และแล้วก็กลายเป็นประเด็นร้อนก่อนวันพิพากษาขึ้นมาหลังจากมีมือดีปล่อยของลอกแบบคลิปเสียงวงการมายาแต่นี่ดูจะหนักหนาสาหัสกว่าเรื่องผัวๆ เมียๆเพราะมีการเชื่อมโยงเอาเสาหลักสักทองอย่าง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีรวมไปถึงคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
และเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญโดยเดินเรื่องผ่านคนของพรรคประชาธิปัตย์ขมวดปมถึงเจตนาการนำเสนอ 5 คลิปการเมืองร้อนของผู้เผยแพร่ค่อนข้างชัดเจนว่า กำลังต่อจิ๊กซอว์ไปถึงการล็อบบี้เพื่อไม่ให้ยุบสถาบันการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์
จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ อย่างไรไม่รู้ แต่ที่เซ่นสังเวยไปก่อนพรรคประชาธิปัตย์แล้ว นั่นคือ “พสิษฐ์ ศักดาณรงค์” เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เพิ่งโดนคำสั่งปลดไปไม่กี่เพลาก่อนหน้านี้
สำหรับสถานการณ์ของ “วิรัช ร่มเย็น” ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคู่สนทนา ยังอยู่ในอาการลูกผีลูกคน!!!แต่ที่น่าจะกลืนไม่เข้า คายไม่ออกกว่าใครเพื่อน คงไม่พ้นสถานการณ์ของผู้พิพากษา อย่างศาลรัฐธรรมนูญ และจำเลยอย่างพรรค ประชาธิปัตย์ เพราะไม่ว่าคำพิพากษาจะออก มาในทิศทางใด มันย่อมมีอาฟเตอร์ช็อกสะท้อน กลับมาที่ 2 องค์กรนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลำพังแค่คดียังไม่ทันตกผลึก บรรดาเสียงนกเสียงกาก็กัดจิกตราชั่งและพระแม่ธรณีบีบมวยผมจนดังลั่นทุ่งไปทุกหย่อมหญ้าบน ปริมณฑลการเมืองแล้วแม้แต่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ยังเข้าใจอย่างถ่องแท้และพูดเลี่ยงๆ เพื่อไม่ให้เข้าตัวว่า การปล่อยของครั้งนี้มีความ พยายามชัดเจนอยู่แล้วว่า ถ้าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็น 2 มาตรฐาน และอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดในการปลุกม็อบคนเสื้อแดง ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ลีลาหน้าไมค์หน้าโพเดี้ยมของท่านนายกฯ ยังไร้ที่ติ แต่ก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า ท่วงท่าเหล่า นี้ใช้ไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวสำหรับชุดความ คิดของคนเสื้อแดงผู้ปักใจรักอย่างมั่นคงต่อ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”
ยิ่งหากนำคดีคลิปมาเทียบเคียงกับคดี ยุบพรรค ที่ได้ดำเนินการยุบ 4-5 พรรคมาก่อนหน้านี้แล้ว คนเสื้อแดงอาจตั้งคำถาม.. “วิรัช” และ “พสิษฐ์” ดำรงอยู่ในทั้ง 2 องค์กรด้วยสถานะอะไรและใช่กรรมการบริหารหรือไม่???
ด้วยมุมเล็กๆ เพียงแค่นี้ ก็สามารถทำ ให้ทั้งหมดทั้งมวลที่ผู้ถูกพาดพิงได้แจกแจงมาตั้งแต่ต้น..มันดูด้อยค่าหรือไร้ค่าไปถนัดตา!!!ยิ่งเหตุมาเกิดในหัวโค้งสำคัญ มันย่อม เป็นเรื่องที่หนักอกหนักใจยิ่งว่า ศาลรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปัตย์ จะตั้งรับกับคลิปมหาภัย นี้อย่างไร
แต่สำหรับคนเสื้อแดงที่ได้ดูทั้ง 5 คลิปแบบหมดเปลือก พร้อมกับคำบรรยายอย่างละเอียด..ด้วยอารมณ์ดั่งเดิมที่ไม่ไว้วางใจทั้ง 2 องค์กรนี้อยู่แล้ว คงไม่ต้องเดาว่า หากมีคำ พิพากษาที่ไม่เป็นดั่งใจของพวกเขา
อารมณ์ของเขาจะเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหน!!!และด้วยความพร่ามัวทางอุดมการณ์การเมืองอันสับสน มันก็จะชักลากประเทศไทย กลับไปสู่สถานการณ์เดียวกันกับห้วง “เมษา-พฤษภา-ตุลา” อันวังเวงและน่าสลดหดหู่
สุดท้าย คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือไม่เลือกสี เลือกข้าง ก็จำต้องทนทุกข์กันอีกวาระ ด้วยอารมณ์จำยอม “เชื่อมั่นต่อไปกับนายกฯ อภิสิทธิ์”..เพราะเลือกไม่ได้ และไร้ทางเลือก
ก่อนจะค่อยๆ เคลิ้มหลับไปท่ามกลางสงครามการเมืองที่กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้งบนการต่อสู้อันยืดเยื้อยาวนานระหว่าง “ไพร่แดง” และ “อำมาตย์”จบไม่ลงจริงๆ สงครามครูเสดการเมือง ฉบับสยามประเทศ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เชื่อมั่นต่อไปกับ..นายกฯ อภิสิทธิ์?
ลาภมิควรได้ หรือ ลาภลอย กรณีคืนเงิน 823 ล้านคดีที่ดินรัชดา
โดย สุษม ศุภนิตย์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีที่กองทุนฟื้นฟูฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจด ทะเบียนนิติกรรมการโอนที่ดิน ถนนรัชดาภิเษกให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะนิติกรรมเป็นโมฆะ
ปรากฏว่า มีความเห็นที่แตกต่างหลายแนวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย 7.5% รวมเป็นเงินจำนวน 823 ล้านบาทเศษเพราะเป็นลาภมิควรได้
นักกฎหมายบางท่านเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายตาม มาตรา 411ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีผลทำให้ไม่สามารถเรียกคืนเงินที่ชำระโดยผิดกฎหมายได้อันเป็นข้อยกเว้นหลักลาภมิควรได้
นักกฎหมายอาญาเห็นว่า กรณีเป็นความผิดตามกฎหมายที่มีโทษทางอาญาเงินที่จ่ายเป็นค่าที่ดินเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ต้องถูกยึดเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
แต่เหตุผลในคำพิพากษาของศาลแพ่งมิได้อาศัยหลักกฎหมายดังกล่าว
น่าสังเกตว่า หลักกฎหมายลาภมิควรได้ที่ปรับใช้ในคดีนี้มิได้สอดรับกับผลของคดีหลักตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันเป็นต้นเหตุของการฟ้องคดีเพิกถอนนิติกรรมในคดีนี้
แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเห็นว่า คุณหญิงพจมานมิได้มีความผิดและในคดีนี้ทั้งโจทก์และจำเลยต่างสุจริต
แต่ปัญหาน่าคิดอยู่ที่ว่า ถ้านิติกรรมซื้อขายที่ดินต้องห้ามตามกฎหมายที่ประสงค์จะควบคุมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง(พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542) จนเป็นเหตุให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องโทษจำคุก 2ปี การปรับหลักกฎหมายในคดีของศาลแพ่งควรถือเอาข้อเท็จจริงในคดีแรกเป็นสำคัญ ซึ่งผลควรเป็นว่า
1.นิติกรรมการซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะไม่มีผลผูกพันในทางกฎมายถือว่า มิได้เกิดขึ้น มิใช่ถือว่า ให้กลับคืนสู่ที่เดิม เพราะในทางกฎหมายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นในระหว่างโจทก์และจำเลย
ดังนั้นเมื่อไม่มีนิติกรรมก็มิใช่กรณีผิดนัดผิดสัญญาจึงมิใช่การคืนหนี้เงินที่มีดอกเบี้ย7.5% เพราะผิดนัดตามมาตรา 224 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใด
2. เมื่อนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายเข้าลักษณะลาภมิควรได้อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในกรณีที่มีการได้และเสียทรัพย์ไปโดยมิได้รู้ว่าการได้และเสียนั้นไม่อาจอ้างเอาไว้ได้ตามกฎหมาย
กฎหมายให้ความเป็นธรรมด้วยการคืนสิ่งที่ได้มาแก่กันเฉพาะกรณีที่ มิใช่การทำผิดข้อห้ามตามกฎหมายและ พิจารณาความสุจริตของคู่กรณีเป็นสำคัญ หากต่างก็สุจริตให้คืนทรัพย์เท่าที่ยังคงเหลือ ส่วนดอกผลของทรัพย์ที่ได้มาต้องคืนให้เจ้าของทรัพย์เมื่อถูกเรียกคืน
ในคดีนี้หากโจทก์(กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินผู้ขายที่ดิน)ไม่อ้างมาตรา 411 ในคำฟ้องและต่างสืบได้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างสุจริต(อันเป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่ง) กรณีก็ไม่ใช่หนี้เงินตามมาตรา224 แต่อย่างใด
ศาลแพ่งเห็นว่า เป็นเรื่องคืนเงินตามมาตรา412 แต่มิได้ปรับบทมาตรา 415 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเรื่องการคืนดอกผล ในกรณีนี้ดอกผลของเงินคือดอกเบี้ยที่มิใช่ดอกเบี้ย7.5%เพราะผิดนัดแต่อย่างใดเพราะมิใช่เรียกให้ใช้ค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา
ดังนั้นที่ถูกก็กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯน่าจะคืนดอกเบี้ยเงินค่าที่ดินที่รับไว้ตามอัตราตลาดในขณะที่ถูกเรียกคืนคงมิใช่คิดง่ายๆ คือ7.5%
3. เหตุผลของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯในการยอมคืนเงินแก่คุณหญิงพจมานโดยไม่อุทธรณ์ตามที่ออกประกาศแถลงให้ทราบ หากพิจารณาด้วยหลักกฎหมายดูเหมือนจะมิได้ใช้กฎหมายเล่มเดียวกันกับที่สอนในโรงเรียนกฎหมายในเมืองไทย แม้จะมีการอ้างความเห็นของอัยการฝ่ายคดีแพ่งก็ตาม คงไม่มีข้อสันนิษฐานเป็นประการอื่น
นอกจากจะต้องสรุปว่า อาจถึงเวลาต้องปิดโรงเรียน หรือคณะนิติศาสตร์หรือมิฉะนั้นก็ฉีกตำรากฎหมายทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป เพราะเราไม่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการแก้ปัญหา กลายเป็นว่า หรือนักกฎหมายกลับเป็นปัญหาเสียเอง..........................
