--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ส.ส.ในพื้นที่น้ำท่วม หลังน้ำลดเจอศึกน้ำลาย

โดย : บายไลน์ Resercher & Rewriter

ขานชื่อส.ส.โซนน้ำท่วม ใครเป็นใคร..ในวันวิกฤต หลังน้ำลดเจอ"ศึกน้ำลาย"

อุทกภัยในต้นฤดูหนาว พ.ศ.นี้ ขยายวงกว้างเกินกว่าที่คาดคิด ทั้งที่ราบสูง และที่ราบลุ่ม ข้อมูลล่าสุด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สรุปรายงานสถานการณ์ในช่วงวันที่ 10 - 23 ต.ค. 2553 พบว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 30 จังหวัด 196 อำเภอ 1,419 ตำบล 9,365 หมู่บ้าน ปัจจุบันอุทกภัยคลี่คลายแล้ว 2 จังหวัด

ภาครัฐ ทั้งในส่วนฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการ ต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบริหารจัดการในภาวะวิกฤติมีปัญหา ไม่ทันท่วงที และไม่ประสานงานกัน

สำหรับนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน ทั้งฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน ไม่สู้จะมีข่าวคราวว่าได้แสดงตัวตนช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่อย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงขอขานชื่อ ส.ส. 10 จังหวัด ที่จมบาดาลหนักที่สุดสิบกว่าจังหวัดดังนี้

นครราชสีมา ถึงขั้นประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทั้งจังหวัด น้ำท่วม 31 อำเภอ 376 ตำบล 2 ,158 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่ เป็นอำเภอในเขตเลือกของ ส.ส.เขต สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลคือ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา และ พรรคภูมิใจไทย
เขต 1 วัชรพล โตมรศักดิ์ รวมชาติพัฒนา นายประเสริฐ บุญชัยสุข พรรครวมชาติพัฒนา นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล พรรครวมชาติพัฒนา
เขต 2 ประนอม โพธิ์คำ เพื่อแผ่นดิน ,จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล เพื่อแผ่นดิน ,พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ เพื่อไทย
เขต 3 บุญเลิศ ครุฑขุนทด เพื่อไทย, ลินดา เชิดชัย เพื่อไทย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง เพื่อไทย
เขต 4 ทัศนียา รัตนเศรษฐ รวมชาติพัฒนา, ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน, อนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ เพื่อแผ่นดิน
เขต 5 ภิรมย์ พลวิเศษ ภูมิใจไทย, สมชัย ฉัตรพัฒนศิริ รวมชาติพัฒนา เขต 6 พลพีร์ สุวรรณฉวี เพื่อแผ่นดิน

ชัยภูมิ เป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรองลงมาจากโคราช น้ำท่วม 16 อำเภอ 113 ตำบล 1,305 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตเกือบทั้งจังหวัดเป็นฝ่ายค้าน มี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลอยู่เพียงคนเดียว
เขต 1 เชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ ชาติไทยพัฒนา,เจริญ จรรย์โกมล เพื่อไทย,มานะ โลหะวณิชย์ เพื่อไทย
เขต 2 สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ เพื่อไทย,ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย
เขต 3 ปาริชาติ ชาลีเครือ เพื่อไทย, สุนทรี ชัยวิรัตนะ เพื่อไทย

ลพบุรี เป็นจังหวัดในที่ราบลุ่มภาคกลางที่โดนหนักที่สุดใน น้ำท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ 120 ตำบล 1,012 หมู่บ้าน
เขตเลือกตั้งที่เจอภัยธรรมชาติหนักหนาสาหัส จะเป็นพื้นที่ของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล
เขต 1 มัลลิกา จิระพันธ์วาณิช ชาติไทยพัฒนา, ผ่องศรี ธาราภูมิ ประชาธิปัตย์,สุชาติ ลายน้ำเงิน เพื่อไทย
เขต 2 อำนวย คลังผา เพื่อไทย,นิยม วรปัญญา เพื่อไทย

พระนครศรีอยุธยา เจอภาวะน้ำเอ่อล้นจาก 3 แม่น้ำคือ เจ้าพระยา, ลพบุรี และแม่น้ำน้อย ท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ 54 ตำบล 297 หมู่บ้าน กรุงเก่าเป็นพื้นที่ ส.ส.เขตค่อนจังหวัด เหลือเพียงหนึ่งเดียวคือชาติไทยพัฒนา
เขต 1 สุรเชษฐ์ ชัยโกศล เพื่อไทย, พ้อง ชีวานันท์ เพื่อไทย, เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ชาติไทยพัฒนา
เขต 2 สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล เพื่อไทย, วิทยา บุรณศิริ เพื่อไทย

สระบุรี เป็นที่ราบภาคกลางอีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งเจอน้ำทะลักจากเขื่อนป่าสัก และน้ำล้นจากทางด้านอยุธย น้ำท่วมในพื้นที่ 13 อำเภอ 111 ตำบล 973 หมู่บ้าน
พื้นที่น้ำท่วมเป็นเขตเลือกตั้งของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด
เขต 1 กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ประชาธิปัตย์,ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ภูมิใจไทย
เขต 2 วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ ประชาธิปัตย์, องอาจ วงษ์ประยูร ประชาธิปัตย์

ชัยนาท น้ำท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 40 ตำบล 342 หมู่บ้าน
ส.ส.เขตมี 2 คน แยกกันอยู่คนละพรรค เขต 1 ชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง เพื่อไทย,พรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ภูมิใจไทย

สุพรรณบุรี น้ำท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ 61 ตำบล 304 หมู่บ้าน
ดั่งที่ทราบกัน เมืองสุพรรณเป็นฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนา หรือ "บรรหารยกจังหวัด"
เขต 1 นพดล มาตรศรี, นิติวัฒน์ จันทร์สว่าง, ชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ เขต 2 เจรจา เที่ยงธรรม, พัชรี โพธสุธน

อ่างทอง น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าท่วมพื้นที่ 7 อำเภอ 52 ตำบล 215 หมู่บ้าน
ในทางการเมือง ก็เป็นพื้นที่ของพรรคชาติไทยพัฒนาเหมือนกัน ส.ส.เขต จึงมีนามสกุลเดียวกันคือ ภราดร ปริศนานันทกุล และภคิน ปริศนานันทกุล

นนทบุรี ปลายน้ำที่กำลังอ่วมจากน้ำเหนือและน้ำหนุน เข้าท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ
ส.ส.เขตก็แบ่งกันไป ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
เขต 1 อุดมเดช รัตนเสถียร เพื่อไทย,นิทัศน์ ศรีนนท์ เพื่อไทย,มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ ภูมิใจไทย
เขต 2 ณรงค์ จันทนดิษฐ ประชาธิปัตย์,ทศพล เพ็งส้ม ประชาธิปัตย์,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เพื่อไทย

ปทุมธานี น้ำท่วมซ้ำซาก เพราะเจอน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ,เขื่อนป่าสัก และเขื่อนท่าด่าน
จังหวัดนี้ "เพื่อไทยยกจังหวัด" ทั้งเขต 1 สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล, สุทิน นพขำ เขต 2 พรพิมล ธรรมสาร, ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี, ชูชาติ หาญสวัสดิ์ พรรคเพื่อไทย

บุรีรัมย์ กลายเป็นเมืองทางผ่านของน้ำที่ไหลมาจากโคราช ทำให้ท่วมพื้นที่ 11 อำเภอ
แม้ ส.ส.เขตอาจจะมีบางพรรคแทรกเข้ามา แต่โดยส่วนใหญ่ ก็อยู่ในสังกัด "บ้านใหญ่ชิดชอบ" โดยเฉพาะพื้นที่ลำปลายมาศ ของ โสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม

ส่วนที่เหลือเกือบ 20 จังหวัด น้ำท่วมกระจายตัว ได้รับผลกระทบไม่หนักเท่ากับจังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น
ว่ากันว่า "น้ำท่วม" หรือ "แล้งเข็ญ" ล้วนเป็นวาทกรรมที่ "นักเลือกตั้ง" ใช้ประโยชน์ในทางการเมืองได้ทั้งสิ้น

น้ำท่วม-ตอผุด


โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


หาย นภัยน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายมโหฬาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงว่ามีพื้นที่การเกษตรเสียหายไปแล้ว 4 ล้านไร่ ยังมีพื้นที่เขตเมืองที่ถูกน้ำท่วมอย่างหนักอีกหลายแห่ง ที่กล่าวขวัญกันมากคือโคราชจมน้ำไปทั้งเมือง (และจะตามมาด้วยเมืองอื่นตามลำน้ำมูล กว่าที่น้ำจะไหลลงแม่น้ำโขงได้) เมืองใหญ่ในลุ่มเจ้าพระยาได้สร้างพนังกั้นน้ำไว้แล้ว จึงอาจไม่จมทั้งเมืองอย่างโคราช แต่ชนบทที่รายรอบเมือง รวมทั้งเมืองเล็กที่ไม่มีพนังกั้นน้ำ ก็จะเผชิญกับการเอ่อล้นของแม่น้ำเจ้าพระยาในอนาคตอันใกล้นี้

คำอธิบายภัยธรรมชาติครั้งนี้คือ ปรากฏการณ์ลานิญามาเร็วกว่าที่เคย ทำให้ปลายฤดูฝนกลับมีฝนตกชุกอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ผลก็คือน้ำบนภูเขาทะลักลงมาอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะรับมือทัน


คำอธิบายนี้คงไม่ผิดในตัวเอง แต่ไม่ได้ตอบปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะฝนมากและถี่อย่างเดียวไม่เพียงพอจะอธิบายได้ ส่วนใหญ่ของความเสียหายเกิดจากการจัดการ ไม่ใช่เกิดจากน้ำ ความล้มเหลวในการจัดการนั้นไม่เฉพาะแต่การจัดการน้ำเท่านั้น แต่รวมถึงการจัดการอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำอีกมากมายหลายอย่าง

ที่พูดกันมากก็คือ น้ำท่วมเกิดจากความสูญเสียพื้นที่ป่า ซึ่งจะสามารถซับน้ำให้ไหลลงจากภูเขาช้าลง (ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของป่าในแง่นี้ยังถกเถียงกันอยู่ในวงวิชาการ เพราะมีบางทรรศนะที่เห็นว่าป่าไม่สามารถทำหน้าที่ซับน้ำในลักษณะนี้ได้เลย) แต่การสูญเสียพื้นที่ป่า ไม่ได้เกิดจากผู้คน (ทั้งนายทุนและชาวบ้าน) เข้าไปบุกรุกป่าเท่านั้น แท้จริงแล้วดูจะเป็นนโยบายของรัฐที่จะส่งเสริมโดยทางอ้อมให้เกิดขึ้นด้วย

