--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

น้ำผึ้งยี่ห้อ "จตุพร"

โดย สรกล อดุลยานนท์

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 )
และแล้วกองทัพบกก็ตัดสินใจฟ้อง "จตุพร พรหมพันธุ์" ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

จากนั้น "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็รับลูกต่อโดยจะแจ้งข้อกล่าวหา 18 แกนนำ นปช.ในข้อหายุยง ปลุกปั่น และละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์

ตามมาด้วยการเปิดสงครามปากถล่มพรรคเพื่อไทยของพลพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นแม่ทัพ

สถานการณ์การเมืองไทยกำลังก้าวสู่ "จุดเดือด" อีกครั้งหนึ่ง

ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้า "จตุพร-ณัฐวุฒิ" และแกนนำ นปช.ถูกจำคุก

อะไรจะเกิดขึ้นตามมา

ความขัดแย้งจะบานปลายจาก "น้ำผึ้งหยดเดียว" หรือไม่

เพราะหลายคนคาดว่า "คนเสื้อแดง" จะหยิบยกกรณีอื่นๆ มาเทียบเคียง

ไม่ว่าจะเป็นคดี "สนธิ ลิ้มทองกุล" ที่เจอข้อหาเดียวกันจากการนำเทปคำปราศรัยของ "ดา ตอร์ปิโด" มาเปิดบนเวทีพันธมิตร แต่ได้รับการประกันตัว

หรือกรณี "วิกีลีกส์" ที่เอกอัครราชทูตสหรัฐรายงานคำพูดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา และนายอานันท์ ปันยารชุน ในเรื่อง "สถาบัน"

การเปรียบเทียบคดีอื่นกับคดี "จตุพร" ก็เพื่อนำไปสู่วาทกรรมทางการเมือง

"สองมาตรฐาน"

อย่าลืมว่าด้วยวาทกรรมนี้เป็น "เชื้อไฟ" ที่ดีสำหรับการปลุก "ม็อบเสื้อแดง" ให้ลุกฮือขึ้นมา

หลังจากเห็นข่าวนี้ ผมนึกถึงคำพูดของคนสองคนขึ้นมาทันที

เรื่องแรก เป็นคำถามจาก "ลูก" ถึง "พ่อ"

"แทน เทือกสุบรรณ" ถาม "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ว่าทำไม "ประชาธิปัตย์" บริหารประเทศมา 2 ปีกว่า

"คนเสื้อแดงจึงไม่ลดลง"

เรื่องที่สอง เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ "พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ" นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลาที่พูดถึงต้นเหตุของความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

รัฐบาลทุ่มงบแสนกว่าล้านบาท ใช้กำลังทหารไม่รู้เท่าไร แต่เหตุการณ์กลับเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ

"ต้องถามว่าความขัดแย้งในวันนี้เกิดขึ้นมาจากไหน สำหรับผมคิดว่าความขัดแย้งเกิดจากความอยุติธรรม จริงๆ แล้วรูปแบบการปกครองไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ถ้าเราสามารถสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นได้ก็จะได้รับความร่วมแรงร่วมใจ จากพี่น้องประชาชน"

"พงษ์ศักดิ์" อธิบาย "ความยุติธรรม" ใน 2 มิติ

มิติแรก คือ ความยุติธรรมในเรื่อง "กระบวนการ"

มิติที่สอง คือ ความยุติธรรมทาง "ความรู้สึก"

ถ้าทำให้คนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยอมรับว่ามี "ความยุติธรรม" เกิดขึ้นทั้ง 2 มิติ

ทั้ง "กระบวนการ" และ "ความรู้สึก"

ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่ลุกลามใหญ่โตขนาดนี้

ตอนนี้ก็หวังเพียงว่า "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณ-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" จะสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ "คนเสื้อแดง"

ทั้ง 3 คนต้องกล้าหาญที่จะถามตัวเองว่าเราตั้งโจทย์อะไรผิดพลาดหรือเปล่า

หรือวิธีคิดของเรามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า

เพราะถ้าไม่ผิดพลาด ทุกอย่างต้องดีขึ้น

และถ้ารู้ว่าทำอะไร "ผิด"

ก็อย่า "ผิด" ซ้ำอีก

//////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิพากษ์เสื้อแดง-วิจัยเพื่อไทย-ล้วงไส้ประชาธิปัตย์

เป็นเวลานานกว่า 8 เดือน ที่ "อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์" เดินเข้า-ออกบ้านพิษณุโลก

ในฐานะ 1 ใน 20 อรหันต์กรรมการปฏิรูปประเทศไทย

ต้นทุน-องค์ความรู้ และวัตรปฏิบัติ ของ "นักเรียนประวัติศาสตร์" และนักวิจัย ที่ใช้สังคมไทยเป็น "ห้องปฏิบัติการ" ถูกนำมาผลิตเป็นข้อเสนอ แนวทางแก้ปัญหาประเทศเชิงโครงสร้าง

"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนาต่อยอดข้อเสนอ เพื่อการปฏิรูป ไปสู่แคมเปญการหาเสียงเลือกตั้ง และย้อนมองปฏิกิริยา-ตัวละครการเมือง ทั้งฝ่ายเสื้อแดง-ทักษิณ-อภิสิทธิ์ และชวน หลีกภัย

หลักปฏิรูปที่อาจารย์เสนอ เหมือนหรือคล้ายกับข้อเสนอเสื้อแดงอย่างไร

เท่าที่ผมติดตามคนกลุ่มนี้มา สิ่งที่น่าเสียดาย คือคุณ (เสื้อแดง) ไม่สนใจประเด็นอื่นเลย นอกจากการเมือง ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าประเด็นทางการเมืองไม่สำคัญ แต่มันไม่พอ

เสื้อแดงยังไม่เข้ามาร่วมกับพีมูฟเลย ถ้าคุณต้องการพันธมิตร คุณต้องเข้ามาร่วมคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอื่น ๆ เช่น คนงานที่ถูกปลดออกจากงานและไม่ได้รับการชดเชยค่าจ้าง ซึ่งจะทำให้คนเสื้อแดงมีพลังมากกว่านี้ 10 เท่า ถ้าคุณมาสนใจเรื่องพวกนี้บ้าง ไม่ใช่มุ่งแต่เรื่องของการเมืองเพียงอย่างเดียว

ที่ผ่านมา ธงของเสื้อแดงมีอยู่อย่างเดียว คือธงทางการเมือง

ใช่...ซึ่งผมก็เสียดายแทนเขาเหมือนกัน แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลขึ้นมา มันจะต่างอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะต่างกันอย่างไร

ถ้าเขาไม่เคยเคลื่อนไหวเรื่องโครงสร้างประเทศ ทำให้เป้าหมายเขาแคบลง

ที่ผมว่าเล็กลง เพราะแกนนำบอกว่าจะเข้าไปสมัคร ส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งมันทำให้เป้าหมายทางการเมืองชัดเจน แต่มันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างที่มีดีในกลุ่มเสื้อแดง เช่น ช่วงที่แกนนำติดคุก มันทำให้กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวกันเอง ซึ่งทำให้เสื้อแดงไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่กลายเป็นมีประเด็นอื่น ๆ เพิ่มขึ้น

แต่มันก็ยังไม่พอ เพราะเสื้อแดงยังไม่เชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน แต่ก็มีด้านดี เพราะมันทำให้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่กลายเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวภาคประชาชนช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา มันมีลักษณะของแกนนอนมากกว่าแกนตั้ง

แนวทางเสื้อแดงมีหลายสาย บางสายชูเพื่อไทยเป็นรัฐบาล

ผมกลับมองว่า หากแกนนำเสื้อแดงออกมาห้ามไม่ให้ต่อต้านพรรคเพื่อไทยเมื่อเป็นรัฐบาล ผมคิดว่า แบบนี้ยิ่งจะทำให้สมาชิกพรรคเสื้อแดงลดลง และผมกลับคิดว่า คนอย่างณัฐวุฒิ ใสเกื้อ (แกนนำ นปช.) ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เพราะขืนทำแบบนั้น ยิ่งจะทำให้เขาเสียฐานเสียงของเขาที่เคยมี ผมจึงคิดว่า เขาไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด

เขาก็จะปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวในนามเสื้อแดง แต่อาจจะเป็นศัตรูของพรรคเพื่อไทยก็ได้ ยิ่งวันไหนที่เสื้อแดงตัดขาดจากทักษิณเด็ดขาด ผมรู้สึกว่า จะทำให้เสื้อแดงมีพลังมากขึ้น เพราะจะมีคนเข้ามาสนับสนุนอีกมาก แต่ตอนนี้ยังกลัวว่าจะเป็นการเข้าไปต่อท่อกับทักษิณ คุณทักษิณเขาก็รู้ว่าคนเสื้อแดงนั้นควบคุมไม่ได้

การที่เขาเคลื่อนไหวที่ราชประสงค์ได้โดยไม่ใช้เงินของคุณทักษิณ นั่นแปลว่าเขาถูกข้ามไปแล้ว

มีแนวโน้มที่คุณทักษิณจะมาควบคุมคนเสื้อแดงให้หนุนพรรคเพื่อไทย

คือพรรคเพื่อไทยยังอยู่ในมือของคุณทักษิณ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเสื้อแดงจะอยู่ในมือเขา เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเคยพูดว่าเขาก็รับรู้ว่าเขาก็เป็นผู้สนับสนุนคนหนึ่ง คือเขาก็ไม่ได้พูดแบบเดิมที่เขาเคยพูด ซึ่งแปลว่าเขาก็รู้ตัวว่าเสื้อแดงก็ไม่ใช่พันธมิตรที่อยู่ภายใต้การนำของเขา

แปลว่าต่อไปนี้คุณทักษิณก็อาจไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกระดานหุ้นแดง

เป็นพาร์ตเนอร์ไง ไม่ใช่ผู้นำอีกแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่พรรคเพื่อไทยส่งถึงคุณทักษิณ

ความก้าวหน้าเชิงนโยบายของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ใกล้เคียงหรือห่างชั้นกันอย่างไร

ไม่ห่างเลยครับ คือพรรคเพื่อไทยยังยึดติดกับนโยบายประชานิยมแบบทักษิณอยู่มาก แต่แทนที่จะพูดว่าเป็นประชานิยม ถ้าเอามาพูดใหม่ มันก็คือสวัสดิการ และเป็นสวัสดิการในทรรศนะของผมที่เจาะเข้าไปในปัญหาของสังคมจริง ๆ มากกว่า

การให้กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้าน มันเป็นการ attack-ลงมือสิ่งสำคัญ 2 อย่าง คือภาคการเกษตรไม่มีรายได้เข้าถึงทุน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคุณทักษิณคิดอะไรอยู่ แต่เขาตอบปัญหาได้ตรงใจคนไทยในตอนนั้นมากที่สุด

ข้อ 2 คือคุณทักษิณไม่ยอมให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเป็นกรรมการกองทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ คุณทักษิณเขาไม่ได้คิดว่ารักษาหัวคะแนนเก่า แต่ต้องการสร้างหัวคะแนนใหม่เป็นของตัวเอง เขาได้ตอบโจทย์ของสังคมพอดี

นโยบายประชาธิปัตย์ขึ้นค่าแรง 25% เป็นความพยายามตอบโจทย์ของสังคมได้หรือไม่

จะว่าตอบก็ได้ ในแง่ความเป็นจริงที่ว่า ไม่ช้าก็เร็ว คุณต้องให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่คุณกำลังพูดเรื่องการเพิ่มค่าจ้างแรงงาน โดยไม่เพิ่มศักยภาพการผลิตของแรงงานไทย ซึ่งมันทำไม่ได้ เพราะทั้งสองข้อนี้มันต้องไปพร้อม ๆ กัน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องเดียวกัน

ผมมองว่ามันเป็นด้านเดียวของเหรียญ คุณต้องเพิ่มความสามารถคนงานด้วย เช่น ทำให้มีผลผลิตมากกว่าเดิม 4 เท่า แล้วเอา 4 ไปคูณกับค่าแรง แบบนี้มันถึงจะเพิ่มได้ การที่คุณพูดแค่ด้านเดียวแบบนี้ มันทำไม่ได้ เหมือนคุณกำลังหาเสียงไปวัน ๆ

ทำไมประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดแก้เรื่องโครงสร้าง

เท่าที่ผมจำได้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำอะไรที่เป็นเรื่องโครงสร้าง

นโยบายภาษีมรดก ภาษีที่ดินก็ไม่เคยทะลุปัญหาเชิงโครงสร้าง

ใช่...มันไม่เคยทะลุไปไหนเลย อย่างเรื่องภาษีที่ดิน เขาพูดประหนึ่งว่า เป็นการทำให้รายได้รัฐเพิ่มขึ้น ไม่พูดเรื่องความเป็นธรรม หรือประโยชน์ในระยะยาวที่คนจะได้รับการเข้าถึง ปัจจัยการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเขาไม่เคยพูดเลย

ทำไมพรรคการเมืองอายุ 65 ปี ถึงแทงทะลุโครงสร้างนี้ไม่ได้

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่มีใครทะลุเรื่องโครงสร้างได้ รวมทั้งคุณทักษิณด้วย ผมก็ไม่เห็นคุณทักษิณพูดเรื่องโครงสร้าง แต่ผมเดาเอาว่า เขาอ่านออกว่าคนไทยในเวลานั้นต้องการอะไร ซึ่งผมเห็นด้วยกับนโยบายของเขา แต่ว่าเขาเป็นคนหยาบ ทำให้นโยบายดี ๆ หลายตัวไม่มีการติดตามผล

ข้อเสนอกรรมการปฏิรูปจะแทรกเข้าไปในนโยบายของพรรคการเมืองอย่างไร

เราไม่คิดจะเอาข้อเสนอของเราไปแทรกในนโยบายของพรรคการเมือง แต่เราหวังที่จะให้ข้อเสนอของเราเข้าไปอยู่ในความเห็นของสังคม ซึ่งมีความสำคัญมากกว่า คือถ้าสังคมเห็นด้วยกับคณะกรรมการปฏิรูป มันก็จะเกิดแรงกดดันขึ้นมา อย่างเช่นเรื่องการปฏิรูปที่ดิน ถ้าสังคมเห็นด้วยกับเราที่บอกว่าจะทำให้สถานการณ์ที่ดินในสังคมไทยเป็นแบบนี้ไม่ได้ ก็จะเกิดการกดดันพรรคการเมืองโดยอัตโนมัติว่า "คุณจะต้องปฏิรูปที่ดิน ถ้าไม่ทำ เราไม่เลือกคุณ"

