ผลการชี้แจงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) กรณีข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของไทย และนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา พร้อมด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเข้าร่วมด้วยนั้น
นางมาเรีย ริเบริโอ วิออตติ ประธานยูเอ็นเอสซี แถลงเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาทำสัญญาหยุดยิงอย่างถาวร และขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดกลั้นถึงที่สุด หลีกเลี่ยงการกระทำใดๆที่อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ทั้งไม่เห็นด้วยกับคำร้องของฝ่ายกัมพูชาที่จะให้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเข้าประจำการบริเวณปราสาทพระวิหาร
นอกจากนี้ยูเอ็นเอสซียังแถลงการณ์ยืนยันสนับสนุนสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่จะไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยการเจรจาภายใต้การดำเนินการในระดับภูมิภาค เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ยืนยันว่าการแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องใช้การเจรจาทวิภาคีเท่านั้น
แต่มีคำถามว่า หากฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมเจรจาทวิภาคี และปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ ฝ่ายไทยจะดำเนินการอย่างไร เหมือนสถานการณ์เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายกัมพูชาต้องการแสดงให้เห็นว่ากลไกทวิภาคีเดินหน้าไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายไทยที่วันนี้ใช้แถลงการณ์ของยูเอ็นเอสซีบีบให้กัมพูชากลับมาเจรจาทวิภาคีนั้น ฝ่ายไทยก็ต้องไม่หลงกลใช้ความรุนแรงใดๆตอบโต้กัมพูชาที่อาจใช้วิธีการต่างๆยั่วยุด้วย เพราะมิฉะนั้นยูเอ็นเอสซีหรืออาเซียนก็อาจเข้ามาแทรกแซงให้ใช้กลไกพหุภาคีแก้ปัญหาทันที
ที่สำคัญการเจรจาทวิภาคีได้หยุดชะงักมาเกือบ 2 ปีแล้ว นับแต่มีการประชุมครั้งล่าสุดที่กรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 6-7 เมษายน 2552 ซึ่งอุปสรรคสำคัญไม่ใช่เรื่องเอ็มโอยู 43 แต่เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจที่ไทยพยายามกีดกันไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกรับรองให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ดังนั้น ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาจึงจะยืดเยื้อต่อไป แม้จะไม่ได้ปิดตายการเจรจาแบบทวิภาคี แต่การเจรจาอาจไม่คืบหน้าใดๆอย่างที่นายวา กิมฮอง ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมของกัมพูชา ประกาศไม่รับข้อเสนอใดๆของฝ่ายไทยที่จะให้มีการประชุมเจบีซี
เช่นเดียวกับนายฮอร์ นัม ฮง ที่จะต้องใช้นโยบายทางการทูตเพื่อฟ้องประชาคมโลกต่อไปเรื่อยๆในฐานะประเทศเล็กที่ถูกรังแกจนกว่าปราสาทพระวิหารจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การเจรจาทวิภาคีจึงจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งต้องถามนายอภิสิทธิ์กับนายกษิตว่าจะแก้เกมนี้อย่างไร ขณะที่คนไทยจำนวนหนึ่งก็ประณามว่ารัฐบาลนี้กำลังขายชาติและอ่อนแอเกินไป
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
*********************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เขมร รบ ไทย ขบเหลี่ยมชิงแหล่งพลังงานในทะเล
โดย : ธนบูลย์ จิรานุวัฒน์ นักวิชาการกฎหมายระหว่างประเทศ
วัฒนธรรมข้ามชาติยังกลืนกลาย ไม่ร้ายเท่าบรรษัทไร้พรมแดนไร้มนุษยธรรม เช่นที่เมาะตะมะ สำหรับประเทศที่ไม่ชัดเจนเขตแดน ย่อมมีผลประโยชน์เหยียบไว้
โลกนี้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน 2 บริษัท คือ 1. แอตแลนติก ริชฟิลล์ หรือ อาร์โก้ (Atlantic Rich Field Company Limited, ARCO) ในสหรัฐอเมริกาทางภาคเหนือ จดทะเบียนบริษัทลูกชื่อ เอ็กซอน ( EXXON) เพื่อนำเข้าน้ำมัน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แปรรูปจากน้ำมัน และสารเคมี เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เม็ดพลาสติก ฯลฯ
2. บริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ (Standard Oil Company Limited) บริษัทลูกขายปลีกน้ำมันชื่อโมบิล (Mobile) และนำเข้าน้ำมัน แปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำมันและสารเคมี เช่นเดียวกับ บริษัทแอตแลนติก ริชฟิลล์ ทุกอย่าง
บริษัททั้งสองทำทีแข่งขันกันเกือบจะกลบเกลื่อนร่องรอยการร่วมกันกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันและก๊าซในสหรัฐอเมริกา จากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ (end-users) ได้สำเร็จ
แต่แล้วปรากฏกระทาชายชื่อ นายอากูเอล่า โผล่ขึ้นมาฟ้องบริษัททั้งสองในข้อหาผูกขาดตลาดด้วยวิธีร่วมกันกำหนดราคาขายปลีก เพราะกฎหมายสหรัฐอเมริกาเปิดช่องไว้ ห้ามทำการค้าผูกขาด ไม่ว่ากรรมวิธีใด ๆ เช่น ร่วมกันกำหนดราคาขายปลีกของสินค้า เป็นผู้ค้าสินค้าประเภทหนึ่งแล้วเข้าไปซื้อกิจการค้าข้างเคียง หรือต้องพึ่งพาเกี่ยวเนื่องกัน แล้วทำทีกำหนดราคาขายขึ้นเองให้กระทบกระเทือนใน
กลุ่มผู้ค้า หรือในกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นวิธีผูกขาดตลาดแบบแยบยล..เหล่านี้เป็นเรื่องห้ามเด็ดขาด
บทบัญญัติกฎหมาย Anti-Trust Law (กฎหมายห้ามผูกขาดตลาดการค้า หรือกรรมวิธีในทางการค้า) หรือคนอเมริกันเรียกให้เกียรติแก่ 2 คนผู้เสนอบัญญัติว่า Clayton – Sherman Act
เมื่อบริษัททั้งสองถูกฟ้องและแพ้คดีในบางประเด็นสำคัญ จึงทำให้สาธารณชนในสหรัฐฯ รู้รายละเอียดกลวิธีการผูกขาดการค้าของบริษัททั้งสอง เช่น วิธีหลบเลี่ยงกฎหมาย รายรับรายจ่ายของบริษัท มีกลุ่มหรือบริษัทในเครือแค่ไหน อย่างไร? รวมตลอดถึงได้รู้ถึงเส้นทางการทำการค้าของบริษัททั้งสอง
ในชั้นศาลอุทธรณ์ บริษัททั้งสองมาทำข้อตกลงกับโจทก์ผู้ฟ้องร้องคดีนอกศาล จึงได้รู้ถึงยอดรายรับของบริษัททั้งสองทำกำไรได้หลายหมื่นแสนล้านดอลลาร์ต่อปี ยอดรายรับนี้ถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีนิติบุคคล ตามกฎหมายสรรพากรของสหรัฐฯ (The Internal Revenue Code)
และเพื่อป้องกันถูกฟ้องจากลูกค้าอื่นๆ อีก และป้องกันความลับกรรมวิธีทำการค้าขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่าง ๆ มิให้รั่วไหล ในที่สุด บริษัททั้งสองจึงตกลงแบ่งแดนทำการค้า โดยให้บริษัท Atlantic Rich Field และบริษัทในเครือยังคงทำการค้าขายปลีกน้ำมันในสหรัฐฯ ต่อไป
ส่วนบริษัท Standard Oil Company Limited กับในเครือไปหาแหล่งพลังงานน้ำมันและก๊าซนอกทวีปอเมริกา และเป็นผู้ขายน้ำมันดิบให้แก่กลุ่มบริษัทค้าปลีกน้ำมันในสหรัฐฯ
ด้วยเหตุนี้ สแตนดาร์ดฯ บริษัทแม่ จึงไปซื้อบริษัทยูโนแคล (UNOCAL) มาเป็นบริษัทลูก และยูโนแคลก็ไปตั้งบริษัทหลาน คือ เชฟรอน (CHEVRON) เพื่อข้ามทวีปมาอาเซีย
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทแม่(สแตนดาร์ดฯ) ได้ซื้อบริษัทโตแตล (TOTAL) ของฝรั่งเศส (เคยร่ำรวยจากขุดเจาะ ค้าน้ำมันในลิเบีย แล้วถูกเจ้าของประเทศคว่ำบาตร) เพื่อเข้ามาในกัมพูชาและไทย
ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะกฎหมายฝรั่งเศสห้ามมิให้นำบริษัทฝรั่งเศสออกไปจากประเทศ ดังนั้น บริษัทยังคงมีสัญชาติฝรั่งเศส มีที่ทำการการค้าเป็นหลักแหล่งในประเทศฝรั่งเศส
ยูโนแคล แสวงหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (oil and natural gas) ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พม่า ไทย กัมพูชา และ เวียดนาม
ตัวอย่างโด่งดังไปทั่วโลก คือ กรณี ยูโนแคลได้สัมปทานขุดเจาะพลังงานพม่าในอ่าวเมาะตะมะ คือ บ่อชเว ขณะนั้น รัฐบาลพม่าหรือ SLORG ได้บังคับเกณฑ์แรงงาน (the concentration camp ) ชนกลุ่มน้อย เช่น กะเหรี่ยง มอญ คะฉิ่น ฯลฯ มาทำงานค่ายแรงงานของยูโนแคล มีทหารพม่ารับจ้างคุมบังคับทำงานวางท่อก๊าซ
เผอิญในกลุ่มแรงงานนั้นมีหญิงท้องแก่คนหนึ่งกับสามี ต่อมาเธอคลอดลูกและทำงานไม่ได้ ทหารพม่าเกิดบ้าเลือดขึ้นมา จับทารกลูกกะเหรี่ยงโยนเข้ากองไฟตายอนาถ แม่เข้าไปขัดขวางก็ถูกจับโยนใส่กองไฟไปด้วย
ปรากฏว่า ทารกตาย แม่บาดเจ็บสาหัส กระทั่ง ผัวเมียคู่นี้ทนไม่ไหวหาโอกาสหนีออกมาได้ เข้ามาถึงเชียงใหม่มาพบตัวแทนองค์กรพัฒนาเอกชนชาวอเมริกัน จึงพาทั้งคู่บินไปสหรัฐอเมริกา นำเรื่องขึ้นฟ้องคดีสู่ศาลลอสแองเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยกำกับดูแลของศาลอุทธรณ์เขต 9 สหรัฐอเมริกา
ในอเมริกาเรียกว่า คดีจอห์นโด ปรปักษ์กับยูโนแคล [บริษัทลูกของสแตนดาร์ดออยล์อีกแห่งที่ไปลงทุนในพม่า (John Doe v. Unocal) ] ตั้งชื่อโจทก์ให้เป็นฝรั่ง แต่ความจริงคือกะเหรี่ยง
สู้คดีกัน 2 ศาล ศาลชั้นต้น ยูโนแคลแพ้คดี ถูกสั่งจ่ายค่าเสียหายและค่าปรับไหมแก่โจทก์เป็นเงิน 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คดีไปถึงศาลอุทธรณ์ ๆ พิจารณาจะพิพากษากำหนดให้จ่ายค่าเสียหายและค่าปรับไหมสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญ บริษัทยูโนแคลรู้ผลล่วงหน้า ก่อนจะอ่านคำพิพากษาหนึ่งสัปดาห์ จึงชิงไปเจรจากับผู้เสียหาย โดยเสนอจะชดใช้ค่าเสียหายและค่าปรับไหมให้โจทก์ 5 หมื่นล้านเหรียญเพื่อให้เรื่องจบ
ผลตกลงกันได้ แต่เงิน 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลนิธิสาธารณกุศลที่ช่วยออกค่าทนาย และค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินคดีให้โจทก์ หักค่าใช้จ่ายไป ผัวเมียกะเหรี่ยงคู่นี้ได้ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ
เมื่อแพ้คดีนี้ ยูโนแคลต้องลงจากตำแหน่งและมอบสิทธิตามสัญญาสัมปทานทั้งหมดให้บริษัท เชฟรอน ดำเนินการแทน โดยก่อนหน้านี้ยูโนแคลเคยได้สัมปทานในอ่าวไทยเกือบทั้งหมดรวมทั้งอ่าวตั่งเกี๋ยด้วย
พลังงานในอ่าว “ฮุน เซน” กับใคร? จ้องเขมือบ
ประเทศกัมพูชา นายกฯฮุน เซน ได้ทำสัญญายกสัมปทานให้โตตาล(สแตนดาร์ดออยล์) ไปแล้ว ส่วนประเทศไทยให้สัมปทานการแก่ เชฟรอน สรุป ทั้ง เชฟรอน ทั้ง โตแตล ก็คือ สแตนดาร์ด ออยล์ ที่ได้พลังงานทั้งอ่าว 100 เปอร์เซ็นต์
ถ้าไปดูรายรับ รายจ่าย ย้อนหลังประมาณ 10 ปี ผลกำไร ๆ ต่อปีของบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ หลายแสนล้านเหรียญ หรือทริลเลี่ยนดอลล่าร์ (ศูนย์ 18-19 ตัว) ถ้าแปลงค่าเป็นบาทคูณด้วย 30 จะใช้เป็นเงินงบประมาณบริหารประเทศไทยได้ 30 ถึง 50 ปี
จากแผนที่อ่าวไทยจะมีเส้นประสีแดง แสดงอาณาเขต ตรงนั้นจะมีสี่เหลี่ยม 2 อันซ้อนกัน คือ ของเขมรกับไทย ต้องไปประกาศเขตแดนทางทะเลที่สหประชาชาติ ประเทศไทยลากไปสุดแค่เส้นรุ้งที่ 109 แต่จริง ๆ อ่าวไทยไปสุดเส้นรุ้ง 112 คือ เว้นไว้ 3 ช่องซึ่งรวมเนื้อที่ประมาณ 3 หมื่นตารางกิโลเมตร
ส่วนกัมพูชาไม่ประกาศเลย เพราะอะไร? ก็จะรอใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ที่กำลังเจรจาปักปันเขตแดนอยู่ ซึ่งจะล้ำมากินเนื้อที่ใน 3 ช่องนั่นเอง
อย่างนี้หมายความอย่างไร ไปเรียกตรงนั้นว่า "พื้นที่ทับซ้อน"
แหล่งพลังงานตรงจุดนั้น นอกจาก น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ปากหลุมยังมีหินคาร์บอนไฮเดรทที่เผาไหม้แล้วให้ความร้อนถึง 179 องศา บริษัทที่มีเครื่องมือเอาขึ้นมาได้ คือบริษัท บีพี หรือ บริทิช ปิโตรเลียม(อังกฤษ) บริษัทที่มีสิทธิขนไปใช้คือ สหรัฐอเมริกา
ถามว่า มีคนกลุ่มไหนบ้างไปถือหุ้นในบริษัทพลังงานเหล่านี้ เช่น บริษัท มิตซุย ออยล์ คอมปานี ลิมิเต็ด อยากรู้มากกว่านี้ไปเปิดเว็บไซต์บริษัทโมอีโก้ (ญี่ปุ่น) และในนั้นมี ปตท. ปตท.สผ. รวมทั้งบริษัทไทยชื่อแปลก ๆ ถือหุ้นอีกมาก
ทำไม ฮุน เซน จึงอยากได้ที่ดินบริเวณเขาพระวิหาร 4.6 ตร.กม. รวมถึงที่ดินบนริมขอบของจังหวัดตราดไปถึงอุบลราชธานี...ลองคิดดู มีการคำนวณไว้ใน ค.ศ.1993 บ่อพลังงานเล็ก ๆ บ่อเดียวในบริเวณอ่าวไทย มีน้ำมันมูลค่า 5 ล้านล้านบาท มาถึง ค.ศ.2011 น้ำมันถึง 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรล อีกสามปีข้างหน้าจะขึ้นไปอีกเท่าไหร่
ในประเทศรอบอ่าวโอมาน, อิหร่าน และซาอุฯ เขาขายน้ำมันได้ ราษฎรก็พลอยรวยไปด้วย เพราะรัฐบาลจ่ายเงินเดือนให้ คิดเป็นหลายแสนบาทต่อครอบครัว รถยนต์ในประเทศใช้น้ำมันฟรีตลอดชีวิต
ทำไมประชาชนไทยต้องซื้อน้ำมันแพง ลิตรละ 30-40 บาท... ถ้าในทะเลมี 1,000-2,000 บ่อ คิดไหมนักการเมือง นายทุนใหญ่ในประเทศนี้จะมีเอี่ยวไหม?
นายกฮุน เซน ลงนามให้สัมปทานโตตาลไปแล้วในส่วนของกัมพูชา ส่วนที่เหยียบไว้ในส่วนที่สร้างวาทกรรม "พื้นที่ทับซ้อน" น่าจะเป็นแสนล้านบาท แล้วอย่างนี้ MOU จะแปลได้ไหมว่า คือ มันนี่, ออยล์ และ อันเดอร์ เทเบิล "เงินใต้โต๊ะ"
ที่เหยียบไว้นี่แหละ จะมีคนพวกหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ให้เอาเงินไปใส่ในกระเป๋าผู้นำเขมร จากนั้นค่อยแอบไปแบ่งกันนอกประเทศ
ส่วนรัฐไทยถูกล่ามด้วยโซ่ เอ็มโอยู ?
เรื่องนี้ฝ่ายค้านหรือคนในรัฐบาลกัมพูชาเอง อย่างน้อยก็นายสม รังสี กับเจ้ารณฤทธิ์ ก็รู้ดีและอยากบ่อนเซาะเก้าอี้นายกฯฮุน เซน ถ้าถึงขั้นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นมาเมื่อไหร่ จะได้เห็นการทุจริตมโหฬารในรัฐบาลกัมพูชา
นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ทำให้ผู้นำกัมพูชา เบี่ยงเบน หาเรื่องรบกับไทย เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไป การรบกับไทยจึงเป็นปลายเหตุ เป็นความโหดเหี้ยมเอาประชาชนเป็นเหยื่อ
การยิงปืนใหญ่ ยิงจรวดใส่กัน โดยไม่ให้ทหารราบเคลื่อนเข้ายึดพื้นที่ทางบกที่เราได้เปรียบ(เขมรต้องตกหน้าผาเขาพระวิหาร) ถือว่าผิดตำราพิชัยสงคราม และไม่ใช้กองทัพอากาศหนุนช่วย เปรียบเสมือนนักมวยสากล ถ้าใช้แย็ปอย่างเดียวได้แต้มเดียว ถ้ามีมัดฮุค หมัดครอส ชกเขาร่วงลงไปได้ 3 แต้ม แต่ไม่ทำ
ที่รบกันชายแดนไทย-เขมร มันก็โอ้ละพ่อ!
นานาประเทศต้องถือผลประโยชน์ของประเทศมาก่อน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องรอง ต้องรักษาทรัพยากรของคนทั้งประเทศไว้เพื่อคนรุ่นต่อๆ ไป ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญต้องทำเรื่องอาณาเขตให้ชัดเจนเสียก่อน ไม่เช่นนั้น จะแบ่งพื้นที่ทรัพยากรเป็นของประเทศใดยังไม่ได้
จับพิรุธการตัดสินคดีรวบรัด ทำร้ายคนไทย
ส่วนคดีศาลพนมเปญตัดสินคนไทย 5 คนนั้น เป็นการพิจารณาคดีอย่างรวบรัดตัดตอน (Summary Execution) ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม
ถ้าพิสูจน์ได้ว่า จับคนไทยในดินแดนไทย ก็คือการลักพาตัว ลากเข้าไปในเขมรยัดข้อหาตัดสินอีก ประเทศไหนจะยอม(มีแต่ไทย) ส่วนจะอ้างว่า คนไทยยอมสารภาพ ก็เขมรนำคนไทยไปขังในสภาพแย่ ๆ ห้ามติดต่อกับทูต กับทนาย และมีท่าทีข่มขู่ คนไทยย่อมเกิดความหวาดกลัว เรียกว่า น็อน คอมโนนิกาโด(non communicado) คือ มิอาจจะติดต่อกับใครได้ นี่เป็นการกดดัน ทรมานอย่างหนึ่ง กติกาสากลห้ามทำเช่นนี้ ผู้นำประเทศใดทำเช่นนี้ ย่อมมีความผิด จะอ้างความเป็นนายกฯ เพื่อได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นศาลนั้น ไม่ได้
พยานของเราไปแสดงหลักฐานในศาลกัมพูชา มีทั้ง น.ส.3 กับ ส.ค. มีตราครุฑของราชอาณาจักรไทย ศาลเขมรก็ไม่ยอมรับ ก็ให้บันทึกไว้จะเป็นพยานหลักฐานไว้ฟ้องคดีในศาลสากล
ถ้าฟ้องสำเร็จ นายกฯฮุน เซน จะต้องจ่ายชดใช้ความเสียหายและค่าปรับไหม ให้คนไทยทั้งหมด เทียบเคียงคำพิพากษาคดี Filartiga (ฟิลาร์ติก้า ผู้นำประเทศปารากวัย สั่งฆ่าประชาชน แล้วหนีไปสหรัฐฯ ประชาชนยื่นฟ้อง ในที่สุดศาลสหรัฐอเมริกา ตัดสินในค.ศ.1980 ให้จ่าย 10 ล้านดอลลาร์) จะต้องจ่ายให้ผู้เสียหายคนละ 10 ล้านดอลลาร์ หรืออาจสูงถึง 700 ล้านดอลลาร์
นี่คือข้อมูลเสนอให้ตรวจสอบ พิสูจน์ เพื่อให้ประชาชนพี่น้องไทยได้เห็นความจริง.
