เครื่องบินรบและรถถังของรัฐบาลลิเบีย ยังถล่มที่มั่นฝ่ายต่อต้านอย่างหนัก ขณะที่มหาอำนาจเกี่ยงกันเป็นผู้นำบังคับใช้เขตห้ามบิน
กองกำลังที่ภักดีต่อพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ได้ส่งรถถังและเครื่องบินรบ ถล่มที่มั่นของฝ่ายต่อต้านอย่างหนักหน่วง เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในขณะที่สหรัฐย้ำว่า การบังคับใช้เขตห้ามบินเพื่อขัดขวางปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของฝ่ายพันเอกกัดดาฟี จะต้องได้รับฉันทามติจากโลกด้วย ขณะที่ตัวเลขผู้บาดเจ็บล้มตายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วิกฤติการอพยพหนีภัยสงครามและความหิวโหย กำลังเพิ่มแรงกดดันให้กับบรรดารัฐบาลชาติมหาอำนาจให้เร่งดำเนินการ แต่หลายชาติก็ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนจากการลงโทษด้วยมาตรการคว่ำบาตร ไปใช้มาตรการทางทหารแต่เพียงลำพัง โดยนางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ สกาย นิวส์ ว่าการบังคับใช้เขตห้ามบิน ต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาคมนานาชาติ สหประชาชาติควรเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ใช่สหรัฐ
ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ของสหรัฐ นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ต่างก็เห็นชอบร่วมกันว่า ให้เร่งเดินหน้าแผนการที่วางไว้ รวมทั้งการให้องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต้ ใช้ปฏิบัติการตอบโต้สถานการณ์อย่างเต็มรูปแบบ เท่าที่จะทำได้ที่รวมทั้ง การสอดแนม , การบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม , การบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรด้านอาวุธ และกำหนดเขตห้ามบิน
แต่ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศส กำลังหาทางให้สหประชาชาติออกมติแก้ปัญหา เช่น การกำหนดเขตห้ามบิน เพื่อป้องกันไม่ให้พันเอกกัดดาฟีใช้กำลังทางอากาศถล่มพลเมืองของตนเองนั้น รัสเซียและจีน ซึ่งเป็นสองชาติที่มีอำนาจในการวีโตในคณะมนตรีความมั่นคง ยังคงไม่แสดงท่าทีใด ๆ ต่อแนวคิดนี้ ที่อาจนำไปสู่การถล่มระบบป้องกันทางอากาศของลิเบีย
ส่วนสถานการณ์ในลิเบีย มีรายงานว่า ในเมืองซาวิยาห์ ซึ่งตกอยู่ในมือของฝ่ายต่อต้าน และอยู่ใกล้กับกรุงทริโปลีที่สุดนั้น มีประชาชนจำนวนมากติดอยู่ท่ามกลางการโจมตีอย่างหนักของฝ่ายพันเอกกัดดาฟี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมีการใช้ทั้งรถถังราว 40-50 คัน และเครื่องบินรบยิงถล่ม แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้ อาคารจำนวนมากถูกทำลาย รวมทั้งมัสยิดแห่งหนึ่งด้วย
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554
2 ปีกว่า ที่โกหก
ผลงานทุกอย่างเป็นแค่ประติมากรรมน้ำลาย
คนไทยเดือดร้อนหนัก,,,ของแพงสินค้าขาด
หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพเดินหน้าไม่ได้ ทุกอย่างมีปัญหาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เรื่องของประชาธิปไต เรื่องของการแตกต่างทางความคิด
สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศอย่างหนักมาโดยตลอด
แม้แต่กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องของปากท้องประชาชน ซึ่งก่อนหน้าการทำรัฐประหารกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เศรษฐกิจไทยกำลังโงหัวขึ้นมาหลังจากที่บอบช้ำเพราะการแก้ปัญหาแบบผิดๆ ด้วยการทำตามคำสั่งของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟอย่างเคร่งครัดของรัฐบาลชวน หลีกภัย แห่งพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งผลจากการเป็นเด็กดีให้กับไอเอ็มเอฟ ผลจากการขายทรัพย์สินโดยฝีมือของปรส. ภายใต้การตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ภายใต้การไฟเขียวและหนุนหลังอย่างเต็มที่ของนายชวน ทำให้เศรษฐกิจไทยยิ่งดิ่งเหว
แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าอย่างหลวงตามหาบัว ผู้ซึ่งพึ่งจะมรณะภาพไปเมื่อไม่นานนี้ ก็ยังต้องมาวุ่นวายกับเรื่องทางโลกด้วยการออกมาเป็นแกนนำในการทอดผ้าป่าหาทองคำไปช่วยชาติ
กว่าเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มโงหัวได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปี แต่สุดท้ายก็ต้องมาเบรคลงด้วยการทำรัฐประหารของคมช. ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาอะไรให้กับบ้านเมืองเลยซักนิด มีแต่จะซ้ำเติมทุกอย่างให้เลวร้ายลง
ที่สำคัญรัฐบาลหลัง 19 กันยา 49 ล้วนขาดเสถียรภาพเพราะปัญหาการเมืองไม่จบ
จนสุดท้ายเมื่อกลุ่มอำนาจพิเศษผนึกกำลังกับกลุ่มทหารพลิกเกมประชาธิปไตยที่แท้จริง ผลักดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในแง่ของเกมการเมืองอาจจะดูเหมือนว่าสามารถตรึงสถานการณ์ให้อยู่ภายใต้อำนาจที่หนุนหลังนายอภิสิทธ์ได้
แต่ในความเป็นจริง ปัญหาการคิดต่างยังไม่เคยหมดสิ้นไป... ขนาดที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เลือกใช้วิธีการสลายการชุมนุมของประชาชนจนกระทั่งมีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2 พันคน ก็ไม่ได้ทำให้ความคิดต่างและการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงหยุดยั้งลงได้
การสลายการชุมนุมของประชาชนด้วยกองกำลังทางทหารทำให้เพียงแค่สร้างบทเรียน ให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น
ในขณะที่รัฐบาลเองก็รู้ดีว่านับวันกระแสการโหนทหารและกลุ่มอำนาจพิเศษเพื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลนั้นมีแต่จะถูกโจมตีและขุดคุ้ยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลในขณะนี้
ครั้นจะสร้างผลงานขึ้นมาเพื่อสร้างคะแนนนิยม และสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาลก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเอาเข้าจริงๆรัฐบาลของนายอภิสิทธ์ ไล่ลงมาตั้งแต่ตัวนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงรัฐมนตรีทุกคนไม่ได้มีฝีมือที่แท้จริงในการที่จะแก้ปัญหาของชาติและกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้เลย
สิ่งที่ทำได้เป็นที่กระฉ่อนฉาวและพูดกันทั้งประเทศก็คือ ผลงานในเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่นทีอื้อฉาวเป็นอย่างมาก มากเสียยิ่งกว่าสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่คมช.อ้างว่ามีการทุจริตมากจนต้องทำรัฐประหารด้วยซ้ำ
นโยบายขายฝัน 99 วันทำได้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ จนถึงวันนี้ยังเป็นแค่เพียงประติมากรรมน้ำลาย ที่ประชาชนไม่สามารถจับต้องได้
ยิ่งนโยบาย “ประชาชนต้องมาก่อน” ยิ่งเห็นชัดเจนว่าระยะเวลา 2 ปีกว่าในการเป็นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สิ่งที่ประชาชนได้รับกลายเป็นความเดือดร้อนไปหมดทุกเรื่อง
อย่างเรื่องกรณีน้ำมันปาล์ม คำตอบของนโยบายประชาชนต้องมาก่อนก็คือ ประชาชนต้องแห่มาเข้าคิวซื้อน้ำมันปาลม์ก่อนใคร เพราะถ้ามาช้าก็ไม่ได้น้ำมันไปใช้
ทั้งๆ ที่สต๊อกของน้ำมันปาล์มซึ่งปกติจะต้องมีการรักษาไว้ให้อยู่ในระดับ 2 แสนตันอยู่ตลอดเวลา แต่ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา กลับมีไอ้โม่งเข้ามาทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มลดลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการนำเข้ามาทดแทน กระทั่งน้ำมันในสต๊อกหมดเกลี้ยง ปัญหาจึง
ปะทุขึ้นมาอย่างหนักในช่วงกุมภาพันธ์ 54
เป็นความเดือนร้อนของประชาชนท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการสวาปามน้ำมันปาล์มกันจนปากมันแผล็บ
จนถึงวันนี้ราคาคุยที่ว่าปัญหาน้ำมันปาล์มจะจบสิ้นลงภายในวันเดียวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
ซ้ำยังเกิดกรณีอเน็จอนาจใจกับการหาแพะไล่จับปลาซิวปลาสร้อยของรัฐบาลชุดนี้ โดยบางคนไปซื้อน้ำมันปาล์มในราคาขายตามกำหนดคือขวดละ 47 บาท เอามาวางขายในราคาแค่ขวดละ 49 บาท
ซึ่งในแง่ผู้บริโภคแล้วหลายคนเต็มใจทีจะซื้อในราคา 49 บาท ดีกว่าทีจะตระเวณขับรถไปหาซื้อตามจุดธงฟ้า หรือหาซื้อตามห้าง เพราะคิดแค่ขึ้นรถเมล์ต่อเดียว ไปกลับก็ 14-6 บาทแล้ว ฉะนั้นซื้อในราคา 49 บาทย่อมถูกกว่าไปหาซื้อเองมากมาย
แต่คนขายซึ่งได้กำไรแค่ขวดละ 2 บาทวันหนึ่งขายได้ 10 หรือ 20 ขวดมีกำไรแค่ 20-40 บาทเพื่อจะเอามาเลี้ยงครอบครัว กลับโดนตำรวจโดนกรมการค้าภายในจับกุม
ปัญหาประชาชนต้องมาก่อน ต้องเดือดร้อนก่อนไม่ได้หยุดยั้งแค่เพียงเรื่องของน้ำมันปลาม์ ขณะนี้ได้ลามไปสู่ปัญหาน้ำตาลทรายขาดแคลนต้องเข้าคิวซื้อ ต้องซื้อปันส่วนแบบจำกัดจำนวน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกอย่างยิ่งในสายตาของชาวโลก เพราะไม่เพียงประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ปลูกปลาม์น้ำมัน ปลูกอ้อยได้เป็นอย่างดี ประเทศไทยยังประกาศตัวเป็นครัวของโลก แต่ก้นครัวกลับไม่มีน้ำมันปลาม์ ไม่มีน้ำตาลใช้
เป็นความล้มเหลวอย่างมากถึงมากที่สุด ที่ประจานผลงานและฝีมือการบริหารของรัฐบาลนี้ได้เป็นอย่างดี
ฝีมือบริหารที่สร้างความเดือดร้อนขาดแคลนให้กับประชาชนอย่างหนัก ไม่ได้มีเพียงแค่สินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น แม้แต่บัตรประชาชน รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังบริหารจนขาดแคลนได้
ประชาชนคนไทยต้องย้อนยุคกลับไปใช้ใบเหลือง ต้องไปต่อใบเหลืองหลายรอบจนใบเหลืองแทบขาดวิ่น นี่คือผลงานของรัฐบาลที่ประกาศว่าประชาชนต้องมาก่อน
ซึ่งปัญหาบัตรประชาชนขาดแคลนก็ไม่ต่างจากปัญหาสินค้าขาดแคลน คือยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นฉาวคาวทุจริตเหมือนกันไม่มีผิด!!!
ความไม่มีฝีมือของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แม้แต่คิดจะลอกเลียนแบบนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยมาใช้ก็ยังทำตัวเป็นอีแอบถึงขนาดใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนกว่า 69 ล้านบาทให้บริษัทต่างชาติมาช่วยคิดโครงการประชาวิวัฒน์ให้ โดยผลงานชิ้นเอกคือการให้ขายไข่เป็นกิโล???
โดนด่าทั้งเมืองว่าแค่คิดวิธีการชั่งไข่ขายเป็นกิโลยังต้องให้ฝรั่งคิดให้ มันน่าอเน็จอนาจใจยิ่งนัก
และอีกปัญหาใหญ่ที่กำลังตั้งเค้าส่อมรสุมคือเรื่องของราคาน้ำมัน ที่กำลังจะสร้างปัญหาอย่างหนักให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เพราะวันนี้ราคาน้ำมันเบนซินได้ขึ้นไปสูงถึงลิตรละ 42 บาทแล้ว!!!
ทั้งต้นทุนค่าขนส่ง ทั้งค่าใช้จ่ายในการครองชีพของคนไทยพุ่งพรวดเห็นๆ
จากประชาชนต้องมาก่อน...กลับกลายเป็นประชาชนต้องเดือดร้อนก่อน อย่างชัดเจนที่สุด
แม้แต่เรื่องนโยบายเรียนฟรี 15 ปีซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามอวดอ้างว่าเป็นผลงานทีประสบความสำเร็จและจับต้องได้มากที่สุดนั้น จนวันนี้ประชาชนทั้งประเทศก็ยังงุนงงสงสัยว่าประชาธิปัตย์ละเมอเพ้อพกอยู่ได้อย่างไร
ผู้ปกครองทั่วประเทศไม่ว่าโรงเรียนรัฐหรือโรงเรียนเอกชนยังคงต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกหลานกันทุกคน สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเรียนฟรีคือ การให้เศษเงินมาซื้อชุดนักเรียน 1 ชุดเท่านั้น
ส่วนหนังสือเรียนที่บอกว่าไม่ต้องซื้อแต่ให้ใช้ระบบยืมเรียน แล้วโมเมว่าเป็นการเรียนฟรีนั้นก็อยู่ในสภาพเก่าชำรุดจนบางโรงเรียนทนไม่ไหวต้องหาทางระดมทรัพยากรหรือกระเบียดกระเสียนหางบประมาณมาซื้อหนังสือเรียนให้แทน
นี่หรือคือสิ่งที่ใช้ภาษีของประชาชนขึ้นป้ายคัทเอ้าท์อวดหราว่าคนไทยได้เรียนฟรี 15 ปี
ระยะเวลากว่า 2 ปีที่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นรัฐบาลล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยคำโกหกพกลมไปวันๆ จนทำให้รัฐบาลชุดนี้ถูกโจมตีในเรื่องการสร้างประติมากรรมน้ำลายอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ม็อบพันธมิตรซึ่งเคยอุ้มชูสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล วันนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำของม็อบพันธมิตรยังกลับลำมาบอกว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนที่โกหกพกลมมาตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว
จริงๆ แล้วในอดีตนายอภิสิทธิ์ถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่น่าจะมีความสามารถ น่าจะมีอนาคตทางการเมืองที่ดี เพราะมีพื้นฐานการศึกษาที่ดี แต่กลับกลายเป็นว่าพื้นฐานการศึกษาที่นายอภิสิทธิ์มี ไม่สามารถช่วยอะไรนายอภิสิทธิ์ได้เลย
นายอภิสิทธิ์เปรียบเหมือนคนที่รู้ธรรมะอย่างมากมาย สามารถเขียนธรรมะเป็นตำราได้เป็นเล่มๆได้อย่างสบาย
แต่ในทางปฏิบัตินายอภิสิทธิ์กลับไม่สามารถทำได้ แม้แต่ธรรมะง่ายๆ
ในเรื่องของศีล 5
การสลายการชุมนุมจนมีคนตาย 91 ราย เป็นสิ่งที่เข้าข่าย ศีลข้อที่ 1
การทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นมากมาย เป็นสิ่งที่เข้าข่าย ศีลข้อที่ 2
ส่วนศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉานั้น หลายคนคงต้องไปตีความว่าพฤติกรรมที่ฝรั่งเรียกว่า “Closet”นั้นเป็นสิ่งที่เข้าข่ายศีลข้อ 3 หรือไม่!?!
และใครบ้างเป็นคนกระทำ??? ซึ่งนายอภิสิทธิ์น่าจะรู้ดีที่สุด
สำหรับศีลข้อ 4 ประติมากรรมน้ำลายทั้งหลายก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ส่วนศีลข้อ 5 พฤติการณ์รัฐบาลลูกจ้างโรงเหล้า สะท้อนได้เป็นอย่างดีว่ารัฐบาลนี้ปล่อยให้นายทุนโรงเหล้ามอมเมาประชาชนมากเพียงใด
คนไทยเดือดร้อนหนัก,,,ของแพงสินค้าขาด
หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพเดินหน้าไม่ได้ ทุกอย่างมีปัญหาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เรื่องของประชาธิปไต เรื่องของการแตกต่างทางความคิด
สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศอย่างหนักมาโดยตลอด
แม้แต่กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องของปากท้องประชาชน ซึ่งก่อนหน้าการทำรัฐประหารกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เศรษฐกิจไทยกำลังโงหัวขึ้นมาหลังจากที่บอบช้ำเพราะการแก้ปัญหาแบบผิดๆ ด้วยการทำตามคำสั่งของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟอย่างเคร่งครัดของรัฐบาลชวน หลีกภัย แห่งพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งผลจากการเป็นเด็กดีให้กับไอเอ็มเอฟ ผลจากการขายทรัพย์สินโดยฝีมือของปรส. ภายใต้การตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ภายใต้การไฟเขียวและหนุนหลังอย่างเต็มที่ของนายชวน ทำให้เศรษฐกิจไทยยิ่งดิ่งเหว
แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าอย่างหลวงตามหาบัว ผู้ซึ่งพึ่งจะมรณะภาพไปเมื่อไม่นานนี้ ก็ยังต้องมาวุ่นวายกับเรื่องทางโลกด้วยการออกมาเป็นแกนนำในการทอดผ้าป่าหาทองคำไปช่วยชาติ
กว่าเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มโงหัวได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปี แต่สุดท้ายก็ต้องมาเบรคลงด้วยการทำรัฐประหารของคมช. ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาอะไรให้กับบ้านเมืองเลยซักนิด มีแต่จะซ้ำเติมทุกอย่างให้เลวร้ายลง
ที่สำคัญรัฐบาลหลัง 19 กันยา 49 ล้วนขาดเสถียรภาพเพราะปัญหาการเมืองไม่จบ
จนสุดท้ายเมื่อกลุ่มอำนาจพิเศษผนึกกำลังกับกลุ่มทหารพลิกเกมประชาธิปไตยที่แท้จริง ผลักดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในแง่ของเกมการเมืองอาจจะดูเหมือนว่าสามารถตรึงสถานการณ์ให้อยู่ภายใต้อำนาจที่หนุนหลังนายอภิสิทธ์ได้
แต่ในความเป็นจริง ปัญหาการคิดต่างยังไม่เคยหมดสิ้นไป... ขนาดที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เลือกใช้วิธีการสลายการชุมนุมของประชาชนจนกระทั่งมีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2 พันคน ก็ไม่ได้ทำให้ความคิดต่างและการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงหยุดยั้งลงได้
การสลายการชุมนุมของประชาชนด้วยกองกำลังทางทหารทำให้เพียงแค่สร้างบทเรียน ให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น
ในขณะที่รัฐบาลเองก็รู้ดีว่านับวันกระแสการโหนทหารและกลุ่มอำนาจพิเศษเพื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลนั้นมีแต่จะถูกโจมตีและขุดคุ้ยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลในขณะนี้
ครั้นจะสร้างผลงานขึ้นมาเพื่อสร้างคะแนนนิยม และสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาลก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเอาเข้าจริงๆรัฐบาลของนายอภิสิทธ์ ไล่ลงมาตั้งแต่ตัวนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงรัฐมนตรีทุกคนไม่ได้มีฝีมือที่แท้จริงในการที่จะแก้ปัญหาของชาติและกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้เลย
สิ่งที่ทำได้เป็นที่กระฉ่อนฉาวและพูดกันทั้งประเทศก็คือ ผลงานในเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่นทีอื้อฉาวเป็นอย่างมาก มากเสียยิ่งกว่าสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่คมช.อ้างว่ามีการทุจริตมากจนต้องทำรัฐประหารด้วยซ้ำ
นโยบายขายฝัน 99 วันทำได้จริงของพรรคประชาธิปัตย์ จนถึงวันนี้ยังเป็นแค่เพียงประติมากรรมน้ำลาย ที่ประชาชนไม่สามารถจับต้องได้
ยิ่งนโยบาย “ประชาชนต้องมาก่อน” ยิ่งเห็นชัดเจนว่าระยะเวลา 2 ปีกว่าในการเป็นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สิ่งที่ประชาชนได้รับกลายเป็นความเดือดร้อนไปหมดทุกเรื่อง
อย่างเรื่องกรณีน้ำมันปาล์ม คำตอบของนโยบายประชาชนต้องมาก่อนก็คือ ประชาชนต้องแห่มาเข้าคิวซื้อน้ำมันปาลม์ก่อนใคร เพราะถ้ามาช้าก็ไม่ได้น้ำมันไปใช้
ทั้งๆ ที่สต๊อกของน้ำมันปาล์มซึ่งปกติจะต้องมีการรักษาไว้ให้อยู่ในระดับ 2 แสนตันอยู่ตลอดเวลา แต่ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา กลับมีไอ้โม่งเข้ามาทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มลดลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการนำเข้ามาทดแทน กระทั่งน้ำมันในสต๊อกหมดเกลี้ยง ปัญหาจึง
ปะทุขึ้นมาอย่างหนักในช่วงกุมภาพันธ์ 54
เป็นความเดือนร้อนของประชาชนท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการสวาปามน้ำมันปาล์มกันจนปากมันแผล็บ
จนถึงวันนี้ราคาคุยที่ว่าปัญหาน้ำมันปาล์มจะจบสิ้นลงภายในวันเดียวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยังเป็นปัญหาอยู่
ซ้ำยังเกิดกรณีอเน็จอนาจใจกับการหาแพะไล่จับปลาซิวปลาสร้อยของรัฐบาลชุดนี้ โดยบางคนไปซื้อน้ำมันปาล์มในราคาขายตามกำหนดคือขวดละ 47 บาท เอามาวางขายในราคาแค่ขวดละ 49 บาท
ซึ่งในแง่ผู้บริโภคแล้วหลายคนเต็มใจทีจะซื้อในราคา 49 บาท ดีกว่าทีจะตระเวณขับรถไปหาซื้อตามจุดธงฟ้า หรือหาซื้อตามห้าง เพราะคิดแค่ขึ้นรถเมล์ต่อเดียว ไปกลับก็ 14-6 บาทแล้ว ฉะนั้นซื้อในราคา 49 บาทย่อมถูกกว่าไปหาซื้อเองมากมาย
แต่คนขายซึ่งได้กำไรแค่ขวดละ 2 บาทวันหนึ่งขายได้ 10 หรือ 20 ขวดมีกำไรแค่ 20-40 บาทเพื่อจะเอามาเลี้ยงครอบครัว กลับโดนตำรวจโดนกรมการค้าภายในจับกุม
ปัญหาประชาชนต้องมาก่อน ต้องเดือดร้อนก่อนไม่ได้หยุดยั้งแค่เพียงเรื่องของน้ำมันปลาม์ ขณะนี้ได้ลามไปสู่ปัญหาน้ำตาลทรายขาดแคลนต้องเข้าคิวซื้อ ต้องซื้อปันส่วนแบบจำกัดจำนวน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตลกอย่างยิ่งในสายตาของชาวโลก เพราะไม่เพียงประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ปลูกปลาม์น้ำมัน ปลูกอ้อยได้เป็นอย่างดี ประเทศไทยยังประกาศตัวเป็นครัวของโลก แต่ก้นครัวกลับไม่มีน้ำมันปลาม์ ไม่มีน้ำตาลใช้
เป็นความล้มเหลวอย่างมากถึงมากที่สุด ที่ประจานผลงานและฝีมือการบริหารของรัฐบาลนี้ได้เป็นอย่างดี
ฝีมือบริหารที่สร้างความเดือดร้อนขาดแคลนให้กับประชาชนอย่างหนัก ไม่ได้มีเพียงแค่สินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น แม้แต่บัตรประชาชน รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังบริหารจนขาดแคลนได้
ประชาชนคนไทยต้องย้อนยุคกลับไปใช้ใบเหลือง ต้องไปต่อใบเหลืองหลายรอบจนใบเหลืองแทบขาดวิ่น นี่คือผลงานของรัฐบาลที่ประกาศว่าประชาชนต้องมาก่อน
ซึ่งปัญหาบัตรประชาชนขาดแคลนก็ไม่ต่างจากปัญหาสินค้าขาดแคลน คือยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นฉาวคาวทุจริตเหมือนกันไม่มีผิด!!!
ความไม่มีฝีมือของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แม้แต่คิดจะลอกเลียนแบบนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยมาใช้ก็ยังทำตัวเป็นอีแอบถึงขนาดใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนกว่า 69 ล้านบาทให้บริษัทต่างชาติมาช่วยคิดโครงการประชาวิวัฒน์ให้ โดยผลงานชิ้นเอกคือการให้ขายไข่เป็นกิโล???
โดนด่าทั้งเมืองว่าแค่คิดวิธีการชั่งไข่ขายเป็นกิโลยังต้องให้ฝรั่งคิดให้ มันน่าอเน็จอนาจใจยิ่งนัก
และอีกปัญหาใหญ่ที่กำลังตั้งเค้าส่อมรสุมคือเรื่องของราคาน้ำมัน ที่กำลังจะสร้างปัญหาอย่างหนักให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เพราะวันนี้ราคาน้ำมันเบนซินได้ขึ้นไปสูงถึงลิตรละ 42 บาทแล้ว!!!
ทั้งต้นทุนค่าขนส่ง ทั้งค่าใช้จ่ายในการครองชีพของคนไทยพุ่งพรวดเห็นๆ
จากประชาชนต้องมาก่อน...กลับกลายเป็นประชาชนต้องเดือดร้อนก่อน อย่างชัดเจนที่สุด
แม้แต่เรื่องนโยบายเรียนฟรี 15 ปีซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามอวดอ้างว่าเป็นผลงานทีประสบความสำเร็จและจับต้องได้มากที่สุดนั้น จนวันนี้ประชาชนทั้งประเทศก็ยังงุนงงสงสัยว่าประชาธิปัตย์ละเมอเพ้อพกอยู่ได้อย่างไร
ผู้ปกครองทั่วประเทศไม่ว่าโรงเรียนรัฐหรือโรงเรียนเอกชนยังคงต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกหลานกันทุกคน สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเรียนฟรีคือ การให้เศษเงินมาซื้อชุดนักเรียน 1 ชุดเท่านั้น
ส่วนหนังสือเรียนที่บอกว่าไม่ต้องซื้อแต่ให้ใช้ระบบยืมเรียน แล้วโมเมว่าเป็นการเรียนฟรีนั้นก็อยู่ในสภาพเก่าชำรุดจนบางโรงเรียนทนไม่ไหวต้องหาทางระดมทรัพยากรหรือกระเบียดกระเสียนหางบประมาณมาซื้อหนังสือเรียนให้แทน
นี่หรือคือสิ่งที่ใช้ภาษีของประชาชนขึ้นป้ายคัทเอ้าท์อวดหราว่าคนไทยได้เรียนฟรี 15 ปี
ระยะเวลากว่า 2 ปีที่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นรัฐบาลล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยคำโกหกพกลมไปวันๆ จนทำให้รัฐบาลชุดนี้ถูกโจมตีในเรื่องการสร้างประติมากรรมน้ำลายอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ม็อบพันธมิตรซึ่งเคยอุ้มชูสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล วันนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำของม็อบพันธมิตรยังกลับลำมาบอกว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนที่โกหกพกลมมาตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว
จริงๆ แล้วในอดีตนายอภิสิทธิ์ถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่น่าจะมีความสามารถ น่าจะมีอนาคตทางการเมืองที่ดี เพราะมีพื้นฐานการศึกษาที่ดี แต่กลับกลายเป็นว่าพื้นฐานการศึกษาที่นายอภิสิทธิ์มี ไม่สามารถช่วยอะไรนายอภิสิทธิ์ได้เลย
นายอภิสิทธิ์เปรียบเหมือนคนที่รู้ธรรมะอย่างมากมาย สามารถเขียนธรรมะเป็นตำราได้เป็นเล่มๆได้อย่างสบาย
แต่ในทางปฏิบัตินายอภิสิทธิ์กลับไม่สามารถทำได้ แม้แต่ธรรมะง่ายๆ
ในเรื่องของศีล 5
การสลายการชุมนุมจนมีคนตาย 91 ราย เป็นสิ่งที่เข้าข่าย ศีลข้อที่ 1
การทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นมากมาย เป็นสิ่งที่เข้าข่าย ศีลข้อที่ 2
ส่วนศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉานั้น หลายคนคงต้องไปตีความว่าพฤติกรรมที่ฝรั่งเรียกว่า “Closet”นั้นเป็นสิ่งที่เข้าข่ายศีลข้อ 3 หรือไม่!?!
และใครบ้างเป็นคนกระทำ??? ซึ่งนายอภิสิทธิ์น่าจะรู้ดีที่สุด
สำหรับศีลข้อ 4 ประติมากรรมน้ำลายทั้งหลายก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ส่วนศีลข้อ 5 พฤติการณ์รัฐบาลลูกจ้างโรงเหล้า สะท้อนได้เป็นอย่างดีว่ารัฐบาลนี้ปล่อยให้นายทุนโรงเหล้ามอมเมาประชาชนมากเพียงใด
วันนี้แม้แต่ประเทศในตะวันออกกลางรัฐบาลที่กุมอำนาจมายาวนานเป็น 30-40 ปีก็กำลังถูกพลังประชาชนออกมาขับไล่ ไม่รู้เหมือนกันว่าภาพบทเรียนเหล่านั้นจะทำให้รัฐบาลภายใต้กลุ่มอำนาจพิเศษและทหารที่อุ้มชูจะฉุกใจคิดกันบ้างหรือไม่ว่า
โกหกบางคนหรือโกหกบางครั้งนั้นอาจะทำได้ก็จริง... แต่การโกหกทุกคน โกหกทุกครั้งไม่มีวันปิดบังความจริงได้แน่นอน!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
12 มีนา มาทำไม !!??
โดย ชฎา ไอยคุปต์
การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มีนาคม มีความหมายอย่างไร ทำไมถึงต้องนัดชุมนุมในวันนี้
ย้อนกลับไปในวันเดียวกัน เมื่อปี 53 วันที่ "12 มีนาคม" คือ วันที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อแดง นัดหมายคนสีเดียวกันทั่วทั้งประเทศ เดินทางมายังจุดนัดพบ คือ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน การเป่านกหวีดครั้งนั้นเสียงดังไกลพอที่ทุกคนในทั่วทุกภูมิภาคได้ยิน อย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินทัพเข้ากรุงแบบมืดฟ้ามัวดิน แดงทั้งแผ่นดิน

ถนนทุกสายที่มุ่งเข้าสู่กรุงทั้งรถบัส รถบรรทุก รถกระบะ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ขนคนมาเต็มคันรถ เสื้อแดง ธงแดงโบกสะบัดท้าแดดลมแรง ไม่หวั่นต่อแสงแดดแผดเผาในตอนกลางวัน มุ่งออกเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
ภาพชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ทิ้งจอบวางเสียม แม่ค้าพ่อค้า ปล่อยร้างแผงค้า ทิ้งบ้านเรือน หอบข้าวสาร อาหารแห้ง พริก น้ำปลา ปลาร้าฯลฯ ขนมาเป็นเสบียงอาหาร มุ่งหน้าสู่ถนนราชดำเนิน ชูธงประท้วงรัฐบาลที่พวกเขาไม่ได้เลือกมาให้ "ยุบสภา" จัดการ "เลือกตั้งใหม่" หลังจากภารกิจประท้วงรัฐบาลเมื่อปี 52 ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องพ่ายแพ้ต่อกำลังเจ้าหน้าที่ กลับบ้านมือเปล่าพร้อมกับความเจ็บปวดทั้งกายและใจ

ในปีถัดมาความคับข้องใจที่สะสมอัดแน่นมาจากปีก่อนหน้า พวกเขามาใหม่ชู ธงเดิม คือ "ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่" พร้อมทวง "ความยุติธรรม" หยุด 2 มาตรฐาน ประกาศตัวเป็นคนรากหญ้า เพื่อหาที่ยืนในสังคม แสดงสิทธิและเสียงของพวกเขาในฐานะ "ไพร่" ชนชั้นที่ต่ำสุดในสังคม เพื่อดึงทุกคนในประเทศให้มีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เท่าเทียมกัน ตามระบบการปกครองของไทยที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย"
ภาพการหลั่งไหลของชาวเสื้อแดง คือ การยืนยันว่าคนเสื้อแดงพร้อมที่จะวางทุกอย่างลง เข้าร่วมขบวนการประท้วง เพื่อเรียกร้องการเมืองการปกครองตามสิทธิ เสรีภาพที่พวกเขาทำได้ ตั้งแต่เช้าวันที่ 12 มีนาคม 53 คนเสื้อแดงทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯจำนวนมาก เริ่มปรากฏชัดตอนรุ่งอรุณ ผู้คนเคลื่อนมาคนละทิศคนละทาง มาบรรจบกันเป็นคาราวานแถวยาวเหยียดอยู่รอบชานเมือง รอจังหวะเคลื่อนเข้ากรุงพร้อมกัน โดยตะลุยด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ ตั้งสกัดตรวจแถวขบวนผ่านเข้ากรุงหลายๆ จุดเพื่อตรวจค้นอาวุธ