พืช เศรษฐกิจซึ่งทำเงินหล่อเลี้ยงการพัฒนาในระยะต้นนั้น จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ป่าและจำนวนมากเป็นพื้นที่ "ชายขอบ" ของการเกษตร เพราะกำไรจากการปลูกพืชเศรษฐกิจมีน้อยมาก จนเกินกว่าใครอยากจะลงทุนกับปัจจัยการผลิตคือที่ดินมากนัก ฉะนั้นผู้คนจึงบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ "ป่า" โดยจับจองหรือซื้อต่อจากรายอื่นในราคาไม่แพงนัก ในที่สุดก็สูญเสียที่ดินนั้นไปให้แก่ผู้อื่น เพราะความผันผวนของราคาพืชผล และการถูกเอาเปรียบในทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถตั้งตัวกับพืชเศรษฐกิจได้ บ้างก็รุกป่าต่อไป บ้างก็หันเข้าเมืองเพื่อหาอาชีพรับจ้าง

นโยบายของรัฐในระยะหลังคือ การปลูกพืชเศรษฐกิจที่คาดว่าสามารถทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะยางพารา ผลคือพื้นที่ไร่ซึ่งโค่นถางป่าจนเรียบราบไปแล้ว ถูกเปลี่ยนมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวกันมากขึ้น แม้เป็นไม้ใหญ่ แต่พืชเชิงเดี่ยวที่หยั่งรากลงดินในระดับเดียวกัน ทำให้เกิดดานที่ราบเรียบเสมอกันใต้พื้นดิน เมื่อโดนฝนกระหน่ำลงเป็นเวลานาน ดินผิวหน้าก็เลื่อนไหลลงจากดานกลายเป็นดินถล่ม สร้างความเสียหายแก่พื้นที่เบื้องล่าง ซึ่งมักเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างหนัก

ในขณะเดียวกัน รัฐก็ปล่อยให้การถือครองที่ดินเป็นการเก็งกำไรทางเศรษฐกิจที่มั่นคงปลอดภัย และคุ้มทุนที่สุด ทำให้คนมีทรัพย์นิยมที่จะลงทุนถือครองที่ดิน อาจใช้ประโยชน์ในธุรกิจท่องเที่ยว หรือถึงไม่ทำอะไรเลย ก็คาดหวังได้ว่าจะทำกำไรในตอนขายได้มาก

ตราบเท่าที่นโยบาย การเกษตรและการจัดการที่ดินยังเหมือนเดิม ป่าก็ต้องสูญเสียพื้นที่ต่อไป ไม่ว่าจะกวดขันให้เจ้าหน้าที่ที่ดินและป่าไม้เข้มงวดสักเพียงไร และปรากฏการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง, ภาคกลางและภาคอีสานก็จะเกิดขึ้นเป็นประจำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เขื่อน และอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อตอนจะสร้างก็มักให้เหตุผลไว้ข้อหนึ่งว่า ป้องกันน้ำท่วม แต่น้ำท่วมทุกครั้งรวมทั้งครั้งนี้ พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ ในครั้งนี้ เขื่อนหลายต่อหลายแห่งต้องรีบปล่อยน้ำลงมาซ้ำเติม เพราะเสี่ยงที่จะเกิดเขื่อนแตก (และเขื่อนเอกชนของสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งก็แตกจริงๆ ด้วย ก่อความเสียหายแก่ชาวบ้านอย่างหนัก แต่จนบัดนี้ยังไม่สามารถเอาเจ้าของเขื่อนมารับผิดชอบได้) บางท่านอาจจะกล่าวว่า เพราะเขื่อนไม่รีบพร่องน้ำไว้ก่อน ทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำฝนหนักในปลายฤดูได้ แต่กระบวนการตัดสินใจพร่องน้ำ พร่องมากน้อยเพียงไร พร่องช่วงไหน ฯลฯ นั้น เป็นอย่างไร มีข้อมูลหรือประสิทธิภาพเพียงใด ไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่นอนก็คือขาดการประสานความรู้ของหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง

อันที่จริง เขื่อนจำนวนมาก ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อจัดการน้ำ แต่สร้างขึ้นเพื่อกำเนิดพลังงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานเท่ากับที่อ้างไว้ในแผน เขื่อนเหล่านี้นอกจากสร้างความเสียหายให้แก่ระบบนิเวศอย่างหนัก จนทำให้ไม่คุ้มทุนในการก่อสร้าง ยังเป็นตัวระบายน้ำลงมาซ้ำเติมในขณะที่เกิดฝนชุกอีกด้วย บางครั้งก็เพิ่มพลังการผลิตโดยไม่แจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนท้ายเขื่อน

แต่ เขื่อน - ไม่ว่าจะสร้างเพื่อจัดการน้ำ หรือกำเนิดพลังงาน - เป็นโครงการที่ทุจริตได้ง่ายที่สุด ฉะนั้นจึงมีเสน่ห์ดึงดูดให้นักการเมืองและข้าราชการร่วมมือกันผลักดันการ สร้างเขื่อนอยู่ตลอดมา หมดพื้นที่ในประเทศไทยที่จะสร้าง ก็ย้ายไปสร้างในประเทศเพื่อนบ้านคือลำน้ำสาละวินและโขง

นโยบาย จัดการน้ำและพลังงานที่มุ่งจะป้อนน้ำและพลังงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรมต่างหาก ที่ทำให้น้ำท่วมหนัก

อีกด้านหนึ่งของความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งสื่อบางชนิดเฝ้าติดตามมาอย่างต่อเนื่อง คือระบบเตือนภัย แม้ว่าน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้เกิดภัยพิบัติอย่างหนักถึงขั้น "ตายหมู่" แต่ระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพก็สามารถบรรเทาความเสียหายที่เกิดแก่ชาว บ้านได้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงความทุลักทุเลของหน่วยงานบางแห่ง เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น

หลายชุมชนทั้งในเมืองและนอกเมืองประสบภัยน้ำท่วมครั้งนี้ อย่างแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัว บางชุมชนถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิงเพราะอพยพหลบภัยไม่ทัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกี่ยวข้องและสื่อมักจะมองความไร้ประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยที่ เทคโนโลยี สิ่งนั้นขาด สิ่งนี้ขาด หากมีเครื่องมือพร้อม ทุกอย่างก็จะดำเนินไปได้ด้วยดี

แต่ความบกพร่องของระบบเตือนภัยไม่ได้ อยู่ที่เทคโนโลยียังไม่พร้อม ที่สำคัญกว่านั้นคือการจัดการต่างหาก เช่นเดียวกับการจัดการทุกอย่างในประเทศไทย ระบบเตือนภัยธรรมชาติของเรามีลักษณะรวมศูนย์เช่นเดียวกัน แม้มีการตั้งมิสเตอร์เตือนภัยขึ้นในบางชุมชนที่ถือว่าเป็นชุมชนเสี่ยง แต่การประสานงานภายในชุมชนเองกลับไม่ช่วยให้มิสเตอร์ทำงานอย่างได้ผล เพราะชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในการจัดระบบเตือนภัยของตนเอง เป็นความคิดและจัดการของราชการฝ่ายเดียว

ยิ่งกว่านี้ หากพิจารณากรณีน้ำท่วม ย่อมเห็นได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติที่ระบบเตือนภัยควรมีเครือข่าย กล่าวคือแจ้งเตือนกล่วงหน้าแก่ชุมชนอื่นๆ ได้ตลอดเส้นทางน้ำ เครือข่ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากการจัดการของชาวบ้านเอง ไม่ใช่คำสั่งของราชการ

ระบบบริหารรัฐกิจของไทย ไม่เฉพาะแต่เรื่องของภัยธรรมชาติ แต่ทุกเรื่อง มีลักษณะรวมศูนย์อย่างแทบจะหาประเทศใดมาเทียบได้ยาก ระบบเช่นนี้เป็นระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ และเอื้อต่อการทุจริตฉ้อฉลในทุกรูปแบบ น้ำจะท่วมเมืองไทยไม่เลิก ตราบเท่าที่เรายังรวมศูนย์การบริหารเช่นนี้

มองให้เลยไกลไป จากน้ำ ก็จะเห็นความบกพร่องของระบบที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ภัยธรรมชาติทำความเสียหายให้แก่ผู้คนได้ระดับหนึ่ง แต่ภัยสังคมต่างหากที่ทำให้ความเสียหายนั้นขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัด และบั่นทอนพลังของสังคมที่จะฟื้นตัวได้ในเวลาอันสมควร

จำเป็น ต้องกล่าวด้วยว่า สื่อมีส่วนอย่างมากในการทำให้สังคมไทยไม่มองน้ำท่วมมากไปกว่าน้ำ, ลานิญา และพายุฝน ดังนั้น เมื่อน้ำลด "ตอ" ซึ่งคือตัวความบกพร่องของระบบก็กลับจะจมหายลึกลงไปในความไม่ใส่ใจของสังคม รอน้ำระลอกใหม่ที่จะไหลลงมาท่วมท้น จนทำให้สื่อไม่ต้องสนใจ "ตอ" อีกตามเดิม

ไม่มีสังคมใดในโลกที่ไม่เคยผิดพลาด แต่ทุกสังคมควรมีสมรรถภาพที่จะแก้ไขตัวเองได้ ส่วนหนึ่งที่สังคมไทยไร้สมรรถภาพในแง่นี้ ก็เพราะเรามีสื่ออย่างที่เรามีอยู่ในขณะนี้

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก

ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก
หมายเหตุ: คัดลอกจากเรียงความของนักเรียน ป.4 คนหนึ่ง ซึ่งเขียนส่งอาจารย์เป็นการบ้านวิชาสังคมศึกษา

ถ้าฉันเป็นนายกรัฐมนตรี ในประเทศที่กำลังมีภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี
กินพื้นที่กว่า 30 จังหวัดหรือเกือบครึ่งประเทศ
ผู้คนเดือดร้อนหลายล้านคน
เป็นเวลายาวนานเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็ม
…. ฉันจะ

ฉันจะสั่งทำถุงยังชีพ ให้ข้างถุงเขียนว่า “มาจากภาษีประชาชน” ไม่ต้องให้ใครได้ “เอาหน้า” เพราะประชาชนเป็นคนทำงานเสียภาษีให้รัฐทุกปีอยู่แล้ว
ฉันจะจัดตั้ง “ศูนย์กลางแก้วิกฤติ” อย่างด่วนที่สุด ไม่รอให้เนิ่นช้ากว่า 7 วัน ไม่ปล่อยให้ “รัฐบาล” ซึ่งกินภาษีประชาชน ทำงานเชื่องช้ากว่าประชาชนด้วยกันเอง

ฉันจะเอา “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ศอฉ.” นั่นแหละมาปัดฝุ่นแล้วลุยงานเลย เพราะฉันเชื่อว่า “น้ำท่วม” ก็เป็นเรื่อง “ฉุกเฉิน” ของชาติเช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะภารกิจปราบม็อบเสื้อแดงเท่านั้นที่ฉุกเฉิน

ฉันจะตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าศูนย์ เพราะฉันคือผู้นำประเทศ และนี่คือช่วงเวลาที่ประเทศต้องการผู้นำ
ฉันจะไม่ตั้งที่ปรึกษาฯของฉันซึ่งไม่มีอำนาจอะไรทางกฏหมาย เป็นหัวหน้าศูนย์ โดยเฉพาะหากที่ปรึกษาคนนั้นเคยต้องลาออกจากตำแหน่งการเมืองด้วยเรื่องอื้อฉาวในอดีต

