--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เป็น “สะตอสามัคคี” พันธุ์แท้!!

เป็น “สะตอสามัคคี” พันธ์ุแท้!!
ยอดนักการเมือง สส. ๑๓ สมัย รัฐมนตรีหลายกระทรวง “ท่านสัมพันธ์ ทองสมัคร” ผู้แทนนครศรีธรรมราช ท่าจะแย่??
เมื่อแก้รัฐธรรมนูญ แบ่งเขตเรียงเบอร์.. “นครศรีธรรมราช” เป็น ๑ ใน ๒๕ จังหวัด โดนเจี๋ยนหั่นเฉือนเก้าอี้ ส.ส. ไป ๑ ที่
กลุ่ม “ชินวรณ์ บุณยเกียรติ” รมว.ศึกษาฯ แข็งปึ๋ง.. กลุ่ม “วิทยา แก้วภารดัย” แข็งโป๊ก.. กลุ่ม “สุรเชษฐ์ มาศดิตถ์” น้องชาย “คุณหญิงแอ๋ว” สุพัตรา มาศดิตถ์ แข็งปั๋ง.. กลุ่ม “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” แข็งปึก.. และ กลุ่ม “เทพไท เสนพงศ์” โทรโข่ง “นายกฯอภิสิทธิ์” ใครจะโยกลงล่ะพี่
เหลือแต่ “สัมพันธ์ ทองสมัคร” ที่หัวเดียวกระเทียมลีบ..ถูกเขาบีบและกดดัน ไม่ให้ลงสส.
กลุ่มอื่นคิดใช้พวกมากลากไป...โปรดใจรู้ไว้?..ว่านี่ผิดหลักประชาธิปไตย รูบ้างไหมหนอ?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เล่นการเมืองนอกระบบ!!
“โอบามาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, เดินตามก้น “ประธานาธิบดีบารัก โอมาบา” แห่งพรรครีพับลิกัน มีแต่ติดลบ???
และเพื่อความเป็นธรรม ในฐานะที่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” มีผลงานยอดเยี่ยมกระเทียมโทน ไปทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทาง “พรรคดีโมแครต” ..ศัตรูสำคัญ ของ “ท่านโอบามา” เตรียมเชิญ “ท่านทักษิณ ชินวัตร” ไปบรรยายที่สหรัฐ ยังสำนักงาน..
หน้า “นายกฯอภิสิทธิ์” คงต้องชากันมั่งละท่าน
โดยหวังเล่นนอกกรอบ เพื่อให้ “สหรัฐอเมริกา” ช่วยส่งตัว “อดีตนายกฯทักษิณ” เป็นผู้ร้ายข้ามแดน!!!
แต่ “พรรคดีโมแครต” ไม่เล่นด้วย...”มาร์ค” ทำท่าป่วย?..ถึงคราวซวย ที่เสียแผน??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปัญหา “ภาคใต้๓ จังหวัด” ยังตายเป็นรายวัน!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี นั่งงอมืองอเท้า แก้ปัญหาที่ไหนกัน??
หนำซ้ำยังส่งนักรบชั้นดี ๑ กองพล จำนวน ๘๐๐ นาย ไปรบยังประเทศซูดานกันเสร็จสรรพ
ดูจะไปก่อเรื่อง กินแหนงแคลงใจ กับ “โลกมุสลิม” เข้าให้อีก สิครับ
“ซูดาน” เป็นชาวมุสลิม ควรให้พี่น้องมุสลิม แก้ปัญหากันเอง จะดีกว่า..เหมือนเมื่อคราวเราไปยุ่งกับมุสลิม “ติมอร์” จนวันนี้ชาวมุสลิม เขาเกลียดไทย กันให้อื้อ!!
ภาคใต้ ๓ จังหวัด ที่มีแต่ห่ากระสุน...เพราะเราทำตัววุ่น?..จุ้นไปยุ่งกับโลกมุสลิมมิใช่หรือ?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“อิงตะวันตก”ใครก็มองออก!!
มิตรประเทศที่อยู่ไกลโพ้นทะเลนั้น ช่วยไทยเราไม่ได้ดอก??
อยากบอก “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถอนตัว เป็น “เบ๊” เดินตามตูด ของ “สหรัฐอเมริกา” เสียที
ท่านนำมา “ประเทศไทย” เผชิญหน้า กับ “จีน-รัสเซีย” ชาติจะป่นปี้
และเรื่องที่คุยน้ำไหลไฟดับ ว่า “รัฐบาลจีน” สนับสนุนให้สร้างรถไฟฟ้า..อย่าโม้ให้มาก..เพราะในยุคของ “รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร” หากไม่มีปฏิวัติ “๑๙ กันยาฯ” จีนก็สร้างรถไฟฟ้าให้ไทยใช้กันแล้ว...และเท่าที่รู้ “ผู้นำจีน” ประกาศลงทุนรถไฟฟ้า กับประเทศไทย เป็นชาติสุดท้าย ..โดยทางนั้น เขาประกาศมาอย่างแข็งกร้าว!!!
ก้อ “อภิสิทธิ์” อิงกับสหรัฐ....เขาก็เห็นชัด ๆ ..แล้วเรื่องอะไรจะดัดจริต ช่วยเรา???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เอะอะ..ขู่จะให้ “ยุบพรรค”!!!
อยากเห็น “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ลามลูกกะโล่สักหน่อย จะดีเป็นอันมากส์ส์??
“กระบวนการยุติธรรม” ทรงซึ่งความศักดิ์สิทธิ์...เรื่องที่จะให้คล้อยตาม ความเห็นของ “ลูกหาบหางเครื่อง “พรรคประชาธิปัตย์ คงจะเป็นไปไม่ได้
ทันทีที่ “พรรคเพื่อไทย” ออกมาแฉ ท่านก็ขู่ฟอด ๆ ให้ยุบพรรครอบที่ ๓ ทุก เที่ยวสิเจ้านาย
“ประชาธิปัตย์” ทำอะไรไม่เคยผิด!..แต่อย่าถึงขั้นประกาศตัว เที่ยวไปขู่ “ยุบพรรค” ตามอำเภอน้ำใจเลย ดูแล้วไม่ดี
ที่แน่ ๆเงิน ๒๕๘ ล้านท่านจะรอดตัว....แต่ที่เขากลัว?...ท่านจะถอนสายบัว ยุบสภาฯก่อนนะซี่???


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โดย:ตอดนิดตอดหน่อยการบูร, บางกอกทูเดย์

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

‘ทักษิณ’งดเข้าสหรัฐถูกบี้หนักหันใช้วิดีโอลิ้งค์ชี้แจงสลายเสื้อแดง

“ทักษิณ” เริ่มไม่ชัวร์บินเข้าสหรัฐชี้แจงสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงตามคำเชิญของซีเอสซีอี หลังถูกฝ่ายคุมอำนาจตามไล่บี้กดดันอย่างหนัก อาจเปลี่ยนใจใช้วิดีโอลิ้งค์ชี้แจงแทน “อภิสิทธิ์” ยอมรับคุยโทรศัพท์กับ “โอบามา” อ้างแค่สอบถามเรื่องไอแพด ไม่ได้ทวงเรื่องแลกเปลี่ยนตัวอดีตนายกฯกับ “วิคเตอร์ บูท” ส.ส.สมุทรปราการระบุการให้ข้อมูลที่แตกต่างจากรัฐบาลไม่ถือเป็นการทำลายประเทศ แต่เป็นการให้สังคมโลกรับรู้ข้อเท็จจริง แย้มชี้แจง 3 ประเด็นคือ การใช้อำนาจหลังการรัฐประหาร คดีความที่ถูกกล่าวหา และใช้อาวุธสงครามสลายการชุมนุมของประชาชน ผบ.ตร. สั่งเช็กตารางเข้า-ออกสหรัฐเพื่อทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

หลังออกมาเปิดเผยถึงกำหนดการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 16 ธ.ค. นี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการเดินทางไปตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ซึ่งมีสถานะเป็นองค์กรอิสระ มีสมาชิกประกอบด้วย ส.ส. 9 คน ส.ว. 9 คน ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากช่วงเดือน เม.ย. และ พ.ค. ที่ผ่านมา