ขบวนรถคนเสื้อแดงจอดแช่ยาวเหยียดบนถนนหลายสาย ค่อยๆ ขยับเข้าประชิดกรุงเทพฯหางแถวยาวออกไปเรื่อยๆ เวลา 10.30 น. ที่ลานโรงร้านอาหารครัววังน้อย ( บัวชม ) มีเนื้อที่กว่า 30 ไร่ติดถนนสายพลโยธิน ติดกับตลาดวังน้อย ถนนพลโยธิน หลัก กม.66 ขาเข้า กทม. เขต อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มีขบวนรถของคนเสื้อแดงสายอีสาน ที่เคลื่อนพลมาจาก อ.ปากช่อง จำนวนหลายพันคัน มีทั้ง รถกระบะ รถตู้ รถบัสขนาดใหญ่ รถบรรทุก และมีคนเสื้อแดงหลายหมื่นคน มารวมพลอัดแน่นเต็มพื้นที่ รถอีกจำนวนมากยังเข้าไปในพื้นที่ไม่หมด ต้องจอดบนถนนพหลโยธินทั้งในช่องทางคู่ขนาด 2 ช่องจราจร และช่องทางด่านอีก 3 ช่องจราจร พบว่ารถจอดยาวตลอดเส้นทาง ยาวไปจนเกือบถึงเขตรอยต่อ อ.หนองแค จ.สระบุรี

ทางด้านถนนสายเอเชีย กองบังคับการตำรวจภูธร จ.อ่างทองรายงานต่อผู้บังคับบัญชาว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางผ่านถนนสายเอเชียช่วง จ.อ่างทอง จำนวน 28,200 คน โดยใช้พาหนะรถบรรทุก 6 ล้อ 120 คัน รถตู้ 500 คัน กระบะ 1,500 คัน รถยนต์เก๋ง 2,000 คัน รถบัส 70 คัน และรถจักรยานยนต์ 50 คัน ยังคงทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯเป็นระยะ นี่คือรายงานเพียงแค่ช่วงเช้า
ในวันเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองได้กระจายกันไปตามจุดต่างเพื่อแสดงเจตนาขับไล่รัฐบาล ก่อนที่ทัพใหญ่จากต่างจังหวัดจะเข้ามาสมทบ ที่ อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมด้วยนายวิภูแถลง วัฒนภูมิไทย แกนนำคนเสื้อแดง ประกอบพิธีบวงสรวงอนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และทำพิธีกรรม "โองการแช่งน้ำแช่งอำมาตย์" ก่อนเริ่มการปราศรัยเพื่อขับไล่รัฐบาล เรียกร้องให้มีการยุบสภา

แยกหลักสี่ นายวีระ มุสิกพงศ์ และนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำอาวุโส ร่วมกันบวงสรวงอนุสาวรีย์หลักสี่ ก่อนเคลื่อนขบวนมาปิดประตูทางเข้าหลักของกรมทหารราบที่ 11 มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ อยู่ด้านใน
หน้าสวนลุมพินี นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนางดารุณี กฤตบุญญาลัย แกนนำเสื้อแดง ร่วมกันบวงสรวงอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก่อนเคลื่อนขบวนเข้าถนนสีลม ผ่านด้านหน้าห้างสยามพารากอนจนถึงถนนนราธิวาส
แยกดินแดง คนเสื้อแดงกว่า 800 คนร่วมกันทำพิธีเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งรัฐบาล ก่อนออกเดินเท้าจากสวนป่าหัว ถนนมิตรไมตรี ดินแดงไปวนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ,แวะมอบดอกกุหลาบให้ทหารที่ ร.1พัน1รอ.ถนนวิภาวดีและเยี่ยมเยียนสถานีโทรทัศน์ ช่อง 11 ก่อนเดินทางกลับไปร่วมตัวกันที่สวนป่า
ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงจากสายเหนือ-อีสาน-ตะวันออก ยังคงเคลื่อนเข้ากรุงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เช้าจนค่ำไปถึงเช้าของวันใหม่เพื่อไปร่วมชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 13 มีนาคม จำนวนคนเสื้อแดงในครั้งนั้นนับว่ามหาศาล

นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-20 พฤษภาคมในปีนั้น คนเสื้อแดงได้ปักเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่การชุมนุมของคนเสื้อแดงสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้กับคนกรุง เพราะเกะกะทางเดิน รกรุงรังถนนหนทางในมหานคร จนรัฐบาลต้องขอพื้นที่คืนและกระชับพื้นที่ ปฏิบัติการโดยทหารนำกำลังพลของกองทัพ รถหุ้มเกราะ อาวุธปืนกระสุนยางไปจนถึงกระสุนจริง เข้าปราบปรามผู้ชุมนุมที่ขัดขืนไม่ยอมออกจากพื้นที่ชุมนุม มีทั้งยิงขู่ ยิงจริง

จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เสียชีวิต 91 ศพ ทั้งทหารและพลเรือน โดยสัดส่วนพลเรือนมากกว่าหลายเท่า และหลายพันคนหวาดผวาเสียงปืนเสียงระเบิด เตลิดกลับบ้านพร้อมกับความเจ็บปวดทั้งกายและใจ พกความคับแค้นใจกลับบ้าน และอีกหลายคนที่ต้องติดคุกเพียงเพราะไปยืนดูเหตุการณ์วันเผาศาลากลาง จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับอิสรภาพใดๆ
ส่วนแกนนำ 7 คนที่ได้เข้ามอบตัวหลังประกาศยุติการชุมนุมได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หลังจากที่นอนในเรือนจำมานานกว่า 9 เดือน ก็ออกมาตีปีกได้อีกครั้งหลังจากถูกจองจำโดยไม่ได้รับการสวบสวน มาพร้อมกับพลังคนเสื้อแดงที่รอคอยให้การสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง พร้อมกับคำประกาศอิสรภาพ "พวกเรากลับมาแล้ว"

เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เรียกชาวเสื้อแดงจากทุกมุมเมืองทั้งใกล้และไกล กลุ่มคนที่กลับไปรักษาแผลบอบช้ำจากเหตุสลายการชุมนุมพร้อมแล้วที่จะกลับมาใหม่อีกครั้ง หลังแตกพ่ายกลับบ้านถึง 2 ปีซ้อน วันที่ 12 มีนาคม 2554 "วันนี้ที่รอคอย"

วันที่คนเสื้อแดงแข็งแกร่งพอที่จะออกมาตอบโต้คลายความหวาดกลัว และกลับมาใหม่พร้อมกับข้อเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนเจ็บคนตาย ซึ่งชาวรากหญ้าได้ตระหนักรู้แล้วว่าเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ที่ต้องทุ่มเทความสามารถจิตใจ ในการเข้าร่วมกับกิจกรรมทางการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของชีวิตของทุกคน อย่างไม่มีข้อแม้หรือหมายเหตุใดๆ
เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดงกลุ่มคนที่ปรากฎในฉากหน้าอาจจะมีเพียงไพร่ คือ ชาวรากหญ้าที่ทนแดดทนฝนอาสาเป็นทัพหน้าออกมาเคลื่อนไหวแสดงตัวอย่างชัดเจน ลึกไปกว่านั้นยังมีคนอีกมากที่เห็นด้วยกับขบวนการเสื้อแดง คอยหนุนอยู่ด้านหลัง ผ่านข้อเขียน กิจกรรม วงเสวนา ต่อสู้เชิงความคิด และยังมีกลุ่มพ่อค้า นายทุน นักศึกษา ฯลฯ อีกมากที่พร้อมจะกระโดดเข้าร่วม รอเพียงจังหวะสุกงอมเต็มที่เท่านั้น
12 มีนาคมนี้ คงได้เห็นกันว่า คำทำนายของ "โสรัจจะ นวลอยู่ "นอสตราดามุสเมืองไทย เตือนไว้ใน ศาสตร์แห่งโหร ปี 2554 ว่า เดือนมีนาคม และเมษายนปี 2554 ให้จับตามองลางร้ายที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและบ้านเมือง เหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง มันจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา เหมือนปีก่อนๆ ไม่มีผิด เมืองไทยเข้าสู่วิกฤต จะมีประชาชนมาชุมนุมกันเป็นเรือนแสนที่ชุมนุมตามท้องถนน แม้รัฐบาลประกาศห้ามชุมนุมก็ไม่ฟังกัน
"เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นและรู้ทันความเคลือบแคลงของรัฐบาล" ประเด็นนี้ไม่ใช่หมอดูก็ทำนายได้แค่ลืมตามองเท่านั้นเอง


ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
"วันนี้ที่รอคอย"
การนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มีนาคม มีความหมายอย่างไร ทำไมถึงต้องนัดชุมนุมในวันนี้
ย้อนกลับไปในวันเดียวกัน เมื่อปี 53 วันที่ "12 มีนาคม" คือ วันที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อแดง นัดหมายคนสีเดียวกันทั่วทั้งประเทศ เดินทางมายังจุดนัดพบ คือ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน การเป่านกหวีดครั้งนั้นเสียงดังไกลพอที่ทุกคนในทั่วทุกภูมิภาคได้ยิน อย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินทัพเข้ากรุงแบบมืดฟ้ามัวดิน แดงทั้งแผ่นดิน
ถนนทุกสายที่มุ่งเข้าสู่กรุงทั้งรถบัส รถบรรทุก รถกระบะ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ขนคนมาเต็มคันรถ เสื้อแดง ธงแดงโบกสะบัดท้าแดดลมแรง ไม่หวั่นต่อแสงแดดแผดเผาในตอนกลางวัน มุ่งออกเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
ภาพชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา ทิ้งจอบวางเสียม แม่ค้าพ่อค้า ปล่อยร้างแผงค้า ทิ้งบ้านเรือน หอบข้าวสาร อาหารแห้ง พริก น้ำปลา ปลาร้าฯลฯ ขนมาเป็นเสบียงอาหาร มุ่งหน้าสู่ถนนราชดำเนิน ชูธงประท้วงรัฐบาลที่พวกเขาไม่ได้เลือกมาให้ "ยุบสภา" จัดการ "เลือกตั้งใหม่" หลังจากภารกิจประท้วงรัฐบาลเมื่อปี 52 ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องพ่ายแพ้ต่อกำลังเจ้าหน้าที่ กลับบ้านมือเปล่าพร้อมกับความเจ็บปวดทั้งกายและใจ
ในปีถัดมาความคับข้องใจที่สะสมอัดแน่นมาจากปีก่อนหน้า พวกเขามาใหม่ชู ธงเดิม คือ "ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่" พร้อมทวง "ความยุติธรรม" หยุด 2 มาตรฐาน ประกาศตัวเป็นคนรากหญ้า เพื่อหาที่ยืนในสังคม แสดงสิทธิและเสียงของพวกเขาในฐานะ "ไพร่" ชนชั้นที่ต่ำสุดในสังคม เพื่อดึงทุกคนในประเทศให้มีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เท่าเทียมกัน ตามระบบการปกครองของไทยที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย"
ภาพการหลั่งไหลของชาวเสื้อแดง คือ การยืนยันว่าคนเสื้อแดงพร้อมที่จะวางทุกอย่างลง เข้าร่วมขบวนการประท้วง เพื่อเรียกร้องการเมืองการปกครองตามสิทธิ เสรีภาพที่พวกเขาทำได้ ตั้งแต่เช้าวันที่ 12 มีนาคม 53 คนเสื้อแดงทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯจำนวนมาก เริ่มปรากฏชัดตอนรุ่งอรุณ ผู้คนเคลื่อนมาคนละทิศคนละทาง มาบรรจบกันเป็นคาราวานแถวยาวเหยียดอยู่รอบชานเมือง รอจังหวะเคลื่อนเข้ากรุงพร้อมกัน โดยตะลุยด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ ตั้งสกัดตรวจแถวขบวนผ่านเข้ากรุงหลายๆ จุดเพื่อตรวจค้นอาวุธ
ขบวนรถคนเสื้อแดงจอดแช่ยาวเหยียดบนถนนหลายสาย ค่อยๆ ขยับเข้าประชิดกรุงเทพฯหางแถวยาวออกไปเรื่อยๆ เวลา 10.30 น. ที่ลานโรงร้านอาหารครัววังน้อย ( บัวชม ) มีเนื้อที่กว่า 30 ไร่ติดถนนสายพลโยธิน ติดกับตลาดวังน้อย ถนนพลโยธิน หลัก กม.66 ขาเข้า กทม. เขต อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มีขบวนรถของคนเสื้อแดงสายอีสาน ที่เคลื่อนพลมาจาก อ.ปากช่อง จำนวนหลายพันคัน มีทั้ง รถกระบะ รถตู้ รถบัสขนาดใหญ่ รถบรรทุก และมีคนเสื้อแดงหลายหมื่นคน มารวมพลอัดแน่นเต็มพื้นที่ รถอีกจำนวนมากยังเข้าไปในพื้นที่ไม่หมด ต้องจอดบนถนนพหลโยธินทั้งในช่องทางคู่ขนาด 2 ช่องจราจร และช่องทางด่านอีก 3 ช่องจราจร พบว่ารถจอดยาวตลอดเส้นทาง ยาวไปจนเกือบถึงเขตรอยต่อ อ.หนองแค จ.สระบุรี
ทางด้านถนนสายเอเชีย กองบังคับการตำรวจภูธร จ.อ่างทองรายงานต่อผู้บังคับบัญชาว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางผ่านถนนสายเอเชียช่วง จ.อ่างทอง จำนวน 28,200 คน โดยใช้พาหนะรถบรรทุก 6 ล้อ 120 คัน รถตู้ 500 คัน กระบะ 1,500 คัน รถยนต์เก๋ง 2,000 คัน รถบัส 70 คัน และรถจักรยานยนต์ 50 คัน ยังคงทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯเป็นระยะ นี่คือรายงานเพียงแค่ช่วงเช้า
ในวันเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงในเมืองได้กระจายกันไปตามจุดต่างเพื่อแสดงเจตนาขับไล่รัฐบาล ก่อนที่ทัพใหญ่จากต่างจังหวัดจะเข้ามาสมทบ ที่ อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมด้วยนายวิภูแถลง วัฒนภูมิไทย แกนนำคนเสื้อแดง ประกอบพิธีบวงสรวงอนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และทำพิธีกรรม "โองการแช่งน้ำแช่งอำมาตย์" ก่อนเริ่มการปราศรัยเพื่อขับไล่รัฐบาล เรียกร้องให้มีการยุบสภา
แยกหลักสี่ นายวีระ มุสิกพงศ์ และนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำอาวุโส ร่วมกันบวงสรวงอนุสาวรีย์หลักสี่ ก่อนเคลื่อนขบวนมาปิดประตูทางเข้าหลักของกรมทหารราบที่ 11 มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ อยู่ด้านใน
หน้าสวนลุมพินี นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนางดารุณี กฤตบุญญาลัย แกนนำเสื้อแดง ร่วมกันบวงสรวงอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก่อนเคลื่อนขบวนเข้าถนนสีลม ผ่านด้านหน้าห้างสยามพารากอนจนถึงถนนนราธิวาส
แยกดินแดง คนเสื้อแดงกว่า 800 คนร่วมกันทำพิธีเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งรัฐบาล ก่อนออกเดินเท้าจากสวนป่าหัว ถนนมิตรไมตรี ดินแดงไปวนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ,แวะมอบดอกกุหลาบให้ทหารที่ ร.1พัน1รอ.ถนนวิภาวดีและเยี่ยมเยียนสถานีโทรทัศน์ ช่อง 11 ก่อนเดินทางกลับไปร่วมตัวกันที่สวนป่า
ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงจากสายเหนือ-อีสาน-ตะวันออก ยังคงเคลื่อนเข้ากรุงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เช้าจนค่ำไปถึงเช้าของวันใหม่เพื่อไปร่วมชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 13 มีนาคม จำนวนคนเสื้อแดงในครั้งนั้นนับว่ามหาศาล
นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-20 พฤษภาคมในปีนั้น คนเสื้อแดงได้ปักเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่การชุมนุมของคนเสื้อแดงสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้กับคนกรุง เพราะเกะกะทางเดิน รกรุงรังถนนหนทางในมหานคร จนรัฐบาลต้องขอพื้นที่คืนและกระชับพื้นที่ ปฏิบัติการโดยทหารนำกำลังพลของกองทัพ รถหุ้มเกราะ อาวุธปืนกระสุนยางไปจนถึงกระสุนจริง เข้าปราบปรามผู้ชุมนุมที่ขัดขืนไม่ยอมออกจากพื้นที่ชุมนุม มีทั้งยิงขู่ ยิงจริง
วันที่คนเสื้อแดงแข็งแกร่งพอที่จะออกมาตอบโต้คลายความหวาดกลัว และกลับมาใหม่พร้อมกับข้อเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนเจ็บคนตาย ซึ่งชาวรากหญ้าได้ตระหนักรู้แล้วว่าเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ที่ต้องทุ่มเทความสามารถจิตใจ ในการเข้าร่วมกับกิจกรรมทางการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของชีวิตของทุกคน อย่างไม่มีข้อแม้หรือหมายเหตุใดๆ
เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดงกลุ่มคนที่ปรากฎในฉากหน้าอาจจะมีเพียงไพร่ คือ ชาวรากหญ้าที่ทนแดดทนฝนอาสาเป็นทัพหน้าออกมาเคลื่อนไหวแสดงตัวอย่างชัดเจน ลึกไปกว่านั้นยังมีคนอีกมากที่เห็นด้วยกับขบวนการเสื้อแดง คอยหนุนอยู่ด้านหลัง ผ่านข้อเขียน กิจกรรม วงเสวนา ต่อสู้เชิงความคิด และยังมีกลุ่มพ่อค้า นายทุน นักศึกษา ฯลฯ อีกมากที่พร้อมจะกระโดดเข้าร่วม รอเพียงจังหวะสุกงอมเต็มที่เท่านั้น
12 มีนาคมนี้ คงได้เห็นกันว่า คำทำนายของ "โสรัจจะ นวลอยู่ "นอสตราดามุสเมืองไทย เตือนไว้ใน ศาสตร์แห่งโหร ปี 2554 ว่า เดือนมีนาคม และเมษายนปี 2554 ให้จับตามองลางร้ายที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและบ้านเมือง เหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง มันจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา เหมือนปีก่อนๆ ไม่มีผิด เมืองไทยเข้าสู่วิกฤต จะมีประชาชนมาชุมนุมกันเป็นเรือนแสนที่ชุมนุมตามท้องถนน แม้รัฐบาลประกาศห้ามชุมนุมก็ไม่ฟังกัน
"เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นและรู้ทันความเคลือบแคลงของรัฐบาล" ประเด็นนี้ไม่ใช่หมอดูก็ทำนายได้แค่ลืมตามองเท่านั้นเอง
ที่มา.มติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554
คุยเปิดอก รมต.สมัยแรก(ไอซีที) "จุติ ไกรฤกษ์" ภารกิจเช็คบิลแก้สัญญามือถือ
อยู่ในกลุ่มหลีกไม่พ้นเป็น 1 ในรัฐมนตรีที่ต้องขึ้นเขียงโดนฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน สำหรับ"จุติ ไกรฤกษ์"รัฐมนตรี(สมัยแรก)แห่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) ด้วยว่าหลายโปรเจ็คของหน่วยงานในการกำกับดูแล ทั้งบมจ.ทีโอที และบมจ.กสท โทรคมนาคม มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการขยายโครงข่าย3G ทั่วประเทศ, การจับมือร่วมธุรกิจระหว่างกลุ่มทรูกับบมจ.กสท โทรคมนาคม รวมถึงการเดินหน้าเช็คบิลเอกชนกรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีต
ผู้สื่อข่าว มีโอกาสพูดคุยกับเจ้ากระทรวงไอซีทีในหลากหลายแง่มุม ดังนี้
เตรียมตัวอะไรบ้างสำหรับอภิปราย
เตรียมไว้ 7 ประเด็น แต่ไม่บอกให้ฝ่ายค้านไปทำการบ้านเอง
เรื่องกสทฯเป็นประเด็นใหญ่ ผมเตรียมตัวไว้ก่อนที่ฝ่ายค้านจะประกาศว่าอยู่ในลิสต์ เพราะเตรียมไว้ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ คาดไว้แล้วว่าต้องโดนแน่ทั้งกรรมาธิการ สตง. เผลอๆ อาจปปช. ดีเอสไอด้วย ก็ไม่หนักใจอะไร
กรณีกสทฯกับทรู กสทฯได้ประโยชน์ ทางกสทฯยืนยันว่าเซ็นสัญญาไม่เร่งรีบ แต่ในประเด็นนี้ผมยืนยันว่า เขาเร่งรีบ ยังบอกไปว่า อุตส่าห์ทำดีมา 99.5% เซ็นช้ากว่านี้ อีก 2 วันจะไม่มีใครว่าเลย ผมพูดแบบนี้ตลอด แต่ก็จำนนในเหตุผลของเขานะ
ส่วนเรื่องทีโอที ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายประเด็นนี้ก็เท่ากับเปิดให้ผมหาเสียง บอกได้ว่าอภิปรายผมเรื่องนี้ฝ่ายค้านถึงตาย (หัวเราะ)
ทำไมถึงคิดว่ากรณีกสทฯโดนแน่
เพราะผมคือเบี้ยในกระดานธุรกิจโทรคมนาคมหลักล้านๆ บาท ไม่ใช่แสนล้านนะ ทั้ง 5 เจ้า ทีโอที กสท เอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ ทุกคนแย่งเป็นคนทำคนแรก เพราะจะกวาดลูกค้าไปหมด คุณไปดูธุรกิจส่งถ่ายข้อมูลดาต้าโตก้าวกระโดด ทุกคนก็น้ำลายไหล ใครไปก่อนได้ก่อน พอดีผู้บริหารกสทฯเป็นคนหนุ่มจึงเห็นโอกาสคว้าก่อน แต่จะเป็นความหวังหรือความตายยังไม่รู้ อย่างน้อยมีใจมีวิชั่นที่จะไป
ที่ผ่านมาเอกชนไม่อยากทำ 3G เพราะอยากรีดไขมันจากสัมปทานให้หมดก่อนค่อยลงทุน 3G ลงระบบใหม่ทีเดียว พอกสทฯโดดมาทำเป็นคนแรก แถมจับมือกับทรู ทุกคนก็เต้นเพราะอ่านเกมผิด ผมก็ตั้งคำถามว่า ทำไมคุณไม่ไปประมูลฮัทช์แข่งกัน ทุกคนมีสิทธิแต่ไม่ประมูลเอง
ตอนกทช. จัดประมูล 3G ผมเองยังคิดแผนว่าจะทำอย่างไรกับ 3 หมื่นครอบครัวพนักงานของ 2 องค์กรนี้ เพราะไม่มีโอกาสรอดเลย กะว่าจะควบรวมทีโอทีกับกสทฯ วันนี้ผมถึงบอกพนักงานทั้ง 2 แห่งว่า พระเจ้าให้โอกาสที่ 2 มาแล้ว เกาะให้แน่อย่าให้หลุดไม่เช่นนั้นลงนรกแน่นอน
ทุกวันนี้ที่สะดุดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเมือง แต่เป็นเกมธุรกิจแน่นอน กูไม่ได้มึงก็ไม่ต้องมี ถ้าไปก็ไปพร้อมกัน แต่หนนี้หนักหน่อยเพราะไปเปลี่ยนตัวแปรเขา เกิดอยากเป็น First Mover
ทั้ง2องค์กรจะรอดได้ยังไง
ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ถ้าไม่เปลี่ยนไม่รอด อย่างทีโอที บอร์ดฯยังไม่ทันเลือก รัฐมนตรียังไม่มีนโยบาย คนทีโอทีบอกห้ามเอาคนนอกมา กสทฯก็เหมือนกัน ผู้บริหารคนนอกเหมือนถูกเก็บมาเลี้ยง วัฒนธรรมข้างในองค์กรต้องเปลี่ยน คนดีๆ มีเยอะแต่ถูกผลักไว้ข้างๆ ไม่มีตำแหน่ง ผมอยากจะร้องไห้แทนประเทศไทยตอนเห็นการจัดการโอนทรัพย์สิน
สัมปทาน 18 ปีทำอะไรกันมาบ้าง ทรัพย์สินแสนกว่าล้านยังไม่ดู แล้วจะทำอะไรได้
ทีโอทีมีเสา มีคลื่น มีไฟเบอร์ออฟติก แต่อยู่ตรงไหนบ้างไม่รู้ ผมถึงสั่งให้เอ็กซ์เรย์ทั้งทีโอที กสทฯว่าเสาอยู่ตรงไหนบ้าง
ถึงนั่งเถียงกับคณะกรรมการมาตรา 22 ที่ดูแลสัมปทานที่บอกว่า คุณบอกไม่เสียหาย แสนกว่าล้านบาทคุณรู้ว่ามีอยู่ แต่
คุณหาเสาตัวเองไม่เจอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วยังมาบอกว่าไม่เสียหาย ทุกวันนี้ผมก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง คอยหวดไม้เรียวไป ไม่รู้ว่าไม้จะหักก่อนหรือไหล่จะหลุดก่อน
ถ้าบอร์ดทีโอทีลาออกจนเหลือไม่ครบ7
ก็ประชุมไม่ได้ กระทบ 3G แน่นอน เป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็ต้องให้กระทรวงการคลังผู้ถือหุ้นใหญ่พิจารณาว่าจะตั้งใหม่หมดหรือตั้งเพิ่ม แต่บอร์ดฯที่ลาออกไม่เกี่ยวกับกรณี 3G แต่กลัวถูกฟ้องจากที่มีมติว่าจะฟ้องเอกชนกรณีแก้สัญญา
สุดท้ายบอร์ดทีโอทีก็ไม่ฟ้องเอไอเอส
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ธงของผมยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนคือเอาเงินคืนให้รัฐ คณะกรรมการเจรจายังไม่ได้สรุปว่าจะเจรจาได้ไม่ได้ เรื่องฟ้องกับเจรจาคนละเรื่อง เรื่องฟ้องเป็นการทำให้อำนาจต่อรองของรัฐยังอยู่ รัฐยังมีสิทธิฟ้อง ผมหวังว่าจะจบที่การเจรจามากกว่าขึ้นศาล เว้นแต่ประธานคณะกรรมการเจรจาบอกว่า ไม่จบไม่คืบไปกว่านี้แล้วก็จะเสนอครม.ให้พิจารณาว่าจะไปทางไหนต่อ ถ้าเขาไม่ยอมจ่าย หรือจ่ายแต่ไม่ใช่ที่รัฐต้องการ
ส่วนเรื่องทีโอทีจะเอาอย่างไรต่อไป เป็นกลยุทธ์ในการต่อสู้ขออุบไว้ก่อน สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ยืนยันว่าทั้งหมดอยากให้เจรจาจบบนโต๊ะ ไม่ต้องการฟ้อง ต่างคนต่างไปทำมาหากินของตนเองดีที่สุด ผมอยากให้เจรจาถึงที่สุดแล้วมาดูว่ารับได้หรือไม่ได้
คิดว่าจะเจรจาสำเร็จ
สำเร็จถ้าไม่งก ก็อย่างที่บอก ถ้าผมงกน้อยก็โดนหาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชน ตัวเลขตอนนี้ที่จะเจรจายังไม่มีใครเปิดไต๋ ตรรกะและเหตุผลของทั้ง 2 ฝ่ายจะตัดสิน เพราะที่คลังคิดมา แสนห้าพันล้านบาทพูดตรงๆ ว่า สุดโต่ง ในเชิงประโยชน์รัฐก็ดี แต่จะเดินมาพบกันครึ่งทางได้อย่างไร ผมอยากให้มีการจ่าย มากน้อยก็ต้องจ่าย คราวหลังจะได้ไม่มีใครทำอย่างนี้อีก และจะได้ตามไปดูต่อว่า ผู้บริหารคนไหนทำให้เสียหาย ไม่อย่างนั้นก็จะทำกันอีก
เรื่องการเจรจาอีกไม่นานก็จะรู้แนวโน้มว่าจะได้ไม่ได้ จ่ายไม่จ่าย น่าจะรู้ก่อนเลือกตั้งใหม่
เอกชนยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ก็ต้องยืนยันแบบนั้น ไม่เช่นก็เข้าคุก ธงของทนายจำเลย คือ ต้องเข้าอนุญาโตตุลาการ ซึ่งรัฐเข้าทีไรแพ้ทุกที มีทางอีกเยอะต้องให้จบเป็นเรื่องๆ ไป ต่อไปถ้าผมเป็นฝ่ายค้านก็ต้องมานั่งดูว่า จะมีคนมาเปลี่ยนสิ่งที่ทำไว้แล้วไหม ที่พูดนี่ไม่ได้เตรียมเป็นฝ่ายค้านนะ แต่อนาคตไม่แน่นอน
ค่าเสียหายมีตัวเลขที่ต้องการแล้ว
เรื่องตัวเลข ถ้าไปเรียกจากเขาน้อย วันหน้ามีคนไปฟ้องว่า ผมทำให้รัฐเสียหาย ผมก็ต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เวลาผมเรียกก็ต้องเรียกตั้งแต่วันที่เสียหาย แล้วครม. ก็ต้องตัดสินให้ผมว่า จะนับวันแรกจากวันไหน ถ้าเป็นผมก็ต้องเป็นวันแรกตั้งแต่แก้ไข เพราะผมไม่มีทางเลือก เหมือนกับที่ผมต้องทำจดหมายส่งไปถึงซีอีโอ ทีโอที และกสท ให้ระมัดระวังเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ระวังโดน ม. 157
เขาก็ขุ่นใจแต่ผมต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ พวกที่เดินขบวนกันอยู่ไปร้องที่โรงพักบอกผมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผมก็โดนเต็มๆ ไม่มีใครมาประกันตัวผมหรอก แต่วันนี้ผมก็ทำหน้าที่ผมไปแล้ว
ปัญหาเอไอเอสไม่มีใครอยากทำมันได้แต่ศัตรูไม่ได้อะไรเลย ถ้าผมเรียกตังค์กลับมาได้ คนก็ต้องบอกว่าก็มันต้องจ่าย ไม่ใช่เพราะเราทำ แต่คนถูกฟ้องหรือถูกเรียกตังค์คืนต้องไม่ชอบเป็นธรรมดา
เรามีหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบจะหนีไม่ได้ จะรับแต่ชอบ ไม่รับผิดก็ไม่ได้ คนอย่างผมไม่หนีปัญหา มีอะไรก็แก้ไขกันไป
มีข่าวว่าไปเร่ขายเอไอเอส
ผมไม่ใช่เจ้าของจะไปเร่ขายได้อย่างไร ถามว่าข่าวจากใคร เหมือนข่าวเรื่องไปฮ่องกงไปรับเงินจากประธาน(ซี.พี.) ไปงานเวิล์ดจีเอสเอ็มล่าสุดมีการประชุมมีรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจ และเอกชนหลายประเทศไปกันเยอะแยะ สิ่งที่ทุกคนถามผมเหมือนกันหมด คือ เมื่อไรไทยจะมี 3G ติดปัญหาอุปสรรคอะไร ผมก็บอกไปว่า หวังว่าจะเร็วๆ นี้
ไม่รู้สึกเขินที่ไทยไม่มี 3G
แรกๆ ก็มีบ้าง แต่ไปมาหลายรอบแล้ว ตอนนี้อินโดนีเซียยังล้ำหน้าเราไปแล้ว ส่วนประเทศในเอเชียก็อยากรู้ว่า เราจะจัดการปัญหาอย่างไร อยากรู้ว่า เรื่องอดีตนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร เขาห่วงธุรกิจเขา ห่วงประโยชน์ตัวเอง มองว่าจะมีโอกาสทางธุรกิจอย่างไร ซึ่งผมก็ตอบไม่ได้บอกไปว่า ต้องให้ครม.ตัดสินใจ
แต่ทุกคนพูดเหมือนกันว่า3G เกิดช้ายิ่งขาดทุนโอกาส อินเดียเป็นตัวอย่างประมูล 3G ไม่เสร็จสักที มีการประเมินความเสียหายว่า ทุก 6 เดือนที่ล่าช้าเสียหายราว 1,000 ล้านเหรียญจึงต้องกัดฟันทำ เป็นการลงทุนขั้นพื้นฐาน สิ่งที่รัฐได้คือเศรษฐกิจพัฒนา ได้ภาษีกลับมา
สัมปทานไทยคมถึงไหนแล้ว
รอทางไทยคมตอบหนังสือที่กระทรวงไอซีทีแจ้งมติครม.ให้ทราบว่าต้องมีการยิงดาวเทียมดวงใหม่ ต้องคืนเงินประกัน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และต้องปรับสัดส่วนผู้ถือหุ้นให้ชินคอร์ปกลับไปถือหุ้นในไทยคม 51% ตามเดิม รัฐยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากไอพีสตาร์ตามเดิม คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ค่าประกันเอกชนก็ได้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน ดาวเทียมดวงใหม่เขาก็อยากยิงอยู่แล้ว
เหมือนเข้าทางเอกชน
ใช่ก็ยอมรับ แต่รัฐก็ได้ไม่น้อย
ตอนรับตำแหน่งบอกว่าตั้งใจมาแก้ทุจริตเม็กกะโปรเจ็ค
เอาความจริงของโลกนะ เหมือนเอาก้อนหินทุ่มไปในบึงใหญ่ๆ ที่มีจอกแหนมันก็กระจาย พอน้ำนิ่งมันก็ค่อยๆ ไหลออกมาปิดเหมือนเดิม
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการขยายโครงข่าย3G ทั่วประเทศ, การจับมือร่วมธุรกิจระหว่างกลุ่มทรูกับบมจ.กสท โทรคมนาคม รวมถึงการเดินหน้าเช็คบิลเอกชนกรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีต
ผู้สื่อข่าว มีโอกาสพูดคุยกับเจ้ากระทรวงไอซีทีในหลากหลายแง่มุม ดังนี้
เตรียมตัวอะไรบ้างสำหรับอภิปราย
เตรียมไว้ 7 ประเด็น แต่ไม่บอกให้ฝ่ายค้านไปทำการบ้านเอง
เรื่องกสทฯเป็นประเด็นใหญ่ ผมเตรียมตัวไว้ก่อนที่ฝ่ายค้านจะประกาศว่าอยู่ในลิสต์ เพราะเตรียมไว้ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ คาดไว้แล้วว่าต้องโดนแน่ทั้งกรรมาธิการ สตง. เผลอๆ อาจปปช. ดีเอสไอด้วย ก็ไม่หนักใจอะไร
กรณีกสทฯกับทรู กสทฯได้ประโยชน์ ทางกสทฯยืนยันว่าเซ็นสัญญาไม่เร่งรีบ แต่ในประเด็นนี้ผมยืนยันว่า เขาเร่งรีบ ยังบอกไปว่า อุตส่าห์ทำดีมา 99.5% เซ็นช้ากว่านี้ อีก 2 วันจะไม่มีใครว่าเลย ผมพูดแบบนี้ตลอด แต่ก็จำนนในเหตุผลของเขานะ
ส่วนเรื่องทีโอที ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายประเด็นนี้ก็เท่ากับเปิดให้ผมหาเสียง บอกได้ว่าอภิปรายผมเรื่องนี้ฝ่ายค้านถึงตาย (หัวเราะ)
ทำไมถึงคิดว่ากรณีกสทฯโดนแน่
เพราะผมคือเบี้ยในกระดานธุรกิจโทรคมนาคมหลักล้านๆ บาท ไม่ใช่แสนล้านนะ ทั้ง 5 เจ้า ทีโอที กสท เอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ ทุกคนแย่งเป็นคนทำคนแรก เพราะจะกวาดลูกค้าไปหมด คุณไปดูธุรกิจส่งถ่ายข้อมูลดาต้าโตก้าวกระโดด ทุกคนก็น้ำลายไหล ใครไปก่อนได้ก่อน พอดีผู้บริหารกสทฯเป็นคนหนุ่มจึงเห็นโอกาสคว้าก่อน แต่จะเป็นความหวังหรือความตายยังไม่รู้ อย่างน้อยมีใจมีวิชั่นที่จะไป
ที่ผ่านมาเอกชนไม่อยากทำ 3G เพราะอยากรีดไขมันจากสัมปทานให้หมดก่อนค่อยลงทุน 3G ลงระบบใหม่ทีเดียว พอกสทฯโดดมาทำเป็นคนแรก แถมจับมือกับทรู ทุกคนก็เต้นเพราะอ่านเกมผิด ผมก็ตั้งคำถามว่า ทำไมคุณไม่ไปประมูลฮัทช์แข่งกัน ทุกคนมีสิทธิแต่ไม่ประมูลเอง
ตอนกทช. จัดประมูล 3G ผมเองยังคิดแผนว่าจะทำอย่างไรกับ 3 หมื่นครอบครัวพนักงานของ 2 องค์กรนี้ เพราะไม่มีโอกาสรอดเลย กะว่าจะควบรวมทีโอทีกับกสทฯ วันนี้ผมถึงบอกพนักงานทั้ง 2 แห่งว่า พระเจ้าให้โอกาสที่ 2 มาแล้ว เกาะให้แน่อย่าให้หลุดไม่เช่นนั้นลงนรกแน่นอน
ทุกวันนี้ที่สะดุดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเมือง แต่เป็นเกมธุรกิจแน่นอน กูไม่ได้มึงก็ไม่ต้องมี ถ้าไปก็ไปพร้อมกัน แต่หนนี้หนักหน่อยเพราะไปเปลี่ยนตัวแปรเขา เกิดอยากเป็น First Mover
ทั้ง2องค์กรจะรอดได้ยังไง
ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ถ้าไม่เปลี่ยนไม่รอด อย่างทีโอที บอร์ดฯยังไม่ทันเลือก รัฐมนตรียังไม่มีนโยบาย คนทีโอทีบอกห้ามเอาคนนอกมา กสทฯก็เหมือนกัน ผู้บริหารคนนอกเหมือนถูกเก็บมาเลี้ยง วัฒนธรรมข้างในองค์กรต้องเปลี่ยน คนดีๆ มีเยอะแต่ถูกผลักไว้ข้างๆ ไม่มีตำแหน่ง ผมอยากจะร้องไห้แทนประเทศไทยตอนเห็นการจัดการโอนทรัพย์สิน
สัมปทาน 18 ปีทำอะไรกันมาบ้าง ทรัพย์สินแสนกว่าล้านยังไม่ดู แล้วจะทำอะไรได้
ทีโอทีมีเสา มีคลื่น มีไฟเบอร์ออฟติก แต่อยู่ตรงไหนบ้างไม่รู้ ผมถึงสั่งให้เอ็กซ์เรย์ทั้งทีโอที กสทฯว่าเสาอยู่ตรงไหนบ้าง
ถึงนั่งเถียงกับคณะกรรมการมาตรา 22 ที่ดูแลสัมปทานที่บอกว่า คุณบอกไม่เสียหาย แสนกว่าล้านบาทคุณรู้ว่ามีอยู่ แต่
คุณหาเสาตัวเองไม่เจอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วยังมาบอกว่าไม่เสียหาย ทุกวันนี้ผมก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง คอยหวดไม้เรียวไป ไม่รู้ว่าไม้จะหักก่อนหรือไหล่จะหลุดก่อน
ถ้าบอร์ดทีโอทีลาออกจนเหลือไม่ครบ7
ก็ประชุมไม่ได้ กระทบ 3G แน่นอน เป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็ต้องให้กระทรวงการคลังผู้ถือหุ้นใหญ่พิจารณาว่าจะตั้งใหม่หมดหรือตั้งเพิ่ม แต่บอร์ดฯที่ลาออกไม่เกี่ยวกับกรณี 3G แต่กลัวถูกฟ้องจากที่มีมติว่าจะฟ้องเอกชนกรณีแก้สัญญา
สุดท้ายบอร์ดทีโอทีก็ไม่ฟ้องเอไอเอส
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ธงของผมยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนคือเอาเงินคืนให้รัฐ คณะกรรมการเจรจายังไม่ได้สรุปว่าจะเจรจาได้ไม่ได้ เรื่องฟ้องกับเจรจาคนละเรื่อง เรื่องฟ้องเป็นการทำให้อำนาจต่อรองของรัฐยังอยู่ รัฐยังมีสิทธิฟ้อง ผมหวังว่าจะจบที่การเจรจามากกว่าขึ้นศาล เว้นแต่ประธานคณะกรรมการเจรจาบอกว่า ไม่จบไม่คืบไปกว่านี้แล้วก็จะเสนอครม.ให้พิจารณาว่าจะไปทางไหนต่อ ถ้าเขาไม่ยอมจ่าย หรือจ่ายแต่ไม่ใช่ที่รัฐต้องการ
ส่วนเรื่องทีโอทีจะเอาอย่างไรต่อไป เป็นกลยุทธ์ในการต่อสู้ขออุบไว้ก่อน สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ยืนยันว่าทั้งหมดอยากให้เจรจาจบบนโต๊ะ ไม่ต้องการฟ้อง ต่างคนต่างไปทำมาหากินของตนเองดีที่สุด ผมอยากให้เจรจาถึงที่สุดแล้วมาดูว่ารับได้หรือไม่ได้
คิดว่าจะเจรจาสำเร็จ
สำเร็จถ้าไม่งก ก็อย่างที่บอก ถ้าผมงกน้อยก็โดนหาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชน ตัวเลขตอนนี้ที่จะเจรจายังไม่มีใครเปิดไต๋ ตรรกะและเหตุผลของทั้ง 2 ฝ่ายจะตัดสิน เพราะที่คลังคิดมา แสนห้าพันล้านบาทพูดตรงๆ ว่า สุดโต่ง ในเชิงประโยชน์รัฐก็ดี แต่จะเดินมาพบกันครึ่งทางได้อย่างไร ผมอยากให้มีการจ่าย มากน้อยก็ต้องจ่าย คราวหลังจะได้ไม่มีใครทำอย่างนี้อีก และจะได้ตามไปดูต่อว่า ผู้บริหารคนไหนทำให้เสียหาย ไม่อย่างนั้นก็จะทำกันอีก
เรื่องการเจรจาอีกไม่นานก็จะรู้แนวโน้มว่าจะได้ไม่ได้ จ่ายไม่จ่าย น่าจะรู้ก่อนเลือกตั้งใหม่
เอกชนยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ก็ต้องยืนยันแบบนั้น ไม่เช่นก็เข้าคุก ธงของทนายจำเลย คือ ต้องเข้าอนุญาโตตุลาการ ซึ่งรัฐเข้าทีไรแพ้ทุกที มีทางอีกเยอะต้องให้จบเป็นเรื่องๆ ไป ต่อไปถ้าผมเป็นฝ่ายค้านก็ต้องมานั่งดูว่า จะมีคนมาเปลี่ยนสิ่งที่ทำไว้แล้วไหม ที่พูดนี่ไม่ได้เตรียมเป็นฝ่ายค้านนะ แต่อนาคตไม่แน่นอน
ค่าเสียหายมีตัวเลขที่ต้องการแล้ว
เรื่องตัวเลข ถ้าไปเรียกจากเขาน้อย วันหน้ามีคนไปฟ้องว่า ผมทำให้รัฐเสียหาย ผมก็ต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เวลาผมเรียกก็ต้องเรียกตั้งแต่วันที่เสียหาย แล้วครม. ก็ต้องตัดสินให้ผมว่า จะนับวันแรกจากวันไหน ถ้าเป็นผมก็ต้องเป็นวันแรกตั้งแต่แก้ไข เพราะผมไม่มีทางเลือก เหมือนกับที่ผมต้องทำจดหมายส่งไปถึงซีอีโอ ทีโอที และกสท ให้ระมัดระวังเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ระวังโดน ม. 157
เขาก็ขุ่นใจแต่ผมต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ พวกที่เดินขบวนกันอยู่ไปร้องที่โรงพักบอกผมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผมก็โดนเต็มๆ ไม่มีใครมาประกันตัวผมหรอก แต่วันนี้ผมก็ทำหน้าที่ผมไปแล้ว
ปัญหาเอไอเอสไม่มีใครอยากทำมันได้แต่ศัตรูไม่ได้อะไรเลย ถ้าผมเรียกตังค์กลับมาได้ คนก็ต้องบอกว่าก็มันต้องจ่าย ไม่ใช่เพราะเราทำ แต่คนถูกฟ้องหรือถูกเรียกตังค์คืนต้องไม่ชอบเป็นธรรมดา
เรามีหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบจะหนีไม่ได้ จะรับแต่ชอบ ไม่รับผิดก็ไม่ได้ คนอย่างผมไม่หนีปัญหา มีอะไรก็แก้ไขกันไป
มีข่าวว่าไปเร่ขายเอไอเอส
ผมไม่ใช่เจ้าของจะไปเร่ขายได้อย่างไร ถามว่าข่าวจากใคร เหมือนข่าวเรื่องไปฮ่องกงไปรับเงินจากประธาน(ซี.พี.) ไปงานเวิล์ดจีเอสเอ็มล่าสุดมีการประชุมมีรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจ และเอกชนหลายประเทศไปกันเยอะแยะ สิ่งที่ทุกคนถามผมเหมือนกันหมด คือ เมื่อไรไทยจะมี 3G ติดปัญหาอุปสรรคอะไร ผมก็บอกไปว่า หวังว่าจะเร็วๆ นี้
ไม่รู้สึกเขินที่ไทยไม่มี 3G
แรกๆ ก็มีบ้าง แต่ไปมาหลายรอบแล้ว ตอนนี้อินโดนีเซียยังล้ำหน้าเราไปแล้ว ส่วนประเทศในเอเชียก็อยากรู้ว่า เราจะจัดการปัญหาอย่างไร อยากรู้ว่า เรื่องอดีตนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร เขาห่วงธุรกิจเขา ห่วงประโยชน์ตัวเอง มองว่าจะมีโอกาสทางธุรกิจอย่างไร ซึ่งผมก็ตอบไม่ได้บอกไปว่า ต้องให้ครม.ตัดสินใจ
แต่ทุกคนพูดเหมือนกันว่า3G เกิดช้ายิ่งขาดทุนโอกาส อินเดียเป็นตัวอย่างประมูล 3G ไม่เสร็จสักที มีการประเมินความเสียหายว่า ทุก 6 เดือนที่ล่าช้าเสียหายราว 1,000 ล้านเหรียญจึงต้องกัดฟันทำ เป็นการลงทุนขั้นพื้นฐาน สิ่งที่รัฐได้คือเศรษฐกิจพัฒนา ได้ภาษีกลับมา
สัมปทานไทยคมถึงไหนแล้ว
รอทางไทยคมตอบหนังสือที่กระทรวงไอซีทีแจ้งมติครม.ให้ทราบว่าต้องมีการยิงดาวเทียมดวงใหม่ ต้องคืนเงินประกัน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และต้องปรับสัดส่วนผู้ถือหุ้นให้ชินคอร์ปกลับไปถือหุ้นในไทยคม 51% ตามเดิม รัฐยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากไอพีสตาร์ตามเดิม คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ค่าประกันเอกชนก็ได้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน ดาวเทียมดวงใหม่เขาก็อยากยิงอยู่แล้ว
เหมือนเข้าทางเอกชน
ใช่ก็ยอมรับ แต่รัฐก็ได้ไม่น้อย
ตอนรับตำแหน่งบอกว่าตั้งใจมาแก้ทุจริตเม็กกะโปรเจ็ค
เอาความจริงของโลกนะ เหมือนเอาก้อนหินทุ่มไปในบึงใหญ่ๆ ที่มีจอกแหนมันก็กระจาย พอน้ำนิ่งมันก็ค่อยๆ ไหลออกมาปิดเหมือนเดิม
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วงจรอุบาทว์
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง รวมตัวทำ Flash Mob ที่หน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตะโกนคำว่า "หน้าที่ของข้าราชการคือต้องรับใช้ประชาชน" ซึ่งเป็นคำฮิตและติดปากในละครเรื่อง "คู่เดือด" ที่นำแสดงโดยป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ
นายสมบัติได้เขียนลงในเฟซบุ๊คเพื่อให้เพื่อนๆสมาชิกช่วยกันกระจายข่าวต่อๆกันไป โดยมั่นใจว่าหลังกิจกรรม Flash Mob หน้าดีเอสไอ จะมีกระแสขานรับอย่างถล่มทลาย เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ดีเอสไอออกหมายจับ "แกนนำแดงสยาม" 4 คน และคนเสื้อแดงอีก 39 คน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ว่า
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
ละครเรื่อง "คู่เดือด" นายณัฐวุฒิ สกิดใจ รับบทเป็น "ปลัดดำ" ข้าราชการใจซื่อมือสะอาด แต่เสียใจในระบบราชการที่ตัวเองโดนสอบสวนทางวินัยและถูกพักงาน เพราะไปเปิดโปงขบวนการชั่วในท้องถิ่น จนถูกกลุ่มข้าราชการชั่วที่รับใช้นายทุนรวมหัวกันกลั่นแกล้ง ด้วยความอัดอั้นจึงระเบิดอารมณ์โดยตะโกนด่าข้าราชการว่า "หน้าที่ของราชการ...คือต้องรับใช้ประชาชน" ซึ่งสร้างกระแสให้กับประชาชนทั่วประเทศอย่างมาก เพราะสังคมไทยวันนี้ยังเต็มไปด้วยความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น
ข้าราชการจำนวนไม่น้อยไม่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชน ทั้งยังฉ้อราษฎร์บังหลวง และใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนต่างๆนานา
แม้แต่กระบวนการยุติธรรมยังถูกตั้งคำถามเรื่อง 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ที่กลายเป็นการดึงสถาบันตุลาการเข้ามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่นเดียวกับองค์กรอิสระต่างๆตามรัฐธรรมนูญก็ถูกตั้งคำถามเรื่องความสุจริตเที่ยงธรรม และความยุติธรรมที่เสมอภาค
วันนี้สังคมไทยจึงต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ศาล หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น ไม่ว่าผู้ทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมหรือข้าราชการต้องรับใช้ประชาชน โดยยึดมั่นในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ทั้งยังต้องมีจริยธรรมและความเป็นธรรมเพื่อให้ประชาชนเสื่อมใสและศรัทธา
คำว่า 2 มาตรฐานและความอยุติธรรมต่างๆจึงไม่ได้แตกต่างจากอำนาจเผด็จการ หรือการทำรัฐประหารที่เป็น “วงจรอุบาทว์” ในสังคมไทยมาตลอด 78 ปี
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
นายสมบัติได้เขียนลงในเฟซบุ๊คเพื่อให้เพื่อนๆสมาชิกช่วยกันกระจายข่าวต่อๆกันไป โดยมั่นใจว่าหลังกิจกรรม Flash Mob หน้าดีเอสไอ จะมีกระแสขานรับอย่างถล่มทลาย เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ดีเอสไอออกหมายจับ "แกนนำแดงสยาม" 4 คน และคนเสื้อแดงอีก 39 คน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ว่า
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
ละครเรื่อง "คู่เดือด" นายณัฐวุฒิ สกิดใจ รับบทเป็น "ปลัดดำ" ข้าราชการใจซื่อมือสะอาด แต่เสียใจในระบบราชการที่ตัวเองโดนสอบสวนทางวินัยและถูกพักงาน เพราะไปเปิดโปงขบวนการชั่วในท้องถิ่น จนถูกกลุ่มข้าราชการชั่วที่รับใช้นายทุนรวมหัวกันกลั่นแกล้ง ด้วยความอัดอั้นจึงระเบิดอารมณ์โดยตะโกนด่าข้าราชการว่า "หน้าที่ของราชการ...คือต้องรับใช้ประชาชน" ซึ่งสร้างกระแสให้กับประชาชนทั่วประเทศอย่างมาก เพราะสังคมไทยวันนี้ยังเต็มไปด้วยความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น
ข้าราชการจำนวนไม่น้อยไม่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชน ทั้งยังฉ้อราษฎร์บังหลวง และใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนต่างๆนานา
แม้แต่กระบวนการยุติธรรมยังถูกตั้งคำถามเรื่อง 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ที่กลายเป็นการดึงสถาบันตุลาการเข้ามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่นเดียวกับองค์กรอิสระต่างๆตามรัฐธรรมนูญก็ถูกตั้งคำถามเรื่องความสุจริตเที่ยงธรรม และความยุติธรรมที่เสมอภาค
วันนี้สังคมไทยจึงต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ศาล หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น ไม่ว่าผู้ทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมหรือข้าราชการต้องรับใช้ประชาชน โดยยึดมั่นในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ทั้งยังต้องมีจริยธรรมและความเป็นธรรมเพื่อให้ประชาชนเสื่อมใสและศรัทธา
คำว่า 2 มาตรฐานและความอยุติธรรมต่างๆจึงไม่ได้แตกต่างจากอำนาจเผด็จการ หรือการทำรัฐประหารที่เป็น “วงจรอุบาทว์” ในสังคมไทยมาตลอด 78 ปี
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
ความจริงที่ต้องถูกเปิดเผยใครผิดต้องถูกลงโทษ!
ก่อนครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล เตรียมออกรายงานฉบับพิเศษเจาะลึกเหตุการณ์ความขัดแย้งวิกฤตการเมืองปี 2553 ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) การกระทำของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง การกระทำของคนชุดดำ และความคืบหน้ากระบวนการสืบสวนหาผู้กระทำความผิด ซึ่ง “นายสุนัย ผาสุก” ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนฯ ได้เปิดใจกับ “ตวงพร อัศววิไล” ในรายการ Intelligence ทาง Voice TV ซึ่งมีหลายประเด็นที่ต้องจับตามอง หลังจากการเก็บข้อมูลของฮิวแมนไรท์ฯเชิงประจักษ์โดยลงพื้นที่ไปพูดคุยกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้น เช่น การสังหาร 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม การเผาเซ็นทรัลเวิลด์ และการเผาสถานีโทรทัศน์และศาลากลางจังหวัด เป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าแต่ละฝ่ายไม่รับผิดชอบ ความปรองดองสมานฉันท์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น
