--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

หมาหอนก่อนโหวตไว้วางใจที่มาผลคะแนนค้านสายตา

โฆษกเพื่อไทยแฉเบื้องหลังผลโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่คะแนนออกมาค้านสายตาและความรู้สึกประชาชนเนื่องมาจากมีการแจกเงินค่ายกมือให้ ส.ส. ระบุคืนก่อนโหวตหมาหอนทั้งคืน ต่อรองกันจนนาทีสุดท้ายจนสามารถปั่นตัวเลขค่าตอบแทนขึ้นไปสูงถึง 8 หลัก ให้จับตาก่อนยุบสภาจะมีการอนุมัติโครงการทิ้งทวนเพื่อถอนทุนคืนและเตรียมทุนเลือกตั้ง แนะเพื่อไม่ให้ถูกครหาไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ก่อนยุบสภา ประชาธิปัตย์เสี้ยม “เฉลิม-มิ่งขวัญ” ให้แย่งตำแหน่งผู้นำพรรคเพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” ที่โหวตไม่ไว้วางใจนายกฯออกจากพรรค อ้าง ส.ส. มีเอกสิทธิ์ตัดสินใจในสภา

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ผู้นำการอภิปราย กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค

“ชัดเจนว่านายมิ่งขวัญกับ ร.ต.อ.เฉลิมจะไม่ถูกวางตัวเป็น ส.ส.สัดส่วน ลำดับที่ 1 ในการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวนอกสภากับคนเสื้อแดง น่าเสียดายที่คนที่พร้อมจะใช้สภาขับเคลื่อนทางการเมืองถูกลดบทบาทลง”

ความแตกต่างระหว่าง พท.-ปชป.

นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า การอภิปรายที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่แตกต่างระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์หลายเรื่อง ได้แก่ 1.ราคาสินค้าเกษตร พรรคเพื่อไทยเน้นวิธีการจำนำ แต่พรรคประชาธิปัตย์เน้นวิธีประกันราคา 2.รายได้ พรรคประชาธิปัตย์เน้นเพิ่มรายได้คู่กับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่พรรคเพื่อไทยเน้นเพิ่มรายได้เพียงอย่างเดียว 3.ด้านพลังงาน พรรคประชาธิปัตย์เน้นคุมราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวเบนซิน แต่พรรคเพื่อไทยจะลอยตัวดีเซล แก้ปัญหาเบนซิน

“ภาพรวมการอภิปรายที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ได้เน้นตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่เน้นสร้างความแตกแยกและสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นโดยใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นเกราะกำบัง”

ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” พ้นพรรค

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า พรรคยังไม่ได้หารือเรื่องที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน ของพรรคโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หากไม่ขับออกจากพรรคก็ไม่ได้หมายความว่ากลัวจะแตกหักกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นเพราะต้องแยกแยะการทำหน้าที่ของ ส.ส.

“ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 6 สัปดาห์จะยุบสภาตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศเอาไว้ เวลาที่เหลือรัฐบาลจะเร่งดำเนินนโยบายวาระเร่งด่วน พร้อมกับสำรวจความต้องการและปัญหาของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดย ส.ส. จะเสนอข้อมูลในพื้นที่ต่อที่ประชุมพรรควันที่ 22 มี.ค. นี้”

นโยบายเร่งด่วนเน้นเพิ่มรายได้

นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนที่พรรคจะเสนอต่อประชาชน เช่น เพิ่มรายได้ 25% ภายใน 2 ปี ลดต้นทุนการขนส่งด้านพลังงานจาก 19% เหลือ 15% ปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมประกาศวางมือจากการเมืองหากนายมิ่งขวัญขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการวัดกำลังกันภายในพรรค และเป็นการประกาศเพื่อกดดันนายใหญ่

เสี้ยม “มิ่งขวัญ” อย่ายอมถ้าถูกเขี่ย

“นายมิ่งขวัญได้แสดงฝีมือแล้วในการนำอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงผู้นำให้ประชาชนสับสนอีก หากจะมีการเปลี่ยนแปลงนายมิ่งขวัญไม่ควรยอมแพ้ต่อขบวนการขัดขวางตัวเอง ส.ส. ในกลุ่มที่รับเงินพิเศษจากนายมิ่งขวัญควรออกมาปกป้องนายให้สมกับเงินที่ได้รับ” นายเทพไทกล่าวและว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเพื่อสกัดนายมิ่งขวัญและเพื่อหวังปอกลอก

นายเทพไทกล่าวว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนใครขึ้นมาชิงตำแหน่งนายกฯควรเร่งเปิดตัวเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณา

“สุเทพ” อุบรวมงานกลุ่ม 3 พี

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การที่ ส.ส.กลุ่ม 3 พี โหวตสนับสนุนรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้เป็นสัญญาใจว่าจะร่วมงานกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะการโหวตในสภาเป็นการใช้ดุลยพินิจของ ส.ส.

