โฆษกเพื่อไทยแฉเบื้องหลังผลโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่คะแนนออกมาค้านสายตาและความรู้สึกประชาชนเนื่องมาจากมีการแจกเงินค่ายกมือให้ ส.ส. ระบุคืนก่อนโหวตหมาหอนทั้งคืน ต่อรองกันจนนาทีสุดท้ายจนสามารถปั่นตัวเลขค่าตอบแทนขึ้นไปสูงถึง 8 หลัก ให้จับตาก่อนยุบสภาจะมีการอนุมัติโครงการทิ้งทวนเพื่อถอนทุนคืนและเตรียมทุนเลือกตั้ง แนะเพื่อไม่ให้ถูกครหาไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ก่อนยุบสภา ประชาธิปัตย์เสี้ยม “เฉลิม-มิ่งขวัญ” ให้แย่งตำแหน่งผู้นำพรรคเพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” ที่โหวตไม่ไว้วางใจนายกฯออกจากพรรค อ้าง ส.ส. มีเอกสิทธิ์ตัดสินใจในสภา
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ผู้นำการอภิปราย กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค
“ชัดเจนว่านายมิ่งขวัญกับ ร.ต.อ.เฉลิมจะไม่ถูกวางตัวเป็น ส.ส.สัดส่วน ลำดับที่ 1 ในการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวนอกสภากับคนเสื้อแดง น่าเสียดายที่คนที่พร้อมจะใช้สภาขับเคลื่อนทางการเมืองถูกลดบทบาทลง”
ความแตกต่างระหว่าง พท.-ปชป.
นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า การอภิปรายที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่แตกต่างระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์หลายเรื่อง ได้แก่ 1.ราคาสินค้าเกษตร พรรคเพื่อไทยเน้นวิธีการจำนำ แต่พรรคประชาธิปัตย์เน้นวิธีประกันราคา 2.รายได้ พรรคประชาธิปัตย์เน้นเพิ่มรายได้คู่กับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่พรรคเพื่อไทยเน้นเพิ่มรายได้เพียงอย่างเดียว 3.ด้านพลังงาน พรรคประชาธิปัตย์เน้นคุมราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวเบนซิน แต่พรรคเพื่อไทยจะลอยตัวดีเซล แก้ปัญหาเบนซิน
“ภาพรวมการอภิปรายที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ได้เน้นตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่เน้นสร้างความแตกแยกและสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นโดยใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองเป็นเกราะกำบัง”
ยังไม่ขับ “สมเกียรติ” พ้นพรรค
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า พรรคยังไม่ได้หารือเรื่องที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน ของพรรคโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หากไม่ขับออกจากพรรคก็ไม่ได้หมายความว่ากลัวจะแตกหักกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นเพราะต้องแยกแยะการทำหน้าที่ของ ส.ส.
“ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 6 สัปดาห์จะยุบสภาตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศเอาไว้ เวลาที่เหลือรัฐบาลจะเร่งดำเนินนโยบายวาระเร่งด่วน พร้อมกับสำรวจความต้องการและปัญหาของประชาชนเพื่อกำหนดนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดย ส.ส. จะเสนอข้อมูลในพื้นที่ต่อที่ประชุมพรรควันที่ 22 มี.ค. นี้”
นโยบายเร่งด่วนเน้นเพิ่มรายได้
นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนที่พรรคจะเสนอต่อประชาชน เช่น เพิ่มรายได้ 25% ภายใน 2 ปี ลดต้นทุนการขนส่งด้านพลังงานจาก 19% เหลือ 15% ปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมประกาศวางมือจากการเมืองหากนายมิ่งขวัญขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการวัดกำลังกันภายในพรรค และเป็นการประกาศเพื่อกดดันนายใหญ่
เสี้ยม “มิ่งขวัญ” อย่ายอมถ้าถูกเขี่ย
“นายมิ่งขวัญได้แสดงฝีมือแล้วในการนำอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงผู้นำให้ประชาชนสับสนอีก หากจะมีการเปลี่ยนแปลงนายมิ่งขวัญไม่ควรยอมแพ้ต่อขบวนการขัดขวางตัวเอง ส.ส. ในกลุ่มที่รับเงินพิเศษจากนายมิ่งขวัญควรออกมาปกป้องนายให้สมกับเงินที่ได้รับ” นายเทพไทกล่าวและว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมยก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเพื่อสกัดนายมิ่งขวัญและเพื่อหวังปอกลอก
นายเทพไทกล่าวว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนใครขึ้นมาชิงตำแหน่งนายกฯควรเร่งเปิดตัวเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณา
“สุเทพ” อุบรวมงานกลุ่ม 3 พี
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การที่ ส.ส.กลุ่ม 3 พี โหวตสนับสนุนรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้เป็นสัญญาใจว่าจะร่วมงานกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะการโหวตในสภาเป็นการใช้ดุลยพินิจของ ส.ส.