นอกจากนี้นายสุนัยยังเสนอให้คนเสื้อแดงยื่นเรื่องต่อคณะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของสหประชาชาติอย่างน้อย 4 คณะ เช่น การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน บุคคลสูญหาย และการปิดกั้นเสรีภาพ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและนำคนผิดมาลงโทษ
ถ้าเจาะดูเฉพาะปรากฏการณ์การเมือง ตรงนี้ต่างชาติคาดหวังขนาดไหน
ความคาดหวังต่อกระบวนการตรวจสอบโดยอาณัติของฝ่ายบริหารเพื่อจะนำมาสู่ความยุติธรรมนั้นไปโดย 2 ช่อง ช่องหนึ่งโดยกระบวนการยุติธรรมปรกติก็คือตำรวจ แล้วประเทศไทยก็มีอีกกลไกหนึ่งคือดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ตรวจสอบ ทำคดี ถ้ามีมูลอาญาก็ส่งฟ้องกันไป อีกทางหนึ่งคือเป็นดำริของฝ่ายการเมืองเพื่อหวังนัยเรื่องความสมานฉันท์ รัฐบาลเองก็มีเป้าในการจัดการเพื่อชี้ให้เห็นว่าภาระความรับผิดไม่ใช่ตกอยู่ที่รัฐอย่างเดียว เพราะธงของรัฐบาลชี้ให้เห็นตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว หลักๆคือตั้งแต่คืนวันที่ 10 เมษายนที่แยกคอกวัว บอกว่ามีกองกำลังอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรุนแรงครั้งนี้ การตรวจสอบที่รัฐบาลพยายามจะสร้างขึ้นมาก็คือชี้มูลให้เห็นมิติด้านนี้ ก็เป็นเป้าหมายที่ชอบกับเป้าหมายทางการเมือง มันผสมปนเปกันอยู่
อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญคือประเทศไทยไม่เคยมีครั้งไหนที่จะตั้งกรรมการอย่างเปิดเผยขนาดนี้ แล้วก็มีนัยสำคัญคือถ้าพบข้อมูลอย่างไรแล้วจะดำเนินการให้เกิดความยุติธรรมโดยไม่แยกฝักฝ่าย แล้วก็จัดให้มีนิรโทษกรรม อันนี้เป็นสาระสำคัญ ถัดมารายงานที่ทำออกมาแล้วจะเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ปิดกั้น คงจำกันได้ว่าตอนพฤษภาทมิฬ 35 ทำออกมาแล้วไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน มีบางส่วนออกมาแต่ขีดฆ่าเป็นหมึกดำๆป้ายเต็มไปหมดเลย แล้วปัจจุบันรายงานฉบับเต็มชุดนั้นไปอยู่ที่ไหน หาไม่เจอ ไม่มีใครหารายงานฉบับเต็มได้ เข้าใจว่า คอป. ก็พยายามติดตามเพื่อที่จะเอามาเทียบเคียงกัน
สมัยคุณทักษิณ เหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ มีการตั้งกรรมการอิสระขึ้นมา กรรมการอิสระทำงานได้ดีมาก ก็เป็นการสร้างบรรทัดฐาน ถึงจะเป็นกรรมการที่ตั้งโดยฝ่ายการเมือง แต่ถ้ากรรมการมีความเป็นกลางอย่างแท้จริงก็จะบันทึกข้อมูลได้อย่างเต็มที่ รายงานก็ออกมาดี สำหรับ คอป. ของอาจารย์คณิต (คณิต ณ นคร) ตั้งโดยฝ่ายการเมือง แต่ถ้ากรรมการแต่ละคนมีความเป็นกลางชัดเจน แล้วกรรมการสามารถเข้าถึงข้อมูลของทุกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ งานก็น่าจะออกมาดีได้
คอป. สัญญาว่าก้าวที่หนึ่งจะทำข้อมูลอย่างเป็นกลาง โปร่งใสเต็มที่ ก้าวที่สองบอกว่าจะเปิดเผยต่อสาธารณะ ก้าวที่สามจะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก้าวที่สี่จะไม่มีการนิรโทษกรรมฝ่ายใดเลย ในสัญญามันครบทุกประเด็น ในแง่ความหวังก็ไม่ได้หวังว่ามาจากต่างชาติอย่างเดียว แต่ความคาดหวังคือคนไทยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ญาติพี่น้องบาดเจ็บล้มตายก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ทรัพย์สินเสียหาย ธุรกิจถูกเผาทำลาย คำตอบอยู่ที่ไหน คำตอบที่รายงานของ คอป. ไง เพราะฉะนั้นการประเมินเลยเข้มข้นว่า คอป. เอาเข้าจริงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ผ่านมาจะครึ่งปีแล้ว คอป. พูดออกมาอย่างเปิดเผยหลายครั้งว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ที่สำคัญคือฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ให้ความร่วมมือเลย
รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์เจาะลงไปในแต่ละเหตุการณ์และหาข้อมูลจากไหนมาเรียบเรียงเป็นรายงาน
มีเจ้าหน้าที่เดินทางเข้ามาภายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แล้วเจ้าหน้าที่แต่ละคนก็มีความชำนาญแตกต่างกันไป มีผู้ที่มีความชำนาญด้านการศึกษากรณีความขัดแย้งด้านกำลัง ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธต่างๆ คือดูแล้วสามารถประเมินได้ว่าใช้อาวุธชนิดไหนต่อกัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องของบาดแผลต่างๆ แล้วก็มีการประเมิน คนเหล่านี้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ไม่ใช่ข้อมูลจากนักข่าวหรือจากสื่อมวลชนอย่างเดียว แต่เป็นข้อมูลโดยตรงเลย อย่างกรณีความขัดแย้งด้านการเมืองเมื่อปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ของฮิวแมนไรท์วอทช์อยู่ในพื้นที่โดยตลอด อยู่สังเกตการณ์ภาคสนามระหว่างเกิดเหตุการณ์เลย อยู่ในพื้นที่ตอนชุมนุม ตอนที่ปะทะและสลายการชุมนุม
ฉะนั้นการเก็บข้อมูลจะเป็นข้อมูลเชิงกระจ่างและทางตรง แล้วหลังจากเหตุการณ์จนจบวันที่ 19, 20 เจ้าหน้าที่ก็เริ่มพูดคุยกับผู้บาดเจ็บ ทั้งผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ฝ่ายผู้ชุมนุม สื่อมวลชน ประชาชน และเจ้าหน้าที่บางส่วนก็ได้พูดคุยด้วย ก่อนที่ ศอฉ. จะไม่ให้เจ้าหน้าที่พูดกับคนอื่น หลังจากนั้นก็เป็นการพูดคุยระดับทางการ คือคุยกับโฆษก ศอฉ.
ข้อมูลไม่ใช่เป็นการเรียกหน่วยงานเหมือน คอป.
เราไม่เป็นลักษณะนั้น เราเข้าไปหาเขามากกว่า เข้าไปยังพื้นที่แล้วก็เข้าไปพบปะกับคนเหล่านั้น ข้อมูลที่ได้มาก็มีการประเมินจากเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ อย่างการสังเกตลักษณะวิถีกระสุน กรณีของวัดปทุมฯเจ้าหน้าที่ก็สังเกตว่าลักษณะกระสุน รอยที่อยู่ที่นั่นที่นี่ยิงมาจากที่ไหน ภาพของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บเท่าที่ได้มา จะเป็นภาพจากโทรศัพท์มือถือก็ดี คลิปของนักข่าวก็ดี คนเหล่านั้นมีลักษณะถูกยิงบาดเจ็บขณะทำอะไรอยู่ ช่วงเวลาใกล้เคียงนั้นมีคนกลุ่มไหนบ้างที่มีอาวุธอยู่ในมือ
ช่วงเหตุการณ์ตั้งแต่การชุมนุมมีนาคม 2553 ข้อมูลที่ได้มีจุดพลิกผันก่อนจะมาถึงวันที่ 10 อย่างไร
รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ไม่ใช่รายงานประจำปีเพียงอย่างเดียว แต่ก่อนหน้านั้นทั้งปี ปีที่แล้วนับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมาผมจำได้ว่าฮิวแมนไรท์วอทช์มีแถลงการณ์เกี่ยวกับประเทศไทยเยอะมาก แถลงการณ์ทุกครั้งพูดถึงการชุมนุมของ นปช. ในช่วงเดือนแรกดำเนินไปในลักษณะค่อนข้างปราศจากความรุนแรง แม้จะมีวาทกรรมที่อาจหนักหน่วงอยู่ แต่ความรุนแรงในเชิงกายภาพไม่ปรากฏ จะมีก็แต่เรื่องของการยิงเอ็ม 79 คงจำกันได้ที่วิภาวดี 51 แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ
จุดพลิกผันที่ฮิวแมนไรท์วอทช์บอกว่าเป็นการยกระดับสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงเชิงกายภาพคือวันที่เริ่มเคลื่อนผู้ชุมนุมเข้าไปที่รัฐสภา อันนั้นเป็นจุดที่ใช้หลักปฏิบัติการสากลเข้ามาในเชิงกายภาพ แล้วรัฐบาลก็ตอบโต้ด้วยการยกระดับสถานการณ์ มาตรการรับมือกับผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งเป็นมาตรการที่มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ คือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อันนี้ผมเรียนชี้แจงว่าในทางกฎหมายระหว่างประเทศ การประกาศสภาวะฉุกเฉินสามารถทำได้ แต่ต้องมีเหตุผลชัดเจนว่ามีภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของรัฐ แล้วการใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นจะต้องไม่เกินกว่าเหตุ ไม่เกินกว่าความจำเป็น
สิ่งที่ตามมาคือพอผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในรัฐสภา รัฐบาลก็ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเกินกว่าเหตุไหม สิ่งที่ฮิวแมนไรท์วอทช์เป็นห่วงมากก็คือสภาวะฉุกเฉินมีหลายมิติที่ดูแล้วน่าจะเกินกว่าเหตุ
ถัดมาคือกรณีไทยคม คือทั้ง 2 ฝ่ายชัดเจน ฝ่ายผู้ชุมนุมก็ใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่อันนี้น่าสนใจว่าเอากำลังอาวุธจริงไปแต่เลือกที่จะไม่ใช้ ใช้แค่กระสุนยาง ใช้แค่แก๊สน้ำตา แต่ในที่สุดก็เป็นฝ่ายถอย หลังจากเหตุการณ์ไทยคมก็เข้าสู่เหตุการณ์วันที่ 10 คือที่สี่แยกคอกวัว ตอนเช้าคือฝ่ายรัฐพร้อมจะสลายการชุมนุมว่าจะเอาที่ราชประสงค์หรือที่สี่แยกคอกวัว ก็กลายเป็นสี่แยกคอกวัว
เหตุการณ์วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ฮิวแมนไรท์วอทช์เริ่มสังเกตว่ากฎการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ที่ ศอฉ. ประกาศออกมามีความน่ากังวลอยู่ในหลายจุด คือบอกว่าโล่ กระบอง ฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา แต่จบลงด้วยกระสุนจริง การใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุม โดยเฉพาะการชุมนุมขนาดใหญ่อย่างนี้มีความสุ่มเสี่ยงอยู่แล้วในพื้นที่ที่ประชาชนอาศัยอยู่แถวนั้นด้วย วันที่ 10 ตั้งแต่ช่วงบ่ายก็มีการตั้งแถวเจ้าหน้าที่แล้วยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้า ซึ่งอันนั้นไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามในโลก ในประเทศไทยเราก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจหลายครั้ง เช่น เด็กๆ น้องๆอยู่ในบ้านแล้วกระสุนตกใส่เสียชีวิต วันนั้นยิงขึ้นไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันนัด แล้วพื้นที่ตรงนั้นเป็นชุมชน กระสุนความเร็วขึ้นไปกับความเร็วลงมาไม่เท่ากัน จุดนั้นเป็นจุดที่กังวลแล้วว่าทำไมให้เจ้าหน้าที่ยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้า คือถ้ายิงด้วยปืนจริงใช้กระสุนเปล่าก็ได้ ใช้ลูกแบลงค์ก็ได้
ปลอกกระสุนที่เราเจอเป็นปลอกกระสุนจริงทั้งสิ้น แล้วการทิ้งแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันอันตรายในตัวเอง คือนอกจากทิ้งลงมาแล้วยังยั่วยุให้โกรธ ให้คุ้มคลั่งมากขึ้น ถ้าตกใส่ใครก็มีสิทธิบาดเจ็บล้มตายได้ ทิ้งมาจากที่สูงขนาดนั้น ช่วงนั้นก็เห็นแล้วว่าฝั่งเจ้าหน้าที่เริ่มกดดันใช้กำลัง แล้วมีปัญหา 1.ใช้กระสุนยิงขึ้นฟ้า 2.ทิ้งแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ทางผู้ชุมนุมเป็นอย่างไร ในช่วงกลางวันเท่าที่สังเกตเห็นจะเป็นลักษณะการต่อสู้แบบตามมีตามเกิด ท่อนหิน ท่อนไม้ หนังสติ๊ก ขว้างปาขวดน้ำ แต่พอช่วงค่ำมีจุดพลิกผัน คือเหตุการณ์ทำท่าจะซาลงแล้ว อยู่ๆก็ทวีขึ้นมาใหม่ว่ามีกลุ่มติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่ จุดนี้เป็นจุดที่ต้องตรวจสอบว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่ามีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่แล้วมีอาวุธหนัก เป็นอาวุธสงคราม ขณะเดียวกันฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ส่งทหารเข้ามาก็มีจุดที่น่าห่วง คือมืดแล้ว ตกลงจะเป็นการปฏิบัติการในยามวิกาลหรือไม่ มีความเหมาะสมหรือไม่
ประการที่ 2 คือเหตุการณ์ไม่ได้จำกัดอยู่ตรงแยกคอกวัวอย่างเดียว มีการแยกเคลื่อนกำลังมาจากเส้นปิ่นเกล้าด้วย แล้วพยายามจะข้ามสะพานไปปิ่นเกล้า มีทั้งรถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะติดปืนกลหนักอยู่ข้างบน แล้วมีเครื่องกระสุนอยู่ใกล้เคียง จะใช้หรือไม่ใช้ แต่การนำอาวุธหนักขนาดนั้นเข้ามาใช้ปฏิบัติการมีเจตนาอย่างไร
อันนี้ตรวจสอบได้ไหมว่าอาวุธนำเข้ามาหลังมีชุดดำหรือว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวกัน
จุดนี้เป็นจุดที่เราพยายามขอให้ คอป. ตรวจสอบ น่าจะเข้าถึงข้อมูลได้ดีกว่ารายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ คือพยายามชี้ประเด็นให้เห็นว่าเป็นจุดที่เราสงสัย เป็นจุดที่เรากังวล ตอบได้ไหม แต่พอหลังจากดึกขึ้นมาหน่อยก็เริ่มมีการยิงกัน ช่วงนี้เราได้คุยกับพยาน ได้คุยกับช่างภาพทั้งไทยและเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็พูดชัดเจนตรงกันว่ามีกองกำลังชุดดำปรากฏขึ้นและใช้อาวุธยิงเข้าใส่แนวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งคงทราบกันดีว่าเกิดการล้มตายเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ล่าถอย แต่ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ล่าถอยก็มีลักษณะการยิงปืนเป็นแนวตรงใส่ อันนี้ก็ปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์หลายครั้ง ทั้งในแถลงการณ์ประจำปีเราก็พูดเรื่องนี้ว่าระหว่างล่าถอยมีความแตกตื่นของเจ้าหน้าที่ก็ยิงปืนซึ่งเป็นปืนอัตโนมัติ จะเป็นเอ็ม 16 ก็ดี เป็นบราโวก็ดี ยิงออกไปเป็นแนวตรง แต่จุดใหญ่จริงๆของเหตุการณ์วันที่ 10 คือกองกำลังที่มีอาวุธที่เราเห็น อาก้าก็ดี เอ็ม 79 ก็ดี ระเบิดขว้างก็ดี อันนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งต้องเจาะให้เห็นว่ากองกำลังเหล่านี้คือใคร เพราะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บล้มตาย
แต่จับคนชุดดำไม่ได้สักคน ได้แต่โทษกันไปมา
เรื่องคนชุดดำเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมคิดเหมือนคุณตวงพรว่าตกลงเราจับคนชุดดำได้หรือเปล่า คงจำกันได้ว่าช่วงที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงก็ดี ช่วงที่มีการชุมนุม 2-3 เดือนแล้วต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ดีเอสไอให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าจับคนชุดดำได้แล้ว แล้วคนชุดดำเหล่านั้นอยู่ที่ไหน มีการส่งฟ้องหรือไม่ หรือกันตัวเป็นพยาน เพราะเท่าที่สาธารณะรับรู้มีดาราท่านหนึ่งถูกควบคุมตัวไป เขาบอกว่าไม่ได้เป็นคนชุดดำ แต่เขารับรู้ ก็ถูกกันเป็นพยาน นอกจากนั้นก็มีคนที่อ้างว่าเป็นคนสนิทของนายทหารที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต อ้างว่าจับได้ที่โน่นที่นี่ ตอนนี้คนเหล่านี้อยู่ที่ไหน อันนี้ก็จะกลับมาประเด็นที่น่าเป็นห่วง
ก่อนที่จะพูดถึงการใช้อำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มันเปิดทางให้นำคนไปไว้ที่เซฟเฮาส์ต่างๆได้ เอาคนไปคุมขังไว้ในค่ายทหารต่างๆได้โดยไม่ต้องมีการตั้งข้อหา แล้วหลังจากนั้นอยู่ที่ไหน อันนี้เป็นข้อมูลที่ผู้แทนดีเอสไอ หัวหน้าดีเอสไอให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะหลายครั้ง ก็เหมือนกลับมาพันตัวเขาว่าคุณบอกว่าคุณจับคนเหล่านั้นได้ เอาตัวไปไว้เซฟเฮาส์ เอาตัวไปไว้เพื่อสอบสวน แล้วตอนนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ฮิวแมนไรท์วอทช์ถามมาตลอดว่าเรารู้ว่ามีการควบคุมตัวตน แล้วหลังจากนั้นจะตั้งข้อหาเขา ซึ่งตอนหลังรัฐบาลก็บอกว่าทยอยให้ประกันตัวออกมาก่อน กลุ่มนี้เรารู้ว่าอยู่ที่ไหน สามารถระบุตัวได้ ตอนนี้มีสัก 120 กว่าคนอยู่ในเรือนจำและสถานพินิจฯก็สามารถเข้าเยี่ยมได้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯก็สามารถเยี่ยมได้ แต่กลุ่มที่ดีเอสไอบอกว่าควบคุมตัวแล้วเอาไปไว้ที่โน่นที่นี่อยู่ที่ไหน
พ.ร.ก.ฉุกเฉินสามารถคุมตัวได้ไม่เกิน 30 วัน
นั่นน่ะสิ พอครบ 30 วันแล้วทำอย่างไรกับคนเหล่านั้นต่อ...ไม่รู้ นี่เป็นกล่องดำกล่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในช่วงที่มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือกลุ่มคนที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนชุดดำ หรือเป็นการ์ดติดอาวุธของ นปช. ต้องแยกว่าคนชุดดำส่วนหนึ่งซึ่งตัวตนเขาเราไม่ชัดเจน แล้วพวกการ์ดนปช. ที่มีอาวุธ อันนี้ชัดว่าเขาเป็นการ์ด เขามีสัญลักษณ์ มีป้าย มีผ้าคลุม มีเสื้อ อันนี้ชัดเจน ตกลงมีการเอา 2 กลุ่มนี้มาโยงกันไหม แล้วปฏิบัติต่อเขาอย่างไร...ไม่รู้ แล้วเราก็ทวงถามรัฐบาลมาตลอด รัฐบาลก็ไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับใคร คือไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ข้อมูลนี้ รัฐบาลให้ข้อมูลแต่คนที่อยู่ในเรือนจำ ในสถานพินิจฯ คอป. ก็ไม่ได้ข้อมูลตรงนี้ว่าตกลงคนที่ถูกควบคุมตัวแบบลึกลับไม่เคยตั้งข้อหาอยู่ที่ไหน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็ไม่ได้ กรรมาธิการของรัฐสภาก็ไม่ได้ ตกลงว่ามีความลับเกิดขึ้น
ถ้าพูดถึงชุดดำ คอป. น่าจะหาคำตอบตรงนี้ได้ แล้วในส่วนดีเอสไอก็พยายามแบ่งเป็น 3 กรณีสำหรับการเสียชีวิต ก็ยังเป็นหลุมดำอยู่เหมือนกัน
ดีเอสไอจริงๆก็เป็นปัญหาต่อการทำงานของรัฐเอง ดีเอสไอเคยบอกว่าจับตัวคนเหล่านี้ได้แล้วแต่ไม่ออกมาระบุชัดเจนว่าคนเหล่านี้ชื่อเรียงเสียงใด สถานะในการดำเนินคดีไปถึงไหนแล้ว กันไว้เป็นพยานหรือว่าจะส่งฟ้องต่อไป ก็เลยมีข้อสงสัยจากฝั่งคนเสื้อแดงซึ่งพูดเรื่องนี้มาตลอด ตกลงชุดดำใครเป็นคนจัดมากันแน่ ทางนานาชาติที่ตรวจสอบก็พยายามชี้ประเด็นนี้ว่าตกลงชุดดำใครจัด ถ้าดีเอสไอทำงานอย่างโปร่งใสมากกว่านี้ มีการชี้แจงต่อสาธารณะมากกว่านี้ ข้อกังวลเรื่องเหล่านี้น่าจะหมดไป หรืออย่างน้อยถ้าไม่อยากพูดเองก็ให้ข้อมูลกับ คอป. แล้ว คอป. ก็จะออกมาแถลงหรือบรรจุอยู่ในรายงาน ความกังวล ความคลางแคลงใจน่าจะหมดไป เพราะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง มีการยิงเอ็ม 79 ที่โน่นที่นี่ มีการปาระเบิดเอ็ม 79 ใส่ที่โน่นที่นี่ แล้วก็มีการสูญเสียหนักๆคือที่แยกศาลาแดง ตรงสถานีรถไฟบีทีเอส ตรงนั้นใครเป็นคนทำ ถ้าสามารถระบุตัวคนชุดดำได้ก็จะเห็นชัดเจน คือการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุมประท้วงมันชัด แต่มือที่สามหรือจริงๆอาจมีมือที่สี่ ที่ห้า ตกลงมีกี่ฝักกี่ฝ่ายกันแน่ อันนี้ต้องตอบให้ได้
หลังเกิดเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว เกิดความสูญเสีย ทุกฝ่ายมีความพยายามที่จะเจรจาเพื่อหาทางลงสวยๆ ทำไมจึงล้มเหลว
จุดนี้เป็นจุดใหญ่ที่เราอยากเห็นคำตอบออกมาจากรายงานของ คอป. เพราะช่วงนั้นเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ช็อกทั้งสังคมไทยและนานาชาติ มีคำถามว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้หรือ แล้วก็มีความพยายามที่เป็นมาตรการทางการเมืองหรือไม่ เราก็เห็นความพยายามจากทางการเมือง แล้วมีสัญญาณจากทั้ง 2 ฝ่ายว่าน่าจะไปกันได้ดี มีการอะลุ้มอล่วยกัน เช่น ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าจะร่นอายุการอยู่ในอำนาจ จะยุบสภาแล้วก็จัดให้มีการเลือกตั้ง แต่ก็ตั้งเงื่อนไขว่าการชุมนุมซึ่งจะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยจะต้องยุติลง แกนนำบางส่วนซึ่งค่อนข้างเป็นสายกลางก็ส่งสัญญาณบวกมา แต่อยู่ๆการเจรจาก็ล่มลง เกิดอะไรขึ้น มีปัจจัยหรือมีบุคคลใดเข้ามาขัดขวางกระบวนการเจรจาที่จะแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งช่วงคืนวันที่ 18 พฤษภาคมต่อเนื่องเช้าวันที่ 19 เห็นว่ามีการเจรจาของวุฒิสภาเกิดขึ้นโดย เสธ.อู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มีการกำหนดพื้นที่ว่าถ้าการชุมนุมยุติจะทยอยเอาคนเข้ามาไว้ในวัดปทุมฯ วัดปทุมฯจึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่อภัยทาน
แต่อยู่ๆกระบวนการก็ล่ม เกิดอะไร มีความพยายามที่จะเลื่อยกระบวนการสันติวิธีนี้ตลอด ถ้าสามารถเปิดโปงอันนี้ได้ กระบวนการหรือปัจจัยใดที่เลื่อยกระบวนการสันติวิธีก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบมากๆคนหนึ่งในฐานะที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย สูญเสียอย่างมากมายมหาศาลทั้งฝ่ายประชาชนและฝ่ายรัฐ แล้วคนที่ไม่เกี่ยวข้องจะต้องถูกเปิดโปง เราก็หวังว่ารายงานของ คอป. น่าจะนำมาสู่การเปิดข้อมูลในส่วนนี้ด้วย
ย้อนกลับมาวันที่ 10 เมษายนนิดหนึ่งว่าวันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจ เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนเสียใจ เราก็มองแล้วว่าเอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น ถึงขั้นที่รัฐบาลต้องหันไปใช้กำลัง ซึ่งเป็นกำลังแบบเต็มที่ นั่นคือใช้กำลังทหาร ทำไมรัฐถึงไม่ใช้ตำรวจ กระโดดข้ามขั้นไปใช้ทหาร แล้วพอเกิดเหตุขึ้นก็ยกระดับของความรุนแรง อันนี้เป็นอีกประเด็นที่ต้องมีการตรวจสอบ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมีการยกระดับความรุนแรงขึ้นมา
วาทกรรมคำพูดก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ เป็นการปลุกให้คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะยกระดับความรุนแรงขึ้นทั้งสิ้น เช่น เมื่อกระบวนการเจรจาล้มแล้วก็มีการกระชับพื้นที่ ฝ่ายผู้ชุมนุมก็เริ่มมีวาทกรรมบอกว่าต้องต่อสู้ เรื่องการเอาชีวิตเข้าแลก อะไรเหล่านี้เริ่มผลักคนให้อยู่ในที่สุดโต่งกันทั้งคู่ ช่วงเวลานั้นคงจำกันได้ว่าจะมีการแถลงข่าวหลายครั้งว่าเอาล่ะ มีการปิดกระชับพื้นที่รอบราชประสงค์ไม่ให้คนเข้ามาเพิ่มได้ ออกได้อย่างเดียว ห้ามพกอาวุธ มีการตรวจสอบอาวุธแล้วจะนำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยต่างๆมาปิดทางราชปรารภ ปิดล้อม 3 ด้าน 3 ทิศ แล้วมีการแถลงข่าวคืนหนึ่งจากทางราบ 11 ว่ากองกำลังเจ้าหน้าที่ถูกระดมยิงใส่ด้วยอาวุธอย่างหนัก ตรงนี้เอ็ม 79 ตรงนั้นเอาปืนอาก้า อะไรพวกนั้นเข้ามา แล้ว ศอฉ. ก็ประกาศเรื่องเขตพื้นที่การใช้กระสุนจริง ฮิวแมนไรท์วอทช์ออกแถลงการณ์ภายใน 24 ชั่วโมง กังวลพื้นที่การใช้กระสุนจริง เพราะเสี่ยงที่จะเกิดการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เพราะหลักกติกาของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีเครื่องกระสุน อาวุธจริงในการรักษากฎหมายจะต้องอยู่ในเหตุที่เหมาะสม และการใช้อาวุธปืนไปในทางที่มุ่งจะรักษาชีวิต ไม่ใช่ทำลายชีวิต แต่พื้นที่กระสุนจริง พอเอาเข้าจริงก็มีเรื่องของการใช้สไนเปอร์ ซึ่งสไนเปอร์เป็นประเด็นที่นานาชาติจับตามองมาตั้งแต่คืนวันที่ 10 เมษายนแล้ว
พอเกิดนโยบายการใช้กระสุนจริง ประเด็นเรื่องสไนเปอร์ยิ่งชัดมากขึ้น ยิ่งมีภาพของผู้ที่เสียชีวิตซึ่งเป็นพลเรือน ตกลงคนที่เป็นเป้าพื้นที่กระสุนจริงไม่ได้จำกัดอยู่ที่กองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือที่เราเรียกว่าคนชุดดำแต่อย่างเดียว แต่มีทั้งผู้ชุมนุมประท้วงและคนที่ผ่านไปผ่านมา ที่สำคัญคือบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครพยาบาลก็โดนไปด้วย จุดนี้น่าเป็นห่วง สื่อมวลชนก็โดนไปด้วย เรื่องของกองกำลังคนชุดดำนี่ผิดแน่ๆอยู่แล้วชัดเจน เพียงแต่ต้องเปิดตัวออกมาให้ได้ว่าเขาเป็นใคร แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็ใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสม มาตรการที่มีความรุนแรงเกินกว่าเหตุ แล้วหลังจากนั้นลักษณะอย่างที่เกิดขึ้นที่ราชปรารภก็ไปโผล่ที่บ่อนไก่ ไปโผล่ตามแนวรอบๆบ่อนไก่
ในรายงานสไนเปอร์มาจากไหน โดยเฉพาะผลการชันสูตร ญาติผู้เสียชีวิตบอกว่าถูกกระสุนปืนความเร็วสูง แต่ก็ไม่มีรายละเอียดฉบับเต็มของผลการชันสูตร
กระสุนความเร็วสูงใช้ด้วยกันทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและคนชุดดำ คือเป็นอาวุธสงครามกับปืนสไนเปอร์ พวกนี้เป็นกระสุนความเร็วสูงทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้ขนาดของกระสุนก็ตอบได้ยาก ต่อให้รู้ขนาดก็เป็นปืนที่ใช้ทั้ง 2 ฝ่าย เช่น ขนาดกระสุนเอ็ม 16 ก็ใช้ด้วยกันทั้ง 2 ข้าง ถ้าสไนเปอร์อาจบอกขนาดได้ แล้วระบุยี่ห้อ ระบุรุ่นได้ แต่ต้องได้ข้อมูลที่ครบถ้วนจากรายงานชันสูตรศพ แต่ภาพของเหตุการณ์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต่อเนื่องกันมาตลอดว่าฝ่ายรัฐมีนโยบายที่น่ากังวลเรื่องความรุนแรงที่คุมไม่ได้ ฝ่ายผู้ชุมนุมก็รู้สึกว่าจนตรอกแล้ว จะเอายังไงก็พร้อมจะต่อสู้ แต่ผู้ชุมนุมก็ต้องแยกแยะว่าส่วนหนึ่งใช้อาวุธที่ทำกันเอง บั้งไฟก็ดี หนังสติ๊กก็ดี ระเบิดเพลิงก็ดี ตรงนี้เป็นอาวุธ แต่ก็เป็นอาวุธที่ทำกันเอง กับกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายใช้อาวุธสงคราม อันนี้ต้องแยกแยะ มันต่างกัน เรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เรื่องคนชุดดำเป็นโจทย์ใหญ่มาก คือถ้าตอบปุ๊บสามารถชี้ความรับผิดได้อย่างชัดเจน แต่ปัญหาเวลาคนชุดดำปฏิบัติการเขาไปอยู่ตามแนวของผู้ชุมนุมประท้วงด้วย ทำให้ผู้ชุมนุมประท้วงถูกลากเหมาเข้าไป ซึ่งจริงๆ นปช. ก็เป็นภาระที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ก็ควรออกมาช่วยแยกแยะว่าคนชุดดำคือใคร
บุคคลหนึ่งที่ผูกติดและถูกเชื่อมโยงกับคนชุดดำมาตลอดก่อนที่จะเสียชีวิตคือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล รายงานฮิวแมนท์ไรท์วอทช์มีแค่ไหนเรื่องบทบาทของ พล.ต.ขัตติยะ
น่าเสียดายที่ท่านเสียชีวิตไป ท่านเป็นประเด็นที่ต้องถูกตรวจสอบด้วย เพราะเป็นการลอบสังหารด้วยสไปเปอร์กลางเมือง เป็นการลอบสังหารที่ตอบไม่ได้ว่าฝ่ายใดอยู่เบื้องหลัง เท่าที่ผ่านมาในประเทศไทยกรณีลอบสังหารทางการเมืองเป็นกรณีที่ไม่มีคำตอบ ผ่านมาหลายสิบปีหลายกรณีก็ยังไม่มีคำตอบ แต่เรื่องของ พล.ต.ขัตติยะเป็นเรื่องใหญ่ และสิ่งที่จะเป็นประโยชน์อย่างมากคือก่อนที่ พล.ต.ขัตติยะจะถูกลอบสังหาร คนที่อยู่แวดล้อมท่านถูกจับกุมอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากดีเอสไอเปิดเผยรายงานการจับกุมหรืออนุญาตให้กรรมการที่สอบสวนเหตุการณ์ได้เข้าถึงบรรดาคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะที่ถูกจับกุมหรือควบคุมตัว จะให้ความกระจ่างได้ในระดับหนึ่งว่าท่านมีความเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร หรือมีกลุ่มอื่นเข้ามาอีก อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ พอขาดความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล การสืบสวนสอบสวนทำให้ประเด็นอื่นติดขัดไปหมด การอธิบายเหตุการณ์ติดขัดไปหมด
ประเด็นการสังหารหมู่ในวัดปทุมฯ 6 ศพ
กรณีของวัดปทุมเป็นเรื่องใหญ่ในตัวของมันเอง ตั้งแต่พื้นที่วัดปทุมฯมีบุคคลใดเข้าไปอยู่ ถ้าเรายึดหลักตั้งแต่ที่วัดปทุมฯเป็นศาสนสถาน เป็นเขตที่แตะต้องไม่ได้ และเรามีเงื่อนไขการเมืองคือการเจรจาที่ตกลงทั้ง 2 ฝ่ายว่าเป็นเขตอภัยทาน ถ้าคนอยากจะยุติการชุมนุมให้เข้ามาอยู่ที่นี่เพื่อรอการมอบตัว เป็นพื้นที่แตะต้องไม่ได้ ประการที่ 2 คนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่แน่ๆคือผู้ชุมนุมประท้วง ถามว่าเป็นผู้ชุมนุมประท้วงทั้งหมดหรือเปล่า มีส่วนของผู้ติดอาวุธแฝงเข้ามาไหม ซึ่งใครจะตอบเรื่องนี้ได้ ประการที่ 3 คือแม้จะมีผู้ติดอาวุธปะปนอยู่บ้าง เมื่อมีการสลายการชุมนุมแล้วก็มีการเข้าค้นภายในวัดปทุมฯแล้วบอกว่าเจออาวุธ แต่ก็ต้องพิสูจน์ว่าอาวุธนั้นมาจากไหน ปรากฏอยู่ในเวลาใด เมื่อพบไม่ว่าอย่างไรก็ตามอาวุธเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่หรือไม่ ถ้าไม่ถูกนำมาใช้เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีสิทธิใช้อาวุธรุนแรงยิงเข้าไปในวัดปทุมฯ อันนี้เป็นคำถามที่ตามมาว่าเมื่อมีผู้เสียชีวิตแล้วใครเป็นคนยิง
ถ้าหากดูข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางมาจากต่างประเทศ พูดคุยกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งก็เป็นผู้ชุมนุมด้วย เป็นผู้สื่อข่าวทั้งไทยและเทศ แล้วดูแนววิถีกระสุน ก็สรุปได้ว่าการเสียชีวิตของคนในวัดปทุมฯเกิดจากการยิงเข้าใส่จากข้างนอก ซึ่งอันนี้เราก็พูดอยู่ในรายงานประจำปีว่าเป็นการเสียชีวิตจากการยิงข้างนอกคือแนวข้างบนของรถไฟฟ้า ซึ่งในที่สุดก็มีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ราชการอยู่บนรางของรถไฟฟ้า อันนี้ก็ชัดเจน
ความพยายามของคนเสื้อแดงที่ยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
โอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับเข้ามาตรวจสอบกรณีทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยน้อยมากคือใกล้เคียงกับศูนย์ ประเด็นแรกคือไทยไม่ได้เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศ แล้วถ้าหากวันใดวันหนึ่งรัฐบาลไทยให้สัตยาบันจะตรวจสอบย้อนหลังได้หรือไม่ เป็นความผิดย้อนหลังจะตรวจสอบได้หรือไม่ อันนี้ก็เป็นข้อสังเกต แต่ถ้าหากช่องทางปัจจุบันทำได้เต็มที่ คือรวบรวมข้อมูลส่งต่ออัยการ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่ง นปช. ได้ส่งไปแล้ว และหลังจากนั้นถ้าอัยการส่งเรื่องต่อไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความสำคัญพอ คณะมนตรีฯก็จะบอกว่าศาลอาญาระหว่างประเทศตรวจสอบประเด็นนี้ได้ ถึงแม้ไทยจะไม่ได้เป็นภาคีก็สามารถตรวจสอบได้ กรณีนี้มีโอกาสเป็นไปได้แต่ก็ไม่เยอะ
แต่การขับเคลื่อนของ นปช. มีผลต้อประเด็นการเมืองด้านกระแสมากกว่าด้านความยุติธรรม ถามว่าความยุติธรรมระหว่างประเทศจะเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไหม คำตอบคือไม่ใช่ ยังมีช่องทางอื่นที่น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์และเห็นผลที่เป็นรูปธรรมได้มากกว่านี้ คือทางระหว่างประเทศเรามีคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันคนไทยดำรงตำแหน่งเป็นประธานคือ คุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว และตามวาระปีนี้เป็นปีที่ครบกำหนดประเทศไทยจะต้องถูกตรวจสอบตามพันธะด้านสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมือง ก็สามารถทำข้อมูลที่คนเสื้อแดงเห็นว่าเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่งให้มีการประเมินสถานการณ์ในประเทศไทย
นอกจากนั้นเลขาธิการสหประชาชาติยังมีผู้ชำนาญการสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆทำงานอยู่ ถ้ามองประเทศไทยเราแยกประเด็น เช่น การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวข้องกับการควบคุมตัวโดยพลการ การทำบุคคลให้สูญหาย การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ เอาแค่นี้ 4 ประเด็นเกี่ยวข้องกับประเทศไทยทั้งสิ้นเมื่อปีที่แล้ว เราสามารถแยกส่งประเด็นเหล่านี้ให้กับผู้ชำนาญการโดยคณะทำงานเหล่านั้นได้ ซึ่งถ้าเขารับเรื่องก็จะทำหนังสือขออย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทยเข้ามาตรวจสอบ ถ้าหากไม่ให้เขามาตรวจสอบนั่นก็เป็นประเด็นว่ามีอะไรถึงไม่ให้เข้ามา ถ้าให้เข้ามาเขาก็จะทำหน้าที่ได้เต็มที่ หรือถ้าเขาไม่ขออย่างเป็นทางการก็อาจเข้ามาอย่างไม่เป็นทางการก่อน เพื่อดูข้อมูลเบื้องต้นหรือส่งเจ้าหน้าที่มาก่อนที่ตัวเองจะเข้ามา ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาประเมินสถานการณ์แค่นี้ก็ได้เคลื่อนแล้ว เพราะทันทีที่รายงานของคนเหล่านี้ออกมาจะเกิดแรงกดดัน ถ้าหากหวังผลจะทำให้มีการผลักดันเรื่องมิติอำนาจยุติธรรมระหว่างประเทศว่าหากคนไหนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงเดินทางไปยุโรปก็โดนจับแน่ ต้องเริ่มต้นจากข้อมูลเหล่านี้ อย่าไปหวังที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งมันไม่เกิดผล ยังมีช่องทางอื่นที่ทำงานได้
4 ประเด็นหลักนี้มีประเทศไหนผ่านช่องทางนี้แล้วบ้าง
ใกล้ๆบ้านเราก็คือฟิลิปปินส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสังหารนอกกฎหมาย นักข่าวฟิลิปปินส์ถูกฆ่าตายแยะมาก จนในที่สุดรัฐบาลฟิลิปปินส์ทนแรงกดดันไม่ไหว ต้องเปิดประเทศให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ มีการนำตัวเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสู่กระบวนการ เมื่อกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศอาจไม่โปร่งใส ล่าช้า ผู้เชี่ยวชาญฟันธงว่าเหตุการณ์เหล่านี้กระบวนการยุติธรรมในประเทศต้องขยับ คือแรงกดดันจากต่างประเทศทำให้ในประเทศต้องขยับ และนำไปสู่การเอาผิดเจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้
รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ออกมาอย่างต่อเนื่อง และอีก 2-3 เดือนจะเฉพาะเจาะจงลงไป ต้องการจะสะท้อนภาพหรือชี้ประเด็นใด
หลักใหญ่ๆคือคนทำผิดต้องรับผิด คนที่ละเมิดสิทธิต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นี่คือหลักการสำคัญ ฮิวแมนไรท์วอทซ์ไม่เลือกฝ่าย เราไม่เหลือง ไม่แดง ไม่เขียว หรือน้ำเงิน ฝ่ายใดที่ละเมิดสิทธิ ฝ่ายใดที่ทำรุนแรง เราเปิดโปงคนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเราก็กระทุ้งให้เกิดความยุติธรรมขึ้น โดยเป็นความยุติธรรมที่อยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย ไม่ใช่ศาลเตี้ย เอาคนเหล่านั้นมาดำเนินคดีตามช่องทางที่มีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรมในประเทศ หรือกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ ของประเทศไทยเป้าหลักอยู่ที่กระบวนการยุติธรรมในประเทศมากกว่า เพราะกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศอาจแตะยากหน่อย ชี้ความผิดให้ชัดเจน และยึดสัญญาประชาคมที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้กับประชาชนเมื่อปีที่แล้วว่าถ้าพบว่าใครทำผิดจะไม่ละเว้นทั้งสิ้น เราเอาประโยคนี้เป็นประโยคสำคัญ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นอกจากนี้นายสุนัยยังเสนอให้คนเสื้อแดงยื่นเรื่องต่อคณะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของสหประชาชาติอย่างน้อย 4 คณะ เช่น การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน บุคคลสูญหาย และการปิดกั้นเสรีภาพ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและนำคนผิดมาลงโทษ
ถ้าเจาะดูเฉพาะปรากฏการณ์การเมือง ตรงนี้ต่างชาติคาดหวังขนาดไหน
ความคาดหวังต่อกระบวนการตรวจสอบโดยอาณัติของฝ่ายบริหารเพื่อจะนำมาสู่ความยุติธรรมนั้นไปโดย 2 ช่อง ช่องหนึ่งโดยกระบวนการยุติธรรมปรกติก็คือตำรวจ แล้วประเทศไทยก็มีอีกกลไกหนึ่งคือดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ตรวจสอบ ทำคดี ถ้ามีมูลอาญาก็ส่งฟ้องกันไป อีกทางหนึ่งคือเป็นดำริของฝ่ายการเมืองเพื่อหวังนัยเรื่องความสมานฉันท์ รัฐบาลเองก็มีเป้าในการจัดการเพื่อชี้ให้เห็นว่าภาระความรับผิดไม่ใช่ตกอยู่ที่รัฐอย่างเดียว เพราะธงของรัฐบาลชี้ให้เห็นตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว หลักๆคือตั้งแต่คืนวันที่ 10 เมษายนที่แยกคอกวัว บอกว่ามีกองกำลังอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรุนแรงครั้งนี้ การตรวจสอบที่รัฐบาลพยายามจะสร้างขึ้นมาก็คือชี้มูลให้เห็นมิติด้านนี้ ก็เป็นเป้าหมายที่ชอบกับเป้าหมายทางการเมือง มันผสมปนเปกันอยู่
อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญคือประเทศไทยไม่เคยมีครั้งไหนที่จะตั้งกรรมการอย่างเปิดเผยขนาดนี้ แล้วก็มีนัยสำคัญคือถ้าพบข้อมูลอย่างไรแล้วจะดำเนินการให้เกิดความยุติธรรมโดยไม่แยกฝักฝ่าย แล้วก็จัดให้มีนิรโทษกรรม อันนี้เป็นสาระสำคัญ ถัดมารายงานที่ทำออกมาแล้วจะเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ปิดกั้น คงจำกันได้ว่าตอนพฤษภาทมิฬ 35 ทำออกมาแล้วไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน มีบางส่วนออกมาแต่ขีดฆ่าเป็นหมึกดำๆป้ายเต็มไปหมดเลย แล้วปัจจุบันรายงานฉบับเต็มชุดนั้นไปอยู่ที่ไหน หาไม่เจอ ไม่มีใครหารายงานฉบับเต็มได้ เข้าใจว่า คอป. ก็พยายามติดตามเพื่อที่จะเอามาเทียบเคียงกัน
สมัยคุณทักษิณ เหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ มีการตั้งกรรมการอิสระขึ้นมา กรรมการอิสระทำงานได้ดีมาก ก็เป็นการสร้างบรรทัดฐาน ถึงจะเป็นกรรมการที่ตั้งโดยฝ่ายการเมือง แต่ถ้ากรรมการมีความเป็นกลางอย่างแท้จริงก็จะบันทึกข้อมูลได้อย่างเต็มที่ รายงานก็ออกมาดี สำหรับ คอป. ของอาจารย์คณิต (คณิต ณ นคร) ตั้งโดยฝ่ายการเมือง แต่ถ้ากรรมการแต่ละคนมีความเป็นกลางชัดเจน แล้วกรรมการสามารถเข้าถึงข้อมูลของทุกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ งานก็น่าจะออกมาดีได้
คอป. สัญญาว่าก้าวที่หนึ่งจะทำข้อมูลอย่างเป็นกลาง โปร่งใสเต็มที่ ก้าวที่สองบอกว่าจะเปิดเผยต่อสาธารณะ ก้าวที่สามจะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก้าวที่สี่จะไม่มีการนิรโทษกรรมฝ่ายใดเลย ในสัญญามันครบทุกประเด็น ในแง่ความหวังก็ไม่ได้หวังว่ามาจากต่างชาติอย่างเดียว แต่ความคาดหวังคือคนไทยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ญาติพี่น้องบาดเจ็บล้มตายก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ทรัพย์สินเสียหาย ธุรกิจถูกเผาทำลาย คำตอบอยู่ที่ไหน คำตอบที่รายงานของ คอป. ไง เพราะฉะนั้นการประเมินเลยเข้มข้นว่า คอป. เอาเข้าจริงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ผ่านมาจะครึ่งปีแล้ว คอป. พูดออกมาอย่างเปิดเผยหลายครั้งว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ที่สำคัญคือฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ให้ความร่วมมือเลย
รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์เจาะลงไปในแต่ละเหตุการณ์และหาข้อมูลจากไหนมาเรียบเรียงเป็นรายงาน
มีเจ้าหน้าที่เดินทางเข้ามาภายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แล้วเจ้าหน้าที่แต่ละคนก็มีความชำนาญแตกต่างกันไป มีผู้ที่มีความชำนาญด้านการศึกษากรณีความขัดแย้งด้านกำลัง ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธต่างๆ คือดูแล้วสามารถประเมินได้ว่าใช้อาวุธชนิดไหนต่อกัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องของบาดแผลต่างๆ แล้วก็มีการประเมิน คนเหล่านี้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ไม่ใช่ข้อมูลจากนักข่าวหรือจากสื่อมวลชนอย่างเดียว แต่เป็นข้อมูลโดยตรงเลย อย่างกรณีความขัดแย้งด้านการเมืองเมื่อปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ของฮิวแมนไรท์วอทช์อยู่ในพื้นที่โดยตลอด อยู่สังเกตการณ์ภาคสนามระหว่างเกิดเหตุการณ์เลย อยู่ในพื้นที่ตอนชุมนุม ตอนที่ปะทะและสลายการชุมนุม
ฉะนั้นการเก็บข้อมูลจะเป็นข้อมูลเชิงกระจ่างและทางตรง แล้วหลังจากเหตุการณ์จนจบวันที่ 19, 20 เจ้าหน้าที่ก็เริ่มพูดคุยกับผู้บาดเจ็บ ทั้งผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ฝ่ายผู้ชุมนุม สื่อมวลชน ประชาชน และเจ้าหน้าที่บางส่วนก็ได้พูดคุยด้วย ก่อนที่ ศอฉ. จะไม่ให้เจ้าหน้าที่พูดกับคนอื่น หลังจากนั้นก็เป็นการพูดคุยระดับทางการ คือคุยกับโฆษก ศอฉ.
ข้อมูลไม่ใช่เป็นการเรียกหน่วยงานเหมือน คอป.
เราไม่เป็นลักษณะนั้น เราเข้าไปหาเขามากกว่า เข้าไปยังพื้นที่แล้วก็เข้าไปพบปะกับคนเหล่านั้น ข้อมูลที่ได้มาก็มีการประเมินจากเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ อย่างการสังเกตลักษณะวิถีกระสุน กรณีของวัดปทุมฯเจ้าหน้าที่ก็สังเกตว่าลักษณะกระสุน รอยที่อยู่ที่นั่นที่นี่ยิงมาจากที่ไหน ภาพของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บเท่าที่ได้มา จะเป็นภาพจากโทรศัพท์มือถือก็ดี คลิปของนักข่าวก็ดี คนเหล่านั้นมีลักษณะถูกยิงบาดเจ็บขณะทำอะไรอยู่ ช่วงเวลาใกล้เคียงนั้นมีคนกลุ่มไหนบ้างที่มีอาวุธอยู่ในมือ
ช่วงเหตุการณ์ตั้งแต่การชุมนุมมีนาคม 2553 ข้อมูลที่ได้มีจุดพลิกผันก่อนจะมาถึงวันที่ 10 อย่างไร
รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ไม่ใช่รายงานประจำปีเพียงอย่างเดียว แต่ก่อนหน้านั้นทั้งปี ปีที่แล้วนับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมาผมจำได้ว่าฮิวแมนไรท์วอทช์มีแถลงการณ์เกี่ยวกับประเทศไทยเยอะมาก แถลงการณ์ทุกครั้งพูดถึงการชุมนุมของ นปช. ในช่วงเดือนแรกดำเนินไปในลักษณะค่อนข้างปราศจากความรุนแรง แม้จะมีวาทกรรมที่อาจหนักหน่วงอยู่ แต่ความรุนแรงในเชิงกายภาพไม่ปรากฏ จะมีก็แต่เรื่องของการยิงเอ็ม 79 คงจำกันได้ที่วิภาวดี 51 แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ
จุดพลิกผันที่ฮิวแมนไรท์วอทช์บอกว่าเป็นการยกระดับสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงเชิงกายภาพคือวันที่เริ่มเคลื่อนผู้ชุมนุมเข้าไปที่รัฐสภา อันนั้นเป็นจุดที่ใช้หลักปฏิบัติการสากลเข้ามาในเชิงกายภาพ แล้วรัฐบาลก็ตอบโต้ด้วยการยกระดับสถานการณ์ มาตรการรับมือกับผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งเป็นมาตรการที่มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ คือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อันนี้ผมเรียนชี้แจงว่าในทางกฎหมายระหว่างประเทศ การประกาศสภาวะฉุกเฉินสามารถทำได้ แต่ต้องมีเหตุผลชัดเจนว่ามีภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของรัฐ แล้วการใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นจะต้องไม่เกินกว่าเหตุ ไม่เกินกว่าความจำเป็น
สิ่งที่ตามมาคือพอผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในรัฐสภา รัฐบาลก็ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเกินกว่าเหตุไหม สิ่งที่ฮิวแมนไรท์วอทช์เป็นห่วงมากก็คือสภาวะฉุกเฉินมีหลายมิติที่ดูแล้วน่าจะเกินกว่าเหตุ
ถัดมาคือกรณีไทยคม คือทั้ง 2 ฝ่ายชัดเจน ฝ่ายผู้ชุมนุมก็ใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่อันนี้น่าสนใจว่าเอากำลังอาวุธจริงไปแต่เลือกที่จะไม่ใช้ ใช้แค่กระสุนยาง ใช้แค่แก๊สน้ำตา แต่ในที่สุดก็เป็นฝ่ายถอย หลังจากเหตุการณ์ไทยคมก็เข้าสู่เหตุการณ์วันที่ 10 คือที่สี่แยกคอกวัว ตอนเช้าคือฝ่ายรัฐพร้อมจะสลายการชุมนุมว่าจะเอาที่ราชประสงค์หรือที่สี่แยกคอกวัว ก็กลายเป็นสี่แยกคอกวัว
เหตุการณ์วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ฮิวแมนไรท์วอทช์เริ่มสังเกตว่ากฎการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ที่ ศอฉ. ประกาศออกมามีความน่ากังวลอยู่ในหลายจุด คือบอกว่าโล่ กระบอง ฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา แต่จบลงด้วยกระสุนจริง การใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุม โดยเฉพาะการชุมนุมขนาดใหญ่อย่างนี้มีความสุ่มเสี่ยงอยู่แล้วในพื้นที่ที่ประชาชนอาศัยอยู่แถวนั้นด้วย วันที่ 10 ตั้งแต่ช่วงบ่ายก็มีการตั้งแถวเจ้าหน้าที่แล้วยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้า ซึ่งอันนั้นไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามในโลก ในประเทศไทยเราก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจหลายครั้ง เช่น เด็กๆ น้องๆอยู่ในบ้านแล้วกระสุนตกใส่เสียชีวิต วันนั้นยิงขึ้นไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันนัด แล้วพื้นที่ตรงนั้นเป็นชุมชน กระสุนความเร็วขึ้นไปกับความเร็วลงมาไม่เท่ากัน จุดนั้นเป็นจุดที่กังวลแล้วว่าทำไมให้เจ้าหน้าที่ยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้า คือถ้ายิงด้วยปืนจริงใช้กระสุนเปล่าก็ได้ ใช้ลูกแบลงค์ก็ได้
ปลอกกระสุนที่เราเจอเป็นปลอกกระสุนจริงทั้งสิ้น แล้วการทิ้งแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันอันตรายในตัวเอง คือนอกจากทิ้งลงมาแล้วยังยั่วยุให้โกรธ ให้คุ้มคลั่งมากขึ้น ถ้าตกใส่ใครก็มีสิทธิบาดเจ็บล้มตายได้ ทิ้งมาจากที่สูงขนาดนั้น ช่วงนั้นก็เห็นแล้วว่าฝั่งเจ้าหน้าที่เริ่มกดดันใช้กำลัง แล้วมีปัญหา 1.ใช้กระสุนยิงขึ้นฟ้า 2.ทิ้งแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ทางผู้ชุมนุมเป็นอย่างไร ในช่วงกลางวันเท่าที่สังเกตเห็นจะเป็นลักษณะการต่อสู้แบบตามมีตามเกิด ท่อนหิน ท่อนไม้ หนังสติ๊ก ขว้างปาขวดน้ำ แต่พอช่วงค่ำมีจุดพลิกผัน คือเหตุการณ์ทำท่าจะซาลงแล้ว อยู่ๆก็ทวีขึ้นมาใหม่ว่ามีกลุ่มติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่ จุดนี้เป็นจุดที่ต้องตรวจสอบว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่ามีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่แล้วมีอาวุธหนัก เป็นอาวุธสงคราม ขณะเดียวกันฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ส่งทหารเข้ามาก็มีจุดที่น่าห่วง คือมืดแล้ว ตกลงจะเป็นการปฏิบัติการในยามวิกาลหรือไม่ มีความเหมาะสมหรือไม่
ประการที่ 2 คือเหตุการณ์ไม่ได้จำกัดอยู่ตรงแยกคอกวัวอย่างเดียว มีการแยกเคลื่อนกำลังมาจากเส้นปิ่นเกล้าด้วย แล้วพยายามจะข้ามสะพานไปปิ่นเกล้า มีทั้งรถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะติดปืนกลหนักอยู่ข้างบน แล้วมีเครื่องกระสุนอยู่ใกล้เคียง จะใช้หรือไม่ใช้ แต่การนำอาวุธหนักขนาดนั้นเข้ามาใช้ปฏิบัติการมีเจตนาอย่างไร
อันนี้ตรวจสอบได้ไหมว่าอาวุธนำเข้ามาหลังมีชุดดำหรือว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวกัน
จุดนี้เป็นจุดที่เราพยายามขอให้ คอป. ตรวจสอบ น่าจะเข้าถึงข้อมูลได้ดีกว่ารายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ คือพยายามชี้ประเด็นให้เห็นว่าเป็นจุดที่เราสงสัย เป็นจุดที่เรากังวล ตอบได้ไหม แต่พอหลังจากดึกขึ้นมาหน่อยก็เริ่มมีการยิงกัน ช่วงนี้เราได้คุยกับพยาน ได้คุยกับช่างภาพทั้งไทยและเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็พูดชัดเจนตรงกันว่ามีกองกำลังชุดดำปรากฏขึ้นและใช้อาวุธยิงเข้าใส่แนวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งคงทราบกันดีว่าเกิดการล้มตายเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ล่าถอย แต่ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ล่าถอยก็มีลักษณะการยิงปืนเป็นแนวตรงใส่ อันนี้ก็ปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์หลายครั้ง ทั้งในแถลงการณ์ประจำปีเราก็พูดเรื่องนี้ว่าระหว่างล่าถอยมีความแตกตื่นของเจ้าหน้าที่ก็ยิงปืนซึ่งเป็นปืนอัตโนมัติ จะเป็นเอ็ม 16 ก็ดี เป็นบราโวก็ดี ยิงออกไปเป็นแนวตรง แต่จุดใหญ่จริงๆของเหตุการณ์วันที่ 10 คือกองกำลังที่มีอาวุธที่เราเห็น อาก้าก็ดี เอ็ม 79 ก็ดี ระเบิดขว้างก็ดี อันนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งต้องเจาะให้เห็นว่ากองกำลังเหล่านี้คือใคร เพราะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บล้มตาย
แต่จับคนชุดดำไม่ได้สักคน ได้แต่โทษกันไปมา
เรื่องคนชุดดำเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมคิดเหมือนคุณตวงพรว่าตกลงเราจับคนชุดดำได้หรือเปล่า คงจำกันได้ว่าช่วงที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงก็ดี ช่วงที่มีการชุมนุม 2-3 เดือนแล้วต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ดีเอสไอให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าจับคนชุดดำได้แล้ว แล้วคนชุดดำเหล่านั้นอยู่ที่ไหน มีการส่งฟ้องหรือไม่ หรือกันตัวเป็นพยาน เพราะเท่าที่สาธารณะรับรู้มีดาราท่านหนึ่งถูกควบคุมตัวไป เขาบอกว่าไม่ได้เป็นคนชุดดำ แต่เขารับรู้ ก็ถูกกันเป็นพยาน นอกจากนั้นก็มีคนที่อ้างว่าเป็นคนสนิทของนายทหารที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต อ้างว่าจับได้ที่โน่นที่นี่ ตอนนี้คนเหล่านี้อยู่ที่ไหน อันนี้ก็จะกลับมาประเด็นที่น่าเป็นห่วง
ก่อนที่จะพูดถึงการใช้อำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มันเปิดทางให้นำคนไปไว้ที่เซฟเฮาส์ต่างๆได้ เอาคนไปคุมขังไว้ในค่ายทหารต่างๆได้โดยไม่ต้องมีการตั้งข้อหา แล้วหลังจากนั้นอยู่ที่ไหน อันนี้เป็นข้อมูลที่ผู้แทนดีเอสไอ หัวหน้าดีเอสไอให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะหลายครั้ง ก็เหมือนกลับมาพันตัวเขาว่าคุณบอกว่าคุณจับคนเหล่านั้นได้ เอาตัวไปไว้เซฟเฮาส์ เอาตัวไปไว้เพื่อสอบสวน แล้วตอนนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ฮิวแมนไรท์วอทช์ถามมาตลอดว่าเรารู้ว่ามีการควบคุมตัวตน แล้วหลังจากนั้นจะตั้งข้อหาเขา ซึ่งตอนหลังรัฐบาลก็บอกว่าทยอยให้ประกันตัวออกมาก่อน กลุ่มนี้เรารู้ว่าอยู่ที่ไหน สามารถระบุตัวได้ ตอนนี้มีสัก 120 กว่าคนอยู่ในเรือนจำและสถานพินิจฯก็สามารถเข้าเยี่ยมได้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯก็สามารถเยี่ยมได้ แต่กลุ่มที่ดีเอสไอบอกว่าควบคุมตัวแล้วเอาไปไว้ที่โน่นที่นี่อยู่ที่ไหน
พ.ร.ก.ฉุกเฉินสามารถคุมตัวได้ไม่เกิน 30 วัน
นั่นน่ะสิ พอครบ 30 วันแล้วทำอย่างไรกับคนเหล่านั้นต่อ...ไม่รู้ นี่เป็นกล่องดำกล่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งในช่วงที่มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือกลุ่มคนที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนชุดดำ หรือเป็นการ์ดติดอาวุธของ นปช. ต้องแยกว่าคนชุดดำส่วนหนึ่งซึ่งตัวตนเขาเราไม่ชัดเจน แล้วพวกการ์ดนปช. ที่มีอาวุธ อันนี้ชัดว่าเขาเป็นการ์ด เขามีสัญลักษณ์ มีป้าย มีผ้าคลุม มีเสื้อ อันนี้ชัดเจน ตกลงมีการเอา 2 กลุ่มนี้มาโยงกันไหม แล้วปฏิบัติต่อเขาอย่างไร...ไม่รู้ แล้วเราก็ทวงถามรัฐบาลมาตลอด รัฐบาลก็ไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับใคร คือไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ข้อมูลนี้ รัฐบาลให้ข้อมูลแต่คนที่อยู่ในเรือนจำ ในสถานพินิจฯ คอป. ก็ไม่ได้ข้อมูลตรงนี้ว่าตกลงคนที่ถูกควบคุมตัวแบบลึกลับไม่เคยตั้งข้อหาอยู่ที่ไหน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็ไม่ได้ กรรมาธิการของรัฐสภาก็ไม่ได้ ตกลงว่ามีความลับเกิดขึ้น
ถ้าพูดถึงชุดดำ คอป. น่าจะหาคำตอบตรงนี้ได้ แล้วในส่วนดีเอสไอก็พยายามแบ่งเป็น 3 กรณีสำหรับการเสียชีวิต ก็ยังเป็นหลุมดำอยู่เหมือนกัน
ดีเอสไอจริงๆก็เป็นปัญหาต่อการทำงานของรัฐเอง ดีเอสไอเคยบอกว่าจับตัวคนเหล่านี้ได้แล้วแต่ไม่ออกมาระบุชัดเจนว่าคนเหล่านี้ชื่อเรียงเสียงใด สถานะในการดำเนินคดีไปถึงไหนแล้ว กันไว้เป็นพยานหรือว่าจะส่งฟ้องต่อไป ก็เลยมีข้อสงสัยจากฝั่งคนเสื้อแดงซึ่งพูดเรื่องนี้มาตลอด ตกลงชุดดำใครเป็นคนจัดมากันแน่ ทางนานาชาติที่ตรวจสอบก็พยายามชี้ประเด็นนี้ว่าตกลงชุดดำใครจัด ถ้าดีเอสไอทำงานอย่างโปร่งใสมากกว่านี้ มีการชี้แจงต่อสาธารณะมากกว่านี้ ข้อกังวลเรื่องเหล่านี้น่าจะหมดไป หรืออย่างน้อยถ้าไม่อยากพูดเองก็ให้ข้อมูลกับ คอป. แล้ว คอป. ก็จะออกมาแถลงหรือบรรจุอยู่ในรายงาน ความกังวล ความคลางแคลงใจน่าจะหมดไป เพราะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง มีการยิงเอ็ม 79 ที่โน่นที่นี่ มีการปาระเบิดเอ็ม 79 ใส่ที่โน่นที่นี่ แล้วก็มีการสูญเสียหนักๆคือที่แยกศาลาแดง ตรงสถานีรถไฟบีทีเอส ตรงนั้นใครเป็นคนทำ ถ้าสามารถระบุตัวคนชุดดำได้ก็จะเห็นชัดเจน คือการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุมประท้วงมันชัด แต่มือที่สามหรือจริงๆอาจมีมือที่สี่ ที่ห้า ตกลงมีกี่ฝักกี่ฝ่ายกันแน่ อันนี้ต้องตอบให้ได้
หลังเกิดเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว เกิดความสูญเสีย ทุกฝ่ายมีความพยายามที่จะเจรจาเพื่อหาทางลงสวยๆ ทำไมจึงล้มเหลว
จุดนี้เป็นจุดใหญ่ที่เราอยากเห็นคำตอบออกมาจากรายงานของ คอป. เพราะช่วงนั้นเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ช็อกทั้งสังคมไทยและนานาชาติ มีคำถามว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้หรือ แล้วก็มีความพยายามที่เป็นมาตรการทางการเมืองหรือไม่ เราก็เห็นความพยายามจากทางการเมือง แล้วมีสัญญาณจากทั้ง 2 ฝ่ายว่าน่าจะไปกันได้ดี มีการอะลุ้มอล่วยกัน เช่น ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าจะร่นอายุการอยู่ในอำนาจ จะยุบสภาแล้วก็จัดให้มีการเลือกตั้ง แต่ก็ตั้งเงื่อนไขว่าการชุมนุมซึ่งจะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยจะต้องยุติลง แกนนำบางส่วนซึ่งค่อนข้างเป็นสายกลางก็ส่งสัญญาณบวกมา แต่อยู่ๆการเจรจาก็ล่มลง เกิดอะไรขึ้น มีปัจจัยหรือมีบุคคลใดเข้ามาขัดขวางกระบวนการเจรจาที่จะแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งช่วงคืนวันที่ 18 พฤษภาคมต่อเนื่องเช้าวันที่ 19 เห็นว่ามีการเจรจาของวุฒิสภาเกิดขึ้นโดย เสธ.อู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มีการกำหนดพื้นที่ว่าถ้าการชุมนุมยุติจะทยอยเอาคนเข้ามาไว้ในวัดปทุมฯ วัดปทุมฯจึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่อภัยทาน
แต่อยู่ๆกระบวนการก็ล่ม เกิดอะไร มีความพยายามที่จะเลื่อยกระบวนการสันติวิธีนี้ตลอด ถ้าสามารถเปิดโปงอันนี้ได้ กระบวนการหรือปัจจัยใดที่เลื่อยกระบวนการสันติวิธีก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบมากๆคนหนึ่งในฐานะที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย สูญเสียอย่างมากมายมหาศาลทั้งฝ่ายประชาชนและฝ่ายรัฐ แล้วคนที่ไม่เกี่ยวข้องจะต้องถูกเปิดโปง เราก็หวังว่ารายงานของ คอป. น่าจะนำมาสู่การเปิดข้อมูลในส่วนนี้ด้วย
ย้อนกลับมาวันที่ 10 เมษายนนิดหนึ่งว่าวันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจ เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนเสียใจ เราก็มองแล้วว่าเอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น ถึงขั้นที่รัฐบาลต้องหันไปใช้กำลัง ซึ่งเป็นกำลังแบบเต็มที่ นั่นคือใช้กำลังทหาร ทำไมรัฐถึงไม่ใช้ตำรวจ กระโดดข้ามขั้นไปใช้ทหาร แล้วพอเกิดเหตุขึ้นก็ยกระดับของความรุนแรง อันนี้เป็นอีกประเด็นที่ต้องมีการตรวจสอบ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมีการยกระดับความรุนแรงขึ้นมา
วาทกรรมคำพูดก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ เป็นการปลุกให้คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะยกระดับความรุนแรงขึ้นทั้งสิ้น เช่น เมื่อกระบวนการเจรจาล้มแล้วก็มีการกระชับพื้นที่ ฝ่ายผู้ชุมนุมก็เริ่มมีวาทกรรมบอกว่าต้องต่อสู้ เรื่องการเอาชีวิตเข้าแลก อะไรเหล่านี้เริ่มผลักคนให้อยู่ในที่สุดโต่งกันทั้งคู่ ช่วงเวลานั้นคงจำกันได้ว่าจะมีการแถลงข่าวหลายครั้งว่าเอาล่ะ มีการปิดกระชับพื้นที่รอบราชประสงค์ไม่ให้คนเข้ามาเพิ่มได้ ออกได้อย่างเดียว ห้ามพกอาวุธ มีการตรวจสอบอาวุธแล้วจะนำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยต่างๆมาปิดทางราชปรารภ ปิดล้อม 3 ด้าน 3 ทิศ แล้วมีการแถลงข่าวคืนหนึ่งจากทางราบ 11 ว่ากองกำลังเจ้าหน้าที่ถูกระดมยิงใส่ด้วยอาวุธอย่างหนัก ตรงนี้เอ็ม 79 ตรงนั้นเอาปืนอาก้า อะไรพวกนั้นเข้ามา แล้ว ศอฉ. ก็ประกาศเรื่องเขตพื้นที่การใช้กระสุนจริง ฮิวแมนไรท์วอทช์ออกแถลงการณ์ภายใน 24 ชั่วโมง กังวลพื้นที่การใช้กระสุนจริง เพราะเสี่ยงที่จะเกิดการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เพราะหลักกติกาของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีเครื่องกระสุน อาวุธจริงในการรักษากฎหมายจะต้องอยู่ในเหตุที่เหมาะสม และการใช้อาวุธปืนไปในทางที่มุ่งจะรักษาชีวิต ไม่ใช่ทำลายชีวิต แต่พื้นที่กระสุนจริง พอเอาเข้าจริงก็มีเรื่องของการใช้สไนเปอร์ ซึ่งสไนเปอร์เป็นประเด็นที่นานาชาติจับตามองมาตั้งแต่คืนวันที่ 10 เมษายนแล้ว
พอเกิดนโยบายการใช้กระสุนจริง ประเด็นเรื่องสไนเปอร์ยิ่งชัดมากขึ้น ยิ่งมีภาพของผู้ที่เสียชีวิตซึ่งเป็นพลเรือน ตกลงคนที่เป็นเป้าพื้นที่กระสุนจริงไม่ได้จำกัดอยู่ที่กองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือที่เราเรียกว่าคนชุดดำแต่อย่างเดียว แต่มีทั้งผู้ชุมนุมประท้วงและคนที่ผ่านไปผ่านมา ที่สำคัญคือบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครพยาบาลก็โดนไปด้วย จุดนี้น่าเป็นห่วง สื่อมวลชนก็โดนไปด้วย เรื่องของกองกำลังคนชุดดำนี่ผิดแน่ๆอยู่แล้วชัดเจน เพียงแต่ต้องเปิดตัวออกมาให้ได้ว่าเขาเป็นใคร แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็ใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสม มาตรการที่มีความรุนแรงเกินกว่าเหตุ แล้วหลังจากนั้นลักษณะอย่างที่เกิดขึ้นที่ราชปรารภก็ไปโผล่ที่บ่อนไก่ ไปโผล่ตามแนวรอบๆบ่อนไก่
ในรายงานสไนเปอร์มาจากไหน โดยเฉพาะผลการชันสูตร ญาติผู้เสียชีวิตบอกว่าถูกกระสุนปืนความเร็วสูง แต่ก็ไม่มีรายละเอียดฉบับเต็มของผลการชันสูตร
กระสุนความเร็วสูงใช้ด้วยกันทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและคนชุดดำ คือเป็นอาวุธสงครามกับปืนสไนเปอร์ พวกนี้เป็นกระสุนความเร็วสูงทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้ขนาดของกระสุนก็ตอบได้ยาก ต่อให้รู้ขนาดก็เป็นปืนที่ใช้ทั้ง 2 ฝ่าย เช่น ขนาดกระสุนเอ็ม 16 ก็ใช้ด้วยกันทั้ง 2 ข้าง ถ้าสไนเปอร์อาจบอกขนาดได้ แล้วระบุยี่ห้อ ระบุรุ่นได้ แต่ต้องได้ข้อมูลที่ครบถ้วนจากรายงานชันสูตรศพ แต่ภาพของเหตุการณ์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต่อเนื่องกันมาตลอดว่าฝ่ายรัฐมีนโยบายที่น่ากังวลเรื่องความรุนแรงที่คุมไม่ได้ ฝ่ายผู้ชุมนุมก็รู้สึกว่าจนตรอกแล้ว จะเอายังไงก็พร้อมจะต่อสู้ แต่ผู้ชุมนุมก็ต้องแยกแยะว่าส่วนหนึ่งใช้อาวุธที่ทำกันเอง บั้งไฟก็ดี หนังสติ๊กก็ดี ระเบิดเพลิงก็ดี ตรงนี้เป็นอาวุธ แต่ก็เป็นอาวุธที่ทำกันเอง กับกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่ายใช้อาวุธสงคราม อันนี้ต้องแยกแยะ มันต่างกัน เรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เรื่องคนชุดดำเป็นโจทย์ใหญ่มาก คือถ้าตอบปุ๊บสามารถชี้ความรับผิดได้อย่างชัดเจน แต่ปัญหาเวลาคนชุดดำปฏิบัติการเขาไปอยู่ตามแนวของผู้ชุมนุมประท้วงด้วย ทำให้ผู้ชุมนุมประท้วงถูกลากเหมาเข้าไป ซึ่งจริงๆ นปช. ก็เป็นภาระที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ก็ควรออกมาช่วยแยกแยะว่าคนชุดดำคือใคร
บุคคลหนึ่งที่ผูกติดและถูกเชื่อมโยงกับคนชุดดำมาตลอดก่อนที่จะเสียชีวิตคือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล รายงานฮิวแมนท์ไรท์วอทช์มีแค่ไหนเรื่องบทบาทของ พล.ต.ขัตติยะ
น่าเสียดายที่ท่านเสียชีวิตไป ท่านเป็นประเด็นที่ต้องถูกตรวจสอบด้วย เพราะเป็นการลอบสังหารด้วยสไปเปอร์กลางเมือง เป็นการลอบสังหารที่ตอบไม่ได้ว่าฝ่ายใดอยู่เบื้องหลัง เท่าที่ผ่านมาในประเทศไทยกรณีลอบสังหารทางการเมืองเป็นกรณีที่ไม่มีคำตอบ ผ่านมาหลายสิบปีหลายกรณีก็ยังไม่มีคำตอบ แต่เรื่องของ พล.ต.ขัตติยะเป็นเรื่องใหญ่ และสิ่งที่จะเป็นประโยชน์อย่างมากคือก่อนที่ พล.ต.ขัตติยะจะถูกลอบสังหาร คนที่อยู่แวดล้อมท่านถูกจับกุมอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากดีเอสไอเปิดเผยรายงานการจับกุมหรืออนุญาตให้กรรมการที่สอบสวนเหตุการณ์ได้เข้าถึงบรรดาคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะที่ถูกจับกุมหรือควบคุมตัว จะให้ความกระจ่างได้ในระดับหนึ่งว่าท่านมีความเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร หรือมีกลุ่มอื่นเข้ามาอีก อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ พอขาดความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล การสืบสวนสอบสวนทำให้ประเด็นอื่นติดขัดไปหมด การอธิบายเหตุการณ์ติดขัดไปหมด
ประเด็นการสังหารหมู่ในวัดปทุมฯ 6 ศพ
กรณีของวัดปทุมเป็นเรื่องใหญ่ในตัวของมันเอง ตั้งแต่พื้นที่วัดปทุมฯมีบุคคลใดเข้าไปอยู่ ถ้าเรายึดหลักตั้งแต่ที่วัดปทุมฯเป็นศาสนสถาน เป็นเขตที่แตะต้องไม่ได้ และเรามีเงื่อนไขการเมืองคือการเจรจาที่ตกลงทั้ง 2 ฝ่ายว่าเป็นเขตอภัยทาน ถ้าคนอยากจะยุติการชุมนุมให้เข้ามาอยู่ที่นี่เพื่อรอการมอบตัว เป็นพื้นที่แตะต้องไม่ได้ ประการที่ 2 คนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่แน่ๆคือผู้ชุมนุมประท้วง ถามว่าเป็นผู้ชุมนุมประท้วงทั้งหมดหรือเปล่า มีส่วนของผู้ติดอาวุธแฝงเข้ามาไหม ซึ่งใครจะตอบเรื่องนี้ได้ ประการที่ 3 คือแม้จะมีผู้ติดอาวุธปะปนอยู่บ้าง เมื่อมีการสลายการชุมนุมแล้วก็มีการเข้าค้นภายในวัดปทุมฯแล้วบอกว่าเจออาวุธ แต่ก็ต้องพิสูจน์ว่าอาวุธนั้นมาจากไหน ปรากฏอยู่ในเวลาใด เมื่อพบไม่ว่าอย่างไรก็ตามอาวุธเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่หรือไม่ ถ้าไม่ถูกนำมาใช้เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีสิทธิใช้อาวุธรุนแรงยิงเข้าไปในวัดปทุมฯ อันนี้เป็นคำถามที่ตามมาว่าเมื่อมีผู้เสียชีวิตแล้วใครเป็นคนยิง
ถ้าหากดูข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางมาจากต่างประเทศ พูดคุยกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งก็เป็นผู้ชุมนุมด้วย เป็นผู้สื่อข่าวทั้งไทยและเทศ แล้วดูแนววิถีกระสุน ก็สรุปได้ว่าการเสียชีวิตของคนในวัดปทุมฯเกิดจากการยิงเข้าใส่จากข้างนอก ซึ่งอันนี้เราก็พูดอยู่ในรายงานประจำปีว่าเป็นการเสียชีวิตจากการยิงข้างนอกคือแนวข้างบนของรถไฟฟ้า ซึ่งในที่สุดก็มีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ราชการอยู่บนรางของรถไฟฟ้า อันนี้ก็ชัดเจน
ความพยายามของคนเสื้อแดงที่ยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
โอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับเข้ามาตรวจสอบกรณีทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยน้อยมากคือใกล้เคียงกับศูนย์ ประเด็นแรกคือไทยไม่ได้เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศ แล้วถ้าหากวันใดวันหนึ่งรัฐบาลไทยให้สัตยาบันจะตรวจสอบย้อนหลังได้หรือไม่ เป็นความผิดย้อนหลังจะตรวจสอบได้หรือไม่ อันนี้ก็เป็นข้อสังเกต แต่ถ้าหากช่องทางปัจจุบันทำได้เต็มที่ คือรวบรวมข้อมูลส่งต่ออัยการ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่ง นปช. ได้ส่งไปแล้ว และหลังจากนั้นถ้าอัยการส่งเรื่องต่อไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความสำคัญพอ คณะมนตรีฯก็จะบอกว่าศาลอาญาระหว่างประเทศตรวจสอบประเด็นนี้ได้ ถึงแม้ไทยจะไม่ได้เป็นภาคีก็สามารถตรวจสอบได้ กรณีนี้มีโอกาสเป็นไปได้แต่ก็ไม่เยอะ
แต่การขับเคลื่อนของ นปช. มีผลต้อประเด็นการเมืองด้านกระแสมากกว่าด้านความยุติธรรม ถามว่าความยุติธรรมระหว่างประเทศจะเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไหม คำตอบคือไม่ใช่ ยังมีช่องทางอื่นที่น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์และเห็นผลที่เป็นรูปธรรมได้มากกว่านี้ คือทางระหว่างประเทศเรามีคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันคนไทยดำรงตำแหน่งเป็นประธานคือ คุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว และตามวาระปีนี้เป็นปีที่ครบกำหนดประเทศไทยจะต้องถูกตรวจสอบตามพันธะด้านสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมือง ก็สามารถทำข้อมูลที่คนเสื้อแดงเห็นว่าเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่งให้มีการประเมินสถานการณ์ในประเทศไทย
นอกจากนั้นเลขาธิการสหประชาชาติยังมีผู้ชำนาญการสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆทำงานอยู่ ถ้ามองประเทศไทยเราแยกประเด็น เช่น การสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวข้องกับการควบคุมตัวโดยพลการ การทำบุคคลให้สูญหาย การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ เอาแค่นี้ 4 ประเด็นเกี่ยวข้องกับประเทศไทยทั้งสิ้นเมื่อปีที่แล้ว เราสามารถแยกส่งประเด็นเหล่านี้ให้กับผู้ชำนาญการโดยคณะทำงานเหล่านั้นได้ ซึ่งถ้าเขารับเรื่องก็จะทำหนังสือขออย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทยเข้ามาตรวจสอบ ถ้าหากไม่ให้เขามาตรวจสอบนั่นก็เป็นประเด็นว่ามีอะไรถึงไม่ให้เข้ามา ถ้าให้เข้ามาเขาก็จะทำหน้าที่ได้เต็มที่ หรือถ้าเขาไม่ขออย่างเป็นทางการก็อาจเข้ามาอย่างไม่เป็นทางการก่อน เพื่อดูข้อมูลเบื้องต้นหรือส่งเจ้าหน้าที่มาก่อนที่ตัวเองจะเข้ามา ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาประเมินสถานการณ์แค่นี้ก็ได้เคลื่อนแล้ว เพราะทันทีที่รายงานของคนเหล่านี้ออกมาจะเกิดแรงกดดัน ถ้าหากหวังผลจะทำให้มีการผลักดันเรื่องมิติอำนาจยุติธรรมระหว่างประเทศว่าหากคนไหนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงเดินทางไปยุโรปก็โดนจับแน่ ต้องเริ่มต้นจากข้อมูลเหล่านี้ อย่าไปหวังที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งมันไม่เกิดผล ยังมีช่องทางอื่นที่ทำงานได้
4 ประเด็นหลักนี้มีประเทศไหนผ่านช่องทางนี้แล้วบ้าง
ใกล้ๆบ้านเราก็คือฟิลิปปินส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสังหารนอกกฎหมาย นักข่าวฟิลิปปินส์ถูกฆ่าตายแยะมาก จนในที่สุดรัฐบาลฟิลิปปินส์ทนแรงกดดันไม่ไหว ต้องเปิดประเทศให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ มีการนำตัวเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสู่กระบวนการ เมื่อกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศอาจไม่โปร่งใส ล่าช้า ผู้เชี่ยวชาญฟันธงว่าเหตุการณ์เหล่านี้กระบวนการยุติธรรมในประเทศต้องขยับ คือแรงกดดันจากต่างประเทศทำให้ในประเทศต้องขยับ และนำไปสู่การเอาผิดเจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้
รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ออกมาอย่างต่อเนื่อง และอีก 2-3 เดือนจะเฉพาะเจาะจงลงไป ต้องการจะสะท้อนภาพหรือชี้ประเด็นใด
หลักใหญ่ๆคือคนทำผิดต้องรับผิด คนที่ละเมิดสิทธิต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นี่คือหลักการสำคัญ ฮิวแมนไรท์วอทซ์ไม่เลือกฝ่าย เราไม่เหลือง ไม่แดง ไม่เขียว หรือน้ำเงิน ฝ่ายใดที่ละเมิดสิทธิ ฝ่ายใดที่ทำรุนแรง เราเปิดโปงคนเหล่านั้นทั้งสิ้น และเราก็กระทุ้งให้เกิดความยุติธรรมขึ้น โดยเป็นความยุติธรรมที่อยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย ไม่ใช่ศาลเตี้ย เอาคนเหล่านั้นมาดำเนินคดีตามช่องทางที่มีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรมในประเทศ หรือกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ ของประเทศไทยเป้าหลักอยู่ที่กระบวนการยุติธรรมในประเทศมากกว่า เพราะกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศอาจแตะยากหน่อย ชี้ความผิดให้ชัดเจน และยึดสัญญาประชาคมที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้กับประชาชนเมื่อปีที่แล้วว่าถ้าพบว่าใครทำผิดจะไม่ละเว้นทั้งสิ้น เราเอาประโยคนี้เป็นประโยคสำคัญ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554
ฤา ซีเรีย จะกลายเป็น โดมิโน ตัวต่อไป !!?
หลังจากการล่มสลายของผู้นำเผด็จการในตูนิเซียและอียิปต์ อีกทั้งสถานการณ์ความรุนแรงที่แผ่ขยายไปตลอดแนวกลุ่มชาติอาหรับ นับตั้งแต่อัลจีเรียจนกระทั่งถึงอิหร่าน หลายคนเริ่มสงสัยว่า "โดมิโน"ตัวต่อไปในเกมการเมืองครั้งนี้จะเป็นใคร
ซีเรีย ซึ่งมีการปกครองในระบบเผด็จการที่คล้ายคลึงกับตูนิเซียและอียิปต์ อาจไม่ใช่ประเทศต่อไป แต่อย่างไรก็ดี ถือว่าเป็นประเทศที่อาจก้าวถึงจุดแตกหักได้ไม่ยาก