หมายเหตุ
มาตรา 411 บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ท่านว่าบุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่
มาตรา 412 ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจำนวนหนึ่งท่านว่าต้องคืนเต็มจำนวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน
มาตรา 415 บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่
ถ้าผู้ที่ได้รับไว้จะต้องคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อใด ให้ถือว่าผู้นั้นตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่เรียกคืนนั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีที่กองทุนฟื้นฟูฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจด ทะเบียนนิติกรรมการโอนที่ดิน ถนนรัชดาภิเษกให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะนิติกรรมเป็นโมฆะ
ปรากฏว่า มีความเห็นที่แตกต่างหลายแนวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย 7.5% รวมเป็นเงินจำนวน 823 ล้านบาทเศษเพราะเป็นลาภมิควรได้
นักกฎหมายบางท่านเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายตาม มาตรา 411ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีผลทำให้ไม่สามารถเรียกคืนเงินที่ชำระโดยผิดกฎหมายได้อันเป็นข้อยกเว้นหลักลาภมิควรได้
นักกฎหมายอาญาเห็นว่า กรณีเป็นความผิดตามกฎหมายที่มีโทษทางอาญาเงินที่จ่ายเป็นค่าที่ดินเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ต้องถูกยึดเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
แต่เหตุผลในคำพิพากษาของศาลแพ่งมิได้อาศัยหลักกฎหมายดังกล่าว
น่าสังเกตว่า หลักกฎหมายลาภมิควรได้ที่ปรับใช้ในคดีนี้มิได้สอดรับกับผลของคดีหลักตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันเป็นต้นเหตุของการฟ้องคดีเพิกถอนนิติกรรมในคดีนี้
แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเห็นว่า คุณหญิงพจมานมิได้มีความผิดและในคดีนี้ทั้งโจทก์และจำเลยต่างสุจริต
แต่ปัญหาน่าคิดอยู่ที่ว่า ถ้านิติกรรมซื้อขายที่ดินต้องห้ามตามกฎหมายที่ประสงค์จะควบคุมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง(พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542) จนเป็นเหตุให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องโทษจำคุก 2ปี การปรับหลักกฎหมายในคดีของศาลแพ่งควรถือเอาข้อเท็จจริงในคดีแรกเป็นสำคัญ ซึ่งผลควรเป็นว่า
1.นิติกรรมการซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะไม่มีผลผูกพันในทางกฎมายถือว่า มิได้เกิดขึ้น มิใช่ถือว่า ให้กลับคืนสู่ที่เดิม เพราะในทางกฎหมายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นในระหว่างโจทก์และจำเลย
ดังนั้นเมื่อไม่มีนิติกรรมก็มิใช่กรณีผิดนัดผิดสัญญาจึงมิใช่การคืนหนี้เงินที่มีดอกเบี้ย7.5% เพราะผิดนัดตามมาตรา 224 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใด
2. เมื่อนิติกรรมเป็นโมฆะเพราะผิดกฎหมายเข้าลักษณะลาภมิควรได้อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในกรณีที่มีการได้และเสียทรัพย์ไปโดยมิได้รู้ว่าการได้และเสียนั้นไม่อาจอ้างเอาไว้ได้ตามกฎหมาย
กฎหมายให้ความเป็นธรรมด้วยการคืนสิ่งที่ได้มาแก่กันเฉพาะกรณีที่ มิใช่การทำผิดข้อห้ามตามกฎหมายและ พิจารณาความสุจริตของคู่กรณีเป็นสำคัญ หากต่างก็สุจริตให้คืนทรัพย์เท่าที่ยังคงเหลือ ส่วนดอกผลของทรัพย์ที่ได้มาต้องคืนให้เจ้าของทรัพย์เมื่อถูกเรียกคืน
ในคดีนี้หากโจทก์(กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินผู้ขายที่ดิน)ไม่อ้างมาตรา 411 ในคำฟ้องและต่างสืบได้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายต่างสุจริต(อันเป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่ง) กรณีก็ไม่ใช่หนี้เงินตามมาตรา224 แต่อย่างใด
ศาลแพ่งเห็นว่า เป็นเรื่องคืนเงินตามมาตรา412 แต่มิได้ปรับบทมาตรา 415 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเรื่องการคืนดอกผล ในกรณีนี้ดอกผลของเงินคือดอกเบี้ยที่มิใช่ดอกเบี้ย7.5%เพราะผิดนัดแต่อย่างใดเพราะมิใช่เรียกให้ใช้ค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา
ดังนั้นที่ถูกก็กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯน่าจะคืนดอกเบี้ยเงินค่าที่ดินที่รับไว้ตามอัตราตลาดในขณะที่ถูกเรียกคืนคงมิใช่คิดง่ายๆ คือ7.5%
3. เหตุผลของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯในการยอมคืนเงินแก่คุณหญิงพจมานโดยไม่อุทธรณ์ตามที่ออกประกาศแถลงให้ทราบ หากพิจารณาด้วยหลักกฎหมายดูเหมือนจะมิได้ใช้กฎหมายเล่มเดียวกันกับที่สอนในโรงเรียนกฎหมายในเมืองไทย แม้จะมีการอ้างความเห็นของอัยการฝ่ายคดีแพ่งก็ตาม คงไม่มีข้อสันนิษฐานเป็นประการอื่น
นอกจากจะต้องสรุปว่า อาจถึงเวลาต้องปิดโรงเรียน หรือคณะนิติศาสตร์หรือมิฉะนั้นก็ฉีกตำรากฎหมายทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป เพราะเราไม่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการแก้ปัญหา กลายเป็นว่า หรือนักกฎหมายกลับเป็นปัญหาเสียเอง..........................
หมายเหตุ
มาตรา 411 บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ท่านว่าบุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่
มาตรา 412 ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจำนวนหนึ่งท่านว่าต้องคืนเต็มจำนวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน
มาตรา 415 บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่
ถ้าผู้ที่ได้รับไว้จะต้องคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อใด ให้ถือว่าผู้นั้นตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่เรียกคืนนั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์
ส่องศาลรัฐธรรมนูญ ย้อนรอย 'พสิษฐ์' ตุลาการในพายุอำนาจ
ศาลรัฐธรรมนูญถูกตาชั่ง-ลูกตุ้มแห่งความยุติธรรมเหวี่ยงด้วยจังหวะที่เร่งร้อน
เมื่อปรากฏภาพคลิปวิดีโอ 5 ชุด เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
ภาพและเสียงทั้ง 5 ตอน ถูกตัดต่อ เชื่อมโยง กระทบภาพลักษณ์แห่งองค์กรอิสระ กระเทือนไปถึงพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค
ชื่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการส่วนตัว ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ถูกเอ่ยนามทั้งใน-นอกศาล
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 ที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ณ บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (พุ่ม ศรีไชยันต์) เลขที่ 326 ถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ใช้เวลาประชุมกว่า 2 ชั่วโมง ในการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางกระแสข่าวภายนอกที่คาดการณ์ว่า ตำแหน่งดังกล่าวน่าจะเป็นชื่อนายจรัญ ภักดีธนากุล
ขณะที่คนในวงการตุลาการ โดยเฉพาะเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ (ธรรมศาสตร์) ซึ่งมีบทบาทในองค์กรอิสระมาก่อนหน้า ทำนายฟันธงไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ผลการลงมติเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ ต้องออกมาเป็นนายชัช ชลวร แน่นอน
ด้วยกิตติศัพท์ที่รู้กันในวงการตุลาการว่า "นายชัช" ผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้ชื่อเสียงใน วงกว้างจะไม่ได้เป็นที่รู้จักของชาวบ้านร้านตลาดมากเท่ากับ นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้มีอดีตเป็นถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม
ระหว่างสุญญากาศอำนาจ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญอยู่บนฤดูการผลัดเปลี่ยนคณะตุลาการชุดใหม่ มีนักกฎหมาย- ทีมงานของตุลาการติดตามเป็นเงาตาม ตัวว่าที่ผู้มีอำนาจ
เมื่อสปอตไลต์ฉายไปจับว่าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ระหว่างรอการ โปรดเกล้าฯ อำนาจจากทุกฝ่ายต่าง เคลื่อนตัวเข้าหาผู้มีบารมีหมายเลข 1 ในวงการยุติธรรม
ขณะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเคร่งครัดเรื่องมาตรการการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานอย่างยิ่ง ทำให้ "แขก" ของท่านประธานศาลต้องติดต่อผ่าน "เงา" ตามตัวของท่าน ที่ชื่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์
บุคคลที่ต้องการเข้าใกล้ "ประธาน" ได้รับการประสานว่า ให้ติดต่อผ่าน "นายพสิษฐ์"
บทบาท-ภาพลักษณ์ของ "นายพสิษฐ์" เป็นที่ประจักษ์แก่สายสาผู้พบเห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า "มีอำนาจ"
นอกจากหน้าที่ "เลขานุการส่วนตัว" เขามีหน้าที่หลักในวง "แถลงข่าว" กิจการ-คดีของศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ภาพที่ถูกฉายซ้ำ คือ "นายพสิษฐ์" นั่งเป็น "ตัวจริง" อยู่ตรงกลางเวที ขนาบซ้าย-ขวาด้วยคนมีตำแหน่งจริง อย่าง "นายเชาวนะ ไตรมาส" เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วย "นายปัญญา อุดชาชน" รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเลขาธิการและรองเลขาธิการ
เท่านั้นยังไม่พอ "นายพสิษฐ์" ในฐานะเลขานุการประธานศาล ยังมักสวมบทเป็นผู้ดำเนินรายการหน้าเวที ด้วยการจัดคิวให้เลขาธิการสำนักงานตอบคำถามนี้ หรือชี้ให้รองเลขาธิการสำนักงานชี้แจงปัญหาโน้นอยู่บ่อยครั้ง
ยังไม่นับรวมข้อมูลอีกชุดที่โจษขานกันว่า "นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์" อดีตเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ จำต้อง ขยับขยายออกจากศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ ฤทธิ์เดชของเลขานุการผู้มากบารมีที่ชื่อ "พสิษฐ์"
ข่าวใน-นอกศาลวิจารณ์กันขรมว่า ปฐมเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างอดีตเลขาธิการสำนักงานกับอดีตเลขานุการประธานศาล อาจมาจากเรื่องในตาราง งบประมาณ
นอกจากสถานะบนดิน เปิดหน้า ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เขายังใช้ตำแหน่งเช่นนี้ปฏิบัติการ เชื่อมโยงเครือข่ายไปยัง องค์กรอิสระที่มีคดีเกี่ยวพัน ทั้งจากสำนักงาน กกต. เครือข่ายเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ของ "นายชัช" ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ
1 ในภารกิจลับของเขา คือการนัดพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นทีม กฎหมายในคดียุบพรรค ที่ทั้งฉากและ เนื้อเรื่องถูกถ่ายทอดเพิ่มเติมจากคน ในพรรคเพื่อไทย ไปจนถึงเว็บไซต์สาธารณะ
ปรากฏการณ์ความเสื่อมถูกวิเคราะห์ วิจารณ์จากวงการนักฎหมายว่า การแต่งตั้งบุคคลที่มีบทบาทใกล้ชิดผู้เป็นประมุขหมายเลข 1 แห่งบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์นั้น ย่อมมีความไม่เหมาะสมด้วยเหตุประการทั้งปวง
คดีความที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ส.ส. และ ส.ว. ต่างถูกนำมาถกเถียง สนทนา ตั้งสมติฐานว่า อาจมีเรื่องลึก-ลับ เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่
ผลการปรากฏตัวของคนใกล้ชิดประธานศาลรัฐธรรมนูญถูกตีความจากนักการเมืองฝ่ายค้าน ด้วยตรรกะที่ไม่เหนือความคาดหมาย ว่าอาจส่งผลให้คดี ยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบทางอ้อม
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*********************************************************
เมื่อปรากฏภาพคลิปวิดีโอ 5 ชุด เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
ภาพและเสียงทั้ง 5 ตอน ถูกตัดต่อ เชื่อมโยง กระทบภาพลักษณ์แห่งองค์กรอิสระ กระเทือนไปถึงพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค
ชื่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการส่วนตัว ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ถูกเอ่ยนามทั้งใน-นอกศาล
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 ที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ณ บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (พุ่ม ศรีไชยันต์) เลขที่ 326 ถนนจักรเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ใช้เวลาประชุมกว่า 2 ชั่วโมง ในการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางกระแสข่าวภายนอกที่คาดการณ์ว่า ตำแหน่งดังกล่าวน่าจะเป็นชื่อนายจรัญ ภักดีธนากุล
ขณะที่คนในวงการตุลาการ โดยเฉพาะเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ (ธรรมศาสตร์) ซึ่งมีบทบาทในองค์กรอิสระมาก่อนหน้า ทำนายฟันธงไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ผลการลงมติเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญ ต้องออกมาเป็นนายชัช ชลวร แน่นอน
ด้วยกิตติศัพท์ที่รู้กันในวงการตุลาการว่า "นายชัช" ผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้ชื่อเสียงใน วงกว้างจะไม่ได้เป็นที่รู้จักของชาวบ้านร้านตลาดมากเท่ากับ นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้มีอดีตเป็นถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม
ระหว่างสุญญากาศอำนาจ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญอยู่บนฤดูการผลัดเปลี่ยนคณะตุลาการชุดใหม่ มีนักกฎหมาย- ทีมงานของตุลาการติดตามเป็นเงาตาม ตัวว่าที่ผู้มีอำนาจ
เมื่อสปอตไลต์ฉายไปจับว่าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ระหว่างรอการ โปรดเกล้าฯ อำนาจจากทุกฝ่ายต่าง เคลื่อนตัวเข้าหาผู้มีบารมีหมายเลข 1 ในวงการยุติธรรม
ขณะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเคร่งครัดเรื่องมาตรการการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานอย่างยิ่ง ทำให้ "แขก" ของท่านประธานศาลต้องติดต่อผ่าน "เงา" ตามตัวของท่าน ที่ชื่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์
บุคคลที่ต้องการเข้าใกล้ "ประธาน" ได้รับการประสานว่า ให้ติดต่อผ่าน "นายพสิษฐ์"
บทบาท-ภาพลักษณ์ของ "นายพสิษฐ์" เป็นที่ประจักษ์แก่สายสาผู้พบเห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า "มีอำนาจ"
นอกจากหน้าที่ "เลขานุการส่วนตัว" เขามีหน้าที่หลักในวง "แถลงข่าว" กิจการ-คดีของศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ภาพที่ถูกฉายซ้ำ คือ "นายพสิษฐ์" นั่งเป็น "ตัวจริง" อยู่ตรงกลางเวที ขนาบซ้าย-ขวาด้วยคนมีตำแหน่งจริง อย่าง "นายเชาวนะ ไตรมาส" เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วย "นายปัญญา อุดชาชน" รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเลขาธิการและรองเลขาธิการ
เท่านั้นยังไม่พอ "นายพสิษฐ์" ในฐานะเลขานุการประธานศาล ยังมักสวมบทเป็นผู้ดำเนินรายการหน้าเวที ด้วยการจัดคิวให้เลขาธิการสำนักงานตอบคำถามนี้ หรือชี้ให้รองเลขาธิการสำนักงานชี้แจงปัญหาโน้นอยู่บ่อยครั้ง
ยังไม่นับรวมข้อมูลอีกชุดที่โจษขานกันว่า "นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์" อดีตเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ จำต้อง ขยับขยายออกจากศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ ฤทธิ์เดชของเลขานุการผู้มากบารมีที่ชื่อ "พสิษฐ์"
ข่าวใน-นอกศาลวิจารณ์กันขรมว่า ปฐมเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างอดีตเลขาธิการสำนักงานกับอดีตเลขานุการประธานศาล อาจมาจากเรื่องในตาราง งบประมาณ
นอกจากสถานะบนดิน เปิดหน้า ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เขายังใช้ตำแหน่งเช่นนี้ปฏิบัติการ เชื่อมโยงเครือข่ายไปยัง องค์กรอิสระที่มีคดีเกี่ยวพัน ทั้งจากสำนักงาน กกต. เครือข่ายเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ของ "นายชัช" ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ
1 ในภารกิจลับของเขา คือการนัดพบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นทีม กฎหมายในคดียุบพรรค ที่ทั้งฉากและ เนื้อเรื่องถูกถ่ายทอดเพิ่มเติมจากคน ในพรรคเพื่อไทย ไปจนถึงเว็บไซต์สาธารณะ
ปรากฏการณ์ความเสื่อมถูกวิเคราะห์ วิจารณ์จากวงการนักฎหมายว่า การแต่งตั้งบุคคลที่มีบทบาทใกล้ชิดผู้เป็นประมุขหมายเลข 1 แห่งบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์นั้น ย่อมมีความไม่เหมาะสมด้วยเหตุประการทั้งปวง
คดีความที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ส.ส. และ ส.ว. ต่างถูกนำมาถกเถียง สนทนา ตั้งสมติฐานว่า อาจมีเรื่องลึก-ลับ เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่
ผลการปรากฏตัวของคนใกล้ชิดประธานศาลรัฐธรรมนูญถูกตีความจากนักการเมืองฝ่ายค้าน ด้วยตรรกะที่ไม่เหนือความคาดหมาย ว่าอาจส่งผลให้คดี ยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบทางอ้อม
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*********************************************************
สุดยอดผู้นำ?
ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาน้ำท่วมหนักเกือบครึ่งค่อนประเทศ
ตัวเลขปลายสัปดาห์เดือดร้อนแล้วกว่า 450,000 ครัวเรือน เกือบ 1,300,000 คน เสียชีวิต 17 ราย
ไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สินบ้านเรือน พืชผลการเกษตร การปศุสัตว์ว่าพินาศย่อยยับขนาดไหน
หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนระดมสรรพกำลังช่วยซับน้ำตากันเต็มที่
ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้านุ่งห่ม หยูกยา อาหารแห้ง น้ำดื่ม ฯลฯ ที่ได้จากการบริจาค ถูกนำมาจัดสรรกระจายไปยังพื้นที่ 29 จังหวัดประสบภัย
เห็นแล้วน่าปลื้มใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
ขณะเดียวกันในมุมของนักการเมืองไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
เป็นจังหวะดีที่จะได้ตอบแทนบุญคุณชาวบ้านที่อุตส่าห์เลือกบรรดาทั่นๆ เข้าไปนั่งเป็นผู้แทน
ใครฉวยโอกาสหาเสียงกันตอนนี้คงไม่มีใครใจร้ายต่อว่าต่อขาน แต่ก็อย่าสร้างภาพ'ดราม่า'เกิน
เดี๋ยวจะดู'เฟก'
อย่างกองเชียร์บางพรรคที่พยายามป่าวประกาศว่า
การที่นายกฯอภิสิทธิ์ เดินสายลงตรวจพื้นที่น้ำท่วม เยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ประสบความเดือดร้อนติดต่อกันหลายวันในช่วงนี้
แสดงถึงความเป็น'สุดยอดผู้นำ'
พร้อมจะยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านทุกภาคทุกจังหวัดโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นพื้นที่สีแดงหรือสีไหน
ชาวบ้านประชาชนเองก็ต้อนรับอย่างดี
ได้เห็นนายกฯ (มาดคุณหนู) นั่งเรือท้องแบน(ลุยน้ำสูงแค่หัวเข่า) น้ำตาก็ไหลพรากๆๆ
ทั้งที่ความจริงไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกพิสดารตรงไหน
เพราะการดูแลช่วยเหลือชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยาก มันก็เป็นหน้าที่ของนายกฯ และรัฐบาลอยู่แล้ว
ไม่ว่าใครเป็นนายกฯ ทักษิณ สมัคร สมชาย หรือต่อให้สารวัตรเหลิม ก็ต้องทำอย่างที่นายกฯอภิสิทธิ์ทำอยู่ตอนนี้ทั้งนั้น
ถ้าไม่ทำสิถึงแปลก แถมยังจะโดนด่าว่าเป็นนายกฯภาษาอะไร(ฟะ)
ส่วนที่บอกว่านายกฯอภิสิทธิ์ กล้าลงไปพื้นที่จังหวัดภาคอีสานนั้น
ก็น้ำมันท่วมหนักที่ภาคอีสาน ถ้าไม่ไปภาคอีสานแล้วจะให้ไปภาคใต้หรืออย่างไร
แล้วที่บอกว่าไม่มีชาวบ้านมาคอยถือตีนตบขับไล่นายกฯ พร้อมกับทึกทักเอาว่าข้อขัดแย้งทางการเมืองได้สูญสลายหายไปกับสายน้ำแล้วนั้น
ถ้ามั่นใจอย่างนั้น น้ำลดเมื่อไหร่ ชาวบ้านกลับมาทำมาหากินได้อย่างปกติสุข
ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พิสูจน์ให้เห็นกันจะจะไปเลย
กล้ารึเปล่า?
ที่มา:ข่าวสด
เหล็กใน
*********************************************************
ตัวเลขปลายสัปดาห์เดือดร้อนแล้วกว่า 450,000 ครัวเรือน เกือบ 1,300,000 คน เสียชีวิต 17 ราย
ไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สินบ้านเรือน พืชผลการเกษตร การปศุสัตว์ว่าพินาศย่อยยับขนาดไหน
หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนระดมสรรพกำลังช่วยซับน้ำตากันเต็มที่
ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้านุ่งห่ม หยูกยา อาหารแห้ง น้ำดื่ม ฯลฯ ที่ได้จากการบริจาค ถูกนำมาจัดสรรกระจายไปยังพื้นที่ 29 จังหวัดประสบภัย
เห็นแล้วน่าปลื้มใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
ขณะเดียวกันในมุมของนักการเมืองไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
เป็นจังหวะดีที่จะได้ตอบแทนบุญคุณชาวบ้านที่อุตส่าห์เลือกบรรดาทั่นๆ เข้าไปนั่งเป็นผู้แทน
ใครฉวยโอกาสหาเสียงกันตอนนี้คงไม่มีใครใจร้ายต่อว่าต่อขาน แต่ก็อย่าสร้างภาพ'ดราม่า'เกิน
เดี๋ยวจะดู'เฟก'
อย่างกองเชียร์บางพรรคที่พยายามป่าวประกาศว่า
การที่นายกฯอภิสิทธิ์ เดินสายลงตรวจพื้นที่น้ำท่วม เยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ประสบความเดือดร้อนติดต่อกันหลายวันในช่วงนี้
แสดงถึงความเป็น'สุดยอดผู้นำ'
พร้อมจะยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านทุกภาคทุกจังหวัดโดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นพื้นที่สีแดงหรือสีไหน
ชาวบ้านประชาชนเองก็ต้อนรับอย่างดี
ได้เห็นนายกฯ (มาดคุณหนู) นั่งเรือท้องแบน(ลุยน้ำสูงแค่หัวเข่า) น้ำตาก็ไหลพรากๆๆ
ทั้งที่ความจริงไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกพิสดารตรงไหน
เพราะการดูแลช่วยเหลือชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยาก มันก็เป็นหน้าที่ของนายกฯ และรัฐบาลอยู่แล้ว
ไม่ว่าใครเป็นนายกฯ ทักษิณ สมัคร สมชาย หรือต่อให้สารวัตรเหลิม ก็ต้องทำอย่างที่นายกฯอภิสิทธิ์ทำอยู่ตอนนี้ทั้งนั้น
ถ้าไม่ทำสิถึงแปลก แถมยังจะโดนด่าว่าเป็นนายกฯภาษาอะไร(ฟะ)
ส่วนที่บอกว่านายกฯอภิสิทธิ์ กล้าลงไปพื้นที่จังหวัดภาคอีสานนั้น
ก็น้ำมันท่วมหนักที่ภาคอีสาน ถ้าไม่ไปภาคอีสานแล้วจะให้ไปภาคใต้หรืออย่างไร
แล้วที่บอกว่าไม่มีชาวบ้านมาคอยถือตีนตบขับไล่นายกฯ พร้อมกับทึกทักเอาว่าข้อขัดแย้งทางการเมืองได้สูญสลายหายไปกับสายน้ำแล้วนั้น
ถ้ามั่นใจอย่างนั้น น้ำลดเมื่อไหร่ ชาวบ้านกลับมาทำมาหากินได้อย่างปกติสุข
ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พิสูจน์ให้เห็นกันจะจะไปเลย
กล้ารึเปล่า?
ที่มา:ข่าวสด
เหล็กใน
*********************************************************
วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553
โพลพบคนอีสานไม่สนับสนุนรัฐบาล
“อีสานโพล” สำรวจพบประชาชนในพื้นที่ลดการสนับสนุนงานด้านการเมืองของรัฐบาลเหลือเพียง 36.40% จากการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 45% ส่วนการทำงานในด้านอื่นทั้งเศรษฐกิจ สังคม กลุ่มผู้สนับสนุนและไม่สนับสนุนไม่ต่างกันมากนัก “จาตุรนต์” ชี้ประชาธิปัตย์กำลังเล่นเกมโยนเรื่องทุจริตให้ภูมิใจไทยเพื่อกู้ภาพลักษณ์ช่วงโค้งสุดท้ายของการทำงานก่อนยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เชื่อสุดท้ายภูมิใจไทยจะถอนตัวออกจากรัฐบาล
“อีสานโพล” ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยผลการสำรวจที่ตอกย้ำว่าคนอีสานส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนงานด้านการเมืองของรัฐบาล
ทั้งนี้ เป็นการสำรวจจากประชาชน 697 ราย ในช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีกลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนด้านการเมืองแก่รัฐบาลเพียง 36.40% ขณะที่มีผู้ไม่สนับสนุนสูงถึง 63.60% ซึ่งลดลงอย่างมากเพื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนที่มีผู้ให้การสนับสนุนอยู่ที่ 45%
อย่างไรก็ตาม หากเป็นการทำงานในภาพรวมยังให้การสนับสนุนอยู่ที่ 54.70% และอีก 45.30% ไม่สนับสนุน ขณะที่การทำงานด้านเศรษฐกิจ กลุ่มตัวอย่างให้การสนับสนุนรัฐบาล 50.20% ไม่สนับสนุน 49.80% ส่วนด้านสังคมให้การสนับสนุน 59.50% ไม่สนับสนุน 40.50%
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเล่นเกมเพื่อโยนภาพการทุจริตไปให้กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อหวังกอบกู้ภาพพจน์ของพรรคในช่วงสุดท้ายของการทำงาน
“ผมเชื่อว่าเรื่องการทุจริตจะเป็นปัญหาในรัฐบาลจนทำให้บางพรรคแยกตัวออกไป และจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ตามมาในที่สุด แต่หากไม่มีการเลือกตั้งจะต้องมีการรัฐประหารเกิดขึ้น” นายจาตุรนต์กล่าวและว่า โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือทำงานร่วมกับพรรคภูมิใจไทยถือว่าเป็นไปได้ยากมาก
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นในทิศทางตรงกันข้ามกับนายจาตุรนต์ โดยเชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่ถอนตัวออกจากรัฐบาลและจะไม่ถูกปรับให้ออก ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยจริงๆก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นอะไหล่รอเสียบอยู่
“หากมีการเปลี่ยนแปลงผมว่าสิ่งแรกที่จะเกิดคือการเกลี่ยกระทรวงกันใหม่หมด โดยพรรคประชาธิปัตย์จะยึดเอากระทรวงใหญ่มาดูแล ทั้งมหาดไทย คมนาคม พาณิชย์ และอุตสาหกรรม” รศ.สุขุมกล่าวและว่า ยังมีอีกแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้คือการดึงพรรคเพื่อแผ่นดินเข้ามาโดยไม่เอาพรรคภูมิใจไทยออก แต่จะขอโควตารัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยมาให้พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยคงต้องจำยอมหากยังอยากอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไป โดยอาจจะยอมคืนกระทรวงพาณิชย์แต่ไม่คืนกระทรวงมหาดไทย ส่วนกระแสข่าวที่ว่าอาจเอานายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น แม้จะเป็นไปได้ยากแต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยตัดสินใจถอนตัวออกจากรัฐบาล
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
“อีสานโพล” ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยผลการสำรวจที่ตอกย้ำว่าคนอีสานส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนงานด้านการเมืองของรัฐบาล
ทั้งนี้ เป็นการสำรวจจากประชาชน 697 ราย ในช่วงต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีกลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนด้านการเมืองแก่รัฐบาลเพียง 36.40% ขณะที่มีผู้ไม่สนับสนุนสูงถึง 63.60% ซึ่งลดลงอย่างมากเพื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนที่มีผู้ให้การสนับสนุนอยู่ที่ 45%
อย่างไรก็ตาม หากเป็นการทำงานในภาพรวมยังให้การสนับสนุนอยู่ที่ 54.70% และอีก 45.30% ไม่สนับสนุน ขณะที่การทำงานด้านเศรษฐกิจ กลุ่มตัวอย่างให้การสนับสนุนรัฐบาล 50.20% ไม่สนับสนุน 49.80% ส่วนด้านสังคมให้การสนับสนุน 59.50% ไม่สนับสนุน 40.50%
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเล่นเกมเพื่อโยนภาพการทุจริตไปให้กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อหวังกอบกู้ภาพพจน์ของพรรคในช่วงสุดท้ายของการทำงาน
“ผมเชื่อว่าเรื่องการทุจริตจะเป็นปัญหาในรัฐบาลจนทำให้บางพรรคแยกตัวออกไป และจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ตามมาในที่สุด แต่หากไม่มีการเลือกตั้งจะต้องมีการรัฐประหารเกิดขึ้น” นายจาตุรนต์กล่าวและว่า โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือทำงานร่วมกับพรรคภูมิใจไทยถือว่าเป็นไปได้ยากมาก