หมายเหต: ปรับปรุงจากการบรรยายเวทีเครือข่ายประชาชนไทยรักชาติ และกองทัพธรรมมูลนิธิ 8 กุมภาพันธ์ 2554
อาจค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่ง 1.WWW.findlaw.com 2.www.moeco.co.jp 3.JOINT DEVELOPMENT IN THE GULF OF THAILAND
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วัฒนธรรมข้ามชาติยังกลืนกลาย ไม่ร้ายเท่าบรรษัทไร้พรมแดนไร้มนุษยธรรม เช่นที่เมาะตะมะ สำหรับประเทศที่ไม่ชัดเจนเขตแดน ย่อมมีผลประโยชน์เหยียบไว้
โลกนี้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน 2 บริษัท คือ 1. แอตแลนติก ริชฟิลล์ หรือ อาร์โก้ (Atlantic Rich Field Company Limited, ARCO) ในสหรัฐอเมริกาทางภาคเหนือ จดทะเบียนบริษัทลูกชื่อ เอ็กซอน ( EXXON) เพื่อนำเข้าน้ำมัน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แปรรูปจากน้ำมัน และสารเคมี เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เม็ดพลาสติก ฯลฯ
2. บริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ (Standard Oil Company Limited) บริษัทลูกขายปลีกน้ำมันชื่อโมบิล (Mobile) และนำเข้าน้ำมัน แปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำมันและสารเคมี เช่นเดียวกับ บริษัทแอตแลนติก ริชฟิลล์ ทุกอย่าง
บริษัททั้งสองทำทีแข่งขันกันเกือบจะกลบเกลื่อนร่องรอยการร่วมกันกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันและก๊าซในสหรัฐอเมริกา จากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ (end-users) ได้สำเร็จ
แต่แล้วปรากฏกระทาชายชื่อ นายอากูเอล่า โผล่ขึ้นมาฟ้องบริษัททั้งสองในข้อหาผูกขาดตลาดด้วยวิธีร่วมกันกำหนดราคาขายปลีก เพราะกฎหมายสหรัฐอเมริกาเปิดช่องไว้ ห้ามทำการค้าผูกขาด ไม่ว่ากรรมวิธีใด ๆ เช่น ร่วมกันกำหนดราคาขายปลีกของสินค้า เป็นผู้ค้าสินค้าประเภทหนึ่งแล้วเข้าไปซื้อกิจการค้าข้างเคียง หรือต้องพึ่งพาเกี่ยวเนื่องกัน แล้วทำทีกำหนดราคาขายขึ้นเองให้กระทบกระเทือนใน
กลุ่มผู้ค้า หรือในกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นวิธีผูกขาดตลาดแบบแยบยล..เหล่านี้เป็นเรื่องห้ามเด็ดขาด
บทบัญญัติกฎหมาย Anti-Trust Law (กฎหมายห้ามผูกขาดตลาดการค้า หรือกรรมวิธีในทางการค้า) หรือคนอเมริกันเรียกให้เกียรติแก่ 2 คนผู้เสนอบัญญัติว่า Clayton – Sherman Act
เมื่อบริษัททั้งสองถูกฟ้องและแพ้คดีในบางประเด็นสำคัญ จึงทำให้สาธารณชนในสหรัฐฯ รู้รายละเอียดกลวิธีการผูกขาดการค้าของบริษัททั้งสอง เช่น วิธีหลบเลี่ยงกฎหมาย รายรับรายจ่ายของบริษัท มีกลุ่มหรือบริษัทในเครือแค่ไหน อย่างไร? รวมตลอดถึงได้รู้ถึงเส้นทางการทำการค้าของบริษัททั้งสอง
ในชั้นศาลอุทธรณ์ บริษัททั้งสองมาทำข้อตกลงกับโจทก์ผู้ฟ้องร้องคดีนอกศาล จึงได้รู้ถึงยอดรายรับของบริษัททั้งสองทำกำไรได้หลายหมื่นแสนล้านดอลลาร์ต่อปี ยอดรายรับนี้ถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีนิติบุคคล ตามกฎหมายสรรพากรของสหรัฐฯ (The Internal Revenue Code)
และเพื่อป้องกันถูกฟ้องจากลูกค้าอื่นๆ อีก และป้องกันความลับกรรมวิธีทำการค้าขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่าง ๆ มิให้รั่วไหล ในที่สุด บริษัททั้งสองจึงตกลงแบ่งแดนทำการค้า โดยให้บริษัท Atlantic Rich Field และบริษัทในเครือยังคงทำการค้าขายปลีกน้ำมันในสหรัฐฯ ต่อไป
ส่วนบริษัท Standard Oil Company Limited กับในเครือไปหาแหล่งพลังงานน้ำมันและก๊าซนอกทวีปอเมริกา และเป็นผู้ขายน้ำมันดิบให้แก่กลุ่มบริษัทค้าปลีกน้ำมันในสหรัฐฯ
ด้วยเหตุนี้ สแตนดาร์ดฯ บริษัทแม่ จึงไปซื้อบริษัทยูโนแคล (UNOCAL) มาเป็นบริษัทลูก และยูโนแคลก็ไปตั้งบริษัทหลาน คือ เชฟรอน (CHEVRON) เพื่อข้ามทวีปมาอาเซีย
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทแม่(สแตนดาร์ดฯ) ได้ซื้อบริษัทโตแตล (TOTAL) ของฝรั่งเศส (เคยร่ำรวยจากขุดเจาะ ค้าน้ำมันในลิเบีย แล้วถูกเจ้าของประเทศคว่ำบาตร) เพื่อเข้ามาในกัมพูชาและไทย
ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะกฎหมายฝรั่งเศสห้ามมิให้นำบริษัทฝรั่งเศสออกไปจากประเทศ ดังนั้น บริษัทยังคงมีสัญชาติฝรั่งเศส มีที่ทำการการค้าเป็นหลักแหล่งในประเทศฝรั่งเศส
ยูโนแคล แสวงหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (oil and natural gas) ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พม่า ไทย กัมพูชา และ เวียดนาม
ตัวอย่างโด่งดังไปทั่วโลก คือ กรณี ยูโนแคลได้สัมปทานขุดเจาะพลังงานพม่าในอ่าวเมาะตะมะ คือ บ่อชเว ขณะนั้น รัฐบาลพม่าหรือ SLORG ได้บังคับเกณฑ์แรงงาน (the concentration camp ) ชนกลุ่มน้อย เช่น กะเหรี่ยง มอญ คะฉิ่น ฯลฯ มาทำงานค่ายแรงงานของยูโนแคล มีทหารพม่ารับจ้างคุมบังคับทำงานวางท่อก๊าซ
เผอิญในกลุ่มแรงงานนั้นมีหญิงท้องแก่คนหนึ่งกับสามี ต่อมาเธอคลอดลูกและทำงานไม่ได้ ทหารพม่าเกิดบ้าเลือดขึ้นมา จับทารกลูกกะเหรี่ยงโยนเข้ากองไฟตายอนาถ แม่เข้าไปขัดขวางก็ถูกจับโยนใส่กองไฟไปด้วย
ปรากฏว่า ทารกตาย แม่บาดเจ็บสาหัส กระทั่ง ผัวเมียคู่นี้ทนไม่ไหวหาโอกาสหนีออกมาได้ เข้ามาถึงเชียงใหม่มาพบตัวแทนองค์กรพัฒนาเอกชนชาวอเมริกัน จึงพาทั้งคู่บินไปสหรัฐอเมริกา นำเรื่องขึ้นฟ้องคดีสู่ศาลลอสแองเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยกำกับดูแลของศาลอุทธรณ์เขต 9 สหรัฐอเมริกา
ในอเมริกาเรียกว่า คดีจอห์นโด ปรปักษ์กับยูโนแคล [บริษัทลูกของสแตนดาร์ดออยล์อีกแห่งที่ไปลงทุนในพม่า (John Doe v. Unocal) ] ตั้งชื่อโจทก์ให้เป็นฝรั่ง แต่ความจริงคือกะเหรี่ยง
สู้คดีกัน 2 ศาล ศาลชั้นต้น ยูโนแคลแพ้คดี ถูกสั่งจ่ายค่าเสียหายและค่าปรับไหมแก่โจทก์เป็นเงิน 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คดีไปถึงศาลอุทธรณ์ ๆ พิจารณาจะพิพากษากำหนดให้จ่ายค่าเสียหายและค่าปรับไหมสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญ บริษัทยูโนแคลรู้ผลล่วงหน้า ก่อนจะอ่านคำพิพากษาหนึ่งสัปดาห์ จึงชิงไปเจรจากับผู้เสียหาย โดยเสนอจะชดใช้ค่าเสียหายและค่าปรับไหมให้โจทก์ 5 หมื่นล้านเหรียญเพื่อให้เรื่องจบ
ผลตกลงกันได้ แต่เงิน 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลนิธิสาธารณกุศลที่ช่วยออกค่าทนาย และค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินคดีให้โจทก์ หักค่าใช้จ่ายไป ผัวเมียกะเหรี่ยงคู่นี้ได้ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ
เมื่อแพ้คดีนี้ ยูโนแคลต้องลงจากตำแหน่งและมอบสิทธิตามสัญญาสัมปทานทั้งหมดให้บริษัท เชฟรอน ดำเนินการแทน โดยก่อนหน้านี้ยูโนแคลเคยได้สัมปทานในอ่าวไทยเกือบทั้งหมดรวมทั้งอ่าวตั่งเกี๋ยด้วย
พลังงานในอ่าว “ฮุน เซน” กับใคร? จ้องเขมือบ
ประเทศกัมพูชา นายกฯฮุน เซน ได้ทำสัญญายกสัมปทานให้โตตาล(สแตนดาร์ดออยล์) ไปแล้ว ส่วนประเทศไทยให้สัมปทานการแก่ เชฟรอน สรุป ทั้ง เชฟรอน ทั้ง โตแตล ก็คือ สแตนดาร์ด ออยล์ ที่ได้พลังงานทั้งอ่าว 100 เปอร์เซ็นต์
ถ้าไปดูรายรับ รายจ่าย ย้อนหลังประมาณ 10 ปี ผลกำไร ๆ ต่อปีของบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ หลายแสนล้านเหรียญ หรือทริลเลี่ยนดอลล่าร์ (ศูนย์ 18-19 ตัว) ถ้าแปลงค่าเป็นบาทคูณด้วย 30 จะใช้เป็นเงินงบประมาณบริหารประเทศไทยได้ 30 ถึง 50 ปี
จากแผนที่อ่าวไทยจะมีเส้นประสีแดง แสดงอาณาเขต ตรงนั้นจะมีสี่เหลี่ยม 2 อันซ้อนกัน คือ ของเขมรกับไทย ต้องไปประกาศเขตแดนทางทะเลที่สหประชาชาติ ประเทศไทยลากไปสุดแค่เส้นรุ้งที่ 109 แต่จริง ๆ อ่าวไทยไปสุดเส้นรุ้ง 112 คือ เว้นไว้ 3 ช่องซึ่งรวมเนื้อที่ประมาณ 3 หมื่นตารางกิโลเมตร
ส่วนกัมพูชาไม่ประกาศเลย เพราะอะไร? ก็จะรอใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ที่กำลังเจรจาปักปันเขตแดนอยู่ ซึ่งจะล้ำมากินเนื้อที่ใน 3 ช่องนั่นเอง
อย่างนี้หมายความอย่างไร ไปเรียกตรงนั้นว่า "พื้นที่ทับซ้อน"
แหล่งพลังงานตรงจุดนั้น นอกจาก น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ปากหลุมยังมีหินคาร์บอนไฮเดรทที่เผาไหม้แล้วให้ความร้อนถึง 179 องศา บริษัทที่มีเครื่องมือเอาขึ้นมาได้ คือบริษัท บีพี หรือ บริทิช ปิโตรเลียม(อังกฤษ) บริษัทที่มีสิทธิขนไปใช้คือ สหรัฐอเมริกา
ถามว่า มีคนกลุ่มไหนบ้างไปถือหุ้นในบริษัทพลังงานเหล่านี้ เช่น บริษัท มิตซุย ออยล์ คอมปานี ลิมิเต็ด อยากรู้มากกว่านี้ไปเปิดเว็บไซต์บริษัทโมอีโก้ (ญี่ปุ่น) และในนั้นมี ปตท. ปตท.สผ. รวมทั้งบริษัทไทยชื่อแปลก ๆ ถือหุ้นอีกมาก
ทำไม ฮุน เซน จึงอยากได้ที่ดินบริเวณเขาพระวิหาร 4.6 ตร.กม. รวมถึงที่ดินบนริมขอบของจังหวัดตราดไปถึงอุบลราชธานี...ลองคิดดู มีการคำนวณไว้ใน ค.ศ.1993 บ่อพลังงานเล็ก ๆ บ่อเดียวในบริเวณอ่าวไทย มีน้ำมันมูลค่า 5 ล้านล้านบาท มาถึง ค.ศ.2011 น้ำมันถึง 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรล อีกสามปีข้างหน้าจะขึ้นไปอีกเท่าไหร่
ในประเทศรอบอ่าวโอมาน, อิหร่าน และซาอุฯ เขาขายน้ำมันได้ ราษฎรก็พลอยรวยไปด้วย เพราะรัฐบาลจ่ายเงินเดือนให้ คิดเป็นหลายแสนบาทต่อครอบครัว รถยนต์ในประเทศใช้น้ำมันฟรีตลอดชีวิต
ทำไมประชาชนไทยต้องซื้อน้ำมันแพง ลิตรละ 30-40 บาท... ถ้าในทะเลมี 1,000-2,000 บ่อ คิดไหมนักการเมือง นายทุนใหญ่ในประเทศนี้จะมีเอี่ยวไหม?
นายกฮุน เซน ลงนามให้สัมปทานโตตาลไปแล้วในส่วนของกัมพูชา ส่วนที่เหยียบไว้ในส่วนที่สร้างวาทกรรม "พื้นที่ทับซ้อน" น่าจะเป็นแสนล้านบาท แล้วอย่างนี้ MOU จะแปลได้ไหมว่า คือ มันนี่, ออยล์ และ อันเดอร์ เทเบิล "เงินใต้โต๊ะ"
ที่เหยียบไว้นี่แหละ จะมีคนพวกหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ให้เอาเงินไปใส่ในกระเป๋าผู้นำเขมร จากนั้นค่อยแอบไปแบ่งกันนอกประเทศ
ส่วนรัฐไทยถูกล่ามด้วยโซ่ เอ็มโอยู ?
เรื่องนี้ฝ่ายค้านหรือคนในรัฐบาลกัมพูชาเอง อย่างน้อยก็นายสม รังสี กับเจ้ารณฤทธิ์ ก็รู้ดีและอยากบ่อนเซาะเก้าอี้นายกฯฮุน เซน ถ้าถึงขั้นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นมาเมื่อไหร่ จะได้เห็นการทุจริตมโหฬารในรัฐบาลกัมพูชา
นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ทำให้ผู้นำกัมพูชา เบี่ยงเบน หาเรื่องรบกับไทย เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไป การรบกับไทยจึงเป็นปลายเหตุ เป็นความโหดเหี้ยมเอาประชาชนเป็นเหยื่อ
การยิงปืนใหญ่ ยิงจรวดใส่กัน โดยไม่ให้ทหารราบเคลื่อนเข้ายึดพื้นที่ทางบกที่เราได้เปรียบ(เขมรต้องตกหน้าผาเขาพระวิหาร) ถือว่าผิดตำราพิชัยสงคราม และไม่ใช้กองทัพอากาศหนุนช่วย เปรียบเสมือนนักมวยสากล ถ้าใช้แย็ปอย่างเดียวได้แต้มเดียว ถ้ามีมัดฮุค หมัดครอส ชกเขาร่วงลงไปได้ 3 แต้ม แต่ไม่ทำ
ที่รบกันชายแดนไทย-เขมร มันก็โอ้ละพ่อ!
นานาประเทศต้องถือผลประโยชน์ของประเทศมาก่อน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องรอง ต้องรักษาทรัพยากรของคนทั้งประเทศไว้เพื่อคนรุ่นต่อๆ ไป ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญต้องทำเรื่องอาณาเขตให้ชัดเจนเสียก่อน ไม่เช่นนั้น จะแบ่งพื้นที่ทรัพยากรเป็นของประเทศใดยังไม่ได้
จับพิรุธการตัดสินคดีรวบรัด ทำร้ายคนไทย
ส่วนคดีศาลพนมเปญตัดสินคนไทย 5 คนนั้น เป็นการพิจารณาคดีอย่างรวบรัดตัดตอน (Summary Execution) ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม
ถ้าพิสูจน์ได้ว่า จับคนไทยในดินแดนไทย ก็คือการลักพาตัว ลากเข้าไปในเขมรยัดข้อหาตัดสินอีก ประเทศไหนจะยอม(มีแต่ไทย) ส่วนจะอ้างว่า คนไทยยอมสารภาพ ก็เขมรนำคนไทยไปขังในสภาพแย่ ๆ ห้ามติดต่อกับทูต กับทนาย และมีท่าทีข่มขู่ คนไทยย่อมเกิดความหวาดกลัว เรียกว่า น็อน คอมโนนิกาโด(non communicado) คือ มิอาจจะติดต่อกับใครได้ นี่เป็นการกดดัน ทรมานอย่างหนึ่ง กติกาสากลห้ามทำเช่นนี้ ผู้นำประเทศใดทำเช่นนี้ ย่อมมีความผิด จะอ้างความเป็นนายกฯ เพื่อได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นศาลนั้น ไม่ได้
พยานของเราไปแสดงหลักฐานในศาลกัมพูชา มีทั้ง น.ส.3 กับ ส.ค. มีตราครุฑของราชอาณาจักรไทย ศาลเขมรก็ไม่ยอมรับ ก็ให้บันทึกไว้จะเป็นพยานหลักฐานไว้ฟ้องคดีในศาลสากล
ถ้าฟ้องสำเร็จ นายกฯฮุน เซน จะต้องจ่ายชดใช้ความเสียหายและค่าปรับไหม ให้คนไทยทั้งหมด เทียบเคียงคำพิพากษาคดี Filartiga (ฟิลาร์ติก้า ผู้นำประเทศปารากวัย สั่งฆ่าประชาชน แล้วหนีไปสหรัฐฯ ประชาชนยื่นฟ้อง ในที่สุดศาลสหรัฐอเมริกา ตัดสินในค.ศ.1980 ให้จ่าย 10 ล้านดอลลาร์) จะต้องจ่ายให้ผู้เสียหายคนละ 10 ล้านดอลลาร์ หรืออาจสูงถึง 700 ล้านดอลลาร์
นี่คือข้อมูลเสนอให้ตรวจสอบ พิสูจน์ เพื่อให้ประชาชนพี่น้องไทยได้เห็นความจริง.
หมายเหต: ปรับปรุงจากการบรรยายเวทีเครือข่ายประชาชนไทยรักชาติ และกองทัพธรรมมูลนิธิ 8 กุมภาพันธ์ 2554
อาจค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่ง 1.WWW.findlaw.com 2.www.moeco.co.jp 3.JOINT DEVELOPMENT IN THE GULF OF THAILAND
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สื่อแหกคอก !!!??
กรณีสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยออกแถลงการณ์ พร้อมเป็นคนกลางจัดเวทีหาทางออกกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนพื่อประชาธิปไตย สืบเนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา อันเกิดจากกรณีข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร และการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งรัฐบาลยืนยันไม่สามารถทำตาม 3 ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯได้คือ การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาล ไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 43) ให้รัฐบาลถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก และการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากดินแดนไทย
แม้สมาคมนักข่าววิทยุฯจะอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งการรับรู้ข่าวสารของสังคม และก่อให้เกิดความเข้าใจในข้อมูล ข้อเท็จจริงของทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน เนื่องจากได้รับเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าการให้ข้อมูลของแต่ละฝ่ายก่อให้เกิดความสับสนในข้อเท็จจริง ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองที่ยังมีสถานการณ์ที่น่าห่วงใยในอีกหลายด้านนั้น
สมาคมนักข่าววิทยุฯก็ต้องพิจารณาตัวเองเช่นกันว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะเสนอเป็นตัวกลาง ไม่ว่าจะในรูปใดก็ตาม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาประชาชนทราบดีว่าปัญหานี้เป็นประเด็นการเมือง ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีการหารือกันทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ อีกทั้งยังเคยมีความสัมพันธ์และผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่อาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายที่ไม่เปิดเผยอีกมากมาย ซึ่งฝ่ายพันธมิตรฯเองก็ประณามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายก รัฐมนตรี ว่าเป็นผู้นำที่โกหกปลิ้นปล้อน และมีผลประโยชน์ซ่อนเร้น ขณะที่รัฐบาลก็ใช้สื่อมากมายชี้แจงกับประชาชน แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถทำให้พันธมิตรฯเชื่อ ทั้งยังไม่สามารถชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจและเชื่อได้อีก ต้องถือเป็นความบกพร่องและไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลอย่างยิ่ง
การเสนอตัวจัดเวทีกลางเพื่อถกประเด็นของสมาคมนักข่าววิทยุฯจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และอาจทำให้ภาพขององค์กรสื่อโดยรวมต้องเสื่อมเสียและมัวหมองไปด้วย แม้สมาคมนักข่าววิทยุฯจะอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งการรับรู้ข่าวสารของสังคมในข้อมูลและข้อเท็จจริงของทุกฝ่ายอย่างรอบด้านก็ตาม แต่สมาคมนักข่าววิทยุฯก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า องค์กรสื่ออาจถูกมองว่าเป็นเครื่อง มือและมีผลประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะสื่อวิทยุและโทรทัศน์ที่ถูกมองในแง่ลบมาโดยตลอด
ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ดีที่สุด สมาคมนักข่าววิทยุฯต้องให้สมาชิกสื่อยึดมั่นในจรรยาบรรณด้วยการเสนอข่าวสารและข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติหรือทำตามใบสั่งของรัฐบาล โดยเฉพาะสื่อกระแสหลัก
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
แม้สมาคมนักข่าววิทยุฯจะอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งการรับรู้ข่าวสารของสังคม และก่อให้เกิดความเข้าใจในข้อมูล ข้อเท็จจริงของทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน เนื่องจากได้รับเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าการให้ข้อมูลของแต่ละฝ่ายก่อให้เกิดความสับสนในข้อเท็จจริง ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองที่ยังมีสถานการณ์ที่น่าห่วงใยในอีกหลายด้านนั้น
สมาคมนักข่าววิทยุฯก็ต้องพิจารณาตัวเองเช่นกันว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะเสนอเป็นตัวกลาง ไม่ว่าจะในรูปใดก็ตาม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาประชาชนทราบดีว่าปัญหานี้เป็นประเด็นการเมือง ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีการหารือกันทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ อีกทั้งยังเคยมีความสัมพันธ์และผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่อาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายที่ไม่เปิดเผยอีกมากมาย ซึ่งฝ่ายพันธมิตรฯเองก็ประณามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายก รัฐมนตรี ว่าเป็นผู้นำที่โกหกปลิ้นปล้อน และมีผลประโยชน์ซ่อนเร้น ขณะที่รัฐบาลก็ใช้สื่อมากมายชี้แจงกับประชาชน แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถทำให้พันธมิตรฯเชื่อ ทั้งยังไม่สามารถชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจและเชื่อได้อีก ต้องถือเป็นความบกพร่องและไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลอย่างยิ่ง
การเสนอตัวจัดเวทีกลางเพื่อถกประเด็นของสมาคมนักข่าววิทยุฯจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และอาจทำให้ภาพขององค์กรสื่อโดยรวมต้องเสื่อมเสียและมัวหมองไปด้วย แม้สมาคมนักข่าววิทยุฯจะอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งการรับรู้ข่าวสารของสังคมในข้อมูลและข้อเท็จจริงของทุกฝ่ายอย่างรอบด้านก็ตาม แต่สมาคมนักข่าววิทยุฯก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า องค์กรสื่ออาจถูกมองว่าเป็นเครื่อง มือและมีผลประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะสื่อวิทยุและโทรทัศน์ที่ถูกมองในแง่ลบมาโดยตลอด
ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ดีที่สุด สมาคมนักข่าววิทยุฯต้องให้สมาชิกสื่อยึดมั่นในจรรยาบรรณด้วยการเสนอข่าวสารและข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติหรือทำตามใบสั่งของรัฐบาล โดยเฉพาะสื่อกระแสหลัก
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
ไทย-กัมพูชาบ้านใกล้เรือนเคียง
คนเดินตรอก
วีรพงษ์ รามางกูร
การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ ภาพผู้คนต้องอพยพหลบลี้หนีภัยจากการปะทะกันเป็นภาพที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
ข่าวการเสียชีวิตของพลเรือนและทหารของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็เป็นข่าวที่สะเทือนใจ เสียดายชีวิตคนหนุ่มของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง ข่าวว่าฝ่ายใดเสียชีวิตหรือฝ่ายใดบาดเจ็บเท่าไหร่ อย่างไร ล้วนเป็นข่าวที่เศร้าสลดใจเท่าเทียมกัน เพราะการบาดเจ็บ การเสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองของทั้ง 2 ประเทศก่อขึ้น หาใช่เพราะประชาชนของทั้ง 2 ฝ่ายไม่
ประชาชนตามบริเวณชายแดน ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันคงไม่มีใครปรารถนาให้เกิดขึ้น บิดามารดาญาติพี่น้องของทหาร ไม่ว่าจะเป็นพลทหารหรือนายทหารก็คงไม่มีใครยินดีปรีดากับการปะทะกันจนเกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย
การใช้กำลังเข้าปะทะกันในโลกสมัยใหม่เป็นของล้าสมัยไปเสียแล้ว สำหรับผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่จะนำไปใช้แก้ปัญหา จะมีเหลือก็แต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่สถาปนาตัวเองเป็นตำรวจโลกในนามของสหประชาชาติ ใช้กำลังเข้าแก้ปัญหาของโลกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน ขอย้ำว่าเพื่อประโยชน์ของสหรัฐเอง เขาเลือกใช้วิธีนี้ได้เพราะเขาเป็นมหาอำนาจชั้นหนึ่งของโลกประเทศเดียวในขณะนี้ ส่วนประเทศเรานั้นไม่ใช่
การเดินแต้มทางการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ ควรต้องมองไปข้างหน้าไกล ๆ ว่าในที่สุดจะลงเอยอย่างไร ประชาคมโลกจะมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างไร
ปัญหาที่เกิดขึ้นควรมองอย่างผู้ที่ใช้ปัญญา มองให้ออกว่าผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศชาติและประชาชนของเราอยู่ที่ใด ภายใต้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ภายใต้ข้อเท็จจริงของกฎหมายระหว่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไขของการเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ภายใต้เงื่อนไขของการเป็นสมาชิกอาเซียน เราไม่ใช่อภิมหาอำนาจอย่างอเมริกา ในสายตาของประชาคมโลกเราเป็นประเทศเล็กทั้งในแง่เศรษฐกิจ และอำนาจทางทหารประเทศหนึ่งเท่านั้น
ปัญหาชายแดนกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีอยู่ 3 ปัญหาใหญ่ คือ
1.พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ปราสาทพระวิหารที่ทางเราขีดไว้ หลังจากที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 มาสมัยนี้จะยกขึ้นมารื้อฟื้นก็คงจะยาก เพราะเวลาผ่านไปนานแล้วพ้นกำหนดที่จะอุทธรณ์แล้ว คำสงวนที่ท่านถนัด คอมันตร์ สงวนไว้ว่าถ้ามีข้อมูลใหม่ก็จะยกขึ้นมาใหม่ได้ก็ผ่านพ้นไปนานแล้ว
ฝ่ายที่อยากจะรื้อฟื้นน่าจะเป็นฝ่ายกัมพูชา แต่ฝ่ายที่ไม่อยากให้คณะมนตรีความมั่นคงรื้อฟื้นน่าจะเป็นฝ่ายเรา ข่าวคราวเช่นว่าได้แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว เป็นข่าวที่น่าจะไตร่ตรองดูว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสียกับเราในอนาคตข้างหน้าอย่างไร แนวโน้มของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
จริงอยู่การรับหรือไม่รับเรื่องไว้พิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงก็เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ แต่เรามีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ การเงิน การทหารแค่ไหนที่จะทำให้มหาอำนาจ 5 ชาติในคณะมนตรีความมั่นคงไม่รับเรื่องไว้พิจารณาอย่างไร
ถ้าคณะมนตรีความมั่นคงรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว เรื่องก็คงต้องส่งกลับไปที่ศาลโลกอีกครั้ง เพื่ออธิบายเรื่องคำว่า′พระวิหาร′ ซึ่งศาลโลกเคยตัดสินไปแล้วว่าเป็นของกัมพูชาตามแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นและตัดสินว่า เรายอมรับโดยปริยายมานานแล้ว แม้จะมิได้ยอมรับอย่างเป็นทางการก็ตาม ถ้าเรื่องกลับไปศาลโลกใหม่ เราควรมีสติปัญญาพิจารณาว่าเราจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
สิ่งที่เราควรจะห่วงมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องของการสู้รบว่าใครจะชนะใครจะเสียชีวิตเท่าไหร่ เพราะกองทัพกัมพูชาอย่างไรเสียก็คงจะสู้กองทัพไทยไม่ได้อยู่แล้ว หากแต่ประชาคมโลกจะมองว่าอย่างไร เราจะชนะหรือแพ้ในสายตาชาวโลก
บรรพบุรุษของเราเคยสั่งสอนเรามาว่า ที่เราเป็นใหญ่มาได้จากการชนะขอมและรักษาอำนาจเช่นว่านั้นมาได้ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็เพราะเรารู้จักประสานประโยชน์ ในที่สุดขอมที่ทำไร่ไถนาอยู่ในดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็กลายเป็นคนไทย เช่นเดียวกับชาวจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทย ในที่สุดก็กลายเป็นคนไทย
ที่สำคัญเราอยู่รอดมาได้เพราะโอนอ่อนผ่อนปรนกับกระแสของมหาอำนาจตลอดมาแต่โบราณ ทั้งจีน อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ท้ายที่สุดอเมริกา ต่อไปอาจจะกลับมาเป็นจีนอีก ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง บรรพบุรุษของเราก็นำพาประเทศชาติเป็นเอกราชมาได้จนบัดนี้