ทฤษฎีโดมิโน่แบบเก่า ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจถูกนำมาใช้ได้อย่างคร่าวๆ ในการเน้นย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของประเทศต่างๆในภูมิภาค ประเทศกลุ่มอาหรับทุกวันนี้ หรืออาจเปรียบเทียบได้กับกระดานหมากรุก ที่การเคลื่อนที่เบี้ยหมากรุกตัวใดตัวหนึ่ง อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ของหมากตัวอื่นบนกระดาน
ในทุกวันนี้ ขณะที่การประท้วงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ รัฐบาลของประเทศอาหรับทั้งจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนืออาจเชื่อว่า หากต้องการเรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง ความขัดแย้งภายในย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในซีเรีย ดูเหมือนว่าการประท้วงต่อต้านภาวะชะงักงันทางการเมืองที่มีความเปราะบางอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ขณะที่ทุกวันนี้ ประชาชนคนธรรมดาในซีเรีย ต่างต้องประสบกับภาวะความตกต่ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงอัตราการว่างงานที่พุ่งขึ้น ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น การถูกจำกัดด้านเสรีภาพส่วนบุคคล และการคอร์รัปชันที่เป็นเหมือนโรคเรื้อรัง ปัจจัยดังกล่าวแทบไม่แตกต่างจากสาเหตุของการประท้วงขับไล่รัฐบาลในหลายประเทศ ซึ่งเริ่มจากการเรียกร้องสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนกลายเป็นการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ
รัฐบาลในกรุงดามัสกัสต่างรู้สึกหวั่นเกรงต่อเหตุประท้วงที่อาจก่อตัวได้เมื่อใดก็ได้ หนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนและทหารก็คือกระบวนการปฏิรูปการเมืองที่แท้จริงที่นำไปสู่การเลือกตั้งและการมีรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติ อย่างไรก็ดี ความเฉื่อยชาที่ยังคงติดแน่นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน กลายเป็นสิ่งที่ขัดขวางกระบวนการดังกล่าวไม่ให้เดินไปข้างหน้าเท่าที่ควร
แต่แทนที่รัฐบาลซีเรียจะพยายามเร่งผลักดันกระบวนการดังกล่าว กลับเสนอ"เครื่องล่อใจ"ประเภทต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่าผู้ลงคะแนนเสียงหลักจะยังคงไม่แตกแถวไปไหน อาทิ โครงการแจกคอมพิวเตอร์โน้ตบุคให้แก่ครูอาจารย์ การเพิ่มเงินอุดหนุนให้แก่แรงงานในภาคสาธารณะ และการขจัดกลุ่มนักปฏิรูปการเมือง แต่สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจำเป็นต้องมีการนำมาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นมาใช้ การยกเลิกการประกาศภาวะฉุกเฉินซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งเท่ากับเป็นการลดอำนาจของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจเป็นทั้งสัญลักษณ์และขั้นตอนที่ชัดเจนในการก้าวไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง
หากว่ารัฐบาลซีเรีย หรือกระทั่งผู้นำชาติอื่นๆในกลุ่มอาหรับ ยังไม่เริ่มที่จะตระหนักได้ว่าเสรีภาพคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน นั่นอาจทำให้แม้กระทั่งความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุดของประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่เหลืออีกก็เป็นได้ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น อาจเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการประท้วงขึ้นในประเทศทางแอฟริกาเหนือก็จริง แต่การเริ่มหันเหความสนใจเพื่อให้มีการปฏิรูปทางการเมืองของกลุ่มผู้ประท้วงที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว นั่นอาจทำให้ไม่มีใครสามารถรับมือกับเหตุรุนแรงได้ทัน
การจัดการปัญหาอาจเป็นไปไม่ได้ในความจริงที่จะไม่มีการหลั่งเลือด เช่นที่เราเห็นในเหตุประท้วงหลายครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นรัฐบาลซีเรียจึงทราบดีว่าตนจำเป็นต้องตอบสนอง ตั้งแต่นี้ไปโดยใช้มาตรการการปฏิรูปแบบ"ไม่เต็มใจ"ที่เพิ่งร่างไว้อย่างคร่าวๆ แต่การพยายามสะสางปัญหาความคับข้องใจที่ฝังรากลึกด้วยการพูดจาภาษาดอกไม้ และข้อเสนอกองโต ก็เหมือนกับการพยายามดับไฟที่กำลังโหมไหม้ป่าด้วยเครื่องฉีดน้ำเพียงเครื่องเดียว ทางออกต่อปัญหาของซีเรียจึงจำเป็นต้องมีแก่นสารและสาระสำคัญเทียบเท่ากับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
กระทั่งปัจจุบัน รัฐบาลซีเรียยังคงหวังว่า การใช้ถ้อยคำชักจูงโน้มน้าวต่อนโยบายการต่อต้านอิสราเอลและชาติตะวันตก สามารถเป็นเกราะในการปกป้องตนเองได้ ในขณะที่แทบไม่พบว่าปัญหาเรื่องอิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นประเด็นสำคัญในการเรียกร้องในตูนิเซียและอียิปต์ นอกจากนั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเครื่องบินรบอิสราเอลพุ่งเป้าโจมตีซีเรีย กลับไม่มีเสียงใดๆออกมาจากปากของรัฐบาล และยังคงไม่มีต่อไปแม้ว่าเครื่องบินของอิสราเอลกำลังบินอยู่เหนือทำเนียบประธานาธิบดีก็ตาม
รัฐบาลอ้างว่า นี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแสดง"ความอดกลั้น"เช่นเดียวกับประเทศพันธมิตรพี่ใหญ่อย่างอิหร่านปฏิบัติ อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากวิกิลีกส์เปิดเผยให้ทราบว่า ผู้นำซีเรียได้กล่าวต่อรัฐบาลอิหร่านว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจต่อสงครามใดๆก็ตามที่ตนกระทำต่ออิสราเอล เนื่องจากอิสราเอลอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงถือเป็นความผิดมหันต์ หากรัฐบาลซีเรียคิดว่ากลยุทธ์การหันเหความสนใจแบบเดิมๆจะทำให้ตนหลุดพ้นจากภาระรับผิดชอบ ในทางกลับกัน ยังคงมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา ที่ยังคงไม่สามารถหางานที่เหมาะสมกับตนเองได้ ซึ่งรัฐบาลได้นำพวกเขา เพื่อจัดตั้งเป็นกลุ่มแกนนำประท้วง ซึ่งใช้สโลแกนทางการเมืองที่ไร้จุดหมาย เพื่อแสดงจุดยืนต่อการคงไว้ซึ่งการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อความชอบธรรมในการยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป
ประชาชนชาวซีเรีย มีความอดทน แข็งแกร่ง ยืดหยุ่นได้สูง และเต็มไปด้วยความคิดริเริ่ม ครอบครัวและความผูกพันต่อสังคมยังคงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความทุกข์ยากทั้งปวง เมื่ออาหารขาดแคลน พวกเขายังคงแบ่งปัน เมื่อรัฐบาลปิดกั้นข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต พวกเขาก็ใช้พร็อกซี่ เซิร์ฟเวอร์แทน
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรกระทำ พวกเขาไม่ควรนำสวัสดิภาพของตนเข้าไปเสี่ยงเมื่อเขาพยายามติดต่อกับโลกออนไลน์ ไม่มีใครต้องการเห็นท้องถนนในกรุงดามัสกัสเต็มไปด้วยการประท้วง หรือกระทั่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจ สิ่งที่คนซีเรียต้องการก็คือการเจรจาที่สามารถสื่อความหมายกับรัฐบาลได้
รัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นดังกล่าว แม้ว่าตนเองจะได้ใช้ความพยายามไปมากเพียงใดก็ตาม ต้องอย่าลืมว่าคนซีเรียได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางเช่นเดียวกับประชาชนในประเทศอื่นๆ ประชาชนซีเรียอาจไม่มีความโน้มเอียงที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่การกำเนิดของเสรีภาพ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปรากฏต่อหน้าของพวกเขา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลืมได้ง่ายๆ หรือถูกเอาชนะด้วยถ้อยคำประกาศของรัฐบาล หรือจากถ้อยแถลงของผู้นำที่อยู่บนหอคอยงาช้าง
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า กำแพงเบอร์ลินจะไม่มีวันพังทลาย นายมูบารัคจะไม่มีวันก้าวลงจากตำแหน่ง และยังคงมีบางคนที่กล่าวว่าซีเรียจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่หากว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นวันใดวันหนึ่ง ประชาชนชาวซีเรียอาจได้ลิ้มรสเสรีภาพอย่างแท้จริง
ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ซีเรีย ซึ่งมีการปกครองในระบบเผด็จการที่คล้ายคลึงกับตูนิเซียและอียิปต์ อาจไม่ใช่ประเทศต่อไป แต่อย่างไรก็ดี ถือว่าเป็นประเทศที่อาจก้าวถึงจุดแตกหักได้ไม่ยาก
ทฤษฎีโดมิโน่แบบเก่า ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจถูกนำมาใช้ได้อย่างคร่าวๆ ในการเน้นย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของประเทศต่างๆในภูมิภาค ประเทศกลุ่มอาหรับทุกวันนี้ หรืออาจเปรียบเทียบได้กับกระดานหมากรุก ที่การเคลื่อนที่เบี้ยหมากรุกตัวใดตัวหนึ่ง อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ของหมากตัวอื่นบนกระดาน
ในทุกวันนี้ ขณะที่การประท้วงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ รัฐบาลของประเทศอาหรับทั้งจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนืออาจเชื่อว่า หากต้องการเรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง ความขัดแย้งภายในย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในซีเรีย ดูเหมือนว่าการประท้วงต่อต้านภาวะชะงักงันทางการเมืองที่มีความเปราะบางอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ขณะที่ทุกวันนี้ ประชาชนคนธรรมดาในซีเรีย ต่างต้องประสบกับภาวะความตกต่ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงอัตราการว่างงานที่พุ่งขึ้น ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น การถูกจำกัดด้านเสรีภาพส่วนบุคคล และการคอร์รัปชันที่เป็นเหมือนโรคเรื้อรัง ปัจจัยดังกล่าวแทบไม่แตกต่างจากสาเหตุของการประท้วงขับไล่รัฐบาลในหลายประเทศ ซึ่งเริ่มจากการเรียกร้องสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนกลายเป็นการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ
รัฐบาลในกรุงดามัสกัสต่างรู้สึกหวั่นเกรงต่อเหตุประท้วงที่อาจก่อตัวได้เมื่อใดก็ได้ หนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนและทหารก็คือกระบวนการปฏิรูปการเมืองที่แท้จริงที่นำไปสู่การเลือกตั้งและการมีรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติ อย่างไรก็ดี ความเฉื่อยชาที่ยังคงติดแน่นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน กลายเป็นสิ่งที่ขัดขวางกระบวนการดังกล่าวไม่ให้เดินไปข้างหน้าเท่าที่ควร
แต่แทนที่รัฐบาลซีเรียจะพยายามเร่งผลักดันกระบวนการดังกล่าว กลับเสนอ"เครื่องล่อใจ"ประเภทต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่าผู้ลงคะแนนเสียงหลักจะยังคงไม่แตกแถวไปไหน อาทิ โครงการแจกคอมพิวเตอร์โน้ตบุคให้แก่ครูอาจารย์ การเพิ่มเงินอุดหนุนให้แก่แรงงานในภาคสาธารณะ และการขจัดกลุ่มนักปฏิรูปการเมือง แต่สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจำเป็นต้องมีการนำมาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นมาใช้ การยกเลิกการประกาศภาวะฉุกเฉินซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งเท่ากับเป็นการลดอำนาจของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจเป็นทั้งสัญลักษณ์และขั้นตอนที่ชัดเจนในการก้าวไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง
หากว่ารัฐบาลซีเรีย หรือกระทั่งผู้นำชาติอื่นๆในกลุ่มอาหรับ ยังไม่เริ่มที่จะตระหนักได้ว่าเสรีภาพคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน นั่นอาจทำให้แม้กระทั่งความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุดของประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่เหลืออีกก็เป็นได้ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น อาจเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการประท้วงขึ้นในประเทศทางแอฟริกาเหนือก็จริง แต่การเริ่มหันเหความสนใจเพื่อให้มีการปฏิรูปทางการเมืองของกลุ่มผู้ประท้วงที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว นั่นอาจทำให้ไม่มีใครสามารถรับมือกับเหตุรุนแรงได้ทัน
การจัดการปัญหาอาจเป็นไปไม่ได้ในความจริงที่จะไม่มีการหลั่งเลือด เช่นที่เราเห็นในเหตุประท้วงหลายครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นรัฐบาลซีเรียจึงทราบดีว่าตนจำเป็นต้องตอบสนอง ตั้งแต่นี้ไปโดยใช้มาตรการการปฏิรูปแบบ"ไม่เต็มใจ"ที่เพิ่งร่างไว้อย่างคร่าวๆ แต่การพยายามสะสางปัญหาความคับข้องใจที่ฝังรากลึกด้วยการพูดจาภาษาดอกไม้ และข้อเสนอกองโต ก็เหมือนกับการพยายามดับไฟที่กำลังโหมไหม้ป่าด้วยเครื่องฉีดน้ำเพียงเครื่องเดียว ทางออกต่อปัญหาของซีเรียจึงจำเป็นต้องมีแก่นสารและสาระสำคัญเทียบเท่ากับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
กระทั่งปัจจุบัน รัฐบาลซีเรียยังคงหวังว่า การใช้ถ้อยคำชักจูงโน้มน้าวต่อนโยบายการต่อต้านอิสราเอลและชาติตะวันตก สามารถเป็นเกราะในการปกป้องตนเองได้ ในขณะที่แทบไม่พบว่าปัญหาเรื่องอิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นประเด็นสำคัญในการเรียกร้องในตูนิเซียและอียิปต์ นอกจากนั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเครื่องบินรบอิสราเอลพุ่งเป้าโจมตีซีเรีย กลับไม่มีเสียงใดๆออกมาจากปากของรัฐบาล และยังคงไม่มีต่อไปแม้ว่าเครื่องบินของอิสราเอลกำลังบินอยู่เหนือทำเนียบประธานาธิบดีก็ตาม
รัฐบาลอ้างว่า นี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแสดง"ความอดกลั้น"เช่นเดียวกับประเทศพันธมิตรพี่ใหญ่อย่างอิหร่านปฏิบัติ อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากวิกิลีกส์เปิดเผยให้ทราบว่า ผู้นำซีเรียได้กล่าวต่อรัฐบาลอิหร่านว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจต่อสงครามใดๆก็ตามที่ตนกระทำต่ออิสราเอล เนื่องจากอิสราเอลอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงถือเป็นความผิดมหันต์ หากรัฐบาลซีเรียคิดว่ากลยุทธ์การหันเหความสนใจแบบเดิมๆจะทำให้ตนหลุดพ้นจากภาระรับผิดชอบ ในทางกลับกัน ยังคงมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา ที่ยังคงไม่สามารถหางานที่เหมาะสมกับตนเองได้ ซึ่งรัฐบาลได้นำพวกเขา เพื่อจัดตั้งเป็นกลุ่มแกนนำประท้วง ซึ่งใช้สโลแกนทางการเมืองที่ไร้จุดหมาย เพื่อแสดงจุดยืนต่อการคงไว้ซึ่งการประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อความชอบธรรมในการยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป
ประชาชนชาวซีเรีย มีความอดทน แข็งแกร่ง ยืดหยุ่นได้สูง และเต็มไปด้วยความคิดริเริ่ม ครอบครัวและความผูกพันต่อสังคมยังคงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความทุกข์ยากทั้งปวง เมื่ออาหารขาดแคลน พวกเขายังคงแบ่งปัน เมื่อรัฐบาลปิดกั้นข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต พวกเขาก็ใช้พร็อกซี่ เซิร์ฟเวอร์แทน
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรกระทำ พวกเขาไม่ควรนำสวัสดิภาพของตนเข้าไปเสี่ยงเมื่อเขาพยายามติดต่อกับโลกออนไลน์ ไม่มีใครต้องการเห็นท้องถนนในกรุงดามัสกัสเต็มไปด้วยการประท้วง หรือกระทั่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจ สิ่งที่คนซีเรียต้องการก็คือการเจรจาที่สามารถสื่อความหมายกับรัฐบาลได้
รัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นดังกล่าว แม้ว่าตนเองจะได้ใช้ความพยายามไปมากเพียงใดก็ตาม ต้องอย่าลืมว่าคนซีเรียได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางเช่นเดียวกับประชาชนในประเทศอื่นๆ ประชาชนซีเรียอาจไม่มีความโน้มเอียงที่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่การกำเนิดของเสรีภาพ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปรากฏต่อหน้าของพวกเขา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลืมได้ง่ายๆ หรือถูกเอาชนะด้วยถ้อยคำประกาศของรัฐบาล หรือจากถ้อยแถลงของผู้นำที่อยู่บนหอคอยงาช้าง
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า กำแพงเบอร์ลินจะไม่มีวันพังทลาย นายมูบารัคจะไม่มีวันก้าวลงจากตำแหน่ง และยังคงมีบางคนที่กล่าวว่าซีเรียจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่หากว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นวันใดวันหนึ่ง ประชาชนชาวซีเรียอาจได้ลิ้มรสเสรีภาพอย่างแท้จริง
ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
โปรดฟังอีกครั้ง! โสรัจจะ นวลอยู่. เตือน "มีนา-เมษา" ลางร้ายบ้านเมือง(สยอง)
เริ่มเดือนมีนาคม มาได้หลายวัน หลายคนอยากให้ผ่านเดือนนี้ไปให้เร็วที่สุด
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เตรียมหารือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เตรียมยุบสภาเลือกตั้ง
12 มีนาคม คนเสื้อแดง ชุมนุมใหญ่ 13 มีนาคม คนเสื้อเหลือง เคลื่อนขบวน
การอภิปรายซักฟอกรัฐบาล เจอโรคเลื่อน แบบมีปริศนา
ใครบางคน บอกว่า บรรยากาศเงียบสงัด ยามนี้ เสมือน ห้วงเวลาก่อนมีพายุใหญ่
แต่ ศาสตร์แห่งโหร เตือนไว้ว่า เดือนมีนาคม และเมษายน ปีนี้แรงนัก
โสรัจจะ นวลอยู่ นอสตราดามุสเมืองไทย เตือนไว้ใน ศาสตร์แห่งโหร ปี 2554 ไว้ดังนี้
" ดาวอังคาร ดาวเลือด เข้าสู่ราศีมีน ในวันที่ 25 มีนาคม 2554 เป็นวิกฤตกับดวงเมือง"
เดือนมีนาคม และเมษายนปี 2554 จะมีลางร้ายบอกเหตุล่วงหน้า
ให้จับตามองลางร้ายที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและบ้านเมือง
เหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง มันจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา เหมือนปีก่อนๆ ไม่มีผิด
เมืองไทยเข้าสู่วิกฤต จะมีประชาชนมาชุมนุมกันเป็นเรือนแสนที่ชุมนุมตามท้องถนน แม้รัฐบาลประกาศห้ามชุมนุมก็ไม่ฟังกัน
การชุมนุมครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นและรู้ทันความเคลือบแคลงของรัฐบาล
แม้ว่ารัฐบาลจะมีหน้าฉากดูดีเพียงไรก็ตาม แต่ความไม่จริงใจก็ทำให้ประชาชนหยั่งรู้ได้และเกิดการลุกฮือต่อต้าน
เกิดการจลาจลเผาเมือง แบบเดียวกับปีที่แล้ว จะรุนแรงเสียหายมากกว่าหลายเท่า
ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าเผากรมกองต่างๆ และเผาสถานที่สำคัญของรัฐบาล กับเผารถถังและรถปราบจลาจล
บ้านเมืองทั้งกรุงเทพและปริมณฑล ถูกเผายับเยิน
ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์กว่าจะสงบลงได้ใช้เวลาเป็นหลายเดือน
.........
มีนาคม 2554
เกิดความแห้งแล้ง รุนแรง ทุกภาค ประชาชนขาดเครื่องใช้และน้ำบริโภค
บ่งถึงเป็นเดือนอันตราย ประมาทมิได้ทุกๆ ทาง ความสูญเสียทรัพยากร การแตกความสามัคคีภายใน และอุบัติเหตุใหญ่ๆ
ข่าวอันน่าสลดและสะเทือนใจที่สุด
บุคคลที่กุมอำนาจ กำลังอยู่น่าจะตระหนักถึงอันตราย ทั้งภายในและภายนอกที่ค่อนข้างรุนแรงมาก
ระยะนี้ บุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงของประเทศจะถึงแก่กรรม ผู้คนระส่ำระสาย
อาจมีอุบัติเหตุหมู่ เช่น โป๊ะล่ม เรือโดยสารขนาดใหญ่อับปางกลางทะเล ล้มตายเป็นจำนวนมาก
อุบัติเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้นตลอดทั้งเดือน มีการตายหมู่จากเครื่องบิน รถยนต์ และทางเรือ
เกิดแผ่นดินไหวสุดหฤโหดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ฝังคนทั้งเป็นนับร้อยนับพันคน เหมือนมดเหมือนปลวก
เศรษฐกิจถดถอย เกิดโรคระบาดและภาวะขาดแคลนเครื่องอุปโภค โจรผู้ร้ายฉวยดอกาสปล้นสะดม
ปลายเดือน เกิดปัญหาธนาคารและสถาบันการเงิน
ตลาดหุ้น อับเฉา
เป็นเดือนแห่งความวิปริต ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน
เกิดการกระทบกระเทือนชายแดนแถบพม่า
การเตรียมความพร้อมและความไม่สงบภายในประเทศ ตึงเครียด และมีเหตุภัยธรรมชาติ
...........
โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณาบทวิเคราะห์ข้างต้น
เนื่องเพราะศาสตร์แห่งโหร เป็นเรื่องความเชื่อ อาจจะจริงหรือไม่จริง
หากมีสติก็ย่อมไต่ตรอง ใช้ชีวิตได้อย่างระมัดระวัง
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เตรียมหารือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เตรียมยุบสภาเลือกตั้ง
12 มีนาคม คนเสื้อแดง ชุมนุมใหญ่ 13 มีนาคม คนเสื้อเหลือง เคลื่อนขบวน
การอภิปรายซักฟอกรัฐบาล เจอโรคเลื่อน แบบมีปริศนา
ใครบางคน บอกว่า บรรยากาศเงียบสงัด ยามนี้ เสมือน ห้วงเวลาก่อนมีพายุใหญ่
แต่ ศาสตร์แห่งโหร เตือนไว้ว่า เดือนมีนาคม และเมษายน ปีนี้แรงนัก
โสรัจจะ นวลอยู่ นอสตราดามุสเมืองไทย เตือนไว้ใน ศาสตร์แห่งโหร ปี 2554 ไว้ดังนี้
" ดาวอังคาร ดาวเลือด เข้าสู่ราศีมีน ในวันที่ 25 มีนาคม 2554 เป็นวิกฤตกับดวงเมือง"
เดือนมีนาคม และเมษายนปี 2554 จะมีลางร้ายบอกเหตุล่วงหน้า
ให้จับตามองลางร้ายที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลและบ้านเมือง
เหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง มันจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา เหมือนปีก่อนๆ ไม่มีผิด
เมืองไทยเข้าสู่วิกฤต จะมีประชาชนมาชุมนุมกันเป็นเรือนแสนที่ชุมนุมตามท้องถนน แม้รัฐบาลประกาศห้ามชุมนุมก็ไม่ฟังกัน
การชุมนุมครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นและรู้ทันความเคลือบแคลงของรัฐบาล
แม้ว่ารัฐบาลจะมีหน้าฉากดูดีเพียงไรก็ตาม แต่ความไม่จริงใจก็ทำให้ประชาชนหยั่งรู้ได้และเกิดการลุกฮือต่อต้าน
เกิดการจลาจลเผาเมือง แบบเดียวกับปีที่แล้ว จะรุนแรงเสียหายมากกว่าหลายเท่า
ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าเผากรมกองต่างๆ และเผาสถานที่สำคัญของรัฐบาล กับเผารถถังและรถปราบจลาจล
บ้านเมืองทั้งกรุงเทพและปริมณฑล ถูกเผายับเยิน
ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์กว่าจะสงบลงได้ใช้เวลาเป็นหลายเดือน
.........
มีนาคม 2554
เกิดความแห้งแล้ง รุนแรง ทุกภาค ประชาชนขาดเครื่องใช้และน้ำบริโภค
บ่งถึงเป็นเดือนอันตราย ประมาทมิได้ทุกๆ ทาง ความสูญเสียทรัพยากร การแตกความสามัคคีภายใน และอุบัติเหตุใหญ่ๆ
ข่าวอันน่าสลดและสะเทือนใจที่สุด
บุคคลที่กุมอำนาจ กำลังอยู่น่าจะตระหนักถึงอันตราย ทั้งภายในและภายนอกที่ค่อนข้างรุนแรงมาก
ระยะนี้ บุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงของประเทศจะถึงแก่กรรม ผู้คนระส่ำระสาย
อาจมีอุบัติเหตุหมู่ เช่น โป๊ะล่ม เรือโดยสารขนาดใหญ่อับปางกลางทะเล ล้มตายเป็นจำนวนมาก
อุบัติเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้นตลอดทั้งเดือน มีการตายหมู่จากเครื่องบิน รถยนต์ และทางเรือ
เกิดแผ่นดินไหวสุดหฤโหดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ฝังคนทั้งเป็นนับร้อยนับพันคน เหมือนมดเหมือนปลวก
เศรษฐกิจถดถอย เกิดโรคระบาดและภาวะขาดแคลนเครื่องอุปโภค โจรผู้ร้ายฉวยดอกาสปล้นสะดม
ปลายเดือน เกิดปัญหาธนาคารและสถาบันการเงิน
ตลาดหุ้น อับเฉา
เป็นเดือนแห่งความวิปริต ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน
เกิดการกระทบกระเทือนชายแดนแถบพม่า
การเตรียมความพร้อมและความไม่สงบภายในประเทศ ตึงเครียด และมีเหตุภัยธรรมชาติ
...........
โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณาบทวิเคราะห์ข้างต้น
เนื่องเพราะศาสตร์แห่งโหร เป็นเรื่องความเชื่อ อาจจะจริงหรือไม่จริง
หากมีสติก็ย่อมไต่ตรอง ใช้ชีวิตได้อย่างระมัดระวัง
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
กกต."สดศรี" สตรีสากล วิเคราะห์เกมปฏิวัติ-เพื่อไทย-ปชป. อ่านผู้หญิง-ชู้-และการไต่เต้าอำนาจ !?
ผู้หญิงในสนามการเมือง มักถูกเปรียบเป็นไม้ประดับ
ผู้หญิงที่อยู่ในวงล้อมของผู้มีอำนาจ มักถูกโจมตีเรื่องชู้สาว
"สดศรี สัตยธรรม" ต้องพัวพันกับนักเลือกตั้งทั้งหญิง-ชาย
เธอเคยบอกว่า เป็นกรรมการตัดสินยุคนี้ลำบาก ต้องกลืนเลือด กลืนน้ำตา ขาข้างหนึ่งอยู่ในตะราง
ในยุคที่สังคมยังแตกแยก ในวาระ วันสตรีสากล "สดศรี" ส่งสัญญาณกระเทือนทั้งกระดานอำนาจด้วยคีย์เวิร์ด "คิดว่าถ้าปฏิวัติได้ปฏิวัติเลย ไม่อยากให้มีเลือกตั้งเพราะเหนื่อยมาก"
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับเธอ ผู้หญิงที่ใช้สมอง-เหตุผล มองการเมือง
- การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีแรงกดดันจากสถานการณ์ชุมนุมหรือไม่
ตราบใดที่ยังมีม็อบอย่างนี้ การหาเสียงของแต่ละฝ่ายก็คงมีปัญหา เช่น ประชาธิปัตย์จะไปหาเสียงทางภาคอีสานก็คงไม่ปลอดภัย หรือพรรคเพื่อไทยไปภาคใต้ก็คงไม่สะดวก แม้เขียนกฎหมายห้าม แต่หากไม่มีกลไกดูแล มี กกต.แค่ 2,000 กว่าคน ไม่มีมือไม้ ทหาร ตำรวจ หากเกิดเหตุรุนแรง กกต.จะจัดการยังไง หรือควรมีกฎหมายพิเศษให้ กกต.หรือไม่ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง
- วิเคราะห์แนวโน้มหลังเลือกตั้ง รัฐบาลพรรคเดียวเป็นไปได้แค่ไหน
พรรคการเมืองระดับใหญ่มีการสำรวจฐานเสียงเขา ทราบมาว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคเหนือส่วนใหญ่จะเป็นพรรคเพื่อไทย สำหรับภาคใต้ก็เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเป็นลักษณะแบบนี้เหมือนประเทศไทยแบ่งเป็น 3 ส่วน แน่นอนที่สุดคิดว่าเป็นรัฐบาลผสม
แต่ถ้าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าการคุมคะแนนเสียงไม่เป็นเอกภาพ ซึ่งคงเป็นลักษณะเดียวกันกับของเก่าหลายพรรคด้วยกัน...พวกท่าน (นักการเมือง) ทำเพื่อบ้านเมืองหรือเปล่า พูดเรื่องอุดมการณ์กันหรือเปล่า ถ้าทำเพื่อประเทศชาติก็ไปได้ด้วยดี
- รัฐธรรมนูญใหม่เปิดช่องให้พรรคไหนได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สูงสุดมีสิทธิชิงตั้งรัฐบาล
ไม่เห็นด้วยที่จะเอาปาร์ตี้ลิสต์มาชี้วัด การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ปาร์ตี้ลิสต์สูงสุด แต่จำนวน ส.ส.เขตได้มาน้อย เราก็คงจะต้องดูว่าประชาชนเลือก ส.ส.พรรคไหนมากที่สุด สมควรเป็นตัวนำตั้งรัฐบาลหรือไม่ ส่วนปาร์ตี้ลิสต์เป็นระบบที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงลงไปหาเสียงเหมือน ส.ส.ลงเลือกตั้งเขต ที่เข้าใจประชาชนมากกว่าปาร์ตี้ลิสต์ ที่มาจากนายทุน มีเงิน มีชื่อในปาร์ตี้ลิสต์ก็ได้แล้ว
ส.ส.ที่แท้จริงคือผู้ที่ไปสัมผัสกับประชาชน ท่านจะได้ไปรู้ความทุกข์สุขของประชาชนมากกว่าอาศัยคะแนนเสียงจากปาร์ตี้ลิสต์แล้วได้เป็น
- การแจกใบแดงมีผลต่อตัวเลข ส.ส.และการจัดตั้งรัฐบาล
หลังเลือกตั้งภายใน 30 วัน กกต.มีอำนาจแจกใบเหลืองใบแดง มีผลต่อการตั้งรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่แล้วการสอบสวนจะทำไม่ทัน จึงต้องประกาศไปก่อนแล้วสอยทีหลัง เพราะสภาต้องเปิดหลังการเลือกตั้งไปแล้ว 30 วัน ฉะนั้นต้องเร่งระยะเวลานั้นให้เร็วที่สุด ต้องถามฝ่ายสืบสวนสอบสวนว่าไหวไหม ส่วนใหญ่แล้วไม่ทัน เว้นแต่จับได้คาหนังคาเขา แน่นอนว่าโดนใบแดงหรือใบเหลืองเลยเป็นอำนาจ กกต. ไม่ต้องส่งขึ้นศาล
- กกต.มักถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่ว่า กกต.หรือศาลวินิจฉัยอะไร ก็ต้องมีคนแพ้กับคนชนะ ซึ่งคนชนะก็จะชื่นชมว่ายุติธรรม ส่วนคนแพ้ก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรม และเชื่อว่าคนตัดสินได้รับเงินรับทองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นของธรรมดา แต่ไม่เป็นธรรมกับผู้ตัดสิน กกต.โดนว่าตลอดเวลา
ตราบใดไม่ยอมรับกติกา เหมือนลงสนามแล้วไม่นับถือกรรมการ แทนที่กรรมการจะเป็นผู้ให้ใบแดงแต่กรรมการ กลับโดนใบแดงเสียเอง ไม่ให้ตัดสินแล้วการเลือกตั้งจะอยู่ได้ยังไง สังคมจะอยู่ได้ยังไง ถ้าเลือกตั้งไม่ได้ก็ต้องอยู่กันแบบเผด็จการ แล้วขณะนี้ กกต.ไม่ได้ตัดสินคนเดียว เพราะหลังเลือกตั้งไปแล้ว 30 วัน กกต.ต้องส่งไปให้ศาล ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณาด่านสุดท้าย
- ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่
ตราบใดถ้ารัฐบาลไม่สามารถทำให้บ้านเมืองภายในสงบ และมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ การเลือกตั้งก็ไม่อาจเป็นยารักษาโรคได้ แต่อาจจะทำให้เป็นแผลพุพองมากขึ้นด้วยซ้ำ รัฐบาลต้องแก้ทั้งปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนและม็อบภายในประเทศ รวมถึงศึกสงคราม
- ประเด็นการยุบพรรคจะเป็นเงื่อนไขในการจัดโครงสร้างอำนาจ
ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต. เพราะมีการร้องขึ้นมาว่า คนในพรรคเพื่อไทยเข้าไปอยู่ในกลุ่มม็อบ ทั้งม็อบ นปช. และคนของพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาอยู่ในม็อบพันธมิตรฯ ทำให้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ จะเป็นเหตุยุบพรรคตามมาตรา 94 ของ พ.ร.บ. พรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งก็ต้องดูเพราะต่างฝ่ายต่างร้องเข้ามา
- ฝ่ายหนึ่งมักจะระบุว่าถูกปฏิบัติอย่าง 2 มาตรฐาน
ตอนนี้โดนทั้ง 2 พรรค ต่างฝ่ายต่างก็ร้อง...เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ ต้องพิจารณาให้มีบรรทัดฐาน การที่นักการเมืองจะ อยู่ในม็อบได้หรือไม่หรือจะเข้าไปสนับสนุน ม็อบได้หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าต้องขึ้นศาลไหม หรือว่าจะให้อยู่ในชั้น กกต.ก็พอ
- คิดว่าผู้หญิงมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นไหม
ไม่ว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นก็มีนายก อบต. หรือนายก อบจ.เป็นผู้หญิงก็เยอะ หรือระดับชาติก็มี ส.ส.หญิง รัฐมนตรีหญิง แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสนใจการเมืองมาก ลบแนวความคิดเก่า ๆ ว่าการเมืองเป็นเรื่องผู้ชาย โดยเฉพาะลูกสาวของนักการเมืองจะสนใจการ เมืองมากกว่าลูกชายอาจเป็นเพราะการศึกษาสมัยใหม่
- ความเป็นผู้หญิงมีข้ออ่อนถูกโจมตีได้ง่ายหรือไม่
สิ่งที่จะถูกโจมตีคือเรื่องชู้สาว เรื่องทางเพศ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีผู้หญิงเกินไป สังคมไทยมักเอาเรื่องเหล่านี้มาปนกับเรื่องความสำเร็จทางการงาน บางคนกล่าวหาคนอื่นว่าได้เป็นปลัด เป็นอธิบดีเพราะไต่เต้า ถ้าให้ความเป็นธรรมกับผู้หญิง และเปิดโอกาสให้ทำงานบ้านเมืองก็จะดี
ข้อได้เปรียบของผู้หญิง คือ เรื่องคอร์รัปชั่นมีน้อยมาก อาจเพราะเป็นเพศที่ใจไม่ถึงในเรื่องนี้ ผู้หญิงที่มาถึงจุดนี้มีความพร้อมอยู่แล้วทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษา
ในอนาคตเราอาจจะมีผู้หญิง เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ ขณะนี้มีรัฐมนตรีหญิง แต่ก็ถูกโจมตีว่าไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ซึ่งไม่จริง บางครั้งโดนเทคนิคทางการเมืองไม่ให้โอกาสเขาทำงานก็มี
- ในอดีตท่านถูกมองว่าเข้าข้าง คมช. ถูกโจมตีทั้งตัวท่านและลูกสาว
คนที่ไม่ได้ถูกใส่ร้ายป้ายสีคงไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อตัวเองตกอยู่ในฐานะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหญิงหรือชายก็ทนไม่ได้ เพราะลูกเราทำผิดอะไร ทำไมถึงเอามาเกี่ยวข้อง
ที่จริงไม่ได้เข้าข้าง คมช. แต่ในอดีตคงมีเงื่อนไขให้เกิดการยึดอำนาจ การปฏิวัติครั้งนั้นประชาชนให้ดอกไม้ ไม่ได้ลุกฮือเหมือนในปัจจุบันที่ต่อต้านการปฏิวัติ อย่างไรก็ตามถ้าปฏิวัติเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง มีการฆ่าแกงประชาชน ไม่ว่าจะทำโดยทหารกลุ่มไหน เราก็ไม่เห็นด้วยแน่นอน
ส่วน กกต.จริง ๆ ไม่ใช่นักการเมือง แต่เขาลากไปว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการ เมือง เมื่อโจมตีแม่ไม่ได้ก็ไปโจมตีลูก
หลายครั้งเราคิดว่ามาทำกับเราคนเดียวดีกว่า ทุกคนก็รักลูกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนร่ำรวย คนจน ผู้ดี หรือไพร่ แล้วสิ่งที่เราทำมันผิดไหม
ตอนเป็นผู้พิพากษาไม่เคยมีใครมา ยุ่งโจมตีกับลูกสาว แต่พอมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เหมือนเขาทำอะไรแม่ไม่ได้ก็มาทำกับลูก ซึ่งเรามีลูกอยู่คนเดียวและเป็นผู้พิพากษาด้วย คิดว่าการชกควรจะชกตัวต่อตัว อย่าไปเอาคนอื่นมายุ่ง มันไม่แฟร์ ต่อไปข้างหน้า ผู้หญิงที่ลงการเมืองต้องไม่มีลูก ไม่แต่งงาน ต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผู้หญิงที่อยู่ในวงล้อมของผู้มีอำนาจ มักถูกโจมตีเรื่องชู้สาว
"สดศรี สัตยธรรม" ต้องพัวพันกับนักเลือกตั้งทั้งหญิง-ชาย
เธอเคยบอกว่า เป็นกรรมการตัดสินยุคนี้ลำบาก ต้องกลืนเลือด กลืนน้ำตา ขาข้างหนึ่งอยู่ในตะราง
ในยุคที่สังคมยังแตกแยก ในวาระ วันสตรีสากล "สดศรี" ส่งสัญญาณกระเทือนทั้งกระดานอำนาจด้วยคีย์เวิร์ด "คิดว่าถ้าปฏิวัติได้ปฏิวัติเลย ไม่อยากให้มีเลือกตั้งเพราะเหนื่อยมาก"
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับเธอ ผู้หญิงที่ใช้สมอง-เหตุผล มองการเมือง
- การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีแรงกดดันจากสถานการณ์ชุมนุมหรือไม่
ตราบใดที่ยังมีม็อบอย่างนี้ การหาเสียงของแต่ละฝ่ายก็คงมีปัญหา เช่น ประชาธิปัตย์จะไปหาเสียงทางภาคอีสานก็คงไม่ปลอดภัย หรือพรรคเพื่อไทยไปภาคใต้ก็คงไม่สะดวก แม้เขียนกฎหมายห้าม แต่หากไม่มีกลไกดูแล มี กกต.แค่ 2,000 กว่าคน ไม่มีมือไม้ ทหาร ตำรวจ หากเกิดเหตุรุนแรง กกต.จะจัดการยังไง หรือควรมีกฎหมายพิเศษให้ กกต.หรือไม่ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง
- วิเคราะห์แนวโน้มหลังเลือกตั้ง รัฐบาลพรรคเดียวเป็นไปได้แค่ไหน
พรรคการเมืองระดับใหญ่มีการสำรวจฐานเสียงเขา ทราบมาว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคเหนือส่วนใหญ่จะเป็นพรรคเพื่อไทย สำหรับภาคใต้ก็เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเป็นลักษณะแบบนี้เหมือนประเทศไทยแบ่งเป็น 3 ส่วน แน่นอนที่สุดคิดว่าเป็นรัฐบาลผสม
แต่ถ้าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าการคุมคะแนนเสียงไม่เป็นเอกภาพ ซึ่งคงเป็นลักษณะเดียวกันกับของเก่าหลายพรรคด้วยกัน...พวกท่าน (นักการเมือง) ทำเพื่อบ้านเมืองหรือเปล่า พูดเรื่องอุดมการณ์กันหรือเปล่า ถ้าทำเพื่อประเทศชาติก็ไปได้ด้วยดี
- รัฐธรรมนูญใหม่เปิดช่องให้พรรคไหนได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สูงสุดมีสิทธิชิงตั้งรัฐบาล
ไม่เห็นด้วยที่จะเอาปาร์ตี้ลิสต์มาชี้วัด การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ปาร์ตี้ลิสต์สูงสุด แต่จำนวน ส.ส.เขตได้มาน้อย เราก็คงจะต้องดูว่าประชาชนเลือก ส.ส.พรรคไหนมากที่สุด สมควรเป็นตัวนำตั้งรัฐบาลหรือไม่ ส่วนปาร์ตี้ลิสต์เป็นระบบที่ไม่ต้องเหนื่อยแรงลงไปหาเสียงเหมือน ส.ส.ลงเลือกตั้งเขต ที่เข้าใจประชาชนมากกว่าปาร์ตี้ลิสต์ ที่มาจากนายทุน มีเงิน มีชื่อในปาร์ตี้ลิสต์ก็ได้แล้ว
ส.ส.ที่แท้จริงคือผู้ที่ไปสัมผัสกับประชาชน ท่านจะได้ไปรู้ความทุกข์สุขของประชาชนมากกว่าอาศัยคะแนนเสียงจากปาร์ตี้ลิสต์แล้วได้เป็น
- การแจกใบแดงมีผลต่อตัวเลข ส.ส.และการจัดตั้งรัฐบาล
หลังเลือกตั้งภายใน 30 วัน กกต.มีอำนาจแจกใบเหลืองใบแดง มีผลต่อการตั้งรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่แล้วการสอบสวนจะทำไม่ทัน จึงต้องประกาศไปก่อนแล้วสอยทีหลัง เพราะสภาต้องเปิดหลังการเลือกตั้งไปแล้ว 30 วัน ฉะนั้นต้องเร่งระยะเวลานั้นให้เร็วที่สุด ต้องถามฝ่ายสืบสวนสอบสวนว่าไหวไหม ส่วนใหญ่แล้วไม่ทัน เว้นแต่จับได้คาหนังคาเขา แน่นอนว่าโดนใบแดงหรือใบเหลืองเลยเป็นอำนาจ กกต. ไม่ต้องส่งขึ้นศาล
- กกต.มักถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่ว่า กกต.หรือศาลวินิจฉัยอะไร ก็ต้องมีคนแพ้กับคนชนะ ซึ่งคนชนะก็จะชื่นชมว่ายุติธรรม ส่วนคนแพ้ก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรม และเชื่อว่าคนตัดสินได้รับเงินรับทองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นของธรรมดา แต่ไม่เป็นธรรมกับผู้ตัดสิน กกต.โดนว่าตลอดเวลา
ตราบใดไม่ยอมรับกติกา เหมือนลงสนามแล้วไม่นับถือกรรมการ แทนที่กรรมการจะเป็นผู้ให้ใบแดงแต่กรรมการ กลับโดนใบแดงเสียเอง ไม่ให้ตัดสินแล้วการเลือกตั้งจะอยู่ได้ยังไง สังคมจะอยู่ได้ยังไง ถ้าเลือกตั้งไม่ได้ก็ต้องอยู่กันแบบเผด็จการ แล้วขณะนี้ กกต.ไม่ได้ตัดสินคนเดียว เพราะหลังเลือกตั้งไปแล้ว 30 วัน กกต.ต้องส่งไปให้ศาล ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณาด่านสุดท้าย
- ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่
ตราบใดถ้ารัฐบาลไม่สามารถทำให้บ้านเมืองภายในสงบ และมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ การเลือกตั้งก็ไม่อาจเป็นยารักษาโรคได้ แต่อาจจะทำให้เป็นแผลพุพองมากขึ้นด้วยซ้ำ รัฐบาลต้องแก้ทั้งปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนและม็อบภายในประเทศ รวมถึงศึกสงคราม
- ประเด็นการยุบพรรคจะเป็นเงื่อนไขในการจัดโครงสร้างอำนาจ
ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต. เพราะมีการร้องขึ้นมาว่า คนในพรรคเพื่อไทยเข้าไปอยู่ในกลุ่มม็อบ ทั้งม็อบ นปช. และคนของพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาอยู่ในม็อบพันธมิตรฯ ทำให้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ จะเป็นเหตุยุบพรรคตามมาตรา 94 ของ พ.ร.บ. พรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งก็ต้องดูเพราะต่างฝ่ายต่างร้องเข้ามา
- ฝ่ายหนึ่งมักจะระบุว่าถูกปฏิบัติอย่าง 2 มาตรฐาน
ตอนนี้โดนทั้ง 2 พรรค ต่างฝ่ายต่างก็ร้อง...เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ ต้องพิจารณาให้มีบรรทัดฐาน การที่นักการเมืองจะ อยู่ในม็อบได้หรือไม่หรือจะเข้าไปสนับสนุน ม็อบได้หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าต้องขึ้นศาลไหม หรือว่าจะให้อยู่ในชั้น กกต.ก็พอ
- คิดว่าผู้หญิงมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นไหม
ไม่ว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นก็มีนายก อบต. หรือนายก อบจ.เป็นผู้หญิงก็เยอะ หรือระดับชาติก็มี ส.ส.หญิง รัฐมนตรีหญิง แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสนใจการเมืองมาก ลบแนวความคิดเก่า ๆ ว่าการเมืองเป็นเรื่องผู้ชาย โดยเฉพาะลูกสาวของนักการเมืองจะสนใจการ เมืองมากกว่าลูกชายอาจเป็นเพราะการศึกษาสมัยใหม่
- ความเป็นผู้หญิงมีข้ออ่อนถูกโจมตีได้ง่ายหรือไม่
สิ่งที่จะถูกโจมตีคือเรื่องชู้สาว เรื่องทางเพศ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีผู้หญิงเกินไป สังคมไทยมักเอาเรื่องเหล่านี้มาปนกับเรื่องความสำเร็จทางการงาน บางคนกล่าวหาคนอื่นว่าได้เป็นปลัด เป็นอธิบดีเพราะไต่เต้า ถ้าให้ความเป็นธรรมกับผู้หญิง และเปิดโอกาสให้ทำงานบ้านเมืองก็จะดี
ข้อได้เปรียบของผู้หญิง คือ เรื่องคอร์รัปชั่นมีน้อยมาก อาจเพราะเป็นเพศที่ใจไม่ถึงในเรื่องนี้ ผู้หญิงที่มาถึงจุดนี้มีความพร้อมอยู่แล้วทั้งฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษา
ในอนาคตเราอาจจะมีผู้หญิง เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ ขณะนี้มีรัฐมนตรีหญิง แต่ก็ถูกโจมตีว่าไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ซึ่งไม่จริง บางครั้งโดนเทคนิคทางการเมืองไม่ให้โอกาสเขาทำงานก็มี
- ในอดีตท่านถูกมองว่าเข้าข้าง คมช. ถูกโจมตีทั้งตัวท่านและลูกสาว
คนที่ไม่ได้ถูกใส่ร้ายป้ายสีคงไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อตัวเองตกอยู่ในฐานะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหญิงหรือชายก็ทนไม่ได้ เพราะลูกเราทำผิดอะไร ทำไมถึงเอามาเกี่ยวข้อง
ที่จริงไม่ได้เข้าข้าง คมช. แต่ในอดีตคงมีเงื่อนไขให้เกิดการยึดอำนาจ การปฏิวัติครั้งนั้นประชาชนให้ดอกไม้ ไม่ได้ลุกฮือเหมือนในปัจจุบันที่ต่อต้านการปฏิวัติ อย่างไรก็ตามถ้าปฏิวัติเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง มีการฆ่าแกงประชาชน ไม่ว่าจะทำโดยทหารกลุ่มไหน เราก็ไม่เห็นด้วยแน่นอน
ส่วน กกต.จริง ๆ ไม่ใช่นักการเมือง แต่เขาลากไปว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการ เมือง เมื่อโจมตีแม่ไม่ได้ก็ไปโจมตีลูก
หลายครั้งเราคิดว่ามาทำกับเราคนเดียวดีกว่า ทุกคนก็รักลูกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนร่ำรวย คนจน ผู้ดี หรือไพร่ แล้วสิ่งที่เราทำมันผิดไหม
ตอนเป็นผู้พิพากษาไม่เคยมีใครมา ยุ่งโจมตีกับลูกสาว แต่พอมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เหมือนเขาทำอะไรแม่ไม่ได้ก็มาทำกับลูก ซึ่งเรามีลูกอยู่คนเดียวและเป็นผู้พิพากษาด้วย คิดว่าการชกควรจะชกตัวต่อตัว อย่าไปเอาคนอื่นมายุ่ง มันไม่แฟร์ ต่อไปข้างหน้า ผู้หญิงที่ลงการเมืองต้องไม่มีลูก ไม่แต่งงาน ต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
จำลอง..ยัน ไม่ช้าก็เร็วจะกลับมาที่เดิม
เมื่อเวลาประมาณ 05.20 น. ตำรวจเคลื่อนขบวน เข้าด้านสะพานชมัยมรุเชฐ มุ่งสู่กองทัพธรรมสันติอโศก จากนั้นได้จัดการบุกพื้นที่ชุมนุม เพื่อเอาพื้นที่คืน โดยให้เหตุผลว่า ขอทางเข้าเพื่อให้ข้าราชการเข้าไปทำงานในทำเนียบฯได้ ด้านจำลอง บอก เป็นตามคาด ยันจะกลับไปที่เดิม
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้เปิดการถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 04.30 น. มวลชนคนไทยหัวใจรักชาติ ตื่นแต่เช้าตรู่เตรียมรับมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เวลา 05.00 น. ตำรวจเริ่มจัดแถว ด้านพันธมิตรฯก็จัดแถวเรียกความกระฉับกระเฉง ด้วยการเต้นแอโรบิค
เวลา 05.17 น. พิธีกรรายงานว่า มีตำรวจเดินขบวนเข้าด้านสะพานชมัยมรุเชฐ ผ่านรั้วกองทัพธรรมสันติอโศก คาดมุ่งสู่เวทีพันธิมตรฯ ที่สะพานมัฆวาน ฝากพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน องค์กรต่างๆที่เคยประสานงานกันไว้ ขอให้ดำเนินการตามแผนที่เคยตกลงกันได้เลย
เวลา 05.20 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวที กล่าวว่าพี่น้องครับ เราอย่าตื่นตกใจ เป็นไปตามที่เราคาดไว้ทุกประการ ใจเย็น ๆ นั่งฟังคำปราศรัยต่อไป ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ ตำรวจไล่เรา แต่คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ช้าก็เร็วเรายืนยันจะกลับมาที่เดิม ให้มันรู้ไปว่าเราจะกลับที่เดิมไม่ได้เพราะที่นี่คือดินแดนไทย พี่น้องที่อยู่ที่บ้านหรือกำลังดูโทรทัศน์อยู่ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเรา พันธมิตรฯที่นี่รับมือได้ ยังไม่ต้องออกมาตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้เป่านกหวีดแค่คลอๆ หากรัฐบาลเป่าเมื่อไรเราค่อยออกมาให้เต็มแผ่นดิน
เวลา 06.12 น. พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่กำลังใช้รถยกแท่งคอนกรีตวางเป็นแนว ไม่เป็นไรนั่นเป็นเรื่องของเขา หากเราจะเอาพื้นที่คืนเราใช้คนยกเอาก็ได้ บอกพี่น้องอีกครั้ง ยังเป็นไปตามปกติ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตามปกติ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้หมด เราชนะแน่ ไม่ต้องไปสนใจตำรวจเขาทำของเขาแค่นั้นเรารู้ ตามที่คาดการณ์ไว้ เราติดตามเวที ฟังเพลงไปเรื่อยๆตามหน้าที่ของเราต่อไป ส่วนที่ตำรวจอ้างว่าเปิดทางเพื่อเข้าทำเนียบฯ แล้วทำไมตรงนี้ที่สะพานมัฆวาน ทำไมไม่มาเปิด
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้เปิดการถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 04.30 น. มวลชนคนไทยหัวใจรักชาติ ตื่นแต่เช้าตรู่เตรียมรับมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เวลา 05.00 น. ตำรวจเริ่มจัดแถว ด้านพันธมิตรฯก็จัดแถวเรียกความกระฉับกระเฉง ด้วยการเต้นแอโรบิค
เวลา 05.17 น. พิธีกรรายงานว่า มีตำรวจเดินขบวนเข้าด้านสะพานชมัยมรุเชฐ ผ่านรั้วกองทัพธรรมสันติอโศก คาดมุ่งสู่เวทีพันธิมตรฯ ที่สะพานมัฆวาน ฝากพี่น้องที่อยู่ทางบ้าน องค์กรต่างๆที่เคยประสานงานกันไว้ ขอให้ดำเนินการตามแผนที่เคยตกลงกันได้เลย
เวลา 05.20 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นเวที กล่าวว่าพี่น้องครับ เราอย่าตื่นตกใจ เป็นไปตามที่เราคาดไว้ทุกประการ ใจเย็น ๆ นั่งฟังคำปราศรัยต่อไป ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ ตำรวจไล่เรา แต่คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ช้าก็เร็วเรายืนยันจะกลับมาที่เดิม ให้มันรู้ไปว่าเราจะกลับที่เดิมไม่ได้เพราะที่นี่คือดินแดนไทย พี่น้องที่อยู่ที่บ้านหรือกำลังดูโทรทัศน์อยู่ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเรา พันธมิตรฯที่นี่รับมือได้ ยังไม่ต้องออกมาตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้เป่านกหวีดแค่คลอๆ หากรัฐบาลเป่าเมื่อไรเราค่อยออกมาให้เต็มแผ่นดิน
เวลา 06.12 น. พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่กำลังใช้รถยกแท่งคอนกรีตวางเป็นแนว ไม่เป็นไรนั่นเป็นเรื่องของเขา หากเราจะเอาพื้นที่คืนเราใช้คนยกเอาก็ได้ บอกพี่น้องอีกครั้ง ยังเป็นไปตามปกติ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตามปกติ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้หมด เราชนะแน่ ไม่ต้องไปสนใจตำรวจเขาทำของเขาแค่นั้นเรารู้ ตามที่คาดการณ์ไว้ เราติดตามเวที ฟังเพลงไปเรื่อยๆตามหน้าที่ของเราต่อไป ส่วนที่ตำรวจอ้างว่าเปิดทางเพื่อเข้าทำเนียบฯ แล้วทำไมตรงนี้ที่สะพานมัฆวาน ทำไมไม่มาเปิด
ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554
รำลึกบ่อนไก่-พระราม 4: (2): เสี้ยวส่วนของชีวิตชุมชนบ่อนไก่
อาสาสาสมัครศูนย์ข้อมูลประชาชนฯ (ศปช.)
หลังจากรัฐบาลประกาศกระชับพื้นที่ราชประสงค์ ทหารพร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมสถานที่ชุมนุม ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 จึงเป็นพื้นที่สำคัญของการต่อสู้ เริ่มด้วยในตอนสาย ทหารเข้ายึดพื้นที่แยกวิทยุและบริเวณใกล้เคียง และปิดการจราจร ต่อจากนั้น ราวเที่ยงวัน สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อทหารติดอาวุธเข้าผลักดันและปะทะกับผู้ชุมนุม บนถนนพระราม 4 มาทางบ่อนไก่ พร้อมส่งหน่วยสไนเปอร์ไปอยู่ตามอาคารต่างๆ