ถ้าใช้นโยบายที่เป็นโครงสร้างการปฏิรูป ทำให้พรรคการเมืองหาเสียงยากหรือเปล่า

ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ ผมคิดว่านักการเมืองไทยไม่มีกึ๋น คือคุณสามารถทำให้ประชาชนเชื่อในสิ่งที่อาจจะขัดต่อผลประโยชน์ของเขาเอง ซึ่งสิ่งนี้ คุณชวน (หลีกภัย) ก็ไม่เคยทำ วันหนึ่งอาจจะมีความจำเป็นเด็ดขาดว่าเราไม่ควรมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งมันจะขัดต่อผลประโยชน์ของใครต่อใครไปหมด แต่นักการเมืองที่เก่ง คือทำให้คนรู้ถึงประโยชน์ที่คุณจะได้

คุณต้องไม่ลืมว่า เราเคยมีนักการเมืองที่เก่ง ๆ อย่างเชอร์ชิลล์ ในช่วงที่ทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์พร้อมจะทำสัญญาสงบศึกกับอังกฤษเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฮิตเลอร์ไม่ต้องการรบกับอังกฤษ เพื่อจะได้นำกองกำลังไปรบกับรัสเซียฝ่ายเดียว แต่อังกฤษภายใต้การนำของเชอร์ชิลล์ สามารถทำให้คนอังกฤษเชื่อว่าจะต้องรบกับฮิตเลอร์ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ก็ต้องรบให้ได้ ซึ่งนี่เป็นความสามารถทางการเมือง ที่ทำอย่างไรให้คนยอมรับความลำบากมากกว่าความสุขสบาย เพื่อเอาชนะสงคราม

มีบางนโยบายขัดกับผลประโยชน์ ของนายทุนพรรคหรือเปล่าประชาธิปัตย์จึงไม่ทำ

คือผมคิดว่า ถ้าคุณอภิสิทธิ์พูด...คนที่จะเล่นงานเขามากที่สุด คือคนในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะกลัวจะเสียคะแนน ถึงผมจะไม่รู้จักใครในพรรคประชาธิปัตย์จริง ๆ จัง ๆ แต่ผม รู้สึกว่า พวกประชาธิปัตย์คิดแค่ว่า แค่เป็นประชาธิปัตย์ บ้านเมืองก็ดีแล้ว (หัวเราะ) ก็อย่างที่บอก การที่คุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคโดยไม่แลกอะไรเลย แค่คุณชวนอุ้มขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค มันเป็นไปไม่ได้

คุณอภิสิทธิ์ก็ต้องแลกอะไรบางอย่างกับคุณชวนเหมือนกัน และไม่ใช่แค่คุณชวนคนเดียว ยังมีบริวารของคุณชวนอีก ที่คุณอภิสิทธิ์ต้องแลก

มีความเป็นไปได้ไหมที่จะผลักดันแนวทางปฏิรูปผ่านนักการเมืองที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใหญ่

คือถ้าคุณเข้าไปหาสมาชิกพรรคที่เป็นคนดี แต่บังเอิญว่าเขายังเป็นคนตัวเล็ก ๆ อยู่ ถึงวันหนึ่ง เขาจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคได้ แต่การที่เขาจะขึ้นมาถึงจุด ๆ นั้นได้ มันต้องแลก ไม่มีใคร หรือมนุษย์คนไหนที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งโดยไม่แลกอะไรเลย

คนที่ขึ้นมาโดยไม่แลกอะไรเลยมันอยู่ในหนังสือการ์ตูน เรื่องจริง คือ มันต้องมีการแลกเปลี่ยน ถ้ากลุ่มคุณสกปรก คุณก็สกปรกไปด้วย ในสังคมที่สกปรก คุณจะบอกว่ามีคนดีแสนดี มันเป็นเรื่องหลอกเด็ก

แปลว่าเราไม่สามารถสร้างสังคมที่ดีขึ้นมาได้

มีสิ จากการปฏิรูปไง โดยมีสังคมเป็นตัวผลักดัน คนที่เป็นพระเอก คือประชาชน คือสังคม ไม่ใช่นักการเมือง

ยังมีความหวังกับสังคมที่ปราศจากขั้วหรือไม่

ไม่มีทาง คืออย่างนี้ การมีความแตกแยก มีความแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันต้องแตกต่างกันได้ในหลาย ๆ เรื่อง การที่เราแตกต่างกันอยู่เรื่องเดียว มันมีปัญหามาก ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็เรื่องที่ว่า ใช่คุณทักษิณ หรือไม่ใช่คุณทักษิณ พอมาตอนนี้ก็กลายเป็นว่า คุณแดง หรือคุณไม่แดง แทนที่คุณจะมาแตกต่างว่า คุณไม่ชอบประชาธิปัตย์ แต่คุณก็เห็นด้วยกับพรรคในเรื่องนั้นเรื่องนี้ คือเราต้องมีหลายมิติ แต่ตอนนี้เรามีแค่มิติเดียว

อาจารย์เอาต้นทุนของตัวเองมาทิ้งในคณะกรรมการชุดนี้มากเกินไปหรือไม่

ก็ทิ้งหมดเลย...เพราะคณะกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นโดยนายอภิสิทธิ์ เพื่อกลบเกลื่อน กรณีฆ่าคนตายของตัวเอง ซึ่งผมมองว่า เขาทำถูกเลย แต่คำถาม คือเมื่อคุณเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ ทำไมต้องไปเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลด้วย

หากมีรัฐบาลใหม่ อาจารย์คิดจะกลับมาทำหรือไม่

ผมว่ามี 3 เงื่อนไข 1) คือถ้ากรรมการชุดนี้จะกลับมาอีก เขาก็ต้องตั้งคุณอานันท์เป็นประธานอีก 2) คือคุณอานันท์ก็พร้อมที่จะเอาชุดกรรมการเดิมกลับมาอีก 3) คือผมจะต้องประเมินตัวเองก่อนว่า ผมจะมีน้ำยาพอที่จะขับเคลื่อนคณะกรรมการให้ทำงานตามที่ผมวางไว้หรือเปล่า แต่ถ้าคณะกรรมการชุดนี้กลับมาแล้วยังทำงานในรายละเอียดแบบเดิม ผมก็ว่าเป็นการเสียเวลาผม และก็คงเป็นการเสียเวลาพวกเขาด้วย เพราะผมอาจจะต้องคอยค้านเขา ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงไม่กลับ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล ลูกอำมาตย์ในดงแดง เปิดใจชีวิตติดดิน เป็นหม่อมหลวง แต่มาอยู่พรรคไพร่

นักการเมืองนามสกุลดีหลายตระกูล ปรากฏชื่อติดโผผู้สมัครพรรค การเมืองใหญ่

โปรไฟล์คนจากตระกูล "เทวกุล" เคยติดอยู่ในโผ "ว่าที่นายกรัฐมนตรี"

ทั้งชื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ ม.ล.นัฏฐกรณ์ เทวกุล เคยถูกเทียบเชิญ ทั้งจาก "บรรหาร ศิลปอาชา" และจาก "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ + กลุ่มนักการเมือง 3 พี"

แต่ชื่อจริง-ปรากฏตัวบนดิน อยู่ในโผบัญชีผู้สมัครรับเลือกตั้งมีเพียงคนเดียวคือ "ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล" หลานชายของคุณชายอุ๋ย ซึ่งจะลงสมัคร ส.ส.กทม.ในนามพรรค เพื่อไทย

"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับเขา ในวันสวมเสื้อพรรคการเมืองตัวที่ 2 หลังจากเคยสวมเสื้อ "รวมชาติพัฒนา" และสอบตกมาแล้ว


- ทำไมไม่เล่นการเมืองกลุ่มเดียวกับ "หม่อมอุ๋ย" ซึ่งมีข่าวว่าถูกทาบทามจากหลายพรรคการเมือง
เหตุผลที่ผมมาอยู่พรรคเพื่อไทยเพราะเห็นด้วยกับมติกลุ่มกรุงเทพฯ 50 ที่มีมติมาอยู่ที่นี่แล้ว ผมก็ต้องรับฟังมติกลุ่ม ส่วนทางที่บ้านจะคิดยังไงก็เป็นเรื่องของที่บ้าน เพราะครอบครัวเราเปิดโอกาสให้ลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคน เคารพในสิทธิของทุก ๆ คน

- ถ้าอยู่พรรคเดียวกับหม่อมอุ๋ย ซึ่งมีข่าวเป็นแคนดิเดตนายกฯ น่าจะมีโอกาสดีกว่าหรือเปล่า
ทางโน้นยังไม่แน่นอน ข่าวก็ยังไม่ชัดเจน และผมชอบการทำงานของพรรคเพื่อไทยมากกว่า เพราะมีสไตล์การทำงานคล้าย ๆ กับตัวผม คือ รวดเร็ว ฉับพลัน พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคทำงานเร็ว และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

- ได้พูดคุยเรื่องการเมืองกับหม่อมอุ๋ยกับหม่อมปลื้มหรือไม่
ส่วนมากจะเจอกันในงานรวมญาติมากกว่า คุยกันเล็กน้อย บอกว่าผมมาอยู่พรรคนี้แล้วนะ ย้ายมานี้แล้วนะ คุยแบบทั่วไปสัพเพเหระ

- ไม่ได้ตัดสินใจอะไรร่วมกับหม่อมอุ๋ยและคุณปลื้ม
ไม่ได้ร่วมตัดสินใจกัน เราตัดสินใจของเรา ส่วนเขาก็ตัดสินใจของเขา

- ไม่กังวลกับข้อกล่าวหาว่าพรรคที่สังกัดเกี่ยวข้องขบวนการล้มเจ้าหรือ
ผมมั่นใจในพรรคเพื่อไทย เอาแค่สมาชิกพรรคที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 ประมาณกว่า 200 ชีวิตมาอยู่ในพรรคเพื่อไทย ดื่มน้ำสัตยาบันจากในหลวง รับกระบี่จากในหลวง ถ้าจะบอกว่าพรรคเราไม่มีความจงรักภักดีก็ไม่ถูก ผมเองเสียอีก ม.ล.ณัฏฐพล เทวกุล มั่นใจอย่างสูงสุด ผมเป็น เชื้อเจ้า เป็นราชนิกุล แต่ทำไมผมถึงมาอยู่พรรคนี้

ผมมาอยู่พรรคนี้ เพราะผมคิดว่าพรรคนี้ไม่เคยทำลายเบื้องสูง และไม่เคยคิดล้มล้างสถาบัน พรรคนี้จงรักภักดี อย่างท่านอดีตนายกฯทักษิณก็เรียนจบโรงเรียนเตรียมทหาร จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจมา รับราชการมา อย่างนี้หรือครับเรียกว่าไม่จงรักภักดี ทำงานมาเพื่อชาติตลอดชีวิตการทำงานของท่าน

ฉะนั้น ผมมั่นใจมาก ผมจึงเข้ามาร่วมอยู่ในชายคาของพรรคเพื่อไทย

- พรรคเพื่อไทยมีความสัมพันธ์กับกลุ่ม นปช. ซึ่งมีคนเสื้อแดงหลายเฉด เข้มข้นไปถึงขั้นบางกลุ่มคิดปฏิเสธเบื้องสูง มองยังไง
ผมเข้าใจเรื่องพรรคร่วมสังคายนากับคนเสื้อแดงนะ คนเสื้อแดงเป็นมวลชนกลุ่มหนึ่งของพรรค โดยพรรคมีมวลชนจำนวนมหาศาล เราจะมาคอนโทรลมวลชนว่าเขาต้องเดินทางไหน ทีละหนึ่งสองสามไม่ได้ครับ เพราะมวลชนก็มีความคิดของเขา และความคิดของเขาบางอย่างก็แตกต่างกันไป เหมือนมาจากร้อยพ่อพันแม่

ผมคิดว่าคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยเดินไปในทิศทางเดียวกัน ก็เป็นเรื่อง ถูกต้อง แต่บางครั้งการทำงานก็ต่างกัน อย่างสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือ ส.ส.ต้องการเข้าไปทำงานในสภา แต่คนเสื้อแดงที่อยู่ในม็อบหรือบนเวทีปราศรัย อาจจะเรียกได้ว่าทำงานข้างถนน แต่นั่นก็เป็นการทำงานอีกรูปแบบหนึ่งในการเรียกร้องประชาธิปไตย

- บทบาทกับพรรคเพื่อไทยกับบทบาท นปช. ใครจะนำใคร
ส่วนตัวผมว่าไม่มีใครนำใคร แต่ทุกคนช่วยงานประเทศชาติ ช่วยงานพรรคของเรา ไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 2 ทาง ต่างช่วยงานประเทศชาติ และช่วยงานพรรค

- มั่นใจจะชนะเลือกตั้งหรือไม่
พรรคมอบหมายให้ลงสมัครเขตสาทร บางรัก ผมมั่นใจครับ และยิ่งตอนนี้ทางฝั่งรัฐบาลผลงานถดถอย เรายิ่งมั่นใจสูงขึ้นอีก

- งานการเมืองที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง
อย่างผมเนี่ย..คนข้างนอกอาจจะมองผมเป็นคนสูงศักดิ์ ผมเป็นหม่อมหลวง แต่ความจริงผมเป็นหม่อมติดดิน หม่อมจับต้องได้ ผมไปลงพื้นที่ชุมชน ผมอยากรู้ปัญหาชาวบ้าน เดินเคาะทุกบ้าน ขึ้นแฟลตทุกชั้น เพราะผมเป็นคนหนุ่ม ผมสามารถทำได้ เมื่อก่อนเป็นเขต 1 มี 7 เขต ก่อนจะมีพ่วงบางรักมาด้วย ผมเดินทั้ง 7 เขต