ถ้ากระแสของประชาคมโลกบังคับให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต้องรับเรื่องไว้พิจารณา ดูตามรูปการณ์แล้วไม่น่าจะเป็นผลดีกับประเทศของเรา
รัฐบาลของทั้ง 2 ฝ่ายมาแล้วก็ไป ไม่ช้าก็เร็ว แต่ประชาชนของทั้ง 2 ฝั่งที่เป็นญาติพี่น้องกัน ทำมาค้าขายกัน ข้างหนึ่งร่ำรวยไม่มีคนอยากทำงาน ข้างหนึ่งยังยากจนอยากมีรายได้ อยากมีงานทำ เกื้อหนุนกันดีด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
2.เพิ่งอ่านข่าวว่าหลักเขตแดนที่สยามทำไว้กับฝรั่งเศส เมื่อปี 1909 จำนวน 73 หลัก ตั้งแต่ช่องแม่สงำ จังหวัดศรีสะเกษไปถึงบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด บางแห่งพวกเขมรแดงก็ย้ายเข้าไปในเขตกัมพูชา บางแห่งนายทุนทำไม้คนไทยก็ย้ายหลักเขตเข้ามาในฝั่งไทย เพื่อจะลักลอบตัดไม้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ
แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก ถ้าทั้งเราและกัมพูชาจะมีทัศนคติอย่างบ้านใกล้เรือนเคียง ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น นักวิชาการทั้ง 2 ฝ่ายก็น่าจะทำกันได้ ขออย่างเดียวนักการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายอย่าใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากเรื่องนี้
สื่อมวลชนอย่าเข้ามาสร้างกระแสชาตินิยมแบบก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอีก เรื่องก็อาจจะจบลงได้ ดูอย่างชายแดนไทยมาเลเซียยังตกลงแลกที่ศาลเจ้ากับมัสยิดที่อังกฤษ เอาศาลเจ้าไปไว้ในมาเลเซีย แล้วเอามัสยิดมาไว้ฝั่งไทย ข้อเท็จจริงเราก็ยังตกลงแลกที่กันได้ และไม่ได้สนใจว่าใครเสียที่ไปกี่ตารางนิ้ว ใครได้เกินอีกฝ่ายกี่ตารางนิ้ว ก็ยังทำกันได้ ที่ทำได้เพราะระหว่างทำไม่เป็นข่าว เมื่อไหร่เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ก็จะทำไม่ได้ทันที ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งเขาก็ดีใจ สบายใจ เนื่องมาจากคนกรุงเทพฯไม่รู้
ในโลกสมัยใหม่เรื่องเขตแดนใช่เรื่องใหญ่ถ้าไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเศรษฐกิจทำมาค้าขายเป็นเรื่องใหญ่กว่า เรื่องความสงบสุขสำคัญกว่า ดูแต่สิงคโปร์ ลี กวน ยู อยากจะอยู่ร่วมเป็นประเทศมาเลเซีย แต่ตวนกู อับดุล ราห์มัน บิดาของประเทศมาเลเซียมองการณ์ไกลขับไล่สิงคโปร์ออกจากมาเลเซียไปตั้งประเทศใหม่ ความสงบสุขของมาเลเซียเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องดินแดน ตวนกู อับดุล ราห์มัน ท่านเลือดคนไทย เพราะมารดาท่านเป็นคนไทย ไม่เห็นมีใครประฌามท่านว่า ท่านทำให้มาเลเซียเสียดินแดน
คำว่า ′จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว′ ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากความขมขื่นครั้งมหาอำนาจยุคล่าอาณานิคม เราจะต้องคิดด้วยสติและปัญญา ว่าสมัยนี้ยังคงเป็นประโยชน์ หรือเป็นโทษกับเราหรือไม่ เมื่อกระแสของโลกกลายเป็น ′โลกาภิวัตน์′ กลายเป็นโลกที่ไร้พรมแดนในวันนี้ เราเองก็ปรับตัวอนุวัตรไปตามกระแสเช่นว่านั้นเสียแล้วด้วย มาร่วมกันหาประโยชน์จากของที่เรามีอยู่ร่วมก็ไม่ดีกว่าหรือ
อีกกี่ร้อยกี่พันปีเราก็คงมีเพื่อนบ้านเป็นมาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา ต่อไปก็เป็นอินโดนีเซีย บังกลาเทศ อินเดีย จีน และเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรม และดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าหากมีสันติภาพ ความสำคัญของเขตแดนที่มหาอำนาจเจ้าอาณานิคมทำไว้ควรจะลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ
ยุโรป อเมริกา เมื่อ 200 กว่าปีก่อนก็เป็นอย่างนี้ จนมีสันนิบาตชาติ จนมีสหประชาชาติ จนมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม การค้าขายเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีอารยธรรมสูงส่งขึ้น ประเทศใหญ่ประเทศเล็กจึงอยู่กันมาด้วยความสงบสุข เจริญรุ่งเรืองมาด้วยกัน
3.เรื่องพื้นที่ทับซ้อนห่างทะเล เมื่อก่อนไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะเทคโนโลยีในการขุดค้นทรัพยากรทางทะเลไม่ก้าวหน้ามาก และทรัพยากรที่สำคัญคือ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และการประมง ราคาน้ำมันพลังงาน และสัตว์น้ำในทะเลยังไม่แพงนัก
เมื่อเจ้าอาณานิคมตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ว่า ดินแดนของประเทศต่าง ๆ มีเพียงปืนใหญ่ยิงถึง คือ 3 ไมล์ทะเล ไกลกว่านั้นเป็นน่านน้ำสากล ทุกฝ่ายก็รับกันได้ทั้ง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าอาณานิคม
เมื่อมีการขยายเขตไหล่ทวีปในแง่ทรัพยากรไปถึง 200 ไมล์ทะเลก็เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกัน พื้นที่ทับซ้อนนี้ไม่มีวันจะตกลงกันได้ ทั้ง 2 ฝ่ายก็เลยเสียโอกาสในการจะได้ทำประโยชน์ในพื้นที่ที่ทับซ้อนกันนี้
เรื่องนี้เราก็ได้ตระหนัก จึงได้พูดคุยเจรจากับมาเลเซียตกลงกันไม่ต้องขีดเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปในทะเลกัน แต่ตั้งชื่อเสียใหม่เป็นพื้นที่พัฒนาร่วม หรือ Joint Development Area ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติร่วมกัน แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ทำการประมงร่วมกัน
ทิ้งความขัดแย้ง ว่าจะขีดเส้นแบ่งอาณาเขตกันไว้เบื้องหลัง มาลงทุนร่วมกัน ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่เราไม่เคยทำ ทำกันมาแล้วกับมาเลเซีย
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก่อ หรือทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันก่อขึ้นก็ตาม แต่สื่อมวลชนจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อก่อกระแสความรักชาติหรือชาตินิยม
การปลุกกระแสชาตินิยมจะติดหรือไม่ก็อยู่ที่สื่อมวลชนจะชี้นำไปในทางใด เราที่เป็นผู้เสพข่าวต้องระลึกเสมอว่า ข่าวจากการสู้รบนั้นต้องกลั่นกรองด้วยสติปัญญา มิฉะนั้นเราเองจะเป็นผู้ทำให้ผู้นำของเราไม่มีทางเลือก ต้องกระทำไปตามกระแสการรักชาติ ซึ่งบางทีไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่เราเสพ ถ้าเรามีสติไม่สร้างกระแสบีบบังคับให้ผู้นำทางการเมืองและการทหารของเราไม่มีทางเลือกที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติของเราในระยะยาว พิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อจำกัดต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วนในสถานการณ์นั้น ๆ
ข้อสำคัญต้องคิดไปไกล ๆ ว่าถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเกิดรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว เราจะรับหรือจะรุกอย่างไร ทางหนีทีไล่จะเป็นอย่างไร จะคิดไปตายเอาดาบหน้าหรือ ลูกหลานของเราจะตายไปเสียเปล่า ๆ เป็นเรื่องที่น่าเสียใจยิ่งนัก
ขอให้ระลึกเสมอว่า ชีวิตคนมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคนไทยหรือชีวิตคนเขมร ล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ขอให้เราจงตั้งสติให้ดี
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วีรพงษ์ รามางกูร
การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ ภาพผู้คนต้องอพยพหลบลี้หนีภัยจากการปะทะกันเป็นภาพที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
ข่าวการเสียชีวิตของพลเรือนและทหารของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็เป็นข่าวที่สะเทือนใจ เสียดายชีวิตคนหนุ่มของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง ข่าวว่าฝ่ายใดเสียชีวิตหรือฝ่ายใดบาดเจ็บเท่าไหร่ อย่างไร ล้วนเป็นข่าวที่เศร้าสลดใจเท่าเทียมกัน เพราะการบาดเจ็บ การเสียชีวิตของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองของทั้ง 2 ประเทศก่อขึ้น หาใช่เพราะประชาชนของทั้ง 2 ฝ่ายไม่
ประชาชนตามบริเวณชายแดน ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันคงไม่มีใครปรารถนาให้เกิดขึ้น บิดามารดาญาติพี่น้องของทหาร ไม่ว่าจะเป็นพลทหารหรือนายทหารก็คงไม่มีใครยินดีปรีดากับการปะทะกันจนเกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย
การใช้กำลังเข้าปะทะกันในโลกสมัยใหม่เป็นของล้าสมัยไปเสียแล้ว สำหรับผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่จะนำไปใช้แก้ปัญหา จะมีเหลือก็แต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่สถาปนาตัวเองเป็นตำรวจโลกในนามของสหประชาชาติ ใช้กำลังเข้าแก้ปัญหาของโลกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน ขอย้ำว่าเพื่อประโยชน์ของสหรัฐเอง เขาเลือกใช้วิธีนี้ได้เพราะเขาเป็นมหาอำนาจชั้นหนึ่งของโลกประเทศเดียวในขณะนี้ ส่วนประเทศเรานั้นไม่ใช่
การเดินแต้มทางการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ ควรต้องมองไปข้างหน้าไกล ๆ ว่าในที่สุดจะลงเอยอย่างไร ประชาคมโลกจะมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างไร
ปัญหาที่เกิดขึ้นควรมองอย่างผู้ที่ใช้ปัญญา มองให้ออกว่าผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศชาติและประชาชนของเราอยู่ที่ใด ภายใต้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ภายใต้ข้อเท็จจริงของกฎหมายระหว่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไขของการเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ภายใต้เงื่อนไขของการเป็นสมาชิกอาเซียน เราไม่ใช่อภิมหาอำนาจอย่างอเมริกา ในสายตาของประชาคมโลกเราเป็นประเทศเล็กทั้งในแง่เศรษฐกิจ และอำนาจทางทหารประเทศหนึ่งเท่านั้น
ปัญหาชายแดนกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีอยู่ 3 ปัญหาใหญ่ คือ
1.พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ปราสาทพระวิหารที่ทางเราขีดไว้ หลังจากที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 มาสมัยนี้จะยกขึ้นมารื้อฟื้นก็คงจะยาก เพราะเวลาผ่านไปนานแล้วพ้นกำหนดที่จะอุทธรณ์แล้ว คำสงวนที่ท่านถนัด คอมันตร์ สงวนไว้ว่าถ้ามีข้อมูลใหม่ก็จะยกขึ้นมาใหม่ได้ก็ผ่านพ้นไปนานแล้ว
ฝ่ายที่อยากจะรื้อฟื้นน่าจะเป็นฝ่ายกัมพูชา แต่ฝ่ายที่ไม่อยากให้คณะมนตรีความมั่นคงรื้อฟื้นน่าจะเป็นฝ่ายเรา ข่าวคราวเช่นว่าได้แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว เป็นข่าวที่น่าจะไตร่ตรองดูว่าจะเป็นผลดีหรือผลเสียกับเราในอนาคตข้างหน้าอย่างไร แนวโน้มของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
จริงอยู่การรับหรือไม่รับเรื่องไว้พิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงก็เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ แต่เรามีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ การเงิน การทหารแค่ไหนที่จะทำให้มหาอำนาจ 5 ชาติในคณะมนตรีความมั่นคงไม่รับเรื่องไว้พิจารณาอย่างไร
ถ้าคณะมนตรีความมั่นคงรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว เรื่องก็คงต้องส่งกลับไปที่ศาลโลกอีกครั้ง เพื่ออธิบายเรื่องคำว่า′พระวิหาร′ ซึ่งศาลโลกเคยตัดสินไปแล้วว่าเป็นของกัมพูชาตามแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นและตัดสินว่า เรายอมรับโดยปริยายมานานแล้ว แม้จะมิได้ยอมรับอย่างเป็นทางการก็ตาม ถ้าเรื่องกลับไปศาลโลกใหม่ เราควรมีสติปัญญาพิจารณาว่าเราจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
สิ่งที่เราควรจะห่วงมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องของการสู้รบว่าใครจะชนะใครจะเสียชีวิตเท่าไหร่ เพราะกองทัพกัมพูชาอย่างไรเสียก็คงจะสู้กองทัพไทยไม่ได้อยู่แล้ว หากแต่ประชาคมโลกจะมองว่าอย่างไร เราจะชนะหรือแพ้ในสายตาชาวโลก
บรรพบุรุษของเราเคยสั่งสอนเรามาว่า ที่เราเป็นใหญ่มาได้จากการชนะขอมและรักษาอำนาจเช่นว่านั้นมาได้ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็เพราะเรารู้จักประสานประโยชน์ ในที่สุดขอมที่ทำไร่ไถนาอยู่ในดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็กลายเป็นคนไทย เช่นเดียวกับชาวจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทย ในที่สุดก็กลายเป็นคนไทย
ที่สำคัญเราอยู่รอดมาได้เพราะโอนอ่อนผ่อนปรนกับกระแสของมหาอำนาจตลอดมาแต่โบราณ ทั้งจีน อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ท้ายที่สุดอเมริกา ต่อไปอาจจะกลับมาเป็นจีนอีก ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง บรรพบุรุษของเราก็นำพาประเทศชาติเป็นเอกราชมาได้จนบัดนี้
ถ้ากระแสของประชาคมโลกบังคับให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต้องรับเรื่องไว้พิจารณา ดูตามรูปการณ์แล้วไม่น่าจะเป็นผลดีกับประเทศของเรา
รัฐบาลของทั้ง 2 ฝ่ายมาแล้วก็ไป ไม่ช้าก็เร็ว แต่ประชาชนของทั้ง 2 ฝั่งที่เป็นญาติพี่น้องกัน ทำมาค้าขายกัน ข้างหนึ่งร่ำรวยไม่มีคนอยากทำงาน ข้างหนึ่งยังยากจนอยากมีรายได้ อยากมีงานทำ เกื้อหนุนกันดีด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
2.เพิ่งอ่านข่าวว่าหลักเขตแดนที่สยามทำไว้กับฝรั่งเศส เมื่อปี 1909 จำนวน 73 หลัก ตั้งแต่ช่องแม่สงำ จังหวัดศรีสะเกษไปถึงบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด บางแห่งพวกเขมรแดงก็ย้ายเข้าไปในเขตกัมพูชา บางแห่งนายทุนทำไม้คนไทยก็ย้ายหลักเขตเข้ามาในฝั่งไทย เพื่อจะลักลอบตัดไม้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ
แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก ถ้าทั้งเราและกัมพูชาจะมีทัศนคติอย่างบ้านใกล้เรือนเคียง ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น นักวิชาการทั้ง 2 ฝ่ายก็น่าจะทำกันได้ ขออย่างเดียวนักการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายอย่าใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากเรื่องนี้
สื่อมวลชนอย่าเข้ามาสร้างกระแสชาตินิยมแบบก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอีก เรื่องก็อาจจะจบลงได้ ดูอย่างชายแดนไทยมาเลเซียยังตกลงแลกที่ศาลเจ้ากับมัสยิดที่อังกฤษ เอาศาลเจ้าไปไว้ในมาเลเซีย แล้วเอามัสยิดมาไว้ฝั่งไทย ข้อเท็จจริงเราก็ยังตกลงแลกที่กันได้ และไม่ได้สนใจว่าใครเสียที่ไปกี่ตารางนิ้ว ใครได้เกินอีกฝ่ายกี่ตารางนิ้ว ก็ยังทำกันได้ ที่ทำได้เพราะระหว่างทำไม่เป็นข่าว เมื่อไหร่เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ก็จะทำไม่ได้ทันที ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งเขาก็ดีใจ สบายใจ เนื่องมาจากคนกรุงเทพฯไม่รู้
ในโลกสมัยใหม่เรื่องเขตแดนใช่เรื่องใหญ่ถ้าไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเศรษฐกิจทำมาค้าขายเป็นเรื่องใหญ่กว่า เรื่องความสงบสุขสำคัญกว่า ดูแต่สิงคโปร์ ลี กวน ยู อยากจะอยู่ร่วมเป็นประเทศมาเลเซีย แต่ตวนกู อับดุล ราห์มัน บิดาของประเทศมาเลเซียมองการณ์ไกลขับไล่สิงคโปร์ออกจากมาเลเซียไปตั้งประเทศใหม่ ความสงบสุขของมาเลเซียเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องดินแดน ตวนกู อับดุล ราห์มัน ท่านเลือดคนไทย เพราะมารดาท่านเป็นคนไทย ไม่เห็นมีใครประฌามท่านว่า ท่านทำให้มาเลเซียเสียดินแดน
คำว่า ′จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว′ ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากความขมขื่นครั้งมหาอำนาจยุคล่าอาณานิคม เราจะต้องคิดด้วยสติและปัญญา ว่าสมัยนี้ยังคงเป็นประโยชน์ หรือเป็นโทษกับเราหรือไม่ เมื่อกระแสของโลกกลายเป็น ′โลกาภิวัตน์′ กลายเป็นโลกที่ไร้พรมแดนในวันนี้ เราเองก็ปรับตัวอนุวัตรไปตามกระแสเช่นว่านั้นเสียแล้วด้วย มาร่วมกันหาประโยชน์จากของที่เรามีอยู่ร่วมก็ไม่ดีกว่าหรือ
อีกกี่ร้อยกี่พันปีเราก็คงมีเพื่อนบ้านเป็นมาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา ต่อไปก็เป็นอินโดนีเซีย บังกลาเทศ อินเดีย จีน และเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรม และดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าหากมีสันติภาพ ความสำคัญของเขตแดนที่มหาอำนาจเจ้าอาณานิคมทำไว้ควรจะลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ
ยุโรป อเมริกา เมื่อ 200 กว่าปีก่อนก็เป็นอย่างนี้ จนมีสันนิบาตชาติ จนมีสหประชาชาติ จนมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม การค้าขายเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีอารยธรรมสูงส่งขึ้น ประเทศใหญ่ประเทศเล็กจึงอยู่กันมาด้วยความสงบสุข เจริญรุ่งเรืองมาด้วยกัน
3.เรื่องพื้นที่ทับซ้อนห่างทะเล เมื่อก่อนไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะเทคโนโลยีในการขุดค้นทรัพยากรทางทะเลไม่ก้าวหน้ามาก และทรัพยากรที่สำคัญคือ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และการประมง ราคาน้ำมันพลังงาน และสัตว์น้ำในทะเลยังไม่แพงนัก
เมื่อเจ้าอาณานิคมตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ว่า ดินแดนของประเทศต่าง ๆ มีเพียงปืนใหญ่ยิงถึง คือ 3 ไมล์ทะเล ไกลกว่านั้นเป็นน่านน้ำสากล ทุกฝ่ายก็รับกันได้ทั้ง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าอาณานิคม
เมื่อมีการขยายเขตไหล่ทวีปในแง่ทรัพยากรไปถึง 200 ไมล์ทะเลก็เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกัน พื้นที่ทับซ้อนนี้ไม่มีวันจะตกลงกันได้ ทั้ง 2 ฝ่ายก็เลยเสียโอกาสในการจะได้ทำประโยชน์ในพื้นที่ที่ทับซ้อนกันนี้
เรื่องนี้เราก็ได้ตระหนัก จึงได้พูดคุยเจรจากับมาเลเซียตกลงกันไม่ต้องขีดเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปในทะเลกัน แต่ตั้งชื่อเสียใหม่เป็นพื้นที่พัฒนาร่วม หรือ Joint Development Area ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติร่วมกัน แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ทำการประมงร่วมกัน
ทิ้งความขัดแย้ง ว่าจะขีดเส้นแบ่งอาณาเขตกันไว้เบื้องหลัง มาลงทุนร่วมกัน ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่เราไม่เคยทำ ทำกันมาแล้วกับมาเลเซีย
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก่อ หรือทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันก่อขึ้นก็ตาม แต่สื่อมวลชนจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อก่อกระแสความรักชาติหรือชาตินิยม
การปลุกกระแสชาตินิยมจะติดหรือไม่ก็อยู่ที่สื่อมวลชนจะชี้นำไปในทางใด เราที่เป็นผู้เสพข่าวต้องระลึกเสมอว่า ข่าวจากการสู้รบนั้นต้องกลั่นกรองด้วยสติปัญญา มิฉะนั้นเราเองจะเป็นผู้ทำให้ผู้นำของเราไม่มีทางเลือก ต้องกระทำไปตามกระแสการรักชาติ ซึ่งบางทีไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่เราเสพ ถ้าเรามีสติไม่สร้างกระแสบีบบังคับให้ผู้นำทางการเมืองและการทหารของเราไม่มีทางเลือกที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติของเราในระยะยาว พิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อจำกัดต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วนในสถานการณ์นั้น ๆ
ข้อสำคัญต้องคิดไปไกล ๆ ว่าถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเกิดรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว เราจะรับหรือจะรุกอย่างไร ทางหนีทีไล่จะเป็นอย่างไร จะคิดไปตายเอาดาบหน้าหรือ ลูกหลานของเราจะตายไปเสียเปล่า ๆ เป็นเรื่องที่น่าเสียใจยิ่งนัก
ขอให้ระลึกเสมอว่า ชีวิตคนมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคนไทยหรือชีวิตคนเขมร ล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ขอให้เราจงตั้งสติให้ดี
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
อาเซียน
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554
โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ทำให้โลก “โฟกัส” มาที่ภูมิภาคนี้อีกครั้งในบริบทของความร่วมมือ “อาเซียน” ที่หลายชาติมองว่าจะเป็นแกนในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในยุคทองของเอเชียแปซิฟิกที่มี จีนและอินเดีย เป็น “หัวรถจักร” นำไปก่อนแล้ว
อย่างในบทความของ Banyan ในนิตยสาร The Economist ฉบับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจ ภายใต้หัวข้อ “Loose stalks posing as a sheaf” หรือต้นข้าวที่แยกกันแต่ทำเหมือนเป็นฟ้อนข้าวหรืออยู่ในมัดเดียวกัน อันเป็นการเปรียบเทียบประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ที่มาอยู่ร่วมกันอย่างหลวมๆ แต่ยามวิกฤตไม่สามารถแก้ปัญหาได้
เช่นในกรณีของไทยและกัมพูชานั้น เกิดขึ้นทั้งๆที่อาเซียนมีวัตถุประสงค์ที่จะ “รักษาและขยายสันติภาพ ความปลอดภัย และความมั่นคง ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งในคุณค่าของสันติภาพในภูมิภาค” จึงน่า “ผิดหวัง” ที่ทั้งสองประเทศจะมายิงกันบริเวณเขตแดนที่ปราสาทพระวิหาร
ที่เป็นข้อสังเกตของบทความดังกล่าว คือ เมื่อมีเหตุการณ์ปะทะกัน ฝ่ายไทยต้องการที่จะใช้กลไก “ทวิภาคี” ในขณะที่กัมพูชาวิ่งไปใช้กลไกของสหประชาชาติ แต่ไม่มีใครของให้อาเซียนช่วยแต่ประการใด ทั้งๆที่ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย และ นายมาร์ตี้ นาทาเลกาวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียในฐานะที่อินโดนีเซียเป็นประธานอาเซียนในปัจจุบัน ได้เดินทางระหว่างกรุงเทพและพนมเปญ เพื่อให้มีการเจรจากัน
ซึ่งอาเซียนก็ยอมให้แต่ละคนไปตามทางของตน ไม่สามารถเข้ายุ่งเกี่ยวได้เพราะหลักการที่จะไม่เข้าไปแทรกแซงประเทศสมาชิก โดยนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการศูนย์อาเซียนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งประเทศสิงคโปร์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ทั้งสองประเทศได้ละเมิดข้อตกลงอาเซียน แต่อาเซียนไม่สามารถบังคับใช้กติกาที่ตกลงกันไว้ การไล่ออกจากการเป็นสมาชิกนั้นเป็นไปไม่ได้ ทั้งไม่มีบทลงโทษอื่นกำหนดไว้แต่อย่างใด
ในบทความยังวิพากษ์อย่างติดตลกด้วยว่า “อาเซียน” นั้นเก่งในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ประนีประนอมมากกว่าจะท้าทาย และจะอ้างถึงหลักการในอธิปไตยของแต่ละประเทศทั้งๆที่การเขามายุ่งเกี่ยวของผู้ที่ทำตัวเป็นตัวกลางนั้นมีความตั้งใจที่ดี ส่วนคนที่จะมาประชุมร่วมกันในอาเซียนนั้นขอให้มีคุณสมบัติเพียง พูดภาษาอังกฤษได้ ชอบเล่นกอล์ฟ ร้องคาราโอเกะ และกินทุเรียน
หากมองไปที่สมาชิกทั้ง 10 ประเทศแล้ว มีความแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็น บรูไน ซึ่งเป็นรัฐอิสลามปกครองโดยสุลต่าน สิงคโปร์ ที่เป็นเกาะที่ทั้งเมืองเป็นประเทศที่ร่ำรวย ประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์ 2 ประเทศ คือ ลาว และ เวียดนาม พม่า ซึ่งปกครองโดยรัฐทหารที่เพิ่งมีการ “เลือกตั้ง” พร้อมทั้ง กัมพูชา และ ประเทศ 5 ประเทศที่เป็นสมาชิกดั้งเดิม ซึ่งรวมตัวกันในยุค “สงครามเย็น”
วันนี้ทั้งหมดตกลงกันว่าจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจในปี 2015 ซึ่งการเป็นเขตการค้าเสรีมีความท้าทายมาก เพราะความแตกต่างดังกล่าว และการที่อาเซียนไม่มีองค์กรตรงกลางที่เข้มแข็งที่จะบริหารจัดการความขัดแย้งหรือผลักดันความร่วมมืออย่างจริงจัง
บทความของ Banyan วิเคราะห์ได้ตรงเป้าและเป็นเรื่องที่รู้กัน และวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องในหมู่สมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะนักวิชาการและนักการทูตที่อยากเห็นอาเซียนพัฒนาด้วยความเข้มแข็งและเติบใหญ่มีอำนาจต่อรองอย่างสหภาพยุโรป
ซึ่งอาเซียนคงต้องใช้เวลามากกว่า สหภาพยุโรป และที่ผ่านมาสหภาพยุโรปก็ใช่ว่าจะรวมกันง่ายๆ แม้ทุกวันนี้ยังประสบปัญหาพอควร แต่อย่างน้อยทุกประเทศเห็นประโยชน์ของการอยู่ร่วมกันและความพยายามที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเป็นหนึ่งเดียว
ที่น่าเสียดายคือบทบาทของไทย ซึ่งถือว่าเป็น “ตัวหลัก” ในการประสานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมาชิก เพราะเป็นตัวตั้งตัวตีให้เกิดอาเซียนขึ้นมา และระดับการพัฒนาประเทศ ความมั่นคงทางการเมืองในอดีต และ “เครดิต” กับประเทศมหาอำนาจต่างๆได้ “สะสม” ไว้มากพอควร แต่มาวันนี้ไทยกลับเป็นคู่กรณีเสียเอง ทั้งเครดิตระหว่างประเทศก็ร่อยหรอ ความมั่นคงภายในทางการเมืองตกต่ำ
บทบาทการนำในอาเซียนจึงถูกช่วงชิง ดังจะเห็นความพยายามของเวียดนามและอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนต่อจากไทย ซึ่งสมัยที่ไทยเป็นนั้นล้มเหลวในการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนอับอายไปทั่วโลก ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลจะกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์การต่างประเทศของไทย รวมทั้งผู้ที่รับผิดชอบที่น่าจะถึงเวลาปรับเปลี่ยนได้แล้ว!!
