--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"เขมร"ขานรับคำขอตั้งผู้สังเกตการณ์ "ฮอ นัมฮง"เตรียมหอบหลักฐานยื่นศาลโลก ตีความคำพิพากษาเขาพระวิหาร

ข่าวซินหัวของจีนรายงาน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า นายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ในช่วงเช้าก่อนออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ เพื่อร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงจาการ์ตา ว่ากัมพูชายินดีที่ไทยมีความตั้งใจที่จะขอให้อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดนพื้นที่พิพาทกับกัมพูชา

"ตอนนี้ไทยยอมรับที่จะให้มีผู้สังเกตการณ์ เป็นเรื่องที่ดีที่สุด และจะเป็นก้าวที่ดีในการพบปะกันที่กรุงจาการ์ตา" นายนัมฮงกล่าว และว่า "นี่เป็นผลของการร้องเรียนของเราต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เพราะเราได้ขอให้ยูเอ็นเอสซีส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่พิพาทแนวชายแดนเพื่อเป็นหลักประกันในการหยุดยิงและเพื่อสังเกตการณ์ว่าใครเป็นผู้รุกรานกันแน่ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกัน"

ซินหัวระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของนายนัมฮง มีขึ้นหลังจากนายกษิต กล่าวว่า ไทยจะขอให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์มาประจำอยู่กับทหารไทยตามแนวชายแดนพื้นที่พิพาท

นายเทอกู ไฟซาไซอา โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศชาติสมาชิกอาเซียนจะมาประชุมหารือกันอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงจาการ์ตา เนื่องจากอาเซียนอยู่ภายใต้อินโดนีเซียในฐานะประธาน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย (สุศีโล บัมบัง ยุทโธโยโน) ขอให้หาแนวทางริเริ่มแก้ปัญหาพิพาทของชาติสมาชิกอาเซียน

สำนักข่าวซินหัวยังระบุอีกว่า ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ กัมพูชาจะขอให้ไทยลงนามในข้อตกลงหยุดยิงถาวรโดยมีประธานอาเซียนหรือผู้แทนเป็นพยาน และยังจะขอให้ผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้าไปยังพื้นที่พิพาทเพื่อรับรองว่าจะมีการหยุดยิงถาวร

"กัมพูชามีความมั่นใจในอาเซียนมากในการเข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหาพิพาทนี้" นายนัมฮงกล่าว

นายนัมฮงให้สัมภาษณ์อีกว่า หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเสร็จสิ้นลง รัฐบาลกัมพูชาจะเตรียมหลักฐานเพื่อยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือไอซีเจ (Internatinal Court of Justice-ICJ) ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้ไอซีเจพิจารณาคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2502 อีกครั้งหนึ่ง และขอให้รัฐบาลไทยเคารพในคำพิพากษาที่ระบุว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ต หัวหน้าหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ลูกชายสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางไปร่วมสมทบกับคณะของนายฮอ นัมฮง ที่กรุงจาการ์ตา

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างบทวิเคราะห์ระบุว่า สมเด็จฯฮุน เซน แสดงความชื่นชม พล.ท.มาเน็ตที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญกำหนดยุทธศาสตร์และเจรจากับฝ่ายไทยในเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งสมเด็จฯฮุน เซน กล่าวว่า "มาเน็ตเป็นคนมีชื่อเสียงไปแล้วในไทย" หลังจากสื่อมวลชนไทยเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับ พล.ท.มาเน็ตที่เข้าร่วมวางแผนต่อสู้กับกองกำลังฝ่ายไทยยังมีกระแสข่าวลือว่าได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะกันแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนที่ พล.ท.มาเน็ตจะกลับมาปรากฏตัวบริเวณชายแดนอีกครั้ง

ในบทวิเคราะห์รายงานอีกว่า การก้าวขึ้นมามีบทบาทอำนาจอย่างรวดเร็วของ พล.ท.ฮุน มาเน็ต เป็นแผนการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของสมเด็จฯฮุน เซน ทั้งนี้ นายชายา ฮาง ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันประชาธิปไตยกัมพูชา เปรียบเทียบกรณีของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตว่ามีความคล้ายคลึงกับกรณีของนายคิม จอง อุน บุตรชายคนเล็กของนายคิม จอง อิล ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ที่ถูกวางตัวเป็นผู้สืบทอดอำนาจผู้นำเกาหลีเหนือคนใหม่ต่อจากบิดา ซึ่งได้รับการโปรโมตสู่ตำแหน่งระดับสูงภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลูกชายผู้นำลิเบียเตือนเกิดสงครามกลางเมือง

เซอิฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี ลูกชายของพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย แถลงทางโทรทัศน์ของทางการเช้ามืดวันนี้ โดยเตือนว่าการประท้วงต่อต้านการปกครองของบิดาอาจทำให้ลิเบียตก

อยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองและทำให้ประเทศแตกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย แต่เขาก็ยืนยันว่า บิดายังอยู่ในประเทศและได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ และพวกเราจะสู้จนถึงนาทีสุดท้าย กระสุนนัด

สุดท้าย พร้อมกับยืนยันว่า ลิเบียไม่เหมือนตูนิเซียและอียิปต์ ที่การประท้วงสามารถโค่นล้มผู้นำได้สำเร็จ

และจากสถานการณ์ประท้วงที่เริ่มลุกลามจากเมืองเบนกาซี ทางภาคตะวันออกถึงกรุงทริโปลีแล้ว นายเซอิฟ ให้สัญญาว่า จะดำเนินการปฏิรูปในประเทศภายในไม่กี่วันข้างหน้า และสภาประชาชน

จะประชุมในวันนี้เพื่อหารือเรื่องแผนการปฏิรูป ซึ่งเขาบอกว่าพร้อมจะยกเลิกข้อบังคับบางอย่าง และเริ่มหารือเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นๆ รวมถึงเรื่อง สื่อและบทลงโทษ

แต่มีรายงานว่า หลังคำแถลงของลูกชายกัดดาฟี ปรากฏว่า มีเสียงปืนดังสนั่นมากขึ้นในกรุงทริโปลี ขณะเดียวกันก็มีทั้งเสียงตะโกนประท้วงและเสียงบีบแตรรถดัง รวมถึงมีการยิงแก๊สน้ำตาสลายผู้ประท้วง ขณะที่กลุ่มฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ประเมินว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากการใช้กำลังสลายผู้ประท้วงในเมืองเบนกาซีและอีกหลายเมืองทางภาคตะวันออกอย่างหนักตลอดหลายวันจนถึงวันเสาร์ที่ผ่านมามีมากถึง 174 คนแล้ว แต่แพทย์ในเมืองเบนกาซี เมืองใหญ่อันดับ 2 ซึ่งเป็นฐานสำคัญของกลุ่มต่อต้านกัดดาฟี เปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////

มองการณ์ไกล

ปรากฏการณ์ “แดงมากันพรึ่บ” ในวันอาทิตย์ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา...ชนิดที่ “จำนวน” นั้นแตกต่างราว “ฟ้ากับเหว” เมื่อเทียบกับ “ม็อบเหลือง” ที่มีทั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งทำได้แค่ “ม็อบสีสัน-รำคาญตา” เท่านั้น

แต่เป็นการสะท้อนชัด “พลังแดง” นั้น “ไม่ธรรมดา” และ “ประมาทไม่ได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่จะ ถึงนี้ ซึ่งจะครบรอบปีที่โดน “กระชับวงล้อมขอคืนพื้นที่” ซึ่งหาก “รัฐบาล” ไม่สามารถเตรียมการรับมือและแก้เกมให้ดีๆ มีหวัง “เหนื่อยหนัก” อีกแน่ๆ และบทสรุปอาจไม่เหมือนเดิม...ก็ได้

จึงไม่แปลกที่จะพบความเคลื่อนไหวของ “ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ต่างตีฆ้องร้าวป่าว... เตรียมรับมือกับศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ ถึงขนาด ลือกันหึ่งว่า ไม่สิ้นเดือนก.พ.นี้ก็อาจเป็นต้น เดือนเม.ย. ที่จะมีการยุบสภา เปิดทางให้มีการ เลือกตั้งใหม่ เพื่อเป็นการลดกระแส “พลังแดง” ในการจัดงานรำลึกครบรอบปี

โดยมีการปล่อยข่าวออกมาว่า ผลการ ทำโพลของพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในระดับที่น่า พอใจ เชื่อกันว่า คะแนนเสียงจะมีมากพอใน การชนะเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับ 1 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไป รวมถึงการเมาธ์กระจาย ว่า “โหร” ทำนายทายทักว่า “ดวงพรรคประชาธิปัตย์” กำลังดีวันดีคืน...จึงควรรีบชิงความ ได้เปรียบนี้เร็วๆ

อย่าลืมว่า “ที่มา” ของ “รัฐบาลเทพประทาน” นี้...ถูกออกแบบเอาไว้แล้ว และมี “แรงผลัก” จากหลายๆ ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จนทำให้ “ศัตรู” ก็มองเห็นว่า มีกำแพงหนาพิงหลังขนาดไหน???

ดังนั้น “ความกังวล” ที่หลายฝ่ายเป็น ห่วงกันในเรื่องจะพ่ายแพ้กับ “พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นคู่แข่งนั้น...น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่...เพราะแว่วมาว่า ถ้าผลเลือกตั้งเกิดพลิกผันจริงๆ “ยุบพรรครอบ 3” จะกลับมาตามหลอกหลอน แน่ๆ และ “ข้อกังวลนี้” ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ “ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย” ก็ต้องคิดให้หนักคิดให้ถี่ถ้วน ว่าจะคุ้มเสี่ยงที่จะเผชิญชะตากรรม... แบบอยู่ไปก็ไม่มีอนาคต...อย่างนั้นหรือ???

ที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามคือ “ปรากฏการณ์ปฏิวัติด้วยประชาชน” ที่เกิดขึ้นใน หลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะที่ “อียิปต์” และที่กำลังตามมาคือ “เยเมน” นั้น...กำลังกลายเป็น “ความหวัง” ให้กับ “มวลชนแดง” ที่หวังว่า “สักวันหนึ่ง” จะเป็นวันของเขาบ้าง ซึ่งเรื่องแบบนี้ “ถือว่า...ประมาทไม่ได้”

เพราะ “อารมณ์-ความรู้สึก” ของ “มวลชน” นั้น...มักทำให้ “ผู้มีอำนาจ” (ทั่วโลก) มองข้าม และไม่ให้ความสำคัญ...จนท้ายสุดก็ “แพ้ทาง-แพ้ภัย” ในที่สุดอยากย้ำว่า “กลุ่มคนที่เสียประโยชน์” จากการที่รัฐบาลเทพประทานมาบริหารประเทศนั้น...มีอยู่มาก กระจายในทุกวงการ เพียงแต่ “คนเหล่านั้น”...ในเวลานี้ “ยังไม่กล้าแสดงออก” ในขณะที่ “กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์” จากรัฐบาลนี้...มีน้อย และกระจุกตัว เฉพาะคนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว “แตกต่าง” กันมากๆ

จึงเป็นเรื่องที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ต้องตระหนักและคิดทางเลือกไว้ให้มากๆ แม้จะมีทางเลือกน้อยก็ ตาม แต่มี “ทางเลือกน้อย” ก็ยังดีกว่า “ไม่มีทางเลือก” เลย...ไม่ใช่หรือ???

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

กรุงเทพฯ-ไคโร

อย่าให้ไคโร มาเติบโตในกรุงเทพฯ การปฏิวัติขับไล่เผด็จการที่มั่งคั่ง..ของประชาชนคนอียิปต์นั้น.. ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว.. เช่นเดียวกันกับตูนีเซียเพราะ...เป็นปฏิกิริยาโดยตรงจากประชาชน..

ไม่ต่างกับการโค่นล้มของเผด็จการ..ถนอมประภาส ของประเทศไทยในอดีต..ที่เริ่มต้นมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์..จาก นั้นจึงส่งออกไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ และขึ้นบนลงล่างไปสู่เกือบจะทุกชนชั้น

38 ปีมาแล้ว..ที่ประแทศไทย สว่างไสวขึ้นมากับระบอบประชาธิปไตย กลายเป็นชาติผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง..แต่ไม่ใช่ในวันนี้มีความแตกต่างกันมากมายระหว่าง..14 ตุลาคม 16 กับ 19 พฤษภาคม 53 ในความคล้ายมีความต่าง..นักการเมืองจากพรรค การเมืองบนเวทีแห่งการต่อสู้ของคนเสื้อแดงนั้น..ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่สับสน..และสร้างความไม่ แน่ใจให้กับชาวมหาวิทยาลัย

หัวขบวนที่เป็นผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมือง..นำมวลชนเดินมา โค่นล้มรัฐบาลของพรรคการเมืองอีก พรรคหนึ่ง..ทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนไม่แข็งแกร่ง

และบนความสับสนอ่อนแอเมื่อรัฐบาลใช้ความอำมหิตเข้าดำเนิน การปราบปราม.. ความกลัวจึงเอาชนะ ความบ้า..มวลชนเสื้อแดงจึงต้องพบกับความปราชัยเป็นครั้งที่สอง

มวลชนจากการจัดตั้ง..ทำให้ เกิดความอ่อนแอในการเผชิญหน้า.. ทว่า..มวลชนที่เป็นอิสระทางความคิด และไร้การนำจากพรรคการเมือง.. มิได้ปราชัยไปด้วย..เขาทั้งหลาย.. จำลองการเผชิญหน้าขึ้นมาใหม่ปรับปรุงแก้ไขจนเหมาะกับสถานภาพแห่งการต่อสู้ที่เป็นรองและเสียเปรียบ

ไม่จำกัดด้วยเวลาไม่ปรารถนา การส่งกำลังบำรุง..ไม่ตั้งค่ายและว่า นอนสอนง่าย..ไม่ต่างอะไรกับปลายเข็มทิศที่ถึงจะแกว่งไกวเปลี่ยน ส่ายไปมาแต่ในที่สุดมันจะอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม..

