--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถาม'กกต.'

น่าจะเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ไปอีกพักใหญ่

กรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย 4 ต่อ 2 ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

ด้วยเหตุผลที่ว่ากระบวนการยื่นคำร้อง จากจุดเริ่มต้นคือนายทะเบียนพรรคการเมือง กว่าจะกระดืบๆ ถึงมือศาลรัฐธรรมนูญนั้น กินเวลาเกิน 15 วัน

คดีจึงขาดอายุความไปโดยปริยาย

ก่อนหน้าการวินิจฉัยของศาลฯ แวดวงคอการ เมืองวิเคราะห์คาดเดากันไปต่างๆ นานาถึงแนวทางคำวินิจฉัยว่าจะออกมาอย่างไร

เท่าที่ได้ยินมีอยู่หลายแนว

เช่น ยุบพรรค-ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด ยุบพรรค-ตัดสิทธิ์บางคน ยุบพรรคแต่ไม่ตัดสิทธิ์ใครเลย หรือไม่ยุบพรรค-ไม่ตัดสิทธิ์ เป็นต้น

ไม่มีใครเอะใจเรื่อง 'อายุความ' ตามที่ตุลาการหยิบ ยกขึ้นมาเป็นเหตุผลในการยกคำร้องภายหลังเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุที่หลายคนเข้าใจว่าเรื่องของคดีจะขาดหรือไม่ขาดอายุความนั้น

คือปัญหาเบื้องต้นที่ศาลฯ ต้องวินิจฉัยก่อนเข้าสู่การวินิจฉัยเนื้อหาของคดี

ทีนี้เมื่อศาลฯ ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายสืบพยานต่อสู้หักล้างกันมานานหลายเดือนแล้วจู่ๆ เกิดยกคำร้อง หักมุมจบแบบดื้อๆ

เลยทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอื้ออึง

บางคนเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นการตัดสินแบบไม่ตัดสิน

ทั้งยังเป็นการเสียโอกาสที่สังคมจะได้รับรู้ร่วมกันถึงเนื้อหาข้างในของคดีว่า แท้จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์กระทำผิดกฎหมายหรือไม่

บางคนใช้คำว่าประชาธิปัตย์ชนะฟาวล์บ้าง กกต.แพ้ฟาวล์บ้าง ความหมายเดียวกันแล้วแต่ใครจะมองในมุมไหน

แต่ในส่วนที่บอกว่ากกต.แพ้ฟาวล์นั้น ก็มีปมให้เก็บเอาไปคิดต่อได้ว่า

เป็นการแกล้งแพ้หรือแพ้จริง

นักวิชาการด้านกฎหมายอย่าง นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้ไว้น่าสนใจ

"การที่คำวินิจฉัยออกมาแบบนี้ แต่เดิมภาระรับผิดชอบทั้งหมดอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตอนนี้กลับเป็นการแบ่งภาระมาที่กกต.ด้วยว่า เป็นเพราะกกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง ทำให้คดีนี้ตกไป"

ซึ่งตีความไปได้ 2 แบบ

แบบแรกคือ กกต. โดยเฉพาะประธานกกต.ที่สวมหมวกอีกใบเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง มีส่วนรู้เห็นเรื่องขาดอายุความนี้มาตั้งแต่ต้น

แบบที่สอง คือกกต.ไม่รู้จริงๆ

แต่ถูกลากมาช่วยแบ่งเบาภาระศาลรัฐธรรมนูญในภายหลัง

ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จับตาคดี 258ล้าน 'ฟอกขาว'ประชาธิปัตย์

ชัยชนะในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการ"ชนะฟาวล์"จากชั้นเชิงและเทคนิคทางกฎหมายที่จับตาคดีเงินบริจาค 258ล้าน เข้าข่ายเดียวกัน

คำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประเด็นการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ที่ปรากฏออกมาแล้วเมื่อวานนี้ แม้ผลของคดีจะไม่ได้เหนือความคาดหมาย กล่าวคือพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ แต่คำอธิบายและเหตุผลในคำวินิจฉัยถือว่าผิดคาดของหลายๆ คนไปเยอะทีเดียว

ชัยชนะในคดียุบพรรคของประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการ "ชนะฟาวล์" จากชั้นเชิงและเทคนิคทางกฎหมายที่พรรคมีความช่ำชองและแพรวพราว

รูรั่วเล็กๆ ของกระบวนการในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นจนกระทั่งท้ายที่สุดศาลไม่ทันต้องเข้าไปพิจารณาข้อเท็จจริงทางคดีด้วยซ้ำ

ข้ออ้างที่ตอนแรกคาดกันว่าจะเป็นจุดตายคือ การที่ อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ไม่ได้ทำความเห็นตามที่กฎหมายกำหนด แต่ประเด็นนี้กลับพลิกความคาดหมายเมื่อศาลตีความว่าแม้จะไม่ได้ทำความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ กกต.ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ควบคุมนายทะเบียนพรรคการเมือง คาดว่าตอนที่อ่านคำวินิจฉัยถึงตรงนี้ พลพรรค ปชป.คงอกสั่นขวัญแขวนว่า "ยุบชัวร์"

แต่เรื่องดัวกล่าวกลับถูกตีความว่าวันที่ กกต.มีมติเสียงข้างมากให้ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ดำเนินการเสนอยุบพรรคตามมาตรา 95 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 นั้น เป็นวันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนว่ามีการกระทำผิดแล้ว

และนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ในกรณีที่ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคตามมาตรา 93 ด้วย (ว่าด้วยเรื่องเงินบริจาค) ซึ่ง ณ ที่นี้หมายถึงวันที่ 17 ธ.ค.2552

แต่กว่าที่ประธาน กกต.จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาก็ปาเข้าไปถึงเดือน เม.ย.2553 แปลความภาษาบ้านๆคือ "คดีขาดอายุความ" จะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือการตีความที่ไม่ตรงกัน แต่การตัดสินเช่นนี้สร้างความเคลือบแคลงต่อสังคมไม่น้อย เพราะอย่างน้อยข้อเท็จจริงที่สงสัยก็ยังไม่ถูกทำให้คลายสงสัยไป

ข้อเท็จจริงที่ว่าด้วยการออกใบเสร็จย้อนหลัง การออกเช็คที่ยังน่าสงสัย การว่าจ้างทำป้ายโฆษณาก่อนวันที่กำหนดให้ใช้เงิน หรือกระทั่งการออกใบเสร็จให้คนที่ไม่ได้ทำสัญญา ไม่มีการหยิบขึ้นมาพิจารณา เพราะคดีตกไปด้วยประเด็น "ข้อกฎหมาย" คือ "ฟ้องมิชอบ"

มาถึงขณะนี้ไม่ว่าเรื่องที่น่าสงสัยจะกลายเป็นสิ่งลึกลับยังไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง แต่งานนี้ถือว่าคดีดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญได้ "ฟอกขาว" ให้พรรคประชาธิปัตย์โดยอาศัยกระบวนการทางกฎหมายไปเรียบร้อย

ส่วนข้อเท็จจริงอีกเรื่องที่ต้องรอดูกันนั้นคือ กรณีการไซฟ่อนเงิน 258 ล้านบาทที่รับบริจาคจากบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทกับคดีการใช้จ่ายเงินผิดประเภทในครั้งนี้ มีข้อเท็จจริงที่เหลื่อมกันอยู่ไม่น้อย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคดีพี่คดีน้องกันเลยทีเดียว

และว่ากันว่าคดีการใช้จ่ายเงินผิดวัตถุประสงค์นี้ เป็นคดีที่เอาผิดได้ง่ายกว่า จึงถูกหยิบยกขึ้นมาก่อน ด้วยคาดว่าจะไม่ต้องไปเหนื่อยต่อสู้กันในกรณีหลัง