“ทักษิณ” อาจใช้วิดีโอลิ้งค์ชี้แจงแทน

ล่าสุดมีรายงานข่าวแจ้งเข้ามาว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ตัดสินใจไม่เดินทางไปสหรัฐตามคำเชิญแล้ว แม้จะได้รับคำยืนยันเรื่องการออกวีซ่าเข้าประเทศได้ ทั้งนี้ เพราะตั้งแต่ข่าวการเดินทางถูกเผยแพร่ออกไปได้เกิดแรงกดดันขึ้นอย่างมาก โดยเป็นแรงกดดันที่พุ่งตรงมาที่ครอบครัวที่ยังอยู่ในประเทศไทยที่ได้รับคำเตือนว่ามีบางคนทนไม่ได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไปพูดเรื่องการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในสหรัฐ เพราะจะทำให้ภาพพจน์ของฝ่ายคุมอำนาจเสียหาย ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องใช้วิธีวิดีโอลิ้งค์เข้าไปพูดในเวทีสัมมนาของซีเอสซีอีแทน ทั้งนี้ ยืนยันว่าการไม่เดินทางไปสหรัฐไม่ได้เป็นเพราะเกรงว่าจะถูกจับตัวส่งกลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

ยังไม่รู้เวทีชี้แจงเป็นแบบไหน

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ยังไม่ทราบลักษณะงานที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณชี้แจงว่าจะเป็นการชี้แจงต่อสภาสหรัฐหรือว่าชี้แจงบนเวทีที่จัดในโรงแรม สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่สถานที่แต่อยู่ที่เนื้อหาและตัวบุคคลที่รับฟัง เพราะสมาชิกของซีเอสซีอีประกอบด้วยบุคคลชั้นนำของสหรัฐ

หัวข้อถูกกำหนดไว้กว้างๆ

“ซีเอสซีอีไม่ใช่เอ็นจีโอหรือว่ากลุ่มนักวิชาการ แต่เป็นองค์กรระดับแนวหน้าของสหรัฐ ตามหนังสือเชิญไม่ได้กำหนดหัวข้อชัดเจน เพียงแต่ระบุกว้างๆว่าให้ไปให้ข้อมูลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ทั้งจากการชุมนุมทางการเมืองและใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรีอาจพูดถึงแผนสร้างความปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยว่ามีความเป็นไปได้จริงหรือไม่” นายนพดลกล่าวพร้อมยืนยันว่า ไม่มีการล็อบบี้ซีเอสซีอีเพื่อขอเข้าชี้แจง เพราะหากทำได้เช่นนั้นจริงองค์กรเขาจะเสื่อมเสียมาก

ไม่มีปัญหาเรื่องวีซ่าเข้าสหรัฐ

นายนพดลยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับวีซ่าเข้าสหรัฐแล้ว โดยจะเดินทางไปถึงก่อนวันที่ 16 ธ.ค. เพราะต้องเข้าชี้แจงในวันที่ 16 ธ.ค.

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า เป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลตื่นเต้นกับการเดินทางเข้าสหรัฐของ พ.ต.ท.ทักษิณมาก และพยายามดิ้นรนที่จะให้สหรัฐจับตัวส่งกลับประเทศไทยทั้งที่ไม่เข้าข่ายสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้หลบหนีไปอาศัยในสหรัฐ แต่เป็นการเดินทางไปตามคำเชิญ ซึ่งการได้รับคำเชิญครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐสนใจปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เอาอาวุธสงครามมาสลายการชุมนุมของประชาชน

ให้ข้อมูลอีกด้านไม่ได้ทำร้ายประเทศ

“อดีตนายกฯไปให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่รัฐบาลปกปิดไว้ ไม่ใช่การไปทำลายประเทศอย่างที่พูดกัน” นายประชากล่าวพร้อมแสดงความเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปตามคำเชิญแน่นอน เพราะการไปในลักษณะนี้น่าจะได้รับความคุ้มครอง หากเป็นการหลอกไปจับตัวเพื่อส่งให้ไทยสังคมโลกจะตั้งคำถามกับสหรัฐและไทย

รายงานข่าวระบุว่า ประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดต่อซีเอสซีอีประกอบด้วย 1.การใช้อำนาจของรัฐบาลหลังเกิดการรัฐประหาร 2.คดีความ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกกล่าวหา และ 3.ข้อมูลการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง

“มาร์ค” คุย “โอบามา” เรื่องไอแพด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ได้มีการพูดคุยกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ก่อนหน้านี้ แต่เป็นการสอบถามเรื่องไอแพด ไม่ได้คุยกันเรื่องการแลกเปลี่ยนตัวนายวิคเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย กับ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้กำลังรอคำยืนยันอย่างเป็นทางการอยู่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับคำเชิญจริงหรือไม่ หากได้รับคำเชิญจริงก็เป็นเรื่องปรกติและเป็นสิทธิของสหรัฐ ไม่ถือว่าก้าวก่าย แทรกแซง หรือว่าตบหน้ารัฐบาลไทย ในส่วนของรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจำเป็นต้องส่งคนหรือทำเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็รายงานสถานการณ์ให้สหรัฐรับทราบเป็นระยะอยู่แล้ว

รัฐบาลเฝ้าดูสถานการณ์

“กรณีนี้คงได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ ทำอะไรไม่ได้ ส่วนเรื่องการขอตัวกลับไทยก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน” นายปณิธานกล่าว

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า กำลังตรวจสอบความชัดเจนเรื่องวีซ่าเข้าและออกจากสหรัฐของ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะเข้าไปเมื่อไรและกลับออกมาเมื่อไร หากมีความชัดเจนจะประสานไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป

นายศิริศักดิ์ ติยะพันธ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวว่า ตามขั้นตอนขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน กระทรวงการต่างประเทศต้องรู้ที่อยู่ที่ชัดเจนของ พ.ต.ท.ทักษิณก่อนประสานมายังอัยการเพื่อทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

คุณพระช่วย!!!

ปชป.รอดตายเพราะ ‘ยาหมดอายุ’

ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา..ในคดีที่นายทะเบียน พรรคการเมืองได้ยื่นให้ศาลท่านสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดย ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้จัดทำรายงานค่า ใช้จ่ายของพรรคให้ถูกต้องตามความเป็นจริง..ซึ่งชาวบ้านร้านตลาดต่างปูเสื่อข้ามคืน นอนรอฟังผลแห่งคดีดังกล่าวกันค่อนประเทศ..

หลังจาก “กิตินันท์ ธัชประมุข” อัยการพิเศษทนายของฝ่ายผู้ร้อง (กกต.) ได้ร่ายยาวถึงข้อเท็จจริงแห่งคดี..ก็ทำเอา แฟนคลับ ปชป.ที่ติดตามการถ่ายทอดสด ทางทีวีถึงกับนั่งกันก้นไม่ติดพื้น..

แต่พอท่านอดีตนายกรัฐมนตรี “ชวน” ผู้ไม่เคยหลบภัยได้แถลงปิดคดีด้วยวาจาเท่านั้นแหล่ะครับ...ทุกคนในห้อง พิจารณาคดีเหมือนต้องมนต์สะกดนะจังงัง.. น้ำตาคลอเบ้ากันโดยไม่รู้ตัว.. ทุกคนต่างซาบซึ้ง สงสารพรรคเก่าแก่ที่สุดของแผ่นดินไทย..

ว่าใครกันหนอ?? ช่างใจดำอำมหิตก่อตั้งขบวนการทั้งกด..ทั้งดัน..“กกต.” และกระทำการข่มขู่ “ศาล รธน.” หวังเจาะไข่แดงท่านประธานศาล..ด้วยการแอบ ถ่าย “คลิปร้อน”

แต่หลังจากท่าน “อุดมศักดิ์ นิติมนตรี” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เป็นตัวแทนขององค์คณะฯ อ่านคำคำวินิจฉัยเท่านั้นแหละ!!! ทุกคนก็ถึง “บางอ้อ”.. เพราะกระบวนการยื่นคำร้องยุบ ปชป.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย..