เข็มทิศนำการเดินทางไปสู่ จุดหมาย..การเติบใหญ่ของมวลชน เสื้อแดงก็เช่นกัน..เขาเหล่านั้นกว่าครึ่ง..ไม่ได้สู้เพื่อนำทักษิณกลับมา.. แต่เขาสู้เพราะแผ่นดินของเขาในวันนี้ และประเทศของลูกหลานในวันหน้าผู้ครองอำนาจที่ฉลาด ประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาล..ทำอย่างที่ท่านทำ.. ไคโรจะมาเติบโตในกรุงเทพฯ

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทักษิณ อิน บรูไน “ผมยังต้องการกลับบ้าน”

เช้าวันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คณะกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ บางกอกทูเดย์ พร้อมกันที่สุวรรณภูมิ เพื่อบินข้ามฟ้าไปประเทศบรูไน ตามคำเชิญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ซึ่งแรกๆที่ได้รับคำเชิญให้ไปสัมภาษณ์พิเศษทำข่าว ก็ยังไม่แน่ใจว่า เป็น ดูไบ หรือ บรูไน กันแน่ แต่เมื่อได้รับคำยืนยันว่าเป็น บรูไน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำเชิญไปบรูไนในช่วงนั้นพอดี ทาง”บางกอกทูเดย์”จึงตัดสินใจไปตามคำเชิญ
การเดินทางไปในครั้งนี้ ในแง่ของมุมมองในฐานะสื่อ ที่ต้องการจะหาคำตอบมารายข่าวให้ประชาชนได้รับรู้ว่า กับสภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ประเทศไทยประสบอยู่ขณะนี้

จะได้รู้ว่า....พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี คิดเห็นหรือมีมุมมองอย่างไรบ้าง??
พร้อมกับมีคำถามแรกในใจ ที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังบินไปบรูไน ก็คือ

ในเมื่อกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในยุคที่มีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ เป็นที่รู้กันทั่ว ว่าได้มีการปิดล้อม พ.ต.ท.ทักษิณ ไปยังประเทศต่างๆมากมาย แล้วทำไม พ.ต.ท.ทักษิณจึงยังสามารถไปไหนมาไหนได้ รวมทั้งมาเยือนบรูไนได้?
คำตอบที่ได้รับในภายหลังที่พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วก็คือ ตั้งแต่ครั้งที่ไปเยือนรัสเซียแล้ว ตอนนั้นก็ได้มีหนังสือจากกระทรวงต่างประเทศระบุว่า ขอความร่วมมือในการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้ด้วย เพราะเรื่องนี้มีอยู่ในหมายของตำรวจสากล หรือ Inter Pol. แล้ว???

ทางประเทศรัสเซีย ก็ให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ กลับพบว่าทางตำรวจสากลบอกว่าไม่มีเรื่องหมายจับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ในข้อหาคนร้ายข้ามแดนแต่อย่างใด!!

ดังนั้นไม่เพียงแค่รัสเซียเท่านั้น แต่หลายๆประเทศก็งงไปตามๆกันว่า กระทรวงต่างประเทศของไทยออกหนังสือในลักษณะดังกล่าวมาได้อย่างไร???

ที่บรูไน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคำเชิญจากสายราชวงศ์บรูไน จึงได้รับการจัดที่พำนักให้เป็นอย่างดี ทำให้คณะของบางกอก ทูเดย์ ซึ่งเดินทางไปเพื่อสัมภาษณ์จึงถูกจัดให้เข้าไปพบและร่วมทานอาหารในเขตเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการสัมภาษณ์

เมื่อไปถึงบรูไน ผู้เชี่ยวชาญในคณะยืนยันว่าสภาพของบ้านเมืองยังคงไม่ได้แตกต่างจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาสักเท่าไหร่นัก บ้านเมืองสงบเรียบร้อย สะอาด มีต้นไม้ร่มรื่น ประชากรมีประมาณ 400,000 คน ผู้คนมีระเบียบวินัยดี มีฐานะร่ำรวยเพราะการค้าน้ำมัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าประเทศไทยเองก็มีน้ำมันบนดิน คือการเกษตรกรรม หากรัฐบาลค้าขายเป็น พัฒนาประเทศเป็น คนไทยก็คงจะมีฐานะที่ดีกันได้เช่นกัน

และคงไม่ต้องสั่งซื้อน้ำมันปาล์มให้จ้าละหวั่น เพราะขาดแคลนกันแบบวินาศสันตะโร อย่างเช่นเมืองไทยในขณะนี้

ปัญหาก็คือประเทศไทยจะมีอนาคตที่ดี และพ้นจากปลักแห่งวังวนปัญหาการเมืองในขณะนี้ได้อย่างไร??
ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามแรกในการสนทนา ด้วยการถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีว่า รู้สึกอย่างไรที่เห็นบ้านเมืองยังยุ่งวุ่นวายไม่จบเสียทีอย่างเช่นทุกวันนี้ และคิดจะกลับบ้านไปเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาบ้างหรือไม่

อดีตนายกรัฐมนตรียอมรับว่าเป็นห่วงเป็นใยสภาพปัญหาของเมืองไทยในขณะนี้เป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าต้องการที่จะกลับไปเมืองไทยเพื่อช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่ก็ยอมรับความจริงว่ายังคงถูกกีดกันไม่ให้กลับไป ก็เลยช่วยอะไรไม่ได้มาก
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่าจะไม่ให้เป็นห่วงบ้านเมืองได้อย่างไร เพราะเวลานี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก่อหนี้เอาไว้สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาทแล้ว

(หนี้สาธารณะต้นปีงบประมาณ 2554 มีจำนวน 4.166 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 41.36% ของ GDP ที่สำคัญเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2.904 ล้านล้านบาท)

ซึ่งสูงกว่าหนี้ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 25 คนของไทยเคยก่อหนี้เอาไว้!!
แถมงบประมาณปี 2554 ที่กำหนดวงเงินงบประมาณไว้ที่ 2.07 ล้านล้านบาท ก็เป็นงบประมาณขาดดุล ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงทั้งสิ้น เพราะงบกับหนี้แทบจะเป็นตัวเลขเดียวกันแบบนี้ ลูกหลานไทยจะต้องใช้หนี้กันอีกกี่ปีกี่ชาติ
พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า อยากกลับบ้านแน่นอน อยากจะมาทำอะไรให้กับประเทศไทย แต่ไม่รู้ว่าจะได้กลับหรือไม่หากการเมืองยังเป็นเช่นนี้ หากยังมีความคิดที่จะทำลายการกันทางการเมืองแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะยอมให้กลับไปหรือไม่

“ก็เรื่อยๆสบายๆ แต่ยืนยันว่าอยากกลับมาแน่นอน คือจริงๆแล้วก็เริ่มปรับตัวได้แล้วกับการที่ต้องอยู่ในต่างประเทศ ชีวิตจึงไม่ได้ลำบากอะไร เพราะยังไปไหนมาไหนได้ทั่ว แม้ว่าจะยังไม่สามารถกลับประเทศได้ก็ตาม

ผิดกับกลุ่มคนที่ต้องการทำลายล้างทางการเมือง ที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ ต้องอยู่ได้แค่ที่เดียว ในขณะที่ผมจะไปประเทศไหนๆก็ได้ คิดแล้วก็ขำดี”

สำหรับบรรยากาศในช่วงที่ไปพักอยู่ที่บรูไน พบว่ามีคนไทยที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ขาดสาย มีเป็นร้อยๆคน บ้างก็มาเป็นคณะ บางคนเป็นอดีตรัฐมนตรี บางคนเป็นนักการเมืองในปัจจุบัน

ขณะเดียวกันบรรดาคนที่มาหามาเยี่ยมเยียนก็มีสารพัดกลุ่ม คือมีตั้งแต่นักคิด นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ คนทำธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้าน ต่างๆก็ซื้อตั๋วเดินทางกันมาเองเพื่อมาให้กำลังใจ

ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ หากเป็นผู้ชายก็อาจจะเก็บอาการได้ในการทักทายพูดคุย แต่หากเป็นสุภาพสตรีมักจะเก็บอาการไม่อยู่ จะมีการเข้าไปโอบกอดพร้อมกับน้ำตาซึม จนทำให้อดสงสัยไม่ได้ จึงต้องตั้งเป็นประเด็นคำถามขึ้นมา
และคำตอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงทำให้หลายคนสะอึก??

“พวกเขาคงเห็นใจผมที่ต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้ และเพราะตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดความรู้สึก ว่าตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ ผมก็อยากกลับไปแน่ เพื่อจะได้ช่วยทำอะไรให้กับคนส่วนใหญ่”

สำหรับการเลือกตั้งที่ตามกติกาแล้วจะต้องเกิดขึ้นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า หากไม่มีสิ่งแทรกซ้อนอื่นๆเข้ามา ก็ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะยังคงได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 อยู่ แต่จะได้มากเพียงพอที่จะเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ ยังไม่มั่นใจนัก
เพราะที่ผ่านมามีปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่า เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการแล้ว กลุ่มอำนาจในปัจจุบันสามารถทีจะทำอะไรก็ได้ แทรกแซงอย่งไรก็ได้ โดยไม่แคร์เสียงสะท้อนหรือว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆเลย

อย่างเช่นมีความพยายามที่จะอ้างว่า คนอีสาน หรือคนเหนือสามารถซื้อเสียงได้ แต่อาจจะลืมคิดไปว่าที่ใช้การแทรกแซงเข้าไปซื้อได้อย่างที่บอกนั้น

ก็ซื้อได้เฉพาะแค่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของคนอีสานคนเหนือแล้ว เชื่อเถอะว่าไม่มีวันที่จะซื้อได้
ยิ่งเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้วทำให้มีลูกหลานคนอีสานคนเหนือทั้งเจ็บทั้งตายเป็นร้อยเป็นพันคนนั้น รู้หรือไม่ว่าบรรดาญาติพี่น้องของคนที่ตายคนที่บาดเจ็บนั้นมีความรู้สึกที่ขยายวงแตกหน่อไปเท่าไรแล้ว ยังคิดว่าจะซื้อได้อีกหรือ??

และต่อให้มีเงินที่ได้มาจากการใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมือง สะสมเอาไว้ แต่ถามว่าจะสามารถซื้อได้สักกี่ครั้งกัน ในเมื่อไม่สามารถซื้อวิญญาณและสร้างการยอมรับที่แท้จริงได้

ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ไม่มั่นใจว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ก็คือ กลัวสิ่งแทรกซ้อนมากกว่า
ส่วนกรณีที่มีการปล่อยข่าวว่าจะมี ส.ส.ย้ายพรรคออกไป จะมีการหว่านซื้อ ส.ส.ไปอยู่ที่พรรคอื่น จนถึงวันนี้หลายๆคนที่ตกเป็นข่าวว่าจะย้ายไปนั้น ก็ยังคงมีการติดต่อกันอยู่ตลอด มีการมาพบปะเป็นครั้งคราว

“อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่อยากจะไปจริงๆ ก็คงจะไม่ไปขอร้องให้กลับมา เช่นเดียวกับคนที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่วันนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็คงจะไม่มีการรับให้กลับมาใหม่แน่ เพราะบรรดาคนที่ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องคงไม่ยอมแน่”
ที่สำคัญตอนลำบากระหกระเหินนี่แหละ ที่ทำให้รู้ว่าใครเป้นมิตรแท้ ใครเป็นมิตรเทียม

ในเรื่องของปัญหาสุขภาพที่มีการปล่อยข่าวโจมตีมาอย่างต่อเนื่องนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ้มก่อนที่จะบอกว่า เป็นคนที่ดูแลสุขภาพมาโดยตลอด เมื่อครั้งที่ไปรัสเซียก็ได้ทำการตรวจสุขภาพโดยละเอียด ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
“ผมยืนยันว่าผมยังแข็งแรงดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

ซึ่งเท่าที่สังเกตุ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้มีปัญหาซูบผอม หรือผมร่วงผมบางอย่างที่มีการปล่อยข่าว ยังคงดูแจ่มใสดี แถมดูแล้วน่าจะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยด้วยซ้ำไป

และในฐานะสื่อ ที่ไม่อยากเห็นสภาพบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งสีกันอย่างรุนแรงอีกต่อไป จึงได้มีการยิงคำถามกันตรงๆไปเลยว่า จะมีส่วนแก้ไขปัญหานี้อย่างไร จะมีการเจรจาประนีประนอมยอมถอยให้กันได้หรือไม่?

อดีตนายกรัฐมนตรีตอบว่า ยืนยันได้เลยว่าพร้อมที่จะคุย พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาโดยไม่มีวาระแอบแฝง แต่หากอีกฝ่ายยังคงมี Hidden Agenda อยู่ตลอดก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปหรือข้อยุติให้จบลงได้

“จริงๆแล้ววันนี้คงต้องถามว่า สถานะอย่างผมที่โดนกระทำขนาดนี้แล้ว ยังจะมีสิทธิต่อรองอะไรได้อีกหรือ เวลานี้ผมก็แค่ไม่ได้รับโอกาส ทั้งๆที่ผมเข้ามาโดยได้รับการเลือกตั้ง แต่กลับถูกทำปฎิวัติรัฐประหาร ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาคนที่รักความเป็นธรรมรักประชาธิปไตยที่แท้จริง ย่อมไม่เห็นด้วย

แล้วแบบนี้ผมผิดหรือที่ประชาชนยังสนับสนุน ยังศรัทธาและชื่นชมในนโยบายที่มุ่งทำให้กับคนระดับรากหญ้า มุ่งทำให้กับทุกๆคน??”

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีคนพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ทุจริต แต่วันนี้เป็นอย่างไร นอกจากจะเล่นงานเอาผิดไม่ได้.แต่ คนที่เคยกล่าวหา คนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนแต่วันนี้ได้เปลี่ยนขั้วไป ก็ได้เอาแนวทางเอานโยบายของพรรคไทยรักไทยไปใช้อยู่ไม่ใช่หรือ แล้วแบบนี้แปลว่าอะไร สิ่งที่เคยกล่าวหาคนอื่นแต่วันนี้กลับทำหมดทุกอย่าง แปลว่าอะไร

“ประเทศไทยนั้นพระสยามเทวาธิราชมีจริง วันหนึ่งความจริงทุกอย่างจะต้องเปิดเผย หลักฐานต่างๆมีการเก็บเอาไหมด เก็บไว้ได้ 10 ปี 20 ปีก็ไม่สาย ใครทำดีทำชั่วอะไรไว้ ฟ้าดินย่อมรู้ดี ผมไม่ต้องทำอะไรหรอก ถึงเวลาทุกๆสิ่งจะค่อยๆเปิดเผยออกมา”

อย่างเช่นในเรื่องที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม กำลังพยายามที่จะใช้เวทีโลกในการพิสูจน์ความจริงในหลายๆเรื่อง ล่าสุดทางสหพันธ์เสรีนิยมระหว่างประเทศ หรือ ไอบียู ที่ถูกยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบเพื่อให้ถอดถอนพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากไอบียู เนื่องจากคดีการสังหารประชาชน

และล่าสุดทางไอบียู ก็ได้แจ้งให้รัฐบาลไทยทราบว่าจะสอบเพิ่มเติมจากคำร้องเรียนดังกล่าวแล้ว
สำหรับปัจจุบัน อดีตนายกฯทักษิณ บอกว่า นอกจากการทำธุรกิจเหมืองทองแล้ว เวลาที่เหลือก็คือการพบปะกับคนระดับสูง บรรดานักธุรกิจ และผู้บริหารในประเทศต่างๆ ซึ่งช่วยให้มีมุมมองที่กว้างไกลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

และเท่าที่เห็นและพูดคุยกัน คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณนั้น การได้เจอกับคนระดับชั้นนำของโลก ก็ย่อมสามารถที่จะคิดอะไรใหม่ๆได้สารพัด ในขณะที่คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะคบหาพบปะกับคนที่เหมาะสม มีความคิด มีอนาคต ที่จะสามารถร่วมมือกันได้ด้วยเช่นกัน

พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยืนยันว่าด้วยโครงสร้างและทรัพยากรของประเทศที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ ประเทศไทยควรจจะต้องพัฒนาให้เป็นประเทศเกษตรกรรม ให้ประเทศไทยสามารถเป็นครัวของโลก ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องการผลิตทางด้านการเกษตร
ซึ่งถือเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด ที่จะช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นจากความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลปัจจุบันเดินหลงทางมาตลอดได้

ระยะเวลา 2 วันที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์และพูดคุย รวมทั้งสังเกตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ในฐานะสื่อ บางกอกทูเดย์คงต้องยกคำกล่าวของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่มีกระแสข่าวออกมาว่า เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เคยยอมรับกับคนหลายคนมาแล้วว่า

“น่าเสียดาย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความสามารถ ที่สามารถทำอะไรให้กับประเทศได้มาก”

ปัญหาก็คือแล้วจะปล่อยให้ปัญหาของชาติคาราคาซัง โดยได้แต่บอกได้แค่ว่าน่าเสียดายเท่านั้นหรือ
วันนี้ “ทักษิณ อิน บรูไน”… อนาคตจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมี “ทักษิณ อิน ไทยแลนด์”อีกครั้ง??

ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************************

รัฐบาลเหนื่อย วิกฤต"ของแพง"

ในทางการเมืองถึงจะมีการส่งสัญญาณจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ว่าพร้อมจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้

รวมถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ออกมาประสานเสียงการันตีว่า การยุบสภาเกิดขึ้นแน่นอนก่อนเดือนมิ.ย.

แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงเงื่อนไข 3 ประการ ที่นายกฯอภิสิทธิ์ เคยกำหนดไว้เป็น"โรดแม็ป" ไปสู่การยุบสภา คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐ กิจ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง

หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าการยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นภายในครึ่งปีนี้หรือไม่เกินเดือนมิ.ย.ตามที่"มาร์ค-เทพเทือก" ประกาศไว้หรือไม่

อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญถึง จะผ่านที่ประชุมรัฐสภา วาระ 3 ไปแล้ว แต่ยังติดขัดจากการที่พรรคฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ทำให้กระบวนการนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องระงับไว้ก่อน

ขณะเดียวกันปัญหาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองที่เกี่ยวโยงไปถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มนปช. ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติง่ายๆ แม้จะอยู่ภายใต้พ.ร.บ. ความมั่นคงก็ตาม

โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงสูงกว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช. ถึงจะมีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่าตัว

นอกจากนี้เงื่อนไขร้อนๆ ที่กำลังลุกลามกลายเป็นปัญหาการเมืองภายใน ซึ่งหลายคนกำลังจับตาว่าจะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลรุนแรงมากน้อยขนาดไหน

นั่นก็คือปัญหาเศรษฐกิจที่ก้าวเข้าสู่ยุค"ข้าวยากหมากแพง" และกำลังขยายตัวรวด เร็วเหมือนไฟลามทุ่ง สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วทุกหย่อมหญ้า

จะทำให้กำหนดช่วงเวลาการยุบสภาต้องยืดยาวออกไป หรือในทางกลับกัน อาจส่งผลให้การเลือกตั้งใหม่เดินทางมาถึงเร็วขึ้น

ยังเป็นเรื่องยากจะคาดเดา



จากคำกล่าวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ว่ารัฐบาลต้องแก้ปัญหา ของแพงให้ได้ก่อนแล้วค่อยยุบสภา ถึงจะได้คะแนนนั้น

ไม่ต่างจากคำรับสารภาพว่าปัญหาสินค้าประเภทอาหารพาเหรดขึ้นราคา กำลังเป็นปัญหาใหญ่ซ้ำเติมรัฐบาล ทั้งยังส่งผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลอีกด้วย

จากเดิมที่มีอยู่สารพัดปัญหารุมกระหน่ำรอบทิศ ทั้งกรณีพิพาทกับกัมพูชา ไฟใต้ การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ

โดยเฉพาะปัญหาน้ำมันปาล์มราคาแพงและขาดตลาด

ภาพประชาชนหาเช้ากินค่ำต้องมาเข้าคิวซื้อ ถึงขั้นแย่งชิงชกต่อยกัน กว่าจะได้น้ำมันมาทำอาหารกินแค่ขวดสองขวด เป็นภาพที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในสังคมไทย ที่เคยได้ชื่อเป็นสังคมโอบอ้อมอารี แบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

แต่นั่นยังไม่หนักสาหัสเท่ากับการที่มีข่าวนักการเมืองบางคนในซีกรัฐบาล เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชนครั้งนี้

แม้ภาพภายนอกจะฉายให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา

คณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติที่มี นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นั่งเป็นประธาน ได้อนุมัตินำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก 3 หมื่นตัน ครั้งที่สอง 1.2 แสนตัน

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจได้สั่งผลิตน้ำมันปาล์มฝาสีฟ้า กระจายออกจำหน่ายให้ประชาชนซื้อได้ง่ายในราคาถูก

แต่ก็ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่คลี่คลายง่ายๆ

ท่ามกลางกระแสข่าวนับวันยิ่งหนาหูว่า ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์

มีนักการเมืองระดับ "คีย์แมน" ของพรรค ถือครอง พื้นที่สวนปาล์มจำนวนหลายหมื่นไร่ผ่านเครือญาติที่เป็นนอมินี

ได้รับประโยชน์เต็มๆ ด้วยการร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตดำเนินการกักตุนสินค้าน้ำมันปาล์มไว้เพื่อเก็งกำไร จากการขึ้นราคาและการนำเข้า



จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงพอสรุปได้ว่า ปัญหาน้ำมันปาล์มถูกยกระดับขึ้นเป็นปัญหาทางการเมืองเรียบร้อยแล้ว

จุดเริ่มมีมาตั้งแต่ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์จากพรรคภูมิใจไทยออกมาตอบโต้กับส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ว่าด้วยเรื่อง "ต้นน้ำ-ปลายน้ำ" ของปัญหา

ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทยที่ระบุถึงนักการเมืองชื่อย่อ "ส" อยู่เบื้องหลังการกักตุน ทั้งยังเสนอให้นายกฯอภิสิทธิ์ ดึงกระ ทรวงพาณิชย์กลับมาดูแลเอง

ในฐานะเป็นนักการเมืองอักษรนำหน้า "ส" ทำให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงกับนั่งไม่ติด

จำเป็นต้องสั่งการให้กรมสอบ สวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่า มีใครได้รับประโยชน์จากปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากย้อนไปดูผลงานการสอบสวนคดี 91 ศพเหยื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอเช่นกัน

ก็พอเห็นถึงแนวโน้มว่าผลตรวจสอบปัญหาน้ำมันปาล์มจะออกมาอย่างไร

หลังการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณกลางปีวงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท

การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกลางปีในเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้ รวมถึงการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ถูกมองว่าเป็นเป้าหมาย ต่อไปของรัฐบาลในการ "ทิ้งทวน" ก่อนกลับลงสู่สนามเลือกตั้ง

ในจังหวะที่วิกฤตการณ์น้ำมันปาล์มครั้งนี้

อีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมืองบนความทุกข์ร้อนของประชาชน เพื่อใช้เป็นทุนรอนสำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกล

แต่เมื่อทุกอย่างถูกเปิดโปงถึงขั้นนี้แล้ว

การชิงยุบสภาเร็วกว่ากำหนดกลางปี อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลเลือกเดิน เพื่อตัดปัญหาการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน และการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในวาระครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.2553

เพราะถ้าปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปรวมในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว ต่อให้มีการแก้ไขกฎกติกาเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองขนาดไหน ประชาชนคงไม่ยอมง่ายๆ แน่

ความหวังที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาจัดตั้งรัฐบาล จึงอาจเป็นเรื่องห่างไกลเกินจริง

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“ตื่นเถิด! ประชาชนไทย”

หากไม่ปรากฏชัดว่าสาเหตุการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ คือไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ อาจจะเป็นคนร้าย ไอ้โม่ง ไอ้เขียว ไอ้ขาว ไอ้แดง ไอ้ดำก็แล้วแต่ จะส่งไปรวมกับคดีหลักคดีเดิมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อสืบหาคนร้ายต่อไป ซึ่งตำรวจเพียงทำสำนวนชันสูตร ไม่ได้กล่าวหาใคร และไม่ได้มีหน้าที่ค้นหาตัวผู้กระทำผิด ผู้ที่มีหน้าที่ในการรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาลง โทษคือพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ”

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดี 91 ศพจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ว่าดีเอสไอส่งให้ตำรวจสอบสวนแค่ 13 ศพ โดยศพที่มีเศษกระสุน หัวกระสุน ปลอกกระสุนเป็นหลักฐานต้องตรวจพิสูจน์ด้านนิติวิทยาศาสตร์ จะไม่ใช้ความเห็นส่วนตัว เพราะอาจผิดพลาดได้ ขณะนี้สอบสวนแล้ว 95% คาดว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนจะเสร็จ แต่หากการสอบสวนปรากฏชัดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ต้องส่งให้ดีเอสไอทำการไต่สวนต่อไป

คำแถลงของ พล.ต.ต.อำนวยทำให้เห็นชัดเจนว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินและญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพคงยากจะได้ “ความจริง” และ “ความยุติธรรม” ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาแล้วกว่า 9 เดือน ไม่รู้ว่าหลักฐานต่างๆถูกทำลายและบิดเบือนไปอย่างไร เพราะดีเอสไอแถลงออกตัวก่อนแล้วว่ากว่า 63 ศพยังไม่มีหลักฐานระบุว่าเสียชีวิตอย่างไร รวมทั้งช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นและนักข่าวอิสระชาวอิตาลี

2 สี 2 มาตรฐาน

ขณะที่แกนนำ นปช. และคนเสื้อแดงอีกนับร้อยกลับถูกคุมขังและไม่ได้รับการประกันตัว จากการยัดเยียดข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะแกนนำ นปช. มอบตัวตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ก่อนจะเกิดการเผากลางเมือง แต่วันนี้นอกจากดีเอสไอจะไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้แล้ว ยังมีหลักฐานระบุว่าอาจเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐเองอีกด้วย

ตรงข้ามกับคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” จากการปิด สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิตั้งแต่ปี 2551 ทำให้ประชาคมโลกประณาม และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้าน แต่จนปัจจุบันนี้คดียังไม่คืบหน้า เช่นเดียวกับคดีกลุ่มพันธมิตรฯบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2551 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยปักหลักชุมนุมอยู่นานกว่า 100 วัน จนหัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีพันธมิตรฯขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนไปแล้วถึง 2 คน

ขณะที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ 2 แกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกจับกุมในข้อหาเดียวกันกับคนเสื้อแดงกลับได้รับการประกันตัวโดยเร็ว จนคนเสื้อแดงต้องชุมนุมเรียกร้องขอความยุติธรรม รวมถึงทำจดหมายเปิดผนึกปรับทุกข์กับผู้พิพากษาทั่วประเทศและคนไทยทั้งแผ่นดินว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงไม่ได้ประกันตัว และตั้งคำถามว่าเป็นความยุติธรรม 2 มาตรฐานหรือไม่

คนเสื้อแดงจึงประกาศจะชุมนุมต่อไปจนกว่าจะได้ความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา โดยเฉพาะวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งครบ 10 เดือนการ “ขอคืนพื้นที่” ในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 คนเสื้อแดงอาจปักหลักชุมนุมยืดเยื้อเหมือนที่กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมปิดถนนหน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนี้

ยัดเยียดข้อหา

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายญาติผู้ต้องขังเสื้อแดงประมาณ 50 คน พร้อมนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กรณีญาติพี่น้อง สามี และลูกยังถูกคุมขังอยู่ตามเรือนจำในจังหวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาสารคาม อุบลราชธานี อุดรธานี มุกดาหาร ขอนแก่น และเชียงใหม่ โดยไม่สามารถประกันตัวได้

จากข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม 2553 พบว่ายังมีผู้ต้องขังเสื้อแดง 180 คน มี 151 คนที่ขอความช่วยเหลือ บางส่วนขอทนายความ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะเป็นผู้จัดหาให้ อีก 48 รายขอความช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัว ซึ่งกองทุนยุติธรรมอนุมัติให้ทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเงิน 28 ล้านบาทเพื่อเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว แต่การให้หรือไม่ให้ประกันตัวเป็นดุลยพินิจของศาล ซึ่งที่ผ่านมากรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ยื่นประกันตัวไปแล้วหลายราย แต่ส่วนใหญ่ศาลไม่อนุญาต เพราะเกรงว่าผู้ต้องขังจะหลบหนี

แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ประกันตัวคนเสื้อแดง 104 คนตามที่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เสนอ แต่มติ ครม. ระบุให้ดีเอสไอและสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปหาหลักเกณฑ์และแนวทางในการประกันตัว แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจึงจะทำหนังสือทวงถามให้

อย่างกรณีนางศิรินารถ จันทะคัต จากจังหวัดมหาสารคาม อยากให้รัฐบาลแสดงความจริงใจด้วยการช่วยเหลือผู้ต้องขังอย่างที่พูด โดยยกตัวอย่างความยากลำบากของครอบครัวจันปัญญา หลังจากนายสุชล จันปัญญา นักศึกษาเทคนิคชั้น ปวส.1 ถูกคุมขัง ทำให้พ่อที่เป็นอัมพาตและแม่ที่อายุมากอยู่อย่างยากลำบาก เพราะปรกตินายสุชลเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัวและทำงานเป็นลูกจ้างร้านถ่ายเอกสารส่งเสียตัวเองเรียน ในวันเกิดเหตุนายสุชลไปยืนดูการชุมนุม แต่ตำรวจใช้ภาพถ่ายและขวดน้ำมันเป็นหลักฐาน ทั้งที่ขวดน้ำมันไม่มีลายนิ้วมือของนายสุชล

ส่วนนางวาสนา ลิลา จากจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวทั้งน้ำตาว่า สามีถูกคุมขังมานานหลายเดือนจนมีอาการเครียด เกรงจะคิดสั้นในเรือนจำ โดยโดนข้อหาร่วมกันวางเพลิง ทั้งที่วันเกิดเหตุไปซื้ออะไหล่รถและแวะมาดูลูกคนเล็กที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อผ่านจุดเกิดเหตุจึงแวะดู แต่ตำรวจนำภาพถ่ายมาให้เซ็นชื่อ โดยบอกว่าหากลงชื่อวันรุ่งขึ้นสามารถประกันตัวได้ แต่กลับถูกคุมขังมาจนถึงปัจจุบัน

รัฐบาลจุดชนวนความรุนแรง

ข้อมูลล่าสุดที่บ่งชี้ถึงการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่ชอบธรรมคือคำให้การของนายปริย นวมาลา เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กับ คอป. ในฐานะสื่อหลักขณะนั้นที่ทำหน้าที่รายงานสถานการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 โดยระบุว่า รัฐบาลพยายามจะใช้สื่อคือเอ็นบีที ไม่ว่าจะเป็นข้อความตัววิ่งหน้าจอ หรือการจัดเวทีสนทนา โดยเชิญวิทยากรที่คิดเหมือนกับรัฐบาลมาแสดงความเห็นผ่านโทรทัศน์ โดยผู้จัดไม่สามารถนำคนที่เป็นกลางหรือคิดเห็นแบบเดียวกับคนเสื้อแดงมาออกรายการได้ เพื่อโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเหมือนเป็นการราดน้ำมันลงในกองไฟ เอ็นบีทีจึงกลายเป็นสื่อที่จุดชนวนความรุนแรง