- ถึงจะบอกว่าชีวิตติดดิน เป็นหม่อมหลวงแต่มาอยู่พรรคไพร่ รู้สึกยังไง
ผมเกิดมามีสองมือสองเท้า ถึงจะมีเชื้อเจ้าแต่ผมก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปนะ เพราะฉะนั้นผมไม่คิดเรื่องแบบนี้ เพราะคนเราก็เหมือนกันทุกคน แค่เราดูแลเขา และเขาดูแลเรา ผมไม่ได้คิดถือตัว

- เข้าใจการต่อสู้เรื่องไพร่-อำมาตย์ ของ นปช.ว่าอย่างไร
ผมเข้าใจที่เขาพูด เข้าใจว่าการพูดเรื่องอำมาตย์หมายถึงอดีตข้าราชการผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากตำแหน่งในอดีต และต้องการหา ประโยชน์ในปัจจุบันด้วย เหมือนกลุ่มคนที่ปกครองก็เป็นอำมาตย์

- แล้วคิดว่าตัวเองเป็นไพร่หรือเป็นอำมาตย์
ผมเป็นได้ทั้งไพร่และอำมาตย์ เพราะถ้าเรามีหน้าที่การงานต่อไป เราก็เหมือนอำมาตย์คนหนึ่ง แต่ตอนนี้เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง หรือเป็นไพร่คนหนึ่ง ซึ่งคนที่จะเป็นอำมาตย์ที่ดี ต้องปกครองคนให้ทุก ๆ คนอยู่เย็นเป็นสุข นั่นคืออำมาตย์ที่ดี

- คิดว่าอำมาตย์มีทั้งดีและไม่ดี
ถูกต้อง ผมว่าที่ นปช.พูดนั้นเหมือนเขาประชดว่า ทำไมอำมาตย์ทำกับไพร่แบบนี้ แต่ผมคิดว่าอำมาตย์ในอดีตที่ผ่านมาก็มีบางคนที่ทำความดีกับประเทศชาติ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขก็มี ตอนนี้บ้านเมืองก็เริ่มแย่ เราจำเป็นต้องได้ชนชั้นปกครองที่ดี

- ทำธุรกิจอะไรก่อนมาเล่นการเมือง
ทำรับเหมาก่อสร้าง และทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลรถ ในนามบริษัทนอร์ธ คลีนเนอร์

- เคยเริ่มต้นงานการเมืองจากกลุ่ม "กรุงเทพฯ 50" หลังจากนั้นทำงานต่อเนื่องหรือไม่
เมื่อเลือกตั้งคราวที่แล้ว กลุ่มกรุงเทพฯ 50 รวมกันอยู่ที่พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แล้วส่งตัวแทนของกลุ่ม ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. พอหลังเลือกตั้งเสร็จก็มีมติจากกลุ่มถึงทิศทางการเมือง ซึ่งมีมติจากเสียงส่วนใหญ่มีมติจะมารวมกับพรรคเพื่อไทยในนามภาค กทม. ตอนนี้ นอกจากผมก็มี พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ และที่มาช่วยงานพรรคตอนนี้ก็มี ดร.พิชัย กิจไมตรี รวมทั้งกลุ่มกรุงเทพฯ 50 ที่คอยช่วยเรื่องข้อมูลก็มีอีก 4-5 คน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

ประเพณีรดนํ้าดําหัวผู้ใหญ่.. ในวันสงกรานต์ หรือวันมหาสงกรานต์

 ประเพณี รดนํ้าดําหัวผู้ใหญ่.
เป็นประเพณีของไทยอันสืบเนื่องมาจากประเพณีวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่แสดงถึงความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารนับถือและผู้มีพระคุณ

เพื่อแสดงความกตัญญูพร้อมกับการขอขมาและขอรับพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเนื่องในวันสําคัญ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันสงกรานต์ของไทยในเดือนเมษายน "การดําหัว" ก็คือการรดนํ้านั่นเองแต่เป็นคําเมืองทางเหนือการดําหัวเรียกกันเฉพาะการรดนํ้าผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง เช่น พ่อเมือง เป็นต้น เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หรือขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องนําไปในการรดนํ้าดําหัวก็คือ นํ้าใส่ขันเงินใบใหญ่ ในนํ้าใส่ฝักส้มป่อยโปรยเกสรดอกไม้และเจือนํ้าหอม นํ้าปรุงเล็กน้อยพร้อมด้วยพานข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องสักการะอีกพานหนึ่ง

การรดนํ้าดําหัวมักจะไปกันเป็นหมู่ โดยจะถือเครื่องที่จะดําหัวไปด้วย เมื่อขบวนรดนํ้าดําหัวไปถึงบ้าน ท่านเจ้าของบ้านก็จะเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน พอถึงเวลารดนํ้าท่านผู้ใหญ่ก็จะสรรหาคําพูดที่ดีที่เป็นมงคลและอวยพรให้กับผู้ที่มารดนํ้าดําหัว ปัจจุบันนี้พิธีรดนํ้าดําหัวในจังหวัดต่างๆ ทางเหนือมักจะจัดเป็นพิธีใหญ่ ในบางแห่งมีขบวนแห่งและมีการฟ้อนรําประกอบ เช่น พิธีรดนํ้าดําหัวใน จังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย เป็นต้น



การดำหัวของชาวล้านนาหมายถึง การสระผม ส่วนทางด้านพิธีกรรมหมายถึงการชำระสิ่งไม่ดีสิ่งที่เป็นอัปมงคลให้หมด ไปด้วยการใช้น้ำส้ม ป่อยเป็นเครื่องชำระชาวล้านนา นิยมจัดพิธีกรรมการดำหัวขึ้นในเทศกาลสงกรานต์โดยเริ่มตั้งแต่วันที15เมษายนคือวันพญาวันไปจนสิ้นสุดเดือนเมษายนการดำหัวใน
เทศกาลสงกรานต์มี 3 กรณี คือการดำหัว ตนเอง การดำหัวผู้น้อย และการดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งการดำหัวนี้



  ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เป็นปูชนียบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวล้านนาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการดำหัวสมัยโบราณให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึง ขนบธรรมเนียมประเพณีล้านนาดังนี้ “สำหรับการดำหัวนั้น นิยมเอาน้ำใส่ขัน คือ ใส่สลุงเอาน้ำขมิ้น ส้มป่อย ใส่เวลาดำหัว เขาจะเอาไปประเคนคือเอาไปมอบให้ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เราจะไปดำหัว นั้น เขาจะเอามือจุ่มลงในสะหลุง ที่มีน้ำขมิ้นส้มป่อยอยู่แล้วก็เอามาลูบหัวตัวเอง 3ครั้งจากนั้นก็เอามือจุ่มน้ำส้มป่อย สลัดเข้าใส่ลูกหลานที่มาดำหัวพร้อมกับอวยพรให้อยู่ดีมีสุข ให้อยู่ดีกินดีเราไม่นิยมเอาน้ำรดมืออย่าง ของภาคอื่นซึ่งถือว่าการทำอย่างนั้นเป็นการรดศพ มากกว่าการรดน้ำผู้เฒ่า ผู้แก่ ล้านนาเราถือกันมาอย่างนี้ เวลาไปดำหัวให้เอาสะหลุงเอาไปประเคนพร้อมกับของกินของใช้ที่เราจะ นำไปมอบให้



พูดถึง การว่าการดำหัวดีอย่างไร การดำหัวมี 2 แบบแบบหนึ่งก็ คือ การสระผม คนโบราณบ้านเราเรียกว่า ดำหัวมักจะ เอาใบหมี่เอามะกรูดมาต้มแล้วก็เอามา สระผม มันจะหอม ไล่ขี้รังแค ออกหมด ใบหมี่นี้หอม เป็นสมุน ไพรโบราณ การสระผมของคนโบราณเรียกว่าดำหัวเมื่อดำหัวไล่สิ่งที่โสโครกทั้งหลายออก ไปจากผมจากตัวก็จะเช็ดผม ด้วยน้ำมันตานี หรือน้ำมันละหุ่ง อบ ด้วยดอก สะบันงา (ดอกกระดังงา)หรือ กระถิน กระแจะจันหอม เป็นสูตรของคนโบราณ การดำหัวอีกแบบหนึ่ง นั้นก็ คือ การให้เอาน้ำส้มป่อย ไปคารวะ ท่านผู้เฒ่า ผู้แก่โดยทำเป็น 2 แบบแบบหนึ่ง ดำหัวเพื่อ ขอบคุณ เช่น ว่าหมอเขามาเยียวยาเราเยียวยาพ่อแม่เรา สมัยนั้นไม่ได้จ้างกันด้วยเงินแต่พอรักษาเสร็จแล้วพ่อแม่หายคนป่วยหาย ก็จะนำน้ำขมิ้นส้มป่อย ข้าวของอะไร ที่หาได้ไปขอบพระคุณท่านการไปขอบพระคุณท่านแบบนี้เรียกว่าการดำหัว เอาน้ำขมิ้น ส้มป่อยไปให้ท่านสระผมสระหัวพร้อมกับคำขอบคุณ เป็นวิธีหนึ่งเรียกว่าดำหัวพ่อเลี้ยงหมอยาต่อมาการดำหัวอีกแบบนั้นมีเทศกาลสำคัญเช่นปีใหม่สงกรานต์นี้ปีหนึ่งลูกหลานจะมารวมกันนำเอาของกินของใช้มาฝากบุพการีพ่อแม่พี่น้องแล้วเอาน้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำอบ น้ำหอม ดอกไม้ของกินของใช้ ไปมอบให้เขา เขาก็จะลูบผมดังที่กล่าวมาในตอนต้นลูบหัว 3หนแล้วเขาก็จะเอามือจุ่มแล้วสลัดใส่หัวของลูกหลานทุกคนพร้อมกับกล่าวอำนวยอวยพร ว่าอยู่ดีมีสุขนะ อยู่ชุ่มเนื้อชุ่มเย็นนะ อยู่ดีสบายให้ได้ร่ำได้รวยนะแล้วแต่เขาจะอวยพรให้เพราะฉะนั้น การดำหัวตามที่กล่าวมา นั้น จึงเป็นการดำหัวแบบสระผมธรรมดาเป็นการดำหัวตอบแทนคุณพ่อหมออย่างหนึ่งตอบบุญแทน คุณผู้เฒ่า ผู้แก่ พ่อแม่ เป็นการคารวะ

ทีนี่มาพูดถึงการดำหัวสำหรับบุพการีดำหัวปีใหม่นี้ที่เรานิยมทำอยู่อย่างนี้เรามีความมุ่งหมายอย่างไรโบราณอาจารย์เจ้าทั้งหลายเขาบอกว่า การดำหัวนั้นมันมีความหมายว่าหนึ่ง ไปเพื่อตอบบุญแทนคุณพ่อแม่ที่เขาได้เลี้ยงดูเรามาจนเราโตขึ้นมาสามารถทำมาหากินได้มีเหย้ามีเรือนมีงานมีการทำแล้วพ่อแม่อยู่ข้างหลังแก่เฒ่าแล้วเราก็จะได้ไปเยี่ยมเยียนไปกราบด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างหนึ่งแล้วประการที่สองบางครอบครัวพ่อแม่บางท่านก็ทุกข์ยากลูกหลานไปหาเงินข้างหน้าได้เงินได้ทองมาก็จะซื้อเสื้อผ้าซื้อของกินของว่างมาฝากเขาให้ได้นุ่งได้ถ่ายได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ในปีหนึ่ง ก็เป็น วิธีการที่ดีแล้วประการที่สามอีกเป็นการที่ลูกหลานทั้งหลายที่จากบ้าน อื่นเมืองอื่นจากที่ไกลๆที่ตนเองไปหากินอยู่นั้นพาลูกหลานของ ตนไปกราบไว้บรรพบุรุษไป ไหว้พ่อไหว้แม้แม้กระทั่งไหว้กระดูกพ่อกระดูกแม่เป็นวิธีการที่ดีทำให้ลูกหลานได้รู้จักบุพการีแล้วประการที่สี่นั้นเป็นการรวมพี่รวมน้องลูกนายแก้ว กับลูก นายดำอยู่ห่างกันนายดำอยู่ลำพูนนายแก้วอยู่เมืองฝาง ต่างคนต่างก็มีลูกแล้วได้พาลูกมารู้จักพี่รู้จักน้องกันได้สืบสานร่วมการร่วมงานกันแล้วประการต่อไปนั้นคือการสืบมรดกทางวัฒนธรรมพ่อแม่เคย ทำดอกทำดวงทำข้าวตอกดอกไม้ ทำธูปทำเทียนทำต้นผึ้งทำอะไรต่าง ๆนี้ของเครื่องใช้ในการเคารพนับถือนี้ลูกหลานก็ จะได้รับการถ่ายถอดทางบรรพบุรุษ