ด้วยเหตุที่ กกต.นั้นตายน้ำตื้น.. ดันไป “ยื่นคำร้องล่าช้า” เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนดนะจ๊ะจะบอกให้?!?! มติเสียง ข้างมากขององค์คณะตุลาการศาล รธน. จึงออกมา 4 ต่อ 2 ให้ “ยกคำร้อง”.. ส่วนประเด็นอื่นๆ ก็พลอยถูกสอยร่วงไม่ต้องนำมาวินิจฉัยไปโดยปริยาย..

อันที่จริงหลังจาก “คลิปแห้ว” ไม่สามารถระคายผิวอันอยู่ยงคงกระพันของ พรรคประชาธิปัตย์ลงได้.. ทุกคนก็พอรู้แล้ว ว่า “ปชป.” จะต้องเป็นพรรคตัวยืนของประเทศไทยไปอีกนานแสนนาน..

แต่ “กระบี่ปราบมาร” เองก็ไม่นึกไม่ถึงว่าคดีประวัติศาสตร์ทางการเมืองของ ไทยที่มี “พ.ร.บ.พรรคการเมือง ปี 2550” ที่เปรียบเสมือนตะแกงอันทรงพลัง..นั้นถูก สร้างมาเพื่อเอาไว้คัดกรองนักการเมือง “น้ำเน่า”.. มันจะจบลงเหมือน “ละครหลังข่าว”

ราวกับว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ที่รอลุ้นการถูก “ยุบพรรค” เมื่อต้นสัปดาห์ ที่ผ่านมานั้น..เหมือนจะมีใครบางคนหรือไม่??? ที่มีญาณวิเศษ “ฝัน” เห็นผลแห่งคดีจากการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะออกมาเป็นเช่นใด???

ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์อะไรหรอกครับท่านผู้อ่าน..แต่ไม่เชื่อก็อย่าได้ลบหลู่ เป็นอันขาด..เพราะคู่ความครั้งนี้ระหว่างผู้ร้อง “กกต.” กับผู้ถูกร้อง “ปชป.” นั้นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย..

แต่สิ่งที่ทุกคนรอคอยอย่างใจจด ใจจ่อนั้น.. ผลการวินิจฉัยของกรรมการบนเวทีกลับจับ “กกต.มุมแดง” แพ้ฟาวล์เพราะน้ำหนักเกินพิกัดไปซะอย่างงั้น!!! เล่นทำเอา “ปชป.มุมน้ำเงิน” ที่รูปร่าง ผอมแห้งบักโกรกยืนหน้าซีดรอการชกอยู่นั้น..ถึงกับอ้าปากค้างงุนงงในชัยชนะของตนเอง..

อ้าว!!! พวกเราชาวค่าย “มาร์ค หน้าหมองลูกพระแม่ธรณี” ชนะแล้ว หรือนี่?!?!

“กระบี่ปราบมาร” เห็นท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เดินลงจากบันไดศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ..ไม่เป็น “มาร์คหน้าใส” ตามที่คาดการณ์ไว้.. ก็คงพอจะรู้แล้วว่าหลังจากนี้คงเกิด “สงครามยืดเยื้อ” ระหว่างรัฐบาลกับซีกฝ่ายค้านอีกยาวนานแน่นอน.. เพราะวันนี้สังคมไทยบางส่วนกำลังจับจ้องมองเรื่อง 2 มาตรฐานกันอย่าง ไร้สติ..

แต่ในความเป็นจริงนั้น “เมืองไทย” มีอยู่เพียงมาตรฐานเดียว..มันเป็นมาตรฐานของคนที่มี “อำนาจ” เท่านั้นครับ...


ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สู้ความจริง

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะเดินทางไปสหรัฐวันที่ 16 ธันวาคม ตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนที่มีสมาชิกประกอบด้วย วุฒิสมาชิก 9 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐสภาสหรัฐ 9 คน จากทุกพรรคการเมือง รวมทั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศและผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ เพื่อให้การและพยานหลักฐานรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิต 91 คน และบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน

นอกจากนั้นคณะกรรมาธิการยังต้องการติดตามปัญหาและเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อสารมวลชน หลังการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

นายธานี ทองภักดี รักษาการโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวมาที่กระทรวงแล้ว ซึ่งองค์กรซีเอสซีอีเป็นองค์กรอิสระ ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเข้าสหรัฐได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลสหรัฐจะพิจารณา

สำหรับเรื่องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นก็ต้องขึ้นกับอัยการสูงสุดที่รับผิดชอบโดยตรงว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ก็อาจเป็นโอกาสดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งให้กับสมาชิกระดับสูงของสหรัฐ ที่มีทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ แทนที่จะมีแต่คำชี้แจงจากฝ่ายรัฐบาล ซึ่งสหรัฐคงไม่เชื่อฝ่ายใดง่ายๆ

ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าสหรัฐเองก็มีข้อมูลจากหน่วยงานด้านการข่าวและสถานเอก
อัครราชทูตในไทย ซึ่งอาจมีข้อมูลมากกว่าที่ปรากฏเป็นข่าวมากมาย

ดังนั้น ถ้ามองในแง่ดีการไปชี้แจงของ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเป็นผลดีกับประเทศไทยที่ยืนยันว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตยซ่อนรูปที่ยังอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการอย่างที่ถูกเผยแพร่ตามเว็บไซต์ต่างๆ

ที่สำคัญความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรม ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องยอมรับความจริง แก้ปัญหาบ้านเมืองอย่างมีสติ และหนักแน่นเที่ยงตรง อย่างมีเหตุมีผล ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ให้ยึดมั่นผลประโยชน์ของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

"นพดล"ยัน"ทักษิณ"ไม่หวั่นไปสหรัฐฯจะถูกรวบตัว

"นพดล" ยัน พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปตามคำเชิญของ ซีเอสซีอี อย่างแน่นอน พร้อมไม่หวั่นใจ เรื่องสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ระหว่างไทยและสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงประเมินสถานการณ์แล้วว่า ควรเดินทางไปหรือไม่

ภายหลังจากมีกระแสข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ตามคำเชิญของ ซีเอสซีอี ที่มีสมาชิกประกอบไปด้วยวุฒิสมาชิก 9 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของรัฐสภาสหรัฐ 9 คน จากทุกพรรคการเมือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา เพื่อไปให้การในฐานะพยาน ในการไต่สวนกลางเดือนธันวาคม นี้ ที่ กรุงวอชิงตัน เกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทย โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์การปราบปราม และสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ผ่านมา ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก

ในเรื่องนี้ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยืนยัน ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปตามคำเชิญของ ซีเอสซีอี อย่างแน่นอน พร้อมกันนี้ ยังไม่หวั่นใจ เรื่องสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ระหว่างประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งนี้ ต้องสอบถามไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง อีกทั้งยังรู้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงประเมินสถานการณ์แล้วว่า ควรเดินทางไปหรือไม่

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปิดจดหมายกมธ.สหรัฐฯเชิญทักษิณให้การ


แปลโดย คุณดวงจำปา
ที่มา เวบไซต์ internetfreedom

23 พฤศจิกายน 2553

ทักษิณ ชิณวัตร
ในความดูแลของ แอนดรู เจ เดอร์โควิค
สำนักงานกฎหมาย แอมสเตอร์ดัม และ เพอร์รอฟ
ตึก โฮเมอร์
601 ถนนสิบสาม, ตะวันตกเฉียงเหนือ, ชั้นที่ 11 ทางใต้
กรุงวอชิงตัน, ดีซี 20005

เรียน คุณทักษิณ:

ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (คณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ), ข้าพเจ้าได้เขียนหนังสือเชื้อเชิญคุณ เพื่อ กล่าวคำให้การในการประชุมเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย,​ ด้วยหัวข้อ “ประชาธิปไตย, ธรรมาภิบาล, และสิทธิมนุษยชน ของประเทศไทย,” ในวันที่ 16 ธันวาคม คริสต์ศักราช 2010, เวลา 15:00 น. สถานที่การประชุมนั้นจะยืนยันให้ทราบในอีกครั้งในไม่ช้านี้.

ในฐานะที่เป็นพันธมิตรของความร่วมมือในภาคพื้นเอเซียกับองค์กรเกี่ยวกับความมั่นคงและความร่วมมือในภาคพื้นยุโรป, ความคืบหน้าภายในประเทศไทย, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปราบปรามผู้ประท้วงชุมนุมในกรุงเทพมหานครที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้, เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งต่อคณะกรรมาธิการเฮลซิงกิ.