“ต้องขอบคุณที่โหวตไว้วางใจรัฐบาล เพราะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ส่วนในอนาคตยังไม่สามารถบอกได้”

“มิ่งขวัญ” เสนอตัวเป็นเรื่องดี

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารจะตัดสินใจได้เองว่าเชื่อถือข้อมูลของใคร ข้อมูลอะไรของฝ่ายค้านที่เป็นประโยชน์พร้อมรับมาพิจารณา เช่น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ส่วนกรณีที่นายมิ่งขวัญเสนอตัวเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีจะได้มีความชัดเจนในการนำเสนอวิธีคิดแก้ปัญหาให้ประชาชน

“เมื่อนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะมีความชัดเจนที่จะมาแข่งขันกันในระบบ จะได้นำการเมืองออกจากความขัดแย้ง เพราะหลายปีที่ผ่านมาวนเวียนอยู่กับการเคลื่อนไหวนอกสภา ทั้งการใช้มวลชนและกองกำลัง ถ้านายมิ่งขวัญสามารถหยุดตรงนี้ได้จะเป็นการแสดงภาวะผู้นำ จะได้มาแข่งขันกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า หากนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหยุดกระบวนการนอกสภาไม่ได้แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจและไม่ได้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง

เพื่อไทยยันไม่เปลี่ยนคณะผู้บริหาร

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า การประชุมวิสามัญประจำปีของพรรคในวันที่ 22 มี.ค. นี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค ส่วนเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร แต่จะประกาศบุคคลที่เหมาะสมได้ก่อนยุบสภาแน่นอน

“ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ประกาศกำหนดยุบสภาชัดเจนเราจะประชุมพรรคทันทีเพื่อให้ ส.ส. เลือกว่าจะชูใครขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับนายอภิสิทธิ์ในการเลือกตั้ง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมยืนยันว่า ในพรรคมีคนเก่งกว่านายอภิสิทธิ์ที่บริหารประเทศจนข้าวของแพงอยู่หลายคน

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมามีโพลประเมินผลงานของทีมอภิปรายให้คะแนน 7.9 เต็ม 10 ผู้อภิปรายของพรรคทุกคนสอบผ่านหมด ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมีเพียงนายอภิสิทธิ์คนเดียวที่ได้ 5.01 คะแนน ที่เหลือได้เพียง 4 คะแนนกว่าๆ

แฉค่าโหวตไว้วางใจสูง 8 หลัก

“คะแนนที่ออกมาต่างจากผลโหวตในสภาที่ยังเป็นลักษณะพวกมากลากไป ที่เห็นชัดเจนคือกรณีของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชาชนบอกว่าชี้แจงไม่ตรงประเด็น ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผลโหวตในสภากลับได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุดถึง 251 เสียง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ที่เป็นคนเดียวที่ประชาชนให้สอบผ่านได้เพียง 249 เสียง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมระบุว่า ที่ผลคะแนนออกมาอย่างนี้ทราบมาว่ามีการวิ่งล็อบบี้ชนิดหมาหอนทั้งคืนก่อนจะโหวต ได้ยินมาว่าบางพรรคมี ส.ส. วิ่งเข้าไปรับมัดจำงวดแรกก่อน หลังการลงมติก็ไปรับงวดที่สอง ที่น่าตกใจคือการโหวตครั้งนี้แลกกับเงินมากถึง 8 หลักเลยทีเดียว ผลโหวตในสภาจึงสวนทางต่อความรู้สึกของประชาชน