ดังนั้นการดำหัวนี้จึงมีหลายนัยยะแห่งการกระทำที่ดีงามอย่างนี้การดำหัวที่ได้พูดมาเมื่อกี้นั้น ก็ยังมีดำหัวพิเศษต่อไปอีก เช่นดำหัวกู่ กระดูกของบรรพบุรุษนั้นเรียกว่า ดำหัว กู่หลังจากนั้นก็มีการดำหัวตุ๊หลวง คือว่าดำหัวสมภารเจ้าอาวาส ดำหัวนายอำเภอพ่อแคว่นพ่อกำนันก็คือการไปดำหัวผู้ที่มีอำนาจ ผู้ปกครอง ผู้ที่มีพระคุณแก่เรา การดำหัวจึงเป็นประเพณีที่ดีงามเมื่อ ไปถึงพร้อมกันแล้วทักทายปราศรัยกันแล้วก็เอาของเข้าประเคน คือเอาของมอบให้ด้วยการเอาน้ำส้มป่อยมารวมกันเข้าไปประเคนวัตถุสิ่งของ ประเคนแล้ว คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น ก็จะกล่าวว่านำลูกหลาน เขาพากันมาขอโทษขอโพยมาดำหัวพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ เขาก็จะให้พรโดยมากเป็นพรโวหารยาวเป็นที่ประทับใจเรื่องการดำหัวนี้เป็นวิธีการที่ เฉลียวฉลาดของนักปราชญ์ล้านนาที่ต้องการโน้มน้าวจิตใจของบรรพชน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังน้อมจิตใจของอนุชน ก็คือลูกหลานสมัยใหม่นี้ให้เห็นดีเห็นงามมีจริยธรรมอังดงามสืบต่อไปเป็นนิรันดร์การ ดำหัวของล้านนาที่ส่งผลให้พบเห็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นคือการแสดงประกอบในขบวนแห่ดำหัวโดยเฉพาะพิธีดำหัวผู้ใหญ่ เช่น พระสงฆ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่่ผู้อาวุโสหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆซึ่งขบวนดำหัวเหล่านี้จะมีการแห่ฆ้องกลองมีการฟ้อนพื้นเมืองการแสดงพื้นบ้านรวมทั้งการรดน้ำกันอย่างสนุก สนาน ในขบวนนอกจากขบวนแห่ที่แสดงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาแล้วยังมีเครื่องดำหัวที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงความสามัคคีของหมู่คณะ เนื่องจากจะเป็นการร่วมมือร่วมใจกันจัดทำเครื่องดำหัว ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นดอก ซึ่งเป็นพุ่มดอกไม้ ที่ประกอบด้วยดอกไม้นานาชนิดต้นเทียนที่มีการนำเทียนมาประดับเป็นพุ่มพุ่มขี้ผึ้งที่เรียกว่าต้นผึ้งรวมทั้งหมากสุ่ม คือการนำหมากแห้งผ่าซีกมาประดับเป็นพุ่มอย่างสวยงามและหมากเป็งที่นำหมากดิบเป็นลูก ๆ มาประดับเป็นพุ่มเพื่อจัดในเครื่องดำหัว ที่มีเครื่องอุปโภค บริโภค อื่นๆ อีกเช่น น้ำส้มป่อย เครื่องอุปโภคบริโภครวมทั้งผลไม้ตามฤดูกาลโดยนำเครื่องดำ หัวที่จัดเตรียมไว้นี้ใส่ลงในเสลี่ยง ซึ่งชาวล้านนาเรียกว่าจองอ้อยเพื่อช่วยกันแบกหามเครื่องดำหัวไปยังที่หมายได้อย่างพร้อมเพรียงกันพิธีกรรมในการดำหัวถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ บุตรหลานรวม ทั้ง คนรุ่นใหม่นำ ไปยึดถือ และ ปฏิบัติเพื่อเป็นการคารวะ ขอพรให้ตนเองประสบแต่ความ เจริญรุ่งเรืองในการดำเนิน ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า



ประเพณี ปี๋ใหม่ ล้านนา
" วันปากปี๋ '' ตรงกับวันที่ 16 เมษายนของทุกปีเพราะเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ สองฉบับก่อนได้เล่าถึงประเพณีสงกรานต์ของล้านนาไทยตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15 เมษายน ว่าเขาทำอะไรบ้างก่อนจะกล่าวถึงเรื่องดำหัวอย่างละเอียด จะขอเล่าถึงวันที่ 16 เมษายน ว่าเขาทำอะไรบ้าง

วันนี้คนล้านนาไทยเรียกว่า " วันปากปี๋ '' คล้ายกับ " ปากประตู '' คือช่องเป็นที่เริ่มเข้าสู่ในบ้านเรือน ในวันนี้ตอนเช้าประชาชนจะพากันไปบูชาข้าวของลดเคราะห์ที่วัด โดยนำเสื้อของสมาชิกในครอบครัวไปด้วยเพื่อเอารองไว้ใต้ "สะตวง" อันเป็นภาชนะสำหรับใส่เครื่องบูชา ทางวัดมีคำกล่าวบูชาโดยเฉพาะ โดยนำเอาวิธีของพราหมณ์มาแก้ไขให้เป็นวิธีพุทธ ถือว่าถ้าได้กระทำเช่นนี้จะอยู่ดีมีสุขตลอดปี บางบ้านก็นิมนต์พระมาเทศน์คัมภีร์ที่เป็นมงคล หรือทำพิธีสืบชาตาที่บ้าน

วันนี้ถ้าหากว่าการดำหัว เมื่อวานนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ก็จะใช้วันนี้เป็นวันดำหัวอีกวันหนึ่ง การรดน้ำกันยังคงมีประปรายเฉพาะพวกที่ไปดำหัวด้วยกัน หรือเมื่อเจอกับคณะอื่น ก็จะสาดน้ำรดน้ำกันอย่างมีความสุข

การรดน้ำ กันตามประเพณีนั้นน่าจะพูดไว้เสียที่นี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังรู้และเข้าใจว่าความจริงการรดน้ำกันนั้น คนโบราณเขาทำกันอย่างสุภาพมีวัฒนธรรมโดยให้ศีลให้พรกันไปในตัวทีเดียว เช่นชายหนึ่งรดน้ำหญิงสาวขณะที่หลั่งน้ำลงรดที่ไหล่หรือที่หลังก็ตามปากมัก จะพร่ำพูดให้พรต่าง ๆนานา เช่น "พลันได้พลันมี สารภีซ้อนกาบ พลันได้หาบได้คอน พลันได้นอนหมอนคู่ พลันได้อยู่ทวยกัน พลันได้เอาสวรรค์เป็นบ้าน เถิดหนอ"

ผู้หญิงจะรดน้ำตอบบ้าง ก็จะอวยพรให้เช่นกันเป็นต้นว่า "น้ำใสใจจริง ไหลลงสู่เนื้อเปียะเปียกเสื้อ เพราะหลั่งจากใจน้ำหยดนี้ บ่แห้งเหยไหน ขอฝากติดไปรอดเติงเถิงบ้าน" เป็นต้น หรือแล้วแต่โวหารที่จะพูดออกมา ส่วนมากเป็นคำดีมีความหมายหาได้เหมือนปัจจุบันนี้ไม่ เพราะเท่าที่เห็นเป็นการทารุณต่อผู้ที่ได้รับรดน้ำเหลือเกิน ไม่เป็นสิ่งเชิดชูใจแต่ประการใด ถ้าคนโบราณทำเช่นนี้ ประพณีสงกรานต์คงไม่มีสังคมยอมรับและเหลือมาถึงเราเป็นแน่ขอฝากไว้ช่วยชี้ แจงแก่คนปัจจุบันและชาวต่างถิ่นด้วย

กลับมาถึงขั้นตอนของการ ดำหัวในแบบฉบับของล้านนาโบราณ คำว่า "ดำหัว" ในภาษาล้านนามีความหมายว่า "สระผม '' พจนานุกรมล้านนาไทยฉบับแม่ฟ้าหลวงหน้าที่ 444 ให้ความหมายว่าสระผมหรือพิธีแสดงความเคารพผู้มีอาวุโสหรือผู้มีบุณคุณ ในประเพณีสงกรานต์ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ . ศ . 2542 หน้าที่ 405 ให้ความหมายว่า เป็นประเพณีทางภาคเหนือซึ่งกระทำในวันปีใหม่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือและรักใคร่ และยังอธิบายต่ออีกว่า วิธีดำหัวคือเอาสิ่งของและน้ำที่ใส่เครื่องหอมเช่นน้ำอบไทยไปให้แก่ผู้ที่ เคารพและขอให้ท่านรดน้ำใส่หัวของตนให้อยู่เย็นเป็นสุข

จากพจนานุกรมทั้งสองฉบับ จะเห็นได้ว่าประเพณีดำหัวเป็นประเพณีของทางล้านนาไทยอย่างชัดเจน ความเชื่อของของทางล้านนาคือผู้ที่เราเคารพผู้อาวุโสผู้มีบุญคุณแก่เราทาง เหนือล้านนานิยมใช้น้ำที่ใส่ขมิ้นส้มป่อยมีสีเหลืองมีกลิ่นหอมน่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับน้ำที่สรงน้ำพระ หรือองค์พระธาตุ เป็นน้ำที่ใช้ดำหัว สำหรับน้ำอบน้ำหอมนั้นมาทีหลังซึ่งเป็นของทางภาคกลาง

ส่วนวิธีการของทางล้านนา จริง ๆ หลังจากให้พรเสร็จแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะใช้มือของตนเองจุ่มลงไปในน้ำแล้วลูบหัวตนเอง ซึ่งมีความเชื่อเหมือนกับการรับสูมาคาราวะที่ผู้คนที่มาดำหัวได้ทำอะไรที่ ไม่เป็นมงคล ด้วย กาย วาจา ใจ ไม่ได้ขอให้นำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาใส่หัวของตนเอง นอกจากท่านจะกรุณา สะบัดนิ้วมือที่มีน้ำติดอยู่ใส่หัวของผู้ที่ไปดำหัวซึ่งสุดแล้วแต่ท่าน ไม่ได้เจาะจงดั่งเช่นที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานกล่าวไว้

อีกประการหนึ่งที่ พจนานุกรมทั้งสองฉบับไม่กล่าวถึงคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งในภาคกลางและภาคเหนือ ที่เป็นข้าราชการทำก็คือ การรดน้ำใส่มือของผู้ที่เรามาดำหัว ในความเป็นจริงแล้วเราจะเห็นบ่อยมากส่วนมากท่านเหล่านั้นเป็นระดับสูง ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีผู้ว่าราชการจังหวัดลงมาจนถึงระดับผู้นำท้องถิ่น ซึ่งบางคนผู้นำเหล่านั้นก็เป็นคนล้านนาแต่ก็ยังยอมให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับ บัญชาที่ไม่รู้เรื่องประเพณีล้านนาทำอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เชื่อก็คอยดูในทางโทรทัศน์ในปีนี้รับรองได้เห็นแน่นอน ไม่มีเอกสารฉบับไหนของล้านนากล่าวถึงประเพณีรดน้ำดำหัวว่าผู้ที่มาดำหัวต้อง รดที่มือ นอกจากประเพณีของทางภาคกลางที่รดน้ำมือคือประเพณีแต่งงานเพื่ออวยพรคู่บ่าว สาวและรดน้ำที่มือศพ ซึ่งถือว่ารดน้ำศพ

ส่วนทางของล้าน นาไม่นิยมในการที่จะรดน้ำที่มือในการอวยพรใด ๆ ทั้งสิ้น ( เพราะมีความรู้สึกเหมือนรดน้ำศพของทางภาคกลาง ยิ่งเมื่อมือโดนน้ำรดมาก ๆ แล้วลักษณะของมือก็จะซีดเหมือนมือของคนที่ตายแล้วจึงไม่ นิยมทำกัน ) หลังจากที่ให้พรเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะออกมายืนอยู่ที่ตรงชายบ้าน ซึ่งบ้านทางล้านนาโบราณจะต้องมีชานบ้านทุกหลังคาเรือน เพื่อไว้ทำประโยชน์หลายอย่าง เช่นเป็นที่อาบน้ำ ตากเสื้อผ้า และก็เพื่อใช้ในประเพณีดำหัว แล้วท่านที่มาดำหัวก็จะออกมารดน้ำที่ไหล่ท่านพร้อมกับอวยพรให้ท่านอยู่เย็น เป็นสุขมีอายุยืนยาว

อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะ กล่าวถึงก็คือความเชื่อของการรดน้ำดำหัว ในทางล้านนาก็คือผู้ที่อาวุโส เคารพนับถือเท่านั้นที่เราจะรดน้ำดำหัว ที่นิยมก็คือ บิดามารดา พระสงฆ์ ผู้อาวุโสที่มีคุณงามความดี อยู่ในศีลสัตย์ ผู้นำที่เสียสละมีบุญคุณต่อแผ่นดินครูอาจราย์ที่ให้วิชาความรู้แก่เรา ไม่จำกัดว่าผู้คนเหล่านั้นจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไร การดำหัวของล้านนาจึงเหมือนกับบอกคุณค่าของคน เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้ใหญ่ในสมัยนั้นเป็นอย่างดี

ดังนั้นการกระทำในการดำ หัวจะไม่มีการกระเกณฑ์คนโดยแบบบังคับให้มาเหมือนปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่ไปดำหัวจะต้องมีความเกี่ยวพันกับผู้ที่เราไปดำหัวในด้านใดด้าน หนึ่งและเปี่ยมล้นไปด้วยความรักนับถือและศรัทธาไม่ใช่ไปเพื่อสร้างภาพแสดง พลังให้ยิ่งใหญ่ของบุคคลนั้น โดยกระบวนการที่ลิ่วล้อของท่านเหล่านั้นจะเป็นผู้จัดการระดมเกณฑ์คน โดยที่ท่านเหล่านั้นแทบจะไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร บางทีพอเห็นภาพผู้คนมากมายก็ทำให้ท่านทั้งหลายหลงลืมตนเองคิดว่าตน้องเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งบางท่านกว่าจะสรุปบทเรียนได้ก็ต่อเมื่อตนเองหมดตำแหน่งหน้าที่ในยศถา บรรดาศักดิ์ หมดอำนาจวาสนาที่ไม่เคยจีรังและยั่งยืน ประเพณีดำหัวจึงจะบอกท่านเหล่านั้นให้รู้ว่าตนเองมีคุณค่าแค่ไหน



ดังนั้นเราจะเห็นภาพที่ เห็นอยู่เป็นประจำไม่ว่าทางโทรทัศน์ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป คือคนเฒ่าคนแก่ที่ที่ถูกผู้นำระดับล่างกะเกณฑ์มานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ใครก็ไม่รู้ที่ตนเองก็ไม่รู้จัก และที่สำคัญที่สุดคนที่ยกมือไหว้นั้นยังอายุหนุ่มกว่าน้อยกว่า บางคนก็เป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน ซึ่งเป็นภาพที่เห็นแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่ง