“ต้องขอบคุณที่โหวตไว้วางใจรัฐบาล เพราะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ส่วนในอนาคตยังไม่สามารถบอกได้”
“มิ่งขวัญ” เสนอตัวเป็นเรื่องดี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารจะตัดสินใจได้เองว่าเชื่อถือข้อมูลของใคร ข้อมูลอะไรของฝ่ายค้านที่เป็นประโยชน์พร้อมรับมาพิจารณา เช่น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ส่วนกรณีที่นายมิ่งขวัญเสนอตัวเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีจะได้มีความชัดเจนในการนำเสนอวิธีคิดแก้ปัญหาให้ประชาชน
“เมื่อนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะมีความชัดเจนที่จะมาแข่งขันกันในระบบ จะได้นำการเมืองออกจากความขัดแย้ง เพราะหลายปีที่ผ่านมาวนเวียนอยู่กับการเคลื่อนไหวนอกสภา ทั้งการใช้มวลชนและกองกำลัง ถ้านายมิ่งขวัญสามารถหยุดตรงนี้ได้จะเป็นการแสดงภาวะผู้นำ จะได้มาแข่งขันกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า หากนายมิ่งขวัญเสนอตัวแล้วหยุดกระบวนการนอกสภาไม่ได้แสดงว่ารู้เห็นเป็นใจและไม่ได้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง
เพื่อไทยยันไม่เปลี่ยนคณะผู้บริหาร
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า การประชุมวิสามัญประจำปีของพรรคในวันที่ 22 มี.ค. นี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค ส่วนเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร แต่จะประกาศบุคคลที่เหมาะสมได้ก่อนยุบสภาแน่นอน
“ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ประกาศกำหนดยุบสภาชัดเจนเราจะประชุมพรรคทันทีเพื่อให้ ส.ส. เลือกว่าจะชูใครขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับนายอภิสิทธิ์ในการเลือกตั้ง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมยืนยันว่า ในพรรคมีคนเก่งกว่านายอภิสิทธิ์ที่บริหารประเทศจนข้าวของแพงอยู่หลายคน
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมามีโพลประเมินผลงานของทีมอภิปรายให้คะแนน 7.9 เต็ม 10 ผู้อภิปรายของพรรคทุกคนสอบผ่านหมด ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมีเพียงนายอภิสิทธิ์คนเดียวที่ได้ 5.01 คะแนน ที่เหลือได้เพียง 4 คะแนนกว่าๆ
แฉค่าโหวตไว้วางใจสูง 8 หลัก
“คะแนนที่ออกมาต่างจากผลโหวตในสภาที่ยังเป็นลักษณะพวกมากลากไป ที่เห็นชัดเจนคือกรณีของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชาชนบอกว่าชี้แจงไม่ตรงประเด็น ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผลโหวตในสภากลับได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุดถึง 251 เสียง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ที่เป็นคนเดียวที่ประชาชนให้สอบผ่านได้เพียง 249 เสียง” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมระบุว่า ที่ผลคะแนนออกมาอย่างนี้ทราบมาว่ามีการวิ่งล็อบบี้ชนิดหมาหอนทั้งคืนก่อนจะโหวต ได้ยินมาว่าบางพรรคมี ส.ส. วิ่งเข้าไปรับมัดจำงวดแรกก่อน หลังการลงมติก็ไปรับงวดที่สอง ที่น่าตกใจคือการโหวตครั้งนี้แลกกับเงินมากถึง 8 หลักเลยทีเดียว ผลโหวตในสภาจึงสวนทางต่อความรู้สึกของประชาชน
จับตาโกงทิ้งทวนก่อนยุบสภา
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า รู้สึกเป็นห่วงที่นายกรัฐมนตรีประกาศไม่ปรับคณะรัฐมนตรี และยังย้ำเรื่องยุบสภาสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. เพราะจะทำให้มีการโกงทิ้งทวนในโครงการต่างๆมากขึ้น ดังนั้น เมื่อมีความชัดเจนเรื่องเวลายุบสภาแล้วจึงไม่ควรอนุมัติโครงการใหม่ๆอะไรอีกในช่วงนี้