จับตาโกงทิ้งทวนก่อนยุบสภา

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า รู้สึกเป็นห่วงที่นายกรัฐมนตรีประกาศไม่ปรับคณะรัฐมนตรี และยังย้ำเรื่องยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. เพราะจะทำให้มีการโกงทิ้งทวนในโครงการต่างๆมากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีความชัดเจนเรื่องเวลายุบสภาแล้วจึงไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ๆอะไรอีกในช่วงนี้

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การชี้แจงในสภาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คนตอบไม่ตรงคำถาม และไม่ได้ตอบคำถามของฝ่ายค้านหลายเรื่อง จึงจะรวบรวม 20 คำถามที่รัฐบาลไม่ได้ตอบหรือตอบไม่ชัดเจนให้ประชาชนพิจารณา เช่น เรื่องภาษีบุหรี่ 68,000 ล้านบาท น้ำมันปาล์ม การทุจริตในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การปั่นหุ้นไทยคม การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทรูในการประมูล 3จี การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การซื้อหัวรถจักรไฟฟ้า 7 หัวโดยมิชอบ การส่อทุจริตรถตู้เอ็นจีวี การขายแป้งมันสำปะหลังแบบจีทูจี ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าจีนไม่รับรอง 3 บริษัท การขายสต็อกข้าว โครงการแจกข้าวถุง 75 ล้านถุงที่พบว่าแพงกว่าท้องตลาด การครอบครองที่ดิน 700 ไร่ ที่จังหวัดนครพนม และความล้มเหลวทางการทูตกับเพื่อนบ้าน โดยจะทำเป็นเอกสารแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศต่อไป

ภท.-ชทพ. หวังเป็นตัวแปรตั้งรัฐบาล

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งยังไม่แน่นอนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะจับมือทำงานร่วมกันต่อไป เพราะพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศร่วมมือกันแล้วเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง

“ทั้ง 2 พรรคประเมินแล้วเห็นว่าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด ไม่มีพรรคไหนได้ถึง 251 เสียงแน่นอน สองพรรคจึงรวมกันเพื่ออยู่ตรงกลางและต่อรอง ก่อนตัดสินใจว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหนตั้งรัฐบาล” ผศ.ดร.ปริญญากล่าวและว่า หากพรรคภูมิใจและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมมือกันถึงขนาดไม่ส่ง ส.ส. ทับซ้อนกันมีโอกาสที่จะรวมเสียงกันแล้วมากกว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เช่นกัน

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เชื่อว่าการหาเสียงเลือกตั้งในบางพื้นที่อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะผู้สมัครต้องคอยระมัดระวังตัว และเชื่อว่าจะไม่มีพรรคไหนชนะเลือกตั้งเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ยังต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจอภิปราย ให้ฝ่ายค้านชนะ

 
20 มี.. 54 - ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากทุกภาคทั่วประเทศ พบว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นลง ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 10 ท่านที่ถูกอภิปราย ดังนี้
 
<>
 
ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ)
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
25.6
57.2
17.2
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
22.9
53.2
23.9
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
19.6
55.1
25.3
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ
16.6
56.1
27.3
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
16.4
65.6
18.0
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
16.4
70.9
12.7
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
14.0
70.3
15.7
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
12.3
62.5
25.2
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
11.8
68.6
19.6
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
11.7
69.6
18.7
 
 
สำหรับการทำหน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ในการอภิปรายที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนให้คะแนนฝ่ายค้าน 6.48 คะแนน ฝ่ายรัฐบาล 4.28 คะแนน และประธานสภาฯ 5.57 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
 
โดยร้อยละ 49.8 ระบุว่าเชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 19.7 เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า และร้อยละ 30.5 ไม่เชื่อถือข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
 
อย่างไรก็ตาม หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลงยังคงมีประเด็นที่ประชาชนค้างคาใจมากที่สุดคือเรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม (ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างสรรพสินค้าเซ็ลทรัลเวิลด์) ร้อยละ 29.9 รองลงมาคือ เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด ร้อยละ 27.4 และเรื่องราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น ร้อยละ 8.1 ตามลำดับ
 
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
 
1. การรับชม /รับฟัง หรือติดตามข่าวการประชุมสภาฯ เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน ในวันที่ 15 18 มีนาคม ที่ผ่านมา พบว่า
 