เมื่อมาถึงขั้นนี้ สิ่งที่ต้องจับตาดูคือ "คดี 258 ล้านบาท" นั้น จะทันได้ต่อสู้กันทางข้อเท็จจริงหรือเปล่า หรือจะถูกหยิบข้อกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ มาตีตกไปจนข้อเท็จจริงที่ใหญ่กว่ากลายเป็นความลับดำมืดต่อไป เพราะล่าสุดก็เริ่มมีเสียงมาจากทางทีมกฎหมายปชป.แล้ว ทั้งวิรัช ร่มเย็น และบัณฑิต ศิริพันธ์ ว่า จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้จำหน่ายคดี 258 ล้าน เนื่องจากน่าจะขาดอายุความฟ้องเช่นกัน

อย่างไรก็ดี มีบางเสียงแสดงทัศนะว่า คดี 258 ล้านอาจไม่จบลงด้วยเหตุผลง่ายๆ แบบเดียวกัน เพราะข้อกฎหมายที่นำมาใช้นั้นมีความแตกต่างกันในสาระสำคัญ และต้องไม่ลืมว่าคดีนี้ กกต.เป็นคนทำแทบจะทั้งหมดด้วยตัวเอง ขณะที่ "กิตินันท์ ธัชประมุข" อัยการพิเศษฝ่ายคดี เป็นเพียงผู้เข้ามาช่วยว่าคดีในช่วงหลัง แต่คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทนั้น ผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานอัยการสูงสุด และจะกลายมาเป็นผู้ทำคดีนี้ด้วยตนเอง

แม้ว่าเบื้องต้นตอนที่ กกต.ยื่นเรื่องมา อัยการสูงสุดจะตีกลับความเห็นของ กกต. แต่นั่นก็เป็นเพียงพิธีการเพื่อที่จะมาหารือกันและทำความตกลงเรื่องการดำเนินคดี ซึ่งที่ผ่านมาหลายคดีก็เป็นเช่นนี้ และต้องไม่ลืมว่าแทบทุกครั้งที่ทางอัยการมาว่าคดีให้นั้น ความได้เปรียบของ กกต.จะสูงขึ้นมาก และคดีมักจะเป็นไปตามที่ตั้งข้อหาเอาไว้

หากทางอัยการสูงสุดเห็นข้อบกพร่องทางกฎหมายย่อยๆ แบบครั้งนี้ คงไม่ยอมมาว่าคดีให้อย่างแน่นอน หลายฝ่ายจึงเชื่อมั่นว่าในคดี 258 ล้านบาทนั้น เราคงได้เห็นชั้นเชิงการต่อสู้ทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มากกว่านี้และสนุกกว่าคดี 29 ล้านอย่างแน่นอน

ซ้ำยังน่าเชื่อว่าเราจะได้เห็นกระบวนการการกดดันศาลรัฐธรรมนูญที่หนักกว่านี้ ไม่ว่าจากทางมวลชน หรือจากทางมือที่มองไม่เห็น หลังจากวันนี้คาดว่าตุลาการเสียงข้างมาก 4 คนคงจะถูกวิจารณ์ไม่น้อย และหนักขึ้นเรื่อยๆ

แต่หากพิจารณาอีกทางหนึ่งก็ไม่แน่ว่าสุดท้าย "คดี 258 ล้าน" อาจจะเป็นคดีที่ "ฟอกขาว" ประชาธิปัตย์อย่างสมบูรณ์แบบก็เป็นได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจเป็นการต่อสู้หักล้างในเชิงข้อเท็จจริงว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีพฤติการณ์ไซฟ่อนเงินจริงๆ ซึ่งจะทำให้สังคม "สิ้นความสงสัย" ก็เป็นไปได้

ขณะเดียวกันหากประชาธิปัตย์เลือกที่จะใช้ประเด็นหักล้างในประเด็น "ข้อกฎหมาย" ซ้ำอีก เหมือนที่เตรียมจะดำเนินการยื่นต่อศาลให้จำหน่ายคดี 258 ล้านด้วยเหตุว่าคดีขาดอายุความ เพราะยื่นคำร้องเกินกำหนดเวลา 30 วันตามที่กฎหมายระบุไว้

น่าคิดว่าแทนที่กระแสกดดันจะหมดไป พรรคประชาธิปัตย์อาจเจอแรงกดดันรอบใหม่จากสังคมที่ตั้งหน้าตั้งตารอฟังเหตุผลและคำแก้ต่างที่สมน้ำสมเนื้อ เพื่อพรรคประชาธิปัตย์จะได้พ้นจากข้อครหาทางการเมืองได้อย่างขาวสะอาด
ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงควรใช้โอกาสในการสู้คดี 258 ล้านด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มี เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะและตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จรัญบอกศาลรธน.ยังไม่นัดวันชี้ขาด258ล.

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ตัดสินยกคำร้องในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 โดยตนเป็นหนึ่งในตุลาการฯ เสียงข้างมาก และทางนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลอารักขามากยิ่งขึ้นนั้น เรื่องดังกล่าวตนได้ตอบปฏิเสธทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว ว่าไม่ต้องถึงขนาดมาอารักขา เพราะจะดูเอิกเกริกเกินไป แต่ขอให้ไปดูแลประชาชนแทนดีกว่า โดยส่วนตัวถือว่า ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ไปเท่านั้น และยังใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

นอกจากนี้ นายจรัญ ยังกล่าวอีกว่า กำหนดในการพิจารณาคดีเงินบริจาคพรรคการเมือง จำนวน 258 ล้านบาท ที่อยู่ ระหว่างขั้นตอนของศาลนั้น คงต้องประชุมหารือ กับองค์คณะทั้งหมดก่อน ว่าจะพิจารณาเมื่อไหร่ เพราะตนเองคนเดียว คงตอบไม่ได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ จะทำงานเป็นองค์คณะ ส่วนกรณีที่ว่าองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เหลือเพียง 6 ท่านนั้น จะต้องเพิ่นเป็น 9 ท่าน หรือไม่นั้น ก็ต้องประชุมหารือกันในองค์คณะที่เหลือก่อนว่า จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ ยังไม่ได้กำหนดว่าจะมีการประชุมหารือกันวันที่เท่าใด


ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
********************************************

คดี258ล้านปชป.ไม่รอดอัยการ-กกต.มั่นใจศาลใช้เทคนิคเดิมตัดสินไม่ได้

อัยการและ กกต. แสดงความมั่นใจคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไซฟ่อนเงิน 258 ล้านบาท จะไม่ถูกยกคำร้องเหมือนคดีใช้เงิน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์แน่เพราะยื่นฟ้องคนละข้อกฎหมาย เผยส่งฟ้องคดีไปนานแล้วแต่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากศาลรัฐธรรมนูญว่าจะให้ทำอย่างไร จะนัดพร้อมคู่ความและเปิดไต่สวนคดีได้เมื่อไร ส.ว.สรรหาจี้ตุลาการเสียงข้างน้อยชี้แจงเหตุผลไม่ยกคดี ตั้งคำถามเรื่องเงื่อนเวลาเป็นข้อกำหนดของกฎหมายทำไมเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ เพื่อไทยเตรียมประชุมทีมกฎหมายหาช่องยื่นถอดถอน 6 ตุลาการ ด้านเลขาธิการสถาบันพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองขีดเส้นภายใน 1 เดือน กกต. ทั้ง 5 คนต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
---------------------------------------------

ทูตอังกฤษส่งตัวแทนขอข้อมูลคดียุบพรรคจาก ปชป.