ฉันจะเอาข้อมูลทั้งหมดมาประมวลในภาพกว้าง ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่า “น้ำ” ที่ท่วมหนักที่สุดในรอบ 50 ปีนั้นมาจากไหน มาอย่างไร มาเมื่อไหร่ แล้วมันแตกต่างจากน้ำในปีก่อนๆอย่างไร และทำไมถึงต่าง
ฉันจะต้องรู้ด้วยว่าพื้นที่ไหนบ้างที่เดือดร้อนไปแล้ว พื้นที่ไหนกำลังเดือดร้อนในตอนนี้ และ พื้นที่ไหนที่น้ำจะท่วมต่อไปในวันพรุ่งนี้
และที่สำคัญคือ เมื่อไหร่ทุกอย่างจะคลี่คลาย
พื้นที่ไหนกำลังเดือดร้อน ฉันจะจัดแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ (แดง เหลือง เขียว) ฉันอยากรู้ด้วยว่าในพื้นที่แต่ละแบบนั้นมีประชาชนอยู่กี่คน จุดไหนบ้าง พื้นที่ไหนเป็นสภาพเมือง พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่การเกษตร ฉันจะได้ส่งการช่วยเหลือไปอย่างเหมาะสม

ฉันจะกำหนดให้ศูนย์กลางแก้วิกฤติเป็นมากกว่า “คนประสานงาน” ระหว่างหน่วยงานราชการที่เชื่องช้า
ศูนย์กลางของฉันจะต้องทำหน้าที่ “บริหารทรัพยากร” ที่มีอยู่ให้ใช้ไปอย่างถูกที่ ถูกเวลา ด้วย
เงินทองที่เบิกจ่ายต้องโปร่งใสรวดเร็ว
ประมวลข้อมูลจากภาคสนามอย่างทันท่วงที
และประสานรับ “น้ำใจ” จากภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ

ดังนั้น ศูนย์ของฉันจะมีข้อมูลรายละเอียดว่าวันนี้ อำเภอไหนบ้างที่ขาดไฟฉายเข้าขั้นวิกฤต
ตำบลใดรับข้าวสารไปหุงกินเองได้ ตำบลใดต้องการอาหารสำเร็จรูปมากกว่า
เส้นทางไหนต้องใช้เรือ ใช้กี่ลำ มีคนติดอยู่แถวนั้นกี่คน
ฉันจะรู้ด้วยว่าถึงนาทีนี้ข้าวสาร น้ำดื่ม ทั้งที่จัดซื้อมาเอง และประสานกับภาคเอกชนนั้น มีกี่ขวด
แจกจ่ายไปจุดไหนบ้างแล้ว ไปถึงที่หมายช้าเร็วแค่ไหน
มีใครได้เกินความจำเป็นหรือไม่ มีใครที่ขาดแคลนอย่างหนักแต่ยังไม่ได้หรือเปล่า
เงินบริจาคทุกบาทจะต้องทำบัญชี แสดงที่มาที่ไป หน่วยงานไหนรับบริจาคมาเท่าไหร่ ต้องแสดงให้ชัดเจน เพราะมันจะมีผลต่อการกล่าวอ้างเพื่อยกเว้นภาษี อีกทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อฉลโดยใช้ความเดือดร้อนของคนร่วมชาติเป็นเครื่องมือ
อ้อ .. ฉันจะแจ้งให้กลุ่ม “ชาตินิยม” ทั้งหลายทราบด้วยว่า ตอนนี้แหละคือเรื่องของ “ชาติ” จริงๆ เพราะมันคือเรื่องของคนตัวเป็นๆที่อยู่ในประเทศเดียวกัน ไม่ใช่ที่ดินผืนน้อยที่มีปัญหามาแต่โบราณ ใครอยากกู้ชาติ อยากพลีชีพ เชิญได้เต็มที่ในครั้งนี้ อย่ามัวแต่ไปต่อแถวกินโดนัท
ฉันจะต้องรู้ด้วยว่า “พื้นที่ปลอดภัย” ในแต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัดนั้นมีที่ไหนบ้าง จุดไหนที่สามารถอพยพผู้คนเข้าไปได้ จุดไหนยังเสี่ยง

ฉันจะจัดทำแผนอพยพที่ชัดเจน จะไปเส้นทางใด ใช้พาหนะใด ใช้เวลาเดินเท่าไหร่ และที่สำคัญ วันนี้ปลอดภัยแล้วพรุ่งนี้จะปลอดภัยไหม ข้อมูลวิทยาศาสตร์ทำนายว่าอย่างไร
ดังนั้นหากรู้ว่า น้ำกำลังไหลจาก อำเภอ ก. ไป อำเภอ ข. ภายใน 12 ชั่วโมง ฉันจะได้สั่ง “อพยพ” ผู้คนได้ล่วงหน้า ทันเวลา ไม่ใช่เพียงแต่ทำงาน “ตามปัญหา”

ด้วยความที่ฉัน (และศูนย์กลางของฉัน) มีข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน เห็นภาพกว้างที่สุด ฉันจะสามารถ “ประสาน” แนวทางการทำงานของแต่ละกลุ่ม ทั้งส่วนราชการต่างๆ หรือส่วนเอกชนอย่างอาสาสมัครกู้ภัย หรือกระทั่งสื่อมวลชน

ทุกคนจะได้ทำงานไปใน “ทาง” เดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน และได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ซ้ำซ้อน ลักลั่น ไร้ทิศทาง

ฉันเชื่อว่าในสภาวะวิกฤติเช่นนี้ การส่งทรัพยากรอันจำกัดไปให้ถูกที่ ถูกเวลา นั้นสำคัญมาก – ใครขาดน้ำดื่มต้องได้น้ำดื่ม ใครขาดอาหารแห้งต้องได้อาหารแห้ง ใครป่วยต้องได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมาทันที – เพราะการใช้ทรัพยากรไปหนึ่งครั้ง มันมีค่าเสียโอกาสอยู่ด้วย
เรือที่ออกไปแจกข้าวสาร สามารถใช้ไปรับคนป่วยได้เช่นกัน
เราเพียงต้องรู้ให้ชัดว่าเมื่อไหร่ควรใช้อะไร ทำอะไร เพื่ออะไร
ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ มันต้องมีข้อมูลมุมกว้าง และต้องตัดสินใจอย่างจากภาพรวม
สำหรับพื้นที่ไหนที่น้ำยังไปไม่ถึง ฉันจะสั่งให้รีบ “เตรียมตัว” รับมือ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเอากระสอบทรายมา “กั้น” น้ำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องหมายถึงการเตรียมทางหนี ทีไล่ ระบบแจ้งเตือน จัดพื้นที่ปลอดภัยไว้รอรับปัญหา จัดอาหาร ยารักษาโรค ไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน

พื้นที่ไหนน้ำเริ่มลดแล้ว ฉันจะเร่งช่วยเหลือประชาชน ซึ่งไม่ได้หมายถึงการ “แจกเงิน” อย่างมักง่ายเพียงอย่างเดียว เพราะฉันรู้ดีว่าเงินมีจำกัด และในสภาวะฉุกเฉินนั้น เงินอาจไม่ต่างจากกระดาษปึกหนึ่ง ที่อาจเอาไปซื้ออาหารมากินได้ไม่กี่มื้อ

ฉันจะเร่งช่วยเหลือประชาชนในช่องทางอื่นด้วย เช่น อาจได้เวลาปล่อยสต๊อกข้าวในยุ้งของรัฐ อาจประสานงานกับภาคเอกชนว่าต้องการ “สินค้าเกษตร” เป็นของบริจาค และ อาจเอางบประมาณฉุกเฉินมา “จ้างงาน” ผู้ประสบภัยให้ “ทำอาหาร” แจกจ่ายคนอื่นๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยประชาชนได้ถึงสองต่อ (มีงานทำ ได้เงิน มีกิน) – ฉันหวังว่าไอเดียแบบเด็ก ป.4 ของฉันจะไม่ไร้เดียงสาเกินไปนัก
ฉันจะทำงานด้วยสำนึกในกะโหลกว่า “ผู้นำ” ประเทศมีหน้าที่รับทราบข้อมูล ประมวลผลในภาพกว้าง กำหนดกลยุทธ์ แนวทาง เป้าหมาย และ “ตัดสินใจ” ในทางเลือกสำคัญๆ

ผู้นำประเทศไม่ได้มีหน้าที่เพียง “รับฟัง” แล้วปล่อยให้ลูกน้องทำงานไปวันๆตามมีตามเกิด
ฉันรู้ดีว่าแนวทางเช่นนี้สำคัญมากในการ “บริหารวิกฤติ” และในฐานะ “นายกฯมือใหม่” ฉันจะตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด
เพราะจะว่าไป “น้ำท่วม” อาจเป็นภัยพิบัติที่ “เบา” ที่สุดแล้ว หากเทียบกับ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ หรือ ไวรัสระบาด

ฉันจะไม่ออกเดินทางพร่ำเพรื่อ หรือหากจะออกภาคสนาม ก็จะใช้ทรัพยากร (เช่น เจ้าหน้าที่ หรือ ยานพาหนะ) อย่างน้อยที่สุด เพราะสิ่งเหล่านั้นควรถูกนำไป “แก้ปัญหา” มากกว่ามาดูแลฉัน
ฉันจะพูดให้น้อย ทำงานให้มาก พูดเฉพาะเรื่องสำคัญๆ
เพราะรัฐบาลของฉันมีโฆษกกินเงินเดือนอยู่แล้ว
ฉันไม่อยากไปแย่งงานเขา ….

ที่มา:  http://www.roodthanarak.com/2010/10/pm-flood/

"ดร.นันทวัฒน์"ข้องใจกรณีวิ่งเต้นยุบปชป.คนแต่งตั้งเลขาฯควรแสดงความรับผิดชอบ?"ภูมิใจไทย"นายกฯกล้าไหม!

ต้นสัปดาห์นี้ ศ.ดร.นันทวัฒน์  บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บรรณาธิการเว็บไซต์ www.pub-law.net แสดงความเห็นผ่าน บทบรรณาธิการเรื่อง "ถามหาความรับผิดชอบ" ทั้งจากกรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับปัญหาการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นหลายเรื่องในรัฐบาล  ดังนี้

@ ถามหาความรับผิดชอบ กรณีเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ
  

มีผู้สื่อข่าวหลายคนสอบถามความเห็นของผมเกี่ยวกับกรณีที่เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับปัญหาการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความเห็นอะไรทั้งนั้นเพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของ “ข้อเท็จจริง” ที่ผู้กล่าวอ้างและผู้ถูกกล่าวอ้างมีหน้าที่ต้องพิสูจน์  

 
แต่อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าควรต้องให้ความสำคัญกับคำว่า “ความรับผิดชอบ” กันบ้างเพราะ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนพูดเรื่องความรับผิดชอบกันเท่าไรนัก ทำผิดแล้วเงียบหรือไม่ก็เถียงเอาชนะ !! 