เมื่อไม่นานมานี้, กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ส่งเรื่องยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ, โดยอ้างเหตุผลว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, มีความผิดในเรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติระหว่างการปราบปราม.

ในการประชุมครั้งนี้, เราต้องการที่จะได้ยินมุมมองของท่านเกี่ยวกับสถานการณ์ของสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย, รวมไปถึงอิสรภาพของสื่อมวลชนและอิสรภาพต่อการแสดงความคิดเห็น, ความพยายามของทางฝ่ายรัฐบาลไทยที่จะผ่อนคลายสถานการณ์ที่ไม่สงบทางภาคใต้, และ ต้องให้ทางประเทศสหรัฐอเมริกาและนานาอารยะประเทศ, รวมไปถึงคณะกรรมาธิการว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป, สามารถช่วยเหลือ แก้ไขสถานการณ์ทางสิทธิมนุษยชนและให้ความมั่นใจถึงเรื่อง กระบวนการเลือกที่เป็นเสรีภาพและยุติธรรม ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร.

เราขอร้องให้อธิบายรายงานของท่านเป็นเวลาประมาณ 7-10 นาที. ท่านสามารถเรียกร้องในการขอเวลามากกว่านี้ โดยการส่งเอกสาร เป็นลายลักษณ์อักษรและเนื้อหาสาระเพิ่มเติม ซึ่งท่านเห็นสมควร เพื่อการถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ.

คณะกรรมาธิการจะมีความยินดีเป็นอย่างมาก ถ้าท่านสามารถส่งเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในรูปแบบของเป็นไฟล์ (ทางอีเมล์) ก่อนสิ้นสุดเวลาทำงานของทางการ ในวันอังคารที่ 14 ธันวาคม, เพื่อสำเนาจะได้ถูกส่งล่วงหน้าไปยังคณะกรรมาธิการ และ สำเนาอื่นๆ นั้น จะได้จัดพิมพ์ไว้กับทางสาธารณชนได้เห็นกันในการประชุมครั้งนี้.

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้ยินมุมมองของคุณในเรื่องสำคัญนี้และยินดีต้อนรับการมีส่วนร่วมของคุณในการประชุมครั้งนี้. คุณแชลี่ แฮน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ จะเป็นผู้ประสานงานเตรียมพร้อมในการประชุมครั้งนี้.

กรุณาติดต่อเธอได้ทุกเวลาที่ท่านต้องการโดยโทรศัพท์หมายเลข (202) 225-1901 หรือทางอีเมล์ ที่ Shelly.han@mail.house.gov ถ้าต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม.

ขอแสดงความนับถือ


เบนจามิน ไอ คาร์ดิน, สมาชิกวุฒิสภาประเทศสหรัฐอเมริกา
ประธานคณะกรรมาธิการ

แหล่งที่มาของข่าว.ไทยอีนิวส์
**************************************************************************

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รายงานข่าวด่วน "ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์" ถูกจับกุมตัวที่กรุงลอนดอน ด้านเว็บดังแถลงจะไม่หยุดแพร่ข้อมูล

โฆษก "วิกิลีกส์" ยันไม่หยุดแพร่ข้อมูลแม้ผู้ก่อตั้งถูกจับ

ภายหลังจากนายจูเลียน แอสเซนจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ นายคริสติน ฮราฟน์สสัน โฆษกของเว็บไซต์ดังกล่าว ได้แสดงความเห็นว่า การจับกุมตัวนายแอสเซนจ์ถือเป็นการคุกคามเสรีภาพสื่อ แต่เว็บไซต์ของพวกตนจะไม่ยอมหยุดเผยแพร่ข้อมูลลับที่มีอยู่ในมือเป็นอันขาด

"วิกิลีกส์มีสถานะเป็นปฏิบัติการ ดังนั้น เราจึงยังคงมุ่งหน้าไปตามวิถีทางเดิมที่ถูกวางไว้ก่อนหน้านี้" โฆษกวิกิลีกส์กล่าวและว่า "พัฒนาการใดๆ ที่ข้องเกี่ยวกับแอสเซนจ์จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง และแผนการของเราก็คือการปล่อยข้อมูลออกไปในวันนี้และวันข้างหน้า"

ฮราฟน์สสันเปิดเผยด้วยว่า ทีมงานจัดทำเว็บไซต์วิกิลีกส์ ได้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มทั้งในลอนดอน และสถานที่ลึกลับอื่นๆ

ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้สนับสนุนนายแอสเซนจ์ ได้ร่วมตัวกันยื่นจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีจูเลีย กิลลาร์ด แห่งออสเตรเลีย ประเทศที่ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์เป็นพลเมืองอยู่ ยื่นมาเข้ามาช่วยปกป้องเขา

บีบีซีรายงานข่าวด่วน "ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์" ถูกจับกุมตัวที่ลอนดอน

สำนักข่าวบีบีซีรายงานข่าวด่วนว่า นายจูเลียน แอสเซนจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ได้ถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้ นายแอสเซนจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี ได้เคยปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเขาล่วงละเมิดทางเพศสตรี 2 ราย ในประเทศสวีเดน

เจ้าหน้าที่ตำรวจสก๊อตแลนด์ยาร์ดระบุว่า นายแอสเซนจ์ถูกจับกุมตัวด้วยหมายจับของสหภาพยุโรป หลังจากได้นัดพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ สถานีตำรวจในกรุงลอนดอน เมื่อเวลา 9.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของอังกฤษ หรือ 16.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

โดยผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์จะต้องขึ้นให้การในศาลแขวงเขตเวสต์มินสเตอร์ต่อไป และคาดว่าศาลอาจต้องใช้เวลาหลายเดือน ในการพิจารณาว่าจะส่งตัวนายแอสเซนจ์ไปยังประเทศสวีเดนหรือไม่

ทั้งนี้ นายแอสเซนจ์ ถูกกล่าวโทษจากทางการสวีเดนว่า เขาเคยบีบบังคับสตรีให้ร่วมเพศอย่างผิดกฎหมาย 1 ครั้ง ทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อสตรี 2 ครั้ง และทำการข่มขืนสตรีอีก 1 ครั้ง โดยการกล่าวหาทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

เจ้าของ "วิกิลีกส์" เตรียมให้ปากคำตำรวจอังกฤษ เผยโดนธนาคารสวิส "อายัดบัญชี"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หมายจับตัว "นายจูเลียน แอสเซนจ์" เจ้าของเว็บไซต์วิกิลีกส์ ของสหภาพยุโรป ได้ถูกส่งมายังทางการอังกฤษ ประเทศซึ่งถูกเชื่อว่าเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของนายแอสเซนจ์ แล้วเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา

โดยนายมาร์ค สตีเฟนส์ ทนายความประจำประเทศอังกฤษของนายแอสเซนจ์ เปิดเผยว่า เขาและลูกความกำลังดำเนินการนัดหมายเพื่อเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยความยินยอมพร้อมใจ เพื่อนำไปสู่กระบวนการการให้ปากคำที่จำเป็น

ทั้งนี้ ทางการสวีเดนได้ออกหมายจับตัวนายแอสเซนจ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อจะสอบสวนถึงกรณีที่ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์มีความเชื่อมโยงกับข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ แต่หมายจับดังกล่าวกลับเป็นโมฆะด้วยปัญหาขั้นตอนการยื่นเอกสาร ส่งผลให้สวีเดนได้ออกหมายจับครั้งใหม่อีกหนหนึ่งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ธนาคารโพสต์ไฟแนนซ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ของธนาคารว่า นายแอสเซนจ์ได้แจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับแหล่งพำนักของตนเองแก่ธนาคาร ในระหว่างขั้นตอนการขอเปิดบัญชี

"แอสเซนจ์ระบุว่าเมืองเจนีวาเป็นแหล่งพำนักของเขา แต่จากการสืบสวน เราพบว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จ เมื่อแอสเซนจ์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขามีแหล่งพำนักในประเทศสวิตเซอร์แลนด์จริง ดังนั้น เขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นลูกค้าของเรา ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีสิทธิที่จะปิดบัญชีเงินฝากของเขา" ธนาคารโพสต์ไฟแนนซ์ระบุ