เอกอัครราชทูตอังกฤษ ส่งตัวแทนฝ่ายการเมืองขอข้อมูลคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ห่วงไทยวุ่นวายหลังศาลตัดสินไม่ยุบพรรค

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ฝ่ายการเมือง ที่ร้านกาแฟประจำพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ตัวแทนทูตฯ ได้สอบถามถึงการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ซึ่งคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าไม่รับคำร้อง เพราะคดีขาดอายุความ ซึ่งได้อธิบายถึงขั้นตอนและความเป็นมาที่เกิดขึ้นให้รับทราบ ทั้งนี้ ตัวแทนทูตฯ ได้สอบถามถึงอนาคตของสถานการณ์บ้านเมือง เพราะเป็นห่วงว่าสถานการณ์การชุมนุมจะรุนแรงเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งได้ชี้แจงไปว่า การชุมนุมที่สร้างความวุ่นวายคงไม่เกิดขึ้น เพราะทุกฝ่ายได้มุ่งหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งชัดเจนแล้วว่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากมีกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องพิสูจน์

นายอรรถวิชช์ กล่าวด้วยว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้วินิจฉัยกรณีคดีขาดอายุความตั้งแต่ช่วงแรกก่อนจะสืบพยานต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะการดำเนินการไม่ว่าจะเป็นศาลแพ่งหรือศาลอาญา จะให้สืบพยานจบหมดทุกปากก่อน จากนั้นจึงยกข้อกฎหมายมาวินิจฉัยตัดสิน และประเด็นคดีขาดอายุความก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการรับเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาล เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญจะดูว่า เรื่องที่ร้องมาอยู่ในอำนาจของศาลหรือไม่ ถ้าอยู่ในอำนาจจะรับเรื่องและเริ่มนัดสืบพยาน เสร็จแล้วก็จะตัดสินในข้อกฎหมาย.
ที่มา. สำนักข่าวไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จาตุรนต์แฉ2มาตรฐานโจ่งครึ่มไม่ยุบปชป. ยกกรณี2พรรคแบบเดียวกันเป๊ะแต่กลับไม่ขาดอายุความ

ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว อย่างน้อยใน 2 กรณีของ 2 พรรคการเมือง ทำนองเดียวกัน โดยถือว่า วันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องหรือนายทะเบียนคือวันที่ผู้ร้องพิจารณาและเห็นชอบให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณีคดีพรรคประชาธิปัตย์นั้น กลับแตกต่างจากการพิจารณาคดีอื่น ปัญหาสองมาตรฐานอย่างน้อยๆที่สุดก็เห็นอยู่ตรงเรื่องนี้

 ที่โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องคดียุบพรรค - คดีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์

โดยรายละเอียดมีดังนี้

คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมานี้ ในการสู้คดีโดยตลอดก็ปรากฏว่า ทีมทนายของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ต่อสู้ในข้อเท็จจริงเท่าไร ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ได้กระทำผิดกฎหมายและสมควรแก่การยุบพรรค แต่ว่าได้สู้ด้วยวิธีการพยายามดิสเครดิต หรือพยายามลดความน่าเชื่อถือของผู้ร้อง หรือพยานฝ่ายผู้ร้อง พยานฝ่ายตรงข้าม

ในตอนท้ายๆปรากฏว่า ทีมทนายของพรรคประชาธิปัตย์ได้พยายามล็อบบี้คนของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังได้ปรากฏหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอ ทั้งภาพของการล็อบบี้ดังกล่าว และการที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน ได้พูดจาหารือกัน เพื่อที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นจากการถูกยุบพรรค

คลิปวีดีโอนี้ทำให้เชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญ และมีความพยายามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นจากการถูกยุบพรรค

มีเสียงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพิสูจน์ว่าคลิปวีดีโอนั้นจริงหรือไม่จริงอย่างไร ใครทำอะไร ใครพูดอะไร ปรากฎว่า จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการตรวจสอบพิสูจน์และสอบสวนว่า มีความพยายามล็อบบี้ศาลรัฐธรรมนูญหรือมีความพยายามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่จะช่วยพรรคประชาธิปัตย์จริงหรือไม่

เรื่องดังกล่าว ผมเคยให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า หากศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ศาลรัฐธรรมนูญย่อมขาดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่พิจารณาคดีใดๆ รวมถึงที่จะทำหน้าที่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

จนถึงบัดนี้ จนถึงวันตัดสิน และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการตรวจสอบ ยังไม่มีการพิสูจน์ใดๆทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นในความเห็นของผมซึ่งได้พูดมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังมีความเห็นอย่างเดิมว่า ในขณะที่ตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะนี้ ก็ไม่มีความชอบธรรมอยู่แล้ว

ต่อมาเมื่อมีคำวินิจฉัย ก็ต้องบอกว่าการที่วินิจฉัยไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาด ผมเองก็เคยเขียนบทความไว้ก่อนหน้านี้ เสนอว่าประชาชนควรทำอะไร ถ้าไม่มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ

ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ยุบ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญอยู่ที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีความเสื่อมเสียและไม่น่าเชื่อถือมาก่อนแล้ว

ที่น่าเป็นห่วงก็คือว่าจากคำวินิจฉัยนั้นเกรงว่าจะเกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญหนักยิ่งขึ้นไปอีก

ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งขึ้นเพื่อที่จะวินิจฉัยนี้มีทั้ง 5 ข้อ แต่สุดท้าย 4 ข้อไม่ได้วินิจฉัย วินิจฉัยไปข้อเดียว คือกระบวนการร้องของผู้ร้อง

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนทั่วไป ทั้งคนที่เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ผิดหรือเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิด ทั้งสองฝ่ายนี้ก็เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆแล้วผิดหรือถูก ต้องเป็นไปตามความเชื่อของแต่ละคนแต่ละฝ่าย คงผิดหวังไปตามๆกัน เพราะอุตส่าห์ติดตามการพิจารณาคดีมาตั้งนานเป็นหลายๆเดือน และสุดท้ายไม่มีการวินิจฉัยเลย ใน 4 ประเด็นนั้น

ก็คงจะมีแต่แฟนพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ดีใจ ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องถูกยุบ ด้วยเหตุของการที่บางคนใช้คำว่าคนร้องแพ้ฟาวล์ไปทำนองนั้น

ซึ่งก็เป็นคำถามตามมาอีกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ เหตุใดจึงไม่วินิจฉัยไปก่อนเลยว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องแล้วเพราะเกินเวลาไปแล้ว

แต่ว่าที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาสำคัญที่จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยต่อไปก็คือ ในคำวินิจฉัยนั้นมีปัญหา มีคำถามซึ่งก็ต้องถามต่อสังคมไทยด้วย ถามต่อนักกฎหมาย ถามต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอง เป็นคำถามและปัญหาในเชิงข้อกฎหมาย ตรรกะ เหตุผลและสามัญสำนึก

คือ คำวินิจฉัยนี้บอกว่ากระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะยื่นคำร้องหลังพ้นระยะเวลา 15 วันตามที่กฎหมายกำหนด ระยะเวลา 15วัน ก็คือ 15 วันนับจากความปรากฏต่อนายทะเบียน

ปัญหามีว่า ความปรากฏต่อผู้ร้องในฐานะนายทะเบียนนี้นับอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้อย่างไรหรือไม่ วินิจฉัยเรื่องทำนองเดียวกันนี้ไว้อย่างไร แล้วกรณีนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ความจริงก็มีกรณีตัวอย่างหลายกรณี การยุบพรรคหลายพรรคที่เข้าข่ายทำนองเดียวกัน ขอยกตัวอย่าง 2 พรรคก็คือ กรณีพรรคไท ในคำวินิจฉัยซึ่งเขามีประเด็นทำนองเดียวกันว่า มีการสู้ว่าเรื่องมีมาตั้งนานแล้วผู้ร้องเพิ่งมาร้อง เลยเวลามาแล้วเพิ่งมาร้อง

ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ คดีพรรคไทบอกว่า วันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 27กันยายน 2545 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งมีบันทึกรายงานผู้ร้องจ่ายเงิน ก็คือ ถือเอาวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้อง

พอมาในกรณีของพรรคพลังธรรม พรรคพลังธรรมก็สู้ว่าเลยเวลามาแล้ว ผู้ร้องถึงจะมาร้อง ไม่มีอำนาจแล้ว ฝ่ายกกต. ฝ่ายนายทะเบียนพรรคการเมือง สู้ความว่า ได้มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 28 ตุลา 2546 เรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้สั่งยุบพรรคไทว่า วันที่ปรากฎต่อนายทะเบียนนั้น คือวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หมายความว่าเขาอ้างกรณีพรรคไท แล้วเขาก็มาสู้ในกรณีพรรคพลังธรรม คนที่สู้ความนี้ ในนามประธานกกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองคือนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมืองปัจจุบันเคยสู้ความมาแล้ว
และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในคราวนั้นว่า เห็นว่าวันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองนั้นคือวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และก็มีความต่อไป ก็คือข้ออ้างของผู้ถูกร้องข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น


หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว อย่างน้อยในสองกรณีของ2 พรรคการเมือง ทำนองเดียวกัน โดยถือว่า วันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องหรือนายทะเบียนคือวันที่ผู้ร้องพิจารณาและเห็นชอบให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ทีนี้มาในกรณีนี้ กรณีของพรรคประชาธิปัตย์นี้ ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าในวันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนคือวันที่ 17 ธันวาคม ซึ่งกกต.มีมติเสียงข้างมากให้ไปดำเนินการ เพราะฉะนั้นพอมายื่น ในวันที่ 26 เมษาก็เลยเกิน 15 วัน

ข้อเท็จจริงก็ปรากฎว่า วันที่ 17 ธันวาคม ที่มีมติกัน ไม่ใช่เป็นมติให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนไม่ได้ทำความเห็นก็หมายความว่านายทะเบียนยังไม่ได้พิจารณาเห็นชอบให้ร้อง ส่วนนายทะเบียนพอไปเป็นประธานกกต.ก็ลงมติว่าไม่เห็นชอบให้ไปยุบพรรค กกต. 3 คนเป็นเสียงข้างมาก บอกให้ส่งนายทะเบียนไปทำความเห็น

คนที่มีความเห็นให้ยุบพรรคมีคนเดียวคือ คุณวิสุทธิ์ โพธิแท่น

เมื่อเป็นอย่างนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองก็ไม่มีอำนาจและไม่มีหน้าที่ที่จะไปร้อง ส่วนตัวเข้าก็ไม่เห็นชอบให้ร้องอยู่แล้ว จะนับจากวันที่ 17 ธันวา มันก็ไม่น่าจะถูก จะนับต้องมานับวันที่ 21 เมษา เมื่อทั้งนายทะเบียนพรรคก็เสนอให้ยุบ ในฐานะประธานกกต.และกกต.ทั้งคณะก็เห็นร่วมกันให้ไปส่งศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินการตามมาตรา 93 ในตอนวันที่ 17 ธันวาที่พิจารณาก็พูดมาตรา 95 ซึ่งไม่ใช่มาตราที่ว่าด้วยการไปส่งศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะฉะนั้นการที่วินิจฉัยว่า วันที่เริ่มมีอำนาจหน้าที่ที่จะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญนั้นคือวันที่ 17 ธันวา จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

และอีกอย่างหนึ่ง ที่สำคัญคือไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยในกรณียุบพรรคอื่นๆมาแล้ว ปัญหาสองมาตรฐานอย่างน้อยๆที่สุดก็เห็นอยู่ตรงเรื่องนี้ ที่เป็นความแตกต่างในการพิจารณาคดีนี้กับการพิจารณาคดีอื่น

เวลานี้ก็มีเสียงเรียกร้องว่า ถ้าอย่างนี้แสดงว่าเป็นความบกพร่องของกกต. เป็นความบกพร่องของนายทะเบียน หรืออย่างไร ซึ่งผมคิดว่านายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ทั้งคณะก็คงจะต้องชี้แจง

แต่ว่าถ้าคิดแทนนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต. นายทะเบียนพรรคการเมืองคือคุณอภิชาติ เคยสู้ความมาแล้ว และเคยสู้ด้วยประเด็นว่า ความปรากฎต่อนายทะเบียนต้องนับจากวันที่นายทะเบียนพิจารณาและเห็นชอบให้ร้อง ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยตามนั้น คุณอภิชาติในฐานะนายทะเบียนก็ย่อมจะต้องเห็นว่านี่เป็นบรรทัดฐานที่กกต.จะต้องปฏิบัติตาม

มาถึงเวลาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิชาติพิจารณาแล้วยังไม่เห็นชอบให้ร้อง กกต.ก็ไม่ได้มีมติให้ร้อง เขาก็ยังไม่ไปดำเนินการร้อง รอต่อมาจนกระทั่งในฐานะนายทะเบียนและกกต.ทั้งคณะเห็นตรงกัน ให้ร้อง เขาจึงไปดำเนินการในเวลาต่อมา

เพราะฉะนั้นจะไปโทษกกต. ผมก็ดูแล้วไม่น่าจะถูก แต่ว่าถ้ามีเสียงเรียกร้องกกต.ก็ควรจะชี้แจงว่าเห็นด้วย แต่ผมยังคิดว่าประเด็นอยู่ที่การวินิจฉัย ประเด็นที่เป็นปัญหาน่าจะอยู่ที่การวินิจฉัย

ที่นี้ก็อยากจะวิเคราะห์ต่อไปถึงผลที่ตามมา ผลที่ตามมาจากกรณีอย่างนี้จะโดยเจตนาอย่างไรก็ตาม มันมีคำถามตามมามากมายทั้งในแง่ อย่างที่ว่าคือ ตรรกะ เหตุผล สามัญสำนึก ข้อกฎหมาย

ผลที่ตามมาก็คือ ถ้าไม่มีการชี้แจงให้ดี เรื่องนี้จะมีปัญหากระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเองมากยิ่งขึ้น เพราะว่าอย่าลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญเดินเข้าสู่การตัดสินในขณะที่ผู้คนสงสัยว่า ที่คุยกันในคลิปวีดิโอนั้นจริงหรือไม่จริงอยู่แล้ว พอตัดสินออกมาเป็นประเด็นที่คนไม่คาดคิดด้วย

กรณีที่วินิจฉัยไปว่า มาร้องเมื่อเลยกำหนดมาแล้ว แม้แต่ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด ก็ไม่ได้สู้ประเด็นนี้ ไม่ได้สู้เพื่อประเด็นนี้เลย

ประเด็นนี้เมื่อมาไล่ข้อเท็จจริงเทียบกับของเดิมจะกระทบความน่าเชื่อถือ ผลที่ตามมาก็จะกลายเป็นว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นความพยายามเจตนาดีที่จะรักษาพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของระบบปัจจุบันเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็กลับจะกระทบต่อระบบในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น กระทบยิ่งกว่าถ้าจะยุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ

นอกจากนั้นจะทำให้ยังทิ้งปัญหาค้างไว้คือความไว้วางใจต่อกกต. ซึ่งเกิดปัญหานี้ขึ้นในขณะที่จะมีการเลือกตั้งขึ้นในปีหน้าแล้ว
เพราะฉะนั้นผลที่ตามมาก็จะเกิดเป็นความวิกฤตต่อความน่าเชื่อถือ ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจจะไม่หวังขึ้นระบบ จะนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมและวิกฤตในสังคมหนักหน่วงยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์อย่างนี้ก็จะเห็นว่า ตรงกันข้ามกับสิ่งที่นักธุรกิจและวิชาการบางส่วนได้ออกมาให้ความเห็นว่าไม่ยุบน่ะดีแล้ว รัฐบาลจะได้มีเสถียรภาพ การเมืองจะได้มีเสถียรภาพ แต่ว่าผมยังเห็นว่าเรื่องมันจะเป็นตรงกันข้าม รัฐบาลอาจจะอยู่ต่อไปได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ แต่เมื่อมีวิกฤตความน่าเชื่อถือ คนไม่เชื่อถือระบบ คนไม่หวังพึ่งระบบ วิกฤตการเมืองของประเทศจะยิ่งหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้น และก็ยากต่อการแก้ปัญหามากยิ่งขึ้น

ในอนาคตก็จะเป็นปัญหาต่อธุรกิจเอง

เพราะฉะนั้นก็ยังอยากจะเสนอเป็นข้อเสนอต่อประชาชน ต่อผู้ไม่เห็นด้วย และผู้ที่ต้องการให้เกิดความยุติธรรมทั้งหลายว่า ถึงอย่างไรก็ตามก็ควรจะมีการศึกษาคำวินิจฉัย วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและเห็นปัญหาความไม่ถูกต้อง

เพื่อจะไปหาทางสร้างความยุติธรรมโดยสันติวิธีต่อไป ไม่ควรจะไปหันหน้าเข้าหาวิถีทางอื่นใด แต่ว่าพยายามที่จะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ในระยะยาวถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญก็คงจะต้องไปแก้ศาลรัฐธรรมนูญให้มีที่ไปที่มาที่ถูกต้องกว่านี้ และสามารถจะตรวจสอบได้มากกว่าปัจจุบัน

อยากให้มุ่งไปในทิศทางนี้ มากกว่าที่จะหมดหวังกับการหาทางออกให้กับสังคม

ที่มา.โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
--------------------------------------------------------------------------------

เกาะท๊อปบู๊ต แน่นยิ่งกว่า “ปลิง”!!

ถ้าก้าวเป็น “บุรุษหมายเลขหนึ่ง” ของประเทศไทย ต้องอาศัย “พาวเวอร์สีเขียว” หยั่งงี้, น่าอับอาย ขายหน้า “ผู้หญิง”??

เป็นหญิงแกร่ง ดอกไม้เหล็ก..ที่จะก้าวสู่การเมือง บนถนนประชาธิปไตย ด้วยเสียงเรียกร้องของประชาชน.. โดยไม่อิงกองทัพ ให้เสียราคา

ตบมือกราวใหญ่ ..ให้กับ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน (ชินวัตร) ณ. ป้อมเพ็ชร สนองตอบกลับแรงศรัทธา

ข่าวว่ายามนี้ “คุณหญิงอ้อ” ปลีกวิเวก สงบใจ ใฝ่ธรรม ละสันโดษ ใจนิ่งและเย็น..พร้อมที่ลงเลือกตั้ง เป็นนักการเมืองที่สมศักดิ์ศรี!!

เป็นผู้หญิงอกสามบอก...โดยไม่ต้องใช้ทหารเป็นหัวหอก?...หลอกประชาชน ในการเป็นนายกรัฐมนตรี???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“อัจฉริยะ” ติดมากับตัว!!!

สมองเป็นเลิศ... ที่ใครมองข้าม “ยี้ห้อย” เนวิน ชิดชอบ นายใหญ่ภูมิใจไทย จะเสียใจนะทูนหัว???

รากฐาน การสร้างมวลชน “เนวิน” ยังเป็นที่หนึ่ง

กองเชียร์ ทีมบอลปราสาทสายฟ้า “บุรีรัมย์” ยอดเยี่ยมติดท็อปเทน จนใครก็คาดไม่ถึง

“เนวิน” ยังเป็นมฤตยูตัวอันตราย ที่กุมหัวใจมวลชนได้เป็นปึกแผ่น...ซึ่งเหมือนกับ “ทักษิณ ชินวัตร”, “สนธิ ลิ้มทอง

กุล” ,พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ที่รู้หัวอกชาวบ้านเป็นอย่างดี..แต่ท้ายที่สุด ก็โดนเชือดตายคาเขียง!!!

เหลือเพียง “เนวิน” คนเดียว....จะรอดไปได้สักกี่เสี้ยว..เดี๋ยวท่านก็เดี้ยง???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใช้ “ความดี” ซื้อใจ “สส.งูเห่า”!!!

เอาคุณธรรม ความจริงใจ แบออกให้กันอย่างนี้...สุดท้ายแล้ว “คุณพี่เผดิมชัย สะสมทรัพย์” คีย์แมนพรรคเพื่อไทย ก็เสียใจเปล่า ๆ ????

เพราะทำตัวเป็น “ชาวนาผู้แสนดี” อุ้ม “งูเห่าพิษร้าย” หวังว่าเมื่อไม่ขับไล่ออกจากพรรค คงมีความซื่อสัตย์ ให้กันมั่ง

แต่งูเห่าเชื้อร้าย.. ไม่เคยมีสำนึกซักครั้ง

“สส.เผดิมชัย” จึงเสียใจอย่างสุดซึ้ง กล่าวขอโทษต่อสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ “งูเห่า”ก่อกบฏให้กับพรรค อย่างต่อเนื่อง!!!

คงได้ประจักษ์เสียที..งูเห่าพวกนี้...ปรนเปรออย่างนี้ ก็เลี้ยงไม่เชื่อง???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ทักษิณ”ชั่ว..ตัว “สนธิ” ก็เลว!!!

“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ด่าคนอื่นเป็นไฟ ด้วยการเท้าสะเอว???

ทีเลวทีชั่วไร้ตะกั่วปน ล้วนเป็น “คนดี” ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เคยมีไมตรีทั้งนั้น

“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ใครหนอไปกล่อม เชิญชวนให้มาอยู่ในพรรค มิใช่พรรคนี้หรือท่าน

“สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่กระชุ่นด่าว่าเลวนักเลวหนา...ใครกันหว่า เคยใช้บริการ ให้ล้มรัฐบาลประชาธิปไตย ของ “อดีตนายกฯทักษิณ” จนชาติบ้านเมืองเดือดร้อน!!

ด่าคนอื่นเค้าไปทั่ว...แต่ลืมนึกตัวตัว?...ว่าเกลือกลั้ว กับเขามาก่อน???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทางเลือก “ประเทศไทย”!!

ถ้าประมุขทำเนียบไทยคู่ฟ้า เป็น ของ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ทุกคนก็รับไม่ได้??

ครั้นจะให้ “ชวน หลีกภัย” เป็นชายสามโบสถ์ ยกประโยชน์ให้มาเป็น “นายกรัฐมนตรี” รอบที่ ๓ ทหารเขาก็รับ ไม่ลง

สั่งซ้ายหันขวาหัน อย่าง “อภิสิทธิ เวชชาชีวะ” ไม่ได้ .. มีหรือที่เขาจะเสริมส่ง

ฉะนั้น,ถ้าจะมี “รัฐบาลแห่งชาติ” ให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นแหละดีที่สุด..เพราะจะเป็น “ไม้ค้ำยัน” ให้ชาติได้เป็นอย่างดี!!!

ได้ “บิ๊กป้อม” ขึ้นมา...ยังเป็นตัวช่วย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”...ไม่มีใครกล้าแซะเก้าอี้ ด้วยหละพี่?????


คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร,บางกอกทูเดย์
*************************************************************

ชีวิตไพร่

“ขังลืมเสื้อแดง แต่ลืมขังเสื้อเหลือง”

ป้ายข้อความของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องเพื่อแสดงให้เห็นถึงการใช้นิติรัฐ 2 มาตรฐาน รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยุบศูนยอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และปล่อยตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวนักโทษการเมืองทั้งหมด

เพราะวันนี้กว่า 6 เดือนแล้วที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน และคนเสื้อแดงถูกคุมขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาก่อการร้าย ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายจากกรณียึดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อค่ำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 แต่ให้ประกันตัว และยังไม่มีการส่งฟ้องใดๆ

แม้ พธม. จะอ้างว่าไม่ได้ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ แต่การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท) เป็นผู้สั่งปิดเอง แต่แถลงการณ์ พธม. ฉบับที่ 26/2551 วันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 มีข้อความระบุว่า

“พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับการชุมนุม และเพิ่มมาตรการอารยะขัดขืน โดยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อยื่นคำขาดผ่านพี่น้องประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลกไปยังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และคณะรัฐบาล ให้ลาออกจากตำแหน่งโดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข”

ขณะที่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 91 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน คนเสื้อแดงที่เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับมีแนวโน้มถูก “ขังฟรี ตายฟรี และเจ็บฟรี” ส่วน “คนสั่งฆ่ายังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล”

และยิ่งน่าสลดหดหู่เมื่อพบว่ามีการจับกุมแบบเหวี่ยงแห ทรมานและบังคับให้คนเสื้อแดงที่ถูกจับสารภาพอีกด้วย ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งไม่ได้กระทำความผิด ทั้งยังมีการจับกุมนักศึกษาที่เพียงแค่ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองซึ่งตรงข้ามกับรัฐบาลและ ศอฉ.

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ต้องหาคดีร่วมกันวางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหารเกิดอาการเครียดที่ไม่ได้รับการประกันตัว จึงตัดสินใจดื่มน้ำยาปรับผ้านุ่มหลังกล่าวลาภรรยาที่ไปเยี่ยม

ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนได้รับการร้องเรียนจากทนายผู้ต้องขังคดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เกือบทุกรายจะถูกซ้อมทรมานในเรือนจำ

ดังนั้น ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่มีความยุติธรรมและ 2 มาตรฐาน ก็ไม่มีวันที่จะเกิดความปรองดอง ทั้งยังอาจจะเห็นมิคสัญญีครั้งใหญ่อีกด้วย


ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************

"คมสันตราดามุส" เผยเคยชี้แล้วคดี29ล้าน กกต.ตกหลุมกฎหมายแน่ ฟันธง"คดี258ล้าน"ซ้ำรอยเดิม

อจ.นิติศาสตร์ มสธ. ชี้เป็นหลักสากลถ้ากระบวนการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงผิดแต่ต้น ก็ไม่จำเป็นต้องดูข้อเท็จจริง วิเคราะห์คดี "258ล้าน" ไม่พ้นซ้ำรอยเดิม เหตุ กกต.ฟ้องผิดข้อ กม.

หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปปัตย์ กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ด้วยการยกคำร้องตามมติ 4:2 นั้น นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ผู้ซึ่งเป็นนักกฎหมายคนแรกๆ ที่เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบเพราะกระบวนการในการดำเนินคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ผิดพลาดแต่ต้น

นายคมสัน ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเคยเสนอว่ายุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เพราะว่ากระบวนการของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประเด็น

1.การใช้กฎหมาย โดย กกต.ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งอันที่จริงควรใช้กฎหมายของปี 2541 เนื่องจากเป็นการกระทำในอดีต
2.อำนาจการวินิจฉัย เป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ใช่ กกต.
3.นายทะเบียนพรรคการเมืองเคยชี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ผิด แต่ กกต.ก็กลับหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้งไม่ได้


เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ กกต.ผิดพลาดเอง ซึ่งก็เคยแนะนำไปแล้วว่าจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ เมื่อขึ้นสู่ศาลก็ต้องถูกยกฟ้องแน่นอน เรื่องนี้ตนก็พูดมาตลอด

นักวิชาการรายเดิม กล่าวต่อว่า ศาลได้พิจารณาโดยตัดประเด็นในแง่ของข้อเท็จจริงออกไป เนื่องจากว่าโดยหลักสากลแล้วกระบวนการยุติธรรมนั้นจะต้องพิจารณาด้วยว่ากระบวนการอันได้มาซึ่งข้อเท็จจริง การสอบสวน การยื่นคำร้องเหล่านี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลจึงจะพิจารณาต่อในขั้นของข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งหากการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะขัดต่อหลักนิติรัฐ

"อันนี้มันเป็นหลักสากลอยู่แล้วทั่วโลกเค้าทำกัน คือขั้นแรกต้องพิจารณาในแง่กฎหมายว่าถูกต้องตามกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ ถึงจะมาพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง ยกตัวอย่างเหมือนในหนังต่างประเทศที่เราดูกัน ก่อนที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมคนร้าย จะต้องแจ้งสิทธิที่ผู้ต้องหาพึงจะได้เสียก่อน หากดำเนินการจับกุมไม่ถูกขั้นตอนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็แพ้คดีตั้งแต่ต้น โดยไม่จำเป็นต้องไปพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริงเลย" นายคมสันกล่าว และว่า เมื่อศาลพบว่ากระบวนการของ กกต.บกพร่องหลายประการ มีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย ยื่นคำร้องล่าช้าก็ดี ไม่ถูกต้องด้วยกระบวนการก็ดี สามารถตัดการพิจารณาข้อเท็จจริงไปได้เลย อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกทำกัน

เมื่อถามว่า มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อศาลเห็นว่ากระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ผิดแต่ต้นเหตุใดจึงนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี นักวิชการรายเดิม กล่าวว่า เป็นไปได้ที่ว่าในชั้นของการยื่นคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ แต่มาปรากฏในชั้นของการไต่สวนก็เป็นได้ ซึ่งเมื่อศาลเห็นตรงจุดนี้จึงนำมาสู่การตัดสินในที่สุด

"อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นไปได้อีกในแง่การเมืองที่ว่ากระแสสังคมกดดันหนัก ศาลจึงต้องการที่จะให้เกิดความกระจ่างแจ้ง เป็นไปได้ที่ว่าอาจจะปล่อยให้กระบวนการไต่สวนมันครบถ้วนกระบวนความ นำคู่กรณีมาไต่สวนงัดข้อเท็จจริงต่างๆ มาตีแผ่ผ่านศาล สมมุติว่าศาลเห็นประเด็นนี้ (กระบวนการ กกต.ผิดแต่ต้น) อยู่ก่อนแล้ว แต่ครั้นจะให้ยกคำร้องทันที ตั้งแต่ที่ กกต.ยื่นมาโดยที่ไม่มีการไต่สวน ก็เกรงว่าอาจจะถูกครหาก็ได้ว่า 2 มาตรฐาน หรือจะถูกครหาว่าไม่ฟังความใดๆ เลย ยังไม่ทันฟังคำชี้แจงหรือข้อเท็จจริงอะไรเลย จู่ๆ ให้ยกคำร้องเสียแล้ว อันนี้ก็เป็นไปได้ที่ทำให้ศาลตัดสินใจปล่อยให้มาถึงกระบวนการพิจารณาถึงขั้นนี้ แต่ตรงนี้เป็นเพียงการคาดเดาของตนเท่านั้น" นายคมสัน กล่าว