บทบรรณาธิการครั้งนี้ผมขอพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบโดยจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่กี่วันมาดูกันเล่น ๆ สักสองเรื่องเพื่อ “ถามหาความรับผิดชอบ” จากผู้เกี่ยวข้อง เรื่องแรกคือ การแต่งตั้งบุคคลให้เข้ามาดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกระทบอย่างมากต่อหลาย ๆ อย่าง การคัดสรรคนเข้ามารับตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นเลขานุการหรือที่ปรึกษานั้น เท่าที่ผมทราบก็คือไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว เป็นดุลพินิจของผู้ดำรงตำแหน่งแต่ละคนที่จะตั้งใครมาก็ได้
 
ในส่วนตัวผมเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งในช่วงของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ทำให้ทราบว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงไม่กี่คนที่ตั้ง “นักวิชาการ” เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลืองานด้านวิชาการและให้คำปรึกษาทางวิชาการ ส่วนคนอื่นตั้งใครมาก็ไม่ทราบ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน 


 แต่จากข้อมูลที่ได้รับทราบ คนเหล่านั้นมีบางคนที่เป็น “เครือญาติ” บางคนก็มีความสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ เมื่อตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งก็มีเงินค่าตอบแทน บางคนเอาลูกหลานตัวเองมาเป็นเลขานุการก็เคยมีมาแล้ว ไม่ทราบว่าในปัจจุบันยังมีผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญองค์กรใดยังทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่ คงต้องหาทางเอาข้อมูลเหล่านี้มาเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ทราบเพราะการตั้งคนมาเป็นเลขานุการหรือเป็นที่ปรึกษาคนระดับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น

 @   ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบ !!!

 แม้จะไม่มีหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้ง แต่ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องมี “สำนึก” ว่าจะต้องตั้งคนที่มีความรู้ความสามารถและเคยมีประสบการณ์ในการทำงาน ลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เมื่อบุคคลใดได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแล้วก็จะต้องรับทราบสถานะของคนที่ตนจะต้องมาทำงานด้วยและต้องประพฤติตน ดำรงตน ไม่แตกต่างไปจากผู้แต่งตั้งครับ
  

ส่วนตัวผู้แต่งตั้งนั้น จริงอยู่ที่บุคคลที่เป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ แม้ในเชิงโครงสร้างจะไม่ได้มีอำนาจอะไร แต่ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าในสังคมอุปถัมภ์ การแต่งตั้งคนสนิท คนใกล้ชิด หรือเครือญาติมาเป็นที่ปรึกษาหรือเลขานุการ ถึงจะไปบอกบุคคลอื่นว่าไม่มีอำนาจ ถามจริง ๆ ใครจะเชื่อครับ !!!

  เพราะฉะนั้น จึงขอฝากไปยังสื่อมวลชนทุกประเภทด้วยว่าช่วยกรุณาตรวจสอบผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามา “ช่วย” ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นใครกันบ้าง มีความสามารถอย่างไร ได้ค่าตอบแทนเท่าไร เปิดมาดูกันให้หมดจะได้รู้กันไปเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร

ส่วนบุคคลที่มีปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้น แม้วันนี้จะถูกปลดออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ควรมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบว่า คน ๆ นั้นเป็นใคร มีที่มาอย่างไร ชำนาญการเป็นเลขานุการมากแค่ไหน ได้ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นอย่างไรบ้างและที่สำคัญก็คือในช่วงเวลาที่ผ่านมามีบทบาทอย่างไรในศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเท่าที่ได้ยินมานั้น “ไม่เบา” เลยครับ !!!  

 นอกจากนี้ ก็อยากฝากเป็นคำถามไว้กับสังคมไทยของเราด้วยว่า การใช้ดุลพินิจตั้งคนที่ไม่เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่ง ต่อมาบุคคลดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับองค์กร ผู้แต่งตั้งควรแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง จริงอยู่แม้ในทางกฎหมายจะไม่มีการกำหนดให้ผู้แต่งตั้งต้องรับผิดชอบ แต่ในทางจริยธรรมและในระบบการบริหารราชการที่ดีนั้น ผู้แต่งตั้งจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบซึ่งก็คงไม่ใช่เพียงแค่ “ขอโทษ” แล้วจบกันนะครับ 

 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเพราะ “ระดับ” ความรับผิดชอบของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกันครับ บางคนเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ ปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยตัวเองก็ยังคงมีงานทำ มีเงินใช้ต่อไป สบายกว่าลาออกเป็นไหนๆ ครับ!!!
                
เรื่องต่อมา สืบเนื่องจากบทบรรณาธิการครั้งที่แล้วที่ผมได้กล่าวถึงนายกรัฐมนตรีว่าไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงเนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาล วันนี้ นายกรัฐมนตรีมาในมาดใหม่แล้วครับ จากคำให้สัมภาษณ์ที่ได้อ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ว่า หากรู้สึกอึดอัด ขอให้บอกมาอย่างเป็นทางการจะปรับออกให้ ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าอยู่ด้วยกันต้องทำตามกติการ่วมกันของรัฐบาล ทำให้รู้สึกว่า นายกรัฐมนตรีพยายามที่จะเรียกความถูกต้องคืนมา เพราะที่ผ่านมาเกือบสองปีนั้น มีข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เองและในส่วนของพรรคภูมิใจไทย 


 ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีความพยายามในการแก้ปัญหา เช่น ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของบางคนที่มี “เรื่องอื้อฉาว” แต่การปรับเปลี่ยนก็ยังไม่ใช่คำตอบที่สังคมต้องการรับทราบเพราะเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวมีหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน 

 ทุกครั้งนายกรัฐมนตรีก็จะพูดเหมือน ๆ กันคือ เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ แต่จนกระทั่งปัจจุบัน เราก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกรณีปลากระป๋องเน่า กรณีโครงการชุมชนพอเพียง กรณีทุจริตงบไทยเข้มแข็ง ก็ไม่ทราบว่าจะต้องรอคำตอบกันไปอีกนานแค่ไหนสำหรับกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นจากคนของพรรคประชาธิปัตย์ครับ
     

@ ทำไมสังคมจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทย           
กลับมาดูในส่วนของพรรคภูมิใจไทยกันดีกว่า ผมชอบใจคำถามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ถามนักข่าวและก็เป็นข่าวไปทั่วว่า อะไรที่เกี่ยวกับภูมิใจไทยถึงเป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใสไปเสียหมด น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่นักข่าวคนนั้นเพราะถ้าผมเป็นนักข่าวคนนั้นผมจะต้องตอบกลับไปว่า ผู้ที่ตอบคำถามดังกล่าวได้ดีที่สุดก็คือผู้ถามนั่นเองครับ
             
 ทำไมสังคมและสื่อมวลชนจึงตั้ง “ข้อสงสัย” กับพรรคภูมิใจไทยกันมากในเรื่องของการกระทำที่ไม่โปร่งใส เราคงไม่ต้องย้อนไปดูในรายละเอียดกันว่า พรรคภูมิใจไทยเกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบด้วยใครบ้างและแต่ละคนมี “ประวัติความเป็นมา” อย่างไรเพราะอาจทำให้เกิด “อคติ” มากกว่าที่มีอยู่ก็เป็นได้ ผมคิดว่าเราน่าจะจำกัดการมองพรรคภูมิใจไทยอยู่ที่ “ผลงาน” ตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาลจะดีกว่า
               
เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าพรรคภูมิใจไทยดูแลรับผิดชอบกระทรวงสำคัญ ๆ อย่างเช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทั้ง 3 ถือได้ว่าเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของประเทศ เป็นกระทรวงที่ต้องการผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแต่ละด้านเข้ามาทำงานเพราะความเจริญของประเทศขึ้นอยู่กับกระทรวงทั้ง 3 แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า บุคคลทั้ง 3 ที่พรรคภูมิใจไทยส่งมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทั้ง 3 นั้น เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดในแผ่นดินไทยหรือไม่ 


 ผมคงไม่ต้องตอบหรืออธิบายอะไรในเรื่องนั้นครับ เพียงแต่คิดง่าย ๆ ว่าประเทศชาติไม่ใช่ห้องทดลองหรือสถานที่ฝึกงานของคนแค่นั้นเอง ส่วนที่มีปัญหาจริง ๆ ก็คือ การทำงานของกระทรวงทั้ง 3 ที่จะว่าไปแล้วก็มีข่าวออกมาอยู่เรื่อย ๆ ตลอดเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ข่าวดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่คาบลูกคาบดอกกับการทุจริตคอร์รัปชันและการใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยกระทรวงมหาดไทยก็มีเรื่องเกี่ยวกับ “การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ” ที่วันนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเพราะคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมได้สั่งให้ยกเลิกการแต่งตั้งนายอำเภอ 41 ตำแหน่ง

@ จาก 41 นายอำเภอถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ....งามหน้าไหม 


เนื่องจาก “คำสั่งแต่งตั้งมาจากกระบวนการคัดเลือกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา” งามหน้าไหมครับ !!! ก็ต้องดูกันต่อว่าเรื่องนี้จะมีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบกันบ้างหรือจะรอให้มีการ “ลากคอ” ผู้กระทำความผิดมาลงโทษก็ไม่ทราบ ส่วนเรื่อง “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย” ก็ใช่ย่อย เมื่อวันอังคารที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 และ 31 สิงหาคม 2553 ให้การแต่งตั้งอธิบดีกรมพัฒนาชุมชนเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยแทนอธิบดีกรมการปกครองที่ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว ผมรับทราบเรื่องดังกล่าวจากการอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ทราบว่ามติคณะรัฐมนตรีเป็นลักษณะนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ต้องขอให้บรรดาผู้รู้ทั้งหลายช่วยอธิบายหน่อยว่า ข้าราชการขอไม่รับตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งได้ด้วยหรือครับ ผมเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ 

 ตอนที่มีการแต่งตั้งตำรวจคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญแต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลต่างชาติแสดงความไม่เห็นด้วย ก็มีข่าวว่าตำรวจคนนั้นขอไม่รับตำแหน่งเช่นกันครับ !!! 