จากที่เล่ามาทั้งหมดผู้ เขียนมีเจตนายากจะให้คนรุ่นใหม่ ได้รู้ถึงกระบวนการขั้นตอนความเชื่อของประเพณีรดน้ำดำหัวของทางล้านนาจริง ๆ เขาทำอย่างไร เชื่ออย่างไรและอีกอย่างหนึ่งที่จะฝากไว้สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ยิ่งใหญ่มี ตำแหน่ง สูง ๆไม่ว่าระดับไหนก็ตามถ้าเป็นคนล้านนาแล้ว ควรจะปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างตามแบบของความเชื่อในประเพณีโบราณของล้านนา อย่างน้อยก็เป็นตัวอย่างต้นแบบเพื่อให้ลูกหลานล้านนาได้เห็นและจะได้ปฏิบัติ สืบต่อไป

เป็นอย่างไรครับประเพณี ปีใหม่เมืองอันยิ่งใหญ่ของล้านนาในอดีต ที่สื่อความหมายและจุดประสงค์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกระบวนการทางสังคม ผสมกับการกระทำที่เป็นศิริมงคลแก่ผู้อื่นและตนเอง ให้กำลังใจแก่ตนเองที่จะต่อสู้กับชีวิตในปีต่อไปนับเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่ง ใหญ่ และแน่นอนที่สุดคือแตกต่างจากจุดประสงค์ของงาน เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ อารยธรรมล้านนา และ 5 ประเทศที่กำลัง เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้อย่างสิ้นเชิง


ก่อนจบบทความฉบับนี้จึงขอยกตัวอย่าง " คำพร "( อ่านว่ากำปอน ) ของอาจารย์สิงฆะ วรรณสัย ซึ่่งเขียนไว้ เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาเป็นฉบับย่อ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาถึงความหมายของมัน จะได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของประเพณีดำหัวของล้านนาไทย

ดีแล อัชชะในวันนี้ก็เป็นวันดี ศรีสุภมังคละอันประเสริฐ ล้ำเลิศยิ่งกว่าวันและยามดังหลาย บัดนี้หมายมี …. เป็นเค้า มาเลงหันสังขานต์ …. ปีเก่าล่วงไปพลัน เถิงวันพญาวันปีใหม่ จุจอดไคว่เถิงมา เป็นกาละเวลาเล่นม่วน ล่นเล้าร่วนเทียวกองตามทำนองปางก่อน ได้สืบสอนคำหอม หื้อน้ำขมิ้นส้มป่อยข้าวตอก ตั้งดอกไม้ธูปเทียนงาม โภชนาหารหลามหลากพร้อม ลางพร่องก็หาบเปียดพร้อมบุงกาน มโนหวานใจใฝ่ เตียวตางไต่ตามกัน พ่อแม่ไผมันไปไคว่ ดังผู้ใหญ่และผู้สูง ปู่ป้าอาว์ผู้เฒ่า พากันไต่เต้าไปหาครูบาอาจริยะ บ่เลยเลิกละปาเวณี ยามเมื่อถึงเดือนชีปีใหม่ มีมโนใฝ่ใจสุนทร์ หมายมุ่งบุญบ่หื้อเคียด เกิดส้มเสียดโกธา แต่งสรีระกายานุ่งหย้อง เหน็บดอกช้องใส่เตมหัว ประดับเนื้อตัวหื้อใหม่ เสื้อผ้าใส่จันทร์มัน อู้เล่นกันเหยาะหยอก ตักน้ำถอกหดกันดี ตั้งสาวจี๋และบ่าวหนุ่ม เปียะน้ำชุ่มตึงตัว ฝูงสาวใคร่หัวเหิดเล่น ฝูงบ่าวตื่นเต้นกำ กันบวย เทียวตามทวยทางไต่ ประเพณีปีใหม่ถึงต้นหดน้ำกันตามสุภาพ หลั่งหลดอาบตามสังขานต์ คำจำหวานอู้อ่อย ปันพรย่อยแก่กัน สนุกเนืองนันตามจารีต เป็นปราณีตบ่เหยหาย

บัดนี้เจ้าตั้งหลายทุก ถ้วนหน้า มาเลงเห็นผู้ข้ามีแก่น เป็นผู้นำ ทำดีมีศีลอยู่บ่ขาด ในศักราชปีเก่าว่าไป แม้นมีกายใจวาปรามาส ได้ล่วงล้ำพลาดเวลา ได้เทียวไปมากราบย่ำ ยามเฮาอยู่ที่ต่ำเทียวกายหัว บ่ได้น้อมนอบตัวก้มหน้า ได้เอิ้นทักกลางท่ากลางทาง เกิกทางขวางเทียวไต่ บ่จงใจใฝ่ปองหันมาสางเทื่อฟังเตียวล่นล้นย่ำเทียวแป้นเฮือนดัง ว่าบ่ฟังเหลือกำ เอิ้นคำด่าข้ามไปมา ยามเมื่อมีโกรธากริ้วโกรธ กลัวเป็นโทษบาปกรรมแปดใจดำด่างพร้อย มาขอลดโทษปล่อยขมา บัดนี้มาเถิงปีใหม่แล้ว เป็นปีใหม่แก้วพญาวัน มาขอปลงปันอนุญาต ที่ได้ปรามาส ด้วยกายวาจาใจ ก็มีมโนมัยใจผ่อง ลดโทษคู่อัน บ่หื้อมีแก่กันพึงสองฝ่าย หื้อขอค้ายจากลาหนี หื้อสูเจ้าจำเริญดีปายหน้า อายุยืนยิ่งกวาร้อยชาว วรรณะเปิงปาวขาวผ่องเป็นที่ถูกต้องใจคน เปนหน้าไปตังใดไกลใกล้ หื้อเป็นที่รักใคร่คนหุม อันธพาลจุมหมู่ร้าย หื้อได้หลีกค้ายหนีไกล หื้อมีความสุข กายใจอย่าขาด โรคร้ายนิราศคลาดคลาไป สมดังมโนมัยใฝ่อ้าง มีแรงยิ่งกว่าช้างพังพลาย เป็นที่คนทังหลายรักชอบ แม้นประกอบการงานใด หื้อสัมฤทธิ์ดังใจใฝ่อ้าง มีใจกว้างสันปัตติ กองสมดังมโนผองอ้างใฝ่ ที่คิดไว้จุอัน สมกำบาลีว่า
สัพพีติโย วิวัชชันตุ ฯลฯ อายุวัณโณสุขังพลัง ..


สิบสาม เมษามหา สงกรานต์
เราชาวไทย เบิกบาน ทั่วทุกหน
ทำบุญใส่ บาตรเช้า เอามงคล
สรงน้ำพระ ร่วมขน ทรายก่อเจดีย์

พอสายรด น้ำดำหัว ท่านผู้ใหญ่
พ่อแม่ครู อวยไชย ให้สุขศรี
มอบมะลิ บูชา บุพการี
แล้วชวนเพื่อน น้องพี่ เล่นน้ำกัน

อากาศร้อน ผ่อนคลาย ได้เย็นฉ่ำ
แสนสดชื่น เช้าค่ำ ต่างสุขสันต์
หยอกกระเซ้า เศร้าหาย มลายพลัน
ครอบครัวพร้อม สรวลสรร อิ่มเอมใจ

เป็นโอกาส แสนดี ปีละหน
ลูกหลานครบ ทุกคน ร่วมปีใหม่
สืบสาน ประเพณี แบบไทยไว้
ยิ้มระรื่น สดใส ในสงกรานต์

ปีใหม่ไทย หวังให้ ประสบโชค
คลายความทุกข์ เศร้าโศก สุขหฤหรรษ์
ขอมวลมิตร บ้านอ่าว จงสำราญ
ทุกทิวา ราตรีกาล ตราบนานเนา......


sssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss

สุรพงษ์..เชื่อเขียนใบลาออกล่วงหน้า ป้องกันสส.หน้าเงินได้

สุรพงษ์ เชื่อให้ส.ส.เขียนใบลาออกล่วงหน้า ป้องกันส.ส.หน้าเงินได้ ขู่ใครไม่เขียนไม่ส่งลงสมัครส.ส. เชื่อมิ่งขวัญไม่ทิ้งเพื่อไทย แม้อกหัก

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่เสนอให้คนที่จะลงสมัครส.ส.ในการเลือกตั้งสมัยหน้าต้องเขียนใบลาออกไว้ก่อนว่า เชื่อว่าส.ส.ของพรรคไม่มีใครไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการแก้ปัญหาส.ส.ย้ายพรรคเหมือนที่ผ่านมาได้ และเป็นการป้องกันส.ส.ที่จะมาให้พรรคเพื่อไทยทำคลอด เสร็จแล้วก็ไปอยู่พรรคอื่นหลังการเลือกตั้ง แต่ยอมรับว่ายังมีส.ส.เหล่านี้อยู่ในพรรคเพื่อไทย แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีจำนวนทำไหร่ แต่คงไม่มาก เพราะส.ส.เหล่านี้จะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็นเด่นชัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ที่ถึงอย่างไรส.ส.เหล่านี้ก็ต้องอยู่เพื่อให้ได้เป็นส.ส.แต่เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร เราจึงเตรียมป้องกันไว้ก่อน และที่สำคัญยังเป็นการป้องกันการซื้อส.ส.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคาะชื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวไว้แล้วด้วย

“ แกนนำพรรคได้วิเคราะห์กันว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งแน่นอนแม้คิดกฎนี้ขึ้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้นอำนาจเงินจะมีผลต่อส.ส.อย่างมาก อาจทำให้ไม่โหวตเลือกนายกฯตามมติพรรคหรือคิดจะไปอยู่พรรคอื่นเพื่อเป็นรัฐบาล แต่เมื่อมีการเขียนใบลาออกก็คงไม่มีใครกล้า ” นายสุรพงษ์ กล่าว

นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กลุ่มอีสานพัฒนา ที่สนับสนุนนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า การจะให้ส.ส.เขียนใบลาออกไว้ก่อนในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นก็สามารถทำได้ เพราะจะทำให้พรรคเกิดความมั่นคง เนื่องจากมีพวกโสเภณีทางการเมืองอยู่ในพรรค เพราะหากเราชนะเลือกตั้งขึ้นมาและจะจัดตั้งรัฐบาลโดยยังมีพวกโสเภณีทางการเมืองอยู่ก็คงไม่ไหว เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ ทำให้ส.ส.ไม่ไขว้เขว ส่วนกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยนั้น ตนคิดว่านายไพจิตคงเห็นด้วยในหลักการ เพราะตรงนี้เหมือนการประชุมสภาที่มีกฎข้อบังคับการประชุมที่สมาชิกต้องทำตาม พรรคการเมืองก็มีกฎข้อบังคับเหมือนกัน

นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กลุ่มนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องการให้ส.ส.เขียนใบลาออกไว้ก่อนนั้นคงไม่มี ถ้ามีต้องศึกษาให้ละเอียดว่าจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะส.ส.ต้องมีอิสระในการทำงาน การทำหน้าที่ของส.ส.จะแทรกแซงไม่ได้ แต่ถ้าทำก็เท่ากับว่าพรรคไม่ไว้ใจ ไม่ให้เกียรติส.ส. ตนจึงคิดว่าคงไม่มีการทำแบบนี้ และไม่มีพรรคไหนเขาทำกัน ที่มีข่าวออกมาคงเป็นความคิดที่ห้ามกันไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ทำเช่นนี้ ใครคงไปโยนให้ท่านก็ไม่รู้ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น เท่าที่ตนได้พูดคุยถ้าเป็นจริงนายมิ่งขวัญก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังอยู่กับพรรคเหมือนเดิม ตอนนี้ท่านบอกขออยู่เฉยๆก่อน สุดท้ายแล้วจะให้ไปอยู่ตรงไหนก็ได้

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สาธารณสุข เตือนระวัง 8 เมนู เสี่ยงท้องเสียช่วงเทศกาล

โฆษกสธ.เตือนระวังเมนูอาหาร 8 ชนิด เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร เช่นท้องร่วง ท้องเสีย ช่วงเทศกาลสงกรานต์ อาทิ อาหารปรุงจากกะทิ อาหารกล่อง แนะอาหารทะเลสดให้ปรุงสุก หลีกเลี่ยงวิธีลวกพล่าสุกๆ ดิบๆ ชี้ 3 เดือนแรกปีนี้พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนราย คร่าชีวิตคนไทยถึง 16 ศพ

นายแพทย์ สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหยุดฉลองเทศกาลสงกรานต์13 - 17 เมษายน 2554 นี้ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ปรุงเองที่บ้าน อาหารสั่งซื้อ หรือการออกไปรับประทานอาหารตามร้านนอกบ้าน ต้องระมัดระวังการเลือกซื้อและบริโภค อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินอาหารเช่น โรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ โรคอหิวาต์ โรคบิด และไข้ไทฟอยด์ จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ได้แก่ เมนูอาหาร 8 ชนิด ได้แก่ 1. อาหารปรุงด้วยกะทิ 2. ขนมจีน 3. อาหารทะเลสด 4. อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ยำ พล่า 5. อาหารถุง อาหารกล่อง อาหารห่อ 6. ส้มตำ 7. อาหารค้างมื้อ และ 8. น้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงแล้ว 3 แสนราย เสียชีวิต 16 ราย

นายแพทย์สุพรรณ กล่าวต่อว่า เพื่อความปลอดภัยจากโรคระบบทางเดินอาหาร ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติให้เป็นนิสัย 3 ประการ คือให้ “ กินอาหารสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และต้องล้างมือเป็นประจำ ” สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขอให้พ่อแม่ดูแลเรื่องการกินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กวัยนี้นอกจากจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำแล้ว ยังดูแลตัวเองไม่เป็น กินและหยิบอาหารเข้าปากแบบไร้เดียงสา ดังนั้น โอกาสติดเชื้อจึงเกิดขึ้นง่าย

สุดท้ายคือเรื่องน้ำดื่มและน้ำแข็ง ขอให้ดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีเครื่องหมายอย.รับรอง และเลือกขวดที่มีฝาปิดสนิท ส่วนน้ำแข็งควรเลือกชนิดบรรจุถุงที่มีเครื่องหมาย อย. และขอความร่วมมือผู้ประกอบการร้านอาหาร ไม่ควรนำอาหารอื่นไปแช่ในถังน้ำแข็งที่ให้ลูกค้ากิน เพราะจะทำให้น้ำแข็งปนเปื้อนเชื้อโรคได้ นายแพทย์มานิตกล่าว

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

มิตรหรือศัตรู มันก็..ไม่ต่างกัน

สมราคา “ไข่มุกดำวีระกานต์ มุสิกพงศ์” เปิดอกเปิดใจเป็นครั้งแรกผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “สปริงนิวส์” ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังก่อนวันเกิดเหตุ “ขอคืนพื้นที่แดงราชประสงค์” ไว้ได้อย่างมีนัยยิ่ง

ทั้งกรณีแกนแดงสายเหยี่ยวหวังใจที่จะยึดอำนาจแกนแดงสายพิราบ “นายหัว วีระ” ก็ยอมรับเต็มปากเต็มคำว่า “มันมีจริง” หรือแม้กระทั่ง วาระกัดจิก“สายเกิน เจรจา” ที่อดีตประธาน นปช. ระบุว่า “ชีวิตประชาชนมีคำว่าสายด้วยหรือ” มันก็ล้วน กินยาวบาดใจไปถึงเครดิตของผู้สั่งการ อย่างล้ำลึกนัก

แต่ประเด็นที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือเรื่องลับๆ ของคนระดับแกนนำมุ่งหวังทาง การเมือง ที่แอบไปเจรจาต้าอ้วย เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง โดยอ้างชีวิตประชาชนที่เหล่าแกนนำปลุกเร้าขึ้นมาเป็นผนัง ทองแดงกำแพงเหล็ก

มันก็ได้สร้างความงงงวยให้กับเหล่า แกนตามผู้จงรักภักดี ที่ฟังแล้วต้องถึงกับอุทานว่า...มันด่ากันแทบตาย แล้วสุดท้าย พวกมันแอบไปคุยกันตอนไหน???