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การชี้แจงในสภาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คนตอบไม่ตรงคำถาม และไม่ได้ตอบคำถามของฝ่ายค้านหลายเรื่อง จึงจะรวบรวม 20 คำถามที่รัฐบาลไม่ได้ตอบหรือตอบไม่ชัดเจนให้ประชาชนพิจารณา เช่น เรื่องภาษีบุหรี่ 68,000 ล้านบาท น้ำมันปาล์ม การทุจริตในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การปั่นหุ้นไทยคม การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทรูในการประมูล 3จี การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การซื้อหัวรถจักรไฟฟ้า 7 หัวโดยมิชอบ การส่อทุจริตรถตู้เอ็นจีวี การขายแป้งมันสำปะหลังแบบจีทูจี ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าจีนไม่รับรอง 3 บริษัท การขายสต็อกข้าว โครงการแจกข้าวถุง 75 ล้านถุงที่พบว่าแพงกว่าท้องตลาด การครอบครองที่ดิน 700 ไร่ ที่จังหวัดนครพนม และความล้มเหลวทางการทูตกับเพื่อนบ้าน โดยจะทำเป็นเอกสารแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศต่อไป
ภท.-ชทพ. หวังเป็นตัวแปรตั้งรัฐบาล
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งยังไม่แน่นอนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะจับมือทำงานร่วมกันต่อไป เพราะพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาประกาศร่วมมือกันแล้วเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง
“ทั้ง 2 พรรคประเมินแล้วเห็นว่าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด ไม่มีพรรคไหนได้ถึง 251 เสียงแน่นอน สองพรรคจึงรวมกันเพื่ออยู่ตรงกลางและต่อรอง ก่อนตัดสินใจว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหนตั้งรัฐบาล” ผศ.ดร.ปริญญากล่าวและว่า หากพรรคภูมิใจและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมมือกันถึงขนาดไม่ส่ง ส.ส. ทับซ้อนกันมีโอกาสที่จะรวมเสียงกันแล้วมากกว่าพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เช่นกัน
นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เชื่อว่าการหาเสียงเลือกตั้งในบางพื้นที่อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะผู้สมัครต้องคอยระมัดระวังตัว และเชื่อว่าจะไม่มีพรรคไหนชนะเลือกตั้งเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ยังต้องเป็นรัฐบาลผสมแน่นอน
ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554
กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจอภิปราย ให้ฝ่ายค้านชนะ
20 มี.ค. 54 - ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากทุกภาคทั่วประเทศ พบว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นลง ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 10 ท่านที่ถูกอภิปราย ดังนี้
ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ) | |
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี | 25.6 | 57.2 | 17.2 |
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | 22.9 | 53.2 | 23.9 |
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | 19.6 | 55.1 | 25.3 |
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ | 16.6 | 56.1 | 27.3 |
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | 16.4 | 65.6 | 18.0 |
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง | 16.4 | 70.9 | 12.7 |
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | 14.0 | 70.3 | 15.7 |
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | 12.3 | 62.5 | 25.2 |
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | 11.8 | 68.6 | 19.6 |
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | 11.7 | 69.6 | 18.7 |
สำหรับการทำหน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ในการอภิปรายที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนให้คะแนนฝ่ายค้าน 6.48 คะแนน ฝ่ายรัฐบาล 4.28 คะแนน และประธานสภาฯ 5.57 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