จากกรณีดังกล่าว เว็บไซต์วิกิลีกส์ระบุว่า ทางเว็บไซต์และนายแอสเซนจ์จะสูญเสียเงินฝากจำนวน 100,000 ยูโร

ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************

ใช้อำนาจรัฐ-สลายแดงแม้วแจงมะกัน

คมชัดลึก :เผย"ทักษิณ"เตรียมประเด็น ใช้อำนาจของรัฐบาลหลังเกิดการรัฐประหาร คดีความ"ทักษิณ" ถูกกล่าวหา และข้อมูลการใช้กำลังทหารสลายม็อบเสื้อแดงแจงกมธ.สหรัฐ โดยล็อบบี้ยีสต์คอยประสานอย่างใกล้ชิด ตร.สั่งตรวจวีซ่าทักษิณเข้าอเมริกา

นายประชา ประพพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกมธ.กฏหมายการยุติรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฏร์ กล่าวกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปชี้แจงและให้ข้อมูลที่สหรัฐจากกรณีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในประเทศไทยว่า ขณะนี้รัฐบาลค่อนข้างตื่นเต้นกับข่าวนี้มากและมีการพูดไปถึงขั้นว่าจะมีการขอให้สหรัฐอเมริกาส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตนในฐานะเป็นประธานกมธ.ฯมองว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังไม่เข้าข่ายสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพราะไม่มีการหลบหนีไปสหรัฐโดยพลการ แต่การที่สหรัฐเชิญพ.ต.ท.ทักษิณไปให้ข้อมูลนั้นสหรัฐก็เป็นประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอีกประเทศหนึ่ง ที่กำลังจับตาการล่วงละเมิดสิทธิในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการสลายการชุมนุมโดยใช้กำลังทหารหรืออาวุธความรุนแรงทำให้คนบาดเจ็บจำนวนมาก

ที่ผ่านมาไทยถูกจัดอันดับประเทศละเมิดสิทธิค่อนข้างสูงประกอบกับทักษิณเป็นอดีตผู้นำที่พาประเทศไทยเข้าสู่เวทีโลกและมั่นใจว่าการให้ข้อมูลของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการทำลายประเทศไทย แต่เเป็นการให้ข้อเท็จจริงในอีกมุมหนึ่ง ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการแเบคเมล์ส่งตัวกลับนั้นพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กังวลเรื่องนี้และคาดว่าจะตัดสินใจไปแน่นอนและเชื่อว่าการเชิญของสภาคองเกรสมีกฏหมายรธน.อเมริกาคุ้มครอง ตนในฐานะกมธ.อาจเดินทางไปสังเกตการณ์ด้วย

" หากมีการควบคุมพ.ต.ท.ทักษิณสังคมโลกก็จะรู้ถึงความไม่เป็นปชต.และการใช้อำนาจของรัฐบาลชุดนี้ " นายประชา กล่าว

แหล่งข่าวระบุว่า การเดินทางไปสหรัฐของพ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ได้มีล็อบบี้ยีสต์คอยประสานในประเด็นที่จะพูดคือ การใช้อำนาจของรัฐบาลหลังเกิดการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ คดีความพ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกกล่าวหา และข้อมูลการใช้กำลังทหารสลายการชุมุนมเสื้อแดง

ตร.สั่งตรวจวีซ่าทักษิณเข้าอเมริกา

เมื่อเวลา 12.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานที่อยู่รวมทั้งการขอวีซ่าเพื่อผ่านเข้าออกประเทศสหรัฐอเมริกาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ชัดเจนว่าจะเดินทางเข้า ออกเมื่อไรและอยู่นานเท่าใด ซึ่งหากมีความชัดเจน ก็จะส่งเรื่องให้กับอัยการสูงสุดเพื่อทำเรื่องส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป พร้อมระบุว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ได้รับการประสานจากตำรวจสากลแต่อย่างใด

ด้าน นายศิริศักดิ์ ติยะพันธ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ เปิดเผยว่า ข่าวการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงข่าวแต่ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าจะเดินทางไปเมื่อใด ซึ่งตามขั้นตอนแล้วกระทรวงการต่างประเทศต้องประสานมาและให้ที่อยู่ที่ชัดเจนจึงจะสามารถทำเรื่องในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้

"ความโชคดีซ้ำซากของพรรคประชาธิปัตย์"ทัศนะทางวิชาการของบรรณาธิการใหญ่ www.pub-law.net

บทบรรณาธิการ เว๊ปไซต์กฎหมายมหาชน http://www.pub-law.net/   ล่าสุด  เรื่อง "ความโชคดีซ้ำซากของพรรคประชาธิปัตย์"มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

 ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่อให้คู่กรณีแถลงปิดคดีด้วยวาจาในกรณีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ จากนั้นในตอนบ่ายสองโมง ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดฟังคำวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 4 ต่อ 2 ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากกระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย                 

 ในขณะที่เขียนบทบรรณาธิการนี้ ผมยังไม่เห็นคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน จึงยังไม่ขอให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว แต่ผมเข้าใจว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องเนื่องมาจากคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เกินระยะเวลาที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนด กล่าวคือ เกิดการนับวันไม่ตรงกันระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งนับวันที่ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

และต่อมา ประธานกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553 ซึ่งก็อยู่ภายใน 15 วัน ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญกลับถือเอาวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นวันที่ประธานกรรมการการเลือกตั้งเสนอเรื่องให้ที่ประชุมพิจารณา ดังนั้น เมื่อประธานกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553 จึงล่วงพ้นระยะเวลา 15 วัน ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองไปแล้ว
                  
แม้จะยังไม่ได้เห็นคำวินิจฉัยฉบับจริง แต่เมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยและรับทราบผลคำวินิจฉัยในเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์  ในเบื้องต้น ผมมีข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับ 2 องค์กรคือ ศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการการเลือกตั้งที่คงต้องนำมากล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้ก่อน เมื่อได้อ่านคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตัวแล้ว หากมีประเด็นน่าสนใจ ก็จะได้ย้อนกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่งครับ
                  
องค์กรแรกที่อยากจะกล่าวถึงก็คือศาลรัฐธรรมนูญ มีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญที่อยากจะพูดถึง คงต้องเริ่มจากก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ มีข่าวไม่ดีไม่งามออกมามากมายที่ทำให้เกิดมุมมองในเชิงลบกับศาลรัฐธรรมนูญและกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน ข่าวไม่ดีไม่งามดังกล่าวมีผู้ให้ความเห็นสรุปได้เป็นสองแนวทาง แนวทางแรกคือ มี “ขบวนการ” จ้องทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ กับแนวทางที่สองคือ ศาลรัฐธรรมนูญเองที่ทำให้องค์กรของตัวเองไม่น่าเชื่อถือ

เรื่องดังกล่าวจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้ใดออกมาชี้แจงให้กระจ่างว่าในที่สุดแล้ว ปัญหาเกิดจากใคร และความรับผิดชอบควรตกอยู่แก่ผู้ใด แต่ในช่วงเวลาเดียวกันก็กลับมีการให้ข่าวออกมาว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้น ในปัจจุบัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ก็ชอบที่ผู้เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวจะออกมาชี้แจงหรืออธิบายข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้แก่สังคมทราบต่อไปว่า สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญครับ  
               
   เรื่องต่อมาที่ผมมีข้อสังเกตก็คือ เรื่องผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์เนื่องจากมีการยื่นคำร้องเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น ผมได้ลองตรวจสอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ดูแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีข้อใดเลยที่กล่าวถึงการตรวจสอบเรื่อง “อายุความในการร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ”

   แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีระเบียบหรือหลักเกณฑ์อื่นใดที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวไว้หรือไม่ ซึ่งเมื่อเทียบเรื่องดังกล่าวกับวิธีพิจารณาคดีของศาลปกครองแล้ว ก็จะพบว่าทั้งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กับระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องมีการตรวจสอบคำฟ้องในเบื้องต้นก่อนที่จะรับไว้พิจารณา

 นอกจากนี้ จากการสอบถามเรื่องดังกล่าวกับพนักงานคดีปกครองทำให้ได้ข้อมูลว่า การตรวจสอบเรื่อง “อายุความ” หรือ “ระยะเวลาในการฟ้องคดี” จะทำกันอย่างจริงจังและหลายขั้นตอน แม้กระทั่งเมื่อตุลาการหัวหน้าคณะจ่ายสำนวนคดีให้กับตุลาการเจ้าของสำนวนแล้ว ตุลาการเจ้าของสำนวนก็จะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของคำฟ้องก่อนที่จะรับหรือไม่รับคำฟ้องนั้นไว้พิจารณา ดังนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญไม่มีกระบวนการดังกล่าว ก็ชอบที่จะพิจารณาปรับปรุงข้อกำหนดของตัวเองเสียใหม่เพื่อให้การพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นของคำร้องเกิดประโยชน์มากกว่าพิจารณากันไปตั้งชาติหนึ่งแล้วค่อยมาบอกว่ายื่นคำร้องเกินระยะเวลาครับ !!!
                 