อจ.นิติฯ มสธ. กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าศาล รธน.ดำเนินการถูกต้องตาม Proceed of Law คือการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงของผู้ร้องจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน จึงจะพิจารณาในแง่ของข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่ากับคำพิพากษาตรงนี้จะมีผลอย่างไรต่อไปกับคดีการบริจาคเงิน 258 ล้านหรือไม่ นายคมสัน กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าจะมีผลให้ยกคำร้องในคดีนี้ แต่ต้องดูที่เงื่อนไขเวลาว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องคดี 258 ล้านนี้ ก่อนหรือหลังวันที่ 17 ธันวาคม 2552 (เป็นวันเดียวกับที่ กกต.ยื่นคำร้องยุบ ปชป. ในคดี 29 ล้าน) ถ้ายื่นหลังก็หมดสิทธิแน่นอนเข้าข่ายล่าช้า 15 วัน แต่ถ้าวันเดียวกันก็เป็นไปได้ที่จะมีชะตากรรมในแบบเดียวกัน

"แต่ถ้ายื่นหลัง ผมก็ยังเห็นว่ามีโอกาสหลุดอยู่ดี เพราะว่าฟ้องผิดข้อกฎหมายคือ กกต.ยื่นฟ้องในลักษณะที่ว่าเมซไซอะเป็นนอมินีรับเงิน ปชป. ซึ่งมันไม่ใช่ แต่ควรจะตีในประเด็นที่ว่า รับเงินบริจาคแล้วไม่แจ้ง อาจเรียกได้ว่า กกต.ฟ้องข้อหาที่หนักเกินกว่าความเป็นจริง เปรียบไปก็เหมือนกับไปยัดข้อหาเค้า ซึ่งเท่าที่ผมดู กกต.ชุดนี้จัดว่ามีปัญหาในแง่ของข้อกฎหมายเยอะ แพ้คดีมาหลายครั้ง แม้แต่กับกรณีของนายเรืองไกร (ลีกิจวัฒนะ) ก็ตาม ซึ่งจะว่าไปแล้ว กกต.ชุดนี้ก็มีอดีตผู้พิพากษาหลายคน จนเกิดคำถามว่าทำไมจึงพลาดง่ายๆ ได้"

เมื่อถามว่าหาก กกต.ยื่นก่อน 15 วัน มีโอกาสหรือไม่ที่ ปชป.จะชนะ นักวิชาการรายเดิม กล่าวว่า อันที่จริง กกต.ก็ชี้ไปหลายครั้งแล้วว่าเค้าไม่ผิด แต่จู่ๆ ก็ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาใหม่ ซึ่งอาจจะด้วยแรงกดดันของเสื้อแดง สังคม หรืออะไรก็ตาม ก็มีการชี้หลายครั้งแล้ว คือมาตรฐานไม่มีเลย

เมื่อถามว่ากับคดียุบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) และพลังประชาชน (พปช.) ต่างกันอย่างไร นายคมสัน กล่าวว่า ต่างกันโดยสิ้นเชิง กรณีของ ทรท.คือมีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครและเปลี่ยนแปลงฐานบัญชีรายชื่อผู้สมัครเพื่อให้สามารถลงแข่งในการเลือกตั้งได้ จนนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาล ตรงนี้เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อวิถีประชาธิปไตย ในมาตรา 68 ส่วน พปช.นั้นเป็นกรณีที่ กก.บห.ซื้อเสียงทุจริตการเลือกตั้งไม่เหมือนกันเลย คือไม่ใช่เรื่องของ 2 มาตรฐานอย่างแน่นอน
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ที่สุดในโลก

นับตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค. เป็นต้นมา

บวกเข้ากับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ได้บรรเทาเบาลงอย่างที่รัฐบาลชุดนี้พยายามโหมโฆษณา

ทำให้ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับสูงขึ้นในแง่ความเป็นดินแดนที่มีความเสี่ยงอันตรายชั้นนำของโลก

กลางเดือนที่ผ่านมา บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงภัยก่อการร้ายทั่วโลก สำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เผยผลการศึกษาดัชนีวัดความเสี่ยงภัยก่อการร้ายใน 196 ประเทศทั่วโลก

อ้างอิงข้อมูลความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์ อาทิ ภัยจากการโจมตีประเภทต่างๆ บวกความสูญเสียที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เดือนมิ.ย.2552 ถึงเดือนมิ.ย.2553

พบว่าไทยอยู่อันดับ 7 สูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่อันดับ 9

ไม่รู้เกี่ยวกันหรือไม่กับกรณีนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยกเลิกแผนเดินทางพักผ่อนในประเทศไทยช่วงคริสต์มาส

เหตุการณ์การสลายม็อบเดือนเม.ย.-พ.ค.

ยังส่งผลให้องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน หรืออาร์ เอสเอฟ จัดให้ไทยอยู่อันดับที่ 153 จากทั้งหมด 178 ประเทศ ในการจัดอันดับเสรีภาพสื่อประจำปี 2553

ในรายงานระบุสาเหตุเสรีภาพสื่อในไทยร่วงลงไปถึง 23 อันดับ จากปีก่อนในอันดับที่ 130 มาอยู่อันดับ 153 ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี

เป็นผลจากการขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.

ซึ่งมีนักข่าวต่างประเทศ 2 รายถูกยิงเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีกราว 15 คนทั้งสื่อเทศสื่อไทย

ในรายของสื่อไทย นายไชยวัฒน์ พุ่มพวง ช่างภาพเดอะ เนชั่น

ถูกยิงด้วยปืนทาโวร์ บาดเจ็บกลายเป็นคนขาพิการ

อันเป็นที่มาของการจัดตั้ง'กองทุนเพื่อเพื่อน' ช่วยเหลือช่างภาพสื่อมวลชนไทยที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติหน้าที่

ล่าสุดเรื่องของสื่อกับการทำข่าวเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดง

ยังมีอยู่ว่า นักข่าวและช่างภาพอิสระชาวอเมริกันชื่อ นายโรเจอร์ อาร์โนลด์ ได้รับรางวัลเกียรติยศ 'โรรี่ เพ็ก นิวส์ อวอร์ด'ประจำปี ของกองทุนโรรี่ เพ็ก ซึ่งมีสำนักงานอยู่กรุงลอนดอน

จากผลงานการเสี่ยงชีวิตบันทึกภาพเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงทางการเมืองช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2553

พร้อมยกระดับให้กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย

เป็นพื้นที่อันตรายที่สุดในโลก

ข่าวสดรายวัน-เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กกต.เตรียมทบทวนบทบาทการทำงาน

นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยของคดีดังกล่าวออกมาในลักษณะเช่นนี้ ทุกฝ่ายก็คงต้องยอมรับคำวินิจฉัยของศาล เนื่องจากถือเป็นที่สิ้นสุด สำหรับในส่วนของนายทะเบียนพรรคการเมืองและกกต.ถือว่า ได้ทำในส่วนที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ แม้ว่าศาลจะไม่ได้มีคำวินิจฉัยในส่วนของข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ออกมาก็ตาม อย่างไรก็ตาม กกต. ได้ส่งสำนวนที่เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไปที่ศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 2 คดี คือ คดีความผิดเกี่ยวกับใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่ตรงกับรายงานความเป็นจริงและคดีความผิดเกี่ยวกับเงินบริจาค 258 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ขณะนี้ยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล

ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เห็นว่า หากศาลจะตัดสินเช่นนี้ก็ไม่น่าจะเสียเวลาสืบพยานเป็นปี ทำให้ขาดโอกาสที่จะได้รับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดตามคำฟ้องหรือไม่ ซึ่งผลจากการพิจารณายอมรับว่า กกต. ต้องกลับมาทบทวนบทบาทการทำงาน โดยในการประชุม กกต. วันอังคารนี้ น่าจะมีการหยิบยกเรื่องนี้มาหารือว่าเกิดกรณีเช่นนี้ได้อย่างไร.

ที่มา.สำนักข่าวไทย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อำนาจการเมืองเปลี่ยนความจริง89ศพจะปรากฏ!