ทหารเคลื่อนกำลังตามแนวถนนพระราม 4 มุ่งหน้าบ่อนไก่

ทั้งกระสุนจริงและกระสุนยาง ขณะเข้า “กระชับพื้นที่” (Photo by Paula Bronstein/Getty Images)


ประชาชนที่ถูกจับบริเวณสนามมวยลุมพินี (Photo by Athit Perawongmetha/Getty Images)

ประชาชนรวมตัวกันต่อต้านปฏิบัติการของทหาร (Photo by Andy Nelson /Getty Images)

การต่อสู้กับทหารของประชาชน (Photo by Andy Nelson /Getty Images)
ขณะที่ทหารได้ตั้งกำลังไว้ตามจุดต่างๆ และสาดกระสุนใส่ประชาชนเป็นระยะ คนเสื้อแดงก็พยายามสร้างเครื่องกีดขวาง เผายาง เพื่อป้องกันตัว และรบกวนปฏิบัติการของทหาร

นับจากเที่ยงวันของวันที่ 14 -19 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 กลายเป็น “ทุ่งสังหาร” คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไป
เรื่องราวของชาวบ่อนไก่
เมื่อราชประสงค์ถูกปิดล้อม ตัดน้ำตัดไฟ “บ่อนไก่” กลายเป็นเส้นทางส่ง “ท่อน้ำเลี้ยง” ทั้งคนเข้า-ออก และอาหาร-น้ำ ไปสนับสนุน จนกระทั่งถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2553
“มีคนไปแจ้ง ศอฉ. ว่าที่นี่เป็นทางผ่าน ทางน้ำเลี้ยง ลำเลียงเสบียงไปราชประสงค์ จากนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้อีก มีทหารเข้ามาปิดซอยร่วมฤดี ใครก็เข้าไม่ได้ เราไม่มีโอกาสที่จะไปช่วยพี่น้องที่ราชประสงค์แล้ว บางส่วนก็รู้สึกว่าตายเป็นตาย คิดจะไปฝ่าด่าน” นายวีรชัย ลื่นผกา เล่าสถานการณ์ให้ฟัง
ในภาวะวิกฤต “เสื้อแดงบ่อนไก่” ต้องทำหน้าที่ใน 2 ฐานะ คือ “คนบ่อนไก่” และ “คนเสื้อแดง”

คนในชุมชนออกมาดูสถานการณ์หน้าถนนพระราม 4

เตรียมท่อน้ำไว้สำหรับดับเพลิงกรณีฉุกเฉิน
ในฐานะ “คนบ่อนไก่”
พวกเขารวมตัวกันจัดเวรยามตลอดถนนภายในชุมชนและหน้าถนนพระราม 4 เพื่อตรวจตราคนเข้า-ออก คอยระวังภัยให้กับคนในชุมชน เนื่องจากมี “กระแส” ว่าจะมีการเผาชุมชนทุกวัน
สิ่งที่กลัวไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เพราะ “ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ส่วนใหญ่ อย่างไรก็เลือกพรรคเพื่อไทย เป็นคนเสื้อแดง คนที่เขาไม่ชอบคนเสื้อแดง เขาก็เล็งว่า ถ้าเผาก็จะได้ไม่มีคนเสื้อแดงอีก”
“มีวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับแกลลอนน้ำมัน จะมาเผาธนาคารกรุงเทพ พวกเราและคนเสื้อแดงที่อยู่แถวนั้น ก็มาช่วยห้าม แต่จับไม่ได้ อยากรู้ว่าใครใช้ให้มาทำอย่างนั้น จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ เพราะเรารักสงบ เราไม่ใช้ความรุนแรง”
จนยุติการชุมนุม ตามแนวถนนพระราม 4 ด้านหน้าชุมชน ไม่มีอาคารใดถูกเผาเหมือนในที่อื่นๆ