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นในทิศทางตรงกันข้ามกับนายจาตุรนต์ โดยเชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่ถอนตัวออกจากรัฐบาลและจะไม่ถูกปรับให้ออก ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยจริงๆก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นอะไหล่รอเสียบอยู่
“หากมีการเปลี่ยนแปลงผมว่าสิ่งแรกที่จะเกิดคือการเกลี่ยกระทรวงกันใหม่หมด โดยพรรคประชาธิปัตย์จะยึดเอากระทรวงใหญ่มาดูแล ทั้งมหาดไทย คมนาคม พาณิชย์ และอุตสาหกรรม” รศ.สุขุมกล่าวและว่า ยังมีอีกแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้คือการดึงพรรคเพื่อแผ่นดินเข้ามาโดยไม่เอาพรรคภูมิใจไทยออก แต่จะขอโควตารัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยมาให้พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยคงต้องจำยอมหากยังอยากอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไป โดยอาจจะยอมคืนกระทรวงพาณิชย์แต่ไม่คืนกระทรวงมหาดไทย ส่วนกระแสข่าวที่ว่าอาจเอานายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น แม้จะเป็นไปได้ยากแต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยตัดสินใจถอนตัวออกจากรัฐบาล
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
รัฐบาลอังกฤษยืนยันคนไทยได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษ
เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงและปัญหาทางการเมืองในประเทศไทย และการคุกคามทางการเมืองและการจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่นานมานี้ Asian Correspondent ได้เผยแพร่บทความที่ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษได้รองสถานภาพผู้ลี้ภัยในอังกฤษ
“ผมได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษที่รับผิดชอบและมีอำนาจในการตัดสินใจรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษว่า มีคนไทยอย่างน้อยหนึ่งคนได้รับการรับรองสถานภาพผู้ลี้ภัยจริงในประเทศอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว”
โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจาก โฆษกของสำนักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง ซึ่งทำงานให้กับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่กำกับสำนักงานคนเข้าเมือง
นอกจากจากนี้ ผู้เขียนยังได้ติดต่อสภาผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษเพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าว
“นอกจากนี้ ผมยังติดต่อสภาผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ที่ดูแลเรื่องการขอลี้ภัยทางการเมือง เพื่อที่จะสอบถามว่าเอกสารวีซ่าที่สตรีไทยผู้ได้รับการรับรองสถานภาพทางการเมืองแสดงให้ผมดูนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่ สภาผู้ลี้ภัยกล่าวว่า เอกสารดังกล่าวน่าจะเป็นเอกสารจริง แต่หากจะให้แน่ใจจริงๆ จะต้องส่งเอกสารดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ไปให้เจ้าหน้าตรวจสอบคนเข้าเมืองพิจารณา”
และนี้คือหลักฐานภาพถ่ายเอกสารวีซ่าและเรื่องราวของผู้ที่ได้รับการลี้ภัย
วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สะเทือนบัลลังก์(ข่าวว่า..ยังมีเด็ดกว่านี้)
“ศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ตามพระปรมาภิไธย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกลางกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมาก้าวก่ายแทรกแซง ขอให้ประชาชนมั่นใจการทำงานของศาล”
นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมแถลงพร้อมตุลาการรวม 5 คนถึงคลิปลับในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบ (YouTube) ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลิปที่ถูกแอบถ่าย และประธานศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งปลดนาย พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ออกจากการเป็นเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่ให้ออกจากราชการ และกำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน เนื่องจากนายพสิษฐ์มีภาพในคลิป ทำให้ภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญเสียหาย
นายอุดมศักดิ์กล่าวถึงคลิปภาพ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการพิจารณาคดี รวมถึงคำวินิจฉัยต่างๆ เพราะเป็นคลิปเมื่อปี 2552 ซึ่งประธานศาลรัฐธรรมนูญได้รับรางวัล “นักกฎหมายดีเด่นสัญญา ธรรมศักดิ์” โดย พล.อ.เปรมเป็นผู้มอบรางวัล
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญได้เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ผิดอาญาต่อแผ่นดิน คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบภายในเหตุที่เกิดขึ้นอีกทางถ้ามีความคืบหน้าจะแถลงให้สื่อมวลชนทราบ
ปริศนา 5 คลิปฉาว
สำหรับคลิปที่เผยแพร่ทางยูทูบใช้ชื่อว่า “ohmy god3009” มี 5 ตอน ตอนแรกเป็นภาพนิ่งของ พล.อ. เปรม ตอนที่ 2 มีความยาว 8 นาที ตอนที่ 3 มีความยาว 11 นาที ตอนที่ 4 มีความยาว 11 นาที และตอนที่ 5 มีความยาว 11 นาที ซึ่งเนื้อหาของแต่ละตอนเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ดังนี้
ตอนที่ 2 เป็นคลิปและคำสนทนาของนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์คดียุบพรรค กับนาย พสิษฐ์ ปรึกษาเรื่องนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะให้การเป็นคุณกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร ร่วมอยู่ด้วย
ตอนที่ 3 เป็นคลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนปรึกษาหารือเพื่ออ้างคำให้การของนายอภิชาตว่ามีอำนาจทำได้และพ่วงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตอนที่ 4 เป็นคลิปคำพูดปรึกษาหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ซ่อนนัย หากตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์เกรงจะมีข้อครหานินทาเรื่องสองมาตรฐาน
ตอนที่ 5 เป็นคลิปทรรศนะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่มีต่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่า “มัน” ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อ และการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“อภิชาต” ปมสำคัญยุบ ปชป.
มีคำถามสำคัญว่าทำไมจึงพุ่งเป้าไปที่นายอภิชาต ซึ่งคำตอบน่าจะอยู่ที่นายอภิชาตที่มีฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่งเคยลงมติให้ยกคำร้องไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องการขอเบิกตัวมาเป็นพยานคนสำคัญ เพราะประเด็นยุบพรรคประชาธิปัตย์มีการต่อสู้ใน 2 ประเด็นใหญ่ๆคือ อำนาจของผู้ฟ้องคือ กกต. รวมถึงประเด็นข้อเท็จจริงของเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท และการใช้เงินบริจาค 258 ล้านบาท
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง 2550 มาตรา 95 ระบุว่า หากพบว่าพรรคการ เมืองใดกระทำผิดกฎหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของ กกต. เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ในทางกลับกันถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าพรรค การเมืองนั้นไม่มีความผิดก็ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดหรือขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต. เคยมีมติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 หลังที่ประชุมพิจารณาผลการไต่สวนของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คดี โดยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงาน กกต. แถลงว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเสียงข้างมากให้เป็นดุลยพินิจของนายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะพิจารณาส่งคำร้องยุบพรรคนี้ไปยังอัยการสูงสุดหรือไม่ เท่ากับให้อำนาจชี้ขาดอยู่ที่นายอภิชาตเพียงผู้เดียว ซึ่งนายอภิชาตชี้ขาดให้ยกคำร้องคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เพราะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำผิดตามผลการสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวน กกต.
แต่หลังจากมีการชุมนุมใหญ่ของม็อบเสื้อแดงที่สำนักงาน กกต. ทำให้นายอภิชาตเปลี่ยนใจรื้อฟื้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กลับมาหารือในที่ประชุม กกต. ใหม่ จนวันที่ 12 เมษายน 2553 ที่ประชุม กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ประเด็นเงินบริจาค 258 ล้านบาท เสนออัยการ สูงสุดส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ซึ่ง 1 เสียงที่คัดค้านคือนายอภิชาต ส่วนประเด็นเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท กกต. มีมติ 5 ต่อ 0 เสียงให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
วิกฤตศรัทธา
คลิปฉาวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของพรรคประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญอย่างมาก เพราะคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่าใช้เงินจากกองทุนสนับสนุนพรรคการเมืองผิดประเภท 29 ล้านบาท
ภาพที่ปรากฏในคลิปจึงไม่ใช่แค่ตัวละคร 3 คนคือ นายวิรัช นายพสิษฐ์ และนายวรวุฒิ แม้พรรคประชาธิปัตย์และนายวิรัชพยายามชี้แจงว่านายวรวุฒิเป็นผู้ประสานให้นายวิรัชพบกับนายพสิษฐ์ที่ร้านอาหารย่านประชาชื่นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553 เป็นเพียงการจัดฉากหรือวางแผนเพื่อทำลายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยากจะปฏิเสธว่านายวิรัชปรึกษาเรื่องการเตรียมการจะให้นายอภิชาตให้การกับศาลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคดีไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ขณะที่เนื้อหาในคลิปอีกส่วนหนึ่งที่เป็นการปรึกษากันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปรากฏชัดเจนว่าเกรงคำให้การของประธาน กกต. จะเกิดข้อครหานินทา เรื่องสองมาตรฐาน นอกจากนี้คำพูดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พูดถึง “พรรคเพื่อไทย” ว่า “มัน” ก็ถูกตั้งคำถามว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอคติหรือไม่?
จิ๊กซอว์ล่องหน?