โดยร้อยละ 49.8 ระบุว่าเชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 19.7 เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า และร้อยละ 30.5 ไม่เชื่อถือข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลงยังคงมีประเด็นที่ประชาชนค้างคาใจมากที่สุดคือเรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม (ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างสรรพสินค้าเซ็ลทรัลเวิลด์) ร้อยละ 29.9 รองลงมาคือ เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด ร้อยละ 27.4 และเรื่องราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น ร้อยละ 8.1 ตามลำดับ
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. การรับชม /รับฟัง หรือติดตามข่าวการประชุมสภาฯ เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน ในวันที่ 15 – 18 มีนาคม ที่ผ่านมา พบว่า
มีผู้ติดตามการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 10.2
ติดตามการถ่ายทอดสดเป็นช่วงๆ ร้อยละ 63.0
ติดตามจากข่าวที่สื่อต่างๆ นำมาเสนอ ร้อยละ 26.8
2. หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประชาชนให้คะแนนความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 10 คน โดยเรียงลำดับรัฐมนตรีที่ประชาชนให้ความไว้วางใจจากมากไปน้อย ดังนี้
ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ไว้วางใจ (ร้อยละ) | ไม่ออกความเห็น/ไม่มีข้อมูลเพียงพอ (ร้อยละ) | |
1. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี | 25.6 | 57.2 | 17.2 |
2. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | 22.9 | 53.2 | 23.9 |
3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | 19.6 | 55.1 | 25.3 |
4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ | 16.6 | 56.1 | 27.3 |
5. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | 16.4 | 65.6 | 18.0 |
6. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง | 16.4 | 70.9 | 12.7 |
7. นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | 14.0 | 70.3 | 15.7 |
8. นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | 12.3 | 62.5 | 25.2 |
9. นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | 11.8 | 68.6 | 19.6 |
10. นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | 11.7 | 69.6 | 18.7 |
3. เมื่อให้ประชาชนให้คะแนนการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และประธานสภาฯ ในการอภิปราย
ครั้งนี้ (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) พบว่า
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ซักฟอกของฝ่ายค้าน 6.48 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ชี้แจงประเด็นที่ถูกอภิปรายของฝ่ายรัฐบาล 4.28 คะแนน
- ให้คะแนนการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ 5.57 คะแนน
4. เมื่อเปรียบเทียบความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน พบว่า
- เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายค้านมากกว่า ร้อยละ 49.8
- เชื่อถือข้อมูลของฝ่ายรัฐบาลมากกว่า ร้อยละ 19.7
- ไม่เชื่อทั้งสองฝ่าย ร้อยละ 30.5
5. ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง พบว่า ประเด็นในการอภิปรายที่ประชาชนยังค้างคาใจอยู่ 3 อันดับแรก(เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง) คือ
อันดับ 1 เรื่องการสลายการชุมนุมในช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม ร้อยละ 29.9
(ทำให้มีคนเสียชีวิต 91 ศพ และการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์)
อันดับ 2 เรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด และมีราคาแพง ร้อยละ 27.4
อันดับ 3 เรื่องราคาสินค้า อุปโภค – บริโภค ที่แพงขึ้น ร้อยละ 8.1
………………………………….