 นอกจากนี้ ในข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ยังได้ มีการแต่งตั้ง “ตุลาการประจำคดี” คล้าย ๆ กับ “ตุลาการเจ้าของสำนวน” ของศาลปกครองด้วย แต่จำนวนอาจแตกต่างกันเพราะของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในข้อกำหนดฯ ข้อ 25 ว่าให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งตุลาการไม่น้อยกว่า 3 คนเป็นตุลาการประจำคดี แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ 2 กรณีซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ และก็มีข้อยกเว้นซ้อนเข้าไปอีกว่า “หรือในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ประธานศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่แต่งตั้งตุลาการประจำคดีก็ได้” ซึ่งข้อยกเว้นหลังนี้ก็ไม่เข้าเกณฑ์กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน

  คำถามของผมคือ ใครเป็นตุลาการประจำคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และตุลาการประจำคดีได้ทำหน้าที่ของตนในการตรวจสอบว่าการยื่นฟ้องกรณีดังกล่าวเกินระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ อย่างไร ครับ เพราะหากพิจารณาข้อกำหนดฯ ข้อ 29 ก็กล่าวไว้ชัดเจนพอสมควรว่า
        
“เมื่อศาลหรือตุลาการประจำคดี แล้วแต่กรณี มีคำสั่งรับคำร้องที่มีคู่กรณีไว้พิจารณาวินิจฉัย ให้ส่งสำเนาคำร้องแก่ผู้ถูกร้อง หรือมีคำสั่งแจ้งผู้ถูกร้องมารับสำเนาคำร้องภายในระยกเวลาที่ศาลกำหนด
               
   เมื่อผู้ถูกร้องได้รับสำเนาคำร้อง ให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับสำเนาคำร้อง หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด
                 
   กรณีผู้ถูกร้องไม่ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับสำเนาคำร้อง หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือไม่มารับสำเนาคำร้องภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป”
                  
     ผมสงสัยจริง ๆ นะครับว่าใครเป็นตุลาการประจำคดีในเรื่องนี้  แล้วทำไมตุลาการประจำคดีถึงได้ไม่หยิบยกเรื่องยื่นคำร้องเกินระยะเวลาที่กำหนด มาพิจารณาตั้งแต่ต้น ปล่อยให้เสียเวลาไต่สวนข้อเท็จจริงมาถึงหลายเดือนแล้วก็มาจบลงตรงที่ว่า ยื่นคำร้องเกินระยะเวลาครับ !!!                

    นอกจากนี้แล้ว ผมยังมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาเรื่อง “อายุความ” กับ “ประโยชน์สาธารณะ” ซึ่งในอนาคตคงต้องสร้างความชัดเจนให้มากกว่านี้ครับ ผมขอยกตัวอย่างจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 52 ที่ว่า “การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือสถานะของบุคคล จะยื่นฟ้องเมื่อใดก็ได้”
                    
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่กรณีมีคำขอศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้”
                 
 ผมคงไม่ต้องอธิบายมาตรา 52 นะครับ แต่จะขอให้ย้อนกลับไปดูกันสักหน่อยว่า การใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเงินที่มาจากภาษีอากรของประชาชนนั้น หากศาลจะรับไว้พิจารณาจะเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือไม่ครับ !!!
                
  ผมไม่อยากโต้เถียงประเด็นนี้กับ “นักกฎหมายใหญ่” บางคนที่รีบออกมาให้ความเห็นสนับสนุนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่พิจารณายกคำร้องกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์เนื่องจาก “ขาดอายุความ” ว่าเป็นหลักสากลที่ทั่วโลกทำกันคือต้องดูว่าถูกต้องตามกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ก่อน ซึ่งจริง ๆ แล้วในเรื่องดังกล่าว หากถามนักกฎหมายมหาชน “แท้ ๆ ” ก็จะได้คำตอบไม่ต่างกันเท่าไรนัก เพราะหัวใจสำคัญของกฎหมายมหาชนคือ การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะซึ่งก็คือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนนั่นเอง หากศาลซึ่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะอ้างว่า กระบวนการของการยื่นคำร้องไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วปฏิเสธไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ ศาลก็จะเป็นผู้บกพร่องต่อหน้าที่ที่ต้องคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเสียเองครับ                

  ข้อสงสัยยังมีอีกว่า ข้อผิดพลาดทางเทคนิคคือการยื่นคำร้องเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จะกลายเป็น “ข้อยกเว้น” ที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่พิจารณาวินิจฉัย “ข้อเท็จจริง” ที่ถือว่าเป็นการกระทำผิดต่อแผ่นดินได้หรือไม่ครับ ซึ่งเรื่องนี้ผมก็จะขอพูดต่อไปเลยและเป็นเรื่องที่ควรจะต้องมีคำอธิบายจากศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 ข้อ 50 ได้กล่าวไว้ว่า การพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยทุกประเด็นที่ศาลกำหนด โดยตุลาการที่เป็นองค์คณะทุกคนจะงดออกเสียงในประเด็นใดประเด็นหนึ่งตามที่ศาลกำหนดมิได้ นั้น ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดประเด็นเอาไว้ถึง 5 ประเด็นด้วยกัน

แต่จากการฟังการอ่านคำวินิจฉัยเมื่อบ่ายวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในประเด็นแรกเพียงประเด็นเดียวคือ กระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นอื่นซึ่งก็เป็นประเด็นที่สำคัญมากโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง เพราะเงินดังกล่าวเป็นเงินที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ดังนั้นจึงชอบที่ประชาชนจะต้องได้รับทราบคำตอบที่ถูกต้องว่า การใช้จ่ายเงินภาษีอากรของประชาชนดังกล่าว ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้วินิจฉัยทั้ง ๆ ที่ข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญเอง “บังคับ” ไว้แล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญต้องทำ
   คำถามต่อเนื่องก็คือ จะทำอย่างไรกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญกระทำการ “ฝ่าฝืน” ข้อกำหนดของตัวเองครับ !!!                

  ผมไม่แน่ใจว่า ที่ผมถามไปทั้งหมด จะได้รับทราบคำตอบที่ชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญหรือจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร หรือจะเป็นเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญคือ “silence is golden” แต่ก็อยากจะขอฝากไว้ให้กับ “พลเมือง” ทุกคนให้ช่วยกัน “ผลักดัน” ให้เราได้รับคำตอบเหล่านี้ต่อไปครับ
               
   องค์กรต่อมาที่ผมคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้คือ คณะกรรมการการเลือกตั้งครับ ปัญหาทั้งหมดของเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นจากการกระทำของนายทะเบียนพรรคการเมืองกับประธานกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นคน ๆ เดียวกันแต่ทำสองหน้าที่
               
   คงไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่า เกิดความสับสนในหน้าที่ระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมืองกับประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรือเกิดความสับสนในกฎหมายที่จะนำมาใช้ระหว่างกฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่กับกฎหมายพรรคการเมืองฉบับเก่า คนที่ “สมัครใจ” เข้ามาทำงานระดับนี้ ในตำแหน่งนี้ ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนแล้วว่า ต้องรู้จริง ต้องทำงานได้ดีและไม่ผิดพลาด ตำแหน่งเหล่านี้ไม่ใช่ที่ “เรียนรู้งาน” เพราะเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อระบบต่าง ๆ และต่อระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ฉะนั้น เมื่อทำงานผิด ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องไม่ควรผิด เช่นสับสนในหน้าที่หรือสับสนในกฎหมาย เราจะทำอย่างไรกันดีกับ “คนพวกนี้” ครับ !!
               