ผู้ชุมนุมที่อยู่แนวหน้า หลังบังเกอร์ยางรถยนต์ จุดพลุรบกวนทหาร

ผู้ชุมนุมช่วยกันขนยาง ทำบังเกอร์หลบกระสุน
ในฐานะ “คนเสื้อแดง”
พวกเขาร่วมชุมนุมต่อต้านกับพี่น้องเสื้อแดง สร้างเครื่องกีดขวาง เผายางตามแนวถนนพระราม 4 เพื่อสร้างควันไฟรบกวน ขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังไม่ให้มีควันจนมากเกินไปเพราะจะกระทบกับคนที่ยังอยู่ในชุมนุม และคอยขอหาน้ำ อาหาร สนับสนุนพี่น้องที่อยู่แถวหน้า

ผู้ชุมนุมขี่รถจักรยานยนต์มาส่งน้ำให้กับเพื่อนที่อยู่แนวหน้า
นายขวัญชัย ภูมิโคกรักษ์ เด็กหนุ่มในชุมชนอธิบายเหตุผลที่ไป “แถวหน้า” ว่า “เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ทำไมคนอื่นมาได้ รักในสิ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราอยู่ตรงนี้จึงออกไปไม่ได้ ไม่ใช่เก่งอยู่แต่ในบ้าน เวลาทำจริงก็ไม่เห็นทำ ไม่ต้องถึงแนวหน้าก็ได้ ส่งข้าวส่งน้ำให้เขาหน่อย บางทีคนเขาก็เหนื่อย เขาอยากสู้ ทำไมเราจะไม่อยากสู้ละ”
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น นายสมพงษ์ บุญธรรม รู้สึกว่า “เสียใจมากที่รัฐบาลเฮงซวยนี้มันทำกับเสื้อแดงเหมือนเป็นผักปลา ไร้ค่า ไม่มีความหมาย เหมือนเสื้อแดงเป็นสัตว์นรกตัวหนึ่งที่มาเกิด ต้องกำจัดให้สิ้นซาก”
“เพราะพวกมันไม่อยากจะให้พวกเราเจริญขึ้นมา ทุกวันนี้ พวกเรามีการศึกษาสูงขึ้นมา ปกครองยาก มันไม่อยากให้เรามีการศึกษาสูง กดหัวเราไว้ ไม่ให้รู้มาก มึงแค่นี้นะ ถ้ารู้มากมึงตาย”
(หมายเหตุ ผู้ทำรายงานต้องขออภัยเจ้าของภาพทุกท่าน สำหรับภาพที่นำมาใช้ประกอบเรื่องราวโดยไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้า และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)
รายงานชั้นนี้เขียนขึ้นมาเพื่อส่วนหนึ่งในการรำลึกเหตุการณ์ในช่วง 14-19 พฤษภาคม 2553 ที่ชุมชนบ่อนไก่ ซึ่งชาวบ้านในชุมชนจะจัดให้มีกิจกรรมการทำบุญให้ผู้เสียชีวิตในวันนี้ (6 มี.ค.54)
ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
หลังจากรัฐบาลประกาศกระชับพื้นที่ราชประสงค์ ทหารพร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมสถานที่ชุมนุม ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 จึงเป็นพื้นที่สำคัญของการต่อสู้ เริ่มด้วยในตอนสาย ทหารเข้ายึดพื้นที่แยกวิทยุและบริเวณใกล้เคียง และปิดการจราจร ต่อจากนั้น ราวเที่ยงวัน สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อทหารติดอาวุธเข้าผลักดันและปะทะกับผู้ชุมนุม บนถนนพระราม 4 มาทางบ่อนไก่ พร้อมส่งหน่วยสไนเปอร์ไปอยู่ตามอาคารต่างๆ
ทหารเคลื่อนกำลังตามแนวถนนพระราม 4 มุ่งหน้าบ่อนไก่
ทั้งกระสุนจริงและกระสุนยาง ขณะเข้า “กระชับพื้นที่” (Photo by Paula Bronstein/Getty Images)
ประชาชนที่ถูกจับบริเวณสนามมวยลุมพินี (Photo by Athit Perawongmetha/Getty Images)
ประชาชนรวมตัวกันต่อต้านปฏิบัติการของทหาร (Photo by Andy Nelson /Getty Images)
การต่อสู้กับทหารของประชาชน (Photo by Andy Nelson /Getty Images)
ขณะที่ทหารได้ตั้งกำลังไว้ตามจุดต่างๆ และสาดกระสุนใส่ประชาชนเป็นระยะ คนเสื้อแดงก็พยายามสร้างเครื่องกีดขวาง เผายาง เพื่อป้องกันตัว และรบกวนปฏิบัติการของทหาร
นับจากเที่ยงวันของวันที่ 14 -19 พฤษภาคม 2553 บ่อนไก่-พระราม 4 กลายเป็น “ทุ่งสังหาร” คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไป
เรื่องราวของชาวบ่อนไก่
เมื่อราชประสงค์ถูกปิดล้อม ตัดน้ำตัดไฟ “บ่อนไก่” กลายเป็นเส้นทางส่ง “ท่อน้ำเลี้ยง” ทั้งคนเข้า-ออก และอาหาร-น้ำ ไปสนับสนุน จนกระทั่งถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2553
“มีคนไปแจ้ง ศอฉ. ว่าที่นี่เป็นทางผ่าน ทางน้ำเลี้ยง ลำเลียงเสบียงไปราชประสงค์ จากนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้อีก มีทหารเข้ามาปิดซอยร่วมฤดี ใครก็เข้าไม่ได้ เราไม่มีโอกาสที่จะไปช่วยพี่น้องที่ราชประสงค์แล้ว บางส่วนก็รู้สึกว่าตายเป็นตาย คิดจะไปฝ่าด่าน” นายวีรชัย ลื่นผกา เล่าสถานการณ์ให้ฟัง
ในภาวะวิกฤต “เสื้อแดงบ่อนไก่” ต้องทำหน้าที่ใน 2 ฐานะ คือ “คนบ่อนไก่” และ “คนเสื้อแดง”
คนในชุมชนออกมาดูสถานการณ์หน้าถนนพระราม 4
เตรียมท่อน้ำไว้สำหรับดับเพลิงกรณีฉุกเฉิน
ในฐานะ “คนบ่อนไก่”
พวกเขารวมตัวกันจัดเวรยามตลอดถนนภายในชุมชนและหน้าถนนพระราม 4 เพื่อตรวจตราคนเข้า-ออก คอยระวังภัยให้กับคนในชุมชน เนื่องจากมี “กระแส” ว่าจะมีการเผาชุมชนทุกวัน
สิ่งที่กลัวไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เพราะ “ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ส่วนใหญ่ อย่างไรก็เลือกพรรคเพื่อไทย เป็นคนเสื้อแดง คนที่เขาไม่ชอบคนเสื้อแดง เขาก็เล็งว่า ถ้าเผาก็จะได้ไม่มีคนเสื้อแดงอีก”
“มีวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับแกลลอนน้ำมัน จะมาเผาธนาคารกรุงเทพ พวกเราและคนเสื้อแดงที่อยู่แถวนั้น ก็มาช่วยห้าม แต่จับไม่ได้ อยากรู้ว่าใครใช้ให้มาทำอย่างนั้น จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ เพราะเรารักสงบ เราไม่ใช้ความรุนแรง”
จนยุติการชุมนุม ตามแนวถนนพระราม 4 ด้านหน้าชุมชน ไม่มีอาคารใดถูกเผาเหมือนในที่อื่นๆ
ผู้ชุมนุมที่อยู่แนวหน้า หลังบังเกอร์ยางรถยนต์ จุดพลุรบกวนทหาร
ผู้ชุมนุมช่วยกันขนยาง ทำบังเกอร์หลบกระสุน
ในฐานะ “คนเสื้อแดง”
พวกเขาร่วมชุมนุมต่อต้านกับพี่น้องเสื้อแดง สร้างเครื่องกีดขวาง เผายางตามแนวถนนพระราม 4 เพื่อสร้างควันไฟรบกวน ขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังไม่ให้มีควันจนมากเกินไปเพราะจะกระทบกับคนที่ยังอยู่ในชุมนุม และคอยขอหาน้ำ อาหาร สนับสนุนพี่น้องที่อยู่แถวหน้า
ผู้ชุมนุมขี่รถจักรยานยนต์มาส่งน้ำให้กับเพื่อนที่อยู่แนวหน้า
นายขวัญชัย ภูมิโคกรักษ์ เด็กหนุ่มในชุมชนอธิบายเหตุผลที่ไป “แถวหน้า” ว่า “เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ทำไมคนอื่นมาได้ รักในสิ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราอยู่ตรงนี้จึงออกไปไม่ได้ ไม่ใช่เก่งอยู่แต่ในบ้าน เวลาทำจริงก็ไม่เห็นทำ ไม่ต้องถึงแนวหน้าก็ได้ ส่งข้าวส่งน้ำให้เขาหน่อย บางทีคนเขาก็เหนื่อย เขาอยากสู้ ทำไมเราจะไม่อยากสู้ละ”
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น นายสมพงษ์ บุญธรรม รู้สึกว่า “เสียใจมากที่รัฐบาลเฮงซวยนี้มันทำกับเสื้อแดงเหมือนเป็นผักปลา ไร้ค่า ไม่มีความหมาย เหมือนเสื้อแดงเป็นสัตว์นรกตัวหนึ่งที่มาเกิด ต้องกำจัดให้สิ้นซาก”
“เพราะพวกมันไม่อยากจะให้พวกเราเจริญขึ้นมา ทุกวันนี้ พวกเรามีการศึกษาสูงขึ้นมา ปกครองยาก มันไม่อยากให้เรามีการศึกษาสูง กดหัวเราไว้ ไม่ให้รู้มาก มึงแค่นี้นะ ถ้ารู้มากมึงตาย”
(หมายเหตุ ผู้ทำรายงานต้องขออภัยเจ้าของภาพทุกท่าน สำหรับภาพที่นำมาใช้ประกอบเรื่องราวโดยไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้า และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย)
รายงานชั้นนี้เขียนขึ้นมาเพื่อส่วนหนึ่งในการรำลึกเหตุการณ์ในช่วง 14-19 พฤษภาคม 2553 ที่ชุมชนบ่อนไก่ ซึ่งชาวบ้านในชุมชนจะจัดให้มีกิจกรรมการทำบุญให้ผู้เสียชีวิตในวันนี้ (6 มี.ค.54)
ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554
คาถาเอกลักษณ์ !!??
โดย เกษียร เตชะพีระ
เมื่อนักข่าวถามว่าเกรงม็อบเมืองไทยจะต่อต้านล้มล้างรัฐบาลเลียนแบบม็อบลิเบีย อียิปต์หรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตอบว่า: -
"ประเทศไทยไม่เหมือนประเทศอื่น ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเป็นคนไทย ตนว่าลึกๆ แล้วคนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ มีความเอื้ออาทร ขี้เห็นใจ ใจอ่อน เชื่อคนง่าย ดังนั้น สิ่งที่เราแตกต่างจากต่างชาติคือเรามีความผูกพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของพวกเรา
"ดังนั้น แน่นอนมีคนที่จ้องจะทำลายสถาบันกษัตริย์ สถาบันทหาร ถ้า 2 สถาบันนี้คือสถาบันกษัตริย์และสถาบันทหารอ่อนแอเมื่อไหร่ก็ตาม ก็จะถูกแทรกซ้อนโดยง่าย เหมือนกับสมัยก่อนก็เคยมีอยู่ ดังนั้นก็จะต้องไปหากันว่าใครที่ต้องการทำแบบนั้น"
คำตอบของพลเอกประยุทธ์ที่ผมได้ยินครั้งแรกทางทีวีช่อง 5 ข้างต้นสะดุดหูสะดุดใจชอบกล เพราะเผอิญ คล้องจองกับทรรศนะต่อประเด็นคล้ายกันในกรณีลิเบียของ ซาอิฟ อัล-อิสลาม โมอามาร์ อัล-กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้ใหญ่") ลูกชายที่พันเอกโมอามาร์ กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้นำ") ผู้พ่อเตรียมให้สืบทอดอำนาจต่อจากตน ดังที่ซาอิฟกล่าวย้ำแล้วย้ำอีกในคำปราศรัยสดทางทีวีของรัฐลิเบียเมื่อตีหนึ่งคืนวันอาทิตย์ที่ 20 ก.พ.ศกนี้ว่า:
"ลิเบียไม่ใช่ตูนิเซียหรืออียิปต์ๆๆๆ...
"ลิเบียประกอบไปด้วยชนเผ่า, โคตรตระกูล, และความจงรักภักดี มันจะเกิดสงครามกลางเมือง...
"เราจะสู้จนชายคนสุดท้าย จนหญิงคนสุดท้าย จนกระสุดนัดสุดท้าย"
(NYTimes.com, 20 February 2011)
คำว่า "ไม่เหมือน" และ "ไม่ใช่" ในคำสัมภาษณ์และปราศรัยออกจะวิ่งสวนทางประวัติศาสตร์การลุกฮือของมวลชนในอดีต, เหตุการณ์รอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา, แนวโน้มสถานการณ์, และจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ ขัดแย้งทางการเมืองทั้งในเมืองไทยและลิเบียอย่างผิดสังเกต เป็นที่เข้าใจได้ว่าในฐานะผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ย่อมไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็นไปเช่นนั้น แต่โลกที่เป็นจริงก็มีความดื้อดึงของมัน
บางทีวิธีหนึ่งที่จะใช้ทำความเข้าใจคำกล่าวข้างต้นอาจเป็นดังที่ ฮิชัม มาทาร์ นักเขียนนิยายชาวลิเบียในกรุงลอนดอน-ลูกชายแกนนำฝ่ายค้านพลัดถิ่นผู้ถูกกาดาฟีสั่ง "อุ้ม" จากอียิปต์กลับไปคุมขังทรมานในคุกลิเบียจนถึงทุกวันนี้-ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คำปราศรัยของพันเอกกาดาฟีเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ศกนี้ มีลักษณะแปลกพิกลบางอย่างคล้ายๆ คำปราศรัยครั้งหลังๆ ของประธานาธิบดีเบน อาลี แห่งตูนิเซีย และประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค แห่งอียิปต์ กล่าวคือ
จอมเผด็จการทั้งสามต่างสับสนปนเปประเทศของตนเข้ากับตัวเอง พูดเรื่องประเทศของตนราวกับกำลังพูดเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขาต่างเป็นเหยื่อแห่งความขัดแย้งในตัวของเขาเอง เป็นเหยื่อของโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเขานึกคิดขึ้นเอง ท่ามกลางพรรคพวกบริวารแวดล้อมที่คอยพร่ำบอกว่าเขาถูกเสมอ
(www.democracynow.org/2011/2/23/were_witnessing_the_violent_lashings_of#)
อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้นำไทยที่พยายามใช้คาถาเอกลักษณ์มาเสกขจัดปัดเป่าความขัดแย้งต่อสู้เข่นฆ่า ทารุณอย่างดุเดือดนองเลือดกลางเมืองว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ไทยเอามากๆ และดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่วิสัยคนไทยทำ...
"การเผาคนตายกันกลางถนนนั้น ไม่ใช่ลักษณะของคนไทย
"เหตุที่วิกฤตการณ์เกิดขึ้นแปลกมาก มีการทุบตีคนให้ตายแล้วเอามาแขวนคอ ชักชวนให้เอาไม้ไปตี เอาเก้าอี้ไปตี แล้วเอาคนที่ถูกแขวนคอจนตายนั้นเอามาวาง มีการเอายางรถยนต์วางแล้วเอาศพวาง แล้วเอายางรถยนต์วางทับ เอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาทั้ง 4 ศพ
"ทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นกลางถนน กลางสนามหลวง กลางถนนราชดำเนิน ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ แต่ผลการสอบสวนในภายหลังนั้นก็สามารถจะปะติดปะต่อได้
"การที่มีการเผาคนตายไป 4 คนนั้นเป็นการเผาคนซึ่งต้องการทำลายหลักฐาน ไม่ให้รู้ว่าเป็นคนชาติใด เพราะเหตุว่าหลักฐานในกองที่ไหม้นั้น มีรูปโฮจิมินห์เล็กๆ ซึ่งเผาไปไม่หมด
"เราสอบไปในภายหลังในธรรมศาสตร์ซึ่งไม่ได้...หนักหนานั้น มีหมาซึ่งถูกฆ่าตายแล้วย่าง หมาตุ๋น หมาสตู เอาอ่างมีตะแกรง หมากรอบทั้งตัวมีมีดเสียบอยู่หลายตัว
"ผมเองซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอยู่ แต่ได้เข้าไปดูเองและไปดูหลักฐานที่โรงพักชนะสงคราม
"เราวิเคราะห์ได้ในเวลาต่อมาว่า มีชาติอื่นคือชาติเวียดนามนั้นจำนวนไม่ทราบได้แน่นอนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในกรณีธรรมศาสตร์ แล้วเข้าใจว่าเป็นคนเวียดนามเองที่ถูกฆ่าตาย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการชันสูตรและกลายเป็นคนชาติอื่น ซึ่งจะกระทบกระเทือนถึงทางนั้น คนที่เกี่ยวข้องได้จัดการเผาคนทั้ง 4 เสีย
"เขาเรียกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่มิใช่วิสัยคนไทย ทำการเผาคนกลางถนนนั้น ไม่ใช่วิสัยของคนไทย..."
(รัฐมนตรีมหาดไทย สมัคร สุนทรเวช กล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ที่ฝรั่งเศส, 4 มิ.ย. 2520 อ้างจากวีระ มุสิกพงศ์ และศิระ ตีระพัฒน์, โหงว นั้ง ปัง, สำนักพิมพ์สันติ์วนา, 2521, น.155-56)
สรุปตามตรรกะของคาถาเอกลักษณ์ไทยได้ว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ = ญวนฆ่าญวน เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันใด!
ในทำนองเดียวกัน เหตุการณ์มวลชนลุกฮือต่อต้าน/ล้มล้างรัฐบาลอย่าง 14 ตุลาฯ 2516, พฤษภาประชา-ธรรม 2535, 7 ตุลาเลือด 2551, สงกรานต์เลือด 2552, เมษา-พฤษภาอำมหิต 2553 รวมทั้งการก่อความไม่สงบชายแดนภาคใต้ที่ปะทุรุนแรงขึ้นอีกรอบนับแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ฯลฯ ก็ไม่น่าเป็นไปได้หรือเกิดขึ้นได้กลางเมืองไทยแผ่นดินไทย เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันนั้น!
ถ้าข้อสรุปดังกล่าวจะขัดขืนฝืนทวนความเป็นจริงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะในเมืองไทย อุดมคติสำคัญกว่าความเป็นจริง และบ้านนี้เมืองนี้ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้...
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความในมุมกลับว่าในหมู่คนไทย 60 กว่าล้านคน ล้วนเจียะป้าบ่อสื่อ วันๆ เอาแต่สุมหัวรวมตัวลุกฮือต่อต้านล้มล้างรัฐบาลท่าเดียว เปล่าครับ
เพราะแม้แต่ เบน นักศึกษาปริญญาเอกสาขาดนตรีวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา ผู้มาสำรวจวิจัยการแสดงดนตรี/ร้องเพลงในการชุมนุมประท้วงทางการเมืองของไทยปัจจุบัน ก็ยังกล่าวทิ้งท้ายกับ นีล เทรวิธิค ผู้สื่อข่าวบีบีซีระหว่างไปร่วมงานชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อยุธยาเมื่อเร็วๆ นี้ว่า : -
ชาวโลกคงประทับตาตรึงใจกับภาพข่าวการชุมนุมต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับทหารอย่างดุเดือดรุนแรงเมื่อกลางปีก่อน แต่ถ้าคุณอยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ คุณจะเห็นว่าลับตากล้องออกไป ผู้คนแสดงความเมตตาปรานีต่อกันอย่างเหลือเชื่อ มีการช่วยดึงฝ่ายตรงข้ามให้หลบพ้นภยันตราย พาคนไม่เลือกฝ่ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อได้รับบาดเจ็บ แจกน้ำแจกท่าให้กันไม่เว้นแม้แต่ทหาร ตำรวจ ฯลฯ นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้
(รายการวิทยุ From Our Own Correspondent ของ BBC, 12 ก.พ. 2011
www.bbc.co.uk/iplayer/episode/p00df8cr/From_Our_Own_Correspondent_12_02_2011/)
โดยมิจำต้องวาดภาพให้โรแมนติคเกินจริง ข้อควรคำนึงก็คือสังคมไทยก็คงเป็นเฉกเช่นสังคมอื่นที่มีความแตกต่างหลากหลายพหุลักษณ์ทางวัฒนธรรมมากมาย ทั้งดีงามและเลวร้าย ทั้งสว่างและมืดมิด คนไทยสามารถเป็นได้ทั้งนักบุญและปีศาจ ผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือผู้อื่นและฆาตกรกระหายเลือด
ประเด็นคงไม่ใช่ว่าเอกลักษณ์ไทยคือ อะไรแน่? ด้านใดจริงแท้ ด้านใดเป็นเท็จ?
หากเป็นว่าคนไทยสังคมไทยอาจมีพลวัตโน้มเอียงไปด้านไหนได้บ้างในแต่ละช่วงจังหวะเวลา? ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์อย่างไร? และเราจะร่วมกันสร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้คนไทย สังคมไทยมีเสรีภาพที่จะทำดี (moral freedom) แทนที่จะทำร้ายทารุณต่อกัน-ได้ง่ายขึ้นเช่นใด?
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อนักข่าวถามว่าเกรงม็อบเมืองไทยจะต่อต้านล้มล้างรัฐบาลเลียนแบบม็อบลิเบีย อียิปต์หรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตอบว่า: -
"ประเทศไทยไม่เหมือนประเทศอื่น ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเป็นคนไทย ตนว่าลึกๆ แล้วคนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ มีความเอื้ออาทร ขี้เห็นใจ ใจอ่อน เชื่อคนง่าย ดังนั้น สิ่งที่เราแตกต่างจากต่างชาติคือเรามีความผูกพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของพวกเรา
"ดังนั้น แน่นอนมีคนที่จ้องจะทำลายสถาบันกษัตริย์ สถาบันทหาร ถ้า 2 สถาบันนี้คือสถาบันกษัตริย์และสถาบันทหารอ่อนแอเมื่อไหร่ก็ตาม ก็จะถูกแทรกซ้อนโดยง่าย เหมือนกับสมัยก่อนก็เคยมีอยู่ ดังนั้นก็จะต้องไปหากันว่าใครที่ต้องการทำแบบนั้น"
คำตอบของพลเอกประยุทธ์ที่ผมได้ยินครั้งแรกทางทีวีช่อง 5 ข้างต้นสะดุดหูสะดุดใจชอบกล เพราะเผอิญ คล้องจองกับทรรศนะต่อประเด็นคล้ายกันในกรณีลิเบียของ ซาอิฟ อัล-อิสลาม โมอามาร์ อัล-กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้ใหญ่") ลูกชายที่พันเอกโมอามาร์ กาดาฟี (ผู้ได้สมญานามว่า "ท่านผู้นำ") ผู้พ่อเตรียมให้สืบทอดอำนาจต่อจากตน ดังที่ซาอิฟกล่าวย้ำแล้วย้ำอีกในคำปราศรัยสดทางทีวีของรัฐลิเบียเมื่อตีหนึ่งคืนวันอาทิตย์ที่ 20 ก.พ.ศกนี้ว่า:
"ลิเบียไม่ใช่ตูนิเซียหรืออียิปต์ๆๆๆ...
"ลิเบียประกอบไปด้วยชนเผ่า, โคตรตระกูล, และความจงรักภักดี มันจะเกิดสงครามกลางเมือง...
"เราจะสู้จนชายคนสุดท้าย จนหญิงคนสุดท้าย จนกระสุดนัดสุดท้าย"
(NYTimes.com, 20 February 2011)
คำว่า "ไม่เหมือน" และ "ไม่ใช่" ในคำสัมภาษณ์และปราศรัยออกจะวิ่งสวนทางประวัติศาสตร์การลุกฮือของมวลชนในอดีต, เหตุการณ์รอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา, แนวโน้มสถานการณ์, และจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ ขัดแย้งทางการเมืองทั้งในเมืองไทยและลิเบียอย่างผิดสังเกต เป็นที่เข้าใจได้ว่าในฐานะผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ย่อมไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็นไปเช่นนั้น แต่โลกที่เป็นจริงก็มีความดื้อดึงของมัน
บางทีวิธีหนึ่งที่จะใช้ทำความเข้าใจคำกล่าวข้างต้นอาจเป็นดังที่ ฮิชัม มาทาร์ นักเขียนนิยายชาวลิเบียในกรุงลอนดอน-ลูกชายแกนนำฝ่ายค้านพลัดถิ่นผู้ถูกกาดาฟีสั่ง "อุ้ม" จากอียิปต์กลับไปคุมขังทรมานในคุกลิเบียจนถึงทุกวันนี้-ได้ตั้งข้อสังเกตว่า คำปราศรัยของพันเอกกาดาฟีเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ศกนี้ มีลักษณะแปลกพิกลบางอย่างคล้ายๆ คำปราศรัยครั้งหลังๆ ของประธานาธิบดีเบน อาลี แห่งตูนิเซีย และประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค แห่งอียิปต์ กล่าวคือ
จอมเผด็จการทั้งสามต่างสับสนปนเปประเทศของตนเข้ากับตัวเอง พูดเรื่องประเทศของตนราวกับกำลังพูดเกี่ยวกับตัวเอง พวกเขาต่างเป็นเหยื่อแห่งความขัดแย้งในตัวของเขาเอง เป็นเหยื่อของโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเขานึกคิดขึ้นเอง ท่ามกลางพรรคพวกบริวารแวดล้อมที่คอยพร่ำบอกว่าเขาถูกเสมอ
(www.democracynow.org/2011/2/23/were_witnessing_the_violent_lashings_of#)
อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้นำไทยที่พยายามใช้คาถาเอกลักษณ์มาเสกขจัดปัดเป่าความขัดแย้งต่อสู้เข่นฆ่า ทารุณอย่างดุเดือดนองเลือดกลางเมืองว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ไทยเอามากๆ และดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่วิสัยคนไทยทำ...
"การเผาคนตายกันกลางถนนนั้น ไม่ใช่ลักษณะของคนไทย
"เหตุที่วิกฤตการณ์เกิดขึ้นแปลกมาก มีการทุบตีคนให้ตายแล้วเอามาแขวนคอ ชักชวนให้เอาไม้ไปตี เอาเก้าอี้ไปตี แล้วเอาคนที่ถูกแขวนคอจนตายนั้นเอามาวาง มีการเอายางรถยนต์วางแล้วเอาศพวาง แล้วเอายางรถยนต์วางทับ เอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาทั้ง 4 ศพ
"ทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นกลางถนน กลางสนามหลวง กลางถนนราชดำเนิน ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ แต่ผลการสอบสวนในภายหลังนั้นก็สามารถจะปะติดปะต่อได้
"การที่มีการเผาคนตายไป 4 คนนั้นเป็นการเผาคนซึ่งต้องการทำลายหลักฐาน ไม่ให้รู้ว่าเป็นคนชาติใด เพราะเหตุว่าหลักฐานในกองที่ไหม้นั้น มีรูปโฮจิมินห์เล็กๆ ซึ่งเผาไปไม่หมด
"เราสอบไปในภายหลังในธรรมศาสตร์ซึ่งไม่ได้...หนักหนานั้น มีหมาซึ่งถูกฆ่าตายแล้วย่าง หมาตุ๋น หมาสตู เอาอ่างมีตะแกรง หมากรอบทั้งตัวมีมีดเสียบอยู่หลายตัว
"ผมเองซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอยู่ แต่ได้เข้าไปดูเองและไปดูหลักฐานที่โรงพักชนะสงคราม
"เราวิเคราะห์ได้ในเวลาต่อมาว่า มีชาติอื่นคือชาติเวียดนามนั้นจำนวนไม่ทราบได้แน่นอนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในกรณีธรรมศาสตร์ แล้วเข้าใจว่าเป็นคนเวียดนามเองที่ถูกฆ่าตาย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการชันสูตรและกลายเป็นคนชาติอื่น ซึ่งจะกระทบกระเทือนถึงทางนั้น คนที่เกี่ยวข้องได้จัดการเผาคนทั้ง 4 เสีย
"เขาเรียกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่มิใช่วิสัยคนไทย ทำการเผาคนกลางถนนนั้น ไม่ใช่วิสัยของคนไทย..."
(รัฐมนตรีมหาดไทย สมัคร สุนทรเวช กล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ที่ฝรั่งเศส, 4 มิ.ย. 2520 อ้างจากวีระ มุสิกพงศ์ และศิระ ตีระพัฒน์, โหงว นั้ง ปัง, สำนักพิมพ์สันติ์วนา, 2521, น.155-56)
สรุปตามตรรกะของคาถาเอกลักษณ์ไทยได้ว่าเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ = ญวนฆ่าญวน เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันใด!
ในทำนองเดียวกัน เหตุการณ์มวลชนลุกฮือต่อต้าน/ล้มล้างรัฐบาลอย่าง 14 ตุลาฯ 2516, พฤษภาประชา-ธรรม 2535, 7 ตุลาเลือด 2551, สงกรานต์เลือด 2552, เมษา-พฤษภาอำมหิต 2553 รวมทั้งการก่อความไม่สงบชายแดนภาคใต้ที่ปะทุรุนแรงขึ้นอีกรอบนับแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ฯลฯ ก็ไม่น่าเป็นไปได้หรือเกิดขึ้นได้กลางเมืองไทยแผ่นดินไทย เพราะมันขัดกับความเป็นไทยฉันนั้น!
ถ้าข้อสรุปดังกล่าวจะขัดขืนฝืนทวนความเป็นจริงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะในเมืองไทย อุดมคติสำคัญกว่าความเป็นจริง และบ้านนี้เมืองนี้ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้...
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความในมุมกลับว่าในหมู่คนไทย 60 กว่าล้านคน ล้วนเจียะป้าบ่อสื่อ วันๆ เอาแต่สุมหัวรวมตัวลุกฮือต่อต้านล้มล้างรัฐบาลท่าเดียว เปล่าครับ
เพราะแม้แต่ เบน นักศึกษาปริญญาเอกสาขาดนตรีวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา ผู้มาสำรวจวิจัยการแสดงดนตรี/ร้องเพลงในการชุมนุมประท้วงทางการเมืองของไทยปัจจุบัน ก็ยังกล่าวทิ้งท้ายกับ นีล เทรวิธิค ผู้สื่อข่าวบีบีซีระหว่างไปร่วมงานชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อยุธยาเมื่อเร็วๆ นี้ว่า : -
ชาวโลกคงประทับตาตรึงใจกับภาพข่าวการชุมนุมต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับทหารอย่างดุเดือดรุนแรงเมื่อกลางปีก่อน แต่ถ้าคุณอยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ คุณจะเห็นว่าลับตากล้องออกไป ผู้คนแสดงความเมตตาปรานีต่อกันอย่างเหลือเชื่อ มีการช่วยดึงฝ่ายตรงข้ามให้หลบพ้นภยันตราย พาคนไม่เลือกฝ่ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อได้รับบาดเจ็บ แจกน้ำแจกท่าให้กันไม่เว้นแม้แต่ทหาร ตำรวจ ฯลฯ นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้
(รายการวิทยุ From Our Own Correspondent ของ BBC, 12 ก.พ. 2011
www.bbc.co.uk/iplayer/episode/p00df8cr/From_Our_Own_Correspondent_12_02_2011/)
โดยมิจำต้องวาดภาพให้โรแมนติคเกินจริง ข้อควรคำนึงก็คือสังคมไทยก็คงเป็นเฉกเช่นสังคมอื่นที่มีความแตกต่างหลากหลายพหุลักษณ์ทางวัฒนธรรมมากมาย ทั้งดีงามและเลวร้าย ทั้งสว่างและมืดมิด คนไทยสามารถเป็นได้ทั้งนักบุญและปีศาจ ผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือผู้อื่นและฆาตกรกระหายเลือด
ประเด็นคงไม่ใช่ว่าเอกลักษณ์ไทยคือ อะไรแน่? ด้านใดจริงแท้ ด้านใดเป็นเท็จ?
หากเป็นว่าคนไทยสังคมไทยอาจมีพลวัตโน้มเอียงไปด้านไหนได้บ้างในแต่ละช่วงจังหวะเวลา? ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์อย่างไร? และเราจะร่วมกันสร้างเงื่อนไขเอื้ออำนวยให้คนไทย สังคมไทยมีเสรีภาพที่จะทำดี (moral freedom) แทนที่จะทำร้ายทารุณต่อกัน-ได้ง่ายขึ้นเช่นใด?
ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)