มีผู้ติดตามการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่อง        ร้อยละ 10.2
ติดตามการถ่ายทอดสดเป็นช่วงๆ ร้อยละ 63.0
ติดตามจากข่าวที่สื่อต่างๆ นำมาเสนอ            ร้อยละ 26.8
 
 2. หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 10 คน โดยเรียงลำดับรัฐมนตรีที่ประชาชนให้ความไว้วางใจจากมากไปน้อย ดังนี้
 
<>
 
ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ไว้วางใจ
(ร้อยละ)
ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ)
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
25.6
57.2
17.2
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
22.9
53.2
23.9
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
19.6
55.1
25.3
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ
16.6
56.1
27.3
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
16.4
65.6
18.0
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
16.4
70.9
12.7
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
14.0
70.3
15.7
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
12.3
62.5
25.2
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
11.8
68.6
19.6
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
11.7
69.6
18.7
 
3. เมื่อให้ประชาชนให้คะแนนการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และประธานสภาฯ ในการอภิปราย
 ครั้งนี้ (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) พบว่า
 
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ซักฟอกของฝ่ายค้าน                               6.48 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ชี้แจงประเด็นที่ถูกอภิปรายของฝ่ายรัฐบาล           4.28 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ                                          5.57 คะแนน
 
4. เมื่อเปรียบเทียบความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน พบว่า
 
            - เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า                     ร้อยละ 49.8
            - เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า                       ร้อยละ 19.7
            - ไม่เชื่อทั้งสองฝ่าย                                              ร้อยละ   30.5
 
5. ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประเด็นในการอภิปรายที่ประชาชนยังค้างคาใจอยู่ 3 อันดับแรก(เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง) คือ
           
            อันดับ 1 เรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม           ร้อยละ 29.9
 (ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์)
            อันดับ 2 เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด และมีราคาแพง                                          ร้อยละ 27.4
            อันดับ 3 เรื่องราคาสินค้า อุปโภค – บริโภค ที่แพงขึ้น                                        ร้อยละ 8.1
 
  
………………………………….
รายละเอียดในการสำรวจ
 
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนจากทั่วประเทศ เกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน เพื่อสะท้อนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติส่วนรวมต่อไป
 
ระเบียบวิธีการสำรวจ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและ จังหวัดต่างๆ ทุกภาคภาคทั่วประเทศ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบพบตัวและการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ได้กลุ่มตัวอย่าง 1,246 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 52.3 และเพศหญิงร้อยละ 47.7
 
 ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
 ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ± 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) และสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
           
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล           : 18 -19 มีนาคม 2554
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ                : 20 มีนาคม 2554
 
 
ข้อมูลประชากรศาสตร์
 
<>



จำนวน


ร้อยละ


เพศ





 ชาย


652

52.3

 หญิง


594

47.7

รวม

1,246

100.0

อายุ





 18 - 25 ปี

218

17.5

 26 - 35 ปี

312

25.0

 36 - 45 ปี

346

27.8

 46 ปีขึ้นไป

370

29.7

รวม

1,246

100.0

การศึกษา





 ต่ำกว่าปริญญาตรี

677

54.3

 ปริญญาตรี

493

39.6

 สูงกว่าปริญญาตรี

76

6.1

รวม

1,246

100.0

อาชีพ






168

13.5

 พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน

345

27.7

 ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว

358

28.7

 รับจ้างทั่วไป

167

13.4

 พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ

97

7.8

 อื่นๆ อาทิ เกษตรกรรม อาชีพอิสระ ว่างงาน ฯลฯ

111

8.9

รวม

1,246

100.0
Tags:
ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อย่าหมกเม็ด.!!!??



กรณีการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะของญี่ปุ่น ทำให้ทั่วโลกที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องทบทวนถึงมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม เพราะกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะถือเป็นบทเรียนและอุทธาหรณ์สำคัญว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้

สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าดีที่สุดหรือมั่นใจที่สุด ก็เป็นแค่ความเชื่อหรือความรู้ที่มีอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องของภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ หรือภาวะโลกร้อน อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอวสานของมนุษยชาติก็ได้ หากมนุษย์ยังทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือคิดว่าเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจะชนะธรรมชาติได้

กรณีโรงไฟฟ้าฟูกุชิมะจึงอาจเป็นการสิ้นสุดยุคของพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่วปัจจุบันมี 32 เตาปฏิกรณ์ทั่วโลก เฉพาะที่สหรัฐมีถึง 23 เตาปฏิกรณ์ กระจายอยู่ในโรงไฟฟ้า 16 โรง