   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากเป็นผม ผมลาออกไปแล้วครับ สง่างามกว่าอยู่ทำงานต่อไป เพราะ “พลเมือง” อย่างพวกเราคงไม่มีอะไรเป็นหลักประกันอีกแล้วว่า ในการทำงานต่อ ๆ ไปคุณจะไม่ “สับสนในหน้าที่” หรือ “สับสนในกฎหมาย” อีก
                
  แต่ถ้าให้ผม “เดา” ผมคิดว่าคงไม่มีใครลาออกแน่  จะลาออกกันไปทำไมครับ มีตัวอย่าง ที่เห็น ๆ กันอยู่หลายเรื่อง ล่าสุดที่เคยเกิดขึ้นในศาลรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เถียงกันว่าการสอนหนังสือเป็นการรับจ้างหรือไม่ หรือกรณีล่าสุด กรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ทุกคนเงียบ ไม่ลาออก ไม่ชี้แจง ปล่อยให้เวลาผ่านไป ไม่ช้าเรื่องก็เงียบ ตัวเองก็มีงานทำ มีเงินใช้ มีอำนาจวาสนาบารมีต่อไปครับ !!!
               

   ไม่ทราบว่า กรรมการการเลือกตั้งคนอื่นจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้บ้างนะครับ น่าจะลองแนะนำนายทะเบียนพรรคการเมืองให้ลาออกเนื่องจากบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้เกิดผลเสียตามมาหลายอย่าง รวมทั้ง “ตอกย้ำ” ความแตกแยกในสังคมให้มากยิ่งขึ้นไปด้วย
               
   จริง ๆ แล้วประเด็นนี้ สื่อมวลชนน่าจะลองไปรื้อข้อมูลที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมาเสนอต่อสาธารณะให้ทราบว่า ก่อนหน้านี้มีปัญหาเรื่องการฟ้องไม่ฟ้องมาหลายครั้งแล้ว จนกระทั่ง “เสื้อแดง” บุกไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องจึงออกจาก กกต. ไปที่อัยการ จำกันได้ไหมครับ !
              
    มีข้อสงสัยสุดท้ายที่คาใจอยู่ก็คือ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รู้ หรือเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากความตั้งใจครับ…..
                  

ก่อนที่จะจบบทบรรณาธิการครั้งนี้ผมต้องขอฝากเป็นข้อสังเกตไว้ด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรณีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นปัญหาที่ “นักกฎหมาย” ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งก็มาจากนักกฎหมายที่มีระดับ เช่น ผู้พิพากษา  อัยการซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นนักกฎหมายใหญ่ ศาลรัฐธรรมนูญเองก็มาจากนักกฎหมายและมาจากผู้พิพากษาจำนวนหนึ่ง ทำไมคนทั้งหมดซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในวงการเดียวกันแต่กลับมองหรืออ่านกฎหมายไม่เหมือนกัน เรื่องนี้คงไม่ต้องการคำตอบว่าการมองของใครถูกต้องที่สุดเพราะในเมื่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุด ผูกพันทุกองค์กร อย่างไรเสียก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะ “คิดว่า” เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญถูกหรือผิดก็ตาม
                
  ท้ายที่สุด ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ “โชคดีซ้ำซาก” รอดพ้นจากทุกเหตุการณ์ไปได้อย่างง่ายดายครับ จริงอยู่ แม้จะมีคนออกมาตั้งข้อสงสัยในความ “โชคดีซ้ำซาก” ของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถ “สลัด” ข้อกังขาที่เป็นประเด็นให้หลุดไปได้ แต่ไม่ช้าไม่นานคนก็จะลืมกันไปเองเหมือนกับทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา และยิ่งถ้ามีข่าว “เหมือนเดิม” ออกมา เช่น ข่าวการลอบทำร้าย หรือข่าวหมิ่นต่าง ๆ คนก็จะหันไปสนใจเรื่องเหล่านั้นจนไม่สนใจว่า การ “รอด” จากการถูกยุบพรรคด้วยข้อผิดพลาดทางเทคนิคนั้น เป็นความ “สง่างาม” หรือเป็นความ “ถูกต้อง” ที่พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศโดยควรจะ “ภูมิใจ” หรือไม่ เพราะข้อกล่าวหาว่า ใช้เงินภาษีอากรของพี่น้องประชาชนผิดประเภท ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้กระจ่างครับ !!!


 ศ. ดร.นันทวัฒน์  บรมานันท์
*********************************************************************

ปชป.ขู่‘เพื่อไทย’ระวังถูกยุบรอบ3

ทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ออกโรงขู่เพื่อไทยให้เตรียมทนายเอาไว้ได้เพราะจะถูกฟ้องยุบพรรคอีกครั้งเป็นคำรบที่ 3 หากยังไม่ยุตินำคำตัดสินคดี 29 ล้านบาทไปขยายผลทางการเมือง โฆษกประชาธิปัตย์ชี้มีกระบวนการกดดันศาลให้ยุบพรรคในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท โฆษกเพื่อไทยยอมรับ ส.ส. ทยอยลาออกจาการเป็นกรรมการบริหารเพราะกลัวถูกยุบพรรค ตัดสิทธิ ระบุทุกคนประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะฉะนั้นการถูกยุบพรรคอีกรอบจึงอาจเกิดขึ้นได้

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้สถาบันการศึกษาตั้งศาลรัฐธรรมนูญจำลองขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากการใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ว่า การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญถือว่ายุติแล้วและมีผลผูกพันกับทุกองค์กร อย่างไรก็ตาม การวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ทางกฎหมายนั้นสามารถทำได้ แต่ขอให้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้มีความรู้ทางกฎหมายจริงๆเท่านั้น โดยผู้พูดต้องมีความเป็นกลาง มีคุณธรรม ไม่ใช่เอานักวิชาการที่ไม่มีความเป็นกลางมาวิจารณ์เพื่อหวังนำคำวิจารณ์ไปขยายผลต่อยอดให้เป็นประเด็นทางการเมือง

ให้เพื่อไทยเตรียมทนายสู้ยุบพรรค

“ผมอยากให้พรรคเพื่อไทยเตรียมทนายเอาไว้ เพราะหากมีข้อมูลหลักฐานว่ากระทำการให้ข้อมูลใส่ร้ายป้ายสีพรรคประชาธิปัตย์อาจจะถูกฟ้องยุบพรรคได้อีกเป็นครั้งที่ 3 หากพรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องนี้เป็นประเด็นเสนอต่อสังคมควรนำนักวิชการที่มีความเป็นกลางจริงๆออกมาพูดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง และทำให้เกิดความเข้าใจผิดในกระบวนการยุติธรรม เพราะต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนไม่ได้เข้าใจกฎหมายทุกคน เนื่องจากไม่สนใจศึกษาข้อกฎหมายจึงตกเป็นเหยื่อของพวกสร้างสถานการณ์ให้เข้าใจว่ามี 2 มาตรฐาน ทั้งที่ความจริงมีมาตรฐานเดียว” นายไชยวัฒน์กล่าว

พบกระบวนการกดดันยุบพรรค

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ส.ส.สัดส่วนและโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามเคลื่อนไหวกดดันศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคดียุบพรรคจากเงินบริจาค 258 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง หลังทำไม่สำเร็จในคดี 29 ล้านบาท

“ชัดเจนว่ามีความพยายามเคลื่อนไหวกดดัน โดยทำกันเป็นขบวนการ ทั้งจากพรรคการเมือง นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ อดีตนายกรัฐมนตรี และประชาชนบางกลุ่ม โดยทั้งหมดพูดจาสอดคล้องกันว่ามีรังสีอำมหิตคอยช่วยพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้ประชาชนคล้อยตามว่าศาลรัฐธรรมนูญถูกคุกคาม ทั้งที่การพิจารณาคดีเป็นไปตามพยานหลักฐาน และพรรคต่อสู้ไปตามข้อเท็จจริง ไม่มีใครคอยให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จึงอยากขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันรักษาระบบและปฏิเสธขบวนการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม” นพ.บุรณัชย์กล่าว

