--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

เชิงอรรถ 'มะลิปฏิวัติ' ดอกเก่าร่วงไป ดอกใหม่ผลิบาน


ชาวอียิปต์หลายพันคนชุมนุมที่จตุรัสตาหะรี
ปฏิวัติดอกมะลิจากมือหนุ่มสาวโลกอาหรับ เพราะต้องการล้มอำนาจเก่า แล้ว"อำนาจเก่า"ทำอะไรพวกเขา จึงต้องใช้เครื่องมือใหม่ในโลกออนไลน์ประกาศสงคราม

โมฮัมเหม็ด บูอาซีซี วัย 26 ปี จุดไฟเผาตัวเองในเมืองซิดบูซิดของตูนิเซียเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เพื่อประท้วงอัตราว่างงานที่สูง เขาเป็นหนึ่งในบัณฑิตที่จบการศึกษามาหลายปีแล้วแต่ยังหางานทำไม่ได้ จนกระทั่งต้องมาตั้งแผงขายผักแต่ตำรวจก็มาจับเขาฐานตั้งแผงโดยไม่ได้รับอนุญาต

ภาพอันน่าสยดสยองของบูอาซีซีในเปลวเพลิงบริเวณจตุรัสประจำเมือง จุดชนวนการจลาจลในตูนีเซียจนประธานาธิบดีซีเน เอล-อัลบิดีน เบน อาลี ต้องหนีออกนอกประเทศเมื่อกลางเดือนมกราคม หลังจากอยู่ในอำนาจมานานถึง 23 ปี

การเสียชีวิตของบูอาซีซีและ "การปฏิวัติจัสมิน" (The Jusmin Revolution) ในตูนิเซีย ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ไปทั่วโลกอาหรับ ด้วยการที่คนอย่างน้อย 7 รายในหลายประเทศจุดไฟเผาตัวเอง รายหนึ่งในแอลจีเรียหลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการขอเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อร้องเรียนเรื่องงานและที่อยู่ รายหนึ่งเป็นชายชาวอียิปต์ที่ขัดสนทางการเงินและจุดไฟเผาตัวเองหน้าสภา

บาฮีย์ เอลดิน ฮัสซัน ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาสิทธิมนุษยชนในกรุงไคโร แสดงความเห็นว่าเมื่อไม่มีช่องทางในการยื่นคำร้องเรียน คนก็เลยต้องจุดไฟเผาตัวเอง กว่าจะมาถึงจุดนี้พวกเขาผ่านความอยุติธรรมมามากมาย นี่อาจเป็นครั้งแรกที่โลกอาหรับได้เห็นการเผาตัวเองเลียนแบบกัน แต่ความขมขื่นใจนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกเพราะความเจ็บช้ำน้ำใจเหล่านี้เป็นปมค้างคามาหลายปีแล้ว

"ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการฆ่าตัวตาย โดยมีสาเหตุจากความยากจน มีผู้ชายคนหนึ่งผูกคอตายที่สะพานคาส เอล-นิลเมื่อปีที่แล้ว" ฮัสซันอธิบาย

สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการแสดงออกซึ่งเริ่มจากการเผาตัวเอง ไปเป็นการจัดชุมนุมประท้วงในโลกอาหรับ น่าจะคล้ายคลึงกัน นั่นคือการเรียกร้องขอสิทธิในการเลือกผู้นำ และสิทธิในการเปลี่ยนตัวผู้นำ หากผู้นำคนนั้นไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างที่ประชาชนต้องการ สาเหตุอีกประการหนึ่งคือต้องการผู้มีอำนาจมาช่วยยุติพฤติกรรมคอร์รัปชัน และขอให้รัฐบาลสร้างโอกาสในการหางานทำแก่ประชาชน

ยัสเซอร์ อับดีห์ และอันจาลี การ์จ นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารโลก เขียนไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า น่าประหลาดใจที่อัตราว่างงานในตะวันออกกลางและภูมิภาคแอฟริกาเหนือ ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับการศึกษาที่มีมากขึ้น อย่างในอียิปต์ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่การตรวจสอบระบบการศึกษาพบว่ามีบัณฑิตล้นเกินโดยเฉพาะด้านมนุษศาสตร์และสังคมศาสตร์ ขณะที่ภาคธุรกิจบ่นว่าหาคนงานที่มีทักษะอย่างที่ต้องการไม่ได้

รายงานของธนาคารโลกยังระบุว่าบัณฑิต 1 ใน 7 คนในอียิปต์ จอร์แดน และตูนิเซีย ตกงาน และหลายคนมีคุณสมบัติสูงเกินสำหรับตำแหน่งงานที่ทำอยู่ ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศประมาณว่าเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ขยายตัวไม่เร็วพอดูดซับแรงงานใหม่ๆ อย่างอียิปต์ซึ่งมีประชากร 80 ล้านคนนั้น จะต้องมีงาน 9.4 ล้านตำแหน่งเพื่อให้คนที่ตกงานได้มีงานทำและรองรับบัณฑิตจบใหม่

นอกจากนั้น อัตราว่างงานในหมู่หนุ่มสาวยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง อย่างในอียิปต์ที่อัตราว่างงานโดยรวมอยู่ที่ 8.9 เปอร์เซ็นต์ แต่อัตราว่างงานในหมู่คนอายุต่ำกว่า 25 ปี อยู่ที่ 25.4 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราว่างงานโดยรวมของตูนิเซียอยู่ที่ 14.2 เปอร์เซ็นต์ และอัตราว่างงานในหมู่คนหนุ่มสาวอยู่ที่ 30.3 เปอร์เซ็นต์

หลายทศวรรษก่อนหน้านี้ คนที่ต้องการหางานไม่ว่าจะเป็นชาวจอร์แดน อียิปต์ เยเมน ปาเลสไตน์ หรืออื่นๆ จะมุ่งหน้าไปยังประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่มั่งคั่งในตะวันออกกลางหรือยุโรปหรือสหรัฐ แต่ในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 บางประเทศในตะวันออกกลางเริ่มวิตกว่ากำลังนำเข้าแรงงานที่อาจก่อเหตุวุ่นวายได้ จึงหันไปจ้างคนงานจากเอเชียแทน

พลังคนรุ่นใหม่ผสานสังคมออนไลน์

ผู้ที่ลุกขึ้นมาประท้วงเพราะทนไม่ไหวกับปัญหาต่างๆ ในหลายประเทศของอาหรับ ล้วนเป็นคนหนุ่มสาว ซึ่งหลายคนเป็น "มือใหม่" ในกิจกรรมทางการเมือง และทุกคนก็ใช้เครื่องมือสมัยใหม่ อย่างเครือข่ายสังคมออนไลน์ อินเทอร์เน็ต และการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อจัดการชุมนุมและขยายผลการชุมนุม

สภาพการณ์ดังกล่าวนับว่าแตกต่างจากเมื่อไม่นานมานี้ ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางพูดถึงหนุ่มสาวในโลกอาหรับว่ามีความคับข้องใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะแม้คนเหล่านี้ไม่ชอบผู้ปกครองประเทศที่รวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือ ทั้งยังรู้สึกว่าโอกาสทางเศรษฐกิจหรือการหางานของพวกเขามีขีดจำกัด แต่พวกเขาก็ไร้พลังทางการเมืองจนไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ ทั้งยังถูกคุกคามจากสายลับและตำรวจลับ

"ถ้าเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว คุณมาบอกว่านักศึกษาของผมจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยมาสู่อียิปต์ ผมคงขำ" ศาสตราจารย์ฮัสซัน นาฟา แห่งภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยไคโร สารภาพ

ในทุกประเทศอาหรับ กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรมีวัยไม่ถึง 30 ปี และมีความต้องการเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไป นั่นคือเสรีภาพที่มาพร้อมประชาธิปไตย เมื่อปีที่แล้วบริษัทแอสดา เบอร์สัน-มาส์เทลลา ได้เผยผลการสำรวจความเห็นหนุ่มสาวใน 9 ประเทศอาหรับ ปรากฎว่าพวกเขาระบุว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ แซงหน้าสาธารูปโภค การศึกษา และค่าแรง

"ผมไม่สนหรอกว่าใครจะขึ้นมาบริหารประเทศ ตราบใดที่ผมสามารถเปลี่ยนรัฐบาลที่ผมไม่ชอบหน้าได้" คาเลด คาเมล นักศึกษาอียิปต์ ระบุ

ดังที่ระบุข้างต้นว่ากระแสความคับข้องใจในโลกอาหรับนั้นคุกรุ่นมานานแล้ว เปรียบเสมือนไม้ขีดไฟหัวเล็กๆ ที่เมื่อมารวมตัวกันก็จุดไฟกองใหญ่ได้ อย่างรายของคาเมลที่เล่าให้ฟังว่าเคยตกรถไฟและตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา แต่ไม่ได้มาช่วยเขา ซ้ำร้ายกลับตีเขาอีกเพราะเขานอนอยู่บนชานชาลา

การที่เจ้าหน้าที่ไม่ช่วยเหลือแถมทำให้ประชาชนขายหน้า เป็นเรื่องปกติในอียิปต์สมัยที่ฮอสนี มูบารัก ปกครองประเทศ และในรายของคาเมล วัย 20 ปีนั้น เขาระบายความคับข้องใจลงในบล็อกส่วนตัว จากนั้นชุมชนออนไลน์ก็มีเรื่องเมนต์กันกระหึ่มอีก เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นความโหดร้ายของตำรวจที่เมืองอเลกซานเดรีย ซึ่งนักธุรกิจหนุ่มชื่อคาเลด ซาอิด ถูกตำรวจตีจนตาย จนมีการจัดทำหน้า "เราทั้งหลายเป็นคาเลด ซาอิด" ขึ้นบนเฟซบุ๊ค

คาเมลเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวบนเฟซบุ๊คและกลายเป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตี จนกระทั่งรู้จักคนที่ดูแลหน้าดังกล่าว และเริ่มคุยกันทางอีเมล จนกระทั่งวันที่ 7 กุมภาพันธ์ คาเมลก็ทราบว่าคนที่เขาคุยด้วยทางอีเมลคือวาเอล โกนิม ผู้บริหารกูเกิลที่กลายเป็นหน้าตาของการปฏิวัติอียิปต์ หลังจากถูกจับเข้าคุกกว่า 10 วัน เพราะโกนิมคือผู้จัดทำหน้า "เราทั้งหลายเป็นคาเลด ซาอิด" และเรียกร้องให้ผู้คนไปชุมนุมประท้วงที่จตุรัสตาหะรีเมื่อวันที่ 25 มกราคม

ด้านคาเมลนั้น เน้นการขยายการประท้วงไปทั่วประเทศ ด้วยการไปร่วมเดินขบวนที่เมืองอเลกซานเดรียและเมืองดามันฮูร์ ผ่านซากอาคารรัฐบาลที่ถูกเผาและปล้นสะดมภ์ นอกจากนั้น เขายังเดินผ่านห้องขังซึ่งหน่วยรักษาความมั่นคงเคยทารุณนักโทษด้วยสุนัขและไฟฟ้า ซึ่งระหว่างการเดินขบวนนี่เองที่เขาเกิดความรู้สึกว่าคนรุ่นเขาสามารถยุติการทารุณเหล่านี้ลงได้

"เรามีกำลังแล้ว และเรากำลังเริ่มสร้างอียิปต์ในแบบที่เราต้องการ" คาเมลเล่า

ในส่วนของโกนิมนั้น หลังจากถูกปล่อยตัวจากคุก ก็แสดงบทบาทมากขึ้นด้วยการให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ดรีมทีวีของอียิปต์ โดยเขาพูดทั้งน้ำตาว่าอยากบอกกับพ่อแม่ทุกคนที่สูญเสียลูกไปในการประท้วงครั้งนี้ว่าเขาเสียใจแต่ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา เป็นความผิดของทุกคนที่ยังหวงเก้าอี้

วันรุ่งขึ้น คนจำนวนมากที่จตุรัสตาหะรีบอกว่าได้แรงบันดาลใจจากการให้สัมภาษณ์เมื่อคืน และโห่ร้องต้อนรับโกนิมที่ไปปรากฏตัวที่จตุรัสอย่างกึกก้อง รวมถึงฟัตมา เกเบอร์ สาวน้อยวัย 16 ที่ขอร้องพ่อแม่ให้อนุญาตให้เธอไปร่วมประท้วง

"เมื่อฉันเห็นโกนิมทางทีวี ฉันสะเทือนใจกับคำพูดของเขาและเข้าใจว่าคนจำนวนมากต้องลำบากกับการปฏิวัติครั้งนี้ ฉันจึงอยากมีส่วนร่วมเพราะไม่อยากให้คนที่เสียชีวิตหรือคนที่ไปประท้วงทุกวัน ต้องลำบากหรือสูญเสียบางอย่างไปเพื่อให้คนทั้งประเทศได้ประโยชน์" เกเบอร์เล่า

นอกจากเกเบอร์แล้ว ยังมีผู้หญิงอียิปต์อีกมากที่กระตือรือล้นอยากมีส่วนร่วมในการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง รวมถึงมาร์วา อิบราฮิม บัณฑิตสาววัย 25 ปี ที่บอกว่าไม่ต้องการมูบารักและต้องการให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาล พร้อมเสริมว่าชาวอียิปต์เรียกร้องมาตลอดให้ยุติกฎหมายฉุกเฉินที่ห้ามการชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต และอนุญาตให้คุมตัวโดยไม่ต้องนำตัวขึ้นพิจารณาคดี

ขณะที่โกนิมเองนั้น แม้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้ชุมนุม แต่เขาก็ขอร้องว่าอย่าชูว่าเขาเป็นวีรบุรุษของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เขาเป็นเพียงคนธรรมดา และวีรบุรุษคือผู้ประท้วงที่ออกมาชุมนุมกันตามท้องถนนนั่นเอง

ลิเบียกับรสชาติเสรีภาพ

แม้การปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ในลิเบียยังไม่สิ้นสุด แต่ชาวลิเบียทางภาคตะวันออกของประเทศก็พบว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันมาก่อน นั่นคือเป็นอิสระจากการปกครองของโมอัมมาร์ กัดดาฟี เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี และชาวเมืองเบนกาซีก็ต้องหาหนทางบริหารกิจการของตัวเอง ในฐานะที่เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของลิเบียและเป็นจุดกำเนิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาล ที่เริ่มต้นจากการประท้วงเล็กๆ เพราะไม่พอใจการคุมขังทนายความด้านสิทธิมนุษยชน

"เราไม่ได้วางแผนก่อการปฏิวัติ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ประชาชนไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะเร็วขนาดนี้" ฟาธี เทอร์เบล ทนายความที่ถูกจำคุก เล่า

หลังจากประชุมกัน ชาวเมืองเบนกาซีก็ตกลงตั้งคณะกรรมการเพื่อรับรองความปลอดภัยของประชาชน และเริ่มพูดคุยกับนักวิชาการ ทนายความ และผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับวิธีบริหารเมือง ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังมีการชุมนุมกันประปรายเพื่อฉลองสิทธิในการชุมนุมตามจตุรัส อันเป็นสิทธิที่พวกเขาไม่ได้รับก่อนหน้านี้ เพราะกฎหมายปี 2516 ห้ามการชุมนุมเกินกว่า 4 คน เนื่องจากกัดดาฟีเกรงว่าจะมีการสมคบคิดกัน ทั้งยังปราบปรามองค์กรด้านพลเรือนด้วย

ส่วนในเมืองโทบรัก ที่มีประชากร 100,000 คนและเป็นอีกเมืองทางภาคตะวันออกที่อยู่ใต้การควบคุมของผู้ประท้วงนั้น ก็ผ่านการต่อสู้อย่างหนัก โดยหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมประท้วงคืออับดุลฮามิด อาบู บักร์ วัย 53 ซึ่งเล่าว่ามีเรื่องต้องชำระกับกัดดาฟี พร้อมอ้างว่าสมัยหนุ่มๆ เคยถูกจำคุกปีครึ่ง ในฐานะนักโทษการเมืองและถูกทรมานด้วย บักร์กล่าวว่าชาวอาหรับควรมีโอกาสตัดสินเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง

ปัจจุบันผู้ประท้วงที่หันมาดูแลความปลอดภัยของชาวเมือง ได้พานักข่าวเข้าไปดูอาคารที่เคยเป็นที่ทำการของตำรวจลับ และปัจจุบันอาคารดังกล่าวถูกเผาเรียบแล้ว

อิสรภาพครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปีทำให้ชาวเมืองเริ่มฝัน รวมถึงซาเลห์ ฟูอัด วิศวกรที่ทำงานกับบริษัทน้ำมันลิเบีย ซึ่งตั้งความหวังว่าภาคตะวันออกจะลืมตาอ้าปากได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่สาธารณูปโภคแย่กว่าในกรุงตริโปลี (เมืองหลวงของลิเบีย)อยู่มาก

"เราผลิตน้ำมันได้วันละ 300,000 บาร์เรลในโทบรัก แล้วเงินหายไปหมดล่ะ ไปเข้ากระเป๋าของกัดดาฟีและครอบครัวหมดน่ะสิ" ฟูอัดระบายความอัดอั้น

ขณะที่ผู้ว่างงานจำนวนหนึ่งก็พากันออกมาแสดงตนว่ามีความรู้ความสามารถด้านกฎหมาย วิศวกรรม และแพทย์ศาสตร์ พร้อมกล่าวหารัฐบาลกัดดาฟีว่าสนใจแต่ฐานอำนาจทางภาคตะวันตกและละเลยภาคตะวันออก

"ผมมีปริญญาวิศวกรรม และสำเร็จการศึกษาจากอังกฤษแต่หางานทำในลิเบียไม่ได้" อาเหม็ด โมฮัมหมัด เล่า
ด้านอับดุลเลาะห์ ลิฮัจ วัย 29 ปี บอกว่าเป็นเวลา 42 ปีที่ชาวลิเบียไม่มีเสรีภาพใดๆ แต่ขณะนี้เขาอยากบอกกับกัดดาฟีว่านี่เป็นประเทศของพวกเขาและพวกเขาต้องการให้กัดดาฟีออกไป

.................................................................................

ครั้งหนึ่ง บ็อบ ดีแลน นักร้องชาวอเมริกันเคยกล่าวไว้ว่า ประชาธิปไตยไม่ได้ปกครองโลก ความรุนแรงต่างหากที่ปกครองโลก

"โลกคงน่าอยู่กว่าถ้าไม่มีคนคิดแบบผม" เขาทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้

...แต่หลายคนบนโลกกำลังคิดแบบเดียวกับ บ็อบ ดีแลน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรม RSR Confederation - สมาพันธ์ RSR


มาตรการโดดเดี่ยวกัดดาฟี: อายัดทรัพย์กว่าหมื่นล้านทั่วโลก

ประธานาธิบดีบารัค โอบามาสั่งกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อายัดทรัพย์สินผู้นำลิเบีย 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (1.84 หมื่นล้านปอนด์) ของผู้นำลิเบีย ผู้นำทั่วโลกกำลังโดดเดี่ยวระบอบลิเบียภายหลังการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ประท้วง

การอายัดทรัพย์เริ่มขึ้นมากว่าสัปดาห์แล้ว และครั้งใหญ่สุดทำโดยสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลลิเบียและกลุ่มผู้นำน่าจะซุกซ่อนเงินอีกกว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในบัญชีธนาคารต่างประเทศ ก้อนเงินดังกล่าวน่าจะมาจากการค้าน้ำมัน

รัฐบาลลิเบียถูกอายัดทรัพย์สินราว 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายใต้เขตอำนาจศาลของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ทางสหรัฐฯ กำลังพิจารณาสั่งอายัดทรัพย์สินเป็นรายบุคคลเพิ่ม ทั้งนี้ในปี 2010 วิกิลีกส์เปิดเผยข้อมูลว่า กัดดาฟี ให้ LIA หรือ Libyan Investment Authority ถือครองเงินสดราว 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และธนาคารอื่นๆ ในสหรัฐอีกราว 300-500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ



มีการคาดการณ์ว่า LIA อาจครอบครองอีกราว 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งการลงทุนในธนาคารยุโรป เช่น ธนาคารอิตาลี ฯลฯ

ในปลายปี 2010 ลิเบียถูกประเมินว่าถือสินทรัพย์ทั่วโลกราว 1.52 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในขั้นต้น กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เตือนธนาคารต่างๆ ให้เฝ้าระวังการถ่ายโอนเงินตราที่จะเชื่อมโยงไปยังผู้นำลิเบีย ทั้งนี้ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้มีอำนาจในลิเบียได้ถอดถอนเงินออกไป ขณะที่สหรัฐฯ กำลังดำเนินมาตรการคว่ำบาตร

อย่างไรก็ตาม อังกฤษ สหภาพยุโรป องค์การสหประชาชาติ ได้ยึดทรัพย์สินกัดดาฟีและกลุ่มผู้นำลิเบีย ถือเป็นมาตรการเพิ่มแรงกดดันของประชาคมโลกต่อระบอบลิเบียที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้น
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อังกฤษได้อายัดทรัพย์สินของกัดดาฟี ลูกสาวและลูกชายทั้งสี่ของเขา รวมทั้งยึดบ้านที่ Hamstead ที่มีมูลค่าราว 10 ล้านปอนด์ ของ Saif al-Islam Gaddafi ลูกชายคนที่สองของกัดดาฟี
สัปดาห์ที่ผ่านมา อังกฤษพยายายามถอนเงินทุนกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของอังกฤษออกจากลิเบีย ก่อนจะทำการคว่ำบาตร
นอกจากนี้สถาบันทางการเงินในยุโรปได้พยายามทำทุกวิถีทางผ่านความร่วมมือกับสหรัฐฯ องค์การสหประชาชาติ และอังกฤษ ในการบล็อกทรัพย์สินของรัฐบาลลิเบีย รวมทั้งธนาคารกลางของลิเบีย และ LIA
Guardian

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

"สุเทพ" อัด "จำลอง" อย่าบิดเบือน รบ.แค่ขอพื้นที่คืน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) ออกมากล่าวตำหนิการขอคืนพื้นที่ของรัฐบาล ที่ใช้อำนาจบังคับให้ตำรวจทำ ถือเป็นระยะแรกของการสลายการชุมนุม ว่า ตนกราบเรียนยืนยันกับประชาชนได้ว่า เราจะไม่สั่งให้ เจ้าหน้าที่ไปสลายการชุมนุมอย่างแน่นอน แล้วเราไม่เคยทำเรื่องการสลายการชุมนุมเลย แต่ว่าการขอพื้นที่คืนให้ประชาชนส่วนใหญ่นั้นต้องทำ เราเพียงไปขอคืนพื้นที่กลับมาให้ประชนได้สัญจรไปมาได้เลนหนึ่ง และวันนี้ ( 1 มีค.) ก็ ต้องพยายามต่อเพราะประชาชนเดือดร้อน อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าไปสลายการชุมนุม โปรดอย่าได้ไปบิดเบือนเป็นอย่างอื่น ไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน ในส่วนบริเวณถนนพิษณุโลกที่ยังไม่มีการขอคืนพื้นที่นั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามเร่งดำเนินการอยู่ ที่ผ่านมาผมเองก็อึดอัดใจเหมือนทุกคน ส่วนที่มองว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลไม่กล้าที่จะสั่งการ เพราะเกรงว่าหากเกิดเหตุร้ายแล้วจะไม่มีใครรับผิดชอบนั้นก็คงไม่ใช่ แต่ผมระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรง เพราะจะทำให้เป็นเหตุบานปลาย ผมรู้ว่าประชาชนก็ไม่ชอบใจ แต่เราคงไม่ต้องการให้มีการทุบตีกันกลางเมืองกรุงเทพฯ เราคงไม่อยากให้ภาพพจน์ของประเทศชาติเสียหาย ก็ต้องใช้วิธีการตามที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้

รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ตนเห็นใจเจ้าหน้าที่ทำงานเรื่องนี้ว่าทำงานด้วยความยากลำบาก และพูดง่ายที่ไหนกับบรรดาแกนนำ อยากให้สื่อไปเห็นหรือมีการถ่ายทอดคำต่อคำไปออกทีวีทุกประโยค ซึ่งตนก็กราบขออภัยพี่น้องประชาชนด้วย

ที่มา.เนชั่น
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“2012” ประเทศไทย

ชาญกิจ คันฉ่อง
ภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

มีปัญหาคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจในปัจจุบันกลุ่มหนึ่ง คือ ระบบซับซ้อน (complex system) ผมจะมาแนะนำในภาษาของตนเองที่ไม่ใช่ผู้ชำนาญการ เพื่อนำเรื่องนี้เข้าสู่ปัญหาสังคมการเมืองไทยในปัจจุบัน โดยเริ่มจากตัวอย่างแรกของระบบประเภทนี้ คือ ระบบเคออส (chaotic system) ที่เป็นระบบเคลื่อนที่ชนิดหนึ่ง ซึ่งบางครั้งมีกลไกการเคลื่อนที่แบบง่ายๆ แต่กลับก่อให้เกิดผลการเคลื่อนที่อย่างสลับซับซ้อน กล่าวคือ ถึงแม้ว่าจะพยายามติดตั้ง (set) ให้ระบบประเภทเดียวกันเริ่มต้นเคลื่อนที่ให้คล้ายกันมากเพียงใด แต่ความแตกต่างเล็กน้อยที่จุดเริ่มต้นจะก่อให้เกิดผลพวงที่แตกต่างกันอย่างมากตามมา เช่น การเคลื่อนที่ของกระแสน้ำ สามารถเกิดการปั่นป่วน (turbulence) ได้หลายรูปแบบ, ระบบภูมิอากาศ ที่การก่อกวนระบบเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดผลขนาดใหญ่ เช่น พายุ เป็นต้น ที่เรียกกันว่า ผลของปีกผีเสื้อ (butterfly effect)

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ แฟรกทอล (fractal) ซึ่งเป็นระบบรูปร่างเรขาคณิตชนิดหนึ่ง ที่อาจมีกฎเกณฑ์ในการประกอบรูปร่างที่ไม่ซับซ้อน แต่กฎเกณฑ์เหล่านั้นจะก่อให้เกิดแบบแผนในลักษณะที่ว่า เมื่อมองจากภาพใหญ่ก็เห็นแบบแผนชนิดหนึ่ง และเมื่อมองจากส่วนย่อย ก็จะเห็นแบบแผนลักษณะเดียวกันหรือคล้ายกัน ซึ่งไม่ว่าจะใช้แว่นขยายส่องไปถึงส่วนย่อยระดับใด ก็จะยังคงเห็นแบบแผนลักษณะนั้นอยู่ เช่น กะหล่ำดอก (cauliflower หรือ broccoli) ไม่ว่ามองภาพดอกกะหล่ำทั้งหัว หรือหักกิ่งเล็กๆ ของดอกกะหล่ำออกมา ก็จะยังคงเห็นรูปร่างในแบบแผนเดียวกัน

และถ้าระบบแฟรกทอล มีการเคลื่อนไหวแบบเคออส ล่ะ ก็จะสามารถก่อกำเนิดแบบแผนใหม่ๆ หรือความสัมพันธ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้มาก ที่เรียกว่า การอุบัติขึ้น (emergence) ถึงแม้ว่าในระดับจุลภาคมีกลไกเกาะเกี่ยวหรือความสัมพันธ์กันแบบง่ายๆ แต่ก็สามารถก่อกำเนิดแบบแผนใหม่ๆ ในระดับมหภาค ที่สามารถส่งผลต่อทั้งระบบอย่างมหาศาล เปรียบได้กับ มดแดงตัวเล็กๆ แต่ละตัว ที่เรียบง่าย ทำอะไรได้น้อย แต่เมื่อรวมกันเป็นล้านตัวก็สามารถเกาะเกี่ยวกันสร้างสะพาน สร้างรัง ขนย้ายเหยื่อขนาดใหญ่ หรือบ่อนเซาะตึกทั้งตึกได้ (ขอขอบคุณผู้ที่แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องนี้กับผม)

ผมกำลังกล่าวถึง ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเริ่มยกตัวอย่างจาก เวบบอร์ด ซึ่งเป็น “โลกเสมือนจริง” ที่ให้แต่ละคนเข้ามาแชร์แลกเปลี่ยนกัน -> เมื่อเวบบอร์ดบางแห่งมีคนนิยม ก็มีคนสร้าง เวบท่า ขึ้นมารวบรวมเวบบอร์ดยอดฮิตหลายๆ อัน -> เมื่อระบบเครือข่ายเครื่องคอมพิวเตอร์เติบโตขึ้น ก็มีพื้นที่ให้ทุกๆ คนสร้างเวบบอร์ดของตนเอง -> เมื่อระบบ search engine เติบโตขึ้น ก็มีพื้นที่ให้เกิดเวบที่สามารถนำ “เวบบอร์ด” ของทุกๆ คนมาเชื่อมต่อกัน นั่นก็คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ (social network) เช่น Facebook นั่นเอง -> . . .