นั่นมันก็ไม่ต่างกับสิ่งที่แกนนำเหลืองแดง หน้ากระดานเรียงหนึ่งขึ้นเวที เปิดปฏิบัติการสาวไส้ให้กากิน แฉเบื้องลึกเบื้อง หลัง แฉโน่นแฉนี่ แต่ไม่เคยเหลียวมองดูเบื้องหลังของตนเองและเบื้องหน้าของประชาชน

แกนแดงลงรายละเอียดเป็นฉากๆ จากวงประชุมลับแห่งการปฏิวัติ 19 กันยาฯ กินยาวไปถึงปมยุบไทยรักไทย ยุบพลังประ ชาชน และไม่ยุบประชาธิปัตย์

แกนเหลืองก็เดินหน้าแฉแหลกตั้งแต่เหตุซุกหุ้น ขายหุ้น เลี่ยงภาษี ขายชาติ ขายแผ่นดิน ว่ากันไปถึงวาระประธานาธิบดี เชื่อมโยงไปสู่ อาการตีตนเสมอเจ้า และไม่ จงรักภักดี..

ว่ากันง่ายๆ คือพยายามชี้นำให้ประ ชาชน ลุยถั่วฝ่ายตรงกันข้าม แบบเอาให้ตายกันไปข้าง แต่ “ความจริงวันนี้ผ่านโฟกัสเมือง ไอ้ที่นั่งด่าๆ กัน มันก็ดันเซย์ฮัลโหลเจรจาในทางลับกัน อย่างต่อเนื่อง แล้วตกลงสุดท้ายประโยชน์ มรรคผลมันบังเกิดกับใครกันแน่ระหว่างแกนนำหรือแกนตามที่เผอิญเป็นประชาชน

สั้นๆ และกระชับ ถอดสมการให้เห็น เป็นรูปธรรม “ประชาธิปัตย์” และ “พันธ มิตรฯ” หรือ “พันธมิตรฯ” กับ “พรรค การเมืองใหม่” เกิดอาการแตกคอกันนั้น เหล่าแกนนำเหลืองและแกนนำพรรคสะตอ จะมีเหตุผลใดมาอธิบายให้ประชาชนผู้เป็น แฟนคลับฟังได้ชัดอย่างรื่นหูและไม่สะดุด.. มันก็ยังไม่ผ่านเข้าสู่โสตประสาทแม้แต่เดซิเบลเดียว

หรือแม้กระทั่ง สิ่งที่ “ไข่มุกดำ” ออกมายอมรับในข้อสงสัยเรื่องปฏิบัติการแดง ยึดอำนาจแดง  แต่ใช้ลีลาการพูดสไตล์นักการเมืองในการเลี่ยงบาลี แก้เกี้ยว แต่ในที่สุดก็หนีไม่ออกเพราะเงื่อนงำ ในเหตุการณ์เหล่านั้น มันก็ล้วนมีอยู่จริง

สุดท้ายเรื่องราวแห่งคืนวันสังหารใน หลายเหตุการณ์ แม้จะล่วงเลยมาเนิ่นนาน แต่ประชาชนทั้งเหลืองทั้งแดง ก็ยังไม่สามารถ พิสูจน์ทราบว่า ใครกันแน่ที่ฆ่าประชาชน???

แต่สิ่งที่ประชาชนได้พิสูจน์ทราบและเห็นเป็นกระจ่างคือ..

วันนี้ “รัฐบาลผ้าขาว” แปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นทุจริตยิ่งกว่า “รัฐบาลโคตรโกง”

วันนี้ “กำนัน สปก. 4-01” เป็นเพื่อนเลิฟกับ “พ่อมดเขมรจอมหักเหลี่ยม”

วันนี้ “ครูใหญ่” กับ “หลงจู๊” ผนึกกำลังพร้อมเสียบซีกไหนก็ได้แค่ขอให้พรรค ตัวแปรก๊วนนี้ได้เป็นรัฐบาล

วันนี้ “ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น” สำรอกเลือด กลืนน้ำลาย กลับลำไปขัดตาทัพให้กองกำลังผู้ทรงเกียรติของ “นายใหญ่”

วันนี้ แม้แต่ “ไม้บรรทัด” ผู้เคยเอ่ย ปากว่าเหม็นเบื่อการเมือง ยังคิดใหม่ ทำใหม่ด้วยการเอาตัวลงไปคลุกกับกลิ่นสาบการเมืองอีกคำรบ

วันนี้ “กองทัพ” อันเป็นคีย์แมนแห่ง “วาระปฏิวัติ” ยังตบเท้าออกมาการันตี ประเทศนี้ไม่มียึดอำนาจแน่นอน

วันนี้ “แอ็กติวิสต์นักประชาธิปไตย เสื้อเหลือง” กลับออกมาเรียกร้องให้ประ ชาชนเฮโลไปกาในช่อง “โหวตโน” ประหนึ่ง ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง

วันนี้ “แก๊งเข้าป่าสายคอมมิวนิสต์” ได้ปรากฏกายอย่างดาษดื่น และนั่นก็มีแนว คิดทั้งล้มและปกป้องเจ้า

แต่ที่น่าสลดหดหู่หัวใจไปมากกว่านั้นคือ..

การเมืองไทยไม่ต่างจากลิเกแห่งอำนาจ โรงใหญ่ วาระ “เหลือง-แดง” ยังคงดำเนิน และเคลื่อนต่อไป สุดท้ายคนที่เดินตามก้น วาทะ “ไพร่-อำมาตย์” ที่ผู้เสพติดอำนาจ ปั้นแต่งขึ้นมา

ไม่ว่า “มิตร” หรือ “ศัตรู” สภาพมันก็ไม่ต่างกัน นั่นคือเอวังให้กับ..แก๊งศรีธนญชัยใส่สูท!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ผมขอสนับสนุนให้คุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดาเป็นนายกรัฐมนตรี

ชำนาญ จันทร์เรือง

จากการลุกขึ้นเหน็บแนมฝ่ายค้านของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า รัฐบาลช่วยเหลือน้ำท่วมล่าช้า แต่นายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 กลับลงพื้นที่ถึงประชาชนก่อน และหากสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงจะได้รับเลือกนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็ควรที่จะเชิญนายสรยุทธ์มาเป็นได้

ประสมเข้ากับการโวยวายของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าสื่อมวลชนที่ลงไปทำข่าวทุกวันนี้ ทำเพื่อโปรโมทตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อชาติ พยายามทำเหมือนรัฐบาลไม่ทำอะไร ดังนั้น รัฐบาลต้องทบทวนแผนประชาสัมพันธ์กันใหม่ ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะเชิญ(ความหมายก็คือบีบคอ)สื่อช่อง 9 และ 11 ลงไปทำข่าวการเตรียมสร้างและซ่อมแซมบ้านในพื้นที่ประสบอุทกภัย ทำให้ผมเกิดอาการคลื่นเหียนจนอยากจะอาเจียนออกมา แต่เสียดายของเก่าที่กินเข้าไปแล้วจะเสียของ ก็เลยต้องกลั้นไว้

เรื่องของการเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นของพรรคประชาธิปัตย์นี้ผมได้ยินมานานแล้ว ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่ไม่นึกว่าจะใจแคบได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วผมไม่ได้เป็นแฟนรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของคุณสรยุทธ์แต่อย่างใดเพราะผมเป็นคนตื่นสาย เว้นเสียแต่ว่าวันไหนมีงานหรือชั่วโมงบรรยาย ส่วนตอนเย็นก็ดูบ้างไม่ดูบ้างแล้วแต่โอกาส หรือดูดูอยู่ก็กดช่องเปลี่ยนเสียหลายครั้งเพราะหัวข้อเรื่องการสนทนาไม่ถูกใจ แต่โดยภาพรวมแล้วผมกลับชื่นชมการกระทำของคุณสรยุทธ์และต้นสังกัดของเขาที่มีวิสัยทัศน์และมีน้ำใจต่อเพื่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยด้วยกันเองหรือชาวญี่ปุ่น

พูดถึงการศึกษาหรือความรู้ความสามารถของคุณสรยุทธ์ไม่ได้ด้อยกว่านายกรัฐมนตรีของไทยคนไหนหรือนักการเมืองทั้งหลายที่อยู่ในสภาในปัจจุบันนี้ ที่สำคัญคือก็ใจถึงพึ่งได้กว่าหลายๆคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือตัวนายกรัฐมนตรีเองที่ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆชูป้ายทวงจักรเย็บผ้าที่รัฐบาลเคยสัญญาว่าจะให้แล้วไม่ให้ว่า “ดีแต่พูด”จนเธอกลายเป็นขวัญใจคนใช้แรงงานไปโดยปริยาย

ครั้นหันมามองพรรคฝ่ายค้านที่ยังหาหัวไม่ได้ สุดท้ายแว่วว่าจะมาลงที่น้องสาวของคุณทักษิณโดยการันตีว่าเป็นผู้หญิงเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น สร้างตัวมาจากตำแหน่งเล็กๆจนไต่เต้าเป็นผู้บริหารระดับ หรือเป็นสายตรงกับคุณทักษิณ น้องสาวพูดก็เหมือนคุณทักษิณพูด ฯลฯ แต่ผมกลับมองว่าอย่างไรก็ตามเธอก็คือร่างทรงของคนอื่น ผมไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีที่เป็นหุ่นกระบอกของใคร

ฉะนั้น ผมจึงขอสนับสนุนให้คุณสรยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์หรือนายกรัฐมนตรีที่เป็นร่างทรงของคนอื่น โดยมีเงื่อนไขว่า

๑) ต้องยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่เป็นปัญหาถ่วงความเจริญของประเทศชาติ และเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์จากการแต่งตั้งของ”แก๊งแต่งตั้ง”ทั้งหลาย โดยให้เหลือเพียงการบริหารราชการส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นดังเช่นนานาอารยประเทศทั้งหลายที่เป็นรัฐเดี่ยวและมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ

๒) ต้องยกเลิกสมาชิกวุฒิสภาที่มาจาการสรรหาจากเทวดาเพียงเจ็ดคนเสีย แล้วให้มีที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด รวมถึงทบทวนถึงที่มาของกรรมการในองค์กรอิสระทั้งหลายด้วย

๓) ต้องสอบสวนให้ได้ผลของการสังหารหมู่ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ทหาร หรือนักข่าวต่างประเทศ แล้วนำตัวมาลงโทษ

๔) ต้องให้ทหารกลับกรมกอง ไม่ต้องเสนอหน้ามายืนยันว่าจะไม่ปฏิวัติเพราะไม่ใช่หน้าที่

๕) ต้องเพิ่มเติม พรบ.ธรรมนูญศาลยุติธรรมมิให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคณะรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์เพราะไม่มีในตำรากฎหมายใดใดในโลกหรือในประเทศไทยบัญญัติไว้เช่นนั้น แต่ศาลฎีกาไทยกลับไปรับรองการกระทำเช่นนั้น ทั้งๆที่เป็นการกระทำความผิดฐานกบฏตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๓ อย่างชัดเจน

๖) ต้องแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันฯ มิให้ใครนำมาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งผู้อื่น โดยกำหนดตัวผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีให้ชัดเจน มิใช่ปล่อยให้ใครก็ได้ฟ้องมั่วจนเปรอะเช่นในปัจจุบันนี้

๗) ต้องดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องในเนื้อหาที่ปรากฏว่ามีการวิ่งเต้นคดี ไม่ว่าจะเป็นตุลาการหรือเจ้าหน้าที่กรณีคลิปหลุดศาลรัฐธรรมนูญอันอื้อฉาว มิใช่ไปมุ่งดำเนินคดีเฉพาะผู้จัดทำคลิปแต่อย่างเดียว

๘) ต้องจัดให้มีการปฏิรูปที่ดินให้ชัดเจน ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือที่ดินที่ได้เอกสารสิทธิ์มาโดยไม่ชอบเอามาจัดสรรให้ผู้ที่ไม่มีที่ทำกินได้ใช้ประโยชน์

๙) ต้องให้อำนาจตุลาการมีการยึดโยงกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน มิใช่หลุดลอยเป็นอิสระจากการตรวจสอบของประชาชนเช่นในปัจจุบัน เอะอะอะไรก็อ้างความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ทั้งๆที่บางเรื่องไม่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีแต่อย่างใดแต่เป็นการบริหารจัดการสำนวนคดี เช่น กรณีศาลปกครองกับ ปปช. หรือกรณีเงินค่ารถประจำตำแหน่งแต่ไม่ได้เอาไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของเงิน ฯลฯ