“ทำไมผมถึงพูดแบบนี้ เพราะว่าองค์กรของผมได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นระเบิดเอ็ม 79 ยอมรับว่าบางรายการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่สร้างสรรค์ เจ้าหน้าที่จากหลายฝ่ายยอมรับว่าบุคลากรและเจ้าหน้าที่ก็เป็นบุคคลที่น่าเห็นใจ ไม่ว่ารัฐบาลใดจะมาต้องทำไปตามเนื้อหาที่รัฐบาลต้องการ”

นายปริยยืนยันว่า ความรุนแรงส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาล โดยมองประชาชนกลุ่มหนึ่งเป็นศัตรู แต่ถ้า คอป. จะเจาะข้อมูลจากบุคลากรในสถานีเชื่อว่า 90% ไม่มีใครกล้าพูด ส่วนเหตุผลคงทราบดีว่าเพราะรับเงินเดือนจากรัฐบาล แต่ตนเองกล้าพูดเพราะเห็นใจประชาชน

สกว. ยันรัฐใช้ความรุนแรง

แม้แต่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ยังระบุถึงการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลจากการจัดทำรายงานเรื่อง “ยุทธศาสตร์สันติวิธีกับการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทย : กรณีเสื้อเหลือง-เสื้อแดง” ตามโครงการยุทธศาสตร์สันติวิธีสำหรับสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 โดยเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้การชุมนุมอย่างสันติของ นปช. ลงท้ายด้วยความรุนแรงนั้นมาจากกระบวนการตัดสินใจของทั้ง 2 ฝ่ายมีปัญหา แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่รัฐบาลที่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงและกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียมีความไม่ลงตัวระหว่างอำนาจในระบบสถาบันการเมืองปรกติกับอำนาจภายนอก

โดยเฉพาะผู้ชุมนุมเลือกใช้ยุทธศาสตร์แบบเผชิญหน้าและท้าทายกับระบบการเมืองปรกติ เช่น การยึดครองศูนย์กลางธุรกิจ แม้จะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ฝ่ายรัฐบาลที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยเห็นว่าหากปล่อยให้การประท้วงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับการก่อเหตุรุนแรงจากการกระทำของผู้ที่ไม่ทราบฝ่าย รัฐบาลจะถูกมองว่าไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ จึงนำไปสู่การยุติปัญหาอย่างรวดเร็ว

“การปฏิบัติการตามกลไกต่างๆของรัฐต่อการชุมนุมนั้นตกอยู่ภายใต้กรอบคิดและวาทกรรมของสงครามและการก่อการร้าย รูปธรรมของวาทกรรมนี้ปรากฏให้เห็นชัดจากคำอธิบายของผู้ปฏิบัติงานของรัฐและการตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ นปช. ในข้อหา “ก่อการร้าย” หลังเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ 10 เมษายน 2553 และพยายามเชื่อมโยง นปช. กับการก่อเหตุความรุนแรงโดยผู้กระทำไม่ทราบฝ่าย”

แม้ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวของ นปช. จะอยู่ในขอบเขตไม่ใช้ความรุนแรง แม้แต่การ “เทเลือด” ก็ถือเป็นการประท้วงในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งรัฐมองการชุมนุมเป็นเพียงการแสดงออกทางการเมืองและจำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยวิถีทางการเมืองเท่านั้น แต่กลับมองว่าการประท้วงและผู้ประท้วงเป็นภัยร้ายที่ต้อง “จัด การ” ให้ได้ เมื่อมองว่าอยู่ในสภาวะสงครามจึงจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อเอาชนะสงคราม แม้จะเกิดความรุนแรงและความสูญเสียก็ตาม

บดบังความจริงอันตรายใหญ่หลวง

รายงานของ สกว. ยังระบุถึงเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือการใช้กำลังทหาร “ขอคืนพื้นที่” เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ตามมาด้วยการปะทะและการปรากฏตัวของ “ชายชุดดำ” กลุ่มติดอาวุธที่ยังไม่สามารถระบุได้ รัฐบาลจึงตัดสินใจใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมต้องใช้วิธีการตั้งรับหรือตอบโต้ด้วยความรุนแรงในนาม “การป้องกันตนเอง” และทำให้ผู้ชุมนุมที่มีลักษณะรุนแรงสุดโต่งซึ่งเป็นส่วนน้อยมีอิทธิพลต่อขบวนการเคลื่อนไหวมากขึ้น

การปรากฏตัวของ “ชายชุดดำ” ที่นำไปสู่การสูญเสียของฝ่ายทหารจึงทำให้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ครั้งหลังเป็นลักษณะการทำสงครามมากกว่าการสลายการชุมนุม โดยเน้นการโจมตีก่อนเพื่อป้องกันการสูญเสียของฝ่ายเจ้าหน้าที่

คณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธียังเตือนว่าอันตรายใหญ่หลวงจะบังเกิดขึ้นกับสังคมหากฝ่ายความมั่นคงมองไม่เห็นความจริงในสังคม หากการตัดสินใจของฝ่ายรัฐในสถานการณ์ขัดแย้งที่ล้ำลึกนั้นเชื่อมโยงกับงานข่าวความมั่นคงที่มีข้อมูลและการข่าวแบบความเชื่อบดบังความจริง ซึ่งต้องยอมรับว่าในภาพใหญ่ของสังคมไทยขณะนี้กำลังเปลี่ยนแปลง และคำตอบความมั่นคงของสังคมไทยที่ยั่งยืนในอนาคต ผู้มีอำนาจต้องไม่เลือกข่าวเฉพาะที่ตอบสนองต่อเป้าหมายของตนเอง หรือโดยอาศัยกำลังทหารเป็นหลัก

“อัมสเตอร์ดัม” สู้ไม่ถอย

ด้านนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความสำนักงานทนายความอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ซึ่งเป็นทนายความของ นปช. ในการยื่นเรื่องฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) ที่วิดีโอลิ้งค์มายังที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอมรับว่าการที่ไอซีซีจะรับคดีมีน้อย แต่จะรวบรวมหลักฐานและยื่นคำร้องไปใหม่เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับ แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากไอซีซี แต่ทีมทนายจะหาวิธีช่วยคนเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายให้ได้ ทั้งที่ผู้ก่อการร้ายตัวจริงคือคนที่สั่งฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็น

นายอัมสเตอร์ดัมยืนยันว่า ตราบใดที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ในอำนาจจะต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเปิดโปงการก่ออาชญากรรมในประเทศไทย และตราบใดที่องค์กรต่างประเทศยังเพิกเฉยก็จะต่อสู้ต่อไป โดยจะเขียนจดหมายถึงสถานทูตต่างๆว่า We Count to เพื่อแสดงว่าคนเสื้อแดงยังมีตัวตนอยู่และต้องการความยุติธรรม นอกจากนี้ทีมทนายความจะผลักดันพรรคประชาธิปัตย์ออกจากสมาพันธ์เสรีนิยมระหว่างประเทศ เพราะปกปิดคดีอาชญากรรมระหว่างมนุษยชาติ

“ผมคงอยู่ในโลกไม่ได้หากปล่อยให้ปิศาจอยู่ในโลก แม้ประเทศไทยไม่ได้ลงสัตยาบันกับไอซีซี แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ผิดพลาดที่ยังไม่สละสัญชาติอังกฤษที่ได้รับโดยกำเนิด ฉะนั้นนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในเขตอำนาจของไอซีซี จึงไม่ต้องคำนึงถึงสถานที่การก่ออาชญากรรม ผมและทีมงานจะนำเรื่องร้องทุกข์ขึ้นสู่กระบวนการให้สำเร็จ ขอให้เชื่อมั่นว่าการต่อสู้จะดำเนินต่อไป ไม่ปล่อยให้ฆาตกรลอยนวล แกนนำ นปช. จะไม่โดนขังคุกอย่างไม่ชอบธรรมแน่นอน”

ประชาชนปฏิวัติ!

ดังนั้น ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังเป็นรัฐบาล และดีเอสไอยังเป็นเจ้าของคดี 91 ศพ การชันสูตรพลิกศพจะยังมืดมน และไม่มีวันที่ “ความจริง” จะปรากฏว่าแต่ละรายเสียชีวิตอย่างไร ใครเป็นคนยิง ทั้งที่สังคมไทยและคนทั่วโลกรู้ดีว่าใครเป็นคนสั่ง ใครเป็นฆาตกร
การได้มาซึ่งความจริงและความยุติธรรมจึงเป็นไปไม่ได้เลยหากคนเสื้อแดงจะรอความหวังจากรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมที่วันนี้ผูกพันและถูกครอบงำโดยกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ความยุติธรรม 2 มาตรฐานจึงเป็นความชั่วร้ายที่แม้แต่อำนาจตุลาการยังเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

อย่างที่สำนักข่าวอัลจาซีราตีพิมพ์บทความเรื่อง “อะไรที่ทำให้การปฏิวัติสำเร็จ” ของนาย Roxane Farmanfarmaian นักวิชาการรัฐศาสตร์และต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และศูนย์ตะวันออกกลางมหาวิทยาลัยยูทาห์ ซึ่งอยู่ในอิหร่านช่วงเกิดการปฏิวัติและวิกฤตตัวประกันที่อิหร่านจับชาวสหรัฐเป็นตัวประกันถึง 444 วัน เปรียบเทียบการปฏิวัติอิหร่านเมื่อปี 1979 กับการประท้วงใหญ่ในอียิปต์ว่า การปฏิวัติอิหร่านให้บทเรียนที่อียิปต์ 5 บทเรียนสำคัญคือ 1.การปฏิวัติต้องใช้เวลา 2.ระบอบที่หยั่งรากไม่จากไปอย่างเงียบๆ 3.กองทัพไว้ใจอะไรไม่ได้ 4.การนัดหยุดงานเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ และ 5.การเบี่ยงเบนสื่อที่ถูกควบคุมโดยรัฐเป็นความสำเร็จสำคัญ

โดยเฉพาะการลุกฮือของประชาชนในอียิปต์นั้นสะท้อนถึงยุคสมัยที่การประท้วงเริ่มต้นจากการใช้บล็อกและทวิตเตอร์ รวมถึงมีแรงสะสมจากรายการโทรทัศน์บนอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค และโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค จะสั่งตัดอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่สามารถปิดกั้นการสื่อสารได้

ขณะที่นายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็น “ตัวตลกโลก” เมื่อผู้สื่อข่าวต่างชาติให้ออกความเห็นถึงนายมูบารัคซึ่งขณะนั้นกำลังถูกชาวอียิปต์ลุกฮือขับไล่ว่าควรเคารพความต้องการของประชาชนและปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ทั้งยังฝากถึงผู้นำประเทศที่เผชิญกับการลุกฮือของประชาชนว่าต้องรู้จักอดทนอดกลั้นและไม่ใช้ความรุนแรง แต่กรณีรัฐบาลไทยและกองทัพต้องใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดงจนมีผู้ชีวิตและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะมีการยิงอาวุธระเบิดและบุกรุกเข้าไปในโรงพยาบาล จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยของประเทศ

คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนชัดเจนว่าทำไม 9 เดือนที่ผ่านมาคนเสื้อแดงจึงยังต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนกลับคืนมา เหมือนคนตูนิเซียและอียิปต์ที่ทำให้ผู้นำเผด็จการทั่วภูมิภาคตะวันออกกลางและรัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกที่ยังปกครองภายใต้อำนาจเผด็จการต้องหวาดผวาและปรับตัวก่อนจะถูกประชาชนปฏิวัติ

คนเสื้อแดงจึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะต่อสู้เพื่อ ให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน ไม่ใช่ แค่ให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงชั่วคราว

เพราะประวัติศาสตร์ทั่วโลกยืนยันว่าไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เท่าอำนาจของประชาชน!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
////////////////////////////////////////////////////////////////////

โรงงานผลิตภาษา (แห่งชาติ) ของราษฎรอาวุโส.!!!

Schopenhauer

ได้อ่านบทความล่าสุด – โครงการ “ทำแผนที่คน” (Human Mapping)[1] จาก “โรงงานผลิตภาษา (แห่งชาติ)” ของราษฎรอาวุโส แกเขียนอธิบายความว่า “...การ ทำแผนที่คนไทยทั้งประเทศก็จะไม่ยาก สามารถทำได้เสร็จภายใน 6 เดือน เรามีหมู่บ้าน ประมาณ 80,000 หมู่บ้าน เรามีมหาวิทยาลัยกว่า 100 แห่ง มีนักศึกษารวมกันหลายแสนคน สามารถส่งนักศึกษาไปทำแผนที่คนไทยได้ในทุกหมู่บ้าน”

“...ชาวบ้านนั้นจมปลักอยู่กับความต่ำต้อย ความไม่มีเกียรติ ความไม่มีคุณค่า เป็นคนไม่มีความรู้สมัยใหม่ ถูกดูถูกเสียจนดูถูกตัวเอง – ครั้นมีคนสมัยใหม่เช่นนักศึกษา หรือคนที่จบปริญญามานั่งฟัง มานั่งขุดความรู้ความชำนาญที่ฝังลึกอยู่ในตัวเรา – ตามปรกติชาวบ้านไม่ค่อยได้พูด ได้แต่ฟังคนอื่นที่มีอำนาจมากกว่า มีความรู้มากกว่า มีเงินมากกว่า”

“บัด นี้มีคนที่เคยสมมติว่าเหนือกว่า มานั่งฟังด้วยความเคารพ และเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขารักเขาชอบเขาถนัด ที่มีอยู่ในตัวเขาจริงๆ เขาจึงมีความสุขขึ้นมาท่วมท้น ที่รู้สึกมีเกียรติ (เป็นครั้งแรกในชีวิต) รู้สึกภูมิใจในตัวเอง...”

“...ความ เห็นใจ และการอยากทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ทุกคน ที่ว่าทุกคนล้วนแต่มีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีอยู่ในหัวใจ”

“ถ้ามีแต่มายาคติเข้ามาขวางกั้น เช่น ฐานะ อำนาจ กฎหมาย กฎ ระเบียบ เงิน รูปแบบ เมล็ดพันธุ์แห่งความดีไม่มีโอกาสได้งอกงาม”

“...ถ้า เราทำทุกพื้นที่ทั่วประเทศ คนไทยทุกคนจะกลายเป็นคนมีเกียรติมี ศักดิ์ศรีมีความมั่นใจในตัวเอง การเคารพศักดิ์ศรี และคุณค่าของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นศีลธรรมพื้นฐานของสังคม...”