กลไกพลวัตของระบบนี้ก็คือ เมื่อที่แห่งใดมีคนนิยม ทุกคนก็พร้อมไปผูกติด (link) เกิดปม (node) ต่างๆ ขึ้น บางปมเล็ก บางปมใหญ่ และปมใหญ่ๆ ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น แล้วสร้างปมเล็กๆ ต่อๆ มาอีก เมื่อมีเหตุให้ปมใหญ่ยุบตัวลง ทุกคนก็พร้อมที่จะไป link กับปมใหญ่อื่นๆ เหมือนกับโรงเรียนฮอกวอร์ทส์ในนิยายและภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี พอตเตอร์ ที่บันไดและเส้นทางต่างๆ ในโรงเรียนเคลื่อนไหวได้ เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ตลอดเวลา เครือข่ายสังคมออนไลน์เปรียบได้กับลวดลายของใบไม้ ในระดับเล็ก ปมต่างๆ ก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงกัน และในระดับใหญ่ ปมใหญ่ๆ ก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงกัน ดังนั้นถ้าเราเริ่มต้นจากปมเล็กปมหนึ่ง ต้องการเชื่อมต่อไปยังปมที่ยังไม่เคยเข้าไป ใช้เพียงแค่ “3 ต่อ” เท่านั้น กล่าวคือ ผ่านเพียงแค่ไม่กี่ links ก็สามารถเข้าถึงปมที่แปลกที่สุด radical ที่สุดได้ และระบบซับซ้อนนี้ก็พร้อมแล้วที่จะอุบัติสิ่งต่างๆ ขึ้นและส่งผลต่อระบบทั้งหมดอย่างมหาศาล!!

หลายสิบปีที่ผ่านมา “รัฐ” ควบคุมคนโดยใช้อุดมการณ์ แปรเป็นรูปธรรมผ่าน ระบบวินัย เช่น ประเพณี ธรรมเนียม กฎหมาย มีเจ้าหน้าที่ ตำรวจ กองทัพ ใช้อำนาจหน้าที่พิทักษ์รักษา รวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อทางอุดมการณ์ ผ่านสื่อ สิ่งพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ และการปลูกฝังการศึกษา ให้ทุกคนในสังคมก็ช่วยกันพิทักษ์ปกป้องควบคุมกันเอง แต่บัดนี้การอุบัติตัวอย่างรวดเร็วของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่การปิดกั้นเป็นไปได้ยากและไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ สิ่งเก่าๆ เริ่ม leak ทรุดตัวลง แม้แต่หลักการต่างๆ พื้นฐานต่างๆ และสถาบันต่างๆ ที่เคยมั่นคงยืนยงก็อ่อนยวบ ยุบตัวลง

นับตั้งแต่ขบวนการเสื้อแดงฟื้นตัวหลังจากที่กลไกจัดตั้งต่างๆ ถูกทำลายลงในช่วง 19 พ.ค. 2553 ก็เกิดภาพขบวนการที่ชัดเจนขึ้นว่าเป็น “ขบวนการไร้หัว” เปรียบเสมือนกับ “เครือข่ายใยแมงมุม” (ขอขอบคุณผู้เสนอคำและ concept เหล่านี้) ที่มีปมชนิดต่างๆ เป็นตัวปั๊มพลังมวลชนกระจายอยู่ทั่วโครงตาข่าย ผู้ที่เข้ามา เช่น ใส่เสื้อมายืน ก็อาจเป็นเพราะรับไม่ได้กับสองมาตรฐาน แต่ภายในไม่กี่ต่อ (links) ก็สามารถเข้าถึงส่วนที่ radical ที่สุดได้ หลายปีที่แล้วมีสถานีวิทยุชุมชน แต่ถึงทุกวันนี้ ใครๆ ก็สามารถตั้งสถานีวิทยุของตนเองได้ เช่น สถานีวิทยุอินเตอร์เนต แล้วการสนับสนุนมาจากไหน ก็สามารถมาจากทั้งเครือตาข่าย แกนนำนปช. มีความหมายน้อยลง กล่าวคือ มีบทบาทแค่คอยจัด event ขึ้น ให้ทุกคนมาแสดงพลังของตนเอง ส่วนพรรคเพื่อไทย แม้ว่าในปัจจุบัน “ไร้หัว” ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน แต่ก็มีฐานมวลชนที่แน่นแฟ้นใหญ่โตนัก ถ้ามองในอีกด้านหนึ่งของโลก การเมืองในประเทศตะวันออกกลางที่ผูกขาดอำนาจโดยกลุ่มชนชั้นนำบางกลุ่มมานานนับ 20-30 ปี ก็ถูกเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ก่อให้เกิดการสั่นกระเพื่อมทั่วทั้งตะวันออกกลาง (link ที่น่าสนใจ: AlJazeeraEnglish, Empire - Social networks, social revolution: http://www.youtube.com/watch?v=441HJTSUpXw)

อนึ่ง ผมไม่ได้คิดว่า การเปลี่ยนสถานะการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงเกิดจากเครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญเพียงประการเดียว เพราะแม้แต่ชนบทรากฐานของเสื้อแดงก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นกัน เช่น จากเกษตรกรรายย่อยเปลี่ยนไปเป็นอุตสาหกรรมของการทำการเกษตร แรงงานสามารถเคลื่อนย้ายทั่วประเทศและทั่วโลก การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถมีกลุ่มใดหาข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำต่างๆ ได้โดยง่าย ส่วนที่เปลี่ยนช้าที่สุดกลับเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ปัญญาชน ที่มีชีวิตค่อนข้างมั่นคงและได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมน้อย

การเปลี่ยนแปลงที่เหมือนแผ่นดินไหวทรุดยวบลงในภาพยนตร์เรื่อง “2012” และในปี 2012 ก็จะยิ่งเปลี่ยนแปรไปมากกว่านี้ ในมุมมองผม ระบบพื้นหลังต่างๆ ไม่ได้พังทลายสูญหายไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปร (transformation) ไปต่างหาก เช่น จาก A เป็น B ประชาชนก็ยังเป็นกลุ่มเดิมหรือคนเดิม แต่เปลี่ยนความสัมพันธ์แบบใหม่ โดยประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวจะสร้างรากฐานใหม่ๆ ขึ้นมาเอง บางคนเคยมองเห็นแต่แบบ A ไม่เคยพิจารณาแบบ B จึงรู้สึกว่าพังทลายไป หากสถาบันต่างๆ ต้องการอยู่รอดและยังคงนำบทบาท ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมากหรือสิ้นเชิงเพื่อปรับให้เข้ากับระบบใหม่แบบ B แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ตามปกติจะเป็น การเปลี่ยนแปลงแบบแทนที่ ก็ตาม เช่น เมื่อถางป่าทิ้ง ก็มีพืชบุกเบิกอย่างหญ้าคาขึ้น แต่ต่อมาก็มีไม้พุ่ม เช่น ต้นตะขบขึ้นแทนที่หญ้าคา แล้วป่าใหญ่ก็ค่อยเข้ามาแทรกและแทนที่ป่าตะขบ พืชรุ่นเดิมไม่สามารถเติบโตขึ้นเป็นพืชรุ่นใหม่ แต่ถ้าพืชรุ่นเดิมต้องการนำบทบาท มีแต่ต้องวิวัฒนาการแบบพืชรุ่นใหม่

แล้ว “การปฏิวัติของประชาชน” ล่ะ? ซึ่งเป็น concept ที่สามารถก่อให้เกิดความรุนแรง เช่น ระดับขั้นต้น คือ การปราบปราม มาถึงทุกวันนี้แล้ว ก็ทำได้แต่หนุนเข้าไปเพื่อให้พลังอย่างใหม่ขยายตัวจนสุดทางหรือถึงขีดจำกัด ของมัน โดยช่วยกันส่งผ่านข้อมูลและวิจารณ์ๆๆ บทบาทของทุกฝ่าย เพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสันติวิธีมากที่สุด เพราะถ้ายังห่างไกลจากสถานะคู่คี่ก้ำกึ่ง หรืออยู่ในระดับที่ยังปราบปรามได้ การปราบปรามก็สามารถมีต่อไป ก็จะยิ่งเกิดความรุนแรง แต่ถ้าเลยจากสถานะคู่คี่ก้ำกึ่งจนมิอาจปราบปรามกันได้แล้ว ทุกฝ่ายก็จะปรับตัวกับยุคสมัยใหม่

และในระดับขั้นต่อไป เช่นว่า “ภายหลังการปฏิวัติประชาชน” (แค่สมมุตินะครับ) หลายท่านกังวลถึงการ “การพิทักษ์การปฏิวัติ” ในทำนองว่าอาจเกิดการทำลาย “ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติ” เพื่อพิทักษ์ concept การปฏิวัติให้คงอยู่ ซึ่งเป็นด้านกลับของ “การล่าแม่มด” ผมคิดว่ายุคสมัยนี้ ไม่มีใครสามารถสร้างทฤษฎีพิมพ์เขียวหรืออุดมการณ์หรือความศรัทธาเช่นนั้นได้ ต่อให้มีใครทำได้ สิ่งต่างๆ เช่น “Facebook” จะทำให้มันล้าสมัยไปภายใน 2 ปี ดังนั้นเมื่อถึงตอนนั้น “คนเสื้อแดง” ก็กลับไปทำมาหากินครับ (ขอบคุณสำหรับผู้ที่เสนอทัศนะทำนองนี้แลกเปลี่ยนกับผม

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

การปกปิดอาชญากรรมที่ถูกทำนายล่วงหน้า



ในรายงานของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันนี้ที่ระบุว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษเหมือนจะถูกกองทัพไทยกดดันให้เปลี่ยนข้อสรุปว่าใครเป็นคนสังหารนักข่าวช่างภาพรอยเตอร์ นายฮีโรยูกิ มูราโมโตนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจ

แต่สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
ในคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศของเราซึ่งเป็นเอกสารที่ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์หลีกเลี่ยงที่จะอ่าน–คำให้การของพยานนิรนามปากที่ 20 (คำให้การดังกล่าวฉบับแก้ไขดังกล่าวแสดงในข้างล่าง) ทำนายถึงการปกปิดนี้ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

มันเป็นนโยบายทางการของรัฐบาลไทยที่จะปกปิดหรือทำลายหลักฐานการกระทำผิดทางอาญาของรัฐบาลหรือผู้นำทางการทหารเกี่ยวกับการสังหารทั้งหมด หลังจากความเหตุการณ์รุนแรงในกรุงเทพมหานครเมื่อเดือนเมษายน ปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 24 ราย ศอฉ. ได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของบุคคลเหล่านั้น ในวันที่ 16 เมษายน นายธาริตมีอำนาจสอบสวนการสังหารอย่างเป็นทางการ