มีแต่คำถาม..แต่ไม่มีคำตอบ
ถามกันว่า..พันธมิตรปรารถนาอะไร..จากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ครั้งล่าสุด..บนการเคลื่อนไหวที่ไร้พลัง มวลชนแต่สมบูรณ์ด้วยพลังอำนาจพันธมิตรฯ..จิกตีรัฐบาลอภิสิทธิ์...ในเรื่องการทุจริตกอบกินโกงโกย..เป็นเป้าหมายใหญ่..เป็นเป้าหมายเดียวกับที่โจมตีใส่รัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร มาแล้วอภิสิทธิ์ โดนหนักหนากว่า..กับข้อหาไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ไม่ถูกก้าวล่วงในเรื่องความจงรักภักดีไม่มีใครตอบได้..ทำไม สองเกลอซึ่งเคยเป็นหนึ่งเดียวกันในวันล้มทักษิณ..ถึงแตกแยกแตกคอกัน ขนาดนี้..ไม่มีใครคาดคิด อำนาจและ ผลประโยชน์..จะสร้างปาฏิหาริย์แห่ง ความย่อยยับได้ถึงระดับนี้
มีแต่คำถาม..พันธมิตรได้อะไรจากคำขาด..ที่ไม่มีรัฐบาลใดๆ สามารถปฏิบัติได้คนโง่ที่สุดในโลก..ก็คิดได้.. การจะให้รัฐบาลอภิสิทธิ์..นำตัวนักโทษชาวไทย 2 คนออกมาจากคุกกัมพูชาโดยปราศจากมลทินนั้น.. ภายใน 3 วันนั้น..เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดในโลกแล้ว สนธิ ลิ้มทองกุล กับ จำลอง ศรีเมือง เป็นคนโง่อย่างนั้นหรือคนไม่ขี้คุย..อย่าง จำลอง ศรีเมือง มั่นอกมั่นใจอะไรนักหนา..กับชัยชนะ ครั้งที่ 9 และกล่าวอย่างโอ้อวดว่า.. เขาเป็นมืออาชีพในการไล่ล่ารัฐบาล..ถ้าจะถามว่า..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เข้าใจหรือไม่..ว่าสถานะของเขาใน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันนี้..ได้จบสิ้นลงไปแล้ว..คำตอบน่าจะใช่..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เข้าใจและรู้แจ้งแทงตลอด..
เขาจึงไม่ขัดขืนในการเปลี่ยนหมายกำหนดการให้การเลือกตั้งร่นเข้ามาและเร็วถึงขนาด..ไม่ต้องรอกฎหมายลูก..แทบจะฉับพลันทันที..คำตอบในเรื่องนี้..จึงมีอยู่ว่า..น่า จะมีการเลือกตั้งในเร็วๆ วันนี้..ไม่ใช่เพราะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใจดี..แต่เพราะความไม่สามารถในการเป็นนายกรัฐมนตรี..ทำให้การส่งกำลังบำรุงหยุด ชะงักและขาดตอนคำถามใหม่มีอยู่ว่า...ก่อนหน้า วันเลือกตั้ง..จะมีอะไรไหม..เพราะ หากไม่มีอะไร..มันก็จะกลับไปเหมือน เก่า..เข้าวงจรดั่งเดิม..
ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////
มีแต่คำถาม..พันธมิตรได้อะไรจากคำขาด..ที่ไม่มีรัฐบาลใดๆ สามารถปฏิบัติได้คนโง่ที่สุดในโลก..ก็คิดได้.. การจะให้รัฐบาลอภิสิทธิ์..นำตัวนักโทษชาวไทย 2 คนออกมาจากคุกกัมพูชาโดยปราศจากมลทินนั้น.. ภายใน 3 วันนั้น..เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดในโลกแล้ว สนธิ ลิ้มทองกุล กับ จำลอง ศรีเมือง เป็นคนโง่อย่างนั้นหรือคนไม่ขี้คุย..อย่าง จำลอง ศรีเมือง มั่นอกมั่นใจอะไรนักหนา..กับชัยชนะ ครั้งที่ 9 และกล่าวอย่างโอ้อวดว่า.. เขาเป็นมืออาชีพในการไล่ล่ารัฐบาล..ถ้าจะถามว่า..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เข้าใจหรือไม่..ว่าสถานะของเขาใน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันนี้..ได้จบสิ้นลงไปแล้ว..คำตอบน่าจะใช่..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..เข้าใจและรู้แจ้งแทงตลอด..
เขาจึงไม่ขัดขืนในการเปลี่ยนหมายกำหนดการให้การเลือกตั้งร่นเข้ามาและเร็วถึงขนาด..ไม่ต้องรอกฎหมายลูก..แทบจะฉับพลันทันที..คำตอบในเรื่องนี้..จึงมีอยู่ว่า..น่า จะมีการเลือกตั้งในเร็วๆ วันนี้..ไม่ใช่เพราะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใจดี..แต่เพราะความไม่สามารถในการเป็นนายกรัฐมนตรี..ทำให้การส่งกำลังบำรุงหยุด ชะงักและขาดตอนคำถามใหม่มีอยู่ว่า...ก่อนหน้า วันเลือกตั้ง..จะมีอะไรไหม..เพราะ หากไม่มีอะไร..มันก็จะกลับไปเหมือน เก่า..เข้าวงจรดั่งเดิม..
ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////
เบี้ยเดินหมาก
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ผมไม่ทราบหรอกว่า เหตุใดจึงเกิดการปะทะกันกับกัมพูชาขึ้นที่ชายแดน ใครจะได้อะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมก็เดาไม่ออก ใครในที่นี้รวมถึงฝ่ายกัมพูชาซึ่งดูเหมือนมีเอกภาพในหมู่ชนชั้นนำกว่าไทย และฝ่ายไทยซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มอำนาจหลากหลาย เช่นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งก็มีหลายพรรค ไปจนถึงกองทัพ ซึ่งก็มีกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในกองทัพเองหลายกลุ่ม และไปจนถึงอำนาจนอกระบบ ซึ่งก็ไม่ได้มีกลุ่มเดียวอีกนั่นแหละ
ผมเพียงแต่ค่อนข้างแน่ใจว่า ไม่ว่าเหตุปะทะที่ชายแดนจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตาม จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายกลุ่มอำนาจอันหลากหลายของไทย ต่างรู้ดีว่าการจุดชนวนปะทะกัน ไม่มีทางที่จะทำให้ข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนคลี่คลายไปทางหนึ่งทางใดได้ ทุกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แล้วว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นจริงในปัจจุบันทำให้ไม่มีทางที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะสามารถตกลงข้อพิพาทเรื่องเขตแดนให้เป็นไปตามใจชอบของตนแต่ฝ่ายเดียวได้
แม้แต่การปลุกระดมให้ทำสงครามอย่างที่แกนนำพันธมิตร บางคนใช้ ก็รู้กันอยู่แล้ว แม้แต่แก่ตัวผู้ปลุกระดมเองว่า ไม่มีทางที่กัมพูชาหรือไทยจะชนะขาดได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นการปลุกระดมไปสู่สงคราม จึงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสงคราม แต่เพื่อการเมืองภายในของพันธมิตร เองมากกว่า
กล่าวโดยสรุปก็คือ เหตุปะทะกันที่ชายแดน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรสักอย่างในการเมืองภายใน ไม่ของกัมพูชา ก็ของไทยเอง หรือของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การเล่นการเมืองอย่างสุ่มเสี่ยงเช่นนี้เป็นเรื่องน่ากลัว เพราะ"บานปลาย"ได้ง่าย อีกทั้งน่ากลัวแก่ไทยเสียยิ่งกว่ากัมพูชาด้วย เพราะอย่างน้อยภาวะการนำของกัมพูชาในขณะนี้ดูจะเป็นเอกภาพ จะหยุดหรือเบี่ยงประเด็นไปเมื่อไรก็ได้ ในขณะที่ในเมืองไทยเป็นตรงกันข้าม คือขาดเอกภาพอย่างยิ่ง ผมอยากจะพูดอย่างนี้ด้วยซ้ำว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชนชั้นนำไทยจะแตกร้าวกันอย่างหนักเท่าเวลานี้ ไม่ว่าจะมองไปที่เครือข่ายชนชั้นนำตามจารีต, กองทัพ, นักการเมือง, ทุน, นักวิชาการ, หรือแม้แต่คนชั้นกลางด้วยกันเอง
ความไม่เป็นเอกภาพของชนชั้นนำนั้นมีข้อดีในตัวเองด้วยนะครับ อย่างน้อยก็เกิดการถ่วงดุลอำนาจกันบ้าง แต่ในวิกฤตการณ์บางอย่าง ก็กลับกลายเป็นความอ่อนแอ ทั้งสังคมและชนชั้นนำจะตกเป็นเหยื่อของนักปลุกระดม (demagogue)ได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ผมขออนุญาตมองโลกในแง่ดีว่า ภาวะสุ่มเสี่ยงที่เกิดขึ้น กลับมีความสุ่มเสี่ยงในเมืองไทยน้อยลง เพราะเกิดปัจจัยใหม่ในการเมืองไทย นั่นคือสังคมโดยรวมมีสติเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือการแย่งอำนาจกันด้วยเล่ห์กระเท่ห์ของชนชั้นนำอย่างหมดตัวเหมือนที่เคยเป็นมา (เช่นนักศึกษาไม่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องสงคราม อย่างที่นักศึกษาเคยทำเมื่อสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม)
ผมอยากวิเคราะห์ความมีสติของสังคมดังที่กล่าวนี้ว่า มาจากอะไรบ้าง เพื่อจะได้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเอง
1/ การปลุกระดมด้วยลัทธิชาตินิยมแบบระรานของแกนนำพันธมิตร ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ฝูงชนที่ร่วมชุมนุมมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากนัก จึงไม่เป็นเงื่อนไขให้กลุ่มอำนาจกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองของตนเองได้สะดวก
อันที่จริงชาตินิยมแบบระรานนั้น เป็นอุดมการณ์ที่ทหารใช้กันมานาน เพราะให้ความชอบธรรมแก่อำนาจทางการเมืองที่ไม่ชอบธรรมของกองทัพ แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดนี้ในครั้งนี้ จึงทำให้กลุ่มอำนาจในกองทัพบางกลุ่มไม่อาจใช้ชาตินิยมแบบระรานนี้ ไปยึดอำนาจทางการเมืองมาอยู่ในกลุ่มของตนได้
2/ เหตุใดคนไทยจำนวนมากจึงไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของลัทธิชาตินิยมแบบระราน ผมคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่คนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เรียนรู้แล้วว่า ความเข้มแข็งของชาตินั้นไม่ได้มาจากพื้นที่อันกว้างขวางของดินแดน บูรณภาพทางดินแดนมีความสำคัญก็จริง แต่ยืดหยุ่นได้มากกว่าหนึ่งตารางนิ้ว ในการประเมินความเข้มแข็งของชาติ จำเป็นต้องนำปัจจัยอื่นๆ เข้ามาบวกลบคูณหารด้วย เช่นปัจจัยทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, การรวมกลุ่มระหว่างประเทศ, สถานะของไทยในการเมืองโลก, และอนาคตอันยาวไกลของบ้านเมือง ทั้งหมดเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับกองทัพ และทหารก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะกำหนดชะตากรรมของชาติมากกว่าคนกลุ่มอื่นแต่อย่างใด
3/ ถ้าคนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอย่างที่ผมว่าไว้ในข้อสอง ก็หมายความว่ากองทัพต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนในสังคมไทยใหม่ ถ้ากองทัพยังอยากจะดำรงอยู่อย่างมีความสำคัญในสังคมอยู่บ้าง การปกป้องชาติอาจทำได้ด้วยกำลังทหาร แต่กำลังทหารอย่างเดียวไม่พอ และไม่สำคัญที่สุดด้วย มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งเราต้องใส่ใจมากกว่าความแข็งแกร่งของกองทัพ ถ้ากองทัพคิดว่าตัวจะมีบทบาทเหมือนเดิมตลอดไป
ในไม่ช้ากองทัพเองนั่นแหละจะกลายเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากเห็นว่าเป็น"ส่วนเกิน"ของชาติ และหนักไปกว่านั้นคืออาจเห็นว่าเป็น"ตัวถ่วง"ก็ได้
4/ สิ่งที่เคยเป็น "อาญาสิทธิ์" ทุกชนิดในสังคมไทย ถูกท้าทาย, ถูกตั้งคำถาม, ถูกตั้งข้อสงสัย, หรือถูกปฏิเสธ ไปหมดแล้ว ในสภาพเช่นนี้ ไม่มีชาติใดสามารถรบกับใครได้หรอกครับ อาจปะทะกันที่ชายแดนได้ แต่รบกับเขานานๆ ชนิดที่เรียกว่า "สงคราม" ไม่ได้
ผมขอยกตัวอย่างจากรายการวิทยุท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่ผมเพิ่งได้ยินในเชียงใหม่ เป็นรายการสนทนาที่โฆษกท่านหนึ่งพูดในวันที่มีการปะทะกันที่ชายแดน และมีทหารเสียชีวิตว่า ถึงจะเสียใจต่อความสูญเสียของครอบครัวทหารท่านนั้น แต่คิดย้อนหลังไปไม่กี่เดือนก่อนหน้า ที่ทหารยิงประชาชนซึ่งไม่ได้ถืออาวุธล้มตายจำนวนมากแล้ว ก็มีความรู้สึกพิพักพิพ่วน ด้านหนึ่งก็คือเสียใจ, โกรธแค้นกัมพูชา เพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยด้วยกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชุมนุมประท้วงก็เป็นคนไทยด้วยกันเช่นเดียวกัน
ความหมายของเขานั้นเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ แต่ประเด็นสำคัญที่ผมอยากชี้ไว้ก็คือ จะมีกองทัพใดในโลกนี้หรือครับที่สามารถทำสงครามสมัยใหม่ได้ หากประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกอย่างนี้กับทหาร สงครามสมัยใหม่นั้นเป็นสงครามเบ็ดเสร็จ (Total War) คือไม่ได้รบกันที่แนวหน้าอย่างเดียว แต่รบกันทั้งสังคม ไม่เหมือนสงครามสมัยโบราณ ที่มีแต่ทัพของอัศวินรบกัน โดยประชาชนทำมาหากินและหลบหลีกภัยสงครามไปตามเรื่อง ใครแพ้ใครชนะก็ไม่เกี่ยวกับตัว เพราะนายเก่าหรือนายใหม่ก็ไม่สู้จะต่างอะไรกันนัก
5/ ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากก็คือ เสียงของคนชายแดนบ้านภูมิซรอล, บ้านภูมะเขือ, ฯลฯ ดังกว่าที่เสียงของคนชายแดนเคยดังมาในการปะทะกันด้วยอาวุธทุกครั้งของไทย ทีวีไทยเอาผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านแถวนั้น มานั่งสนทนากับนักวิชาการ ทีวีอีกหลายช่องไปถ่ายภาพความโกลาหลของประชาชนชายแดนที่ต้องอพยพหลบภัย มานอนกันเกลื่อนกล่นในที่ซึ่งราชการตั้งเป็นศูนย์อพยพ
มีน้ำตาของแม่ที่พลัดหลงกับลูก มีคำให้สัมภาษณ์ของคนที่ต้องทิ้งสมบัติข้าวของและวัวควายไว้โดยไม่มีคนดูแล มีอารมณ์ความรู้สึกของความสับสนวุ่นวายที่ต่างไม่สามารถจัดการกับชีวิตของตนได้ และแน่นอนมีความเสียหายทางวัตถุและชีวิตซึ่งเกิดขึ้น
เสียงของคนเล็กๆ ดังมากขึ้นในสังคมไทยมาหลายปีแล้ว ทั้งจากเอ็นจีโอ, นักวิชาการ, และการเคลื่อนไหวของพวกเขาเอง สงครามหรือปัญหาระหว่างประเทศเคยเป็นพื้นที่หวงห้ามที่ชนชั้นนำตัดสินใจกันเอง (อย่างมีเอกภาพ หรือไม่มีเอกภาพก็ตาม) แต่ครั้งนี้ไม่ใช่นะครับ มีเสียงของคนเล็กๆ สอดแทรกเข้ามา เช่นผู้ใหญ่บ้านท่านที่กล่าวแล้ว เสนอให้เปิดการเจรจากันโดยเร็วเพื่อยุติการใช้อาวุธเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ท่านไม่สนใจหรอกครับว่าจะเปิดการเจรจาอย่างไรจึงจะเป็นผล นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไปหาทางเอาเอง ท่านไม่ได้เรียกร้องให้ใช้กำลังทหารเข้าไปยึดนครวัด เสียมราบ พระตะบอง
เสียงเหล่านี้ดังเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรด้วย จะเพราะเหตุผลทางการเมืองหรืออะไรก็ตามที แต่เป็นประเด็นหลักของการอภิปรายกระทู้ของฝ่ายค้านต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
เราจะอยู่กันต่อไปโดยปิดหูให้แก่เสียงของคนเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เสียแล้ว และจะใช้วิธีศรีธนญชัยกับเสียงเหล่านี้ ก็คงไม่ได้ผลยั่งยืนอะไร
6/ คู่ขนานกันไปกับเสียงของคนเล็กๆ ผมคิดว่ามีเสียงของนักวิชาการซึ่งอาจไม่ดังเท่า แต่ก็ทำมาอย่างต่อเนื่องให้หันมาทบทวนกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนจากข้อมูลหลักฐานที่เป็นจริง และหาทางออกโดยสันติ ก่อนที่นักปลุกระดมจะฉวยเอาประเด็นเหล่านี้ไปเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน แม้ว่าเสียงของนักวิชาการเหล่านี้อาจไม่จับใจสื่อ และไม่เป็นข่าว แต่ได้สร้างฐานความรู้บางอย่างที่คนเล็กๆ สามารถหยิบฉวยไปใช้ เพื่อยับยั้งการเลือกความรุนแรงในการแก้ปัญหาได้ และในความเป็นจริงเวลานี้ ผมก็ได้พบว่าคนเล็กๆ ที่มีสติดีที่สุดและไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองอะไรกับข้อพิพาทชายแดน ก็กำลังกระตือรือร้นที่จะหยิบเอาฐานความรู้เหล่านี้ไปใช้ในการกำกับนโยบายของรัฐด้วย เช่นในการสัมมนาเรื่อง "สยาม-ขะแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร" ที่ มธ.เมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีชาวบ้านจากภูมิซรอลอุตส่าห์เดินทางมาร่วมการสัมมนาด้วยจำนวนหนึ่ง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเล็กๆ ไม่ได้ส่งเสียงเพราะตัวเองเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่กำลังเขยิบเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ด้วยสิทธิเสมอภาคกับสาวกของเวทีพันธมิตร ที่ราชดำเนิน
ในทุกที่ในโลกนี้ หากเบี้ยสามารถเดินหมากเอง สงครามจะเป็นตาอับตลอดไป แม้เรายังอาจมีข้อพิพาทและการปะทะกันด้วยอาวุธอยู่บ้าง แต่โลกนี้จะไม่มีสงคราม
ที่มา.มติชนออนไลน์.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผมไม่ทราบหรอกว่า เหตุใดจึงเกิดการปะทะกันกับกัมพูชาขึ้นที่ชายแดน ใครจะได้อะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมก็เดาไม่ออก ใครในที่นี้รวมถึงฝ่ายกัมพูชาซึ่งดูเหมือนมีเอกภาพในหมู่ชนชั้นนำกว่าไทย และฝ่ายไทยซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มอำนาจหลากหลาย เช่นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งก็มีหลายพรรค ไปจนถึงกองทัพ ซึ่งก็มีกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในกองทัพเองหลายกลุ่ม และไปจนถึงอำนาจนอกระบบ ซึ่งก็ไม่ได้มีกลุ่มเดียวอีกนั่นแหละ
ผมเพียงแต่ค่อนข้างแน่ใจว่า ไม่ว่าเหตุปะทะที่ชายแดนจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตาม จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายกลุ่มอำนาจอันหลากหลายของไทย ต่างรู้ดีว่าการจุดชนวนปะทะกัน ไม่มีทางที่จะทำให้ข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนคลี่คลายไปทางหนึ่งทางใดได้ ทุกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แล้วว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นจริงในปัจจุบันทำให้ไม่มีทางที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะสามารถตกลงข้อพิพาทเรื่องเขตแดนให้เป็นไปตามใจชอบของตนแต่ฝ่ายเดียวได้
แม้แต่การปลุกระดมให้ทำสงครามอย่างที่แกนนำพันธมิตร บางคนใช้ ก็รู้กันอยู่แล้ว แม้แต่แก่ตัวผู้ปลุกระดมเองว่า ไม่มีทางที่กัมพูชาหรือไทยจะชนะขาดได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นการปลุกระดมไปสู่สงคราม จึงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสงคราม แต่เพื่อการเมืองภายในของพันธมิตร เองมากกว่า
กล่าวโดยสรุปก็คือ เหตุปะทะกันที่ชายแดน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรสักอย่างในการเมืองภายใน ไม่ของกัมพูชา ก็ของไทยเอง หรือของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การเล่นการเมืองอย่างสุ่มเสี่ยงเช่นนี้เป็นเรื่องน่ากลัว เพราะ"บานปลาย"ได้ง่าย อีกทั้งน่ากลัวแก่ไทยเสียยิ่งกว่ากัมพูชาด้วย เพราะอย่างน้อยภาวะการนำของกัมพูชาในขณะนี้ดูจะเป็นเอกภาพ จะหยุดหรือเบี่ยงประเด็นไปเมื่อไรก็ได้ ในขณะที่ในเมืองไทยเป็นตรงกันข้าม คือขาดเอกภาพอย่างยิ่ง ผมอยากจะพูดอย่างนี้ด้วยซ้ำว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชนชั้นนำไทยจะแตกร้าวกันอย่างหนักเท่าเวลานี้ ไม่ว่าจะมองไปที่เครือข่ายชนชั้นนำตามจารีต, กองทัพ, นักการเมือง, ทุน, นักวิชาการ, หรือแม้แต่คนชั้นกลางด้วยกันเอง
ความไม่เป็นเอกภาพของชนชั้นนำนั้นมีข้อดีในตัวเองด้วยนะครับ อย่างน้อยก็เกิดการถ่วงดุลอำนาจกันบ้าง แต่ในวิกฤตการณ์บางอย่าง ก็กลับกลายเป็นความอ่อนแอ ทั้งสังคมและชนชั้นนำจะตกเป็นเหยื่อของนักปลุกระดม (demagogue)ได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ผมขออนุญาตมองโลกในแง่ดีว่า ภาวะสุ่มเสี่ยงที่เกิดขึ้น กลับมีความสุ่มเสี่ยงในเมืองไทยน้อยลง เพราะเกิดปัจจัยใหม่ในการเมืองไทย นั่นคือสังคมโดยรวมมีสติเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือการแย่งอำนาจกันด้วยเล่ห์กระเท่ห์ของชนชั้นนำอย่างหมดตัวเหมือนที่เคยเป็นมา (เช่นนักศึกษาไม่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องสงคราม อย่างที่นักศึกษาเคยทำเมื่อสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม)
ผมอยากวิเคราะห์ความมีสติของสังคมดังที่กล่าวนี้ว่า มาจากอะไรบ้าง เพื่อจะได้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเอง
1/ การปลุกระดมด้วยลัทธิชาตินิยมแบบระรานของแกนนำพันธมิตร ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ฝูงชนที่ร่วมชุมนุมมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากนัก จึงไม่เป็นเงื่อนไขให้กลุ่มอำนาจกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองของตนเองได้สะดวก
อันที่จริงชาตินิยมแบบระรานนั้น เป็นอุดมการณ์ที่ทหารใช้กันมานาน เพราะให้ความชอบธรรมแก่อำนาจทางการเมืองที่ไม่ชอบธรรมของกองทัพ แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดนี้ในครั้งนี้ จึงทำให้กลุ่มอำนาจในกองทัพบางกลุ่มไม่อาจใช้ชาตินิยมแบบระรานนี้ ไปยึดอำนาจทางการเมืองมาอยู่ในกลุ่มของตนได้
2/ เหตุใดคนไทยจำนวนมากจึงไม่ตกอยู่ใต้มนตร์สะกดของลัทธิชาตินิยมแบบระราน ผมคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่คนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เรียนรู้แล้วว่า ความเข้มแข็งของชาตินั้นไม่ได้มาจากพื้นที่อันกว้างขวางของดินแดน บูรณภาพทางดินแดนมีความสำคัญก็จริง แต่ยืดหยุ่นได้มากกว่าหนึ่งตารางนิ้ว ในการประเมินความเข้มแข็งของชาติ จำเป็นต้องนำปัจจัยอื่นๆ เข้ามาบวกลบคูณหารด้วย เช่นปัจจัยทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, การรวมกลุ่มระหว่างประเทศ, สถานะของไทยในการเมืองโลก, และอนาคตอันยาวไกลของบ้านเมือง ทั้งหมดเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับกองทัพ และทหารก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะกำหนดชะตากรรมของชาติมากกว่าคนกลุ่มอื่นแต่อย่างใด
3/ ถ้าคนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอย่างที่ผมว่าไว้ในข้อสอง ก็หมายความว่ากองทัพต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนในสังคมไทยใหม่ ถ้ากองทัพยังอยากจะดำรงอยู่อย่างมีความสำคัญในสังคมอยู่บ้าง การปกป้องชาติอาจทำได้ด้วยกำลังทหาร แต่กำลังทหารอย่างเดียวไม่พอ และไม่สำคัญที่สุดด้วย มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งเราต้องใส่ใจมากกว่าความแข็งแกร่งของกองทัพ ถ้ากองทัพคิดว่าตัวจะมีบทบาทเหมือนเดิมตลอดไป
ในไม่ช้ากองทัพเองนั่นแหละจะกลายเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากเห็นว่าเป็น"ส่วนเกิน"ของชาติ และหนักไปกว่านั้นคืออาจเห็นว่าเป็น"ตัวถ่วง"ก็ได้
4/ สิ่งที่เคยเป็น "อาญาสิทธิ์" ทุกชนิดในสังคมไทย ถูกท้าทาย, ถูกตั้งคำถาม, ถูกตั้งข้อสงสัย, หรือถูกปฏิเสธ ไปหมดแล้ว ในสภาพเช่นนี้ ไม่มีชาติใดสามารถรบกับใครได้หรอกครับ อาจปะทะกันที่ชายแดนได้ แต่รบกับเขานานๆ ชนิดที่เรียกว่า "สงคราม" ไม่ได้
ผมขอยกตัวอย่างจากรายการวิทยุท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่ผมเพิ่งได้ยินในเชียงใหม่ เป็นรายการสนทนาที่โฆษกท่านหนึ่งพูดในวันที่มีการปะทะกันที่ชายแดน และมีทหารเสียชีวิตว่า ถึงจะเสียใจต่อความสูญเสียของครอบครัวทหารท่านนั้น แต่คิดย้อนหลังไปไม่กี่เดือนก่อนหน้า ที่ทหารยิงประชาชนซึ่งไม่ได้ถืออาวุธล้มตายจำนวนมากแล้ว ก็มีความรู้สึกพิพักพิพ่วน ด้านหนึ่งก็คือเสียใจ, โกรธแค้นกัมพูชา เพราะอย่างน้อยก็เป็นคนไทยด้วยกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชุมนุมประท้วงก็เป็นคนไทยด้วยกันเช่นเดียวกัน
ความหมายของเขานั้นเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ แต่ประเด็นสำคัญที่ผมอยากชี้ไว้ก็คือ จะมีกองทัพใดในโลกนี้หรือครับที่สามารถทำสงครามสมัยใหม่ได้ หากประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกอย่างนี้กับทหาร สงครามสมัยใหม่นั้นเป็นสงครามเบ็ดเสร็จ (Total War) คือไม่ได้รบกันที่แนวหน้าอย่างเดียว แต่รบกันทั้งสังคม ไม่เหมือนสงครามสมัยโบราณ ที่มีแต่ทัพของอัศวินรบกัน โดยประชาชนทำมาหากินและหลบหลีกภัยสงครามไปตามเรื่อง ใครแพ้ใครชนะก็ไม่เกี่ยวกับตัว เพราะนายเก่าหรือนายใหม่ก็ไม่สู้จะต่างอะไรกันนัก
5/ ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากก็คือ เสียงของคนชายแดนบ้านภูมิซรอล, บ้านภูมะเขือ, ฯลฯ ดังกว่าที่เสียงของคนชายแดนเคยดังมาในการปะทะกันด้วยอาวุธทุกครั้งของไทย ทีวีไทยเอาผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านแถวนั้น มานั่งสนทนากับนักวิชาการ ทีวีอีกหลายช่องไปถ่ายภาพความโกลาหลของประชาชนชายแดนที่ต้องอพยพหลบภัย มานอนกันเกลื่อนกล่นในที่ซึ่งราชการตั้งเป็นศูนย์อพยพ
มีน้ำตาของแม่ที่พลัดหลงกับลูก มีคำให้สัมภาษณ์ของคนที่ต้องทิ้งสมบัติข้าวของและวัวควายไว้โดยไม่มีคนดูแล มีอารมณ์ความรู้สึกของความสับสนวุ่นวายที่ต่างไม่สามารถจัดการกับชีวิตของตนได้ และแน่นอนมีความเสียหายทางวัตถุและชีวิตซึ่งเกิดขึ้น
เสียงของคนเล็กๆ ดังมากขึ้นในสังคมไทยมาหลายปีแล้ว ทั้งจากเอ็นจีโอ, นักวิชาการ, และการเคลื่อนไหวของพวกเขาเอง สงครามหรือปัญหาระหว่างประเทศเคยเป็นพื้นที่หวงห้ามที่ชนชั้นนำตัดสินใจกันเอง (อย่างมีเอกภาพ หรือไม่มีเอกภาพก็ตาม) แต่ครั้งนี้ไม่ใช่นะครับ มีเสียงของคนเล็กๆ สอดแทรกเข้ามา เช่นผู้ใหญ่บ้านท่านที่กล่าวแล้ว เสนอให้เปิดการเจรจากันโดยเร็วเพื่อยุติการใช้อาวุธเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ท่านไม่สนใจหรอกครับว่าจะเปิดการเจรจาอย่างไรจึงจะเป็นผล นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไปหาทางเอาเอง ท่านไม่ได้เรียกร้องให้ใช้กำลังทหารเข้าไปยึดนครวัด เสียมราบ พระตะบอง
เสียงเหล่านี้ดังเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรด้วย จะเพราะเหตุผลทางการเมืองหรืออะไรก็ตามที แต่เป็นประเด็นหลักของการอภิปรายกระทู้ของฝ่ายค้านต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
เราจะอยู่กันต่อไปโดยปิดหูให้แก่เสียงของคนเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เสียแล้ว และจะใช้วิธีศรีธนญชัยกับเสียงเหล่านี้ ก็คงไม่ได้ผลยั่งยืนอะไร
6/ คู่ขนานกันไปกับเสียงของคนเล็กๆ ผมคิดว่ามีเสียงของนักวิชาการซึ่งอาจไม่ดังเท่า แต่ก็ทำมาอย่างต่อเนื่องให้หันมาทบทวนกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนจากข้อมูลหลักฐานที่เป็นจริง และหาทางออกโดยสันติ ก่อนที่นักปลุกระดมจะฉวยเอาประเด็นเหล่านี้ไปเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน แม้ว่าเสียงของนักวิชาการเหล่านี้อาจไม่จับใจสื่อ และไม่เป็นข่าว แต่ได้สร้างฐานความรู้บางอย่างที่คนเล็กๆ สามารถหยิบฉวยไปใช้ เพื่อยับยั้งการเลือกความรุนแรงในการแก้ปัญหาได้ และในความเป็นจริงเวลานี้ ผมก็ได้พบว่าคนเล็กๆ ที่มีสติดีที่สุดและไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองอะไรกับข้อพิพาทชายแดน ก็กำลังกระตือรือร้นที่จะหยิบเอาฐานความรู้เหล่านี้ไปใช้ในการกำกับนโยบายของรัฐด้วย เช่นในการสัมมนาเรื่อง "สยาม-ขะแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร" ที่ มธ.เมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีชาวบ้านจากภูมิซรอลอุตส่าห์เดินทางมาร่วมการสัมมนาด้วยจำนวนหนึ่ง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนเล็กๆ ไม่ได้ส่งเสียงเพราะตัวเองเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่กำลังเขยิบเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ด้วยสิทธิเสมอภาคกับสาวกของเวทีพันธมิตร ที่ราชดำเนิน
ในทุกที่ในโลกนี้ หากเบี้ยสามารถเดินหมากเอง สงครามจะเป็นตาอับตลอดไป แม้เรายังอาจมีข้อพิพาทและการปะทะกันด้วยอาวุธอยู่บ้าง แต่โลกนี้จะไม่มีสงคราม
ที่มา.มติชนออนไลน์.