จริง ๆ แล้วเรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความไม่โปร่งใสในโครงการประมูลเช่าคอมพิวเตอร์ของกระทรวงมหาดไทยในวงเงิน 3,490 ล้านบาท ที่ขณะนี้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนขึ้นมาดำเนินการค้นหาความจริงแล้วครับ เพราะฉะนั้น เรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นเรื่องใหญ่มากที่คณะรัฐมนตรีต้องให้ความระมัดระวังว่าหากจะแต่งตั้งใครสักคนขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็จะต้องทำการตรวจสอบคุณสมบัติให้ถูกต้องเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดอาการแบบนี้คือ ตั้งแล้วเปลี่ยนซึ่งเป็นการทำลายระบบราชการอย่างมาก 

  @ โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา

 โชคดีที่เป็นรัฐบาลนี้ทำเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา ถ้าเป็นรัฐบาลทักษิณคงถูกนำมาโจมตีและโยงไปถึงเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้วเพราะเท่าที่ทราบจากข่าวได้มีการเสนอแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่เข้าสู่กระบวนการไปแล้ว เข้าใจว่ารอโปรดเกล้าฯ อยู่แล้วก็คงมีการถอนเรื่องออกมา รัฐบาลคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้
                
 
กระทรวงคมนาคมของพรรคภูมิใจไทยก็เช่นเดียวกัน การเช่ารถเมล์ 4,000 คันที่แพงกว่าซื้อเป็นเรื่องที่เข้า ๆ ออก ๆ การประชุมคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง เป็นเรื่องที่หลาย ๆ ส่วนของสังคมตั้งข้อสงสัยใน “ความโปร่งใส” แล้วก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน เข้าใจว่าเรื่องนี้คงยังไม่จบง่าย ๆ ล่าสุดที่เป็นข่าวดังไปทั่วก็คือ เรื่องลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิที่น่าอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องที่คาดว่าจะตามมาที่เพิ่งอ่านเจอในหนังสือพิมพ์คือ หลังน้ำท่วมกระทรวงคมนาคมต้องใช้งบอีกพันล้านบาทเพื่อซ่อมแซมถนนและทางรถไฟที่ได้รับความเสียหาย ส่วนกระทรวงพาณิชย์นั้นก็มีข่าวออกมาตลอดในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เรื่องการขายข้าว เป็นต้น ผมคงไม่สามารถนำทุกเรื่องมากล่าวไว้ได้หมดในที่นี้ครับ                 

รวมความแล้ว 3 กระทรวงสำคัญที่พรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบมีข่าวคราวในเรื่องความไม่โปร่งใสออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพรรคภูมิใจไทยสงสัยว่าทำไมมีข่าวดังกล่าวก็คงต้องให้ความกระจ่างกับสังคมนะครับ คงต้องตอบคำถามกันอย่างเป็นทางการ เป็นระบบ ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่ตอบคำถามแบบแปลก ๆ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
               
 รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุดก็เพราะระหว่างที่เป็นรัฐบาล กระบวนการตรวจสอบภายในรัฐบาลเองทำได้ไม่เต็มที่ เมื่อพ้นจากตำแหน่งจึงมีการขุดคุ้ยกันออกมามากมายหลายเรื่อง ทำให้ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีบางคนต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวและคณะรัฐมนตรีก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบในบางเรื่องด้วย ตัวอย่างดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่รัฐบาลนี้ต้องพึงระลึกถึงอยู่เสมอ
   

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ วันข้างหน้าหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อยู่ในรัฐบาล โอกาสที่จะถูก “เอาคืน” มีอยู่สูงมาก และในวันนั้นอาจมีหลายคนที่ต้อง “รับโทษ” เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่าน ๆ มาก็เป็นได้                 


กลับมาสู่คำถามที่นายกรัฐมนตรีต้องตอบก็คือ กล้าแค่ไหนที่จะจัดการกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อประเทศมากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ การตัดสินใจอะไรจึงควรยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ความรับผิดชอบดังกล่าวต้องนำมาวางไว้บนตาชั่งด้านหนึ่งเสมอครับ !!!                
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*****************************************************************

ไม่ใส่ใจ

ไม่รู้ว่าจะดีใจ หรือน้ำตาไหลดี!??

เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นศูนย์บัญชาการ!??

ที่เกิดสับสนในความรู้สึกเพราะศูนย์แห่งนี้ เพิ่งตั้งขึ้นมาหลังเกิดเหตุน้ำท่วมมานานนับสัปดาห์แล้ว

ทั้งๆที่ภัยน้ำท่วมเกิดในช่วงนี้เป็นประจำทุกปี และก่อนที่น้ำจะทะลักทะล้นท่วมกันทั่วบ้านทั่วเมือง มีประกาศเตือนล่วงหน้าตั้งแต่ฝนถล่มในภาคเหนือแล้ว

เรียกว่ามีเวลา 2-3 สัปดาห์ในการรับมือ

แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น ให้ดิ้นเถอะโรเบิร์ต

ผู้เกี่ยวข้องยังกล้าปล่อยให้น้ำท่วมทะลักทะล้นทั้งภาคอีสานยันภาคกลาง และเข้าสู่กรุงเทพฯเรียบร้อย

จริงๆ แล้วศูนย์นี้ควรจะตั้งขึ้นตั้งแต่ก่อนน้ำเหนือไหลบ่าลงมาภาคกลาง-อีสานด้วยซ้ำ

งบฉุกเฉินของรัฐบาลที่มีอยู่ในมือต้องผ่องถ่ายไปยังหน่วยงานหรือจังหวัดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ทุกอย่างสงบเงียบอย่างยิ่ง!??

จริงๆ แล้วปัญหาน้ำท่วมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี หน่วยงานของรัฐบาลอย่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มีภาพถ่ายดาวเทียมเปรียบเทียบสภาพน้ำท่วมย้อนหลังได้หลายปี

ภาพจากดาวเทียมฟ้องชัดเจนว่าในทุกๆ ปี น้ำก็มาตามเส้นทางเดิม และท่วมจุดเดิมๆ

อยู่ที่ว่าปีไหนมาก ปีไหนน้อยเท่านั้น

รัฐบาลมีเครื่องมือและบทเรียนในอดีตที่ทำให้รู้ล่วงหน้า แต่กลับไม่ป้องกันอย่างทันท่วงที

แม้ไม่ง่ายที่จะป้องกันแต่เชื่อว่าหากเตรียมการดีกว่านี้ ประชาชนคงไม่เดือดร้อนเท่านี้

หรือการเตรียมตั้งศูนย์ประสานงานตั้งแต่เนิ่นๆ จัดเตรียมงบฯไว้ล่วงหน้า เพราะรู้อยู่แล้วว่าน้ำจะท่วมจุดใดบ้าง

แต่ก็เปล่าเลย ปล่อยให้ชาวบ้านเผชิญชะตากรรมตามลำพัง

แม้ขนาดเกิดเรื่องขึ้นแล้วยังขยับตัวอุ้ยอ้ายอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะที่จ.นครราชสีมา ปล่อยให้ท่วมอยู่นานหลายวันแม้กระทั่งร.พ.มหาราช ซึ่งเป็นร.พ.ขนาดใหญ่ ก็ดูเหมือนให้เป็นไปตามยถากรรม

ร้อนถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่ทรงพักรักษาพระวรกาย ต้องมีพระราชดำริให้เร่งช่วยเหลือ

เมื่อนั้นแหละร.พ.มหาราช จึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดน้ำท่วมในเวลาแค่วันเดียว!!!

นี่ก็แสดงว่าหากจะช่วยจริงๆ ก็ทำได้ แต่ไม่ได้ทำ หรือไม่ใส่ใจจะทำ

อย่าให้คนเขานินทาพูดกันได้ว่า ที่เป็นอย่างนี้เพราะภาคเหนือ-อีสาน และภาคกลาง

ไม่ใช่พื้นที่ฐานเสียงของประชาธิปัตย์!??


ที่มา:ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
*****************************************************

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เปิดแผลใหม่ตุลาการตั้งลูก-หลานนั่งเลขาฯกินเงินเดือนไม่ทำงาน

จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

“พร้อมพงศ์” แฉซ้ำตุลาการตั้งเครือญาติเป็นเลขาฯกินเงินเดือน 40,000 บาท โดยไม่ได้นั่งทำงานจริง ยันเคยมีคนร้องให้สอบเรื่องนี้แล้วแต่เงียบ ซัดประชาธิปัตย์อย่าบิดเบือนโยนเรื่องการถ่ายและเผยแพร่คลิปอื้อฉาวคดียุบพรรคมาให้เพื่อไทย บี้ “วิรัช” ตอบเรื่องสนทนากับบิ๊กสีเขียวที่ห้องอาหารญี่ปุ่นในโรงแรมดัง เตรียมส่ง ส.ส. ยื่นเรื่องทีมสอบข้อเท็จจริงของศาลรัฐธรรมนูญ สืบหาตุลาการเจ้าของเสียงในคลิปที่ 4 เพราะมีเนื้อหาผิดหลักจริยธรรมชัดเจน ดักคออย่ามุ่งสอบแต่ที่มาของคลิปโดยไม่สนใจเนื้อหา โฆษกการเมืองใหม่จี้ประธานศาลรัฐธรรมนูญแค่ขอโทษไม่เพียงพอ ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่านี้ ด้าน ส.ส.ประชาธิปัตย์เรียงหน้าโต้กระบวนการทำงานศาลไม่ยอมรามือ เชื่อคดียุบพรรคผลออกแบบไหนก็ไม่จบ จะมีการสร้างหลักฐานใหม่โจมตีทำลายศาลไปเรื่อยๆ

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นเรื่องให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำคลิปฉาวการวิ่งเต้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยอยากจะเน้นย้ำคือ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง และทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะให้ใครหลอกล่อไปถ่ายคลิปได้ง่ายๆ

เพื่อไทยบี้สอบหาตุลาการในคลิป

“นายวิรัชยังไม่ตอบเรื่องห้องที่ไปเปิดที่โรงแรมเรดิสันและเรื่องห้องอาหารญี่ปุ่น แต่กลับพยายามเบี่ยงประเด็นว่าเป็นฝีมือของพรรคเพื่อไทยที่เป็นผู้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคได้พิจารณาเนื้อหาในคลิปชุดที่ 3-5 ที่เกี่ยวข้องกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่าเนื้อหาของบทสนทนาที่ปรากฏว่าจะผิดจริยธรรม ซึ่งนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานีของพรรค จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสอบสวนที่ศาลรัฐธรรมนูญตั้งขึ้นให้พิจารณาประเด็นนี้ด้วย เพื่อให้การพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามหลักนิติธรรม เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของศาลรัฐธรรมนูญ

มีหลายเรื่องพูดจาไม่เหมาะสม

“ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาคือ เนื้อหาที่ปรากฏในคลิปตอนที่ 4 ที่จะต้องตรวจสอบว่ามีการพูดจากันอย่างนั้นจริงหรือไม่ และเสียงที่พูดนั้นเป็นเสียงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านใด เพราะมีหลายประโยคที่ไม่เหมาะสม เช่น บอกว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่าทำตัวเป็นฤาษีหลังม่าน หรือคำพูดที่ว่าให้ผู้สื่อข่าวไปกดดัน ถ้าท่านไม่มาก็เสียคน” นายพร้อมพงศ์กล่าว

โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตรวจสอบคลิปฉาวของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้การตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้อง ไม่ใช่มุ่งสอบแต่ที่มาของคลิปเท่านั้น แต่ควรตรวจสอบเนื้อหาที่ปรากฏด้วย ไม่อย่างนั้นจะได้ความจริงไม่ครบถ้วน

จี้ชี้แจงผลสอบซื้อรถหรูแพงเกินจริง

นายพร้อมพงศ์ระบุอีกว่า พรรคเพื่อไทยได้รับการร้องเรียนจากฝั่งรัฐบาลให้ตรวจสอบข้อมูลเรื่องการซื้อรถยนต์ยี่ห้อเลกซัสของศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 10 คัน ซึ่งพบว่าไม่น่าโปร่งใสและส่อไปในทางมิชอบ เนื่องจากการเสนอซื้อครั้งแรกซื้อในราคาคันละ 2.6 ล้านบาท แต่พอครั้งที่ 2 ราคาขึ้นเป็นคันละ 3 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างถึงคันละ 400,000 บาท รวม 10 คัน 4 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้มีคนร้องเรียนให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปตรวจสอบแล้ว จึงอยากให้นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่า สตง. ออกมาชี้แจงความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร

แฉตั้งลูก-หลานกินเงินเดือนไม่ทำงาน

นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังได้รับการร้องเรียนให้ช่วยตรวจสอบการแต่งตั้งเลขานุการในศาลรัฐธรรมนูญ โดยพรรคได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเรื่องนี้ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2553 ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายเรื่อง เช่น มีตุลาการบางคนนำลูกของตัวเองมาเป็นเลขานุการและกินเงินเดือน 40,000 บาทต่อเดือน ดังนั้น อยากให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญตอบคำถามเรื่องนี้ด้วยว่าจริงหรือไม่ และเมื่อกินเงินเดือนแล้วไม่อยู่ในประเทศไทย แต่ไปศึกษาต่อในต่างประเทศโดยมีบางคนที่มีอำนาจเซ็นให้ และเงิน 40,000 บาทต่อเดือนก็ยังรับอยู่ฟรีๆ ซึ่งตอนนี้กลับมาแล้ว เห็นบอกว่าชื่อ “กล้า” ไม่ทราบว่าชื่อย่อหรือไม่

มีชื่อเป็นเลขาฯแต่ตัวขายกาแฟ

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า ยังมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนเอาหลานชายมาเป็นเลขานุการและได้รับเงินเดือน แต่ไปเปิดร้านขายกาแฟสดอยู่ใต้ถุนศูนย์ราชการ ไม่ได้มาทำงาน และยังอีกคนหนึ่งเอาหลาน 2 คนมาเป็นผู้ช่วยเลขานุการและเป็นเลขานุการด้วย

“ข้อมูลอย่างนี้ฝ่ายค้านไม่รู้หรอก หากคนในรัฐบาลไม่ส่งมาให้ เขาให้ข้อมูลด้วยว่าคนที่ลงชื่อรับหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2553 ชื่อมยุรี เศวตตาสัย เป็นเจ้าหน้าที่ศาล ผมไม่รู้ว่าคนที่ส่งข้อมูลนี้มาจะเป็นพวกเดียวกันหรือคนละพวกกับนายวิรัช แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีการหักกันเองในพรรคประชาธิปัตย์” นายพร้อมพงศ์

“เทพไท” อัดเพื่อไทยเล่นไม่เลิก

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเล่นไม่เลิกกรณีจะไปแจ้งความกับกองปราบปรามเพื่อเอาผิดกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค และทำหนังสือถึงกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบภาษีย้อนหลังของพรรค กรณีใช้เอกสารภาษีเท็จหรือหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้กับรัฐ

“การจะยื่นตรวจสอบพรรคเพื่อไทยต้องไปดูก่อนว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำผิดตามข้อกล่าวหาจริงหรือไม่ และคดีขาดอายุความไปหรือยัง” นายเทพไทพร้อมยืนยันว่า ภายในพรรคไม่มีความแตกแยก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าคลิปฉาวต่างๆเป็นเรื่องที่คนในพรรคทำเพื่อทำลายกันเอง ส่วนตัวยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเป็นตัวการในการเผยแพร่คลิป

ท้ามีคลิปคุยในห้องอาหารให้เปิด

“ที่บอกว่ามีคลิปใหม่ โดยมีบุคคล 3 คนภายในคลิปเดิมไปพบกับบิ๊กทหารที่ห้องอาหารญี่ปุ่น โรงแรมเรดิสัน หากมีก็ให้เอามาเปิดเผย ไม่ใช่พูดจาสร้างเรื่องไปวันๆ” นายเทพไทกล่าวและว่า พรรคเพื่อไทยไม่ควรกล่าวอ้างถึงบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคในลักษณะจับแพะชนแกะ เพื่อแต่งนิยายให้สังคมเห็นว่ามีกระบวนการให้ความช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่รับผิดชอบ ทำให้คนอื่นเสียหาย

นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทำลายกระบวนการยุติธรรมจะไม่ยุติแม้พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระบวนการทำลายศาลเริ่มตั้งแต่การตัดสินคดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พยายามบิดเบือนให้สังคมเข้าใจไขว้เขว

กระบวนการทำลายศาลจะไม่ยุติ

“กระบวนการนี้จะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆด้วยการสร้างหลักฐานใหม่และเชื่อมโยงกันอย่างไร้น้ำหนัก เช่น คลิป การพูดถึงคนใกล้ชิดพรรคมีผลต่อคดียุบพรรคเป็นการสร้างเรื่องด้วยการต่อจิ๊กซอว์อย่างไม่มีข้อมูลเพียงพอ และจะดำเนินการจนกว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ผมอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญมั่นคง รักษาความเป็นกลางในการตัดสินคดี ดำรงไว้ด้วยความยุติธรรมตามข้อเท็จจริงเพื่อเป็นหลักให้กับสังคม” นายสาธิตกล่าว

นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยควบคุมพฤติกรรมของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำกลุ่มคนเสื้แดง รวมถึงนายพร้อมพงศ์ที่ร่วมกันให้ข่าวบิดเบือนทำร้ายกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังกดดันคดียุบพรรคประชาธิปัตย์และใช้เป็นประเด็นปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ออกมาก่อความวุ่นวายขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้

ตรวจสอบได้แต่อย่าสร้างเรื่องเท็จ

“การตรวจสอบความสุจริตยุติธรรมขององค์กรต่างๆเป็นหน้าที่โดยชอบของพรรคการเมือง แต่การสร้างข่าวเท็จและการจัดฉากเหมือนสร้างละครถือเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นการสุ่มเสี่ยงให้อำนาจนอกระบบก้าวเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง” นายอรรถพรกล่าวและว่า หลายเรื่องที่ผ่านมาสังคมได้พิสูจน์แล้วว่าข้อมูลของนายจตุพรและนายพร้อมพงศ์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เป็นเท็จเกือบทั้งหมด หากพรรคเพื่อไทยยังไม่ควบคุมพฤติกรรมของคนพวกนี้ หลังการเลือกตั้งหากไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะล่มสลายแน่นอน

หวั่นฆ่าตัดตอน “พสิษฐ์”

ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค แสดงความเป็นห่วงนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในคลิปฉาวว่า อาจะถูกฆ่าตัดตอนได้ นายพสิษฐ์จึงไม่ควรเงียบหายไป ควรออกมาพูดความจริงกับสังคมว่ามีการจัดฉากใส่ร้ายหรือมีกระบวนการล็อบบี้จริง

“การเงียบหายไปไม่เป็นประโยชน์ต่อนายพสิษฐ์เอง และยิ่งทำให้ประชาชนคลางแคลงใจในกระบวนการวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์” นายสุริยะใสกล่าวและว่า ขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยเอาคลิปชุดที่ 2 ที่ระบุว่ามีบิ๊กทหารเกี่ยวข้องมาเปิดเผยหากมีคลิปดังกล่าวอยู่ในมือจริง เพราะหากตั้งใจปล่อยข่าวโดยไม่มีหลักฐานอยู่ในมือจะเข้าข่ายจ้องทำลายกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียว กันพรรคประชาธิปัตย์ก็ควรเร่งตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ หากพบว่ามีคนของพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องต้องลงโทษเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน

ระบุ “ชัช” แค่ขอโทษยังไม่พอ

นายสุริยะใสไม่พูดชัดเจนว่านายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ควรแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยการลาออกหรือไม่ โดยระบุว่า เรื่องนี้กระทบต่อความเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญอย่างมาก ไม่ว่านายชัชจะรับรู้ก่ารกระทำของนายพสิษฐ์หรือไม่ แต่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ การขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ

**********************************************************************

เชื่อมั่นต่อไปกับ..นายกฯ อภิสิทธิ์?

และแล้วก็กลายเป็นประเด็นร้อนก่อนวันพิพากษาขึ้นมาหลังจากมีมือดีปล่อยของลอกแบบคลิปเสียงวงการมายาแต่นี่ดูจะหนักหนาสาหัสกว่าเรื่องผัวๆ เมียๆเพราะมีการเชื่อมโยงเอาเสาหลักสักทองอย่าง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีรวมไปถึงคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

และเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญโดยเดินเรื่องผ่านคนของพรรคประชาธิปัตย์ขมวดปมถึงเจตนาการนำเสนอ 5 คลิปการเมืองร้อนของผู้เผยแพร่ค่อนข้างชัดเจนว่า กำลังต่อจิ๊กซอว์ไปถึงการล็อบบี้เพื่อไม่ให้ยุบสถาบันการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์

จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ อย่างไรไม่รู้ แต่ที่เซ่นสังเวยไปก่อนพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นั่นคือ “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เพิ่งโดนคำสั่งปลดไปไม่กี่เพลาก่อนหน้านี้

สำหรับสถานการณ์ของ “วิรัช ร่มเย็น” ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคู่สนทนา ยังอยู่ในอาการลูกผีลูกคน!!!แต่ที่น่าจะกลืนไม่เข้า คายไม่ออกกว่าใครเพื่อน คงไม่พ้นสถานการณ์ของผู้พิพากษา อย่างศาลรัฐธรรมนูญ และจำเลยอย่างพรรค ประชาธิปัตย์ เพราะไม่ว่าคำพิพากษาจะออก มาในทิศทางใด มันย่อมมีอาฟเตอร์ช็อกสะท้อน กลับมาที่ 2 องค์กรนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ลำพังแค่คดียังไม่ทันตกผลึก บรรดาเสียงนกเสียงกาก็กัดจิกตราชั่งและพระแม่ธรณีบีบมวยผมจนดังลั่นทุ่งไปทุกหย่อมหญ้าบน ปริมณฑลการเมืองแล้วแม้แต่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ยังเข้าใจอย่างถ่องแท้และพูดเลี่ยงๆ เพื่อไม่ให้เข้าตัวว่า การปล่อยของครั้งนี้มีความ พยายามชัดเจนอยู่แล้วว่า ถ้าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็น 2 มาตรฐาน และอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดในการปลุกม็อบคนเสื้อแดง ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ลีลาหน้าไมค์หน้าโพเดี้ยมของท่านนายกฯ ยังไร้ที่ติ แต่ก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า ท่วงท่าเหล่า นี้ใช้ไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวสำหรับชุดความ คิดของคนเสื้อแดงผู้ปักใจรักอย่างมั่นคงต่อ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”

ยิ่งหากนำคดีคลิปมาเทียบเคียงกับคดี ยุบพรรค ที่ได้ดำเนินการยุบ 4-5 พรรคมาก่อนหน้านี้แล้ว คนเสื้อแดงอาจตั้งคำถาม.. “วิรัช” และ “พสิษฐ์” ดำรงอยู่ในทั้ง 2 องค์กรด้วยสถานะอะไรและใช่กรรมการบริหารหรือไม่???