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนจากทั่วประเทศ เกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 ท่าน เพื่อสะท้อนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติส่วนรวมต่อไป
ระเบียบวิธีการสำรวจ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและ จังหวัดต่างๆ ทุกภาคภาคทั่วประเทศ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบพบตัวและการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ได้กลุ่มตัวอย่าง 1,246 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 52.3 และเพศหญิงร้อยละ 47.7
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ± 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) และสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 18 -19 มีนาคม 2554
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 20 มีนาคม 2554
ข้อมูลประชากรศาสตร์
จำนวน | ร้อยละ | |
เพศ | ||
ชาย | 652 | 52.3 |
หญิง | 594 | 47.7 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
อายุ | ||
18 - 25 ปี | 218 | 17.5 |
26 - 35 ปี | 312 | 25.0 |
36 - 45 ปี | 346 | 27.8 |
46 ปีขึ้นไป | 370 | 29.7 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
การศึกษา | ||
ต่ำกว่าปริญญาตรี | 677 | 54.3 |
ปริญญาตรี | 493 | 39.6 |
สูงกว่าปริญญาตรี | 76 | 6.1 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
อาชีพ | ||
168 | 13.5 | |
พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน | 345 | 27.7 |
ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว | 358 | 28.7 |
รับจ้างทั่วไป | 167 | 13.4 |
พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ | 97 | 7.8 |
อื่นๆ อาทิ เกษตรกรรม อาชีพอิสระ ว่างงาน ฯลฯ | 111 | 8.9 |
รวม | 1,246 | 100.0 |
Tags:
ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อย่าหมกเม็ด.!!!??
กรณีการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะของญี่ปุ่น ทำให้ทั่วโลกที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องทบทวนถึงมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม เพราะกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะถือเป็นบทเรียนและอุทธาหรณ์สำคัญว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้
สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าดีที่สุดหรือมั่นใจที่สุด ก็เป็นแค่ความเชื่อหรือความรู้ที่มีอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องของภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ หรือภาวะโลกร้อน อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงอวสานของมนุษยชาติก็ได้ หากมนุษย์ยังทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือคิดว่าเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจะชนะธรรมชาติได้
กรณีโรงไฟฟ้าฟูกุชิมะจึงอาจเป็นการสิ้นสุดยุคของพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่วปัจจุบันมี 32 เตาปฏิกรณ์ทั่วโลก เฉพาะที่สหรัฐมีถึง 23 เตาปฏิกรณ์ กระจายอยู่ในโรงไฟฟ้า 16 โรง
ขณะที่ประเทศไทยก็มีความพยายามสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาตลอดเวลา แต่ยังถูกประชาชนต่อต้าน เพราะไม่มีความมั่นใจว่ามีความปลอดภัยจริง ยิ่งเกิดการระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในไทยก็ต้องชะลอออกไปโดยปริยาย แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะยืนยันว่ายังไม่ได้เลิกล้มไปเลยก็ตาม
ที่สำคัญสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ที่อยู่ระหว่างการเข้าไปช่วยเหลือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นขณะนี้ ทาง IAEA ได้มีการหารือเบื้องต้นและแจ้งมาทางรัฐบาลไทยแล้วว่า ไทยยังไม่มีความพร้อมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยยังต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมใน 3 ประเด็นคือ 1.เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการกำกับดูแลที่เป็นอิสระ 2.ข้อผูกพันระหว่างประเทศที่ต้องมีการเซ็นสัญญาร่วมกัน และ 3.การยอมรับของประชาชน