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ทำไม "ม็อบแดง" เติบโต ทำไม "ม็อบเหลือง" ถดถอย จับตา 19 ก.พ. "สึนามิแดง" มาแล้ว
ต้องยอมรับว่าปริมาณผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นั้นมากจริงๆ
ถ้าถามแกนนำนปช. อาจบอกว่าเป็นแสน
แต่รายงานของตำรวจนั้นเป็นหลักหมื่น
การถกเถียงเรื่อง "ตัวเลข" นั้น ต่างฝ่ายต่างก็ตีความเข้าข้างตัวเอง
แต่ภาพที่ปรากฏก็คือ จากเวทีตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสี่แยกคอกวัว
"คนเสื้อแดง" เต็มถนนราชดำเนินตั้งแต่หน้าเวทีไปถึงสี่แยกคอกวัว ส่วนด้านหลังเวทีนั้นยาวเหยียดจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสะพานผ่านฟ้า
มีบางส่วนล้นไปถึงจปร.
ปริมาณผู้ชุมนุมมากกว่าครั้งก่อนที่ผ่านมา
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อเหลือง" ที่ยืนหยัดมานานหลายวันที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ กลับมีจำนวนเพียงแค่หลักพันในช่วงค่ำ และหลักร้อยในช่วงกลางวัน
ยิ่ง "ม็อบ 2 สี" มาประชันกันในวันเดียวกัน ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของ "มวลชน" ที่สนับสนุน
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไม "ม็อบเสื้อเหลือง"จึงลดลงอย่างฮวบฮาบ
และทำไม "ม็อบเสื้อแดง" จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งถูกปราบครั้งใหญ่ไปเมื่อ 8 เดือนก่อน
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะมี "เอเอสทีวี" และสื่อในเครือจำนวนมากเป็น "นางกวัก" เรียกคน
แต่ดูเหมือนว่าพลานุภาพของ "สื่อ" ในเครือจะลดความศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่ผู้ชุมนุมตะโกนเรียกคนหน้าจอให้ "ออกมา...ออกมา..."
แต่ "คนหน้าจอ" กลับนิ่งเฉย
ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะ "พันธมิตร" ในอดีตไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้
หรืออีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะปริมาณคนดูเอเอสทีวี ลดน้อยลง
มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่ทำให้ "ม็อบเสื้อเหลือง" ลดลงมาจาก 3 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวแบบ "รักชาติ" อย่างรุนแรง ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดสำหรับคนไทยในพ.ศ.นี้
ปริมาณคนเข้าร่วมจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อทหารไทย ปะทะกับทหารกัมพูชา
ทั้งที่การปะทะกันครั้งนี้น่าจะสร้างกระแส "คลั่งชาติ" เรียกคนมาร่วมชุมนุมได้อย่างถล่มทลาย
แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ "พันธมิตร" ในเรื่องนี้
สาเหตุที่สอง มาจาก "คู่ต่อสู้" คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตที่เข้มแข็งและมีปริมาณมาก มาจากการหนุนช่วยของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่นิยมพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" เลือกที่จะปะทะกับ "อภิสิทธิ์"
เขาจึงรู้ว่า "ม็อบพันธมิตร" ที่คิดว่าขึ้นตรงกับเขานั้น แท้จริงแล้วมี "ใคร" ชักใยอยู่เบื้องหลัง
แต่กว่าทั้งคู่จะรู้ พล.ต.จำลองและนายสนธิก็ถลำมาไกลเกินกว่าจะถอยหลัง
สาเหตุที่สาม การเคลื่อนไหวของ "ม็อบพันธมิตร" ครั้งนี้ "เบาบาง" มากในเชิง "มวลชน" แต่ "รุนแรง" มากใน "เนื้อหา" การปราศรัยบนเวที
สนธิทำลาย "มิตร" ในอดีตแบบไม่ไว้หน้า ไม่ว่าจะเป็น "เปลว สีเงิน" ของไทยโพสต์ "เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" หรือแม้แต่ "อัญชลี ไพรีรักษ์" ที่เข้าไปช่วยงาน "จุติ ไกรฤกษ์" ในกระทรวงไอซีที
โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯที่ไม่ยอมออกมาชุมนุมว่าหลงความหล่อของ "อภิสิทธิ์"
โจมตี พล.ต.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างรุนแรง ฯลฯ
เขาใช้กลยุทธ์เก่าที่เคยได้ผลมาก่อนในอดีต คือ ทำให้ทุกคน "กลัว" ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยลืมไปว่าพลานุภาพของ "มวลชน" และสื่อในเครือนั้นไม่เหมือนเดิม
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็ยิ่งทำลายตัวเองลงเรื่อยๆ
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็รู้แล้วว่าใครคือ "เส้นใหญ่" ตัวจริง
.................
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่ม "คนเสื้อแดง" กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
การระดมคนเป็นหมื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แกนนำนปช.ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ลด "ความรุนแรง" ลง และใช้วิธี "รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง" สร้างแนวร่วมมากขึ้น
ที่สำคัญเรื่อง "สองมาตรฐาน" ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อนำสิ่งที่แกนนำ นปช.ที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้ประกันตัวมา
เทียบกับแกนนำ "ม็อบพันธมิตร" ที่เจอข้อหาก่อการร้ายเหมือนกัน แต่ได้ประกันตัวและออกมานำการเคลื่อนไหวได้
เป้าหมายของ นปช.นั้นต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น "เท่าตัว" ทุกครั้ง
และ 2 ครั้งที่ผ่านมา เขาทำสำเร็จ
การชุมนุมครั้งต่อไปในวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ แกนนำ นปช.ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกเท่าตัว
แม้จะดูเหมือนว่าเป็นการคุยคำโต แต่วันนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทว่า "เป็นไปไม่ได้"
การเติบโตของ "ม็อบเสื้อแดง" และการถดถอยของ "ม็อบเสื้อเหลือง" นั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสวนทางกัน
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตเคยมีฐานมวลชนหลักคือ "คนกรุงเทพ"
"ต่างจังหวัด" เป็นส่วนเสริม
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" นั้นต้องพึ่งพาจากคนต่างจังหวัด
การชุมนุมใหญ่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 "คนเสื้อแดง" จึงต้องระดมคนอีสานและภาคเหนือเข้ามาในกทม.
เพราะรู้ว่าฐานสนับสนุนในเมืองกรุงนั้นไม่มากนัก
แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไป
"คนกรุง" หนุน "ม็อบเสื้อเหลือง" น้อยลง สังเกตได้จากปริมาณคนในช่วงเย็นวันธรรมดา ซึ่งตามปกติเคยเนืองแน่น แต่วันนี้กลับมาจำนวนคนเพิ่มน้อยมาก
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ชุมนุมในช่วงหลังแบบบ่ายไปดึกกลับ ล้วนแต่เป็นคนกรุงและจังหวัดใกล้เคียง
เขาไม่ได้ระดมคนอีสานและภาคเหนือลงมาเลย
แต่วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ "จตุพร" ประกาศบนเวทีว่าจะระดม "คนเสื้อแดง" จากภาคเหนือและอีสานมาร่วมด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าการเคลื่อนไหวของ "คนเสื้อแดง"ต่อจากนี้ไปจะเดินไปอย่างไร
แม้แต่ "แกนนำ นปช." เอง
เหตุการณ์ในตูนีเซีย และอียิปต์ ทำให้ "คนเสื้อแดง" ฮึกเหิมขึ้น
เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่บอกว่าอะไรที่ทุกคนคิดว่า "เป็นไปไม่ได้"
แท้จริงแล้ว "เป็นไปได้"
"อภิสิทธิ์" ที่เคยชนะในเดือนพฤษภาคม 2553
ก็อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
นี่คือ สึนามิการเมืองลูกเดิมระลอกใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ถ้าถามแกนนำนปช. อาจบอกว่าเป็นแสน
แต่รายงานของตำรวจนั้นเป็นหลักหมื่น
การถกเถียงเรื่อง "ตัวเลข" นั้น ต่างฝ่ายต่างก็ตีความเข้าข้างตัวเอง
แต่ภาพที่ปรากฏก็คือ จากเวทีตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสี่แยกคอกวัว
"คนเสื้อแดง" เต็มถนนราชดำเนินตั้งแต่หน้าเวทีไปถึงสี่แยกคอกวัว ส่วนด้านหลังเวทีนั้นยาวเหยียดจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสะพานผ่านฟ้า
มีบางส่วนล้นไปถึงจปร.
ปริมาณผู้ชุมนุมมากกว่าครั้งก่อนที่ผ่านมา
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อเหลือง" ที่ยืนหยัดมานานหลายวันที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ กลับมีจำนวนเพียงแค่หลักพันในช่วงค่ำ และหลักร้อยในช่วงกลางวัน
ยิ่ง "ม็อบ 2 สี" มาประชันกันในวันเดียวกัน ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของ "มวลชน" ที่สนับสนุน
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไม "ม็อบเสื้อเหลือง"จึงลดลงอย่างฮวบฮาบ
และทำไม "ม็อบเสื้อแดง" จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งถูกปราบครั้งใหญ่ไปเมื่อ 8 เดือนก่อน
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะมี "เอเอสทีวี" และสื่อในเครือจำนวนมากเป็น "นางกวัก" เรียกคน
แต่ดูเหมือนว่าพลานุภาพของ "สื่อ" ในเครือจะลดความศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่ผู้ชุมนุมตะโกนเรียกคนหน้าจอให้ "ออกมา...ออกมา..."
แต่ "คนหน้าจอ" กลับนิ่งเฉย
ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะ "พันธมิตร" ในอดีตไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้
หรืออีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะปริมาณคนดูเอเอสทีวี ลดน้อยลง
มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่ทำให้ "ม็อบเสื้อเหลือง" ลดลงมาจาก 3 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวแบบ "รักชาติ" อย่างรุนแรง ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดสำหรับคนไทยในพ.ศ.นี้
ปริมาณคนเข้าร่วมจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อทหารไทย ปะทะกับทหารกัมพูชา
ทั้งที่การปะทะกันครั้งนี้น่าจะสร้างกระแส "คลั่งชาติ" เรียกคนมาร่วมชุมนุมได้อย่างถล่มทลาย
แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ "พันธมิตร" ในเรื่องนี้
สาเหตุที่สอง มาจาก "คู่ต่อสู้" คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตที่เข้มแข็งและมีปริมาณมาก มาจากการหนุนช่วยของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่นิยมพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" เลือกที่จะปะทะกับ "อภิสิทธิ์"
เขาจึงรู้ว่า "ม็อบพันธมิตร" ที่คิดว่าขึ้นตรงกับเขานั้น แท้จริงแล้วมี "ใคร" ชักใยอยู่เบื้องหลัง
แต่กว่าทั้งคู่จะรู้ พล.ต.จำลองและนายสนธิก็ถลำมาไกลเกินกว่าจะถอยหลัง
สาเหตุที่สาม การเคลื่อนไหวของ "ม็อบพันธมิตร" ครั้งนี้ "เบาบาง" มากในเชิง "มวลชน" แต่ "รุนแรง" มากใน "เนื้อหา" การปราศรัยบนเวที
สนธิทำลาย "มิตร" ในอดีตแบบไม่ไว้หน้า ไม่ว่าจะเป็น "เปลว สีเงิน" ของไทยโพสต์ "เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" หรือแม้แต่ "อัญชลี ไพรีรักษ์" ที่เข้าไปช่วยงาน "จุติ ไกรฤกษ์" ในกระทรวงไอซีที
โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯที่ไม่ยอมออกมาชุมนุมว่าหลงความหล่อของ "อภิสิทธิ์"
โจมตี พล.ต.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างรุนแรง ฯลฯ
เขาใช้กลยุทธ์เก่าที่เคยได้ผลมาก่อนในอดีต คือ ทำให้ทุกคน "กลัว" ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยลืมไปว่าพลานุภาพของ "มวลชน" และสื่อในเครือนั้นไม่เหมือนเดิม
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็ยิ่งทำลายตัวเองลงเรื่อยๆ
ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็รู้แล้วว่าใครคือ "เส้นใหญ่" ตัวจริง
.................
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่ม "คนเสื้อแดง" กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
การระดมคนเป็นหมื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แกนนำนปช.ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ลด "ความรุนแรง" ลง และใช้วิธี "รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง" สร้างแนวร่วมมากขึ้น
ที่สำคัญเรื่อง "สองมาตรฐาน" ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อนำสิ่งที่แกนนำ นปช.ที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้ประกันตัวมา
เทียบกับแกนนำ "ม็อบพันธมิตร" ที่เจอข้อหาก่อการร้ายเหมือนกัน แต่ได้ประกันตัวและออกมานำการเคลื่อนไหวได้
เป้าหมายของ นปช.นั้นต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น "เท่าตัว" ทุกครั้ง
และ 2 ครั้งที่ผ่านมา เขาทำสำเร็จ
การชุมนุมครั้งต่อไปในวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ แกนนำ นปช.ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกเท่าตัว
แม้จะดูเหมือนว่าเป็นการคุยคำโต แต่วันนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทว่า "เป็นไปไม่ได้"
การเติบโตของ "ม็อบเสื้อแดง" และการถดถอยของ "ม็อบเสื้อเหลือง" นั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสวนทางกัน
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตเคยมีฐานมวลชนหลักคือ "คนกรุงเทพ"
"ต่างจังหวัด" เป็นส่วนเสริม
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" นั้นต้องพึ่งพาจากคนต่างจังหวัด
การชุมนุมใหญ่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 "คนเสื้อแดง" จึงต้องระดมคนอีสานและภาคเหนือเข้ามาในกทม.