เพื่อไทยรับ ส.ส. กลัวพรรคถูกยุบอีก

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงว่า ยอมรับว่ามี ส.ส. ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคทยอยลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเกรงว่าพรรคอาจจะถูกยุบอีกจึงไม่อยากถูกตัดสิทธิ

“ส.ส. จำเป็นต้องหาทางหนีทีไล่เอาไว้เหมือนกัน เพราะเราได้ประจักษ์กันแล้วว่าในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรไม่เคยผิด แต่เราทำอะไรก็ผิด ทุกคนก็กลัวเป็นธรรมดา เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าบ้านเมืองเรายังไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง” นายพร้อมพงศ์กล่าว

กมม. ชี้เป็นบทเรียน 2 องค์กรอิสระ

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า พรรคไม่ติดใจคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ผลที่ออกมาถือเป็นบทเรียนที่สำคัญของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญ เพราะต้องตอบคำถามจากสังคมให้มีความกระจ่างชัดเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากยังไม่มีการวินิจฉัยเนื้อหาของคดีว่ามีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ตามที่ผู้ร้องกล่าวหาหรือไม่


ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
*********************************************************************

ทวงคืน29ล้าน

ถึงแม้จะล่วงเลยมาหลายวันแล้ว แต่คำวินิจฉัยยกคำร้องคดี 29 ล้านเงินกกต.ยังไม่จางหายไปจากสังคม

ชาวบ้านยังสงสัยกันว่าความจริงแล้ว พรรคประชาธิปัตย์นำเงิน 29 ล้านบาทไปใช้ถูกต้องตามระเบียบหรือไม่

เงินภาษีก้อนนี้นำไปใช้ในการพัฒนาพรรคการเมืองตามจุดประสงค์จริงหรือเปล่า !?

เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่มีการวินิจฉัยในประเด็นนี้

ฉะนั้น การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีหวังกลบกระแสสังคมด้วยการสั่งให้นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมเผยแพร่ต่อสาธารณชน

ไม่ได้ช่วยทำให้ข้อสงสัยลดลงแม้แต่น้อย

กลับกันยิ่งตอกย้ำ ยิ่งขยาย 4 ประเด็นที่ไม่มีการวินิจฉัยเข้าไปอีก

อีกทั้งมติ 4:2 ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ยืนยันในตัวเองชัดเจนว่ายังมีตุลาการอีกขั้วไม่เห็นด้วยกับการยกคำร้อง

ทำให้ความสงสัยและกังขายังมีแรงกระเพื่อมอยู่

แม้ว่าคนเสื้อแดงจะแถลงชัดเจนว่าจะไม่มีการชุมนุมต่อต้านคำตัดสินคดี 29 ล้าน

อาจเป็นเพราะมีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะออกมาในรูปนี้ !?

แต่ก็ยังมีการเคลื่อนไหวเฉพาะในประเด็นเงิน 29 ล้านบาทอยู่

วันก่อน แกนนำนปช.เชียงรายยื่นหนังสือถึงกกต.จังหวัด เพื่อให้ส่งต่อถึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง

ขอให้เรียกคืนเงิน 29 ล้านบาทจากพรรคประชาธิปัตย์

เพราะกกต.ในฐานะผู้ร้อง เคยมีมติชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำผิดระเบียบ ไม่ได้ใช้เงินก้อนนี้ไปตามเจตนารมณ์

กกต.จึงมีความชอบธรรมที่จะเรียกคืน"เงินหลวง"ก้อนนี้

กับอีกส่วนที่เป็นการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

แกนนำเพื่อไทยประกาศเตรียมล่ารายชื่อประชาชน 2 หมื่นคน ยื่นถอดถอนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.

เพราะมองว่าเป็น"ต้นเหตุ"ของคำตัดสินยกคำร้อง

ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าเงื่อนเวลา 17 ธ.ค.2552 กับ 12 เม.ย.2553 เป็นการจงใจหรือเปล่า

ว่าไปแล้ว นายอภิชาตไม่ได้โดนกดดันจากสังคม หรือจากพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

กกต.ด้วยกันเองก็ยังเห็นว่านายอภิชาตควรลาออกไปคนเดียว !

เพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ถึงเวลานี้ พรรคประชาธิปัตย์อาจรอดพ้นจากการยุบพรรคในแง่ของตัวบทกฎหมาย

ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่

นายกฯมาร์คไม่ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ ไม่ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี

แต่ในแง่สังคม พรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นปัญหาอยู่

ยังไขความกระจ่างคดี 29 ล้านไม่ได้

ข้อกล่าวหา"มือที่มองไม่เห็น"ก็ยังกังขาอยู่ต่อไป !?

ข่าวสดรายวัน.คอลัมน์ เหล็กใน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

'แจกแหลก'ไม่เปรี้ยง สกัด'เสี่ยแม้ว'ไปมะกัน

สันติปรองดองขนานแท้

....นายกฯ มาร์ค แพลมเลือกตั้งต้นปีหน้า ก็จัดให้ทันทีมาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า 'แจกแหลก' มีสาระสำคัญ 3 ข้อ 1.แก้หนี้สินครบวงจร 2.อัดฉีดรายได้ ลดภาระค่าครองชีพ และ 3.ขยายฐานกลุ่มประกันสังคม

ต้นตำรับประชานิยมถอยไป

....ศ.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ปิ๊งมาตรการที่ ออกมา ระบุเป็นแค่การผ่อนคลายปัญหา พร้อมแนะวิธีแก้ที่ถูกทางคือต้องเข้าไปแก้ทั้งระบบ ทั้งสร้างโอกาสหารายได้ กระ จายความเจริญ เข้าถึงระบบการศึกษา และสาธารณสุข

ทีมโทรโข่งไม่อยู่เฉยแน่

....นพดล ปัทมะ กุนซือกฎหมาย เสี่ยแม้ว ตีปี๊บนายใหญ่ได้คิวลบภาพบัญชีดำบินเข้าสหรัฐกลางเดือนนี้ ตามคำเชิญกมธ.ด้านสิทธิมนุษยชนมะกัน ไปให้ปากคำเหตุสลายม็อบแดง พ่วงสารพัดปัญหาจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เข้าไปได้ก่อนค่อยว่ากัน

.... ไม่ทันข้ามวัน ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาฯรมว.บัวแก้ว พูดปิดทาง ล่วงหน้าว่า เสี่ยแม้ว ไม่มีทางเข้าไปให้ข้อมูลกับสภามะกันได้ แถมคุยว่ากระ ทรวงไม่ได้ตกข่าว แต่ที่ไม่ออกอาการเพราะมั่นใจว่าไม่มีทางเกิด

ใครหน้าแตกเดี๋ยวก็รู้

.... ธานี ทองภักดี โฆษกบัวแก้ว ป้อนข้อมูลหน่วยงานที่เชิญ เสี่ยแม้ว ยกราย งานสถานทูตไทย วอชิงตัน ว่าเป็นองค์กรอิสระจัดเวทีระดมความเห็นสถานการณ์ไทย พร้อมยืนยันอดีตนายกฯ ไทยเข้าสหรัฐได้หรือไม่ รัฐบาลมะกัน เป็นผู้ชี้

พิสูจน์น้ำยาบัวแก้วอีกครั้ง

....เสธ.ไก่อู-พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ตามประเด็นร้อนมาติดๆ คอนเฟิร์มเรื่องกระชับพื้นที่ราชประสงค์ ไม่ใช่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เป็นการจัดการกับการชุมนุมที่เกินขอบเขต โดยมีกฎหมายรองรับทุกขั้นตอน

องค์กรสิทธิมนุษยชนว่าไง

.... ทอล์กโชว์ 'วอน นอน คุก' ของ บ.ก.ลายจุด-สมบัติ บุญงามอนงค์ ปิด ฉากท่ามกลางกระแสตอบรับแรงถึงขนาดพันกว่าที่นั่งไม่พอ ต้องเก้าอี้เสริม คิวต่อไป 19 ธ.ค. รำลึก 8 เดือนราชประสงค์ พับนกล้านตัว เที่ยงวันยัน เที่ยงคืน

ศอฉ.ทราบแล้วเปลี่ยน!!!


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
-------------------------------------------------------