“เนื่อง จากความรู้ในตัวคนมีฐานอยู่ในวัฒนธรรม วัฒนธรรมคือวิถีชีวิตร่วมกัน จะทำให้การศึกษาเชื่อมกับวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตร่วมกัน เมื่อใดการศึกษาเชื่อมกับชีวิต และการอยู่ร่วมกันจะเกิดเรื่องใหญ่มาก คือ เกิดการอภิวัฒน์ประเทศไทยทุกด้าน”

“...ก่อน คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2554 ท่านคุยกับผมหลายครั้ง - ครั้งหนึ่ง ผมแนะนำเรื่องใหญ่ๆ ไป 4 เรื่องเรื่องหนึ่งคือการทำแผนที่คนไทย หรือ Human Mapping ตามที่กล่าวถึงนี้ ท่านเป็นคนปัญญาไวเข้าใจทันที แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีก็คงทำให้ท่านยุ่งเกิน เลยไม่ได้ทำ - หวังว่านายกฯอภิสิทธิ์จะไม่ยุ่งเกิน!”



ผมชอบย่อหน้าสุดท้ายของราษฎรอาวุโส คนนี้จริง ๆ – นี้แหละที่เขาเรียกว่า “เขี้ยวจริง ๆ – เขี้ยวของจริง” ใครที่คิดจะทำ proposal ขอทุนทำงานวิจัย, ลองอ่านโครงการ “ทำแผนที่คน-อภิวัฒน์ประเทศไทย” ฉบับนี้เป็นตัวอย่าง (แต่ถ้าคิดจะไปของทุนจาก “สสส.” หรือ “สมัชชาปฏิรูป 600 ล้าน” ที่แกดูแลอยู่ – ถ้าคุณไม่ใช่ [NGO] สีเดียวกัน-ก็หมดสิทธิ์!!!)

ราษฎรอาวุโส-หัวหน้าโรงงานผลิตภาษา (แห่งชาติ) – ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป 600 ล้าน (คสป.), เป็นคณะกก.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) - ล่าสุดยังดูแลอีก 14 องค์กรที่อยู่ภายใต้ คสป. เช่น องค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป, สภาองค์กรชุมชน และสภาผู้นำชุมชนเพื่อการปฏิรูป (มีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นประธาน,สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน-พอช.), เครือข่ายประชาคมเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายผู้ใช้แรงงานและคนจนเมืองเพื่อการปฏิรูป (อ.ณรงค์ฯ ดูแล), เครือข่ายพลังสตรีเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายพลังเยาวชนเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายผู้พิการเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายผู้ด้อยโอกาสเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายภาคธุรกิจกับการปฏิรูป, เครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อการปฏิรูป, เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (มีนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นประธาน), คณะกก.จัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม, คณะกก.ความยุติธรรมกับการปฏิรูป, คณะกก.การสื่อสารเพื่อการปฏิรูป [2] - - เยอะแยะจนน่าเวียนหัว.

แต่อย่าเพิ่งมึนงง เพราะนี้คือเรื่องของงบประมาณ, เงินทั้งนั้น - พรรคพวก (NGO) ของตัวเองทั้งนั้น ที่เกี่ยวข้อง (กับงบ-เงินเหล่านี้) !!!

เงิน 600 ล้าน ที่ได้มาเพื่อปฏิรูปประเทศ เพื่อคนไทยจะได้ปรองดองกัน มันแค่เรื่องจิ๊บ ๆ – ยังต้องใช้เงินอีกเป็น 1,000 ล้าน เพื่อให้คนฝ่ายหนึ่ง (คนสีเสื้อหนึ่ง) เอาเงินภาษีของผู้คนในประเทศ, ไปทำโครงการปฏิรูปประเทศ-ให้คนรักกันปรองดองกัน?

“ปรองดอง” เริ่มต้นที่ใครดี - ก็เริ่มต้นที่ตัวคุณนั่นแหละ – เริ่มต้นที่เงินงบประมาณ ที่คุณถืออยู่นั้นแหละ

“แค่คิดกลับกัน” คุณ ลองแบ่งปันเงินงบประมาณ ให้กับคนอีกสีเสื้อหนึ่ง, ให้เขาไปทำงานวิจัย, ให้เขาทำกิจกรรม, ให้เขาทำสื่อ, แล้วเอาผลงานที่ได้ มาเปรียบเทียบกับข้อมูล ที่มาจากอีกฝ่ายหนึ่ง – คุณก็จะเห็นภาพว่าจะปรองดองกันอย่างไร-ต่อไป?

แต่เรื่องแบบนี้ “หัวหน้าโรงงานผลิตภาษา” (แห่งชาติ) กลับคิดไม่เป็น.???

นอกจากตัวหัวหน้าโรงงานแล้ว ยังมี “ทีมงานอีกหลายคน” – อย่าให้เอ่ยชื่อเลย (แม้แต่ตัวหัวหน้า ผมยังไม่อยากเอ่ยชื่อ) พวกคุณจะประดิษฐ์คำพูดอะไรออกมาก็ได้, แต่ถ้ามันไม่ได้ออกมาจาก “หัวใจ” มันก็แค่ วิธีการทำมาหากินแบบหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง.!!!

อ้างอิง

[1] http://www.prachatai3.info/journal/2011/02/33152

[2] http://community.isranews.org/politic/680-2010-07-29-10-10-02.html

////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สมาร์ทการ์ด เน่า !!??

จนถึงวันนี้ประชาชนทั้งประเทศก็ยังไม่สามารถได้บัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์หรือสมาร์ทการ์ด เพราะที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 มกราคม ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ ทั้งที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้เรียกกิจการร่วมค้าวีสมาร์ท ผู้ผลิตมาเจรจาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดปัญหาความล่าช้าขึ้น

ทั้งที่เมื่อปลายปี 2553 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีไอซีที ได้ยืนยันว่าปัญหาความขัดแย้งกับกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว และจะเร่งดำเนินการโดยเร็วตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ประชาชนได้ใช้งานบัตรโดยเร็วที่สุด ที่ผ่านมามติ ครม. ได้กำหนดให้กระทรวงมหาดไทยต้องเป็นผู้นำเข้า ครม. และคาดการณ์ว่าประชาชนจะได้ใช้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ขณะที่มีผู้ถือบัตรเหลืองล่าสุดกว่า 3 ล้านคน ซึ่งก่อนหน้านี้นายจุติเคยชี้แจงว่า มีปัญหาการทำบล็อกแผนที่ประเทศไทยเป็น 3 มิติ ซึ่งต้องใช้เวลา 30 วัน และต้องทำที่ต่างประเทศ หากบล็อกเสร็จจะใช้กระบวนการผลิตบัตรเพียง 30 วัน จากเดิม 45-60 วัน ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตยืนยันว่าบัตรรอบแรกจะสามารถทยอยส่งมาให้ก่อน 500,000-1 ล้านใบ

ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ร่วมกับกระทรวงไอซีที ซึ่งเบื้องต้นกระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ทราบถึงเหตุผลการไม่เซ็นรับบัตร เพราะบัตรไม่ถูกต้องตามที่ตกลงกันไว้ แต่นายอภิสิทธิ์ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อแผ่นดินกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ระบุว่า หากสามารถตกลงกับผู้ผลิตได้ คาดว่าภายใน 1 เดือนน่าจะเรียบร้อย แต่หากเกิดความเสียหายจนกระทั่งไม่สามารถนำบัตรมาใช้ได้ ก็ต้องตรวจสอบดูอีกครั้งว่าเป็นความผิดของใคร และหากเกินเลยไปจากความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยจะต้องมีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงต่อไป

สรุปแล้วประชาชนยังไม่รู้ว่าจะต้องถือบัตรเหลืองแทนสมาร์ทการ์ดไปอีกนานแค่ไหน ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ก็รู้ดีว่าปํญหานี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งของรัฐมนตรี 2 กระทรวง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือการทุจริตคอร์รัปชันก็ตาม นายอภิสิทธิ์ก็ต้องไม่ปล่อยให้ปัญหานี้ยืดเยือมานานหลายเดือนเช่นนี้

ดังนั้น กรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย จะนำเรื่องบัตรสมาร์ทการ์ดมาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรายบุคคล โดยถือว่าเป็นความผิดของนายอภิสิทธิ์และ ครม. ทั้งคณะ เนื่องจาก ครม. มีมติให้กระทรวงมหาดไทยแก้กฎกระทรวงมหาดไทย เพื่อรองรับบัตรสมาร์ทการ์ดที่กระทรวงไอซีทีจัดทำขึ้นมาแบบไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง เท่ากับว่า ครม. ร่วมกันฟอกสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง

แต่ผลเสียหายที่เกิดขึ้นขณะนี้ไม่ใช่แค่รัฐบาลจะกระทำผิดกฎหมาย หรือมีการทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่เท่านั้น ยังทำให้ประชาชนหลายล้านคนขณะนี้เดือดร้อนในการทำธุรกรรมต่างๆอย่างมากด้วย

ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

////////////////////////////////////////////////////////////////////

มุมแดงแจงสี่เบี้ย ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา

รับกับสถานการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงจนถึงขั้นปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา “ลูกไม้ใต้ต้น” ฉบับนี้ จึงขอนำเสนอ ส.ส.รุ่นเก๋าแห่งพรรคเพื่อไทย “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” ส.ส.นครราชสีมา ที่ยืนหยัดอยู่ในสภามากว่า 20 ปี ซึ่งท่านสวมหมวกอีกใบที่เกี่ยวข้องกับการทหารโดยตรงคือ ประธานกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร

>>ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา

“ปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของชายแดนมันมีมานานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะกัมพูชาอย่างเดียว แต่รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่การแบ่งปันเขตแดนในประเทศอื่น เช่น ลาว พม่า หรือมาเลเซีย เสร็จสิ้นไปหมดแล้ว จึงไม่พบความขัดแย้ง ในบริเวณนี้นัก ยกเว้นกัมพูชา ที่ยังมีพื้นที่ทับซ้อนหลายแห่งทั้งบนบกและในทะเล”

>>มูลเหตุของความขัดแย้ง

“สาเหตุหลักเนื่องจากทั้งไทยและ กัมพูชาเองต่างถือแผนที่กันคนละฉบับ จึงทำ ให้แนวเขตแดนไม่ตรงกัน ทำให้ต่างคนต่างถือ ว่าดินแดนในแผนที่เป็นของตัวเอง จนมีการ นำเรื่องเขาพระวิหารเข้าพิจารณาในศาลโลก ตั้งแต่ประมาณปี 2505 จึงทำให้เกิดปัญหามา เรื่อยๆ จนปัจจุบัน”

>>ความรุนแรง

ถึงขั้นปะทะกันในครั้งนี้“การเมืองในประเทศที่กำลังมีการ เคลื่อนไหวกันอยู่ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดปัญหาความรุนแรงขึ้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายการยั่วยุประเทศเพื่อนบ้าน แม้จริงๆ แล้วไม่อยากจะมองเป็นอย่างนี้ อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าไม่มีอะไรที่เป็นเลศนัย มีการแฝงประโยชน์จากกลุ่มการเมือง ก็มอง ได้อย่างชัดเจนว่า พี่น้องประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันทหารเขมรให้ออกจากพื้นที่ตามแผนที่ที่เรามี ซึ่งก็เท่ากับว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเรา จึงทำ ให้รัฐบาลต้องออกอาการอย่างที่เราเห็น และทะเลาะกับกัมพูชาตามที่เป็นข่าว”

>>วิถีชีวิตชาวบ้านทั้งสองฝั่ง

ต่างพึ่งพากัน“เรื่องนี้แน่นอน เพราะถ้าใครไปเที่ยว เขาพระวิหาร ก็ต้องพักที่ฝั่งไทย แต่ที่ผ่าน มามันเป็นเรื่องของการปลุกเร้ากระแสคลั่ง ชาติของผู้นำชุมชน ผู้นำประชาชนบางกลุ่ม ที่ต้องการให้ประชาชนมองเห็นว่าที่ดินตรง นี้เป็นที่ดินของไทย ซึ่งถ้าไม่มีข้อพิพาทคง ไม่เกิดเหตุอะไรขึ้น แล้วที่ผ่านมาเราก็ปล่อยปละละเลยกันมายาวนานมากจนกระทั่งมันไล่ไม่ออก เพราะฉะนั้น ต้องหาทางเจรจา หาข้อยุติโดยเร็ว”

>>หลายฝ่ายมองว่า

เป็นเรื่องของผลประโยชน์“ถ้ามองในมุมของผลประโยชน์ ก็อาจ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมืองในประเทศ อาจมีการเบี่ยงเบนประเด็นของเรื่องบางเรื่อง ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงประเด็น ให้ประชาชนสนใจในเรื่องการเมืองของไทย กับกัมพูชา ในเวลาเดียวกันก็อาจทำให้รัฐบาล ลอยตัวได้ในเรื่องของทุจริตคอร์รัปชั่น แต่อย่างไรก็ตาม คิดว่าวันนี้นี่ปัญหาหลักๆ คือ ปัญหาของเขตแดน และปัญหาของพระวิหาร ซึ่งศาลตัดสินไปแล้ว แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง บอกว่า สามารถเรียกร้องกลับคืนมาได้ เพราะมีการสงวนสิทธิเอาไว้ แต่ว่ามันมีกำหนดระยะเวลาเอาไว้ ซึ่งมันเกินกำหนด ระยะเวลามานานแล้ว แต่เราก็เอากลับมา ฟื้นเรื่องนี้กันใหม่”

“ถามว่าทำได้ไหม ก็ต้องบอกว่าถ้าทำ ได้ก็ดี แต่ยังไงก็ตาม ต้องเป็นแบบสันติวิธี แล้วไม่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้น เพราะรบกันไม่มี อะไรดี มีแต่เสียกับเสีย ไม่มีประโยชน์”

>>สิ่งที่รัฐบาลควรทำในขณะนี้

“รัฐบาลจำเป็นต้องเดินเกมด้วยการ ทูตอย่างเร่งด่วน เพราะการปะทะกันไม่ได้ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งนอก จากจะเสียหายทั้งสองฝ่ายแล้ว ประชาชนยังเดือดร้อน ในขณะที่ประเทศชาติก็ลำบาก เพราะฉะนั้น การสู้รบกันจะไม่มีใครชนะ แต่จะทำให้เกิดความเสียหายมากมาย โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องเจอกันตลอด การปะทะกันก็เปรียบเสมือนลิ้นกับ ฟัน ถ้าจะต้องมาทะเลาะกันอยู่ทุกวันคงทำ ไม่ได้ ยิ่งถ้าแค่เสียงปืนดังแล้วยังปล่อยให้ อยู่อย่างนี้ มันก็ยังจะมีการปะทะเกิดขึ้นได้ อีก แล้วเมื่อหยุดปะทะแล้วไม่เจรจากันต่อ ก็มีโอกาสที่จะเกิดการปะทะกันได้อีก”