หลังจากปรากฏคลิปฉาวดังกล่าว นายพสิษฐ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปฮ่องกงตั้งแต่วันพุธที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่านาย พสิษฐ์เดินทางก่อนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย จะออกมาแถลงเรื่องคลิปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งนายพสิษฐ์เป็นจิ๊กซอว์ที่รู้เรื่องดีที่สุดว่าใครเป็นต้นคิด และเชื่อมโยงไปถึงใครบ้าง
เหมือนอย่างที่นายวิรัชออกมาให้สัมภาษณ์โยงไปถึงนายพสิษฐ์ว่าเป็นคนนัดทุกครั้ง และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันพระปกเกล้า (ป.ป.ร.) รุ่น 13 กับนายวรวุฒิ แม้จะอ้างว่าไม่เคยขอให้นายพสิษฐ์ช่วยทำอะไร เพราะเชื่อมั่นว่าไม่สามารถโน้มน้าวศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยกล่าวหาพรรคเพื่อไทยว่าจัดฉากถ่ายทำคลิปขึ้นมา
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งคณะ ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกับนายวิรัชว่าเข้าไปพัวพันโดยรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ แต่นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกมาท้วงติงว่าไม่เหมาะสมที่จะต้องตรวจสอบ
ดึงศาลกลับที่ตั้ง
ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ตั้งคำถามว่า วันนี้ถึงเวลาหรือยังที่จะดึงผู้พิพากษาหรือตุลาการกลับที่ตั้งด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคลิปฉาวว่า ไม่อาจปฏิเสธว่ามีความพยายามล็อบบี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นห่วงสถาบันตุลาการมาก เพราะ ไม่รู้ว่าขณะนี้กำลังเล่นอะไรกันอยู่ และทำไมพัวพันกับองค์กรที่ถือว่าเราต้องยอมรับในคำวินิจฉัยของท่าน
“เรื่องนี้จะต้องเคลียร์กันให้ชัดเจนก่อน เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สั่นสะเทือนทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม” นางสดศรียังกล่าวถึงสมัยที่เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าเคยเตือนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวว่าอย่าให้องค์กรเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะสิ่งไหนที่เป็นเรื่องการเมืองแล้วตุลาการเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะแปดเปื้อนไปด้วย
“อะไรที่เกิดขึ้นในศาลก็ต้องเคลียร์ เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก อยู่ศาลมานานไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย เห็นเรื่องแบบนี้แล้วน่ากลัวมาก แล้วเรื่องอย่างนี้หลุดออกไปได้อย่างไร”
นางสดศรีกล่าวอีกว่า ตอนนี้กระแสสังคมกดดันให้ศาลยุบพรรคประชาธิปัตย์ หากศาลไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์อะไรจะเกิดขึ้น ไม่อยากให้สถานการณ์บ้านเมือง เป็นเช่นนี้เลย และศาลจะถูกเล่นงานมากขึ้น ตอนนี้เป็นการตีปลาหน้าไซ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบจะมีปัญหาทันที
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
ดังนั้น การค้นหาความจริงของคลิปฉาวของศาลรัฐธรรมนูญจึงเหมือนเกราะป้องกันศาลรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ไม่เหมือนกรณี 91 ศพในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีทั้งพยานบุคคล ภาพถ่าย และคลิปเหตุการณ์มากมาย แต่รัฐบาลยังไม่สามารถให้ความจริงได้ว่าเสียชีวิตอย่างไร และใครยิง อีกทั้งยังพยายามบิดเบือน ด้วยการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดง โดยสร้างภาพให้เป็น ผู้ก่อการร้ายและกล่าวหาว่าเป็นเครือข่ายล้มสถาบัน
อย่างล่าสุดที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อ้างว่ามีข้อจำกัดหลายด้าน ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นคนร้ายที่ยิงปืนใส่ประชาชนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ การสอบสวนของดีเอสไอจึงทำได้เพียงสรุปสาเหตุการตาย วิถีกระสุน และรายงานความคืบหน้า รวมทั้งการเสียชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่นและอิตาลี ซึ่งสถานทูตต้องการคำตอบว่าใครเป็นคนยิง แต่ดีเอสไอและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กลับกล่าวหาและจับกุมคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย โดยไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อยที่ภาคประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศประณามว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม เป็นการคุกคามสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง
สถาบันศาลรัฐธรรมนูญเองจึงต้องพยายามที่จะค้นหาความจริงว่ามีขบวนการพยายามแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ และมองเข้าไปถึงเนื้อหาสาระในคลิป ว่าจริงหรือไม่ มิใช่เพียงแค่ปลดเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ หรือมีความพยายามเอาผิดคนถ่ายหรือคนที่นำมาเผยแพร่เท่านั้น เพราะความจริงแล้วต่อให้เป็น การจัดฉากก็เหมือนการล่อซื้อยาเสพติดหรือล่อซื้อบริการทางเพศ หากกระทำผิดจริงต้องมีความผิด แม้ตุลาการส่วนใหญ่จะมีคุณวุฒิ วัยวุฒิสูงส่ง ทั้งประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้พิพากษาเองก็เป็นปุถุชน ธรรมดาที่ “กิน-ขี้-ปี้-นอน” มีโลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา ไม่ใช่ “เทวดา” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำอะไรก็ไม่ผิด
ที่สำคัญคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลรัฐธรรมนูญนั้นปฏิบัติในนาม “พระปรมาภิไธย” ศาลจึงยิ่งต้องระมัดระวังการทำหน้าที่ของตนในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรม เพราะศาลถือ เป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ในการทำหน้าที่ ต้องแสดงให้เห็นว่าไม่มีอคติหรือตั้งธงใดๆ เพราะหากศาลถูกมองว่าไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรม หรือไม่ชอบธรรม อาจส่งผลกระทบถึงเบื้องสูง ไม่ใช่แค่สถาบันตุลาการเท่านั้น
วันนี้สังคมไทยจึงต้องกลับมามี “สติ” ไม่ใช่เต็มไปด้วย “อคติ” เหมือนธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึง “อคติ 4” หรือ “ความลำเอียง 4” ได้แก่ ฉันทาคติ-อคติเพราะรัก, โทสาคติ-อคติเพราะโกรธ, โมหาคติ-อคติเพราะหลง และภยาคติ-อคติเพราะกลัว
เมื่อคนเรามีอคติ จิตก็จะไม่เที่ยง ไม่ตรง และไม่ตั้งอยู่ในธรรม จึงไม่มีสติที่จะคิดใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยหลักเหตุและผล
สังคมไทยวันนี้ต้องตั้งสติแล้วค้นหา “ความจริง” ว่าอะไรผิดอะไรถูก โดยเฉพาะกรณีคลิปฉาวที่รัฐบาลประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญพยายามหาคนผิดที่ถ่ายคลิปหรือเผยแพร่ แต่ควรค้นหาความจริงของต้น ตอทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีความยุติธรรมอย่างแท้จริง แม้ความจริงนั้นอาจจะกลับมาทิ่มแทงอย่างเจ็บปวดบ้างก็ตาม
มีแต่ “ความจริง” เท่านั้น...ที่จะนำทางไปสู่ความยุติธรรม
อย่ามัวแต่ยก “ความดี” และจัดตั้ง “คนดี” โดยคณะรัฐประหารอยู่อีกเลย
ในทุกสังคมมีทั้ง “คนดี” และ “คนชั่ว” ไม่เว้นแม้แต่คณะผู้พิพากษา ตุลาการ ศาล เศรษฐี ขอทาน อำมาตย์ หรือไพร่...
แต่สังคมจะอยู่อย่างสุขสงบได้ก็ด้วย “คนที่มีใจเป็นธรรม”
“ความยุติธรรม” เท่านั้นที่จะพาสังคมไทยไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์...
มิฉะนั้น... “คลิป” เด็ดกว่านี้คงมีมาอีกเรื่อยๆ...
ถึงวันนั้น...อาจจะสายเกินไป!!
ใช้วิชามาร 3 ตุลาการถอนตัว?
“การที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า การใช้วิธีชั่วช้าต่างๆเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ตำรวจก็ใช้วิธีล่อซื้อแบบนี้เพื่อดักจับผู้ร้าย สิ่งที่สังคมอยากรู้มากที่สุดคือ เนื้อหาการสนทนาในคลิปวิดีโอเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มีการพูดเพื่อเจตนาที่จะทำอะไร ส่วน ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ไม่เห็นมีใครปฏิเสธ คนที่คิดในเรื่องนี้กำลังถูกชักนำให้คิดไปในทางที่ผิดว่าการลอบถ่ายหรือการไปดักฟังเป็นเรื่องผิดหมด ถ้าหากการกระทำที่เขาไปลอบฟังหรือลอบถ่ายมาเป็นความผิด สิ่งที่ไปทำมาก็ถือเป็นหลักฐานว่ามีการกระทำความผิดจริง ประเด็นอยู่ที่ตรงนี้มากกว่า”
นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดตาก และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า สิ่งที่ประชาชนอยากรู้คือเรื่องจริงคืออะไร ส่วนที่ว่ามีการหลอกลวงกันหรือหักหลังกันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นสำคัญคือเรื่องที่ว่ามีการไปล็อบบี้กันจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการพูดว่า ต้องการให้ประธาน กกต. มาให้การศาล ซึ่งไม่ได้พูดระหว่างนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังพูดในที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญด้วย
นายพนัสกล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า การลอบถ่ายเป็นความผิด เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ขอยกตัวอย่างกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือตำรวจ ถ้าไปดักฟังโทรศัพท์พวกนักค้ายาเสพติด หรือไปลอบถ่ายภาพวงจรปิด ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อดักถ่ายภาพผู้กระทำความผิด เพราะฉะนั้นการลอบถ่ายหรือการดักฟัง รวมทั้งการวางกับดัก ถ้าหากทำผิดจริง คนผิดจะเอามาอ้างอะไรไม่ได้ เพราะได้ทำผิดจริง
ส่วนกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติปลดนายพสิษฐ์ออกจากตำแหน่งเลขานุการศาลรัฐ ธรรมนูญนั้น การกระทำของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหมือนเป็นการปิดปากพยานมากกว่า เพราะนายพสิษฐ์เป็นผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุดถึงเหตุที่มีการทำผิด ใครเป็นคนทำ และใครเป็นต้นคิด นายพสิษฐ์เป็นตัวเชื่อมและตัวโยงคนเดียวที่สำคัญที่สุด และอยากให้สืบสวนให้ดีว่าเบื้องหลังของนาย พสิษฐ์เป็นอย่างไร เพราะอดีตเลขานุการคนนี้ในศาลรัฐธรรมนูญตั้งฉายาว่า “กงกง” ทำตัวเหมือนเป็นร่างทรงของประธานศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมได้รับข่าวจากวงในศาลรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้มีตุลาการ 3 คน เช่น นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร ได้ขอถอนตัวจากองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากก่อนหน้านี้มีตุลาการถอนตัวไปแล้ว 1 คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ซึ่งผมไม่รู้ว่าข่าวนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะถ้ามีตุลาการถอนตัวเพิ่มอีก 3 คนจริง จะส่งผลทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ และจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบในที่สุด”
นายพนัสกล่าวว่า สาเหตุที่มีการใช้วิชามารในลักษณะนี้ เพราะถ้าจะออกไปในแนวการตัดสินคงออกไม่ได้ เนื่องจากเจอแรงบีบและแรงกระแทก ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์สถานเดียว จึงมีการใช้วิชามารโดยอาจให้ตุลาการถอนตัว ซึ่งคดีไม่เชิงโมฆะ แต่จะอ้างว่าเป็นคดีที่ศาลไม่อาจตัดสินได้เพราะองค์คณะไม่ครบ ดังนั้น ถ้ากระแสข่าวการถอนตัวของ 3 ตุลาการเป็นจริง ก็จะต้องดูว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องถอนตัว เพราะถ้าหากไม่มีใครไปคัดค้านจะถอนตัวได้อย่างไร
“ผมคิดว่าเป็นการใช้วิชามารและจะยิ่งส่อให้เห็นชัดเจนว่ามีเจตนาที่ไม่สุจริต ถ้าหากใช้ทุกอย่างแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบจะเรียกว่าอะไร ขณะนี้สถาบันตุลาการของประเทศไทยพังไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนภายนอกไม่รู้อะไรเท่านั้น แต่คนวงในเขารู้นานแล้วว่าสถาบันตุลาการยิ่งกว่ากลวง และเน่าเฟะ”
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมแถลงพร้อมตุลาการรวม 5 คนถึงคลิปลับในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบ (YouTube) ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลิปที่ถูกแอบถ่าย และประธานศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งปลดนาย พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ออกจากการเป็นเลขานุการส่วนตัวประธานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่ให้ออกจากราชการ และกำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน เนื่องจากนายพสิษฐ์มีภาพในคลิป ทำให้ภาพลักษณ์ของศาลรัฐธรรมนูญเสียหาย
นายอุดมศักดิ์กล่าวถึงคลิปภาพ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการพิจารณาคดี รวมถึงคำวินิจฉัยต่างๆ เพราะเป็นคลิปเมื่อปี 2552 ซึ่งประธานศาลรัฐธรรมนูญได้รับรางวัล “นักกฎหมายดีเด่นสัญญา ธรรมศักดิ์” โดย พล.อ.เปรมเป็นผู้มอบรางวัล
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญได้เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ผิดอาญาต่อแผ่นดิน คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบภายในเหตุที่เกิดขึ้นอีกทางถ้ามีความคืบหน้าจะแถลงให้สื่อมวลชนทราบ
ปริศนา 5 คลิปฉาว
สำหรับคลิปที่เผยแพร่ทางยูทูบใช้ชื่อว่า “ohmy god3009” มี 5 ตอน ตอนแรกเป็นภาพนิ่งของ พล.อ. เปรม ตอนที่ 2 มีความยาว 8 นาที ตอนที่ 3 มีความยาว 11 นาที ตอนที่ 4 มีความยาว 11 นาที และตอนที่ 5 มีความยาว 11 นาที ซึ่งเนื้อหาของแต่ละตอนเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ดังนี้
ตอนที่ 2 เป็นคลิปและคำสนทนาของนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์คดียุบพรรค กับนาย พสิษฐ์ ปรึกษาเรื่องนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะให้การเป็นคุณกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่ปรึกษากรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร ร่วมอยู่ด้วย
ตอนที่ 3 เป็นคลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนปรึกษาหารือเพื่ออ้างคำให้การของนายอภิชาตว่ามีอำนาจทำได้และพ่วงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตอนที่ 4 เป็นคลิปคำพูดปรึกษาหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ซ่อนนัย หากตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์เกรงจะมีข้อครหานินทาเรื่องสองมาตรฐาน
ตอนที่ 5 เป็นคลิปทรรศนะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนที่มีต่อ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่า “มัน” ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อ และการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
“อภิชาต” ปมสำคัญยุบ ปชป.
มีคำถามสำคัญว่าทำไมจึงพุ่งเป้าไปที่นายอภิชาต ซึ่งคำตอบน่าจะอยู่ที่นายอภิชาตที่มีฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่งเคยลงมติให้ยกคำร้องไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องการขอเบิกตัวมาเป็นพยานคนสำคัญ เพราะประเด็นยุบพรรคประชาธิปัตย์มีการต่อสู้ใน 2 ประเด็นใหญ่ๆคือ อำนาจของผู้ฟ้องคือ กกต. รวมถึงประเด็นข้อเท็จจริงของเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท และการใช้เงินบริจาค 258 ล้านบาท
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง 2550 มาตรา 95 ระบุว่า หากพบว่าพรรคการ เมืองใดกระทำผิดกฎหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของ กกต. เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ในทางกลับกันถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าพรรค การเมืองนั้นไม่มีความผิดก็ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดหรือขอความเห็นชอบจากที่ประชุม กกต.
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กกต. เคยมีมติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 หลังที่ประชุมพิจารณาผลการไต่สวนของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คดี โดยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงาน กกต. แถลงว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเสียงข้างมากให้เป็นดุลยพินิจของนายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะพิจารณาส่งคำร้องยุบพรรคนี้ไปยังอัยการสูงสุดหรือไม่ เท่ากับให้อำนาจชี้ขาดอยู่ที่นายอภิชาตเพียงผู้เดียว ซึ่งนายอภิชาตชี้ขาดให้ยกคำร้องคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เพราะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำผิดตามผลการสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวน กกต.