เพราะรู้ว่าฐานสนับสนุนในเมืองกรุงนั้นไม่มากนัก
แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไป
"คนกรุง" หนุน "ม็อบเสื้อเหลือง" น้อยลง สังเกตได้จากปริมาณคนในช่วงเย็นวันธรรมดา ซึ่งตามปกติเคยเนืองแน่น แต่วันนี้กลับมาจำนวนคนเพิ่มน้อยมาก
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ชุมนุมในช่วงหลังแบบบ่ายไปดึกกลับ ล้วนแต่เป็นคนกรุงและจังหวัดใกล้เคียง
เขาไม่ได้ระดมคนอีสานและภาคเหนือลงมาเลย
แต่วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ "จตุพร" ประกาศบนเวทีว่าจะระดม "คนเสื้อแดง" จากภาคเหนือและอีสานมาร่วมด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าการเคลื่อนไหวของ "คนเสื้อแดง"ต่อจากนี้ไปจะเดินไปอย่างไร
แม้แต่ "แกนนำ นปช." เอง
เหตุการณ์ในตูนีเซีย และอียิปต์ ทำให้ "คนเสื้อแดง" ฮึกเหิมขึ้น
เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่บอกว่าอะไรที่ทุกคนคิดว่า "เป็นไปไม่ได้"
แท้จริงแล้ว "เป็นไปได้"
"อภิสิทธิ์" ที่เคยชนะในเดือนพฤษภาคม 2553
ก็อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
นี่คือ สึนามิการเมืองลูกเดิมระลอกใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
คืบหน้า F16 ตก 2 ลำ นักบินเจ็บเล็กน้อย 2 นาย
ชาวบ้านวังโพน ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ พบเครื่องบินตกช่วงเทือกเขาภูแลนคา ซึ่งเป็นพื้นที่ป่า ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ใกล้หมู่บ้านวังโพน เขตรอยต่ออุทยานแห่งชาติน้ำตกตาดโตนและเขื่อนลำปะทาวตอนบน เขตรอยต่อ ต.เก่ายาดี อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ จุดเกิดเหตุ พบนักบินที่รอดชีวิตบาดเจ็บเล็กน้อย 1 รายชื่อ นาวาอากาศตรีกฤษณา สุขจันทร์ แจ้งว่าได้ขับเครื่องบินเอฟ 16 มาคู่กัน 2 ลำ ระหว่างทำการฝึกจากฝูงบิน 102 กองบิน 1 นครราชสีมา บินภารกิจการฝึกร่วมยุทธการทางอากาศขนาดใหญ่(คอบร้าโกล์ด)ระหว่างฝึกที่บริเวณกองทัพอากาศ จ.ชัยภูมิ ผ่านเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกตาดโตน เครื่องเกิดขัดข้องไม่ทราบสาเหตุ จึงได้ดีดตัวออกจากเครื่องบินก่อนตกบนเทือกเขาภูแลนคา ส่วนเพื่อนทหารนักบินอีกนายน่าจะปลอดภัยเพราะตกอยู่ไม่ไกลกัน
เมื่อเข้าพื้นที่สำรวจความเสียหายจุดเอฟ 16 ตกลำแรกที่บริเวณบ้านวังโพน ต.ท่าหินโงม อ.เมืองชัยภูมิ ก่อนที่ได้มีการระดมกำลังทหาร ตำรวจ นับ 100 นายเข้าช่วยเหลือและหาซากเครื่องบินที่ตกอีกลำ จนล่าสุดไปพบจุดเครื่องบินตกอีกลำที่บริเวณบ้านหินหนีบ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณกว่า 1 กิโลเมตร ต.ท่าหินโงม และสามารถช่วยเหลือนักบินที่ดีดตัวออกมาจากเครื่องบินได้ก่อนตก และยังได้รับความปลอดภัยดีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ทราบชื่อ เรืออากาศโท ชัลชานนท์ พรมเดช และนำตัวมาช่วยรักษาตัวอาการบาดเจ็บเบื้องต้นที่โรงเรียนบ้านวังโพน ก่อนที่หน่วยชุดกู้ภัยและเก็บกู้ระเบิด จากกองบิน 1 จะรีบนำเฮลิคอปเตอร์มารับตัวนักบินทั้ง 2 นาย กลับไปรักษาตัวที่จ.นคราชสีมา ทันทีในเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน
เบื้องต้น นายจรินทร์ จักกะพาก ผู้ว่าราชการ จ.ชัยภูมิ แจ้งว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 ยังไม่ขอให้รายละเอียดใดๆได้ ว่าสาเหตุเครื่องบินเอฟ 16 ตก จากสาเหตุใดเป็นเรื่องของทหาร ต้องรอตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งก่อน และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารชุดเก็บกู้ระเบิด ได้เข้าพื้นที่สำรวจจุดเครื่องบินเอฟ 16 ตกทั้ง 2 จุด และเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดที่ติดมากับเครื่องบินนำไปทำลายและเก็บกู้พื้นที่จนเข้าสู่ภาวะปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ทั้งหมดแล้ว
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อเข้าพื้นที่สำรวจความเสียหายจุดเอฟ 16 ตกลำแรกที่บริเวณบ้านวังโพน ต.ท่าหินโงม อ.เมืองชัยภูมิ ก่อนที่ได้มีการระดมกำลังทหาร ตำรวจ นับ 100 นายเข้าช่วยเหลือและหาซากเครื่องบินที่ตกอีกลำ จนล่าสุดไปพบจุดเครื่องบินตกอีกลำที่บริเวณบ้านหินหนีบ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณกว่า 1 กิโลเมตร ต.ท่าหินโงม และสามารถช่วยเหลือนักบินที่ดีดตัวออกมาจากเครื่องบินได้ก่อนตก และยังได้รับความปลอดภัยดีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ทราบชื่อ เรืออากาศโท ชัลชานนท์ พรมเดช และนำตัวมาช่วยรักษาตัวอาการบาดเจ็บเบื้องต้นที่โรงเรียนบ้านวังโพน ก่อนที่หน่วยชุดกู้ภัยและเก็บกู้ระเบิด จากกองบิน 1 จะรีบนำเฮลิคอปเตอร์มารับตัวนักบินทั้ง 2 นาย กลับไปรักษาตัวที่จ.นคราชสีมา ทันทีในเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน
เบื้องต้น นายจรินทร์ จักกะพาก ผู้ว่าราชการ จ.ชัยภูมิ แจ้งว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 ยังไม่ขอให้รายละเอียดใดๆได้ ว่าสาเหตุเครื่องบินเอฟ 16 ตก จากสาเหตุใดเป็นเรื่องของทหาร ต้องรอตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งก่อน และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารชุดเก็บกู้ระเบิด ได้เข้าพื้นที่สำรวจจุดเครื่องบินเอฟ 16 ตกทั้ง 2 จุด และเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดที่ติดมากับเครื่องบินนำไปทำลายและเก็บกู้พื้นที่จนเข้าสู่ภาวะปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับคนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ทั้งหมดแล้ว
ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////
ดร.ชาญวิทย์ ฟันธง รอบนี้ พันธมิตรฯปลุกไม่ขึ้น “ผู้สนับสนุนรายใหญ่ ยังพอใจอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อ่านวิกฤตสงคราม-แนวรบเหลือง-แดง วิเคราะห์แบบฟันธง รอบนี้ เสื้อเหลืองปลุกม็อบไม่ขึ้น "ผู้สนับสนุนใหญ่ ยังพอใจอภิสิทธิ์-ประชาธิปัตย์"
อาจารย์คิดว่าการปะทะกันบริเวณชายแดนที่เริ่มเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์และต่อเนื่องหลังจากนั้น เป็นความบังเอิญหรือจงใจ ไปพ้องกับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ในเรื่อง “การแสดงแสนยานุภาพ”
คงปนๆ กันไป...ผมไม่มีข้อมูลพอที่จะพูดได้ชัดเจน เพียงแต่ตอนนี้ เป็นการแบ่งระหว่างฝ่ายที่ต้องการ “สันติภาพ” และฝ่ายที่ต้องการ “สงคราม” (สายเหยี่ยว กับสายพิราบ) ดูจะชัดเจน ที่ทำให้ต้องมาแก้ตัวกันพัลวัน ว่าใครกันแน่ที่ต้องการ “สันติภาพ” ใครกันแน่ยุยงและกระหาย “สงคราม” และพันธมิตรฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ในจุดนี้ว่า มีส่วนผลักดันทางการเมืองภายในกรุงเทพฯ เอง จนบานปลายนำไปสู่การสู้รบที่ชายแดน แม้มหาจำลอง จะออกมาแก้ตัวว่าฝ่ายตนไม่ใช่สาเหตุของความสูญเสียจากการปะทะ ส่วนในอีกแง่หนึ่ง ทหารบางกลุ่มก็คงต้องการแสดงแสนยานุภาพ ใช้อาวุธถล่มให้ดู หลังจากที่โดนพันธมิตรฯ ด่าลบหลู่ศักดิ์ศรีของทหารมาหลายคืน
ผลทางการระหว่างประเทศ จากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในรอบนี้
ฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบโดยอัตโนมัติ เพราะไทยทะเลาะกันเอง เล่นเกมประหัตประหารกันเอง เป็นเกมอันธพาล ชาวบ้านที่ภูมิซลอลตาย แต่คนในกทม. ไม่เป็นอะไร แบบนี้อารยชนเขาไม่ทำกัน
ในทางการระหว่างประเทศ ไทยเราก็เสียหาย เครดิตเราต่ำมาก ดูจากเนื้อหาของจดหมายที่ นายฮอร์ นัมฮง ส่งเรื่องไปยังสหประชาชาติ เทียบกับแถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศของไทยแล้ว หนังสือของฝ่ายกัมพูชาเหมือนเขียนโดยคนจบปริญญาเอก มีความชัดเจน มีข้อมูลหนักแน่น ในขณะที่แถลงการณ์ฝ่ายไทยเหมือนเขียนโดยนักศึกษาปี 1 เทียบกันแล้ว คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ไทยเสียเปรียบมาก
การทูตการต่างประเทศของกัมพูชาไปได้ไกลมาก มีการทำงานที่รัดกุม ส่วนของไทยบอกว่ามีจดหมายถึงสหประชาชาติแต่ยังเปิดเผยไม่ได้ อะไรทำนองนั้น เป็นการเล่นเกมกำกวมอึกๆ อักๆ ยิ่งสร้างความไม่รู้ ไม่เข้าใจให้กับประชาชนชาวไทย ถ้าดูจากแถลงการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาแล้ว ก็จะเห็นความตกต่ำของผู้ดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย เสียเกียรติยศชื่อเสียงมหาศาล ราชการการต่างประทศของสยามและของไทยเคยนำมาตลอด เป็นหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ตอนนี้เพราะเราไม่ได้เล่นการเมืองระหว่างประเทศ แต่เล่นการเมืองภายในประเทศ ทะเลาะกันเอง ก็เลยตกต่ำ ย่ำแย่
กรณีทูตกัมพูชากล่าวถึงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ เป็นการบอกทิศทางที่กัมพูชาจะเดินหน้าในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่
ทูตกัมพูชาซึ่งเป็นผู้หญิงท่านนี้ น่าสนใจมาก ประวัติท่านทูตมาจากกัมปงธม เป็นเขตจังหวัดที่อยู่ระหว่างกัมปงจาม (บ้านเกิดฮุนเซน) กับเสียมเรียบ น่าจะเป็นคนที่สมเด็จฮุนเซน ให้ความไว้วางใจให้มาอยู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญกับกัมพูชา
ประเด็นสำคัญ ท่านทูตได้พูดถึงคำพิพากษาศาลโลก ข้อที่ 2 ที่มักจะถูกละเลยโดยผู้นำไทย ที่พิพากษาว่า “ประเทศไทยมีพันธะ ที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทย ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”
ปัญหาคือคำว่า “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” มันกินพื้นที่แค่ไหน เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ (ตรงบริเวณ 4.6 ตร.กม.) กันอยู่ (หนึ่ง. จะต้องใช้การ “เจรจา” สองฝ่าย หรือสอง. จะกลับไปให้ศาลโลกตีความใหม่ หรือสาม. จะใช้ สงคราม แก้ปัญหา)
ไทยต้องการให้เจรจาทวิภาคี เพราะรู้ว่าหากขยายเวทีออกไปจะเสียเปรียบใช่หรือไม่
ลึกๆ แล้วคนที่ปลุกระดมก็รู้ว่า ไทยเราเสียเปรียบ และเป็นผลเสียต่อประเทศตัวเอง เมื่อนำเอาเรื่องปราสาทพระวิหารมาทำให้ประเด็น เรื่องมันก็เลยชัดขึ้นๆ ข้อมูลออกมาอีกมากมาย ว่าไปเรื่องบางเรื่อง ถ้าปล่อยให้มันคลุมเครือจะมีประโยชน์มากกว่า เมื่อก่อนต่างฝ่ายต่างก็เข้าไปในบริเวณนั้นได้ ทหารไปลาดตะเวนร่วมกันได้ ของบางอย่างถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องเก็บเอาไว้ แล้วทำงานร่วมกัน ที่ปราสาทพระวิหาร แต่ก่อนก็เคยเก็บค่าผ่านแดน ไปขึ้นตัวปราสาท ไทยกับเขมรก็แบ่งผลประโยชน์กัน ทั้ง 2 ประเทศ ออกจากเขตแดนไทย เสีย 20 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เข้าไปขึ้นปราสาทพระวิหารเสียอีก 50 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา แต่การเอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นการเมือง เกิดสงครามการสู้รบ ก็พินาศกันไปหมด
มองการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างไร
คิดว่าเขามีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย เพราะคนกลุ่มนี้ เขาไม่เล่นเกมประชาธิปไตย ไม่ชอบการเลือกตั้ง เนื่องจากไม่ได้ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์อะไร ไม่ได้เก้าอี้ ส.ส.จากการเลือกตั้ง ดังนั้น เขาคงหวังว่าเมื่อมี “รัฐประหาร” มีการยึดอำนาจแล้ว เขาจะได้ส่วนแบ่ง ได้ “ส้มหล่น”
ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ถอย แล้วรัฐบาลจะมีทางออกอย่างไร
พันธมิตรฯ อาจจะถูกคนที่เคยเป็นพรรคพวกเดียวกันตลบหลัง เพราะสาเหตุชุมนุม ก็มาจากเรื่องทะเลาะกันเอง เป็นความแค้นส่วนตัวเยอะเลย ฝ่ายคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็คิดว่าเขามีบุญคุณกับ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้ได้เป็นนายกฯ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องเป็นฝ่ายค้านต่อไป แต่คุณอภิสิทธิ์ ไม่กตัญญู ซึ่งที่จริง “ความกตัญญูกตเวที” มันไม่มีในการเมืองอยู่แล้ว... แน่นอนว่า แม้เป็นแค้นส่วนตัว แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็ต้องพูดในนามของความรักชาติ ของประชาชน และของประชาธิปไตย
ในรอบนี้จำนวนมวลชนพันธมิตรฯ น้อยลง อาจารย์ให้ความสำคัญกับจำนวนมวลชนเป็นตัวชี้วัดหรือไม่
จำนวนมวลชนสำคัญ แต่จำนวนต้องมากมหาศาล ถึงจะมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในกรณีนี้ คนเสื้อเหลืองไม่ใช่สีเฉดเดียวอีกแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อย หันไปใส่เสื้อสีชมพู เสื้อสีต่างๆ หลากสี ความเข้มข้น ความขลังก็ลดลง ถ้าเราดูแล้ว ไพ่ที่ผู้นำพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยใช้เรียกความสนับสนุนทางการเมือง ทั้ง 3 ข้อหา คือ (หนึ่ง) ไม่จงรักภักดี , (สอง) ทุจริตครัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อนและ (สาม) ชาตินิยม-วาทกรรมเสียดินแดน แต่งานนี้ผู้นำพันธมิตรฯ ใช้ประเด็นเดียว คือชาตินิยม ไม่ได้ใช้เรื่อง “สถาบัน” กับเรื่อง “ทุจริตคอรัปชั่น” น้ำหนักจึงไปอยู่ที่ไพ่ใบสุดท้ายคือชาตินิยม การเสียดินแดน
ผมคิดว่าอาจจะปลุกยาก แม้จะมีมวลชนมาในระดับหนึ่งก็ตาม แต่คนจำนวนเยอะ ที่เคยสนับสนุนมาก่อนก็ไม่เล่นด้วย
ผมคิดว่า ชาตินิยมเวอร์ชั่นที่สองนี้ ที่เรียกว่า “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” (military-bureaucratic nationalism) ที่เคยใช้ได้ผลโดยผู้นำประเทศรุ่นที่เปลี่ยนชื่อจาก “สยาม”เป็น “ไทย” (Siam to Thailand) คือ รุ่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ ยุค 40s สมัยสงครามโลก(ที่มีทีมงานกรมศิลปากร เช่น นายธนิต (กี) อยู่โพธิ์ นายมานิต วัลลิโภดม หรือนักพูดนักเขียนอย่าง นายมั่น/นายคง นายหนหวย สืบทอดกันเรื่อยมาจนถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุค 60s ฯลฯ) นั้น
มีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นของกลุ่มผู้นำดั้งเดิมของสยาม ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นแรก คือ “ราชาชาตินิยม” (หรือ Royal Nationalism ของรัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลที่ 6 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และสมเด็จกรมฯ ดำรง) เวอร์ชั่นนี้ของ “ราชอาณาจักรสยาม” หรือ Siam ของ “พระราชา” ต้องการและยอมรับเขตแดนหรือพรมแดนของ “สยาม” ที่ “จำกัด” limited boundary-border เพื่อรักษาเอกราช แต่เวอร์ชั่นหลังของ “ประเทศไทย” หรือ Thailand ของ “อำมาตยาเสนา” ต้องการขยายดินแดน เรียกร้องดินแดน คือ expanded boundary-border
ตอนนี้พันธมิตรฯ เล่น ในเกมไหน
พันธมิตรฯกลุ่มนี้ เล่นเกมของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” คือ expanded not limited เล่นเกมรักชาติ ปลุกระดมชาตินิยม เคลื่อนไหวโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน บางคนถึงกับ “เรียกร้องดินแดน” ในเสียมเรียบ พระตะบองศรีโสภณ และเกาะกง “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” ซึ่งนำไปสู่การปะทะ ยกระดับกลายเป็น “เปลี่ยนสนามการค้า ให้เป็นสนามรบ” เป็นเกมเดียวคล้ายคลึงกับที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เล่นเมื่อปี 2483-2484 สมัยสงครามโลก จนเกิดการปะทะสู้รบ ที่เราเรียกว่า “สงครามอินโดจีน” มีการรบทั้งทางบกทางเรือ มีทหารบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ถึงกับต้องมาสร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เอาไว้ ที่ที่เพิ่งจัดงานวันทหารผ่านศึกเมื่อเร็วๆนี้ นั่นแหละ
เกมชาตินิยมนี้ จะเล่นได้ดีต้องอ้างทั้ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” แต่ตอนนี้ถ้าพันธมิตรฯ จะอ้างศาสนาและพระมหากษัตริย์ ก็ลำบาก จึงต้องอ้างชาติ ก็คือ ต้องเล่นเกมว่าจะ “เสียดินแดนไม่ได้แม้กระแต่ 1 ตารางนิ้ว” ส่วนไพ่ใบอื่นที่เขาเล่นได้มีประสิทธิภาพมาก่อน คือเรื่องของสถาบัน เรื่องทุจริตคอรัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ได้ถูกนำมาใช้ตอนนี้ ก็เลยทำให้ขบวนการอ่อนไป
การเล่มเกมนี้ในรอบนี้พันธมิตรฯ จะทำสำเร็จผลบรรลุเป้าหมายหรือไม่
เขาคงอยากให้สำเร็จ...แต่ความจริงแล้วสำเร็จยาก เพราะกำลังไม่พอ จุดแล้วไม่ติด เช่นล่าสุด แม้มีการปะทะ มีสงครามชายแดนแล้ว แต่กองทัพก็ดูจะไม่เล่นด้วยอย่างเต็มที่ เช่นไม่มีการส่งกองกำลังเข้าไปยึดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ให้รู้แล้วรู้รอดไป
สำหรับเกม “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” เช่นนี้ จะเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเล่นโดยผู้กุมอำนาจรัฐ(หรือผู้หวังกุมอำนาจรัฐ) และต้องกุมกองทัพเอาไว้ให้ได้ เช่นในอดีต สมัยจอมพล.ป พิบูลสงคราม-หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีทีมงานจากกรมศิลปากร กรมโฆษณาการ (ชื่อเดิมของกรมประชาสัมพันธ์) คือการเล่นเกมโดยคนที่กุมอำนาจรัฐ พูดง่ายๆ เล่นโดยเสนาอำมาตย์เอง
แต่พอถึงมาตอนนี้ คนที่เล่นเกมนี้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่าง พันธมิตรฯ คนไทยหัวใจรักชาติ สันติอโศก เขาไม่ได้กุมเครื่องมือ หรือกุมอำนาจของรัฐ เพียงแต่เขามีสื่อ มีโทรทัศน์ วิทยุ นสพ. ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยืดยาว
แต่ผมคิดว่าพลังอาจจะไม่มีพอ และถ้าเผื่อไม่ได้ความสนับสนุนจากฐานเสียงคนชั้นกลางใน กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้กำลังช่วยจากผู้กุมอำนาจรัฐ จากกองทัพ จากข้าราชการส่วนกลางหรือท้องที่ ผมว่ายาก เพราะฉะนั้น ไพ่ใบนี้ ไพ่รักชาติ ไพ่เสียดินแดน ปลุกให้ติดยากมาก เป็นการ “เข็นครกขึ้นภูเขา”
และที่สำคัญ คือ “เป้า” ก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนมาก คือเป้าอยู่ที่คุณทักษิณและรัฐบาลคุณสมัคร และคุณสมชาย ที่พันธมิตรฯ ล้มได้สำเร็จ ก็เพราะมี “ผู้สนับสนุนรายใหญ่ๆ” ช่วยหนุนให้โค่นรัฐบาล 3 ชุดนั้น แต่ตอนนี้รัฐบาลเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และคุณอภิสิทธิ์ ที่แม้เคยร่วมมือกันมาก่อน และก็กลายเป็น “เป้า” ไปแล้วนั้น ยังอาจทำได้ไม่ถนัดนัก ถ้าผู้สนับสนุนรายใหญ่ “พลังต่างๆเดิมๆ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพ ยังไม่เอาด้วย
ทำไมรัฐบาลชุดนี้ ไม่อยู่ในชะตากรรมเดียวกับกลุ่มคุณทักษิณ
เพราะข้อกล่าวหาต่อคุณอภิสิทธิ์ว่า “ขายชาติ” หรือมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ต่อคนกรุง-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง ฟังดูไม่น่าเชื่อ หรือไม่อยากจะเชื่อถือ เหมือนการกล่าวหาต่อคุณทักษิณและพรรคพวก ถ้าเป้าในการถูกโจมตี เป็นคุณทักษิณ คุณสมัคร คุณสมชาย หรือคนเสื้อแดง อาจจะเป็นเป้าที่ชัดเจนในสายตาของคนกรุงหรือคนเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อเหลือง เสื้อชมพู เสื้อซาหริ่ม
เหมือนๆคราวที่แล้ว พันธมิตรฯ โจมตีรัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณ โดยใช้เรื่องกัมพูชาและปราสาทพระวิหารเป็นข้ออ้าง เป็นวาระซ่อน ซึ่งว่าไปแล้วไม่ใช่การโจมตีกัมพูชาโดยตรง แต่มาถึงตอนนี้พันธมิตรฯ จะทำให้รัฐบาลชุดนี้กลายเป็นเป้านิ่งแบบนั้น ไม่ง่าย...
ใครเขาจะยอมให้ตีพวกของเขาเองคนของเขาเอง คุณอภิสิทธิ์ เขาก็มีคนรัก คนหลงอยู่เยอะแยะ และผมคิดว่า “ผู้สนับสนุนรายใหญ่” ของคุณอภิสิทธิ์กับประชาธิปัตย์ ยังพอใจคุณอภิสิทธิ์ พอใจกับประชาธิปัตย์อยู่ เพราะอาจจะดีที่สุด หรืออีกนัยหนึ่ง เลวน้อยที่สุดเท่าที่มีอยู่ในมือตอนนี้
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะเล่นกับการเปลี่ยนแปลงแบบใช้วิถีทางที่ไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” เขาไม่น่าจะเล่น ในทางตรงข้ามเขาคงเล่นเกมที่นำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งมันก็อีกไม่นานแล้ว วาระของรัฐบาลก็จะหมดแล้วในปี 2554 เพราะฉะนั้น รออีกไม่กี่เดือน มันคุ้มกว่าที่จะไปเล่นเกมนอกระบบ
โอกาสรัฐประหารยังเป็นไปได้หรือไม่
โดยเหตุผลโดยผล โดยตรรกะ ไม่น่าจะมีรัฐประหาร แต่การเมืองไทยคาดการณ์ยาก อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ผมว่าเกมน่าจะมุ่งไปสู่การเลือกตั้งมากกว่า เพราะอายุรัฐบาลจะหมดแล้ว ในวาระในปีนี้ ฉะนั้น เกมน่าจะไปจุดนั้น
แน่นอนคนจำนวนหนึ่งที่คิดแบบอำมาตย์ คิดแบบคนที่ได้เปรียบ จะไม่ชอบการเลือกตั้งเพราะมันเหนื่อย มันต้องลงทุนเยอะ ต้องบากหน้าไปไหว้คน ต้องทำตัวว่า “รักชาวบ้าน รักประชาชน”
ถ้าอย่างงั้น การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอำมาตย์มิใช่หรือ
แต่อำมาตย์ไม่เล่นเกมนั้น เพราะตอนหลังคงพบว่ามันไม่ง่าย และสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำตอนแรกมีคนสนับสนุนเขาเยอะ แต่ตอนหลังมันล้ำเส้น อาจจะไม่ไตร่ตรองให้ดี ทำให้มวลชนหายไปเยอะ
การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในรอบนี้ อาจารย์คิดว่าได้รับใบสั่งหรือไม่
ผมไม่คิดว่าเขาได้รับใบสั่งนะ ทั้งคุณจำลอง คุณสนธิ, โพธิรักษ์ ก็เป็นคนที่มีความคิดความอ่านของตนเอง เชื่อมั่นตนเองสูง แต่ผมคิดว่าตอนนี้เขาประเมินสูงเกินไป “ล้ำเส้น” หรือ “สุดโต่ง” เกินไป ทำให้บรรดาผู้สนับสนุนเก่า แฟนเก่าๆ หายไปเยอะ
แต่การออกมาเคลื่อนไหวของคุณจำลอง ศรีเมือง ถูกมองว่าต้องบรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นแกนนำผู้นี้จะไม่ออกมานำ อาจารย์ประเมินอย่างไร
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าดูจากประวัติการทำงานทางการเมืองของคุณจำลองที่ “ไม่กลับบ้านมือเปล่า” ทั้งเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 ก็ไปถึงจุดเกิดการนองเลือด เกิดความเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสุจินดาล้ม และล่าสุดการประท้วง รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผลักดันจนกระทั่ง ชนชั้นนำหรือพลังเดิมๆต้องใช้กระบวนการตุลาการภิวัตน์ เข้ามาจัดการ คือใช้อำนาจศาลมายุติสถานการณ์ความปั่นป่วนทางการเมืองชั่วคราว
ฉะนั้น ความพยายามผลักดัน ของ 3 องค์กรของ คุณจำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และโพธิรักษ์ ก็น่าจะต้องการผลักดันไปสู่การที่มีการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย คือผลักดันให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือการยกเว้นให้ไม่ใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เช่นว่า นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง คล้ายๆ กับเรื่อง “มาตรา 7. หรือที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเคยทำในปี 2476 ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็อาจเป็นไปได้ แม้จะยากและบรรยากาศ “สากล” ไม่อำนวยก็ตาม
ผลจากการที่คุณอภิสิทธิ์ ถูกโจมตีจากฝ่ายเสื้อเหลืองจะเป็นอย่างไร
จะทำให้คุณอภิสิทธิ์ แข็งแรงขึ้นและจะลอยตัวได้ ไม่งั้นจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายเดียวกับ “คนเสื้อเหลืองกลายชมพู” ก็กลายเป็นเป้านิ่งให้ “คนเสื้อแดง” โจมตีได้ถนัด