ขณะที่นักวิชาการด้านพลังงานระบุว่า กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของไทยยังสูงกว่าที่ใช้งานถึงร้อยละ 25 จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเร่งแผนการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขณะที่ศักยภาพของพลังงานทางเลือก และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพก็ยังไม่ถูกนำมาส่งเสริมอย่างจริงจัง ซึ่งรัฐบาลต้องให้ความสำคัญโดยกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจน
นอกจากนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศได้หันมาพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกที่สะอาดได้อย่างก้าวกระโดด เช่น สหภาพยุโรปที่ลงทุนและพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนจนเชื่อว่าจะเติบโตเป็นฐานพลังงานได้ในอนาคต
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงไม่ใช่พลังงานทางเลือก แต่เป็นพลังงานที่ต้องหลีกเลี่ยง พลังงานทางเลือกในอนาคตต้องเป็นพลังงานที่สะอาด และไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของมนุษย์
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
โอบามา.. ย้ำ US มีบทบาทรองในการบังคับห้ามบินลิเบีย
กองกำลังของสหรัฐฯ และอีก 4 ชาติ ประกอบด้วย ฝรั่งเศส อังกฤษ แคนาดา และอิตาลี รวมถึงพันธมิตรชาติอาหรับ ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศ เมื่อวันเสาร์ โดยกองกำลังสหรัฐฯ ใช้ทั้งเครื่องบินและเรือรบในปฏิบัติการที่เรียกว่า “ออดิสซี่ ดอว์น” (Odyssey Dawn)มีเป้าหมายมุ่งโจมตีฐานทัพอากาศของลิเบียที่อยู่รอบๆ เมืองทริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย และเมืองมิตซูราตะ และยังยิงจรวดมิสไซล์ จากเรือรบไปยังเป้าหมายอื่นๆ ในลิเบียด้วยปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายในการบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพอากาศลิเบียโจมตีประชาชน ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
แม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะย้ำว่า กองกำลังสหรัฐฯ จะมีบทบาทรองในความพยายามบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ บอกว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องเป็นผู้นำในปฏิบัติการดังกล่าวก่อน เพราะมีศักยภาพทางทหารสูงสุด ที่จะสามารถทำลายฐานทัพอากาศลิเบีย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักหากจะควบคุมน่านฟ้าลิเบีย
พลเรือโท วิลเลียม อี. กอร์ตนีย์ ผู้บัญชาการศูนย์สั่งการส่วนกลางของกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกว่า กองกำลังของสหรัฐฯ และอังกฤษ ยิงจรวดโทมาฮอร์ค กว่า 110 ลูก เข้าใส่เป้าหมายซึ่งเป็นฐานยิงจรวดมิสไซล์ทางอากาศและภาคพื้นดิน และฐานตรวจจับเรดาร์ของกองทัพอากาศลิเบีย รวมมากกว่า 20 แห่ง นอกจากนี้ มีเรือรบจากหลายชาติราว 25 ลำ ซึ่งรวมถึงเรือดำน้ำจากสหรัฐฯ 3 ลำที่ติดจรวดโทมาฮอร์ค ได้เข้าประจำการในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะย้ำว่า กองกำลังสหรัฐฯ จะมีบทบาทรองในความพยายามบังคับใช้เขตห้ามบินในลิเบีย แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ บอกว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องเป็นผู้นำในปฏิบัติการดังกล่าวก่อน เพราะมีศักยภาพทางทหารสูงสุด ที่จะสามารถทำลายฐานทัพอากาศลิเบีย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักหากจะควบคุมน่านฟ้าลิเบีย
พลเรือโท วิลเลียม อี. กอร์ตนีย์ ผู้บัญชาการศูนย์สั่งการส่วนกลางของกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกว่า กองกำลังของสหรัฐฯ และอังกฤษ ยิงจรวดโทมาฮอร์ค กว่า 110 ลูก เข้าใส่เป้าหมายซึ่งเป็นฐานยิงจรวดมิสไซล์ทางอากาศและภาคพื้นดิน และฐานตรวจจับเรดาร์ของกองทัพอากาศลิเบีย รวมมากกว่า 20 แห่ง นอกจากนี้ มีเรือรบจากหลายชาติราว 25 ลำ ซึ่งรวมถึงเรือดำน้ำจากสหรัฐฯ 3 ลำที่ติดจรวดโทมาฮอร์ค ได้เข้าประจำการในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)