล่ม ที่หากเลือกไม่ครบเล่มก็จะต้องมีการทำลายบัตรเลือกตั้งที่เหลืออยู่

“ผู้ที่ออกมาพูดเรื่องโกงการเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนสับสน คนพูดอาจจะเคยได้ยินมาในการเลอืกตั้งแบบโบราณสมัยที่ยังไม่มีกกต.กำกับดูแลการเลือกตั้ง แต่ผู้ควบคุมการเลือกตั้งสมัยนั้นเป็นผู้มีอำนาจในพื้นที่ แต่หลังจากมีกกต.ที่เป็นหน่วยงานอิสระแล้ว ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนนั้นขึ้นอีก” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องการเก็บรักษาหีบบัตรเลือกตั้งนั้น กกต.มีวิธีการกำกับดูแลไม่ให้มีการสับเปลี่ยน หรือเปิดหีบเปลี่ยนบัตรเลือกตั้งได้ โดยให้กรรมการเลือกตั้ง ประจำหน่วยปิดผนึกหีบด้วยกระดาษกาว พร้อมกับเซ็นชื่อกำกับ ใครจะมาเปลี่ยนหีบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนกระบวนการนับคะแนนที่กำหนดให้นับคะแนนที่หน่วยนั้นก็เป็นเรื่องเปิดเผย หลังจากตรวจนับก็จะติดประกาศผลการเลือกตั้งไว้หน้าหน่วยเลือกตั้งทันที มีประชาชน และเจ้าหน้าที่เป็นพยาน หากมีการเปลี่ยนแปลงใบรวมคะแนนก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสามารถตรวจสอบผลได้ที่หน้าหน่วย

"อยากให้ประชาชน หรือตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ มาร่วมกันช่วยสังเกตการณ์การเลือกตั้งในทุกหน่วย เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และไม่มีข้อครหาในภายหลังว่าการเลือกตั้งไม่โปร่งใส" นายประพันธ์ กล่าว

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นักโทษชายคนนั้น(1)

ถ้าไม่มีอะไรพลิกผัน..หลังเที่ยงคืนวันที่ 3 กรกฎาคม..ปีนี้..การเมืองประเทศไทย จะก้าวไปสู่อีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์..
เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา..มีแต่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงข้างหน้า..ที่ไม่เหมือนการเลือกตั้งครั้งใดๆ ในอดีต
เป็นการเลือกตั้ง..ที่แปลกแหวกแนว..เพราะหัวหน้าพรรคของพรรคที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นพรรคที่ชนะเป็นอันดับหนึ่ง..คือพรรคที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และจากวันนั้นจนบัดนี้..พรรคที่ถูกปฏิวัติ..ก็คือพรรคที่ได้รับการขานรับจากประชาชนมากที่สุด
ขานรับทั้งๆ ที่รู้ว่า..หัวหน้าพรรคตัวจริงนั้น..อยู่ต่างประเทศในฐานะผู้ต้องคดี..เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคำพิพากษา..อันเป็นโทษจำคุก..2 ปี
ประชาชนส่วนใหญ่..ให้การสนับสนุนผู้ต้องคำพิพากษา..คู่ต่อสู้ทางการเมืองเรียกเขาว่า "นักโทษชาย"..แต่..ประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคที่มี.."นักโทษชาย" ให้มาเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง..
นักโทษชายผู้นี้..แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คน..และกำลังจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 หากว่าพรรคของเขาได้รับการชัยชนะในการเลือกตั้ง
ทำไม..ประชาชนส่วนใหญ่..จึงประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น..
เพราะเขาผู้นั้น นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง..และฐานะนักโทษชายของเขานั้น..เป็นคำกล่าวหาและคำพิพากษาที่มิได้มาจากกระบวนการยุติธรรมอันเป็นปรกติ
และ..พฤติกรรมแห่งความผิดของเขา..ก็คือการเอาเงินจากครอบครัวของเขาไปซื้อที่ดินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนำออกมาประมูลขาย..ในราคาที่แพงกว่าที่ดินที่ได้ถูกประมูลขายไปแล้วก่อนหน้า..และกฎหมายระบุไว้อย่างแจ่มแจ้งว่า..
ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นสามารถบริหารและดำเนินการไปเป็นอิสระและปลอดภัยจากการบังคับบัญชาของฝ่ายการเมือง
และที่สำคัญที่สุด..บัดนี้การซื้อขายนั้นได้รับการยืนยันจากกระบวนการยุติธรรมอันเป็นสากลว่า..ไม่ผิดและไม่ขัดต่อกฎหมาย..แถมยังให้จ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยให้กับผู้ซื้อและเอาที่ดินกลับไปเป็นของธนาคารชาติ
เรื่องนี้ยังไม่จบ..

โดย.พญาไม้.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++