>>รัฐบาลจะทำอย่างไรต่อไป

หลังการหยุดยิง“วันนี้ต้องให้คณะกรรมการปักปันเขต แดนหรือ JBC ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา เป็นคณะกรรมการร่วมอยู่ และให้ทั้งสองฝ่าย ตกลงร่วมกันอย่างรวดเร็วต่อเนื่องและทำ อย่างจริงจัง ซึ่งเดิมมีการประชุมกันมาหลาย ปีแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะต่างคนต่าง หลีกเลี่ยงกันบ้าง ต่างฝ่ายต่างมีปัญหาบ้าง แล้วในที่สุดก็ไม่ได้ทำอย่างจริงจังต่อเนื่อง ที่สำคัญจำเป็นต้องมีคนกลางคอยไกล่เกลี่ย ซึ่งนี่แค่พื้นที่บนบกที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนเท่านั้น ยังมีปัญหาในเรื่องของพื้นที่บริเวณ เกาะกูด อ่าวไทยและหลักเขตที่ 78 อีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านี้มาก เพราะเป็นอาณาเขตพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งนี่เป็นแค่จุด เริ่มต้น”

>>การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

“เรื่องของเขตแดนพื้นที่ทับซ้อน หากต่างคนต่างเกี่ยงกันแบบนี้ คงปล่อยให้ เป็นต่อไปไม่ได้ คือถ้าเรามองจริงๆ หากตกลงกันไม่ได้ คงมาปั่นหัวปั่นก้อยไม่ได้ พอถึงเวลาจริงๆ จึงน่าใช้พื้นที่ทับซ้อนทำประโยชน์ร่วมกัน แต่ก็จะเกิดปัญหาตามมา อีกเพราะจะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมเพราะถือว่าดินแดนเป็นของเรา แต่ความ จริง ณ วันนี้ ต่างประเทศก็ประกาศไปแล้วว่าดินแดนวัดแก้วสิกขาเป็นของเรา แต่อยู่ดีๆ มาบอกให้มาบูรณะร่วมกัน เก็บประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งถ้าทำได้ก็ดี เป็นเจ้าของทั้งสองประเทศ แต่เวลาเดียวกันกลุ่ม พี่น้องประชาชนจะยอมรับได้หรือไม่ รัฐบาลก็ลำบาก”

>>รัฐบาลถูกกดดันมวลชนรอบด้านในหลายเรื่อง

“แน่นอนตอนนี้รัฐบาลถูกกดดันจาก ทั้งมวลชนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ถามว่า วันนี้รัฐบาลเปิดศึกหลายด้านคงไม่ไหว ในประเทศยังย่ำแย่ขนาดนี้ แล้วไปรบกับ เพื่อนบ้านอีกคงไม่ได้ ตอนนี้จึงดูเหมือนว่า รัฐบาลค่อนข้างคลอนแคลน แล้วจะเอาอะไร ไปต่อสู้กับข้าศึกศัตรู”

>>หลายฝ่ายมองว่าฮุนเซน

ฉวยโอกาสตอนรัฐบาลไทยอ่อนแอ“ทางกัมพูชาเขามีการดำเนิน กลยุทธ์และทางการทูตกันต่อเนื่องอยู่แล้ว กับประเทศไทย ซึ่งเขามองดูว่าวันนี้มันมีปัญหากันระหว่างไทยกับกัมพูชา เขาก็จะพยายามที่จะแก้ปัญหาการเมืองภายในของเขา ในการเรียกศรัทธาจากพี่น้องประชาชนในประเทศ ในเวลาเดียวกันเขา ก็รู้อยู่แล้วว่าการเมืองไทยเป็นอย่างไร แล้วไมตรีที่มีต่อกันกับรัฐบาลชุดนี้มีค่อนข้างน้อย ไม่ใช่เฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศ (กษิต ภิรมย์) เท่านั้น แต่ยังมีอย่างอื่นด้วย ทำให้เขามองว่า ประเทศไทยยังไม่เป็นมิตร ที่ดีต่อเขา”

“ประกอบกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ของเขาประสบปัญหาค่อนข้างเยอะ แต่ก็ ได้รับการช่วยจากประเทศใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเวียดนามหรือจีน ทำให้เขามองว่าเขา มีหลัก มีแบ็กอัพ มีแหล่งที่จะสนับสนุนเขา เพราะฉะนั้น เราอย่าไปมองว่าเราจะเอา ชนะกัมพูชาได้ง่ายๆ เขามีแบ็กเยอะ ในขณะที่เราถูกโดดเดี่ยว เราจะทำเก่งคงไม่ได้ ตอนนี้คงไม่คุ้มแน่”

>>เรื่องการทูตของรัฐบาลนี้

ค่อนข้างล้มเหลว“หลายฝ่ายเห็นว่าเรื่องของการทูต การต่างประเทศในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กับรัฐบาลปัจจุบันต่างกันอย่างลิบลับ เพราะยุคของทักษิณเศรษฐกิจดี ประชาชนคนในชาติมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในช่วงที่มีปัญหาการเผาสถานทูตไทย ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องของความเด็ดขาด การสั่งอพยพคนไทย การตัดสัมพันธ์ทางการทูต แต่ในยุครัฐบาลนี้ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค่อนข้างลำบาก เพราะบ้านเมืองระส่ำระสาย เศรษฐกิจไม่ดี การทหารก็มัวแต่อิงการ เมือง ห่วงแต่เรื่องของการเมือง จึงทำให้ความใส่ใจในเรื่องนี้น้อยลงไป เพราะฉะนั้น นายกฯ ต้องรีบดำเนินการโดยด่วนในการ นำคนไทยที่ติดคุกในกัมพูชาออกมาโดยเร็ว ที่สุด ซึ่งความจริงตั้งแต่วันถูกจับนายกฯ ต้องแสดงภาวะผู้นำก็ให้กัมพูชาปล่อยคนไทยออกมาตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

>>คนส่วนหนึ่งมองว่า

เราอาจเสียพื้นที่ทับซ้อน“เรื่องศาลโลกผมไม่แน่ใจ แต่เขาท้า ให้เราไปขึ้นศาลโลก ซึ่งผมคิดว่าเราคงไม่กล้าขึ้น เพราะขึ้นไปเราก็เจอตอแน่ เพราะประเทศหลักหนุนเขาทั้งนั้น”

>>เรื่องของศึกภายใน

ระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดง“เรื่องนี้คงยุติได้แต่ต้องใช้เวลาสักพัก ซึ่งตัวจักรสำคัญก็คือ คณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเขาก็ค่อยๆ ทำงาน แต่อาจเพราะรัฐให้ความสำคัญค่อนข้างน้อย เพราะมีเรื่องใหญ่ที่ต้องคอยรับมือมากกว่า”

>>การปฏิรูปการเมือง

“จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปฏิรูปการ เมือง เพื่อให้เกิดจิตสำนึก ความรับผิดชอบ ไม่ใช่เกิดเหตุเพื่อชิงความได้เปรียบทาง การเมือง เช่นตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจน ณ ปัจจุบัน อย่างการแบ่งเขตเลือกตั้งที่มุ่งหวังเอาเปรียบทางการเมืองโดยไม่คำนึง ถึงอะไร”

>>ความพร้อม

ในการเลือกตั้งครั้งหน้า“เรื่องของความพร้อมคิดว่าทุกคนคงพร้อมรับการเลือกตั้งตลอดเวลา แต่จะ ได้รับเลือกหรือไม่ ก็ต้องขึ้นกับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากเลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาเกินครึ่งก็ไม่น่าเป็นปัญหากับการตั้งรัฐบาล”

ครบถ้วนกระบวนความสำหรับมิติ ปัญหา “ไทย-กัมพูชา” ผ่านมิติมวยมุมแดง “พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ” ประธาน กมธ.ทหาร

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

"ไตรรงค์" เผย "ฮุนเซน" บอกไม่มี "ทวิภาคี" อีกต่อไป-อาจยื่นให้ศาลโลกรื้อฟื้นคำพิพากษา

"ไตรรงค์" พบ "ฮุนเซน" ในการประชุมสุดยอดธุรกิจไทย-กัมพูชาครั้งที่ 1 ประจำปี 2554 ระบุ นายกฯ กัมพูชายันไม่มี "ทวิภาคี" อีกต่อไป และอาจยื่นให้ศาลโลกรื้อฟื้นคำพิพากษาปราสาทพระวิหาร

รายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ว่าเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี และนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าพบสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยนายไตรรงค์และคณะได้เดินทางไปยังกรุงพนมเปญ เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จฯฮุน เซน และจัดกิจกรรมการประชุมสุดยอดธุรกิจไทย-กัมพูชาครั้งที่ 1 ประจำปี 2554

นายไตรรงค์ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมหารือกับสมเด็จฯฮุน เซน ว่า ทั้งสองฝ่ายหารือในเรื่องการค้าระหว่างไทยและกัมพูชา จากนั้นสมเด็จฯฮุน เซน ได้หยิบยกปัญหาเขตแดนมาหารือ โดยฝากไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่ากัมพูชามีเจตนารมณ์ที่จะยุติความขัดแย้งชายแดนระหว่างกัน ร่วมแสวงหาหลักหมุดชายแดนโดยพร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำของยูเอ็นเอสซีที่ให้ หยุดยิงเป็นการถาวรและเจรจาทวิภาคี แต่สิ่งที่ต้องการของสมเด็จฯฮุน เซน คือน่าจะมีสักขีพยานในการเจรจา สักขีพยานจะมาจากสมาชิกทุกชาติของอาเซียน หรือเป็นประธานอาเซียนก็ได้ และสมเด็จฯฮุน เซน ไม่ต้องการเห็นสงครามคำพูดระหว่างกัน

ด้านสมเด็จฯฮุน เซน แถลงถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งว่า การประชุมสองฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ยุติลง ต่อไปจะไม่มีการประชุมทวิภาคีอีกแล้ว การประชุมครั้งต่อไปต้องมีฝ่ายที่สาม จะต้องมีประธานอาเซียนซึ่งปัจจุบันเป็นอินโดนีเซีย ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ เป็นการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ผู้ไปนั่งประชุมคือบุคคลที่สามแล้ว

สมเด็จฯฮุน เซน กล่าวต่อว่า อาเซียนไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาได้ อาเซียนทำได้เพียงขัดขวางไม่ให้สองคนทะเลาะกัน ยูเอ็นเอสซีไม่มีบทบาทแก้ไขให้ปัญหามันจบสิ้นได้ แต่กัมพูชายังมีทางเดินของตัวเอง โดยจะฟ้องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice-ICJ) หรือศาลโลก ให้พิจารณารื้อฟื้นคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 อีกครั้ง เพื่อยุติข้อขัดแย้งในปัญหาเส้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างชัดเจน

ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คอป.ซัก "ผบ.หน่วย" ทหารแตกทัพเหตุ 10 เมษา 53 ถามใช้ "อาวุธ" อะไร ขน "ยานเกราะ" ออกมาทำไม ?

ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีการประชุมแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและตรวจสอบหาความจริงจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553

โดยยกกรณีเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ในวันที่เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนิน จนเหตุการณ์รุนแรงลุกลามทำให้ทั้งสองฝ่าย คือ พลเรือนและทหาร เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก  ในการประชุมแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ ทาง คอป. ได้เชิญตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยมี พ.อ.ธรรมนูญ วิถี ผอ.กองยุทธการ ตัวแทนกองทัพภาคที่ 1 กล่าวชี้แจงในฐานะผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารที่เข้าประจำจุดพื้นที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ว่า  ในส่วนหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาตนเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในจุดที่มีการชุมนุมและได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นต้องขออนุญาตแสดงความเสียใจและขออภัยขอโทษผู้ที่ได้รับความสูญเสียในวันนั้น ที่ไม่ได้มาในวันนี้ด้วย เป็นความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ด้วยความจริงใจ มีทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นพี่น้องประชาชนหลายคน

"ในวันนี้ที่มาคุยกันเพื่อให้รับทราบสาเหตุที่แท้จริง... จนเจ้าหน้าที่ต้องออกมาปฏิบัติงาน ข้างหน้า คือ พี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น 

ผมในฐานะที่นำกำลังมา 3 กองร้อย ผมยืนยันว่าได้บอกกับผู้ใต้บังคับบัญชา ว่า ข้างหน้า คือ พี่น้องคนไทยทุกคน อย่าทำอะไรที่เป็นเหตุความรุนแรง เราจะมีการประชุมวันละสองรอบ คำสั่งที่ได้รับ คือ ไปกำชับลูกน้องให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ข้างหน้าไม่ใช้ฝ่ายตรงข้ามที่รังเกียจเดียดฉันท์กัน ผมชื่นชมพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเป็นการส่วนตัว ยืนยันว่าเมื่อเข้ามาทำหน้าที่ไม่ได้คิดว่าฝั่งตรงข้ามเป็นศัตรู"

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ในเรื่องของฝ่ายความมั่นคง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีหลายวิธี บางประเทศใช้พลังประชาชน เมื่อเห็นว่ารัฐบริหารงานไม่เป็นไปด้วยความยุติธรรมหรือทุจริตคอรัปชั่น ส่วนฝ่ายความมั่นคงมองว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีโมเดลอีกรูปแบบหนึ่ง คือ ใช้ พรรค มวลชน และกองกำลัง นี่คือ พื้นฐานที่ต้องพิสูนจ์กันต่อไป ว่าเรื่องนี้มีอยู่จริงหรือไม่

ประเด็นใหญ่ในวันที่ 10 เมษายน ผมมีภารกิจที่ใช้กัน ว่า "ขอคืนพื้นที่" บางฝ่ายก็ไม่อยากจะใช้ โดยมีภารกิจทำให้สะพานพระปิ่นเกล้า กับ สะพานพระราม 8 ต้องเปิดใช้งานได้เปิดการจราจรได้

จากนั้นเป็นการแบ่งมอบให้หน่วยที่รับผิดชอบ  หน่วยหลัก คือ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ รับผิดชอบถนนราชดำเนินนอกที่รับผิดชอบแยกมิสกวัน ถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงแยก จปร. กองพลที่ 2 รักษาพระองค์ซึ่งตนรับผิดชอบในส่วนนั้นด้วยรับผิดชอบตั้งแต่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสี่แยกคอกวัว เพื่อที่จะเปิดการจราจรที่สะพานพระปิ่นเกล้า ภารกิจมีเท่านี้ มีเวลาปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ เวลา 1 3.00 น.