ในขณะนี้ การสอบสวนถึงการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงทั้งแปดสิบสี่รายในระหว่างการชุมนุมจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการและได้มีการสรุปบ้างแล้ว อย่างน้อยเบื้องต้นพวกเขาถูกสังหารโดยทหารกลุ่มหนึ่งจากกองทัพไทยภายใต้คำสั่งของของรัฐบาลไทยและศอฉ. พนักงานสอบสวนของดีเอสไอบางรายที่สรุปแบบนี้ถูกผู้บัญชาการสั่งให้เปลี่ยนข้อสรุป

อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตมีส่วนร่วมในการพยายามทำให้ผลการสอบสวนของดีเอสไอล้าช้า และนี่คือหลักฐานความล้มเหลวของเขาในการสั่งให้ทำการสอบสวนโดยรวดเร็วและยังเป็นความล้มเหลวของเขาในการเริ่มต้นสอบสวนเกี่ยวกับประเด็นของเจตนาผู้กระทำ ความล้มเหลวในการเร่งกระทำการสอบสวนของเขานั้นเนื่องจากมีแรงจูงใจอย่างน้อยที่สุดคือในเรื่องข้อเท็จที่เขาเป็นสมากชิกศอฉ. ซึ่งในสถานการณ์ปกติเป็นประเด็นสำคัญในการสอบสวน

นอกจากนี้ ยังประกอบกับความพยายามของรัฐบาลในการปกปิดหลักฐานอีกด้วย อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตได้ออกคำสั่งห้ามพนักงานสอบสวนดีเอสไอเรียกทหารจากกองทัพมาสอบสวน ซึ่งต่างจากกระบวนการสอบสวนทั่วไปของดีเอสไออย่างสิ้นเชิง ในส่วนที่ดีเอสไอจะสอบสวนใครก็ตามที่เจ้าหน้าที่สรุปว่ามีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตนั้น

ในเดือนพฤศจิกายน 2553 รายงานอย่างเป็นทางการของดีเอสไอเกี่ยวกับการสังหารในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้รั่วไปถึงมือสื่อมวลชน แกนนำคนเสื้อแดงนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้กล่าวต่อสาธารณชนเกี่ยวกับประเด็นข้อสรุปว่าทหารบางกลุ่มมีส่วนร่วมในการสังหารประชาชน ไม่นานหลังจากเหตุการณ์นี้ มีรายงานในสื่อไทยว่าผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันโอชาได้ออกมาเรียกร้องให้ถอดถอน

อธิบดีดีเอสไอนายธาริต รองนายกรัฐมนตีสุเทพ เทือกสุบรรณจึงเรียกอธิบดีดีเอสไอธาริตเข้าพบ
ทันทีหลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้กล่าวสนับสนุนอธิบดีดีเอสไอนายธาริตต่อสื่อมวลชน นายธาริตไม่ถูกถอดถอนเพราะเขาจะได้มีอำนาจในการตัดสินชี้ขาดไม่ให้ดำเนินคดีต่อผู้นำทางการทหาร หรือสมาชิกศอฉ. ในส่วนของนายธาริต เขาได้กล่าวต่อสื่อว่าคำพูดของนายจตุพรเกี่ยวกับเอกสารรายงานดีเอสไอที่รั่วออกมานั้นไม่ตรงกับข้อสรุปของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งคำพูดของนายธาริตไม่ใช่เรื่องจริง

ทันทีหลังจากประชุมกับรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตออกคำสั่งภายในดีเอสไอให้เขามีอำนาจในการตัดสินว่าการสังหารมีเจตนาทางอาญาหรือไม่เพียงคนเดียว และหากไม่มีการสรุปเรื่องเกี่ยวกับเจตนาทางอาญาแล้ว จะทำให้ผู้นำทางการทหารหรือรัฐบาลไทยไม่ต้องรับผิดทางอาญา
เป็นเรื่องที่ชัดเจนอย่างมากที่อธิบดีดีเอสไอให้ความเชื่อมั่นนายกรัฐมนตีรอภิสิทธิ์ผ่านทางรองนายกรัฐมนตรีสุเทพว่า ไม่ว่าพนักงานสอบสวนของดีเอสไอจะสรุปผลของการเสียชีวิตว่าอย่างไรก็ตาม แต่เขาจะสรุปให้ทหารไม่มีเจตนาทางอาญาในเหตุการณ์การเสียชีวิตของพลเรือนและทหารในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 เพื่อแลกเปลี่ยนที่รัฐบาลอนุญาติให้นายธาริตอยู่ในตำแหน่ง

ก่อนที่ความพยายามของเราจะถูกเพิกเฉยอีกครั้ง เราขอให้หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ใช้เวลาอ่านคำร้องของเรา เพื่อจะเรียนรู้บางอย่างจากคำร้องดังกล่าว

ที่มา.ประเทศไทย Robert Amsterdam
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปล่อยคนสกัดปล่อยของ อำมาตย์ ยืมจมูกไพร่หายใจ!

ได้กลิ่นตุๆ เสียงแปร่งๆ ไอปฏิวัติรัฐประหารโชย มาเตะจมูก ขีดเส้นให้จับตาภายใน 7 วัน อาจมีอาการสุ่มเสี่ยง เกินเหตุ ถ้าหาก “รัฐบาลเทพประทาน” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่เทกแอ็กชั่น อะไรออกมาสักอย่าง

และแล้วในท้ายที่สุดเงื่อนไขการ เมืองประเทศไทยก็เริ่มเปลี่ยน แต่เปลี่ยนไปโดยการเบี่ยงประเด็นเลี่ยงบาลีในทางพฤตินัย อันถือเป็นเหลี่ยมเขี้ยวของเซียนการเมืองตัวจริงอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมด้วยช่วยกันกับพรรคร่วมรัฐบาลในการกระชับอำนาจแบบเนียนๆ

อันสืบเนื่องมาจากกรณีที่ “พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เดินถือธงปรองดอง ขึ้นศาลให้การเป็นพยานปากเอกในการยื่น ขอประกันตัว 7 แกนแดงกับอีก 1 แนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนมีบทสรุปคือ ปล่อยตัวชั่วคราว ท่ามกลางความยินดีปรีดาของมวลชนเสื้อ แดงที่แห่แหนไปรับถึงหน้าประตูคุกคลองเปรม

ประดา 1 วันในคุก ประชาชนคนทั่วไปก็ไม่อยากไปกินนอนเป็นเวลาอยู่ในนั้น แต่นี่ต้องนอนค้างอ้างแรมอยู่ถึง 9 เดือน การมีอิสรภาพชั่วคราวย่อมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ผู้ที่ยังละจากกิเลสตัณหาไปไม่พ้น

เมื่อได้รับอิสรภาพพ้นคุก นั่นก็เป็นธรรมดาโลกที่ต้องมีการเดินสายไปขอบอก ขอบใจผู้มีอุปการคุณ ส่งผลให้ค่ำคืนวัน แรกที่ไร้พันธนาการ บ้านพักสนามบินน้ำของ “เสธ.หนั่น” จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศ อันแสนชื่นมื่นที่รับประทานแกล้มไปกับ “ชาโต เดอ ชาละวัน” ที่คนอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ถึงกับจุดพลุว่าเป็น “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย”

ความหมาย “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย” ในที่นี้ อาจจะสามารถตีความขยาย ประเด็นไปได้ต่างๆ นานา แต่ที่น่าจะสำคัญ ที่สุด นั่นก็คือ การปล่อยผีครั้งนี้ ไม่ต่างจาก การยับยั้งอำนาจพิเศษไม่ให้แหลมออกมา ยามปรากฏการณ์ “ปฏิวัติดอกมะลิบานสะพรั่ง” ในนานาอารยประเทศ

การเตรียมความพร้อมตบเท้าในระดับ 5 ของขุนทหารชั้นยศ “พลตรี” และ “พันเอก” ที่ไม่พึงพอใจกับปัญหาตะเข็บชายแดนไทย-เขมร ต้องถูกเบรกด้วยเหตุ โอละพ่อทางการเมือง แม้แต่พันธมิตรฯ ม็อบเหลืองยังต้องเงียบเสียงลงชั่วครู่ชั่วยาม กับปรากฏการณ์อันสุดแสนจะเนียนที่เกิดขึ้น

ยิ่งหากวิเคราะห์กันตามเสียงบริภาษ ที่ว่ากันว่า การเคลื่อนไหวของม็อบเหลือง มีความพยายามนำไปสู่วันเกิดเหตุ การปล่อยแกนแดงลงสู่ท้องถนนแบบมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” จึงไม่ต่างจากการดึงมวลชน คนเสื้อแดงมาเป็นตัวประกันเพื่อกระชับอำนาจประเทศไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่าย กุมอำนาจประเทศ

เนื่องด้วยหากมองลอดแว่นผ่านกระบวนการปฏิวัติ มันมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยยิ่งนัก หากมือพิเศษและยอดมงกุฎแห่งกองทัพ ที่ถูกมองว่ากำลังสำลัก อำนาจไม่ยอมเล่นด้วย ประจวบเหมาะกับ กระแส “ปฏิวัติดอกมะลิบาน” มันยิ่งยาก และยากยิ่งกว่า ที่นายทหารระดับ “พลตรี” และ “พันเอก” จะฝ่าด่านผ่าดงแดงไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้โดยละม่อม

หรือแม้กระทั่ง หากมุ่งมาดปรารถนา และกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะทำกันจริงๆ มันก็คงไม่แคล้วบทเรียนครั้ง “เมษาฮาวาย” ที่ส่อแววฉายซ้ำ อีหลั่กอีเหลื่อ กลับไม่ได้ไปไม่ถึง นั่นคืออาการของกองกำลังพิเศษ ที่เดินหลงทางติดสนุ๊กทางการเมืองจนแก้ไม่ตกอยู่เท่าทุกวันนี้

แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ประชาธิปไตยแบบ ไทยๆ ไม่ถูกท็อปบูตยึดอำนาจซ้ำซากให้อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก แต่มันก็น่าเสียใจและใจหายเช่นกัน ที่บ้านนี้เมืองนี้ต้องปล่อยให้วงจรอุบาทว์ในการเมืองอันฟอนเฟะ กัดกร่อนประเทศชาติกันตามอำเภอใจในความหมายแห่ง “วิน วิน”

ยิ่งหากมองภาพทับซ้อนของเหล่านักการเมืองสเปกประสานสิบทิศ ที่คอมโพรไมซ์ได้ทุกสปีชี่ส์ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งปฏิกูล สายใยบางๆ แห่งผลประโยชน์ที่แอบเชื่อมกันอยู่บนวรรคทองแห่ง “ปรองดอง” มันจึงไม่ต่างจากวาทกรรมอำพราง ที่นักการเมือง กองทัพและอำนาจพิเศษ ยึดโยงมัดรวมด้วยการจับประชาชนเป็น ตัวประกัน

สุดท้ายวาระปล่อยคนสกัดปล่อยของรอบนี้ เปรียบเปรยไปคงไม่ต่างจาก เหลี่ยมเขี้ยวของโคตรเซียนที่เหล่า “อำมาตย์ยืมจมูกไพร่หายใจ” ก็เท่านั้นเอง.. ประชาชนผู้รู้แจ้งจงตื่นเถิดชาวไทย!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปรากฏการณ์ “โดมิโนตะวันออกกลาง”

ที่บรรดาประชาชนในแต่ละประเทศ กำลังนิยม “ชุมนุมประท้วง” ไล่เรียงตั้งแต่ “ตูนิเซีย-อียิปต์-อิหร่าน-บาห์เรน-ลิเบีย-เยเมน-คูเวต-โอมาน-อัลจีเรีย-โมร็อกโก-อิรัก-จอร์แดน-ซาอุดิอาระเบีย-ซีเรีย”

นี่ยังไม่นับรวมถึงการขยายวงไปยัง พื้นที่อื่น อาทิ “อัลบาเนีย-เซเนกัล-ไอวอรีโคสต์-เฮติ” แต่ “ตัวอย่าง” ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ประจักษ์ก็ คือ “ตูนิเซีย” และ “อียิปต์” ที่มีการขับไล่ผู้นำของประเทศจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการแสดงส่งสัญญาณไปถึง “ผู้นำเผด็จการทั้งหลาย” ว่า...หายนะกำลังมา เยือน หากไม่รู้จักปรับตัวเอง

จะเห็นว่า...มีความพยายาม “วิเคราะห์” และ “ประเมิน” กันว่า...“โดมิโนตะวันออกกลาง” อาจแผ่ขยายลามมายัง “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยเฉพาะใน กลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา-ลาว-พม่า-เวียดนาม...ที่ประชาชนในประเทศเหล่านี้ถูก “กดขี่” จาก “ผู้นำของตัวเอง”

และแน่นอน...“ไทยแลนด์” ก็หนีไม่พ้นในการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะนี้เช่นกัน แม้ว่า “ปัจจัยทางการเมือง” จะไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่อย่างน้อย “ทฤษฎีโดมิโน” ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ก็เป็น “ความหวังลึกๆ” สำหรับ “คนบางกลุ่ม” ที่รอคอยวันเปลี่ยนแปลง...รอคอยวันนั้นที่จะมาถึง!!!

คงไม่ต้องสาธยายว่าคือ “คนกลุ่มไหน” ที่ฝักใฝ่และตั้งหน้าตั้งตา “รอคอยการ เปลี่ยนแปลง” เพราะคนเหล่านี้มี “ความฝังใจ” มาตั้งแต่ยุคที่ตัวเองยังหนุ่ม-ยังสาว... และต้องทนทุกข์ทรมานในป่า แม้ในเวลาต่อมาจะได้รับการปลดปล่อย...แต่ “ความแค้นฝังลึก” ในเรื่องการถูกเอารัดเอาเปรียบ... ก็ยังมีมาจนถึงทุกวันนี้

จะเห็นว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งเผาบ้านเผาเมือง เพราะมีความเชื่อว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่การชุมนุมมีคนตาย...ผู้นำ จะอยู่ไม่ได้” แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะทฤษฎีหรือตำราฉบับไหน...ก็ไม่สามารถใช้ได้กับ “การเมืองไทย” ที่มีการพลิกแพลงปรับเปลี่ยนได้ตามจังหวะเวลา...อันเป็นสิ่งที่ “ประเทศอื่นๆ” ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

ยิ่งในเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ จะถึงวาระ ครบรอบปีที่มีการ “กระชับวงล้อมขอคืน พื้นที่” จากมวลชนคนเสื้อแดง และนำไปสู่ การตายของ 91 ศพ ซึ่งคาดหมายกันว่า จะเป็นรายการ “ลองของ” กันอีกครั้ง!!!

อย่าลืมว่า...ก่อนหน้านี้มี “คนตาย เฉียดร้อย” แต่ก็ไม่สามารถโค่น “บัลลังก์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ว่ากันว่า มี “หลังพิงชั้นดี” ลงได้...ดังนั้น “พลังแดง” จึงต้องยอมปรับลดบทบาทเลิกแข็งกร้าว...เหมือนก่อน

มีสัญญาณส่งมาว่า เวลานี้พลังแดงหวังให้ “โดมิโนตะวันออกกลาง” เป็นเสมือนหนึ่งแค่ “อาหารเสริม” ไม่ใช่ “อาหารหลัก”...เพราะรู้ดีว่า การจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเมืองไทยนั้น...“จังหวะเวลา” เป็นสิ่ง ที่สำคัญ...และต้องรอคอย ดังนั้น “การปลูกฝังความเชื่อ” เรื่อง “2 มาตรฐาน” ยังเป็นสิ่งจำเป็น...เพื่อรอคอยวัน

จึงเตือนมาเพื่อให้ “ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” ต้องตระหนักถึง “อันตรายในแนว คิดนี้”...ให้ดีๆ

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แผนใต้ดิน-ข้อต่อรอง ปล่อยแดง 7+88 พ้นคุก เดิมพัน4พันล้าน"เพื่อไทย"ชนะเลือกตั้ง !!

เมื่อเหตุผลและสมมติฐาน-การ ต่อรองของฝ่ายอำนาจรัฐและฝ่ายต่อต้านสมประโยชน์ จึงนำไปสู่การปล่อยตัวแดงทั้ง 7

แม้ว่าในยกแรก ต่างฝ่ายต่างต่อรองยืดยื้อจนสุกงอมนานแรมเดือน

ฝ่ายรัฐบาลส่งสัญญาณต้องการแลกตัวประกันผู้ต้องหาแดง 2 คน น.พ.เหวง โตจิราการ กับ ก่อแก้ว พิกุลทอง กับการ "งดการชุมนุม" ในเมืองช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์

แต่ฝ่ายแกนนำแดง-และนายใหญ่ ไม่ยอม และยื่นข้อเสนอแบบเต็มเพดาน คือ ต้องปล่อยตัวแกนนำทั้ง 7 และทยอยปล่อยผู้ต้องหาออกจากคุกทั่วพื้นที่อีสาน-เหนือรวม 121 คน

และเมื่อข้อต่อรองนั้นต่างฝ่าย ต่างไม่สมประโยชน์ จึงเกิด "ม็อบ 3 หมื่น" เต็มพื้นที่กรุงเทพฯในวันที่ 19 กุมภาพันธ์

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงเกิดดุลพินิจจากกระบวนการ "บนดิน" ด้วยการปล่อยตัวแกนนำแดงในคุกอีสาน-เหนือถึง 88 คน

พร้อม ๆ กับกระบวนการต่อรองจากฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นการปล่อยตัวคราวละ 2 คน และ 3 คน โดยมีชื่อ เจ๋ง ดอกจิก กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น 2 คนสุดท้าย แต่ "ผู้ใหญ่" ในฝ่ายแดงไม่ยอม ยืนยันต้องแลกอิสรภาพ 7 คนกับความสุขสงบของสนามเลือกตั้ง เป็นเดิมพัน

เมื่อเงื่อนไขรัฐธรรมนูญผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนฯ-เมื่อปัญหาเศรษฐกิจไม่เป็นปัจจัยลบ รัฐบาลเหลือปัจจัยเสี่ยงเรื่องเดียว คือ ความสงบทางการเมือง

การเจรจาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกรอบ โดยใช้ "มติ ครม. 21 ธ.ค. 53" ที่ระบุรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมจะไม่ "คัดค้านการประกันตัว" ผู้กระทำความผิดที่ "เบาบาง" และ "ไม่ใช่ตัวการ" จำนวน 114 คน และให้พ่วงท้ายด้วย "ตัวการ 7 คน" เข้าไปด้วย

การเจรจารอบใหม่มีเงื่อนไขยื่นให้แดงไม่ชุมนุมยืดยื้อ-ค้างคืน "ห้ามปิดประเทศ-ปิดราชประสงค์" เป็นเดิมพัน

เพราะฝ่ายรัฐคาดการณ์ว่าการนัดชุมนุมวันที่ 12 มีนาคม 2554 วาระครบรอบ 1 ปีการปิดสี่แยกราชประสงค์ และการนัดชุมนุมกดดัน "ศาล" ทั่วประเทศจะยืดยื้อ-บานปลาย และอาจไม่จบที่ "การเลือกตั้ง"

ขบวนการใต้ดินของฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ "คอป." โดยนายคณิต ณ นคร จึงเร่งดีกรีเจรจาและขีดเส้นตาย มีเป้าหมายบรรทัดสุดท้ายตรงกันคือ "ไปสู้กันในสนามเลือกตั้ง"

ขบวนการเจรจาใต้ดิน มีชื่อ 2 นักการเมืองพัวพัน ทั้ง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ

การหารือทั้งในรอบ-นอกรอบขององค์ประชุมที่ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และคนใกล้ตัวนายกรัฐมนตรี จึงมีทางออก