การเคลื่อนของพันธมิตรฯ กลับกลายเป็นช่วยคุณอภิสิทธิ์ ให้ไม่ถูกโจมตีจากเสื้อแดง งั้นหรือ
ไม่ใช่จะทำให้ไม่เป็นเป้าเสียเลย แต่ดีกรีในการโจมตีมันจะอ่อนลง ถ้าคุณอภิสิทธิประคองสถานการณ์ได้ ดึงเกมไปให้ยาว แล้วค่อยยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้นนิดๆหน่อยๆ ก็อาจจะอยู่รอดก็ได้ คือ สามารถ survive นั่นแหละ
ก่อนการสู้รบปะทะกันชายแดน พันธมิตรฯ เคยเสนอให้กองทัพ แสดงแสนยานุภาพ ซ้อมรบให้ประเทศเพื่อนบ้านเห็น เอาเครื่องบินไปบินขู่ วิธีคิดแบบนี้ เก่าไปหรือเปล่า
ก็เป็นการขู่เท่านั้นเอง แสดงแสนยานุภาพขู่ฮุนเซน ขู่คนกัมพูชา ใช่ไหม? ถามว่าแล้วเขาจะกลัวไหม ฮุนเซน อยู่ในตำแหน่งนายกฯ มากี่ปี ? ฮุนเซนรู้จักนายกรัฐมนตรีของไทยมากี่คน? นับตั้งแต่คุณชาติชาย ชุณหวัณ มาถึงคุณอานันท์ (หนึ่งและสอง)-คุณชวน (หนึ่งและสอง)-คุณบรรหาร-คุณชวลิต-คุณทักษิณ-คุณสมัคร-คุณสมชาย จนกระทั่งถึงคุณอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน ผมว่า “เขารู้เรา” มากกว่า “เรารู้เขา” ผมเชื่อว่า “เราไม่รู้เขา” หรอก เราหลง “เพ้อเจ้อ” กับอะไรๆที่เป็นเรื่องโบราณโบราณไปหมดแล้ว กลายเป็น “ฟอสซิลทางการเมือง” เป็น “ฟอสซิลทางประวัติศาสตร์” เป็น “ฟอสซิลทางโบราณคดี” สร้างความ “ล้าหลัง” สร้าง “ความเสียหาย” ให้ประเทศชาติและประชาชน (ชายแดน)
ปีนี้ สมเด็จฮุนเซน ไม่ได้ถูกนักการเมืองของไทยพูดถึงในฐานะมิตรของคุณทักษิณ
ฮุนเซนเขาก็รักษาผลประโยชน์ของเขา เขาจะเป็นมิตรกับทักษิณ หรือยังไงก็แล้วแต่ ยังไงเขาก็ต้องเล่นกับผู้นำรัฐบาลไทย เขาก็ต้องเล่นกับคุณอภิสิทธิ์ ถ้าเปลี่ยนจากคุณอภิสิทธิ์ เขาก็ต้องเล่นกับผู้นำไทยคนต่อไป เพราะฉะนั้น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ พาคุณอภิสิทธิ์ ไปหา ฮุนเซน แป๊บเดียวก็จัดคอนเสิร์ต ไทย-กัมพูชาที่กรุงเทพฯ อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ก็จัดคอนเสิร์ตกัมพูชา-ไทย ที่พนมเปญ หมายความว่า เขาก็ต้องเล่นด้วย แต่ไม่รู้ว่าอุบัติเหตุ หรือความตั้งใจ ที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันไป ไปอีกอย่าง ตอน 7 คนถูกจับ
ความจริงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กำลังฟื้นตัว กำลังเดินมาอย่างดีขึ้นแล้ว หมายความว่าเขาได้หาทาง “เกี้ยเซี๊ย” กันในเรื่องการเมืองการ ต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ก่อนมีเหตุการณ์ 7 คนถูกจับ
ที่ปล่อยให้ 5 คนไทยได้รับการประกันตัวออกมาก่อน เพราะอะไร
เขาเล่นไพ่เหนือ เขาฉลาดมาก โดยการปล่อยทีละเล็กทีละน้อย เก็บตัวประกันสำคัญๆ เอาไว้ และผมว่าฮุนเซน หรือกัมพูชา ยังมีไพ่อีกเยอะเลย เราไม่รู้ใช่ไหม คนเสื้อแดง ที่หายไปจากราชดำเนินและราชประสงค์ ใครบ้างที่หนีไปอยู่กัมพูชา
หมายถึงแกนนำคนเสื้อแดงหรือเปล่า
ใช่ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น ยิ่งเล่นไป กัมพูชาก็ยิ่งได้เปรียบ ยิ่งเล่นไปไทยก็ยิ่งเสียเปรียบ เพราะเราเล่นเกม “โบราณ” ล้าสมัย ตกรุ่น และไม่ได้ใช้ “สติสัมปชัญญะ” สักเท่าไหร่ แต่ใช้แต่ “อารมณ์” ความรู้สึก และความ “สุดโต่ง”เสียมากกว่า
แกนนำม็อบเสื้อแดงที่อยู่ในกัมพูชาตอนนี้ จะกลายเป็นไพ่หรือข้อต่อรองที่ถูกเล่น เมื่อฝ่ายคุณทักษิณหรือฝ่ายประชาธิปัตย์กลับมามีอำนาจรัฐ
ยุคไหนก็ได้ เขาเก็บ “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” เอาเป็นไพ่ต่อรองไว้ เหมือนๆในอดีตเราก็เคยเล่นไพ่ใบนี้มาแล้ว ในประวัติศาสตร์แต่ก่อนเมื่อเขมรแตกแยกขัดแย้งกันเอง ไทยเราก็เคยเอาเจ้านโรดม เอาเจ้าศรีสวัสดิ์ที่ “หนีร้อนมาพึ่งเย็น” เอามาเก็บไว้ในกรุงเทพฯ แล้วตอนหลังก็ส่งกลับไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรก็ยังเคยมี... ผมว่าตอนนี้เขาก็เล่นเกมนั้นนั่นแหละ แต่กลับตาลปัตกัน เพราะแทนที่จะเป็นเขมรแตกสามัคคีกัน ไทยเองกลับแตกแยกยิ่งกว่า “สามก๊ก” กลายเป็น “โป๊ยก๊ก” ดังนั้นบางส่วนก็เลย “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” ตกไปเป็น “ตัวประกัน” ของเขมรไปโดยอัตโนมัติ หรืออาจจะเป็นที่ลาวด้วยก็เป็นได้
ความเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในปีนี้ จะรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่
ถ้าใช้ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เป็นตัวไล่เรียงมา คำตอบน่าจะเป็น “ความรุนแรงไม่ลด” มีแต่ “เพิ่มขึ้น” เพราะคนระดับ “ล่าง” เปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้เกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ และคนหนึ่งอาจจะมีสองสามเครื่อง แปลว่าข้อมูลข่าวสารมันไหลถ่ายเทมากๆ คนระดับล่างหาใช่มวลชนที่ไร้จิตสำนึก หรือยอมสยบอีกต่อไปไม่ ข่าวสารข้อมูลที่เราๆท่านๆมี ที่เราๆท่านๆ ที่เป็นคนชั้นกลาง อยู่ในกรุง อยู่ในเมือง หรือแม้แต่เรื่อง “ซุบซิบๆๆนินทาว่าร้าย” ก็ดูเหมือนว่าในระดับ “คนชั้นกลางระดับล่าง” หรือแม้แต่“คนชั้นล่าง” คนนอกเมือง คนในชนบท ดูจะมีเหมือนๆกัน ดูจะเป็นความ “เสมอภาคเท่าเทียม”อย่างประหลาดๆๆ
แกนนำเสื้อแดง ประกาศต่อมวลชนไม่ต้องการให้ไปปะทะ และต้องก้าวข้ามกลุ่มเสื้อเหลือง การเมืองขณะนี้ รู้หรือไม่ว่าใครเป็นศัตรูกับใคร
รู้ ผมคิดว่าวาระของคนเสื้อแดงเขาชัดเจน และส่วนหนึ่งเสื้อแดงก็มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ คือมีผู้หญิง มาเป็นคนนำ โดยอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นแกนนำ ซึ่งในเวลาที่สังคมมีวิกฤต ผู้หญิงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงถูกเลี้ยงมาให้มีความอดทน และมีสติปัญญาที่มั่นคงมากกว่าผู้ชายนะ ดูในจุฬา ในธรรมศาสตร์สิ ผู้หญิงสอบเข้าได้มากกว่าผู้ชายหลายช่วงตัว นี่ยังไม่นับรวมเพศสามหรือเพศสี่ ผมคิดว่างั้น การที่อาจารย์ธิดามาเป็นแกนนำ เป็นความแปลกใหม่น่าสนใจติดตามดู อย่างน้อยมีน้ำใหม่มาในการเมืองที่มันเป็น “น้ำเน่า” ดักดานมาหลายทศวรรษ
แกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในคุก จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อรัฐบาลประชาธิปัตย์
ยิ่งเก็บไว้นาน ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อรัฐบาล ต่อระบบยุติธรรม ถ้าพูดแฟร์ๆ ก็ควรจะให้เขาได้รับการประกันตัวออกไป เพราะอยู่ในคุกนานแบบนี้ มันทำให้ข้อกล่าวหาเรื่อง “สองมาตรฐาน” ยิ่งชัดขึ้น วันดีคืนดี ถ้าแม่ยก 50-100 คนบุกไปที่คุก คงจะเป็นภาพที่น่าวิตกและน่าสนใจอย่างยิ่ง
ยิ่งถ้า เก็บ 7 ผู้นำแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เอาไว้ ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงมีประเด็นในการเคลื่อนไหวได้เยอะเลย ขอให้ติดตามดูบทบาทของ “แม่ยก” ที่จะเรียกร้องให้ถอดโซ่ตรวนนักโทษไทย ขณะที่แม้ในกัมพูชา กรณีของคุณวีระ สมความคิด และคณะก็ยังไม่ถูกตีตรวน นี่เป็นภาพอัปลักษณ์อย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรมไทย
จำได้ไหม หลัง 6 ตุลา 2519 เด็กๆนักศึกษาอย่างวิโรจน์ อย่างอภินันท์ อย่างสุธรรม ฯลฯ ก็ถูกล่ามโซ่ออกมาขึ้นคดีในศาล สร้างความตกตะลึงงันไปทั่วโลก เกือบ 40 ปีผ่านไป ไทยเราก็ยัง “ย่ำ” และ “อนารยะ” อยู่ “เหมือนเดิม” อย่างน่าพิศวง
หากเสื้อแดงยังชุมนุมหลังเลือกตั้ง จะกลายเป็นไม่ยอมรับระบบรัฐสภาหรือเปล่า
ถ้าไม่ปล่อยตัวณัฐวุฒิกับผู้ต้องหาแดงๆ คนเสื้อแดงก็จะประท้วงต่อไป โดยจะยอมรับหรือไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็ตาม การชุมนุมต่อไป ทำได้ ไม่ขัดกันในวิธีคิดของเขา
ถ้าพรรคเพื่อไทย ถูกยุบพรรคอีก พรรคการเมืองของเสื้อแดงจะสูญพันธ์ไปหรือไม่
ถ้ามองโดยภาพใหญ่ ภาพรวมแล้ว เกมหลายเกมเล่นซ้ำไม่ได้ มันจืด มนุษย์ไม่เอา ทำซ้ำไม่ได้ ยุบพรรคอีกก็ไม่น่าได้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ผมพูดไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
แนวโน้มสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เราไปมองว่าสถานการณ์การเมืองไทยและสังคมไทยสถิต นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่าคนจำนวนมาก รอความเปลี่ยนแปลง ความไม่พอใจของคนจำนวนมาก จะจุดประเด็นได้ ตอนนี้น่าจะเรียกได้เป็น waiting game และเป็น “การเมืองตัวแทน” politics of nominees เสียมากกว่า “ตัวเอก ฉากเอก เวลาจริง” ยังไม่ถึง ยังไม่ออก
จะถึงขั้นก่อจลาจล เหมือนภาพที่เกิดในต่างประเทศหรือไม่
เป็นไปได้ เพราะสิ่งที่คนพูดถึง “กาลียุค” ก็เกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งโพธิรักษ์ เมื่อเริ่มการเคลื่อนไหวหลัง 7 คนถูกจับไม่นานนี้ ท่านก็ใช้คำว่ากาลียุค ดังนั้น เผลอๆ คนจำนวนมาก กำลัง “รอ” ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และอะไรจะเกิดขึ้น จริงๆแล้ว “กาลียุค” ไม่ได้แปลว่า “สิ้นสุด” แปลว่า “จบ” แปลว่า the end แต่มีความหมายมากกว่านั้น คือ “ยุคใหม่ สมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้น”
ฉะนั้น จะต้องมีความปั่นป่วน มีจลาจล มีการเสียเลือดเนื้อ แล้วถึงจะมีสิ่งใหม่เกิด อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดมาตั้งแต่สมัย “พระเวท” เป็นความเชื่อทางศาสนาฮินดู พราหมณ์ ที่เป็นศาสนาเก่าแก่และใหญ่ที่สุดศาสนาหนึ่ง
ในความเชื่อแบบนี้ ที่ก็แทรกเข้ามาในพุทธศาสนาด้วยนั้น จะปรากฏอยู่ในตำนานของ “ศิวนาฏราช” ที่ทรงเริงระบำเต้นอยู่เหนือหน้าบันของปราสาทพนมรุ้ง เหนือปราสาทพระวิหาร ที่พระอิศวรจะทรงทำลายล้าง บังเกิดมีเจ้าแม่กาลี (ปางหนึ่งของพระอุมา) ขึ้นมาเผด็จยุคเก่าสมัยเก่าให้สิ้นซากไป แล้วเบื้องล่างตรงทับหลัง พระนารายณ์อนันตศายิน ก็จะบันดาลให้ดอกบัวผลุดออกมาจากพระนาภี จากสะดือ บานออกเผยให้เห็น “พระพรหม” ที่จะสร้างโลกใหม่สมัยใหม่ในบั้นปลาย.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อาจารย์คิดว่าการปะทะกันบริเวณชายแดนที่เริ่มเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์และต่อเนื่องหลังจากนั้น เป็นความบังเอิญหรือจงใจ ไปพ้องกับข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ในเรื่อง “การแสดงแสนยานุภาพ”
คงปนๆ กันไป...ผมไม่มีข้อมูลพอที่จะพูดได้ชัดเจน เพียงแต่ตอนนี้ เป็นการแบ่งระหว่างฝ่ายที่ต้องการ “สันติภาพ” และฝ่ายที่ต้องการ “สงคราม” (สายเหยี่ยว กับสายพิราบ) ดูจะชัดเจน ที่ทำให้ต้องมาแก้ตัวกันพัลวัน ว่าใครกันแน่ที่ต้องการ “สันติภาพ” ใครกันแน่ยุยงและกระหาย “สงคราม” และพันธมิตรฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ในจุดนี้ว่า มีส่วนผลักดันทางการเมืองภายในกรุงเทพฯ เอง จนบานปลายนำไปสู่การสู้รบที่ชายแดน แม้มหาจำลอง จะออกมาแก้ตัวว่าฝ่ายตนไม่ใช่สาเหตุของความสูญเสียจากการปะทะ ส่วนในอีกแง่หนึ่ง ทหารบางกลุ่มก็คงต้องการแสดงแสนยานุภาพ ใช้อาวุธถล่มให้ดู หลังจากที่โดนพันธมิตรฯ ด่าลบหลู่ศักดิ์ศรีของทหารมาหลายคืน
ผลทางการระหว่างประเทศ จากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในรอบนี้
ฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบโดยอัตโนมัติ เพราะไทยทะเลาะกันเอง เล่นเกมประหัตประหารกันเอง เป็นเกมอันธพาล ชาวบ้านที่ภูมิซลอลตาย แต่คนในกทม. ไม่เป็นอะไร แบบนี้อารยชนเขาไม่ทำกัน
ในทางการระหว่างประเทศ ไทยเราก็เสียหาย เครดิตเราต่ำมาก ดูจากเนื้อหาของจดหมายที่ นายฮอร์ นัมฮง ส่งเรื่องไปยังสหประชาชาติ เทียบกับแถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศของไทยแล้ว หนังสือของฝ่ายกัมพูชาเหมือนเขียนโดยคนจบปริญญาเอก มีความชัดเจน มีข้อมูลหนักแน่น ในขณะที่แถลงการณ์ฝ่ายไทยเหมือนเขียนโดยนักศึกษาปี 1 เทียบกันแล้ว คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ไทยเสียเปรียบมาก
การทูตการต่างประเทศของกัมพูชาไปได้ไกลมาก มีการทำงานที่รัดกุม ส่วนของไทยบอกว่ามีจดหมายถึงสหประชาชาติแต่ยังเปิดเผยไม่ได้ อะไรทำนองนั้น เป็นการเล่นเกมกำกวมอึกๆ อักๆ ยิ่งสร้างความไม่รู้ ไม่เข้าใจให้กับประชาชนชาวไทย ถ้าดูจากแถลงการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาแล้ว ก็จะเห็นความตกต่ำของผู้ดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย เสียเกียรติยศชื่อเสียงมหาศาล ราชการการต่างประทศของสยามและของไทยเคยนำมาตลอด เป็นหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ตอนนี้เพราะเราไม่ได้เล่นการเมืองระหว่างประเทศ แต่เล่นการเมืองภายในประเทศ ทะเลาะกันเอง ก็เลยตกต่ำ ย่ำแย่
กรณีทูตกัมพูชากล่าวถึงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ เป็นการบอกทิศทางที่กัมพูชาจะเดินหน้าในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่
ทูตกัมพูชาซึ่งเป็นผู้หญิงท่านนี้ น่าสนใจมาก ประวัติท่านทูตมาจากกัมปงธม เป็นเขตจังหวัดที่อยู่ระหว่างกัมปงจาม (บ้านเกิดฮุนเซน) กับเสียมเรียบ น่าจะเป็นคนที่สมเด็จฮุนเซน ให้ความไว้วางใจให้มาอยู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญกับกัมพูชา
ประเด็นสำคัญ ท่านทูตได้พูดถึงคำพิพากษาศาลโลก ข้อที่ 2 ที่มักจะถูกละเลยโดยผู้นำไทย ที่พิพากษาว่า “ประเทศไทยมีพันธะ ที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทย ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”
ปัญหาคือคำว่า “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” มันกินพื้นที่แค่ไหน เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ (ตรงบริเวณ 4.6 ตร.กม.) กันอยู่ (หนึ่ง. จะต้องใช้การ “เจรจา” สองฝ่าย หรือสอง. จะกลับไปให้ศาลโลกตีความใหม่ หรือสาม. จะใช้ สงคราม แก้ปัญหา)
ไทยต้องการให้เจรจาทวิภาคี เพราะรู้ว่าหากขยายเวทีออกไปจะเสียเปรียบใช่หรือไม่
ลึกๆ แล้วคนที่ปลุกระดมก็รู้ว่า ไทยเราเสียเปรียบ และเป็นผลเสียต่อประเทศตัวเอง เมื่อนำเอาเรื่องปราสาทพระวิหารมาทำให้ประเด็น เรื่องมันก็เลยชัดขึ้นๆ ข้อมูลออกมาอีกมากมาย ว่าไปเรื่องบางเรื่อง ถ้าปล่อยให้มันคลุมเครือจะมีประโยชน์มากกว่า เมื่อก่อนต่างฝ่ายต่างก็เข้าไปในบริเวณนั้นได้ ทหารไปลาดตะเวนร่วมกันได้ ของบางอย่างถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องเก็บเอาไว้ แล้วทำงานร่วมกัน ที่ปราสาทพระวิหาร แต่ก่อนก็เคยเก็บค่าผ่านแดน ไปขึ้นตัวปราสาท ไทยกับเขมรก็แบ่งผลประโยชน์กัน ทั้ง 2 ประเทศ ออกจากเขตแดนไทย เสีย 20 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เข้าไปขึ้นปราสาทพระวิหารเสียอีก 50 บาทให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา แต่การเอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นการเมือง เกิดสงครามการสู้รบ ก็พินาศกันไปหมด
มองการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างไร
คิดว่าเขามีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย เพราะคนกลุ่มนี้ เขาไม่เล่นเกมประชาธิปไตย ไม่ชอบการเลือกตั้ง เนื่องจากไม่ได้ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์อะไร ไม่ได้เก้าอี้ ส.ส.จากการเลือกตั้ง ดังนั้น เขาคงหวังว่าเมื่อมี “รัฐประหาร” มีการยึดอำนาจแล้ว เขาจะได้ส่วนแบ่ง ได้ “ส้มหล่น”
ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ถอย แล้วรัฐบาลจะมีทางออกอย่างไร
พันธมิตรฯ อาจจะถูกคนที่เคยเป็นพรรคพวกเดียวกันตลบหลัง เพราะสาเหตุชุมนุม ก็มาจากเรื่องทะเลาะกันเอง เป็นความแค้นส่วนตัวเยอะเลย ฝ่ายคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็คิดว่าเขามีบุญคุณกับ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้ได้เป็นนายกฯ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องเป็นฝ่ายค้านต่อไป แต่คุณอภิสิทธิ์ ไม่กตัญญู ซึ่งที่จริง “ความกตัญญูกตเวที” มันไม่มีในการเมืองอยู่แล้ว... แน่นอนว่า แม้เป็นแค้นส่วนตัว แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็ต้องพูดในนามของความรักชาติ ของประชาชน และของประชาธิปไตย
ในรอบนี้จำนวนมวลชนพันธมิตรฯ น้อยลง อาจารย์ให้ความสำคัญกับจำนวนมวลชนเป็นตัวชี้วัดหรือไม่
จำนวนมวลชนสำคัญ แต่จำนวนต้องมากมหาศาล ถึงจะมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในกรณีนี้ คนเสื้อเหลืองไม่ใช่สีเฉดเดียวอีกแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อย หันไปใส่เสื้อสีชมพู เสื้อสีต่างๆ หลากสี ความเข้มข้น ความขลังก็ลดลง ถ้าเราดูแล้ว ไพ่ที่ผู้นำพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยใช้เรียกความสนับสนุนทางการเมือง ทั้ง 3 ข้อหา คือ (หนึ่ง) ไม่จงรักภักดี , (สอง) ทุจริตครัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อนและ (สาม) ชาตินิยม-วาทกรรมเสียดินแดน แต่งานนี้ผู้นำพันธมิตรฯ ใช้ประเด็นเดียว คือชาตินิยม ไม่ได้ใช้เรื่อง “สถาบัน” กับเรื่อง “ทุจริตคอรัปชั่น” น้ำหนักจึงไปอยู่ที่ไพ่ใบสุดท้ายคือชาตินิยม การเสียดินแดน
ผมคิดว่าอาจจะปลุกยาก แม้จะมีมวลชนมาในระดับหนึ่งก็ตาม แต่คนจำนวนเยอะ ที่เคยสนับสนุนมาก่อนก็ไม่เล่นด้วย
ผมคิดว่า ชาตินิยมเวอร์ชั่นที่สองนี้ ที่เรียกว่า “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” (military-bureaucratic nationalism) ที่เคยใช้ได้ผลโดยผู้นำประเทศรุ่นที่เปลี่ยนชื่อจาก “สยาม”เป็น “ไทย” (Siam to Thailand) คือ รุ่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ ยุค 40s สมัยสงครามโลก(ที่มีทีมงานกรมศิลปากร เช่น นายธนิต (กี) อยู่โพธิ์ นายมานิต วัลลิโภดม หรือนักพูดนักเขียนอย่าง นายมั่น/นายคง นายหนหวย สืบทอดกันเรื่อยมาจนถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยุค 60s ฯลฯ) นั้น
มีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นของกลุ่มผู้นำดั้งเดิมของสยาม ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นแรก คือ “ราชาชาตินิยม” (หรือ Royal Nationalism ของรัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลที่ 6 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และสมเด็จกรมฯ ดำรง) เวอร์ชั่นนี้ของ “ราชอาณาจักรสยาม” หรือ Siam ของ “พระราชา” ต้องการและยอมรับเขตแดนหรือพรมแดนของ “สยาม” ที่ “จำกัด” limited boundary-border เพื่อรักษาเอกราช แต่เวอร์ชั่นหลังของ “ประเทศไทย” หรือ Thailand ของ “อำมาตยาเสนา” ต้องการขยายดินแดน เรียกร้องดินแดน คือ expanded boundary-border
ตอนนี้พันธมิตรฯ เล่น ในเกมไหน
พันธมิตรฯกลุ่มนี้ เล่นเกมของ “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” คือ expanded not limited เล่นเกมรักชาติ ปลุกระดมชาตินิยม เคลื่อนไหวโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน บางคนถึงกับ “เรียกร้องดินแดน” ในเสียมเรียบ พระตะบองศรีโสภณ และเกาะกง “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ” ซึ่งนำไปสู่การปะทะ ยกระดับกลายเป็น “เปลี่ยนสนามการค้า ให้เป็นสนามรบ” เป็นเกมเดียวคล้ายคลึงกับที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เล่นเมื่อปี 2483-2484 สมัยสงครามโลก จนเกิดการปะทะสู้รบ ที่เราเรียกว่า “สงครามอินโดจีน” มีการรบทั้งทางบกทางเรือ มีทหารบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ถึงกับต้องมาสร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เอาไว้ ที่ที่เพิ่งจัดงานวันทหารผ่านศึกเมื่อเร็วๆนี้ นั่นแหละ
เกมชาตินิยมนี้ จะเล่นได้ดีต้องอ้างทั้ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” แต่ตอนนี้ถ้าพันธมิตรฯ จะอ้างศาสนาและพระมหากษัตริย์ ก็ลำบาก จึงต้องอ้างชาติ ก็คือ ต้องเล่นเกมว่าจะ “เสียดินแดนไม่ได้แม้กระแต่ 1 ตารางนิ้ว” ส่วนไพ่ใบอื่นที่เขาเล่นได้มีประสิทธิภาพมาก่อน คือเรื่องของสถาบัน เรื่องทุจริตคอรัปชั่นผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ได้ถูกนำมาใช้ตอนนี้ ก็เลยทำให้ขบวนการอ่อนไป
การเล่มเกมนี้ในรอบนี้พันธมิตรฯ จะทำสำเร็จผลบรรลุเป้าหมายหรือไม่
เขาคงอยากให้สำเร็จ...แต่ความจริงแล้วสำเร็จยาก เพราะกำลังไม่พอ จุดแล้วไม่ติด เช่นล่าสุด แม้มีการปะทะ มีสงครามชายแดนแล้ว แต่กองทัพก็ดูจะไม่เล่นด้วยอย่างเต็มที่ เช่นไม่มีการส่งกองกำลังเข้าไปยึดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ให้รู้แล้วรู้รอดไป
สำหรับเกม “อำมาตยาเสนาชาตินิยม” เช่นนี้ จะเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเล่นโดยผู้กุมอำนาจรัฐ(หรือผู้หวังกุมอำนาจรัฐ) และต้องกุมกองทัพเอาไว้ให้ได้ เช่นในอดีต สมัยจอมพล.ป พิบูลสงคราม-หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีทีมงานจากกรมศิลปากร กรมโฆษณาการ (ชื่อเดิมของกรมประชาสัมพันธ์) คือการเล่นเกมโดยคนที่กุมอำนาจรัฐ พูดง่ายๆ เล่นโดยเสนาอำมาตย์เอง
แต่พอถึงมาตอนนี้ คนที่เล่นเกมนี้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่าง พันธมิตรฯ คนไทยหัวใจรักชาติ สันติอโศก เขาไม่ได้กุมเครื่องมือ หรือกุมอำนาจของรัฐ เพียงแต่เขามีสื่อ มีโทรทัศน์ วิทยุ นสพ. ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยืดยาว
แต่ผมคิดว่าพลังอาจจะไม่มีพอ และถ้าเผื่อไม่ได้ความสนับสนุนจากฐานเสียงคนชั้นกลางใน กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้กำลังช่วยจากผู้กุมอำนาจรัฐ จากกองทัพ จากข้าราชการส่วนกลางหรือท้องที่ ผมว่ายาก เพราะฉะนั้น ไพ่ใบนี้ ไพ่รักชาติ ไพ่เสียดินแดน ปลุกให้ติดยากมาก เป็นการ “เข็นครกขึ้นภูเขา”
และที่สำคัญ คือ “เป้า” ก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนมาก คือเป้าอยู่ที่คุณทักษิณและรัฐบาลคุณสมัคร และคุณสมชาย ที่พันธมิตรฯ ล้มได้สำเร็จ ก็เพราะมี “ผู้สนับสนุนรายใหญ่ๆ” ช่วยหนุนให้โค่นรัฐบาล 3 ชุดนั้น แต่ตอนนี้รัฐบาลเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และคุณอภิสิทธิ์ ที่แม้เคยร่วมมือกันมาก่อน และก็กลายเป็น “เป้า” ไปแล้วนั้น ยังอาจทำได้ไม่ถนัดนัก ถ้าผู้สนับสนุนรายใหญ่ “พลังต่างๆเดิมๆ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพ ยังไม่เอาด้วย
ทำไมรัฐบาลชุดนี้ ไม่อยู่ในชะตากรรมเดียวกับกลุ่มคุณทักษิณ
เพราะข้อกล่าวหาต่อคุณอภิสิทธิ์ว่า “ขายชาติ” หรือมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ต่อคนกรุง-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง ฟังดูไม่น่าเชื่อ หรือไม่อยากจะเชื่อถือ เหมือนการกล่าวหาต่อคุณทักษิณและพรรคพวก ถ้าเป้าในการถูกโจมตี เป็นคุณทักษิณ คุณสมัคร คุณสมชาย หรือคนเสื้อแดง อาจจะเป็นเป้าที่ชัดเจนในสายตาของคนกรุงหรือคนเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อเหลือง เสื้อชมพู เสื้อซาหริ่ม
เหมือนๆคราวที่แล้ว พันธมิตรฯ โจมตีรัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณ โดยใช้เรื่องกัมพูชาและปราสาทพระวิหารเป็นข้ออ้าง เป็นวาระซ่อน ซึ่งว่าไปแล้วไม่ใช่การโจมตีกัมพูชาโดยตรง แต่มาถึงตอนนี้พันธมิตรฯ จะทำให้รัฐบาลชุดนี้กลายเป็นเป้านิ่งแบบนั้น ไม่ง่าย...