"ในข้อเท็จจริง คือ ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติภารกิจ กำลังของกองพลที่ 2 ที่อยู่ในกองทัพภาคที่ 1 ส่วนหนึ่งและอยู่ในสโมสรกองทัพบก ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้ ในแง่ทหารไม่สามารถออกไปจากที่รวมพลไปได้ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมนำคนมาปิดกั้น" 

ในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่คงต้องปฏิบัติภารกิจตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ตามกฎการใช้กำลังเป็นหลัก เจ้าหน้าที่ต้องออกไปจากกองทัพภาคที่ 1 ให้ได้  จากกองทัพภาคที่ 1 มาถึงลานพระบรมรูปทรงม้าเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นราชดำเนินนอก เลี้ยวขวาเส้นแยกวังแดงเพื่อไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากตรงนั้นไปมีการเจรจากันมาโดยตลอด ผู้ที่อยู่บริเวณนั้นไม่ยอมให้เราผ่านไป จำเป็นต้องขยับขยายกันบ้าง ใช้แก๊สน้ำตาไป 1 ลูก ทางนั้นโยนกลับมา 4 ลูก

"ผมโดนแก๊สน้ำตาไป 4 รอบ แต่ไม่โกรธกัน ต่างคนต่างปฏิบัติหน้าที่ ทางฝ่ายผู้ชุมนุมก็ต้องการรักษาพื้นที่ไว้ เพราะเขาคิดว่าจะไปรื้อเวทีที่สะพานผ่านฟ้า แต่เราคิดว่าจะเปิดพื้นที่จากอนุสาวรีย์ไป ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ คิดกันอย่างนั้น จนกระทั่งไปถึงที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาไปหยุดประมาณ 17.00 น. ก่อนค่ำมืด จุดที่ไปถึงระหว่างกลุ่ม นปช. ที่ตรึงกันบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะนั้นกำลังอยู่ใกล้กันมาก มีรถปิคอัพขวางเท่านั้น  ทั้งสองฝ่ายแลกข้าวแลกน้ำกันแล้ว พูดคุยกันแล้วคิดว่าผู้บังคับบัญชาสั่งอย่างไรก็จะปฏิบัติต่อ แต่ไม่มีลักษณะที่จะเกิดการใช้อาวุธที่รุนแรงจนเสียชีวิต ในส่วนของกองพลทหารราบที่ 2  รักษาพระองค์ไปหยุดที่โรงเรียนสตรีวิทยา  ภาพเป็นอย่างนั้นอาจจะมีการผลักดันกันไป มีพระสงฆ์มานั่งก็ต้องนิมนต์ท่านเชิญออกข้างนอก นายสั่งให้เดินต่อไป มีการพูดคุยกันไม่มีลักษณะรุนแรง จนถึงขนาดบาดเจ็บเสียชีวิต"

ส่วนของอีกหน่วย คือ กองพลที่ 2 รักษาพระองค์ จากแยกสะพานวันชาติ เลี้ยวขวาไปหน้าวัดบวรนิเวศ  ผ่านวงเวียน ไปที่สี่แยกคอกวัว เพื่อไปบรรจบกัน กลุ่มหนึ่งไปหยุดที่โรงเรียนสตรีวิทยาอีกกลุ่มไปหยุดที่สี่แยกคอกวัว ผลักดันกันไม่สามารถเคลื่อนต่อไปได้ กำลังของพี่น้องเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ

กลับไปที่กองพลทหารราบที่ 1 ที่้ต้องเดินทางให้ถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์แต่เดินไปไม่ถึง และต้องมีกำลังส่วนหนึ่งที่ไปคอยผลักดันไม่ให้กำลังผู้ชุมนุมที่เดินทางมาจากสี่แยกราชประสงค์มาสมทบได้ แต่ปรากฏว่าสกัดกั้นไม่สำเร็จตรงเชิงสะพานยมราช เพราะมีฝ่ายตรงข้ามเป็นจำนวนมากและได้รับการตอบโต้อย่างหนัก  และมีผู้บังคับบัญชาได้เห็นผู้ที่คิดว่าเป็นแกนนำกองกำลัง มายืนสั่งการมีการใช้ยุทโธปกรณ์ เป็นจำนวนมาก กองพลทหารราบที่ 1 กลับไปไม่ถึงสะพานมัฆวานฯ ต้องกลับเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ทางราชดำเนินนอกไม่สามารถขอคืนพื้นที่ได้

ส่วนที่สอง คือ โรงเรียนสตรีวิทยากับสี่แยกคอกวัว ซึ่งถ้าผมเป็นฝ่ายตรงข้ามต้องคิดแล้วว่า จะทำอย่างไรที่จะผลักดันกำลังสองกลุ่มนี้ออกไปได้ ขณะที่เราจับมือกันแล้วคุยกันแล้ว  ผู้บังคับบัญชาสั่งว่าค่ำแล้ว ต้องถอนกำลังออก ในการจะถอนกำลังออก เวลา 17.00 น. ส่วนกองพลที่ 1 ถอนกำลังออก เพราะว่าทางฝ่ายผู้ชุมนุมมีกำลังจำนวนมาก ในส่วนที่เหลืออยู่ถูกล้อมหมดแล้ว ผู้บัญชาการกองพลเรียกรวมว่าจะถอยออกอย่างไร เพื่อปรับกำลัง แนวทางคือว่า จะมีการวางกำลังส่วนหน้าไว้เล็กน้อยและถอนกำลังเข้าไปในกองทัพบก ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา 

ระหว่างนั้นสี่แยกคอกวัว มีกำลังพลของกรมหทารราบที่ 2 รักษาพระองค์ถูกยิงด้วยเอ็ม 79 หลายลูก  ทหารได้รับบาดเจ็บหลายคน ผู้บังคับหน่วยก็ขอถอนกำลังกลับเข้าไปที่สโมสรทหารบก ระหว่างทางผู้บังคับบัญชาต้องการให้กำลังของทางผู้บังคับหน่วยที่สี่แยกคอกวัว ปิดกั้นท้ายไว้ส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้กำลังจากวัดบวรนิเวศ บีบเข้ามาทางหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ที่มีคนมาล้อมหมดแล้ว  กองพลที่ 1 ทานไม่ไหวกลับเข้าไปในกองทัพแล้ว ทหารที่มาจากปราจีนบุรีเอง ได้รับบาดเจ็บมาก โดนระเบิด เอ็ม 79 ประมาณ 15-16 ลูก  

พอทหารที่สี่แยกคอกวัวถอนกลับไปแล้ว กลุ่ม นปช.ที่สี่แยกคอกวัวก็เคลื่อนมาจากวัดบวรนิเวศ มาปิดทางด้านข้างของวัดบวรนิเวศ จากสะพานวันชาติมาทางสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ขณะนี้มีคนล้อมทั้งหมด ข้างหน้าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นปช.เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 2 พัน เป็น 5 พันคน ตอนนั้นคิดว่าจะถอนคุยกันได้ แต่บังเอิญว่า มีอาวุธสงครามอยู่ที่สี่แยกคอกวัว น่าจะเป็นอันตราย ผู้บัญชาการเกรงว่าจะมีอันตราย สั่งให้มีการรวมผู้บัญชาการกองโดยการไปรวมตัวที่หลังรถสายพานลำเลียงพล(รสพ.) ระหว่างที่กำลังประชุมชี้แจงปรับกำลังที่จะถอนตัว 

ข้างหน้ามีการสับเปลี่ยนกำลังกัน ผมก็ลุกขึ้นไปกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านหน้าให้วางกำลังหนาแน่น เพราะว่ามีกำลังที่อยู่บริเวณนั้นเดิมเป็นผู้หญิง แต่ตอนนั้นเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์มาพร้อมกับรถเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ เพื่อกลบเสียงสั่งการ และระหว่างที่ผมลุกไปแล้วไปแจ้งเตือนลูกน้องให้กระชับกำลัง แล้วหันหลังกลับมา ซึ่งห่างจากวงผู้บังคับบัญชาประมาณ 10 เมตร เกิดระเบิดขึ้น 1 ลูก กึ่งกลางเส้นเหลืองของถนน อยู่ด้านข้างของวงสนทนาสั่งการของผู้บังคับบัญชา  ไม่แน่ในว่าเป็นเอ็ม 79 หรือระเบิดขว้าง  มีผู้บังคับบัญชาและกำลังพลบาดเจ็บหลายนาย  ตัวผมเองมีบาดแผลที่นิ้วมือซ้ายและขาซ้าย แต่ยังสามารถควบคุมสติได้ 

ในเวลาต่อมา 2-3 นาที มีระเบิดเพลิง 1 ลูกตกลงมาใกล้กัน ระหว่างนี้แถวทหารถูกกลุ่มพี่น้องที่เป็นวัยรุ่นดันมาด้านหลัง จะถอยออกมาเป็นรูปตัวยู จะถึงแนวที่ผู้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บ ตรงนี้จะมีระเบิดหรือเอ็ม 79 ลงมาอีก 1 ลุก ตรงนี้จะมีผู้บังคับบัญชาบาดเจ็บมาก แล้วผู้บัญชาการก็ขาหักไปไม่ได้ ต้องลากกันไป แตกทัพ จนมาถึงเชิงสะพานวันชาติ

พี่น้องที่ขยับเข้ามาประมาณกึ่งกลางของถนนดินสอ ไม่แน่ใจว่าเป็นส.ส.กทม.ท่านหนึ่งที่เดินตามกลุ่ม นปช. เข้ามา ทางผมก็ให้ผู้พันไปเรียนให้ท่านทราบว่าพอได้แล้ว มีผู้บังคับบัญชาบาดเจ็บ ท่านก็โทรไปหาพิธีกรบนเวที สั่งให้หยุด เพราะว่ามีการบาดเจ็บ แล้วเราก็ถอนกลับไป ผมคิดว่าสองท่านนั้น เป็นคนโทรไปบอกให้หยุด ท่านผู้บังคับบัญชาต้องลงไปหลบซ่อนในคลองสะพานวันชาติ เพราะว่าไม่สามารถออกไปได้  ผมทราบว่าที่พี่น้อง นปช.มีความโกรธแค้น เป็นข้อมูลมีพี่น้องเราส่งไปให้เพื่อนผู้ชุมนุมทราบว่า ฝ่ายทหารมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต กลุ่มของผมอยู่ในกลุ่มที่สองที่พี่น้องได้รับข้อมูลว่า มีคนเจ็บคนตาย

ตอนนั้นมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ ขึ้นรถไปเลี้ยวซ้ายไปทางวัดบวรฯ มีพี่น้องกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาปิดทางวัดบวรฯ เห็นทหารกลุ่มหนึ่งได้รับบาดเจ็บจึงลากลงมาตี  ผมดูในทีวีก็มีพี่น้องเสื้อแดงบอกว่าพอแล้วอย่าทำ เขาก็มาห้ามก็มีบาดเจ็บ

จากนั้น คณะกรรมการ คอป. ได้ตั้งคำถามกับ พ.อ.ธรรมนูญหลายข้อดังนี้

@ พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ คณะอนุกรรมการตรวจสอบความจริง คอป. ถามว่า ในส่วนต้นกองทัพบกยังมีคำสั่งไม่ให้ใช้อาวุธในการปฏิบัติการ ถ้าเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่มีภาพจากข่าวจาก นสพ.ว่าทหารได้ใช้ รถถังตามข่าว ซึ่งความจริง คือ รถสายพานลำเลียงพล รสพ. ไปด้วยหรือเปล่า ถ้าเอาไปจะประเมินอย่างไร เพราะลักษณะยานยนต์ เหมือนใช้ในสงคราม คนมองหรือตีความจะมองว่า ไม่ควรใช้กับประชาชน มันจะทำให้เกิดความรู้สึกยั่วยุหรือเปล่า

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า กองพลทหารราบที่ 2ไม่มีรถยานยนต์หุ้มเกราะมาด้วย เมื่อมาปฏิบัติภารกิจตรงนั้น เมื่อมาถึงสี่แยกวังแดงก็ได้รับแจ้งว่า ทางหน่วยเหนือได้มอบรถบรรทุกยานเกราะไม่ใช่รถถัง เพราะรถถังจะมีปืนใหญ่ รถบรรทุกยานยนต์หุ้มเกราะจะเหมือนยานยนต์รบของทหารราบใช้บรรทุกคนโดยใช้รถเป็นเกราะกำบัง เหยียบเข้าที่หมายโดยไม่ใช้กำลัง กองทัพบกทราบว่า มีกองกำลัง ในห้วงที่ผ่านมา มีเอ็ม 79 ยิงไปที่สถานีโทรทัศน์ มีหลายที่ซึ่งมีอาวุธ ก็ได้ใช้รถหุ้มเกราะเป็นที่กำบัง ซึ่งเราใช้มาตลอด และพลรบก็ไม่มีอาวุธที่จะใช้ปฏิบัติภารกิจในการคืนพื้นที่  โดยพลขับอยู่ข้างบน 1 คน แล้วกำลังพลเดินตามไป

"ในวันเกิดเหตุใช้ รสพ. คันที่สองบังไว้ในการประชุมวางแผนจะถอนตัว ภาพอาจจะดูว่าเป็นการนำยานเกราะมาทำร้ายประชาชน แต่เป็นการป้องกัน "

@ พล.ท.พีระพงษ์ ถามต่อว่า  กระบวนการตัดสินใจย่อมเล็งเห็นผลว่า ประชาชนไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจหรอก แม้กระทั่งสื่อยังไปมองว่าเป็นรถถัง เวลาประกอบกำลังได้มีการคุยกันบ้างหรือไม่ ว่า การนำรถประเภทนี้มากำบังมันอันตรายมาก ชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่าเป็นการยั่วยุสถานการณ์ มีประโยคเหล่านี้บ้างหรือไม่ในการประชุมจัดกำลัง

พ.อ.ธรรมนูญ กระบวนการที่จะสนับสนุนรถถัง ผมไม่ได้อยู่ในกระบวนการ แต่อยากจะเรียนว่า กองพลทหาราบที่ 2 ที่ผมมาอยู่ตรงนั้น ทางผู้บังคับบัญชาก็คงใคร่ครวญดูแล้วว่ามีอันตราย ก็ได้กำชับอีกว่าข้างบนเป็นพลขับ ขับมาไม่มีเจ้าหน้าที่ใช้ปืนอยู่บนรถ ตัวพลขับเองระหว่างเกิดเหตุได้รับบาดเจ็บไม่สามารถนำรถคันดังกล่าวออกมาได้

@ พล.ท.พีระพงษ์ ถามอีกว่า ตอนปฏิบัติการขั้นต้นยังมีการสั่งไม่ให้ใช้อาวุธ เพราะเป็นประชาชน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า จะถูกยิงมาจากทางฝั่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชน แต่ไม่ได้บอกว่าประชาชนเป็นคนยิง ตอนที่ออกไปได้ถืออาวุธไปหรือไม่

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า จะเห็นว่ากองทัพภาคที่ 1 มีแต่กระสุนยาง ผมได้รับคำแจ้งเตือนจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงแจ้งว่า 1. มีรถตู้สองคันจอดที่ถนนราชดำเนิน และมีกองกำลังติดอาวุธ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้บังคับบัญชาจะปฏิบัติอย่างไร 2. กองกำลังที่เจ้าหน้าที่ได้พูดถึง เราใช้กำลังจำนวนหนึ่งไปขอเปิดจราจรปรากฏว่า การที่เราไม่สามารถสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมจากสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งในขณะนั้นมาเต็มแล้ว มีกำลังมากกว่าฝ่ายทหารมาก กองทัพบกได้นำกำลังกองพลทหารราบที่ 9 ทางฝั่งธนมาสนับสนุน ปรากฏว่าหน่วยนี้ปฏิบัติตามนโยบายจอดรถเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ปรากฏว่า ทั้งรถและอาวุธถูกยึดไปหมด นี่เป็นข้อมูล 2 ประการ