แต่หลังจากมีการชุมนุมใหญ่ของม็อบเสื้อแดงที่สำนักงาน กกต. ทำให้นายอภิชาตเปลี่ยนใจรื้อฟื้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กลับมาหารือในที่ประชุม กกต. ใหม่ จนวันที่ 12 เมษายน 2553 ที่ประชุม กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ประเด็นเงินบริจาค 258 ล้านบาท เสนออัยการ สูงสุดส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ซึ่ง 1 เสียงที่คัดค้านคือนายอภิชาต ส่วนประเด็นเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท กกต. มีมติ 5 ต่อ 0 เสียงให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
วิกฤตศรัทธา
คลิปฉาวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของพรรคประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญอย่างมาก เพราะคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่าใช้เงินจากกองทุนสนับสนุนพรรคการเมืองผิดประเภท 29 ล้านบาท
ภาพที่ปรากฏในคลิปจึงไม่ใช่แค่ตัวละคร 3 คนคือ นายวิรัช นายพสิษฐ์ และนายวรวุฒิ แม้พรรคประชาธิปัตย์และนายวิรัชพยายามชี้แจงว่านายวรวุฒิเป็นผู้ประสานให้นายวิรัชพบกับนายพสิษฐ์ที่ร้านอาหารย่านประชาชื่นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2553 เป็นเพียงการจัดฉากหรือวางแผนเพื่อทำลายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยากจะปฏิเสธว่านายวิรัชปรึกษาเรื่องการเตรียมการจะให้นายอภิชาตให้การกับศาลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคดีไม่ให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ขณะที่เนื้อหาในคลิปอีกส่วนหนึ่งที่เป็นการปรึกษากันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปรากฏชัดเจนว่าเกรงคำให้การของประธาน กกต. จะเกิดข้อครหานินทา เรื่องสองมาตรฐาน นอกจากนี้คำพูดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พูดถึง “พรรคเพื่อไทย” ว่า “มัน” ก็ถูกตั้งคำถามว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีอคติหรือไม่?
จิ๊กซอว์ล่องหน?
หลังจากปรากฏคลิปฉาวดังกล่าว นายพสิษฐ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยไปฮ่องกงตั้งแต่วันพุธที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่านาย พสิษฐ์เดินทางก่อนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย จะออกมาแถลงเรื่องคลิปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งนายพสิษฐ์เป็นจิ๊กซอว์ที่รู้เรื่องดีที่สุดว่าใครเป็นต้นคิด และเชื่อมโยงไปถึงใครบ้าง
เหมือนอย่างที่นายวิรัชออกมาให้สัมภาษณ์โยงไปถึงนายพสิษฐ์ว่าเป็นคนนัดทุกครั้ง และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันพระปกเกล้า (ป.ป.ร.) รุ่น 13 กับนายวรวุฒิ แม้จะอ้างว่าไม่เคยขอให้นายพสิษฐ์ช่วยทำอะไร เพราะเชื่อมั่นว่าไม่สามารถโน้มน้าวศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยกล่าวหาพรรคเพื่อไทยว่าจัดฉากถ่ายทำคลิปขึ้นมา
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งคณะ ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกับนายวิรัชว่าเข้าไปพัวพันโดยรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ แต่นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกมาท้วงติงว่าไม่เหมาะสมที่จะต้องตรวจสอบ
ดึงศาลกลับที่ตั้ง
ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ตั้งคำถามว่า วันนี้ถึงเวลาหรือยังที่จะดึงผู้พิพากษาหรือตุลาการกลับที่ตั้งด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคลิปฉาวว่า ไม่อาจปฏิเสธว่ามีความพยายามล็อบบี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นห่วงสถาบันตุลาการมาก เพราะ ไม่รู้ว่าขณะนี้กำลังเล่นอะไรกันอยู่ และทำไมพัวพันกับองค์กรที่ถือว่าเราต้องยอมรับในคำวินิจฉัยของท่าน
“เรื่องนี้จะต้องเคลียร์กันให้ชัดเจนก่อน เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สั่นสะเทือนทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม” นางสดศรียังกล่าวถึงสมัยที่เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าเคยเตือนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวว่าอย่าให้องค์กรเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะสิ่งไหนที่เป็นเรื่องการเมืองแล้วตุลาการเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะแปดเปื้อนไปด้วย
“อะไรที่เกิดขึ้นในศาลก็ต้องเคลียร์ เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก อยู่ศาลมานานไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย เห็นเรื่องแบบนี้แล้วน่ากลัวมาก แล้วเรื่องอย่างนี้หลุดออกไปได้อย่างไร”
นางสดศรีกล่าวอีกว่า ตอนนี้กระแสสังคมกดดันให้ศาลยุบพรรคประชาธิปัตย์ หากศาลไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์อะไรจะเกิดขึ้น ไม่อยากให้สถานการณ์บ้านเมือง เป็นเช่นนี้เลย และศาลจะถูกเล่นงานมากขึ้น ตอนนี้เป็นการตีปลาหน้าไซ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบจะมีปัญหาทันที
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
ดังนั้น การค้นหาความจริงของคลิปฉาวของศาลรัฐธรรมนูญจึงเหมือนเกราะป้องกันศาลรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ไม่เหมือนกรณี 91 ศพในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีทั้งพยานบุคคล ภาพถ่าย และคลิปเหตุการณ์มากมาย แต่รัฐบาลยังไม่สามารถให้ความจริงได้ว่าเสียชีวิตอย่างไร และใครยิง อีกทั้งยังพยายามบิดเบือน ด้วยการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดง โดยสร้างภาพให้เป็น ผู้ก่อการร้ายและกล่าวหาว่าเป็นเครือข่ายล้มสถาบัน
อย่างล่าสุดที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อ้างว่ามีข้อจำกัดหลายด้าน ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นคนร้ายที่ยิงปืนใส่ประชาชนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ การสอบสวนของดีเอสไอจึงทำได้เพียงสรุปสาเหตุการตาย วิถีกระสุน และรายงานความคืบหน้า รวมทั้งการเสียชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่นและอิตาลี ซึ่งสถานทูตต้องการคำตอบว่าใครเป็นคนยิง แต่ดีเอสไอและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กลับกล่าวหาและจับกุมคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย โดยไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อยที่ภาคประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศประณามว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม เป็นการคุกคามสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง
สถาบันศาลรัฐธรรมนูญเองจึงต้องพยายามที่จะค้นหาความจริงว่ามีขบวนการพยายามแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ และมองเข้าไปถึงเนื้อหาสาระในคลิป ว่าจริงหรือไม่ มิใช่เพียงแค่ปลดเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ หรือมีความพยายามเอาผิดคนถ่ายหรือคนที่นำมาเผยแพร่เท่านั้น เพราะความจริงแล้วต่อให้เป็น การจัดฉากก็เหมือนการล่อซื้อยาเสพติดหรือล่อซื้อบริการทางเพศ หากกระทำผิดจริงต้องมีความผิด แม้ตุลาการส่วนใหญ่จะมีคุณวุฒิ วัยวุฒิสูงส่ง ทั้งประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้พิพากษาเองก็เป็นปุถุชน ธรรมดาที่ “กิน-ขี้-ปี้-นอน” มีโลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา ไม่ใช่ “เทวดา” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำอะไรก็ไม่ผิด
ที่สำคัญคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลรัฐธรรมนูญนั้นปฏิบัติในนาม “พระปรมาภิไธย” ศาลจึงยิ่งต้องระมัดระวังการทำหน้าที่ของตนในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรม เพราะศาลถือ เป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ในการทำหน้าที่ ต้องแสดงให้เห็นว่าไม่มีอคติหรือตั้งธงใดๆ เพราะหากศาลถูกมองว่าไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรม หรือไม่ชอบธรรม อาจส่งผลกระทบถึงเบื้องสูง ไม่ใช่แค่สถาบันตุลาการเท่านั้น
วันนี้สังคมไทยจึงต้องกลับมามี “สติ” ไม่ใช่เต็มไปด้วย “อคติ” เหมือนธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึง “อคติ 4” หรือ “ความลำเอียง 4” ได้แก่ ฉันทาคติ-อคติเพราะรัก, โทสาคติ-อคติเพราะโกรธ, โมหาคติ-อคติเพราะหลง และภยาคติ-อคติเพราะกลัว
เมื่อคนเรามีอคติ จิตก็จะไม่เที่ยง ไม่ตรง และไม่ตั้งอยู่ในธรรม จึงไม่มีสติที่จะคิดใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยหลักเหตุและผล
สังคมไทยวันนี้ต้องตั้งสติแล้วค้นหา “ความจริง” ว่าอะไรผิดอะไรถูก โดยเฉพาะกรณีคลิปฉาวที่รัฐบาลประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญพยายามหาคนผิดที่ถ่ายคลิปหรือเผยแพร่ แต่ควรค้นหาความจริงของต้น ตอทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีความยุติธรรมอย่างแท้จริง แม้ความจริงนั้นอาจจะกลับมาทิ่มแทงอย่างเจ็บปวดบ้างก็ตาม
มีแต่ “ความจริง” เท่านั้น...ที่จะนำทางไปสู่ความยุติธรรม
อย่ามัวแต่ยก “ความดี” และจัดตั้ง “คนดี” โดยคณะรัฐประหารอยู่อีกเลย
ในทุกสังคมมีทั้ง “คนดี” และ “คนชั่ว” ไม่เว้นแม้แต่คณะผู้พิพากษา ตุลาการ ศาล เศรษฐี ขอทาน อำมาตย์ หรือไพร่...
แต่สังคมจะอยู่อย่างสุขสงบได้ก็ด้วย “คนที่มีใจเป็นธรรม”
“ความยุติธรรม” เท่านั้นที่จะพาสังคมไทยไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์...
มิฉะนั้น... “คลิป” เด็ดกว่านี้คงมีมาอีกเรื่อยๆ...
ถึงวันนั้น...อาจจะสายเกินไป!!
ใช้วิชามาร 3 ตุลาการถอนตัว?