ขบวนการบนดินจึงเกิดขึ้นใน "ศาล" เพื่อเบิกความเป็นพยานให้ศาลเชื่อว่า ผู้ถูกคุมขังระหว่างการดำเนินคดีทั้ง 7 ไม่เป็นพิษ ไม่เป็นภัย

โดย "คอป." ยืนยันอำนาจ-หน้าที่ 3 ข้อ คือ ตรวจสอบความจริงในเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างเมษายน-พฤษภาคม 2553 เยียวยาทางจิตใจแก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ และวิจัยสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรง และรากเหง้าของปัญหา เพื่อได้บทเรียนแก่ทุกฝ่าย และยับยั้งไม่ให้เหตุการณ์ เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกในอนาคต

ตัวกลาง-คอป.ยืนยันว่า การคุมขังหรือเอาตัวไว้ในอำนาจรัฐนั้นมีจุดประสงค์เพียงเพื่อ ไม่ให้หลบหนี กับไม่ให้ไปทำความยุ่งเหยิงแก่พยานหลักฐานเท่านั้น หากไม่มีเงื่อนไขนี้แล้วก็ชอบด้วยเหตุผลที่จะปล่อยตัวชั่วคราว ทันทีที่ "ณัฐวุฒิ" พ้นคุก เขาจึงประกาศส่งสัญญาณ 3 ข้อ อาทิ 1.มุ่งหวังเพื่อ ให้เกิดการปรองดองและเกิดสันติภาพ ในประเทศ 2.ต่อต้านรัฐประหาร 3.เดินหน้าด้วยการเลือกตั้ง

สอดคล้องกับปฏิกิริยาของนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ที่ตอบรับวาระการไปสู่สนามเลือกตั้ง

"แกนนำ นปช.ก็ต้องการจะทำงานการเมือง ต่อสู้การเมือง ก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ ก็ไปปรึกษากันให้ดีเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง มันก็จบ" นายสุเทพกล่าว

หลังการปล่อยตัวแกนนำแดง แกนนำฝ่ายใต้ดินของพรรคประชาธิปัตย์ยังกังขาและตั้งข้อสังเกตว่า "เจ้านายใหญ่ของฝ่ายแดง เขาได้ประโยชน์ และเขาหวังเต็มที่หากเพื่อไทยไปสู่การเลือกตั้ง เขาจะชนะ"

ขณะที่แกนนำฝ่ายเพื่อไทยยังอยู่ในระหว่างการเคลียร์บัญชี "ค่าใช้จ่าย-ต้นทุน" ในการเคลื่อนไหวใต้ดิน และเคลียร์ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนสำหรับบรรจุแกนนำแดงลงบัญชีเลือกตั้ง

ตัวเลข 4,000 ล้านสำหรับเดิมพันให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จึงถูกปล่อยกระหึ่มไปทั่วทั้งสภาผู้แทนราษฎร

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
...................

บี้ยึดทรัพย์กัดดาฟี-ตั้งข้อหาอาชญากร

เอพีราย งานว่า นายโมอัมมาร์ กัดดาฟี ออกโทรทัศน์อีกครั้ง แสดงตัวยืนปราศรัยปลุกระดมกลุ่มผู้สนับสนุนอยู่บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง กลางกรุงตริโปลี ประเทศลิเบีย ซึ่งมีรายงานในวันเดียวกันนี้ว่า เกิดการสังหารผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เมื่อกลุ่มนักรบที่ภักดีต่อนายกัดดาฟีเปิดฉากยิงใส่ผู้ร่วมงานศพผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต ท่ามกลางเสียงหวีดร้องในมัสยิดใจกลางกรุง

ขณะที่ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เตรียมนำกรณีผู้นำลิเบียและครอบครัวขึ้นพิจารณาคดี ในข้อกล่าวหากระทำการรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยนายโมฮัมเหม็ด ชาลกัม ทูตลิเบียประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า อาจจะใช้เวลาดูรายละเอียดกันไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อหาทางหยุดความรุนแรงในลิเบียให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งอาจรวมไปถึงการตั้งข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติแก่กัดดาฟีและครอบครัว

วันเดียวกัน เอเอฟพีรายงานว่า นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงการณ์สนับสนุนยูเอ็นและเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับกัดดาฟี และลูกชาย 4 คน สหรัฐได้สั่งปิดสถานทูตในกรุงตริโปลี และกล่าวว่า ประชาชนลิเบียเลิกเชื่อมั่นในตัวผู้นำคนนี้แล้ว และเมื่อมีการอนุมัติให้คว่ำบาตรจากยูเอ็นทางสหรัฐเตรียมเสนอการยึดทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวกัดดาฟี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธนาคารต่างชาติ ปัจจุบันโอบามาได้สั่งให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของบัญชีที่เกี่ยวข้องกับลิเบียในธนาคารสหรัฐทั้งหมดไว้แล้ว และจะสั่งระงับทันทีถ้ามีการโอนย้ายเงินจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เอพีรายงานว่า นายเซฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี บุตรชายกัดดาฟี ออกรายการโทรทัศน์ของตุรกี ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษเมื่อคืนวันศุกร์ว่า ขณะนี้ตนและครอบครัวมีแผนการเดียวเท่านั้นคือจะอยู่และตายในลิเบีย

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปฏิวัติอียิปต์ = มวลชนลุกฮือ + รัฐประหารละมุน

โดย เกษียร เตชะพีระ

ฮอสนี มูบารัค, บารัค โอบามา และวลาดิมีร์ ปูติน กำลังประชุมกันอยู่ แล้วจู่ๆ พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงปรากฏพระองค์ขึ้นและตรัสว่า "ข้ามาบอกพวกเจ้าว่าโลกจะถึงกาลอวสานในสองวันข้างหน้านี้ จงไปบอกประชาชนของพวกเจ้าเสีย" ผู้นำแต่ละคนจึงกลับไปเมืองหลวงของตนและเตรียมปราศรัยทางทีวี

ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โอบามากล่าวว่า "เพื่อนชาวอเมริกันทั้งหลาย ผมมีข่าวดีและข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบ ข่าวดีคือผมยืนยันได้ว่าพระเจ้ามีจริง ส่วนข่าวร้ายก็คือพระองค์ทรงบอกผมว่าโลกจะดับภายในสองวัน"

ณ กรุงมอสโก ปูตินกล่าวว่า "ประชาชนชาวรัสเซีย ผมเสียใจที่ต้องแจ้งข่าวร้ายสองเรื่องให้ทราบ ข่าวแรก คือพระเจ้ามีจริง ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างที่ประเทศเราเชื่อถือตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่แล้วล้วนเป็นเท็จ ข่าวที่สองคือโลกจะดับภายในสองวัน"

ณ กรุงไคโร มูบารัคกล่าวว่า "โอ...ชาวอียิปต์ทั้งหลาย ข้าพเจ้ามาพบท่านวันนี้พร้อมข่าวดียิ่งสองประการ ข่าวแรก พระผู้เป็นเจ้าและตัวข้าพเจ้าเพิ่งจะประชุมสุดยอดครั้งสำคัญร่วมกันมา

และข่าวที่สอง พระองค์ทรงบอกว่าข้าพเจ้าจะเป็นประธานาธิบดีของพวกท่านไปชั่วกัลปาวสาน"

ในที่สุด "กัลปาวสาน" ตามโจ๊กแอนตี้-มูบารัคข้างต้นก็มาถึง 18 วันหลังประชาชนอียิปต์เรือนล้านลุกฮือ ต่อต้านเขาอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศจนล้มตายไป 365 คน และบาดเจ็บอีก 5,500 คน ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมนี้เป็นต้นมา เมื่อมูบารัคประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีและสละอำนาจให้แก่สภาสูงของกองทัพ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ จอมพลมูฮัมหมัด ฮุสเซ็น ทันทาวี วัย 76 ปี ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้

ทว่า กองทัพอียิปต์ที่ช่วงชิงโอกาสเข้าควบขี่การปฏิวัติของมวลชนและก่อรัฐประหารละมุนโค่นมูบารัคลงก็หาได้กลมเกลียวเป็นปึกแผ่นไม่ หากปริแยกแตกร้าวเป็นก๊กเป็นเหล่าตามเส้นสายการเมืองของตน ที่สำคัญได้แก่ : -

1) ในกองทัพอียิปต์ มีอยู่ 2 เหล่าซึ่งใกล้ชิดเป็นที่โปรดปรานของศูนย์อำนาจเก่าเป็นพิเศษ ได้แก่ กองทหารองครักษ์ประธานาธิบดีและกองทัพอากาศ - ในฐานที่มูบารัคมีภูมิหลังเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศมาก่อนขึ้นเป็นประธานาธิบดี สองเหล่านี้จึงยืนหยัดอยู่กับมูบารัคแม้ในยามทหารทั่วไปเอาใจออกห่างแล้วก็ตาม

ดังแสดงออกโดยปรากฏการณ์กลับตาลปัตรกันระหว่างการที่ผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ จอมพลมูฮัมหมัด ทันทาวี เดินเข้าไปกลางที่ชุมนุมเพื่อแสดงการสนับสนุนผู้ประท้วงเมื่อวันที่ 30 มกราคมนี้ VS. การที่มูบารัคแต่งตั้งอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ อาเหม็ด ชาฟิค เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พลางส่งเครื่องบินไอพ่นหลายลำไปบินต่ำ ขู่ที่ชุมนุม ในทำนองเดียวกัน กองทหารองครักษ์ประธานาธิบดีนี่แหละที่เข้าปกป้องอาคารวิทยุ/โทรทัศน์ของรัฐบาล และต่อกรกับผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มกราคมนี้

2) หน่วยข่าวกรองทหาร (Intelligence Services หรือ al-mukhabarat) ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการลับนอกประเทศ, ควบคุมตัวและสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย/เป็นภัยความมั่นคง (รวมทั้งทรมานและลักพาตัวชาวต่างชาติตามที่ซีไอเอขอ) เนื่องจากหน่วยข่าวกรองทหารพุ่งเป้าต่อศัตรูภายนอกเป็นหลัก ไม่ได้คุมขังทรมานชาวอียิปต์ฝ่ายค้านในประเทศมากนัก