นายชัยธวัช ตุลาธน ถือเป็นผู้ประสานงานสำคัญคนหนึ่งของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ทำหน้าที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิต จึงรู้ดีว่าทำไม 6 เดือนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าคดี 89 ศพที่เกิดจากการ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” ขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลับถูกจับและขังฟรี

มุมมองของนายชัยธวัชจึงน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะการตรวจสอบคดีที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ไม่มีความคืบหน้าและมีความล่าช้า กว่าดีเอสไอจะขยับทำอะไรก็เลยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานมาก ดีเอสไอให้ความสำคัญกับการฟ้องร้อง นปช. หรือคนเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้ายเป็นหลัก

พฤติกรรมประหลาด

ขณะเดียวกันการสอบสวนการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ศปช. พบว่าดีเอสไอยังไม่ทันสอบสวนแต่กลับระบุสาเหตุของการตายว่าเป็นอย่างไร และนำมาฟ้องแกนนำ นปช. ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยอ้างการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตรงนี้ถือเป็นลักษณะแปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

“มันขัดกันเอง เพราะดีเอสไอยังไม่มีคำตอบเลยว่าคนที่เสียชีวิตนั้นเกิดจากอะไร แต่กลับบอกว่าคนเสื้อแดงบางส่วนเป็นผู้ที่ทำให้เสียชีวิตแล้ว”

การคลี่คลายการเสียชีวิต 89 ศพของดีเอสไอจึงค่อนข้างสับสน อย่างรัฐบาลถูกกระแสกดดันจากสังคมมาก็บอกว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน แต่พอครบ 45 วันก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าการชันสูตรพลิกศพและคดีจะเสร็จเมื่อไร อย่างไร

โดยเฉพาะปฏิกิริยาล่าสุดของดีเอสไอที่ทำตัวลุกลี้ลุกลนแถลงความคืบหน้าการชันสูตรพลิกศพซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 โยนไปให้คนชุดดำ กลุ่มที่ 2 การเสียชีวิตของประชาชนและสื่อมวลชนต่างประเทศอาจเกิดจากการนำกำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่ แต่ก็ใช้คำที่คลุมเครือและระมัดระวังมาก โดยไม่ได้บอกตรงๆว่าเป็นการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ และกลุ่มที่ 3 ไม่มีความคืบหน้าที่จะสามารถระบุกลุ่มคนร้ายได้

“ดังนั้น รายละเอียดที่ดีเอสไอแถลงแสดงว่าคดี 89 ศพยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย แม้แต่กรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นักข่าวญี่ปุ่น ดีเอสไอเคยระบุว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าเสียชีวิตจากฝ่ายไหน เพราะไม่มีพยานมาให้ปากคำ แต่เท่าที่ทราบไม่แน่ใจว่าดีเอสไอโกหกหรือต้องการปกปิด เพราะดีเอสไอน่าจะมีข้อมูลและมีพยานที่ให้ปากคำแล้ว นอกจากความล่าช้าของดีเอสไอแล้วยังมีความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการทำงานที่ทำตามกระแส พอมีกระแสกดดันทีก็ออกมาขยับที แต่ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ดีเอสไอทำงานล่าช้าน่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งในตัวเองด้วย”

อย่าลืมว่าดีเอสไอถือเป็นคู่กรณีในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และค่อนข้างมีบทบาทมาก โดยเฉพาะการออกมาพูดเรื่องผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลและ ศอฉ. นำมาอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ดังนั้น ถ้ามีการสอบสวนให้ชัดเจนแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่เป็นต้นเหตุให้มีการเสียชีวิต ดีเอสไอก็ต้องมีส่วนในการรับผิดด้วยถ้ามีการฟ้องร้องกัน

ปัญหาภายในดีเอสไอ

ความจริงดีเอสไอยังมีปัญหาอื่นอีกมาก ที่สำคัญมากคือการรายงานผลการชันสูตรศพแก่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตที่เคยไปติดต่อยื่นเรื่องกับดีเอสไอเพื่อขอให้เปิดเผยรายงานการชันสูตรศพ ซึ่งดีเอสไอบอกว่าได้รับรายงานมาบางส่วนแล้ว แต่ถ้าดูจากข้อมูลของตำรวจ การชันสูตรศพเสร็จสิ้นแล้วทั้ง 89 ราย ดังนั้น ที่ดีเอสไอเคยรับปากว่าจะเปิดเผยรายงานการชันสูตรศพให้กับญาติผู้เสียชีวิต จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการส่งผลให้ ทั้งๆที่ญาติผู้เสียชีวิติมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรับรู้ว่าแต่ละคนเสียชีวิตอย่างไร

“จริงๆแล้วการสอบสวนสาเหตุการตายทั้ง 89 ศพมีอุปสรรคหลายอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าดีเอสไอได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารแค่ไหนในการพิสูจน์หลักฐานและข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญหลักฐานแวดล้อมต่างๆ เช่น วัตถุก็ถูกทำลายไปมาก จะโดยจงใจและไม่จงใจก็ตาม ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการจงใจทำลายหลักฐานตั้งแต่ครั้งรณรงค์ให้คนมาทำความสะอาด เพราะไม่รู้ว่าหลักฐานอย่างรอยกระสุนนั้นยังอยู่ครบหรือไม่”

นายชัยธวัชยังชี้ว่า ถ้าคดีไม่คืบหน้าจะเกิดผลเสียต่อรัฐบาล เพราะสังคมกำลังรอคำตอบอยู่ ไม่ใช่แค่สังคมไทย เพราะยังมีนักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นและญาติก็มีการติดตามสอบถามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะมีคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทยว่ามีความยุติธรรมจริงและมีการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะมีหลักฐานแวดล้อมมากมายที่เชื่อว่ารัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียขึ้น

รัฐบาลบิดเบือนประเด็น

ส่วนการใช้ประเด็นความปรองดอง รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมานั้น นายชัยธวัชเห็นว่าเป็นการทำเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลมากกว่า เพราะแทนที่จะมุ่งสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นฝ่ายผิด ใครควรได้รับการลงโทษ แต่รัฐบาลกลับทำให้สังคมไขว้เขวไปเรื่องการปรองดองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งที่จะต้องทำให้ความจริงและความยุติธรรมปรากฏก่อนจึงจะมีการปรองดอง

“ผมขอเตือนรัฐบาลว่าถ้าไม่ทำคดี 89 ศพให้มีความคืบหน้าและมีความชัดเจนก็มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้สถานการณ์เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต เนื่องจากญาติผู้เสียชีวิตมีความโกรธแค้น ความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่อาจไม่ใช่ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นมาแบบรวดเร็วใหญ่โต แต่จะเป็นลักษณะที่สะสมไปเรื่อยๆ และผลกระทบนี้จะไม่กระทบแค่รัฐบาลเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อระบบระเบียบหรือโครงสร้างสังคมการเมืองไทยในระยะยาวด้วย”

ต้องเปลี่ยนผู้มีอำนาจ

นายชัยธวัชยืนยันว่า อุปสรรคสำคัญในการคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ ตั้งแต่การสืบสวนหาข้อเท็จจริงนั้น จากการศึกษาบทเรียนและประสบการณ์จากประเทศต่างๆ รวมทั้งของประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่ความยุติธรรมและการคลี่คลายความขัดแย้งได้ก็ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คืออย่างน้อยคนที่อยู่ในอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงต้องพ้นไปจากอำนาจก่อน

“ถ้าคนที่อยู่ในอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐอื่นๆ ยังมีอำนาจทางการเมืองอยู่ จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องเปลี่ยนรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่เปลี่ยนก็ไม่มีทางที่จะได้ความจริงจาก 89 ศพ เพราะรัฐบาลนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ และจะหวังให้ดีเอสไอสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ความยุติธรรมคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++