“การที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า การใช้วิธีชั่วช้าต่างๆเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ตำรวจก็ใช้วิธีล่อซื้อแบบนี้เพื่อดักจับผู้ร้าย สิ่งที่สังคมอยากรู้มากที่สุดคือ เนื้อหาการสนทนาในคลิปวิดีโอเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มีการพูดเพื่อเจตนาที่จะทำอะไร ส่วน ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ไม่เห็นมีใครปฏิเสธ คนที่คิดในเรื่องนี้กำลังถูกชักนำให้คิดไปในทางที่ผิดว่าการลอบถ่ายหรือการไปดักฟังเป็นเรื่องผิดหมด ถ้าหากการกระทำที่เขาไปลอบฟังหรือลอบถ่ายมาเป็นความผิด สิ่งที่ไปทำมาก็ถือเป็นหลักฐานว่ามีการกระทำความผิดจริง ประเด็นอยู่ที่ตรงนี้มากกว่า”
นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดตาก และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า สิ่งที่ประชาชนอยากรู้คือเรื่องจริงคืออะไร ส่วนที่ว่ามีการหลอกลวงกันหรือหักหลังกันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นสำคัญคือเรื่องที่ว่ามีการไปล็อบบี้กันจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการพูดว่า ต้องการให้ประธาน กกต. มาให้การศาล ซึ่งไม่ได้พูดระหว่างนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังพูดในที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญด้วย
นายพนัสกล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า การลอบถ่ายเป็นความผิด เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ขอยกตัวอย่างกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือตำรวจ ถ้าไปดักฟังโทรศัพท์พวกนักค้ายาเสพติด หรือไปลอบถ่ายภาพวงจรปิด ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อดักถ่ายภาพผู้กระทำความผิด เพราะฉะนั้นการลอบถ่ายหรือการดักฟัง รวมทั้งการวางกับดัก ถ้าหากทำผิดจริง คนผิดจะเอามาอ้างอะไรไม่ได้ เพราะได้ทำผิดจริง
ส่วนกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติปลดนายพสิษฐ์ออกจากตำแหน่งเลขานุการศาลรัฐ ธรรมนูญนั้น การกระทำของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหมือนเป็นการปิดปากพยานมากกว่า เพราะนายพสิษฐ์เป็นผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุดถึงเหตุที่มีการทำผิด ใครเป็นคนทำ และใครเป็นต้นคิด นายพสิษฐ์เป็นตัวเชื่อมและตัวโยงคนเดียวที่สำคัญที่สุด และอยากให้สืบสวนให้ดีว่าเบื้องหลังของนาย พสิษฐ์เป็นอย่างไร เพราะอดีตเลขานุการคนนี้ในศาลรัฐธรรมนูญตั้งฉายาว่า “กงกง” ทำตัวเหมือนเป็นร่างทรงของประธานศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมได้รับข่าวจากวงในศาลรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้มีตุลาการ 3 คน เช่น นายจรัญ ภักดีธนากุล นายจรูญ อินทจาร ได้ขอถอนตัวจากองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากก่อนหน้านี้มีตุลาการถอนตัวไปแล้ว 1 คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ซึ่งผมไม่รู้ว่าข่าวนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะถ้ามีตุลาการถอนตัวเพิ่มอีก 3 คนจริง จะส่งผลทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ และจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบในที่สุด”
นายพนัสกล่าวว่า สาเหตุที่มีการใช้วิชามารในลักษณะนี้ เพราะถ้าจะออกไปในแนวการตัดสินคงออกไม่ได้ เนื่องจากเจอแรงบีบและแรงกระแทก ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์สถานเดียว จึงมีการใช้วิชามารโดยอาจให้ตุลาการถอนตัว ซึ่งคดีไม่เชิงโมฆะ แต่จะอ้างว่าเป็นคดีที่ศาลไม่อาจตัดสินได้เพราะองค์คณะไม่ครบ ดังนั้น ถ้ากระแสข่าวการถอนตัวของ 3 ตุลาการเป็นจริง ก็จะต้องดูว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องถอนตัว เพราะถ้าหากไม่มีใครไปคัดค้านจะถอนตัวได้อย่างไร
“ผมคิดว่าเป็นการใช้วิชามารและจะยิ่งส่อให้เห็นชัดเจนว่ามีเจตนาที่ไม่สุจริต ถ้าหากใช้ทุกอย่างแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบจะเรียกว่าอะไร ขณะนี้สถาบันตุลาการของประเทศไทยพังไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนภายนอกไม่รู้อะไรเท่านั้น แต่คนวงในเขารู้นานแล้วว่าสถาบันตุลาการยิ่งกว่ากลวง และเน่าเฟะ”
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
สปิริตประธานศาล รธน.หรือแค่"จ่าเฉย"
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ถึงเวลานี้ อาจจะยังไม่รู้ว่า ใครเป็นเหยื่อใคร กรณีการเผยแพร่คลิปที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่า เป็นการต่อรองในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินภายในปลายปี 2553
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของทั้งองค์กรและผู้บริหารระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญได้เป็นอย่างดี
ความจริงแล้ววิกฤตที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญมิได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544
พฤติการณ์ของตุลาการบาง(หลาย)คนและกระบวนการในการวินิจฉัยคดีที่"ไร้มาตรฐาน"ทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
แต่น่าเสียดาย มิได้ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการบางคนสำนึกที่ช่วยกันสร้างองค์กรให้มีเข้มแข็งน่าเชื่อถือต่อสาธารณะ
หลังจากการตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ผ่านมา 10 ปี คนในศาลรัฐธรรมนูญได้ก่อวิกฤตขึ้นภายในองค์กรอีกครั้งหนึ่ง
การที่นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ สั่งปลดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ออกจากตำแหน่งเลขานุการฯ หลังจากที่ก่อเหตุการณ์อื้อฉาวแอบอ้างตำแหน่งเลขานุการประธานศาลฯไปเจรจาต่อรองกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เรื่องคดียุบพรรค เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ นายชัชควรแสดงความรับผิดชอบ(มากกว่านี้)อย่างไร เพราะนายพสิษฐ์ เป็นบุคคลที่นายชัชแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2551 ซึ่งให้"เอกสิทธิ์"นายชัชที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ เพราะต้องเป็นบุคคลที่ไว้วางใจ(สามารถปลดออกและพ้นตำแหน่งพร้อมประธานศาลฯ)
เมื่ออยู่ในตำแหน่งเลขานุการฯ นายชัชได้มอบหมายให้นายพสิษฐ์ เป็นตัวแทนในภารกิจหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกซึ่งนายพสิษฐ์เองก็ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้บริหารสำนักงานศาลอย่างเลขาธิการฯเองก็ให้ความเกรงใจ และสามารถใช้อำนาจดึงสาวคนสนิทในสำนักงานมาอยู่หน้าห้องประธานศาลได้ด้วย
ดังนั้น การที่นายพสิษฐ์อ้างตำแหน่งเลขานุการฯพูดคุยเรื่องคดียุบพรรคกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ตามเสียงในคลิป)ย่อมทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจได้ว่า นายพสิษฐ์มาในฐานะตัวแทนประธานศาลฯได้
แต่น่าแปลกคือ ไม่ค่อยมีใครทราบประวัติความเป็นมาของนายพสิษฐ์มากนัก(ยกเว้นตามคำบอกเล่าของตัวเองซึ่งแสดงถึงความเก่งกาจ) เช่น เปลี่ยนชื่อกลับไปกลับมาถึง 6 ครั้งอย่างพิสดารจาก "กมษศักดิ์ชนะ" เป็น "ชนะ-เกษมศักดิ์ชนะ-พสิษฐ์-กันตินันทน์-พสิษฐ์ "
ที่รู้กันทั่วไปคือ นายชัชหอบหิ้วมาทำงานที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อได้รับตำแหน่งประธาน ทั้งที่นายพสิษฐ์จบมาทางด้านกายวิภาคศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรังสิต มิใช่ด้านกฎหมายที่น่าจะช่วยงานด้านวิชาการได้มากกว่า
เมื่อนายพสิษฐ์เป็นคนสนิท"ส่วนตัว" ก่อเรื่องขึ้น แทนที่นายชัชจะออกมาแถลงชี้แจงด้วยตนเอง กลับให้ตุลการ 5 คนซึ่งมิได้เกี่ยวข้องด้วย(ยกเว้นกรณีมีการแอบถ่ายคลิปในห้องประชุม)มาแถลงปลดนายพสิษฐ์ออกจากตำแหน่งทั้งที่อำนาจการปลดนายพสิษฐ์เป็นของนายชัชเพียงคนเดียว(ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ตุลาการ5คนออกมารับหน้าแทนทำไม?)
หรือนายชัช ไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะสู้หน้าสาธารณชน คิดว่า การหลบหน้าหลบตาจะทำให้เรื่องเงียบไปกับสายลม แล้วไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
ที่สำคัญการดำเนินการกับนายพสิษฐ์เป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะมีข่าวว่า นายพสิษฐ์เดินทางไปต่างประเทศด้วยหนังสือเดินทางของราชการ เมื่อถูกปลดจากตำแหน่งด้วยข้อกล่าวหารุนแรง ทำไมสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไม่ทำเรื่องถึงกระทรวงการต่างประเทศให้เพิกถอนหนังสือเดินทางราชการของนายพสิษฐ์
ขณะที่นายชัชเองก็ถูกสาธารณชนตั้งคำถามถึง"ความเที่ยงธรรม"ในการตัดสินคดีจากการกระทำของนายพสิษฐ์
ดังนั้นการปลดนายพสิษฐ์ จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเชื่อถือต่อตัวนายชัชได้ ตัวอย่างเช่น ถ้านายชัชตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่าต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงตัว
ถ้าตัดสินว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่า ต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ถามว่า ความรับผิดชอบของนายชัชควรอยู่ในระดับใด
ถ้าเอาระดับสูงสุด ควรลาออกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ระดับรองลงมา ควรลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังเป็นตุลการอยู่
ระดับต่ำสุด ควรถอนตัวจากองค์คณะคดียุบพรรค
การตัดสินใจของนายชัชจะแสดงถึงสปิริตของคนที่เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายดีเด่นรางวัลศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
หรือแค่เล่นบท"จ่าเฉย"เพื่อเอาตัวรอดไปเรื่อยๆเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์.
ถึงเวลานี้ อาจจะยังไม่รู้ว่า ใครเป็นเหยื่อใคร กรณีการเผยแพร่คลิปที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่า เป็นการต่อรองในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินภายในปลายปี 2553
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของทั้งองค์กรและผู้บริหารระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญได้เป็นอย่างดี
ความจริงแล้ววิกฤตที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญมิได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544
พฤติการณ์ของตุลาการบาง(หลาย)คนและกระบวนการในการวินิจฉัยคดีที่"ไร้มาตรฐาน"ทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว
แต่น่าเสียดาย มิได้ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการบางคนสำนึกที่ช่วยกันสร้างองค์กรให้มีเข้มแข็งน่าเชื่อถือต่อสาธารณะ
หลังจากการตัดสินคดี"ซุกหุ้น"ผ่านมา 10 ปี คนในศาลรัฐธรรมนูญได้ก่อวิกฤตขึ้นภายในองค์กรอีกครั้งหนึ่ง
การที่นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ สั่งปลดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ออกจากตำแหน่งเลขานุการฯ หลังจากที่ก่อเหตุการณ์อื้อฉาวแอบอ้างตำแหน่งเลขานุการประธานศาลฯไปเจรจาต่อรองกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เรื่องคดียุบพรรค เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
แต่คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ นายชัชควรแสดงความรับผิดชอบ(มากกว่านี้)อย่างไร เพราะนายพสิษฐ์ เป็นบุคคลที่นายชัชแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2551 ซึ่งให้"เอกสิทธิ์"นายชัชที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ เพราะต้องเป็นบุคคลที่ไว้วางใจ(สามารถปลดออกและพ้นตำแหน่งพร้อมประธานศาลฯ)
เมื่ออยู่ในตำแหน่งเลขานุการฯ นายชัชได้มอบหมายให้นายพสิษฐ์ เป็นตัวแทนในภารกิจหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกซึ่งนายพสิษฐ์เองก็ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้บริหารสำนักงานศาลอย่างเลขาธิการฯเองก็ให้ความเกรงใจ และสามารถใช้อำนาจดึงสาวคนสนิทในสำนักงานมาอยู่หน้าห้องประธานศาลได้ด้วย
ดังนั้น การที่นายพสิษฐ์อ้างตำแหน่งเลขานุการฯพูดคุยเรื่องคดียุบพรรคกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ตามเสียงในคลิป)ย่อมทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจได้ว่า นายพสิษฐ์มาในฐานะตัวแทนประธานศาลฯได้
แต่น่าแปลกคือ ไม่ค่อยมีใครทราบประวัติความเป็นมาของนายพสิษฐ์มากนัก(ยกเว้นตามคำบอกเล่าของตัวเองซึ่งแสดงถึงความเก่งกาจ) เช่น เปลี่ยนชื่อกลับไปกลับมาถึง 6 ครั้งอย่างพิสดารจาก "กมษศักดิ์ชนะ" เป็น "ชนะ-เกษมศักดิ์ชนะ-พสิษฐ์-กันตินันทน์-พสิษฐ์ "
ที่รู้กันทั่วไปคือ นายชัชหอบหิ้วมาทำงานที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อได้รับตำแหน่งประธาน ทั้งที่นายพสิษฐ์จบมาทางด้านกายวิภาคศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรังสิต มิใช่ด้านกฎหมายที่น่าจะช่วยงานด้านวิชาการได้มากกว่า
เมื่อนายพสิษฐ์เป็นคนสนิท"ส่วนตัว" ก่อเรื่องขึ้น แทนที่นายชัชจะออกมาแถลงชี้แจงด้วยตนเอง กลับให้ตุลการ 5 คนซึ่งมิได้เกี่ยวข้องด้วย(ยกเว้นกรณีมีการแอบถ่ายคลิปในห้องประชุม)มาแถลงปลดนายพสิษฐ์ออกจากตำแหน่งทั้งที่อำนาจการปลดนายพสิษฐ์เป็นของนายชัชเพียงคนเดียว(ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ตุลาการ5คนออกมารับหน้าแทนทำไม?)
หรือนายชัช ไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะสู้หน้าสาธารณชน คิดว่า การหลบหน้าหลบตาจะทำให้เรื่องเงียบไปกับสายลม แล้วไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
ที่สำคัญการดำเนินการกับนายพสิษฐ์เป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะมีข่าวว่า นายพสิษฐ์เดินทางไปต่างประเทศด้วยหนังสือเดินทางของราชการ เมื่อถูกปลดจากตำแหน่งด้วยข้อกล่าวหารุนแรง ทำไมสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไม่ทำเรื่องถึงกระทรวงการต่างประเทศให้เพิกถอนหนังสือเดินทางราชการของนายพสิษฐ์
ขณะที่นายชัชเองก็ถูกสาธารณชนตั้งคำถามถึง"ความเที่ยงธรรม"ในการตัดสินคดีจากการกระทำของนายพสิษฐ์
ดังนั้นการปลดนายพสิษฐ์ จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเชื่อถือต่อตัวนายชัชได้ ตัวอย่างเช่น ถ้านายชัชตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่าต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงตัว
ถ้าตัดสินว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกกล่าวหาว่า ต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ถามว่า ความรับผิดชอบของนายชัชควรอยู่ในระดับใด
ถ้าเอาระดับสูงสุด ควรลาออกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ระดับรองลงมา ควรลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังเป็นตุลการอยู่
ระดับต่ำสุด ควรถอนตัวจากองค์คณะคดียุบพรรค
การตัดสินใจของนายชัชจะแสดงถึงสปิริตของคนที่เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายดีเด่นรางวัลศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
หรือแค่เล่นบท"จ่าเฉย"เพื่อเอาตัวรอดไปเรื่อยๆเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์.