จึงไม่เป็นที่เคียดแค้นชิงชังของประชาชนเท่า หน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงของรัฐ สังกัดมหาดไทย (mabahith)

หน่วยข่าวกรองทหารมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ท่ามกลางสถานการณ์พลิกผันทางการเมืองในฐานะ "สะวิงโหวต" - คือเทเสียงไปข้างไหน กองทัพโดยรวมก็เอียงไปข้างนั้นด้วย ท่าทีของหน่วยนี้คือด้านหนึ่งก็เกลียดชัง กามาล มูบารัค (ลูกชายประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค) กับกลุ่มทุนเสรีนิยมใหม่เส้นใหญ่ของเขา แต่อีกด้านหนึ่งก็หมกมุ่นฝังหัวกับเรื่องการเมืองต้องนิ่ง และแอบได้เสียอยู่กินกับซีไอเอและกองทัพอเมริกันมานมนาน

อำนาจของกองทัพและโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหน่วยข่าวกรองทหารที่ขึ้นครอบงำวงการเมืองสะท้อนออก ในการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา ดังปรากฏว่ากามาล มูบารัค กับพวกพ้องนักธุรกิจถูกโละทิ้งยกแผง ขณะที่โอมาร์ สุไลมาน อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทหารได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี ทำหน้าที่รักษาการแทนประธานาธิบดีมูบารัคในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขภายในกองทัพอียิปต์จะสุกงอมพอก่อให้เกิดการปฏิวัติ/เปลี่ยนระบอบผ่านปฏิบัติการ [มวลชนลุกฮือ + รัฐประหารละมุน] ก็ต่อเมื่อฝ่ายแอนตี้มูบารัคในกองทัพสามารถ : -

1) เสริมสร้างฐานะของตนได้มั่นคง และ

2) ให้ความมั่นใจแก่หน่วยข่าวกรองทหารและกองทัพอากาศในการเปิดรับขบวนการมวลชนที่เกิดขึ้นใหม่ และพรรคฝ่ายต่างๆ ที่เกาะกลุ่มล้อมรอบแกนนำฝ่ายค้าน นายโมฮาเหม็ด เอลบาราได นักนิติศาสตร์ นักการทูตและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency - IAEA ภายใต้สหประชาชาติ) ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี ค.ศ.2005 และเข้าร่วมประท้วงต่อต้านมูบารัคครั้งนี้

ซึ่งอาจถือเป็นความหมายโดยนัยของสิ่งที่ประธานาธิบดีโอบามาแห่งสหรัฐอเมริกาเรียกว่า "การเปลี่ยนผ่าน อย่างมีระเบียบเรียบร้อย" ที่เขาอยากเห็นในอียิปต์นั่นเอง

ดูเหมือนเงื่อนไขดังกล่าวจะมาลงตัวพร้อมเพรียงเมื่อวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ และแล้วกองทัพอียิปต์ก็เอื้อมไปจับมือประชาชนแล้วโค่นมูบารัคลง!

แนวโน้มการเมืองอียิปต์หลังโค่นมูบารัคจะเป็นเช่นใด? เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ สภาสูงของกองทัพ ได้ออกประกาศฉบับที่ 5 สั่งยุบสภาผู้แทนราษฎรและสภาสูงซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาอย่างฉ้อฉลอื้อฉาวเมื่อปลายปีก่อน, ระงับใช้รัฐธรรมนูญ, ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญเพื่อผ่านการลงประชามติ, และสัญญาจะจัดเลือกตั้งรัฐสภาและประธานาธิบดีใหม่ใน 6 เดือน, ระหว่างนี้คณะรัฐมนตรีที่มูบารัคตั้งใหม่ล่าสุดจะรักษาการไปพลางก่อน, พร้อมกันนั้น สภาสูงของกองทัพก็ยืนยันพันธกรณีตามสนธิสัญญาและข้อตกลงต่างๆ ที่ อียิปต์ได้ทำไว้กับนานาประเทศรวมทั้งอิสราเอล

ข้อน่าสังเกตคือประกาศของสภาสูงกองทัพอียิปต์ข้างต้นมีรายละเอียดเนื้อหาพ้องกับข้อเรียกร้องในแถลงการณ์ของแกนนำการชุมนุมต่อต้านมูบารัคที่รวมตัวกันเฉพาะกิจและเรียกตัวเองว่ากลุ่ม "25 มกราคม" หลายประเด็น ดังปรากฏรายละเอียดตามแถลงการณ์ต่อไปนี้ (ดูต้นฉบับภาษาอาหรับที่ www.assawsana.com/portal/ newsshow.aspx?id=44605) : -

-ยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินอันเป็นเหตุให้ระงับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญทันที

-ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดทันที

-ระงับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและบทแก้ไขเพิ่มเติมต่างๆ

-ยุบรัฐสภาสหพันธ์และสภาระดับจังหวัดทั้งหลาย

-ก่อตั้งสภาปกครองรวมหมู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน

-จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลประกอบด้วยกลุ่มชาตินิยมอิสระเพื่อดูแลจัดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม

-จัดตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับใหม่ซึ่งคล้ายคลึงรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ฉบับเก่าก่อน แล้วให้ผ่านการลงประชามติ

-ขจัดข้อจำกัดหวงห้ามทั้งปวงเกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเสรีบนพื้นฐานที่เป็นพรรคพลเรือน, ยึดหลักประชาธิปไตยและสันติภาพ

-ยึดหลักเสรีภาพในการพิมพ์

-ยึดหลักเสรีภาพในการก่อตั้งสหภาพแรงงานและองค์การเอ็นจีโอโดยไม่ต้องขออนุญาตจากรัฐบาล

-ยุบศาลทหารทั้งหมดและยกเลิกคำตัดสินของศาลทหารในคดีที่ผู้ต้องหาเป็นพลเรือน เป็นต้น

เหล่านี้ทำให้ศาสตราจารย์ฮวน โคล สรุปว่าขบวนการมวลชนที่ลุกฮือโค่นมูบารัคครั้งนี้มีแก่นแท้เป็นขบวนการแรงงานที่ยึดถือ "ชาติ" (watan) และข้อเรียกร้องทางการเมืองเชิงโลกวิสัยอื่นๆ เป็นที่ตั้ง, ไม่ใช่ขบวนการเคร่งหลักอิสลามมูลฐานที่ยึดถือ "ชุมชนศาสนา" (ummah) และข้อเรียกร้องตามหลักอิสลามเป็นสรณะดังฝ่ายขวาอเมริกันและอิสราเอลบิดเบือน

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าขบวนการมวลชนอียิปต์จะกำหนดเกมการเมืองหลังโค่นมูบารัคได้ดังใจนึก แนวโน้มน่าวิตกในสายตาผู้ช่วยศาสตราจารย์ซาเมอร์ เชฮาตา คือมันอาจนำมาซึ่งระบอบมูบารัคที่ปราศจากตัวมูบารัคเอง

แม้จะไม่กดขี่ปราบปรามหนักเท่าสองทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็หาใช่ประชาธิปไตยเต็มใบไม่

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สถานการณ์ลิเบีย ผู้ชุมนุมถูกกราดยิงในเมือง Tripoli

กลุ่มผู้ต่อต้านประธานาธิบดีกัดดาฟียังชุมนุมกันอยู่ที่เมืองหลวง Tripoli และมีรายงานว่าขณะที่ผู้ชุมนุมทำละหมาดช่วงเที่ยง กลับถูกกราดยิงโดยทหารที่ยังจงรักภักดีต่อกัดดาฟี จนมีผู้เสียชีวิต 6 ราย
เขตที่มีรายงานการยิงในกรุง Tripoli ได้แก่ Fashloum, Ashour, Jumhouria และ Souq Al ตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมยังไม่ชัดเจน แต่ตัวแทนจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนในฝรั่งเศสประเมินว่าอาจสูงถึง 2,000 ราย
ก่อนหน้านี้ กัดดาฟีได้แถลงการณ์ทางโทรทัศน์อีกครั้ง กล่าวโทษกลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า ที่อยู่เบื้องหลังการลุกฮือครั้งนี้

ส่วนฟากตะวันออกของประเทศที่หลุดจากอำนาจควบคุมของรัฐบาลกัดดาฟีได้แล้ว ประชาชนเรือนหมื่นได้ออกมาชุมนุมกันที่เมือง Benghazi และเมืองอื่นๆ เพื่อส่งกำลังใจให้ผู้ชุมนุมที่ Tripoli ส่วนขุนทหารที่อยู่ในภาคตะวันออก กล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera ว่าขุนทหารภาคตะวันตกเริ่มถอนตัวออกจากฝ่ายกัดดาฟีแล้ว อย่างไรก็ตาม กองกำลังพิเศษของกัดดาฟี Khamis Brigade ยังจงรักภักดี และมีอาวุธหนักครบมือไล่ฆ่าฝ่ายตรงข้ามอยู่บ้างในภาคตะวันออกของประเทศ

ฝ่ายผู้ชุมนุมในภาคตะวันออกสามารถยึดสนามบิน (เพื่อป้องกันการโจมตีจากเครื่องบิน) และแท่นขุดเจาะน้ำมันอีกหลายแห่ง และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลกิจการในเมืองที่ปราศจากรัฐบาลกลางแล้ว



ภาพแสดงพื้นที่ครอบครองของฝ่ายต่างๆ ในลิเบีย (ภาพจาก BBC)

สำหรับความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติได้ประชุมกันที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อคุยถึงปัญหาในลิเบีย ส่วนโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติให้ข้อมูลว่าลิเบียจะเกิดวิกฤตอาหารในเร็วๆ นี้ เพราะไม่สามารถนำเข้าอาหารไปยังลิเบียได้ ตอนนี้ชาติต่างๆ ทั่วโลกเริ่มขนคนของตัวเองออกจากลิเบียแล้ว

ที่มา – Al Jazeera, BBC
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////