ใครเขาจะยอมให้ตีพวกของเขาเองคนของเขาเอง คุณอภิสิทธิ์ เขาก็มีคนรัก คนหลงอยู่เยอะแยะ และผมคิดว่า “ผู้สนับสนุนรายใหญ่” ของคุณอภิสิทธิ์กับประชาธิปัตย์ ยังพอใจคุณอภิสิทธิ์ พอใจกับประชาธิปัตย์อยู่ เพราะอาจจะดีที่สุด หรืออีกนัยหนึ่ง เลวน้อยที่สุดเท่าที่มีอยู่ในมือตอนนี้
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะเล่นกับการเปลี่ยนแปลงแบบใช้วิถีทางที่ไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” เขาไม่น่าจะเล่น ในทางตรงข้ามเขาคงเล่นเกมที่นำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งมันก็อีกไม่นานแล้ว วาระของรัฐบาลก็จะหมดแล้วในปี 2554 เพราะฉะนั้น รออีกไม่กี่เดือน มันคุ้มกว่าที่จะไปเล่นเกมนอกระบบ
โอกาสรัฐประหารยังเป็นไปได้หรือไม่
โดยเหตุผลโดยผล โดยตรรกะ ไม่น่าจะมีรัฐประหาร แต่การเมืองไทยคาดการณ์ยาก อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ผมว่าเกมน่าจะมุ่งไปสู่การเลือกตั้งมากกว่า เพราะอายุรัฐบาลจะหมดแล้ว ในวาระในปีนี้ ฉะนั้น เกมน่าจะไปจุดนั้น
แน่นอนคนจำนวนหนึ่งที่คิดแบบอำมาตย์ คิดแบบคนที่ได้เปรียบ จะไม่ชอบการเลือกตั้งเพราะมันเหนื่อย มันต้องลงทุนเยอะ ต้องบากหน้าไปไหว้คน ต้องทำตัวว่า “รักชาวบ้าน รักประชาชน”
ถ้าอย่างงั้น การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอำมาตย์มิใช่หรือ
แต่อำมาตย์ไม่เล่นเกมนั้น เพราะตอนหลังคงพบว่ามันไม่ง่าย และสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำตอนแรกมีคนสนับสนุนเขาเยอะ แต่ตอนหลังมันล้ำเส้น อาจจะไม่ไตร่ตรองให้ดี ทำให้มวลชนหายไปเยอะ
การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในรอบนี้ อาจารย์คิดว่าได้รับใบสั่งหรือไม่
ผมไม่คิดว่าเขาได้รับใบสั่งนะ ทั้งคุณจำลอง คุณสนธิ, โพธิรักษ์ ก็เป็นคนที่มีความคิดความอ่านของตนเอง เชื่อมั่นตนเองสูง แต่ผมคิดว่าตอนนี้เขาประเมินสูงเกินไป “ล้ำเส้น” หรือ “สุดโต่ง” เกินไป ทำให้บรรดาผู้สนับสนุนเก่า แฟนเก่าๆ หายไปเยอะ
แต่การออกมาเคลื่อนไหวของคุณจำลอง ศรีเมือง ถูกมองว่าต้องบรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นแกนนำผู้นี้จะไม่ออกมานำ อาจารย์ประเมินอย่างไร
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าดูจากประวัติการทำงานทางการเมืองของคุณจำลองที่ “ไม่กลับบ้านมือเปล่า” ทั้งเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 ก็ไปถึงจุดเกิดการนองเลือด เกิดความเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสุจินดาล้ม และล่าสุดการประท้วง รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผลักดันจนกระทั่ง ชนชั้นนำหรือพลังเดิมๆต้องใช้กระบวนการตุลาการภิวัตน์ เข้ามาจัดการ คือใช้อำนาจศาลมายุติสถานการณ์ความปั่นป่วนทางการเมืองชั่วคราว
ฉะนั้น ความพยายามผลักดัน ของ 3 องค์กรของ คุณจำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และโพธิรักษ์ ก็น่าจะต้องการผลักดันไปสู่การที่มีการเปลี่ยนแปลง “นอก” ระบอบประชาธิปไตย คือผลักดันให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือการยกเว้นให้ไม่ใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เช่นว่า นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง คล้ายๆ กับเรื่อง “มาตรา 7. หรือที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเคยทำในปี 2476 ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็อาจเป็นไปได้ แม้จะยากและบรรยากาศ “สากล” ไม่อำนวยก็ตาม
ผลจากการที่คุณอภิสิทธิ์ ถูกโจมตีจากฝ่ายเสื้อเหลืองจะเป็นอย่างไร
จะทำให้คุณอภิสิทธิ์ แข็งแรงขึ้นและจะลอยตัวได้ ไม่งั้นจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายเดียวกับ “คนเสื้อเหลืองกลายชมพู” ก็กลายเป็นเป้านิ่งให้ “คนเสื้อแดง” โจมตีได้ถนัด
การเคลื่อนของพันธมิตรฯ กลับกลายเป็นช่วยคุณอภิสิทธิ์ ให้ไม่ถูกโจมตีจากเสื้อแดง งั้นหรือ
ไม่ใช่จะทำให้ไม่เป็นเป้าเสียเลย แต่ดีกรีในการโจมตีมันจะอ่อนลง ถ้าคุณอภิสิทธิประคองสถานการณ์ได้ ดึงเกมไปให้ยาว แล้วค่อยยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้นนิดๆหน่อยๆ ก็อาจจะอยู่รอดก็ได้ คือ สามารถ survive นั่นแหละ
ก่อนการสู้รบปะทะกันชายแดน พันธมิตรฯ เคยเสนอให้กองทัพ แสดงแสนยานุภาพ ซ้อมรบให้ประเทศเพื่อนบ้านเห็น เอาเครื่องบินไปบินขู่ วิธีคิดแบบนี้ เก่าไปหรือเปล่า
ก็เป็นการขู่เท่านั้นเอง แสดงแสนยานุภาพขู่ฮุนเซน ขู่คนกัมพูชา ใช่ไหม? ถามว่าแล้วเขาจะกลัวไหม ฮุนเซน อยู่ในตำแหน่งนายกฯ มากี่ปี ? ฮุนเซนรู้จักนายกรัฐมนตรีของไทยมากี่คน? นับตั้งแต่คุณชาติชาย ชุณหวัณ มาถึงคุณอานันท์ (หนึ่งและสอง)-คุณชวน (หนึ่งและสอง)-คุณบรรหาร-คุณชวลิต-คุณทักษิณ-คุณสมัคร-คุณสมชาย จนกระทั่งถึงคุณอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน ผมว่า “เขารู้เรา” มากกว่า “เรารู้เขา” ผมเชื่อว่า “เราไม่รู้เขา” หรอก เราหลง “เพ้อเจ้อ” กับอะไรๆที่เป็นเรื่องโบราณโบราณไปหมดแล้ว กลายเป็น “ฟอสซิลทางการเมือง” เป็น “ฟอสซิลทางประวัติศาสตร์” เป็น “ฟอสซิลทางโบราณคดี” สร้างความ “ล้าหลัง” สร้าง “ความเสียหาย” ให้ประเทศชาติและประชาชน (ชายแดน)
ปีนี้ สมเด็จฮุนเซน ไม่ได้ถูกนักการเมืองของไทยพูดถึงในฐานะมิตรของคุณทักษิณ
ฮุนเซนเขาก็รักษาผลประโยชน์ของเขา เขาจะเป็นมิตรกับทักษิณ หรือยังไงก็แล้วแต่ ยังไงเขาก็ต้องเล่นกับผู้นำรัฐบาลไทย เขาก็ต้องเล่นกับคุณอภิสิทธิ์ ถ้าเปลี่ยนจากคุณอภิสิทธิ์ เขาก็ต้องเล่นกับผู้นำไทยคนต่อไป เพราะฉะนั้น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ พาคุณอภิสิทธิ์ ไปหา ฮุนเซน แป๊บเดียวก็จัดคอนเสิร์ต ไทย-กัมพูชาที่กรุงเทพฯ อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ก็จัดคอนเสิร์ตกัมพูชา-ไทย ที่พนมเปญ หมายความว่า เขาก็ต้องเล่นด้วย แต่ไม่รู้ว่าอุบัติเหตุ หรือความตั้งใจ ที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันไป ไปอีกอย่าง ตอน 7 คนถูกจับ
ความจริงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา กำลังฟื้นตัว กำลังเดินมาอย่างดีขึ้นแล้ว หมายความว่าเขาได้หาทาง “เกี้ยเซี๊ย” กันในเรื่องการเมืองการ ต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ก่อนมีเหตุการณ์ 7 คนถูกจับ
ที่ปล่อยให้ 5 คนไทยได้รับการประกันตัวออกมาก่อน เพราะอะไร
เขาเล่นไพ่เหนือ เขาฉลาดมาก โดยการปล่อยทีละเล็กทีละน้อย เก็บตัวประกันสำคัญๆ เอาไว้ และผมว่าฮุนเซน หรือกัมพูชา ยังมีไพ่อีกเยอะเลย เราไม่รู้ใช่ไหม คนเสื้อแดง ที่หายไปจากราชดำเนินและราชประสงค์ ใครบ้างที่หนีไปอยู่กัมพูชา
หมายถึงแกนนำคนเสื้อแดงหรือเปล่า
ใช่ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น ยิ่งเล่นไป กัมพูชาก็ยิ่งได้เปรียบ ยิ่งเล่นไปไทยก็ยิ่งเสียเปรียบ เพราะเราเล่นเกม “โบราณ” ล้าสมัย ตกรุ่น และไม่ได้ใช้ “สติสัมปชัญญะ” สักเท่าไหร่ แต่ใช้แต่ “อารมณ์” ความรู้สึก และความ “สุดโต่ง”เสียมากกว่า
แกนนำม็อบเสื้อแดงที่อยู่ในกัมพูชาตอนนี้ จะกลายเป็นไพ่หรือข้อต่อรองที่ถูกเล่น เมื่อฝ่ายคุณทักษิณหรือฝ่ายประชาธิปัตย์กลับมามีอำนาจรัฐ
ยุคไหนก็ได้ เขาเก็บ “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” เอาเป็นไพ่ต่อรองไว้ เหมือนๆในอดีตเราก็เคยเล่นไพ่ใบนี้มาแล้ว ในประวัติศาสตร์แต่ก่อนเมื่อเขมรแตกแยกขัดแย้งกันเอง ไทยเราก็เคยเอาเจ้านโรดม เอาเจ้าศรีสวัสดิ์ที่ “หนีร้อนมาพึ่งเย็น” เอามาเก็บไว้ในกรุงเทพฯ แล้วตอนหลังก็ส่งกลับไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรก็ยังเคยมี... ผมว่าตอนนี้เขาก็เล่นเกมนั้นนั่นแหละ แต่กลับตาลปัตกัน เพราะแทนที่จะเป็นเขมรแตกสามัคคีกัน ไทยเองกลับแตกแยกยิ่งกว่า “สามก๊ก” กลายเป็น “โป๊ยก๊ก” ดังนั้นบางส่วนก็เลย “หนีร้อนไปพึ่งเย็น” ตกไปเป็น “ตัวประกัน” ของเขมรไปโดยอัตโนมัติ หรืออาจจะเป็นที่ลาวด้วยก็เป็นได้
ความเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในปีนี้ จะรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่
ถ้าใช้ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เป็นตัวไล่เรียงมา คำตอบน่าจะเป็น “ความรุนแรงไม่ลด” มีแต่ “เพิ่มขึ้น” เพราะคนระดับ “ล่าง” เปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้เกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ และคนหนึ่งอาจจะมีสองสามเครื่อง แปลว่าข้อมูลข่าวสารมันไหลถ่ายเทมากๆ คนระดับล่างหาใช่มวลชนที่ไร้จิตสำนึก หรือยอมสยบอีกต่อไปไม่ ข่าวสารข้อมูลที่เราๆท่านๆมี ที่เราๆท่านๆ ที่เป็นคนชั้นกลาง อยู่ในกรุง อยู่ในเมือง หรือแม้แต่เรื่อง “ซุบซิบๆๆนินทาว่าร้าย” ก็ดูเหมือนว่าในระดับ “คนชั้นกลางระดับล่าง” หรือแม้แต่“คนชั้นล่าง” คนนอกเมือง คนในชนบท ดูจะมีเหมือนๆกัน ดูจะเป็นความ “เสมอภาคเท่าเทียม”อย่างประหลาดๆๆ
แกนนำเสื้อแดง ประกาศต่อมวลชนไม่ต้องการให้ไปปะทะ และต้องก้าวข้ามกลุ่มเสื้อเหลือง การเมืองขณะนี้ รู้หรือไม่ว่าใครเป็นศัตรูกับใคร
รู้ ผมคิดว่าวาระของคนเสื้อแดงเขาชัดเจน และส่วนหนึ่งเสื้อแดงก็มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ คือมีผู้หญิง มาเป็นคนนำ โดยอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นแกนนำ ซึ่งในเวลาที่สังคมมีวิกฤต ผู้หญิงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงถูกเลี้ยงมาให้มีความอดทน และมีสติปัญญาที่มั่นคงมากกว่าผู้ชายนะ ดูในจุฬา ในธรรมศาสตร์สิ ผู้หญิงสอบเข้าได้มากกว่าผู้ชายหลายช่วงตัว นี่ยังไม่นับรวมเพศสามหรือเพศสี่ ผมคิดว่างั้น การที่อาจารย์ธิดามาเป็นแกนนำ เป็นความแปลกใหม่น่าสนใจติดตามดู อย่างน้อยมีน้ำใหม่มาในการเมืองที่มันเป็น “น้ำเน่า” ดักดานมาหลายทศวรรษ
แกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในคุก จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อรัฐบาลประชาธิปัตย์
ยิ่งเก็บไว้นาน ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อรัฐบาล ต่อระบบยุติธรรม ถ้าพูดแฟร์ๆ ก็ควรจะให้เขาได้รับการประกันตัวออกไป เพราะอยู่ในคุกนานแบบนี้ มันทำให้ข้อกล่าวหาเรื่อง “สองมาตรฐาน” ยิ่งชัดขึ้น วันดีคืนดี ถ้าแม่ยก 50-100 คนบุกไปที่คุก คงจะเป็นภาพที่น่าวิตกและน่าสนใจอย่างยิ่ง
ยิ่งถ้า เก็บ 7 ผู้นำแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เอาไว้ ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงมีประเด็นในการเคลื่อนไหวได้เยอะเลย ขอให้ติดตามดูบทบาทของ “แม่ยก” ที่จะเรียกร้องให้ถอดโซ่ตรวนนักโทษไทย ขณะที่แม้ในกัมพูชา กรณีของคุณวีระ สมความคิด และคณะก็ยังไม่ถูกตีตรวน นี่เป็นภาพอัปลักษณ์อย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรมไทย
จำได้ไหม หลัง 6 ตุลา 2519 เด็กๆนักศึกษาอย่างวิโรจน์ อย่างอภินันท์ อย่างสุธรรม ฯลฯ ก็ถูกล่ามโซ่ออกมาขึ้นคดีในศาล สร้างความตกตะลึงงันไปทั่วโลก เกือบ 40 ปีผ่านไป ไทยเราก็ยัง “ย่ำ” และ “อนารยะ” อยู่ “เหมือนเดิม” อย่างน่าพิศวง
หากเสื้อแดงยังชุมนุมหลังเลือกตั้ง จะกลายเป็นไม่ยอมรับระบบรัฐสภาหรือเปล่า
ถ้าไม่ปล่อยตัวณัฐวุฒิกับผู้ต้องหาแดงๆ คนเสื้อแดงก็จะประท้วงต่อไป โดยจะยอมรับหรือไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็ตาม การชุมนุมต่อไป ทำได้ ไม่ขัดกันในวิธีคิดของเขา
ถ้าพรรคเพื่อไทย ถูกยุบพรรคอีก พรรคการเมืองของเสื้อแดงจะสูญพันธ์ไปหรือไม่
ถ้ามองโดยภาพใหญ่ ภาพรวมแล้ว เกมหลายเกมเล่นซ้ำไม่ได้ มันจืด มนุษย์ไม่เอา ทำซ้ำไม่ได้ ยุบพรรคอีกก็ไม่น่าได้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ผมพูดไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองบ้านเรา ขึ้นกับอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของคนเพียงไม่เกินห้าคนสิบคน ดังนั้น อะไรๆ ที่เราไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ อย่างที่เห็นกันมาแล้วในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
แนวโน้มสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เราไปมองว่าสถานการณ์การเมืองไทยและสังคมไทยสถิต นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่าคนจำนวนมาก รอความเปลี่ยนแปลง ความไม่พอใจของคนจำนวนมาก จะจุดประเด็นได้ ตอนนี้น่าจะเรียกได้เป็น waiting game และเป็น “การเมืองตัวแทน” politics of nominees เสียมากกว่า “ตัวเอก ฉากเอก เวลาจริง” ยังไม่ถึง ยังไม่ออก
จะถึงขั้นก่อจลาจล เหมือนภาพที่เกิดในต่างประเทศหรือไม่
เป็นไปได้ เพราะสิ่งที่คนพูดถึง “กาลียุค” ก็เกิดขึ้นได้ แม้กระทั่งโพธิรักษ์ เมื่อเริ่มการเคลื่อนไหวหลัง 7 คนถูกจับไม่นานนี้ ท่านก็ใช้คำว่ากาลียุค ดังนั้น เผลอๆ คนจำนวนมาก กำลัง “รอ” ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และอะไรจะเกิดขึ้น จริงๆแล้ว “กาลียุค” ไม่ได้แปลว่า “สิ้นสุด” แปลว่า “จบ” แปลว่า the end แต่มีความหมายมากกว่านั้น คือ “ยุคใหม่ สมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้น”
ฉะนั้น จะต้องมีความปั่นป่วน มีจลาจล มีการเสียเลือดเนื้อ แล้วถึงจะมีสิ่งใหม่เกิด อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดมาตั้งแต่สมัย “พระเวท” เป็นความเชื่อทางศาสนาฮินดู พราหมณ์ ที่เป็นศาสนาเก่าแก่และใหญ่ที่สุดศาสนาหนึ่ง
ในความเชื่อแบบนี้ ที่ก็แทรกเข้ามาในพุทธศาสนาด้วยนั้น จะปรากฏอยู่ในตำนานของ “ศิวนาฏราช” ที่ทรงเริงระบำเต้นอยู่เหนือหน้าบันของปราสาทพนมรุ้ง เหนือปราสาทพระวิหาร ที่พระอิศวรจะทรงทำลายล้าง บังเกิดมีเจ้าแม่กาลี (ปางหนึ่งของพระอุมา) ขึ้นมาเผด็จยุคเก่าสมัยเก่าให้สิ้นซากไป แล้วเบื้องล่างตรงทับหลัง พระนารายณ์อนันตศายิน ก็จะบันดาลให้ดอกบัวผลุดออกมาจากพระนาภี จากสะดือ บานออกเผยให้เห็น “พระพรหม” ที่จะสร้างโลกใหม่สมัยใหม่ในบั้นปลาย.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เส้นบรรจบพรมแดน และคำถามถึงความมั่นใจของรัฐบาลไทย กลัวทำไมกับสหประชาชาติ-ศาลโลก?
โดย สรกล อดุลยานนท์
ผมมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง
นาย ก.มีเพื่อนบ้านชื่อนาย ข.
ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องที่ดิน 4.6 ตารางเมตรที่อยู่ระหว่างกลาง
นิดเดียวเมื่อเทียบกับพื้นที่บ้าน 1 ไร่ของนาย ก.และนาย ข.
เถียงกันอยู่นานหลายปีว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้
นาย ก.ก็อ้างว่ามีหลักฐานชัดเจน
ส่วนนาย ข.ก็เถียงว่าหลักฐานของเขาน่าเชื่อถือกว่า
เถียงกันไปเถียงกันมาจนทะเลาะและลงมือลงไม้กัน
สุดท้าย "นาย ข." บอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปให้ "ผู้ใหญ่บ้าน" เป็น "คนกลาง" ในการเจรจา และถ้าความขัดแย้งยังไม่ยุติก็จะนำเรื่องฟ้องศาล
แต่นาย ก.ไม่ยอม บอกว่ายังไงก็ต้องคุยกัน 2 คน
ปัญหาของเรา 2 คน จะไปแจ้งความให้คนอื่นมายุ่งได้อย่างไร
น่าแปลกที่ นาย ก.ซึ่งอ้างตลอดว่ามีหลักฐานยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเขา
ชัดเจนที่สุด ถูกต้องที่สุด สู้อย่างไรก็ต้องชนะ
แต่นาย ก.กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด ไม่ยอมให้ใครมาเป็น "คนกลาง"
ในขณะที่นาย ข.กลับเรียกหา "คนกลาง" และขู่ฟ้องศาลตลอด
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
มันน่าจะมีแค่ 2 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ นาย ข.ตัวเล็กกว่านาย ก. ขืนเจรจาแบบตัวต่อตัวต่อไป
โอกาสที่จะเจ็บตัวมีมากกว่า
การดึง "คนกลาง" เข้ามา จะช่วยให้เขาลดความเสียเปรียบลง
สาเหตุที่สอง นาย ข.ต้องมั่นใจใน "หลักฐาน" ของเขามากจึงกล้าให้คนอื่นมาร่วมตัดสิน
ซึ่งหาก นาย ก.มั่นใจในหลักฐานของตนเองเหมือนกับที่พูด
เขาก็ต้องไม่กลัวที่จะขึ้นศาล
แต่นาย ก. กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด
ปฏิเสธเรื่อง "คนกลาง" และการขึ้นศาล
ด้วย "ภาษาท่าทาง" ที่ นาย ก. แสดงออกมา
ใครๆ ก็อ่านออกว่าสิ่งที่พูด กับ "ความจริง" ที่อยู่ในใจ นาย ก.นั้นตรงข้ามกัน
เขาไม่ได้มั่นใจในหลักฐานเหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์มา
ครับ ถ้าผมเป็นนาย ก. ที่ไม่มั่นใจในหลักฐานของตัวเอง
กลัวว่าขึ้นศาลเมื่อไร จะแพ้คดี และเสียที่ดิน 4.6 ตารางเมตรไป
ยุทธศาสตร์ที่ควรทำก็คือ อย่าไปเถียงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของเรา
แต่ต้องบอกว่าเป็น "พื้นที่ทับซ้อน"
เปลี่ยนจาก "ของข้า-ของเอ็ง"
มาเป็น "ของเรา"
และใช้ความสัมพันธ์ที่ดี คุยกับนาย ข.ว่าเมื่อต่างคนต่างคิดว่าเป็นของตัวเอง
เถียงไปก็เหนื่อยเปล่าๆ
ที่ดินก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
เรามาปลูกต้นไม้ เป็นกำแพงสีเขียวกั้นบ้านเรากันดีกว่า
ไม่ต้องสนใจว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร แต่แน่ๆ ก็คือเราได้พื้นที่สีเขียวร่วมกัน
คนฉลาดควรจะทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ??
วันก่อน อ่านคอลัมน์ "เทศมองไทย" ใน "มติชนสุดสัปดาห์" เล่มใหม่ ผมชอบทรรศนะของนักการทูตอาวุโสคนหนึ่ง
เขาบอกว่า "เส้นเขตแดน" ไม่ควรจะหมายความว่าเส้น "แบ่ง" เขตแดนระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง
แต่ควรจะเป็นการ "บรรจบ" กันของเขตแดน
แม้จะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เมื่อใช้ "คำ" ที่แตกต่างกัน "ความรู้สึก" ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ถ้าเราคิดแบ่ง ก็ต้องมีคนได้และคนเสีย
มีแต่ "ความทุกข์"
แต่ถ้าเราคิดจะหาเส้นที่บรรจบกัน
เราจะมีแต่ "ความสุข"
ครับ คนไทยโชคดีที่ได้ "อภิสิทธิ์" เป็นนายกฯ
จริงหรือ????
ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ผมมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง
นาย ก.มีเพื่อนบ้านชื่อนาย ข.
ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องที่ดิน 4.6 ตารางเมตรที่อยู่ระหว่างกลาง
นิดเดียวเมื่อเทียบกับพื้นที่บ้าน 1 ไร่ของนาย ก.และนาย ข.
เถียงกันอยู่นานหลายปีว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้
นาย ก.ก็อ้างว่ามีหลักฐานชัดเจน
ส่วนนาย ข.ก็เถียงว่าหลักฐานของเขาน่าเชื่อถือกว่า
เถียงกันไปเถียงกันมาจนทะเลาะและลงมือลงไม้กัน
สุดท้าย "นาย ข." บอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปให้ "ผู้ใหญ่บ้าน" เป็น "คนกลาง" ในการเจรจา และถ้าความขัดแย้งยังไม่ยุติก็จะนำเรื่องฟ้องศาล
แต่นาย ก.ไม่ยอม บอกว่ายังไงก็ต้องคุยกัน 2 คน
ปัญหาของเรา 2 คน จะไปแจ้งความให้คนอื่นมายุ่งได้อย่างไร
น่าแปลกที่ นาย ก.ซึ่งอ้างตลอดว่ามีหลักฐานยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเขา
ชัดเจนที่สุด ถูกต้องที่สุด สู้อย่างไรก็ต้องชนะ
แต่นาย ก.กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด ไม่ยอมให้ใครมาเป็น "คนกลาง"
ในขณะที่นาย ข.กลับเรียกหา "คนกลาง" และขู่ฟ้องศาลตลอด
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
มันน่าจะมีแค่ 2 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ นาย ข.ตัวเล็กกว่านาย ก. ขืนเจรจาแบบตัวต่อตัวต่อไป
โอกาสที่จะเจ็บตัวมีมากกว่า
การดึง "คนกลาง" เข้ามา จะช่วยให้เขาลดความเสียเปรียบลง
สาเหตุที่สอง นาย ข.ต้องมั่นใจใน "หลักฐาน" ของเขามากจึงกล้าให้คนอื่นมาร่วมตัดสิน
ซึ่งหาก นาย ก.มั่นใจในหลักฐานของตนเองเหมือนกับที่พูด
เขาก็ต้องไม่กลัวที่จะขึ้นศาล
แต่นาย ก. กลับท่องคาถา "ทวิภาคี" ตลอด
ปฏิเสธเรื่อง "คนกลาง" และการขึ้นศาล
ด้วย "ภาษาท่าทาง" ที่ นาย ก. แสดงออกมา
ใครๆ ก็อ่านออกว่าสิ่งที่พูด กับ "ความจริง" ที่อยู่ในใจ นาย ก.นั้นตรงข้ามกัน
เขาไม่ได้มั่นใจในหลักฐานเหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์มา
ครับ ถ้าผมเป็นนาย ก. ที่ไม่มั่นใจในหลักฐานของตัวเอง
กลัวว่าขึ้นศาลเมื่อไร จะแพ้คดี และเสียที่ดิน 4.6 ตารางเมตรไป
ยุทธศาสตร์ที่ควรทำก็คือ อย่าไปเถียงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของเรา
แต่ต้องบอกว่าเป็น "พื้นที่ทับซ้อน"
เปลี่ยนจาก "ของข้า-ของเอ็ง"
มาเป็น "ของเรา"
และใช้ความสัมพันธ์ที่ดี คุยกับนาย ข.ว่าเมื่อต่างคนต่างคิดว่าเป็นของตัวเอง
เถียงไปก็เหนื่อยเปล่าๆ
ที่ดินก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
เรามาปลูกต้นไม้ เป็นกำแพงสีเขียวกั้นบ้านเรากันดีกว่า
ไม่ต้องสนใจว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร แต่แน่ๆ ก็คือเราได้พื้นที่สีเขียวร่วมกัน
คนฉลาดควรจะทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ??
วันก่อน อ่านคอลัมน์ "เทศมองไทย" ใน "มติชนสุดสัปดาห์" เล่มใหม่ ผมชอบทรรศนะของนักการทูตอาวุโสคนหนึ่ง
เขาบอกว่า "เส้นเขตแดน" ไม่ควรจะหมายความว่าเส้น "แบ่ง" เขตแดนระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง
แต่ควรจะเป็นการ "บรรจบ" กันของเขตแดน
แม้จะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เมื่อใช้ "คำ" ที่แตกต่างกัน "ความรู้สึก" ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ถ้าเราคิดแบ่ง ก็ต้องมีคนได้และคนเสีย
มีแต่ "ความทุกข์"
แต่ถ้าเราคิดจะหาเส้นที่บรรจบกัน
เราจะมีแต่ "ความสุข"
ครับ คนไทยโชคดีที่ได้ "อภิสิทธิ์" เป็นนายกฯ
จริงหรือ????
ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)