ขณะที่ประเทศไทยก็มีความพยายามสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาตลอดเวลา แต่ยังถูกประชาชนต่อต้าน เพราะไม่มีความมั่นใจว่ามีความปลอดภัยจริง ยิ่งเกิดการระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในไทยก็ต้องชะลอออกไปโดยปริยาย แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะยืนยันว่ายังไม่ได้เลิกล้มไปเลยก็ตาม

ที่สำคัญสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ที่อยู่ระหว่างการเข้าไปช่วยเหลือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นขณะนี้ ทาง IAEA ได้มีการหารือเบื้องต้นและแจ้งมาทางรัฐบาลไทยแล้วว่า ไทยยังไม่มีความพร้อมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมใน 3 ประเด็นคือ 1.เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการกำกับดูแลที่เป็นอิสระ 2.ข้อผูกพันระหว่างประเทศที่ต้องมีการเซ็นสัญญาร่วมกัน และ 3.การยอมรับของประชาชน

ขณะที่นักวิชาการด้านพลังงานระบุว่า กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของไทยยังสูงกว่าที่ใช้งานถึงร้อยละ 25 จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเร่งแผนการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขณะที่ศักยภาพของพลังงานทางเลือก และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพก็ยังไม่ถูกนำมาส่งเสริมอย่างจริงจัง ซึ่งรัฐบาลต้องให้ความสำคัญโดยกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจน

นอกจากนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศได้หันมาพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่สะอาดได้อย่างก้าวกระโดด เช่น สหภาพยุโรปที่ลงทุนและพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนจนเชื่อว่าจะเติบโตเป็นฐานพลังงานได้ในอนาคต

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงไม่ใช่พลังงานทางเลือก แต่เป็นพลังงานที่ต้องหลีกเลี่ยง พลังงานทางเลือกในอนาคตต้องเป็นพลังงานที่สะอาด และไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของมนุษย์

ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


โอบามา.. ย้ำ US มีบทบาทรองในการบังคับห้ามบินลิเบีย

กองกำลังของสหรัฐฯ และอีก 4 ชาติ ประกอบด้วย ฝรั่งเศส อังกฤษ แคนาดา และอิตาลี รวมถึงพันธมิตรชาติอาหรับ ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศ เมื่อวันเสาร์ โดยกองกำลังสหรัฐฯ ใช้ทั้งเครื่องบินและเรือรบในปฏิบัติการที่เรียกว่า “ออดิสซี่ ดอว์น” (Odyssey Dawn)มีเป้าหมายมุ่งโจมตีฐานทัพอากาศของลิเบียที่อยู่รอบๆ เมืองทริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย และเมืองมิตซูราตะ และยังยิงจรวดมิสไซล์ จากเรือรบไปยังเป้าหมายอื่นๆ ในลิเบียด้วยปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายในการบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพอากาศลิเบียโจมตีประชาชน ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

แม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะย้ำว่า กองกำลังสหรัฐฯ จะมีบทบาทรองในความพยายามบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ บอกว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องเป็นผู้นำในปฏิบัติการดังกล่าวก่อน เพราะมีศักยภาพทางทหารสูงสุด ที่จะสามารถทำลายฐานทัพอากาศลิเบีย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักหากจะควบคุมน่านฟ้าลิเบีย

พลเรือโท วิลเลียม อี. กอร์ตนีย์ ผู้บัญชาการศูนย์สั่งการส่วนกลางของกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกว่า กองกำลังของสหรัฐฯ และอังกฤษ ยิงจรวดโทมาฮอร์ค กว่า 110 ลูก เข้าใส่เป้าหมายซึ่งเป็นฐานยิงจรวดมิสไซล์ทางอากาศและภาคพื้นดิน และฐานตรวจจับเรดาร์ของกองทัพอากาศลิเบีย รวมมากกว่า 20 แห่ง นอกจากนี้ มีเรือรบจากหลายชาติราว 25 ลำ ซึ่งรวมถึงเรือดำน้ำจากสหรัฐฯ 3 ลำที่ติดจรวดโทมาฮอร์ค ได้เข้าประจำการในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว




ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////