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้อ่านคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก มีแต่ซูเปอร์แมนเท่านั้นกระมังที่ทำได้ ซึ่งก็อาจจะจริงแต่อย่าลืมว่าคุณสรยุทธ์เคยเป็นซูเปอร์แมนมาแล้วในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกล้าฉีกตัวมาจากค่ายเนชั่น การจัดทำรายการลักษณะของการเล่าข่าวจนทำให้จากอาตี๋ธรรมดากลายเป็นเศรษฐีหลายร้อยล้าน การระดมความช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจนผมเชื่อว่าไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก คุณสรยุทธ์ ฯลฯ

คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เพราะมีหัวพรรคให้เลือก ช็อปปิงอยู่มากมาย แล้วลองออกนโยบายเช่นว่านี้ดูสิครับ รับรองว่าประชาธิปัตย์หรือคุณทักษิณไม่มีทางสู้ได้อย่างแน่นอน

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

พท.ยันทักษิณเสนอนิรโทษกรรม ทางออกประเทศ

เพื่อไทย ยัน "ทักษิณ" เสนอนิรโทษกรรม เป็นทางออกประเทศ ด้าน ปชป. บอกนิรโทษกรรมไม่ตอบโจทย์ประเทศ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางการนิรโทษกรรม ว่า ตนมองเป็นทางออกของบ้านเมือง เพราะขณะนี้ ทุกกลุ่มก็ต่างถูกดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็น พันธมิตรฯ นปช. บ้านเลขที่111 และ 109 ถ้านิรโทษกรรมบ้านเมืองจะดีขึ้นแน่นอน เพราะหลังจากการปฏิวัติปี 49 ประชาชนมีความเห็นต่างทางการเมือง การนิรโทษกรรม จึงเป็นแนวทางในการสมานฉันท์ ส่วนอดีตนายกฯจะทำเพื่อตัวเองหรือไม่ ตนมองว่าก็มีบางกลุ่มมองอย่างนั้น แต่ต้องมองด้วยความเป็นธรรม การนิรโทษกรรมจะทำให้ประเทศดีขึ้น เป็นสิ่งที่ยุติความขัดแย้ง การมองแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ ควรให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีกองทัพและดีเอสไอ ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.กับอีก 2 แกนนำ ว่า วันนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ต้องปล่อยเป็นไปตามข้อเท็จจริง แต่รัฐบาลเอาเรื่องความจงรักภักดี มาใช้ประโยชน์ทางการเมืองและชอบทำตัวเป็นศาลเสียเอง เรื่องนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามหลักการ

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส. กรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงประเด็นเดียวกันนี้ว่า กฎหมายนิรโทษกรรมไม่ตอบโจทย์การเมืองไทยในขณะนี้ และเชื่อว่าจะสร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น คดีความผิดที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกคำพิพากษานั้นเป็นความผิดอาญา ซึ่งจะออกกฎหมายเพื่อเลิกรากันไปไม่ได้ อีกทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีมาแล้ว แต่เมื่อคำพิพากษาของศาลไม่ตรงกับความต้องการจึงหนีไป เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต้องถูกดำเนินคดีจากการกระทำต่างๆเช่นกัน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่อยากให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบ แต่แนวทางการปรองดองไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้ผู้มีความผิดใช้ช่องทางอะไรก็ได้เพื่อไม่ต้องรับโทษ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช .กล่าวว่า ถึงที่สุดประเด็นนิรโทษกรรมจะไม่มีทางเป็นจริงได้ และกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีหรือไม่มีการนิรโทษกรรม เพราะคนเสื้อแดงมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่ต้องการความยุติธรรม ไม่มี 2มาตรฐานในสังคม และจะไม่ยอมให้อำนาจนอกระบบมาแทรกแซงกระบวนการต่างๆ

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

สมเจตน์.. ดีใจ หลังได้เป็น ส.ว.สรรหา ลั่นจะไม่ให้คนเลวมีโอกาสบริหารประเทศ

อดีตเลขา คมช. เผยภาคภูมิใจที่ได้รับการสรรหาเป็นวุฒิสมาชิก ลั่นจะทำทุกด้านให้บ้านเมืองปกติสุข เอาความสามัคคีกลับคืนมา จะทำทุกอย่างไม่ให้คนเลวมีโอกาสบริหารประเทศ นอกจากนี้ “กลุ่ม 40 ส.ว.” กลับเข้ามาได้ถึง 21 คน ขณะที่สัก กอแสงเรือง – วันชัย สอนศิริ - เดชอุดม ไกรฤทธิ์ ได้เป็น ส.ว.สรรหาด้วย

ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศผลการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาประเภทสรรหาใหม่จำนวน 73 คน ได้เริ่มมี ส.ว.ที่ได้รับเอกสารรับรองจาก กกต. แล้ว ได้ทยอยเดินทางมาแสดงตนต่อ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่อาคารรัฐสภา 2 นั้น

โดยเมื่อวานนี้ (12 เม.ย.) ISN รายงานว่า พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม เลนานุการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการแสดงตนว่า รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่ได้รับโอกาสจากการสรรหาให้มาทำงานเพื่อประเทศชาติและบ้านเมืองอีกครั้ง เมื่อถามต่อว่ารู้สึกอย่างไรกับข้อวิจารณ์ที่พยายามผูกโยงกับกองทัพ พลเอกสมเจตน์ กล่าวว่า เป็นธรรมดาตนไม่สามารถปฏิเสธความเป็นทหารของตนได้ แต่ต้องดูในสิ่งที่ตนได้ปฏิบัติมาว่าได้ทำเพื่อประโยชน์ของตนหรือประโยชน์ ของใคร หรือประโยชน์ของประเทศชาติ นั่นคือความเป็นมาของตน ต่อไปเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตนจะยืนหยัดในอุดมการณ์อย่างนี้ได้ต่อไป หรือไม่

เมื่อถามว่าตั้งใจจะมาทำงานด้านใดเป็นพิเศษในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ว. พลเอกสมเจตน์ กล่าวว่า ด้านไหนก็ได้ทุกด้านที่จะทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความปกติสุข มีความรักความสมัครสมานสามัคคีกลับคืนมาสู่ประเทศให้ได้ ให้ประเทศเรามีความร่มเย็นอีกครั้ง

“พยายามที่จะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้คนเลวมีโอกาสมารับผิดชอบ บริหารประเทศ ผมได้เรียนแล้วว่าผมไม่ปฏิเสธตัวผมเองได้ ผมมาจากทหาร แน่นอนที่ต้องมีความผูกพันกับกองทัพ ทหารมีหลายแบบ ต้องดูว่าจะพิสูจน์ตัวผมเองได้อย่างไร” พลเอกสมเจตน์ กล่าว

เมื่อถามว่ามั่นใจว่าการทำงานจะมาจากการตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด พลเอกสมเจตน์ กล่าวว่า การทำงานย่อมต้องมาจากความเห็นของตนของเพื่อนสมาชิก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องอยู่บนจุดที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ เมื่อถามย้ำว่าจะให้เวลาพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เป็นนอมินีของใครใช่หรือไม่ พลเอกสมเจตน์ กล่าวสั้นๆ ว่า ผมเป็นนอมินีของของประเทศชาติ

ขณะที่ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในจำนวน ส.ว.สรรหา 73 ราย เป็นอดีต ส.ว.สรรหาชุดเดิม 31 ราย เป็นกลุ่ม 40 ส.ว. ถึง 21 คน อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายสมชาย แสวงการ

ขณะที่ ส.ว. สายทหารคือ พล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ผอ.ททบ.5 เพื่อนร่วมรุ่น ตท.6 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีตที่ปรึกษา รมว.กลาโหม น้องชาย พล.อ.ประวิตร

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอดีตแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ เครือข่ายของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายวันชัย สอนศิริ ทนายความและผู้จัดรายการคลายปมทางช่อง 11 นายสัก กอแสงเรือง และ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ อดีตนายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย นายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินท์ อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง นายปัญญา เบ็ญจศิริวรรณ พี่ชายของสามี นางนาตยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ นายสุธรรม พันธุศักดิ์ เจ้าของทิฟฟานี่ บิดา น.ส.อริสา พันธุศักดิ์ อดีตผู้สมัครนายกอบจ.ชลบุรี ของพรรคประชาธิปัตย์

รวมถึงยังมีอดีตข้าราชการและบุคคลที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.ต.นพ.เฉลิมชัย เครืองาม ส่งโดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย น.ส.วิชุดา รัตนเพียร น้องสาวนายประวิช รัตนเพียร อดีต รมต.หลายกระทรวง ม.ร.ว.วุฒิเลิศ เทวกุล ส่งโดยสถาบันพระปกเกล้า พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช พี่ชายนายประสพสุข บุญเดช อดีตประธานวุฒิสภา นายสม จาตุศรีพิทักษ์ พี่ชายนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อุปสรรคของการหยุดยิงในลิเบีย .

อุปสรรคของการหยุดยิงในลิเบีย
สหภาพแอฟริกาและรัฐบาลตุรกีพยายามที่จะเจรจาให้มีการหยุดยิงในลิเบีย ขณะที่ผู้นำลิเบีย มูอัมมาร์ กัดดาฟี ส่งสัญญาณว่าเห็นพ้องกับข้อเสนอของสหภาพแอฟริกาที่นำโดยเจค็อบ ซูมา โดยมีเงื่อนไขที่ว่า NATO ต้องหยุดโจมตีทางอากาศก่อน
ขณะที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในทางตะวันออกของลิเบีย ต่างปฏิเสธเงื่อนไขในการหยุดยิง และยังยึดมั่นต่อความต้องการเดิมที่จะให้ กัดดาฟี ลงจากตำแหน่ง ส่วนกองกำลัง NATO ยังคงโจมตีทางอากาศในลิเบียฝั่งตะวันออกอย่างต่อเนื่อง
การเจรจาเพื่อให้หยุดยิงยังเต็มไปด้วยปัญหาและมีความสลับซับซ้อน แต่ก็ทำให้เห็นว่าในห้วงเวลาที่ไม่สามารถหาทางออกได้ ในลิเบียก็มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างตะวันออกและตะวันตกอยู่จริง นี่อาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปตามที่คิดนัก แต่ก็ทำให้สหรัฐฯ ตระหนักได้ว่า ควรจะหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวกับการสร้างชาติ (nation-building) ในโลกอิสลาม



และต้องยอมรับว่ากัดดาฟียังทรงอำนาจ ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งได้เกิดขึ้นในทุกฝ่าย ทั้งในฝ่ายต่อต้านทางฝั่งตะวันออกของลิเบีย ทั้งในกองกำลังลิเบีย กองกำลัง NATO ต่างก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ลำบากในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติการทางทหาร
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลิเบียในฝั่งตะวันออกได้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจที่จะยึดครองตะวันออกและปล่อยให้ตะวันตกเป็นของกองกำลังกัดดาฟี ปัญหาของกองกำลังฝ่ายต่อต้านคือความรู้จากการฝึกฝนเพื่อปฏิบัติการรบและการใช้อาวุธที่เข้าขั้นอ่อนหัดมาก แต่ถ้าจับตาดูการสู้รบที่เกิดขึ้นในแหล่งพลังงานทั้งหลายทั้งใน Brega, Ras Lanuf, Zawiya และ Sidra จะเห็นว่ามีความยากลำบากยิ่งในการพยายามทำให้กองกำลังกัดดาฟีถอยร่นกลับไป
ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังกัดดาฟีกลับมีความรอบคอบกว่า ในการถอนกำลังเพื่อไปสร้างฐานที่มั่นในตัวเมืองทางฝั่งตะวันตก ซึ่งไม่เหมือนกับกองกำลัง NATO พยายามที่จะแผ่ขยายกองกำลังทางอากาศที่เต็มไปด้วยความกังวลว่าจะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของพลเรือนชาวลิเบีย



แม้กองกำลังกัดดาฟี จะสามารถควบคุมแหล่งที่สามารถผลิตพลังงานหลักในภูมิภาคได้ เช่น Ajdabiya แต่ก็ไม่เท่าฝ่ายต่อต้านที่สามารถยึด Benghazi ได้ อีกทั้งรถถังของกัดดาฟียังถูกกองกำลัง NATO โจมตีทางอากาศไปแล้วจำนวนมาก กองกำลังของกัดดาฟีแม้จะสามารถดำรงอยู่ในสนามรบได้ แต่ก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีจำนวนจำกัดเพราะถูกกองกำลัง NATO คอยลาดตระเวนและตรวจตราการขนส่งอาวุธทั้งทางทะเลและทางอากาศ
ทำให้รัฐบาลลิเบียต้องยอมรับที่จะมีจุดยืนอันนำไปสู่การเจรจาให้มีการหยุดยิง แม้ว่าตัวของกัดดาฟีเองจะต้องพ่ายแพ้ แต่ก็อาจทำให้กองกำลังที่ยังคงภักดีต่อเขาสามารถเคลื่อนไหวเพื่ออ้างสิทธิ์จากการควบคุมจากชาติตะวันตกได้


ขณะที่ด้านกองกำลัง NATO เอง ก็เผชิญกับปัญหาที่ยากลำบาก ตราบใดที่กองกำลังของกัดดาฟียังสามารถที่จะตั้งฐานที่มั่นในตัวเมืองได้ NATO ก็ยิ่งประสบปัญหาจากการหลีกเลี่ยงกับความเสี่ยงของการเข้าโจมตี เนื่องจากอาจกระทบต่อพลเรือนที่ต้องบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้น และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้กัดดาฟียังคงมีอำนาจในการปฏิเสธที่จะหยุดยิงได้
ส่วนสหรัฐฯ ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางยุทธศาสตร์จากฝั่งตะวันตกในภูมิภาคบริเวณอ่าวเปอร์เซียมากขึ้น ที่มีอิหร่านกำลังจับจ้องกับภาวะสุญญากาศทางอำนาจในอิรัก อันเนื่องมาจากการถอนกองกำลังของสหรัฐฯ โดยที่สหรัฐฯ เองอาจต้องถอนตัวจากความคิดที่จะคุมเชิงและพยายามที่จะทำให้รัฐบาลลิเบียจนตรอกในการคิดต่อกรด้วย ซึ่งผลที่ได้กลับมาอาจไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปนัก

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////// 

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

นายกฯพระราชทาน (2)

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
นายกฯสัญญา ธรรมศักดิ์ เผชิญการต่อต้านท้าทายอย่างหนัก ทั้งจากกลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายสถาบันเอง และอยู่นอกเครือข่าย จนแทบจะริเริ่มอะไรที่เป็นของตนเองไม่ได้ สถานการณ์บังคับให้นายกฯพระราชทานไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยายามประนีประนอมกับข้อเรียกร้องของทุกกลุ่ม ผลก็คือ "มะเขือเผา" นั่นคือจะรักษาโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำไว้ตามเดิมก็ไม่ได้ หรือนำสังคมไปสู่การปรับเปลี่ยนให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นก็ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากประเมินนายกฯสัญญา ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ก็อาจกล่าวได้ว่าท่านล้มเหลว แต่ถ้าประเมินนายกฯสัญญาจากภารกิจเฉพาะหน้า คือระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อรอให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องถือว่าท่านได้ประคองบ้านเมืองให้พ้นจากสถานการณ์จลาจล ไปสู่ "ระเบียบ" ใหม่ได้ แม้อย่างทุลักทุเลเต็มทีก็ตาม ฉะนั้นหากจะประเมินนายกฯพระราชทานผู้นี้กันจริงๆ แล้ว ต้องย้อนกลับไปศึกษาว่า ในท่ามกลางข้อจำกัดของสถานการณ์ ท่านได้เตรียมบ้านเมืองเข้าสู่ "ระเบียบ" ใหม่ได้ดีหรือไม่อย่างไร

นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะแต่ในหมู่ตุลาการเท่านั้น ภายใต้ระบอบเผด็จการผูกขาดถึง 16 ปี มีบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชนกว้างขวางถึงเพียงนี้อยู่ไม่กี่คน ทั้งยังได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจนได้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีอีกด้วย ฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า จะหาใครเป็นผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ได้เหมาะไปกว่าท่านได้ยาก เป็นสมาชิกของเครือข่ายสถาบันคนเดียว ที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดในสังคม จึงอยู่ในฐานะที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายของสถาบันกับเครือข่ายอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอก โดยเฉพาะเครือข่ายอีกมากที่เกิดขึ้นจากการลุกฮือของประชาชนใน 14 ตุลา โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา และนักวิชาการ

แต่สังคมไทยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางกว่าการเชื่อมต่อโดยรักษาอำนาจนำของเครือข่ายสถาบันจะเป็นไปได้ (เช่นจะเชื่อมต่อราชการพลเรือนและทหารกับกรรมกรและชาวนาเช่าที่ดิน ซึ่งเกิดสำนึกทางการเมืองขึ้นแล้วได้อย่างไร) ท่านจึงเป็นได้แต่เพียง "มะเขือเผา"

แม้ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อนายกฯพระราชทานที่สุดดังเช่น 14 ตุลา นายกฯพระราชทานก็ยังเป็น "มะเขือเผา" สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจาก 14 ตุลาอย่างเทียบกันไม่ได้ นายกฯพระราชทานจะทำอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นการสถาปนาอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน กลับคืนมาให้เหมือนเดิม หรือนำประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการเมืองในช่วงนี้ ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังจะเหลือใครอีกที่ได้รับความไว้วางใจกว้างขวางจากทุกฝ่ายเท่าอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อดำรงตำแหน่งนายกฯพระราชทาน อาจารย์ประเวศ วะสี หรือ คุณอานันท์ ปันยารชุน หรือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล!

ในส่วนข้อเสนอให้ "เว้นวรรค" การเมืองภายใต้นายกฯ พระราชทาน เพื่อชำระการเมืองไทยให้ปลอดพ้นจากการทุจริตในการเลือกตั้ง และการฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น นับเป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองอย่างสุดประมาณ

แก่นแท้ของนายกฯพระราชทาน ไม่ใช่การส่งซุปเปอร์แมนลงมาขจัดกวาดล้างความชั่วร้ายทางการเมืองให้สิ้นซาก เพื่อรองรับนักการเมืองบริสุทธิ์ (และไร้เดียงสา) ซึ่งจะมาจากการเลือกตั้งในภายหน้า แต่เพื่อสร้างหรือปรับดุลยภาพของความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่างๆ ในเครือข่ายสถาบัน และนอกเครือข่ายกันเสียใหม่ ให้อยู่ร่วมกันได้ โดยยอมรับอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน ไม่ใช่การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่สะอาดบริสุทธิ์ในโลกอุดมคติ

เพื่อบรรลุจุดประสงค์นั้นได้ นายกฯพระราชทาน ต้องประนีประนอมกับเครือข่ายต่างๆ ทั้งที่อยู่ในเครือข่ายสถาบัน และนอกเครือข่ายจำนวนมาก ซึ่งล้วนมีผลประโยชน์ผูกพันอยู่กับระบบที่เอื้อต่อการทุจริตหลายรูปแบบ ไม่ว่าตัวนายกฯพระราชทานจะมีความดีและความซื่อสัตย์อย่างไรก็ตาม ย่อมต้องหลับตาให้แก่การทุจริตฉ้อฉลซึ่งหน่วยต่างๆ ทั้งในและนอกเครือข่ายสถาบันหาผลประโยชน์อยู่ทั้งสิ้น นายกฯพระราชทานคนใดจะไปขัดขวางการหากำไรจากการสั่งซื้ออาวุธของกองทัพ อย่างเก่งก็เพียงปรามอย่าให้มากหรือประเจิดประเจ้อเกินไปเท่านั้น

นายกฯพระราชทานที่ไร้เดียงสาทางการเมืองขนาดนั้น เห็นจะมีแต่นายธานินทร์ กรัยวิเชียร

นายกฯธานินทร์ กรัยวิเชียร คิดว่า "บารมี" ของสถาบันเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะนำไปสู่การปรับระบบเพื่อประกันความมั่นคงของโครงสร้างอำนาจเดิมได้ แทนที่นายกฯคนนี้จะใช้เวลาของตนในการผนึกเครือข่ายของสถาบัน และขยายไปสู่เครือข่ายภายนอก กลับรอนเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกลงจนเหลือแคบนิดเดียว ในที่สุด กำลังใหญ่ที่สุดของเครือข่ายสถาบัน คือกองทัพ ก็ก่อรัฐประหารซ้อนและขจัดเขาออกไป

ตรงกันข้ามกับนายกฯธานินทร์ คือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์

นายกฯเปรม ติณสูลานนท์ ใช้ประโยชน์จากการต้องอิง "บารมี" ของสถาบันได้ดีที่สุด เขาผนึกกองทัพเข้ามาเป็นฐานสนับสนุนที่สำคัญ อาศัย "บารมี" ของสถาบัน ขจัดกลุ่มกระด้างกระเดื่องในกองทัพออกไป ยิ่งกว่านี้ยังประนีประนอมกับเครือข่ายภายนอก เช่น นักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ จนสามารถประคองนายกฯพระราชทานไปตลอดรอดฝั่ง 8 ปี ในช่วงนั้นก็สามารถสถาปนาอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน ให้เด่นชัดและหนักแน่นมากขึ้นไปพร้อมกันด้วย แต่เครือข่ายนอกสถาบันก็เติบโตขึ้นภายใต้รัฐบาลของพลเอกเปรมด้วย สุดกำลังที่จะประนีประนอมหรือ co-opt ได้หมดหรือได้ไหว อย่างไรก็ตาม พลเอก เปรมฉลาดพอจะรู้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ-สังคมของประเทศ เปลี่ยนไปจนเกินกว่าจะผดุงระบบการเมืองแบบนายกฯ พระราชทาน (ในลักษณะที่เขาได้ใช้ประโยชน์มา 8 ปี) ได้ต่อไปแล้ว จึงยอมสละตำแหน่งในที่สุด

น่าสนใจที่จะเปรียบเทียบนายกฯพระราชทานสองคนสุดท้าย

นายกฯอานันท์ ปันยารชุน รู้ดีว่าจะอิง "บารมี" ของสถาบันเป็นที่ตั้งอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เขาเลือกจะผนึกกำลังกับบางกลุ่มในเครือข่ายของสถาบัน โดยเฉพาะในปีกเสรีนิยม และอาศัยเครือข่ายของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ เชื่อมโยงไปยังกลุ่มคนชั้นกลางในเขตเมือง จนกลายเป็นขวัญใจของคนชั้นกลางไปในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เขามีพลังต่อรองอันแข็งแกร่งกับทุกกลุ่มในเครือข่ายของสถาบัน รวมทั้งกองทัพด้วย นายกฯอานันท์จึงเป็นนายกฯพระราชทานที่แปลกที่สุด กล่าวคือต้องพึ่งพิง "บารมี" ของสถาบันน้อยลงตามลำดับ โดยเฉพาะในช่วงอานันท์ 1 เพราะเงื่อนไขทางการเมืองทำให้นักการเมืองซึ่งอยู่นอกเครือข่ายของสถาบันไม่มีปากมีเสียง ยิ่งนายอานันท์ "ทำงานเป็น" ก็ยิ่งได้รับความนิยมจากสื่อและคนชั้นกลางในเขตเมืองมากขึ้น

นับว่าประจวบเหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนั้นของสังคมไทยด้วย คนชั้นกลางซึ่งเติบโตและขยายตัวอย่างมากกลายเป็นฐานสนับสนุนอันแข็งแกร่งของนายกฯพระราชทานผู้นี้ เหล่าผู้คนนอกเครือข่ายสถาบันเหล่านี้ถูกเชื่อมต่อเข้ามายังเครือข่ายในฐานะมิตร และยอมรับอำนาจนำของเครือข่ายสถาบันอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

แม้กระนั้น นายอานันท์ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายของนักการเมืองเข้ากับเครือข่ายของสถาบันได้ เมื่อนักการเมืองกลับเข้ามานั่งในสภาสมัยอานันท์ 2 มรสุมทางการเมืองก็เริ่มตั้งเค้า กระเทือนไปถึงความแตกร้าวในเครือข่ายสถาบันเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นวงการทหารหรือวงการตุลาการ



แต่ภาวะชั่วคราวเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ของรัฐบาลอานันท์ 2 มีส่วนอย่างมากที่สร้างความอดทนให้แก่ศัตรู นายอานันท์จึงถอนตัวออกไปจากการเมืองได้โดยไม่บอบช้ำ

แต่เมื่อนายกฯพระราชทานคนสุดท้าย คือพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นรับตำแหน่ง สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว คนนอกเครือข่ายสถาบันที่ตื่นตัวทางการเมือง ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะคนชั้นกลางในเขตเมืองเท่านั้น หากรวมถึงคนชั้นกลางระดับล่างอีกมาก นายกฯสุรยุทธ์ประสบความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าที่จะเชื่อมต่อคนหน้าใหม่ๆ เหล่านี้ให้เข้ามาสนับสนุนอำนาจนำของเครือข่ายสถาบัน แม้เขาจะพยายามใช้เส้นสาย (connection) ส่วนตัว เพื่อเชื่อมต่ออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับคนที่ถูกจัดว่าเป็น "คนจน" และกลุ่มร่วมพัฒนาชาติไทย (ซึ่งผิดเป้า)

ในที่สุด นายกฯสุรยุทธ์ก็ต้องหันมาผนึกกำลังกับหน่วยต่างๆ ในเครือข่ายให้แข็งแกร่ง กลายเป็นการ "ตั้งป้อม" เผชิญหน้ากับคนชั้นกลางระดับล่าง และนำเครือข่ายสถาบันออกไปเผชิญกับการต่อต้านของปรปักษ์โดยตรงเป็นครั้งแรก ในขณะเดียวกัน การ "ทำงานไม่เป็น" ของเขา บวกกับวิธีการผนึกกำลังของเครือข่ายที่ค่อนข้างไร้เดียงสา คือสมยอมกับข้อเรียกร้องของหน่วยต่างๆ โดยเฉพาะกองทัพ ที่อยู่ในเครือข่ายสถาบัน อย่างไร้อำนาจต่อรองโดยสิ้นเชิง ก็ยิ่งบ่อนทำลายพันธมิตรเดิมของเครือข่ายสถาบันลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทุน คนชั้นกลางในเขตเมือง หรือนักวิชาการ

ว่ากันที่จริงแล้ว นายกฯพระราชทานไม่เคยแก้ปัญหาทางการเมืองของประเทศได้เลยสักคน เพราะที่จริงแล้วภารกิจของเขาไม่ใช่การแก้ปัญหาทางการเมือง แต่รักษาโครงสร้างอำนาจทางการเมืองไว้ให้คงเดิมหรือโน้มไปยิ่งกว่าเดิมต่างหาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองอย่างหนัก และเราเคยพยายามแก้มาแล้วด้วยการปฏิรูปการเมืองในทศวรรษ 2530 จนเป็นผลให้เกิดรัฐธรรมนูญ "ฉบับประชาชน" ขึ้น แม้ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่มุ่งหวัง แต่สิ่งที่การเคลื่อนไหวครั้งนั้นสอนเราก็คือ ปัญหาทางการเมืองทั้งหลายนั้นแก้ได้โดยสังคมเอง (แม้ต้องผ่านเส้นทางทุรกันดาร) หากล้มเหลวก็ต้องเรียนรู้ข้อผิดพลาด และแก้กันต่อไปโดยสังคม จะอาศัยอำนาจนำของสถาบันใดๆ แก้ให้ไม่ได้ ความคิดเรื่องนายกฯพระราชทานจึงเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้ นอกจากความไร้เดียงสาทางการเมือง หรือความฉ้อฉลทางการเมืองเพื่อมุ่งประโยชน์เฉพาะกลุ่มเท่านั้น

ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////