@ นายสมชาย หอมละออ คณะอนุกรรมการตรวจสอบหาความจริง คอป. ถามว่า กำลังพลนอกจากอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมฝูงชน นอกจากโล่ กระบอง อาวุธอย่างอื่นมีอีกมั้ย เช่น เอ็ม 16 ลูกระเบิด หรือ มีเฉพาะกองพล 9 ที่มาทีหลังแล้วติดอาวุธ ซึ่งติดอยู่ที่สะพานปิ่นเกล้า

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า เรื่องลูกระเบิดขว้างไม่มีใช้เด็ดขาด มีแค่ลูกซอง ส่วนอาวุธหนึ่งกองร้อยมี 3 หมวด ในแต่ละหมวดมีผู้บังคับหมู่ 3 คน ทางกองทัพบกให้เฉพาะผู้บังคับหมู่ใช้อาวุธได้ เป็นผู้ถืออาวุธ แล้วเอาไว้บนรถ แล้วกำหนดจำนวนที่แน่นนอนควบคุมไว้ จะปฏิบัติได้เมื่อมีคำสั่งที่ทาง ผบ.ทบ. บอกว่าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของผู้นั้น เท่ากับว่า 1 กองร้อยมี 10 กระบอก อยู่บนรถ

นายสมชาย ถามว่า ในความเห็นส่วนตัว ในฐานะนักการทหาร เวลามีเฮลิคอปเตอร์บินมาแล้วโปรยโยนระเบิดควันลงมา คิดว่ามันถูกต้องหรือไม่ คิดว่าเป็นการยั่วยุหรือไม่ในความรู้สึกของนักการทหาร

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า "ผมไม่ทราบ เพราะว่าอยู่ทางโรงเรียนสตรีวิทยา ในส่วนตัวก็เห็นการปฏิบัติ แต่ขออนุญาตไม่มีความเห็นตรงนี้ แต่ผลที่ได้รับคือเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะว่าลมจากใต้ไปเหนือคนที่โดน คือ พวกผมครับ "

นายสมชาย ถามว่า มีคนใช้อาวุธกับทหารแต่งกายชุดดำหรือคล้ายจะดำ ยืนยันได้หรือไม่ มีข้อมูลบอกได้ไหม ที่ว่าบอกเห็นและระบุตัวได้ด้วย ว่าเป็นคนสั่งการยิงใส่ทหารเริ่มจากที่ถนนราชดำเนินพอจะระบุได้หรือไม่ว่าเป็นใคร

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ที่ถนนราชดำเนินนอกที่บอกว่าเป็นภารกิจของกองพลที่ 1 ซึ่งผู้บัญชาการกองพลที่  1 ยืนยันด้วยตัวเองในที่ประชุมว่ามีผู้ยืนสั่งการ ในแง่ของทางการทหาร ผมคิดว่าเส้นหลักการรบมันอยู่ที่ราชดำเนินนอก ทำที่ราชดำเนินนอก กองพลที่ 1 ถอยไปแล้ว จุดต่อไปคือ สี่แยกคอกวัว ระเบิดลง 15 ลูก กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์แตกไปแล้วก็มาถึงจุดที่ผมอยู่  ผมมองว่าแนวทางการปฏิบัติเป็นเช่นนี้ แต่ถามว่าเห็นหรือไม่ ผมก็บอกได้ว่า ผมเห็นแต่แสงและเสียงลูกที่ 1 เห็นระเบิดเพลิง เห็นเอ็ม 79 ลูกที่ 3 เห็นแต่รถ เห็นแต่ในทีวี เห็นภาพที่มีผู้ถ่ายมาว่าเป็นแบบนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ที่ถนนราชดำเนินกลางแต่ไม่เห็นตัว 

@ ด้านนายสมชาย ถามอีกว่า ก่อนที่จะปฏิบัติการได้มีการคาดการณ์หรือเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์หรือไม่ อย่างไร 

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า คิดว่ามีอาวุธ ต้องมีอาวุธ อาจจะเป็นปืนเล็กยาว ทหารที่อยู่ข้างหน้า 4 แถวใช้โล่กับกระบองเท่านั้น ตอนหลังเปลี่ยนเป็นเสื้อเกราะ ทราบว่ามีการใช้อาวุธ แต่ส่วนตัวไม่คิดว่าจะมีการใช้ระเบิดขว้างและเอ็ม 79 ไม่แน่ใจว่าประมาทหรือประเมินสถานการณ์ต่ำไป  เพราะถ้าเป็นปืนเล็กยิงเข้ามาอย่างน้อยก็ยังมีเสื้อเกราะ 

@นายสมชาย ถามว่า กำลังพลที่มาใช้ในการขอคืนพื้นที่ได้มีการฝึกยุทธวิธีในการควบคุมฝูงชนมากน้อยแค่ไหน และระยะเวลาการฝึก อุปกรณ์ต่างๆมีความพร้อมอย่างไร

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ในการฝึกทางกองทัพได้สั่งการให้ดำเนินการเป็นขั้นตอนตามลำดับ แนวทางการควบคุมการใช้กำลัง 7 ขั้นตอน ยึดถือกันอย่างเคร่งครัด ผู้ปฏิบัติฝึกมาในที่ตั้ง และมาฝึกในพื้นที่ จะเห็นภาพข่าวจำลองสถานการณ์ และคนปฏิบัติจริงๆ จากกองทัพภาคที่ 1 ถึงสตรีวิทยา มีการปฏิบัติอย่างสุภาพบุรุษ

"กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ กองพลที่ 1 เป็นต้นแบบ กองพล 11 เป็นเจ้าตำรับในการฝึกให้หน่วยอื่นไปปฏิบัติ มีการฝึกซ้อม มีขั้นตอนการปฏิบัติ กำลังพลต้องพกสมุดเล็ก ๆ แนวทางการปฏิบัติกฏ การปะทะต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องท่องและมีความเข้าใจ ยืนยันว่ามีการฝึก" 

@ นายสมชาย ถามอีกว่า ในการฝึกมีผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานอื่นมาเป็นผู้ฝึกหรือไม่ หรือฝึกกันเอง

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ผมเข้าใจว่ากองพลที่ 1 น่าจะมีจากหน่วยงานอื่น คือ ตำรวจนครบาลมาฝึกให้ แต่กองพล 1 เป็นหน่วยหลักและต้นแบบที่กำหนดให้มาจัดการฝึกให้กับหน่วยอื่น

@ คณะกรรมการ คอป.อีกคนหนึ่งถามว่าวันที่ 10 เมษายน มีอาวุธปืนลูกซอง แล้วมีอาวุธปืนอะไรอีกไหม

พ.อ.ธรรมนูญ บอกว่า ข้างหน้า 4 แถวแรก ไม่มีอาวุธหนัก ครั้งหน้าถ้ามีอีกคนที่อยู่ 4 แถวหน้าจะโดนหนัก คงไม่มีใครอยากไปอยู่อีกแล้ว แถวต่อไปถึงจะให้ปืนลูกซอง ส่วนแถวต่อไปจะเป็นกองบังคับหมู่ปืนเล็ก  และใน 1 กองร้อย จะมี 9 คนที่ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ได้ แต่การปฏิบัติภารกิจต้องเอาไว้ในรถ แต่ถ้ามีเหตุการณ์ทราบว่าอีกฝ่ายมีกองกำลังติดอาวุธก็ต้องอยู่ที่ดุลพินิจ ของผู้บังคับบัญชาว่า จะเอามาป้องกันตนหรือไม่ หรืออย่างเหตุที่ผ่านมา ซึ่งรับแจ้งว่าพล 9 ถูกยึดอาวุธไป อย่างนี้ก็ต้องนำอาวุธออกไป

คณะกรรมการ คอป.ถามอีกว่าสรุปวันนั้นก็มีอาวุธปืนเอ็ม 16 

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ใช่ครับ  แต่ระเบิดขว้างไม่มีเด็ดขาด

ขณะที่ @ นายวสันต์ สายรัศมี อาสาสมัครกู้ภัยอยู่ในเหตุการณ์ 10 เมษายน ถามว่า  4 แนวหน้าที่ พ.อ.ธรรมนูญ บอกว่า คือ โล่ กับกระบอก แต่ภาพที่เห็นในวันนั้น คือ แนวหน้าโล่กับกระบอกแต่แนวที่ 2-3 คือ ลูกซอง  หลังจาก 2-3 ทำไมใช้ปืนเอ็ม 16

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า เป็นแนวตามที่ได้เรียนให้ทราบแล้วหลักๆ คือ กองร้อย 150  คน 4 แถวแรกเป็นกำลังโล่กระบอง เป็นหลัก แล้วถอยไปอีก ถ้าข้างหน้ามีกองกำลังคิดอาวุธ อนุญาตให้นำลงมาได้สำหรับป้องกันตน ตรงสี่แยกคอกวัว ผมไม่ได้อยู่ด้วย เขาปฏิบัติมาตั้งแต่บ่ายสองถึง 4 โมง ดันกันไปดันกันมา ก็อาจจะเป็นไปได้เมื่อ1-2 แนวที่ได้ปฏิบัติอาจจะล้า แล้วถอยออกมาก็เป็นไปได้ ในแนวที่สองที่อยู่ห่างกันเป็นลูกซองอาจจะเป็นไปได้

@ นายวสันต์ ถามต่อว่า แนวปะทะที่สี่แยกคอกวัวทหารเริ่มเข้าหาประชาชนหลังจากเริ่มเคารพธงชาติไม่ถึง 1 นาที ยืนยันว่าในช่วงก่อน 6 โมงเย็น ท่านบอกว่ามีเสียงเอ็ม 79 บอกได้เลยว่าเป็นแค่ถังแก๊สที่ทางฝั่ง นปช.กลิ้งไปหาทหารแล้ว ระเบิดประมาณ 1 ทุ่ม แล้วทหารบอกว่ามี นปช. ใช้อาวุธหรือขว้างไป บอกได้เลย ไม่ใช่ ตอนที่ทหารเจ็บ นั่นคือ ระเบิดที่ทหารขว้างไปใส่กลุ่ม นปช. แล้วระเบิดลูกนี้ตกไปที่กลุ่มทหารไม่ใช่ นปช. เพราะระเบิดขว้างไปติดสายไฟแล้วเด้งกลับลงมาทางฝ่ายทหาร แล้วบอกว่าฝั่งประชาชนขว้างใส่ทหาร ซึ่งตอนนั้นผมยังช่วยทหารที่บาดเจ็บ

พ.อ.ธรรมนูญกล่าวว่า เสียงถังแก๊สระเบิดกับเสียงระเบิดเอ็ม 79 นักการทหารจะฟังได้ เสียงเอ็ม 79 นับได้ 15 ลูก อาจจะมีถังแก๊สระเบิดด้วยเพราะว่าพี่น้องเราใช้ถังแก๊สและมีไฟฟู่ออกมาแรงมาก 5-10 เมตร ถ้าจุดอาจจะระเบิด แต่นั่นไม่กลัวเท่าไร และไม่คิดว่ามีอาวุธ เอ็ม 79 ซึ่งเราไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ในหลักการมี มวลชน มีพระ มีกองกำลัง  ในแง่ของการต่อสู้ ในอดีตสู้ด้วยพลังประชาชน สู้ด้วยกองกำลังติดอาวุธ อันไหนจะนำมาใช้ในตอนไหน นี่เป็นหลักการ หลายคนต้องศึกษาตรงนี้ เมื่อเข้าใจตรงนี้ จะรู้ว่าสู้กับอะไร ป้องกันร่วมกัน

"ถ้าในที่ประชุมนี่ หารือกันแล้วว่า ทหารติดคุก ผมยอม ถ้าทำแล้วทุกอย่างดีขึ้น กองกำลังสลายไป พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จับมือกัน ผมยอมเป็นตัวแทนกองทัพบก บอกแล้วว่าเราพยายามทำ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุ  ขนาดฝึกกันมาขนาดนี้ เรายังได้รับบาดเจ็บ วันนี้ก็เข้าใจเป็นวิธีการต่อสู้ใช้กองกำลัง ไม่ชนะแต่ต่อสู้กันในแง่ของการเมือง ถ้าทุกฝ่ายรู้เท่าทันทุกฝ่ายต้องหันมาช่วยกัน ผมเจ็บนอนโรงพยาบาล 10 กว่าวันผมไม่เคยโกรธ  พล.อ.ร่มเกล้า ก็ปั๊มหัวใจกันต่อหน้า "

"เป็นไปได้ที่เป็นระเบิดขว้างแล้วไปติดสายไฟได้ แต่ผมยืนยันกองทัพภาคที่ 1 ไม่มีเด็ดขาดที่จะเอาระเบิดขว้างติดตัวไป และลูกระเบิดที่เป็นสิ่งประดิษฐ์เราก็ตรวจพบ "

@ นาย สมชายถามว่า ช่วงก่อนที่จะมีระเบิดที่ทำให้ทหารบาดเจ็บก่อนนั้นเข้าใจว่ามีเหตุการณ์รุนแรงเกิดก่อนแล้วในพื้นที่อื่น ส่วนนี้จากเหตุที่เกิดขึ้นหน้ากองทัพบก จะมีผลต่อเนื่องให้เกิดความรุนแรงหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาหรือไม่ และหน่วยของท่านเป็นทหารราบ อาจจะคาดเรื่องความรุนแรงอยู่บ้าง ถึงมีรถหุ้มเกราะ ให้นายทหารเพื่อประชุมหารือกัน เพราะไม่ได้ใช้บังเกอร์ ในการจัดกำลัง มีหน่วยคุ้มกันที่อยู่ตามยอดตึกต่างๆหรือไม่เพื่อคุ้มกัน หน่วยทหารราบที่ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมฝูงชน

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า การจัดกำลังคุมกันการปฏิบัติในส่วนของหน่วย ใช้รถเกราะในการคุ้มกัน แต่ภาพอาจจะน่ากลัวอย่างที่ประชาชนรู้สึก ผมก็รู้สึกแบบนั้น มีข่าวเรื่องมีอาวุธขึ้นมา ส่วนระวางป้องกันที่จะดูแลตามที่สูงในวันนั้น เรารับภารกิจในพื้นราบ เมื่อไปถึงในช่วงเย็นกำลังที่จะเข้าไปในถนนดินสอ ยังไม่ได้จัดกำลังไปบนยอดตึก ขณะเดียวกันที่มีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่มีแสงไฟที่อยู่รอบตึกยิงอาวุธใส่ทหารบนเฮลิคอปเตอร์ได้รับบาดเจ็บ การประมาณสถานการณ์ น่าจะทราบว่า มีคนอยู่บนยอดตึกยิงฮ. อาจจะยิงลงมาใส่เราด้วย การคุ้มกันยอดตึกในเวลานั้นก็ทำไม่หมด บนอาคารโรงเรียนสตริวิทยาก็ไม่ได้ขึ้นไป
    
@ ตัวแทนเอ็นบีที ถามว่า มีไหมที่กำลังพลหน่วยใดหน่วยหนึ่งถูกปลูกฝังมาว่าประชาชนกลุ่มนี้เป็นพวกล้มสถาบันเป็นศัตรูของชาติ

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า "ผมเรียนชี้แจงตั้งแต่แรก ยืนยันว่า ไม่มี พี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ในกรมผม พ่อแม่เขาก็เสื้อแดง ไม่มีการปลุกระดมว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้"

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////