ด้วยมุมเล็กๆ เพียงแค่นี้ ก็สามารถทำ ให้ทั้งหมดทั้งมวลที่ผู้ถูกพาดพิงได้แจกแจงมาตั้งแต่ต้น..มันดูด้อยค่าหรือไร้ค่าไปถนัดตา!!!ยิ่งเหตุมาเกิดในหัวโค้งสำคัญ มันย่อม เป็นเรื่องที่หนักอกหนักใจยิ่งว่า ศาลรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปัตย์ จะตั้งรับกับคลิปมหาภัย นี้อย่างไร

แต่สำหรับคนเสื้อแดงที่ได้ดูทั้ง 5 คลิปแบบหมดเปลือก พร้อมกับคำบรรยายอย่างละเอียด..ด้วยอารมณ์ดั่งเดิมที่ไม่ไว้วางใจทั้ง 2 องค์กรนี้อยู่แล้ว คงไม่ต้องเดาว่า หากมีคำ พิพากษาที่ไม่เป็นดั่งใจของพวกเขา

อารมณ์ของเขาจะเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหน!!!และด้วยความพร่ามัวทางอุดมการณ์การเมืองอันสับสน มันก็จะชักลากประเทศไทย กลับไปสู่สถานการณ์เดียวกันกับห้วง “เมษา-พฤษภา-ตุลา” อันวังเวงและน่าสลดหดหู่

สุดท้าย คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือไม่เลือกสี เลือกข้าง ก็จำต้องทนทุกข์กันอีกวาระ ด้วยอารมณ์จำยอม “เชื่อมั่นต่อไปกับนายกฯ อภิสิทธิ์”..เพราะเลือกไม่ได้ และไร้ทางเลือก

ก่อนจะค่อยๆ เคลิ้มหลับไปท่ามกลางสงครามการเมืองที่กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้งบนการต่อสู้อันยืดเยื้อยาวนานระหว่าง “ไพร่แดง” และ “อำมาตย์”จบไม่ลงจริงๆ สงครามครูเสดการเมือง ฉบับสยามประเทศ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ

ลาภมิควรได้ หรือ ลาภลอย กรณีคืนเงิน 823 ล้านคดีที่ดินรัชดา

โดย สุษม ศุภนิตย์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีที่กองทุนฟื้นฟูฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจด ทะเบียนนิติกรรมการโอนที่ดิน ถนนรัชดาภิเษกให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะนิติกรรมเป็นโมฆะ

ปรากฏว่า มีความเห็นที่แตกต่างหลายแนวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย 7.5% รวมเป็นเงินจำนวน  823 ล้านบาทเศษเพราะเป็นลาภมิควรได้

นักกฎหมายบางท่านเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายตาม มาตรา 411ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีผลทำให้ไม่สามารถเรียกคืนเงินที่ชำระโดยผิดกฎหมายได้อันเป็นข้อยกเว้นหลักลาภมิควรได้ 

นักกฎหมายอาญาเห็นว่า กรณีเป็นความผิดตามกฎหมายที่มีโทษทางอาญาเงินที่จ่ายเป็นค่าที่ดินเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ต้องถูกยึดเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

แต่เหตุผลในคำพิพากษาของศาลแพ่งมิได้อาศัยหลักกฎหมายดังกล่าว

น่าสังเกตว่า หลักกฎหมายลาภมิควรได้ที่ปรับใช้ในคดีนี้มิได้สอดรับกับผลของคดีหลักตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันเป็นต้นเหตุของการฟ้องคดีเพิกถอนนิติกรรมในคดีนี้

แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเห็นว่า คุณหญิงพจมานมิได้มีความผิดและในคดีนี้ทั้งโจทก์และจำเลยต่างสุจริต

แต่ปัญหาน่าคิดอยู่ที่ว่า ถ้านิติกรรมซื้อขายที่ดินต้องห้ามตามกฎหมายที่ประสงค์จะควบคุมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง(พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542) จนเป็นเหตุให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องโทษจำคุก 2ปี การปรับหลักกฎหมายในคดีของศาลแพ่งควรถือเอาข้อเท็จจริงในคดีแรกเป็นสำคัญ ซึ่งผลควรเป็นว่า    

1.นิติกรรมการซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะไม่มีผลผูกพันในทางกฎมายถือว่า มิได้เกิดขึ้น มิใช่ถือว่า ให้กลับคืนสู่ที่เดิม เพราะในทางกฎหมายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นในระหว่างโจทก์และจำเลย

ดังนั้นเมื่อไม่มีนิติกรรมก็มิใช่กรณีผิดนัดผิดสัญญาจึงมิใช่การคืนหนี้เงินที่มีดอกเบี้ย7.5% เพราะผิดนัดตามมาตรา 224 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใด  

2. เมื่อนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายเข้าลักษณะลาภมิควรได้อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในกรณีที่มีการได้และเสียทรัพย์ไปโดยมิได้รู้ว่าการได้และเสียนั้นไม่อาจอ้างเอาไว้ได้ตามกฎหมาย

กฎหมายให้ความเป็นธรรมด้วยการคืนสิ่งที่ได้มาแก่กันเฉพาะกรณีที่ มิใช่การทำผิดข้อห้ามตามกฎหมายและ พิจารณาความสุจริตของคู่กรณีเป็นสำคัญ หากต่างก็สุจริตให้คืนทรัพย์เท่าที่ยังคงเหลือ ส่วนดอกผลของทรัพย์ที่ได้มาต้องคืนให้เจ้าของทรัพย์เมื่อถูกเรียกคืน

ในคดีนี้หากโจทก์(กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินผู้ขายที่ดิน)ไม่อ้างมาตรา 411 ในคำฟ้องและต่างสืบได้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างสุจริต(อันเป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่ง) กรณีก็ไม่ใช่หนี้เงินตามมาตรา224 แต่อย่างใด

ศาลแพ่งเห็นว่า เป็นเรื่องคืนเงินตามมาตรา412  แต่มิได้ปรับบทมาตรา 415  ซึ่งเป็นบทบัญญัติเรื่องการคืนดอกผล ในกรณีนี้ดอกผลของเงินคือดอกเบี้ยที่มิใช่ดอกเบี้ย7.5%เพราะผิดนัดแต่อย่างใดเพราะมิใช่เรียกให้ใช้ค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา

ดังนั้นที่ถูกก็กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯน่าจะคืนดอกเบี้ยเงินค่าที่ดินที่รับไว้ตามอัตราตลาดในขณะที่ถูกเรียกคืนคงมิใช่คิดง่ายๆ คือ7.5% 

3.  เหตุผลของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯในการยอมคืนเงินแก่คุณหญิงพจมานโดยไม่อุทธรณ์ตามที่ออกประกาศแถลงให้ทราบ หากพิจารณาด้วยหลักกฎหมายดูเหมือนจะมิได้ใช้กฎหมายเล่มเดียวกันกับที่สอนในโรงเรียนกฎหมายในเมืองไทย แม้จะมีการอ้างความเห็นของอัยการฝ่ายคดีแพ่งก็ตาม คงไม่มีข้อสันนิษฐานเป็นประการอื่น

นอกจากจะต้องสรุปว่า อาจถึงเวลาต้องปิดโรงเรียน หรือคณะนิติศาสตร์หรือมิฉะนั้นก็ฉีกตำรากฎหมายทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป เพราะเราไม่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการแก้ปัญหา กลายเป็นว่า หรือนักกฎหมายกลับเป็นปัญหาเสียเอง..........................
หมายเหตุ

มาตรา 411  บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ท่านว่าบุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่

มาตรา 412 ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจำนวนหนึ่งท่านว่าต้องคืนเต็มจำนวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน

มาตรา 415  บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่
ถ้าผู้ที่ได้รับไว้จะต้องคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อใด ให้ถือว่าผู้นั้นตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่เรียกคืนนั้น

ที่มา.มติชนออนไลน์

ส่องศาลรัฐธรรมนูญ ย้อนรอย 'พสิษฐ์' ตุลาการในพายุอำนาจ

ศาลรัฐธรรมนูญถูกตาชั่ง-ลูกตุ้มแห่งความยุติธรรมเหวี่ยงด้วยจังหวะที่เร่งร้อน

เมื่อปรากฏภาพคลิปวิดีโอ 5 ชุด เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต

ภาพและเสียงทั้ง 5 ตอน ถูกตัดต่อ เชื่อมโยง กระทบภาพลักษณ์แห่งองค์กรอิสระ กระเทือนไปถึงพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค

ชื่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการส่วนตัว ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ถูกเอ่ยนามทั้งใน-นอกศาล

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 ที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ณ บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (พุ่ม ศรีไชยันต์) เลขที่ 326 ถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ใช้เวลาประชุมกว่า 2 ชั่วโมง ในการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางกระแสข่าวภายนอกที่คาดการณ์ว่า ตำแหน่งดังกล่าวน่าจะเป็นชื่อนายจรัญ ภักดีธนากุล

ขณะที่คนในวงการตุลาการ โดยเฉพาะเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ (ธรรมศาสตร์) ซึ่งมีบทบาทในองค์กรอิสระมาก่อนหน้า ทำนายฟันธงไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ผลการลงมติเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ ต้องออกมาเป็นนายชัช ชลวร แน่นอน

ด้วยกิตติศัพท์ที่รู้กันในวงการตุลาการว่า "นายชัช" ผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้ชื่อเสียงใน วงกว้างจะไม่ได้เป็นที่รู้จักของชาวบ้านร้านตลาดมากเท่ากับ นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้มีอดีตเป็นถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม

ระหว่างสุญญากาศอำนาจ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญอยู่บนฤดูการผลัดเปลี่ยนคณะตุลาการชุดใหม่ มีนักกฎหมาย- ทีมงานของตุลาการติดตามเป็นเงาตาม ตัวว่าที่ผู้มีอำนาจ

เมื่อสปอตไลต์ฉายไปจับว่าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ระหว่างรอการ โปรดเกล้าฯ อำนาจจากทุกฝ่ายต่าง เคลื่อนตัวเข้าหาผู้มีบารมีหมายเลข 1 ในวงการยุติธรรม

ขณะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเคร่งครัดเรื่องมาตรการการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานอย่างยิ่ง ทำให้ "แขก" ของท่านประธานศาลต้องติดต่อผ่าน "เงา" ตามตัวของท่าน ที่ชื่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์

บุคคลที่ต้องการเข้าใกล้ "ประธาน" ได้รับการประสานว่า ให้ติดต่อผ่าน "นายพสิษฐ์"

บทบาท-ภาพลักษณ์ของ "นายพสิษฐ์" เป็นที่ประจักษ์แก่สายสาผู้พบเห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า "มีอำนาจ"

นอกจากหน้าที่ "เลขานุการส่วนตัว" เขามีหน้าที่หลักในวง "แถลงข่าว" กิจการ-คดีของศาลรัฐธรรมนูญด้วย

ภาพที่ถูกฉายซ้ำ คือ "นายพสิษฐ์" นั่งเป็น "ตัวจริง" อยู่ตรงกลางเวที ขนาบซ้าย-ขวาด้วยคนมีตำแหน่งจริง อย่าง "นายเชาวนะ ไตรมาส" เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วย "นายปัญญา อุดชาชน" รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเลขาธิการและรองเลขาธิการ

เท่านั้นยังไม่พอ "นายพสิษฐ์" ในฐานะเลขานุการประธานศาล ยังมักสวมบทเป็นผู้ดำเนินรายการหน้าเวที ด้วยการจัดคิวให้เลขาธิการสำนักงานตอบคำถามนี้ หรือชี้ให้รองเลขาธิการสำนักงานชี้แจงปัญหาโน้นอยู่บ่อยครั้ง

ยังไม่นับรวมข้อมูลอีกชุดที่โจษขานกันว่า "นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์" อดีตเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ จำต้อง ขยับขยายออกจากศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ ฤทธิ์เดชของเลขานุการผู้มากบารมีที่ชื่อ "พสิษฐ์"

ข่าวใน-นอกศาลวิจารณ์กันขรมว่า ปฐมเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างอดีตเลขาธิการสำนักงานกับอดีตเลขานุการประธานศาล อาจมาจากเรื่องในตาราง งบประมาณ

นอกจากสถานะบนดิน เปิดหน้า ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เขายังใช้ตำแหน่งเช่นนี้ปฏิบัติการ เชื่อมโยงเครือข่ายไปยัง องค์กรอิสระที่มีคดีเกี่ยวพัน ทั้งจากสำนักงาน กกต. เครือข่ายเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ของ "นายชัช" ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ

1 ในภารกิจลับของเขา คือการนัดพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นทีม กฎหมายในคดียุบพรรค ที่ทั้งฉากและ เนื้อเรื่องถูกถ่ายทอดเพิ่มเติมจากคน ในพรรคเพื่อไทย ไปจนถึงเว็บไซต์สาธารณะ

ปรากฏการณ์ความเสื่อมถูกวิเคราะห์ วิจารณ์จากวงการนักฎหมายว่า การแต่งตั้งบุคคลที่มีบทบาทใกล้ชิดผู้เป็นประมุขหมายเลข 1 แห่งบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์นั้น ย่อมมีความไม่เหมาะสมด้วยเหตุประการทั้งปวง

คดีความที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ส.ส. และ ส.ว. ต่างถูกนำมาถกเถียง สนทนา ตั้งสมติฐานว่า อาจมีเรื่องลึก-ลับ เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่

ผลการปรากฏตัวของคนใกล้ชิดประธานศาลรัฐธรรมนูญถูกตีความจากนักการเมืองฝ่ายค้าน ด้วยตรรกะที่ไม่เหนือความคาดหมาย ว่าอาจส่งผลให้คดี ยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบทางอ้อม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*********************************************************

สุดยอดผู้นำ?

ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาน้ำท่วมหนักเกือบครึ่งค่อนประเทศ

ตัวเลขปลายสัปดาห์เดือดร้อนแล้วกว่า 450,000 ครัวเรือน เกือบ 1,300,000 คน เสียชีวิต 17 ราย

ไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สินบ้านเรือน พืชผลการเกษตร การปศุสัตว์ว่าพินาศย่อยยับขนาดไหน

หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนระดมสรรพกำลังช่วยซับน้ำตากันเต็มที่

ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้านุ่งห่ม หยูกยา อาหารแห้ง น้ำดื่ม ฯลฯ ที่ได้จากการบริจาค ถูกนำมาจัดสรรกระจายไปยังพื้นที่ 29 จังหวัดประสบภัย

เห็นแล้วน่าปลื้มใจคนไทยไม่ทิ้งกัน

ขณะเดียวกันในมุมของนักการเมืองไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน

เป็นจังหวะดีที่จะได้ตอบแทนบุญคุณชาวบ้านที่อุตส่าห์เลือกบรรดาทั่นๆ เข้าไปนั่งเป็นผู้แทน

ใครฉวยโอกาสหาเสียงกันตอนนี้คงไม่มีใครใจร้ายต่อว่าต่อขาน แต่ก็อย่าสร้างภาพ'ดราม่า'เกิน

เดี๋ยวจะดู'เฟก'

อย่างกองเชียร์บางพรรคที่พยายามป่าวประกาศว่า

การที่นายกฯอภิสิทธิ์ เดินสายลงตรวจพื้นที่น้ำท่วม เยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ประสบความเดือดร้อนติดต่อกันหลายวันในช่วงนี้

แสดงถึงความเป็น'สุดยอดผู้นำ'

พร้อมจะยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านทุกภาคทุกจังหวัดโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นพื้นที่สีแดงหรือสีไหน

ชาวบ้านประชาชนเองก็ต้อนรับอย่างดี

ได้เห็นนายกฯ (มาดคุณหนู) นั่งเรือท้องแบน(ลุยน้ำสูงแค่หัวเข่า) น้ำตาก็ไหลพรากๆๆ

ทั้งที่ความจริงไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกพิสดารตรงไหน

เพราะการดูแลช่วยเหลือชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยาก มันก็เป็นหน้าที่ของนายกฯ และรัฐบาลอยู่แล้ว

ไม่ว่าใครเป็นนายกฯ ทักษิณ สมัคร สมชาย หรือต่อให้สารวัตรเหลิม ก็ต้องทำอย่างที่นายกฯอภิสิทธิ์ทำอยู่ตอนนี้ทั้งนั้น

ถ้าไม่ทำสิถึงแปลก แถมยังจะโดนด่าว่าเป็นนายกฯภาษาอะไร(ฟะ)

ส่วนที่บอกว่านายกฯอภิสิทธิ์ กล้าลงไปพื้นที่จังหวัดภาคอีสานนั้น

ก็น้ำมันท่วมหนักที่ภาคอีสาน ถ้าไม่ไปภาคอีสานแล้วจะให้ไปภาคใต้หรืออย่างไร

แล้วที่บอกว่าไม่มีชาวบ้านมาคอยถือตีนตบขับไล่นายกฯ พร้อมกับทึกทักเอาว่าข้อขัดแย้งทางการเมืองได้สูญสลายหายไปกับสายน้ำแล้วนั้น

ถ้ามั่นใจอย่างนั้น น้ำลดเมื่อไหร่ ชาวบ้านกลับมาทำมาหากินได้อย่างปกติสุข

ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พิสูจน์ให้เห็นกันจะจะไปเลย

กล้ารึเปล่า?


ที่มา:ข่าวสด
เหล็กใน
*********************************************************

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โพลพบคนอีสานไม่สนับสนุนรัฐบาล

“อีสานโพล” สำรวจพบประชาชนในพื้นที่ลดการสนับสนุนงานด้านการเมืองของรัฐบาลเหลือเพียง 36.40% จากการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 45% ส่วนการทำงานในด้านอื่นทั้งเศรษฐกิจ สังคม กลุ่มผู้สนับสนุนและไม่สนับสนุนไม่ต่างกันมากนัก “จาตุรนต์” ชี้ประชาธิปัตย์กำลังเล่นเกมโยนเรื่องทุจริตให้ภูมิใจไทยเพื่อกู้ภาพลักษณ์ช่วงโค้งสุดท้ายของการทำงานก่อนยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เชื่อสุดท้ายภูมิใจไทยจะถอนตัวออกจากรัฐบาล

“อีสานโพล” ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยผลการสำรวจที่ตอกย้ำว่าคนอีสานส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนงานด้านการเมืองของรัฐบาล

ทั้งนี้ เป็นการสำรวจจากประชาชน 697 ราย ในช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีกลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนด้านการเมืองแก่รัฐบาลเพียง 36.40% ขณะที่มีผู้ไม่สนับสนุนสูงถึง 63.60% ซึ่งลดลงอย่างมากเพื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนที่มีผู้ให้การสนับสนุนอยู่ที่ 45%

อย่างไรก็ตาม หากเป็นการทำงานในภาพรวมยังให้การสนับสนุนอยู่ที่ 54.70% และอีก 45.30% ไม่สนับสนุน ขณะที่การทำงานด้านเศรษฐกิจ กลุ่มตัวอย่างให้การสนับสนุนรัฐบาล 50.20% ไม่สนับสนุน 49.80% ส่วนด้านสังคมให้การสนับสนุน 59.50% ไม่สนับสนุน 40.50%

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเล่นเกมเพื่อโยนภาพการทุจริตไปให้กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อหวังกอบกู้ภาพพจน์ของพรรคในช่วงสุดท้ายของการทำงาน

“ผมเชื่อว่าเรื่องการทุจริตจะเป็นปัญหาในรัฐบาลจนทำให้บางพรรคแยกตัวออกไป และจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ตามมาในที่สุด แต่หากไม่มีการเลือกตั้งจะต้องมีการรัฐประหารเกิดขึ้น” นายจาตุรนต์กล่าวและว่า โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือทำงานร่วมกับพรรคภูมิใจไทยถือว่าเป็นไปได้ยากมาก

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นในทิศทางตรงกันข้ามกับนายจาตุรนต์ โดยเชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่ถอนตัวออกจากรัฐบาลและจะไม่ถูกปรับให้ออก ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยจริงๆก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นอะไหล่รอเสียบอยู่

“หากมีการเปลี่ยนแปลงผมว่าสิ่งแรกที่จะเกิดคือการเกลี่ยกระทรวงกันใหม่หมด โดยพรรคประชาธิปัตย์จะยึดเอากระทรวงใหญ่มาดูแล ทั้งมหาดไทย คมนาคม พาณิชย์ และอุตสาหกรรม” รศ.สุขุมกล่าวและว่า ยังมีอีกแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้คือการดึงพรรคเพื่อแผ่นดินเข้ามาโดยไม่เอาพรรคภูมิใจไทยออก แต่จะขอโควตารัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยมาให้พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยคงต้องจำยอมหากยังอยากอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไป โดยอาจจะยอมคืนกระทรวงพาณิชย์แต่ไม่คืนกระทรวงมหาดไทย ส่วนกระแสข่าวที่ว่าอาจเอานายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น แม้จะเป็นไปได้ยากแต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยตัดสินใจถอนตัวออกจากรัฐบาล

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************

รัฐบาลอังกฤษยืนยันคนไทยได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษ


เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงและปัญหาทางการเมืองในประเทศไทย และการคุกคามทางการเมืองและการจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่นานมานี้ Asian Correspondent ได้เผยแพร่บทความที่ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษได้รองสถานภาพผู้ลี้ภัยในอังกฤษ

“ผมได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษที่รับผิดชอบและมีอำนาจในการตัดสินใจรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษว่า มีคนไทยอย่างน้อยหนึ่งคนได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยจริงในประเทศอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว”

โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจาก โฆษกของสำนักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง ซึ่งทำงานให้กับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่กำกับสำนักงานคนเข้าเมือง

นอกจากจากนี้ ผู้เขียนยังได้ติดต่อสภาผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษเพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าว
“นอกจากนี้ ผมยังติดต่อสภาผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ที่ดูแลเรื่องการขอลี้ภัยทางการเมือง เพื่อที่จะสอบถามว่าเอกสารวีซ่าที่สตรีไทยผู้ได้รับการรับรองสถานภาพทางการเมืองแสดงให้ผมดูนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่ สภาผู้ลี้ภัยกล่าวว่า เอกสารดังกล่าวน่าจะเป็นเอกสารจริง แต่หากจะให้แน่ใจจริงๆ จะต้องส่งเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ไปให้เจ้าหน้าตรวจสอบคนเข้าเมืองพิจารณา”

และนี้คือหลักฐานภาพถ่ายเอกสารวีซ่าและเรื่องราวของผู้ที่ได้รับการลี้ภัย