มหาวิทยาลัยเทวดา
โดย:นักปรัชญาชายขอบ
ว่าด้วยบทสนทนาในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งกำลังปรับตัวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และสิ่งที่ถูกพูดถึงน้อยก็คือคุณภาพบัณฑิตและความเป็นอิสระทางวิชาการ
สองวันมานี้ผมมานั่งฟังการอภิปรายแนวทางการการปรับเปลี่ยมหาวิทยาลัยไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และแนวทางการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แม้จะเห็นด้วยในหลายๆ เรื่อง แต่บางเรื่องก็เหนื่อยใจ
การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สิ่งที่พูดกันในประชาคมมหาวิทยาลัยก็คือเรื่องเก่าๆ เช่น ความเป็นอิสระ ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ความมั่นคงของอาจารย์ค่าตอบแทนของอาจารย์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อกันสมองไหล การไม่ขึ้นค่าเรียน (เพราะสาเหตุการออกนอกระบบ ถ้าจะขึ้นก็เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม)
แต่เรื่องที่พูดกันน้อยคือ เรื่องคุณภาพบัณฑิตจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร มหาวิทยาลัยจะรับผิดชอบหรือรับใช้สังคมมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
ที่คาใจผมคือการบรรยายของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) ที่บอกว่า การที่มหาวิทยาลัยจะก้าวไปสู่ความเป็นสากลจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย เน้นการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ แล้วก็เอาความรู้นั้นมาพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน พร้อมกับบริการวิชาการแก่สังคม และ/หรือเสนอทางเลือกใหม่ๆ แก่สังคม ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วย
แต่พอท่าน ยกตัวอย่างว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามหาวิทยาลัยแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วก็ยกตัวอย่างว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนที่มีชื่อติดสื่อ ออกความเห็นผ่านสื่อทุกเรื่องนั้น ที่จริงก็ไม่ใช่ผู้รู้จริง แล้วท่านก็เสนอว่าการแสดงความเห็นต่อสาธารณะจะต้องรู้จริง และต้องคำนึงว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ ต้องมีความเป็นกลาง ตัดอัตตาของตัวเองออกไป
ไม่ควรคิดว่าอาจารย์คนใดคนหนึ่งแสดงความเห็นอะไรออกไปจะเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์คนนั้นเท่านั้น ยังไงก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยด้วย ถ้าจะให้ดีก่อนที่อาจารย์หรือตัวบุคคลจะแสดงความเห็นอะไรออกไป ควรมีการพูดคุยกันภายในก่อน หรือมีการกลั่นกรองกันภายในมหาวิทยาลัยก่อนว่าสิ่งที่จะเสนอต่อสาธารณะมันจริงหรือไม่? เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่?
ผมฟังถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่นึกในใจว่า ท่านผู้เสนอกำลังคิดว่าสถาบันอุดมศึกษาเป็นสถาบันองคมนตรีหรืออย่างไร ท่านกำลังพูดเรื่องการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แต่ท่านกลับเสนอให้มี “ระบบเซ็นเซอร์” ความเห็นของอาจารย์ก่อนเสนอต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไปลดทอน “ความเป็นสากล” คือ “เสรีภาพทางวิชาการ” เสียเอง
แล้วมันก็น่าแปลกนะครับ การพัฒนามหาวิทยาลัยสู่ความเป็นสากล จะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้เยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการสร้าง “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” ราวกับว่ามหาวิทยาลัยมีวัฒนธรรมประชาธิปไตยเข้มแข็งดีอยู่แล้ว
พูดซ้ำๆ กันว่าจะต้องพัฒนาให้บัณฑิตมีคุณธรรมจริยธรรม โดยท่านองคมตรียกตัวอย่างคุณธรรมที่ควรส่งเสริม เช่น ความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ผลิตคนจบออกไปแล้วไปโกงแผ่นดิน เผาบ้านเผาเมือง
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ปลง คือผมเห็นด้วยว่ามหาวิทยาลัยต้องวิจัย ต้องรู้จริง (แต่อย่าไปอวดว่ารู้จริงกว่าคนอื่น รู้จริงกว่าชาวบ้าน) และเรื่องที่มหาวิทยาลัยควรวิจัยอย่างยิ่งคือเรื่องบทบาทของกองทัพ และบทบาทของสถาบันกษัตริย์กับการเมือง ทำอย่างไรจะเอากองทัพออกไปจากการแทรกแซงทางการเมือง บทบาทของสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมืองจริงหรือไม่ ควรจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประชาธิปไตยสากลอย่างไร เป็นต้น
มหาวิทยาลัยควรวิจัยเรื่องความตื่นตัวทางการเมืองของชาวบ้าน คนระดับล่างของสังคม คนต่างจังหวัด (ไม่ใช่เอาน้ำลายสื่อบางค่ายมาพูดว่าชาวบ้านถูกหลอกถูกล้างสมองถูกซื้อฯลฯ) เรื่องทัศนะต่อประชาธิปไตยของคนชั้นกลางในเมืองว่าทำไมจึงเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของอำนาจเผด็จการจารีต เป็นต้น
แต่ว่าที่เร่งด่วนกว่า ควรวิจัยว่าทำไมมหาวิทยาลัยจึงเป็นที่พึ่งในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาวบ้านไม่ได้ (แต่อธิการบดีของหลายมหาวิทยาลัยกลับเป็นที่พึ่งของ คมช. หรืออำนาจที่ทำรัฐประหารได้)
ถ้ามหาวิทยาลัยไม่แตะเรื่องสำคัญ เช่น บทบาทของกองทัพ สถาบันกษัตริย์ ต่อพัฒนาการประชาธิปไตย และการตื่นตัวเรียกร้องประชาธิปไตยของชาวบ้าน แล้วเสนอทางออกอย่างเป็นหลักวิชาการ เป็นรูปธรรม มหาวิทยาลัยจะอยู่ในระบบนอกระบบ จะเป็นท้องถิ่นหรือก้าวสู่สากล ก็ไม่มีความหมายอะไรต่อสังคมจริงๆ หรอกครับ
ความหมายจริงๆ ที่มีที่เป็นอยู่คือ ความเป็น “มหาวิทยาลัยเทวดา” ที่เสวยสุขอยู่บนสวรรค์วิมาน ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ชาวบ้านที่เรียกร้องประชาธิปไตยจะตายหรือเป็น
อยู่กันแบบมหาวิทยาลัยเทวดาดีว่า ออกนอกระบบแล้วอาจารย์มีความมั่นคงรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ผู้บริหารมีอำนาจเพิ่ม เอางบประมาณมายำได้อย่างอิสระกว่าเดิมหรือไม่ จะมีสิทธิ์ได้เครื่องราชหรือไม่ ก็คุยกันไปถกเถียงกันไปเพราะเราคือมหาวิทยาลัยเทวดา!
ว่าด้วยบทสนทนาในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งกำลังปรับตัวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และสิ่งที่ถูกพูดถึงน้อยก็คือคุณภาพบัณฑิตและความเป็นอิสระทางวิชาการ
สองวันมานี้ผมมานั่งฟังการอภิปรายแนวทางการการปรับเปลี่ยมหาวิทยาลัยไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และแนวทางการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แม้จะเห็นด้วยในหลายๆ เรื่อง แต่บางเรื่องก็เหนื่อยใจ
การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สิ่งที่พูดกันในประชาคมมหาวิทยาลัยก็คือเรื่องเก่าๆ เช่น ความเป็นอิสระ ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ความมั่นคงของอาจารย์ค่าตอบแทนของอาจารย์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อกันสมองไหล การไม่ขึ้นค่าเรียน (เพราะสาเหตุการออกนอกระบบ ถ้าจะขึ้นก็เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม)
แต่เรื่องที่พูดกันน้อยคือ เรื่องคุณภาพบัณฑิตจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร มหาวิทยาลัยจะรับผิดชอบหรือรับใช้สังคมมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
ที่คาใจผมคือการบรรยายของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) ที่บอกว่า การที่มหาวิทยาลัยจะก้าวไปสู่ความเป็นสากลจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย เน้นการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ แล้วก็เอาความรู้นั้นมาพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน พร้อมกับบริการวิชาการแก่สังคม และ/หรือเสนอทางเลือกใหม่ๆ แก่สังคม ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วย
แต่พอท่าน ยกตัวอย่างว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมามหาวิทยาลัยแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วก็ยกตัวอย่างว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนที่มีชื่อติดสื่อ ออกความเห็นผ่านสื่อทุกเรื่องนั้น ที่จริงก็ไม่ใช่ผู้รู้จริง แล้วท่านก็เสนอว่าการแสดงความเห็นต่อสาธารณะจะต้องรู้จริง และต้องคำนึงว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ ต้องมีความเป็นกลาง ตัดอัตตาของตัวเองออกไป
ไม่ควรคิดว่าอาจารย์คนใดคนหนึ่งแสดงความเห็นอะไรออกไปจะเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์คนนั้นเท่านั้น ยังไงก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยด้วย ถ้าจะให้ดีก่อนที่อาจารย์หรือตัวบุคคลจะแสดงความเห็นอะไรออกไป ควรมีการพูดคุยกันภายในก่อน หรือมีการกลั่นกรองกันภายในมหาวิทยาลัยก่อนว่าสิ่งที่จะเสนอต่อสาธารณะมันจริงหรือไม่? เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่?
ผมฟังถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่นึกในใจว่า ท่านผู้เสนอกำลังคิดว่าสถาบันอุดมศึกษาเป็นสถาบันองคมนตรีหรืออย่างไร ท่านกำลังพูดเรื่องการพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากล แต่ท่านกลับเสนอให้มี “ระบบเซ็นเซอร์” ความเห็นของอาจารย์ก่อนเสนอต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไปลดทอน “ความเป็นสากล” คือ “เสรีภาพทางวิชาการ” เสียเอง
แล้วมันก็น่าแปลกนะครับ การพัฒนามหาวิทยาลัยสู่ความเป็นสากล จะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้เยอะแยะไปหมด แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการสร้าง “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” ราวกับว่ามหาวิทยาลัยมีวัฒนธรรมประชาธิปไตยเข้มแข็งดีอยู่แล้ว
พูดซ้ำๆ กันว่าจะต้องพัฒนาให้บัณฑิตมีคุณธรรมจริยธรรม โดยท่านองคมตรียกตัวอย่างคุณธรรมที่ควรส่งเสริม เช่น ความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ผลิตคนจบออกไปแล้วไปโกงแผ่นดิน เผาบ้านเผาเมือง
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ปลง คือผมเห็นด้วยว่ามหาวิทยาลัยต้องวิจัย ต้องรู้จริง (แต่อย่าไปอวดว่ารู้จริงกว่าคนอื่น รู้จริงกว่าชาวบ้าน) และเรื่องที่มหาวิทยาลัยควรวิจัยอย่างยิ่งคือเรื่องบทบาทของกองทัพ และบทบาทของสถาบันกษัตริย์กับการเมือง ทำอย่างไรจะเอากองทัพออกไปจากการแทรกแซงทางการเมือง บทบาทของสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมืองจริงหรือไม่ ควรจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมประชาธิปไตยสากลอย่างไร เป็นต้น
มหาวิทยาลัยควรวิจัยเรื่องความตื่นตัวทางการเมืองของชาวบ้าน คนระดับล่างของสังคม คนต่างจังหวัด (ไม่ใช่เอาน้ำลายสื่อบางค่ายมาพูดว่าชาวบ้านถูกหลอกถูกล้างสมองถูกซื้อฯลฯ) เรื่องทัศนะต่อประชาธิปไตยของคนชั้นกลางในเมืองว่าทำไมจึงเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของอำนาจเผด็จการจารีต เป็นต้น
แต่ว่าที่เร่งด่วนกว่า ควรวิจัยว่าทำไมมหาวิทยาลัยจึงเป็นที่พึ่งในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาวบ้านไม่ได้ (แต่อธิการบดีของหลายมหาวิทยาลัยกลับเป็นที่พึ่งของ คมช. หรืออำนาจที่ทำรัฐประหารได้)
ถ้ามหาวิทยาลัยไม่แตะเรื่องสำคัญ เช่น บทบาทของกองทัพ สถาบันกษัตริย์ ต่อพัฒนาการประชาธิปไตย และการตื่นตัวเรียกร้องประชาธิปไตยของชาวบ้าน แล้วเสนอทางออกอย่างเป็นหลักวิชาการ เป็นรูปธรรม มหาวิทยาลัยจะอยู่ในระบบนอกระบบ จะเป็นท้องถิ่นหรือก้าวสู่สากล ก็ไม่มีความหมายอะไรต่อสังคมจริงๆ หรอกครับ
ความหมายจริงๆ ที่มีที่เป็นอยู่คือ ความเป็น “มหาวิทยาลัยเทวดา” ที่เสวยสุขอยู่บนสวรรค์วิมาน ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าประเทศนี้จะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ชาวบ้านที่เรียกร้องประชาธิปไตยจะตายหรือเป็น
อยู่กันแบบมหาวิทยาลัยเทวดาดีว่า ออกนอกระบบแล้วอาจารย์มีความมั่นคงรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ผู้บริหารมีอำนาจเพิ่ม เอางบประมาณมายำได้อย่างอิสระกว่าเดิมหรือไม่ จะมีสิทธิ์ได้เครื่องราชหรือไม่ ก็คุยกันไปถกเถียงกันไปเพราะเราคือมหาวิทยาลัยเทวดา!
วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553
"จตุพร" ซัดตุลาการกุข่าวถูกขู่ฆ่า
ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าถูกโทรศัพท์ขู่ฆ่าว่า ตามหลักการทั่วไปแล้วคนที่ถูกขู่ฆ่าเมื่อได้รับโทรศัพท์สิ่งแรกที่ควรทำคือแจ้งความดำเนินคดี แต่ปรากฏว่าไม่มีการแจ้งความใดๆ ตนไม่เห็นด้วยกับวิธีข่มขู่ แต่กรณีนี้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากการกุข่าวกลบความเหลวแหลกภายในศาลรัฐธรรมนูญ จึงขอร้องว่าอย่าใช้วิธีการแบบนักการเมืองชั่ว ถ้าเป็นความจริงตำรวจต้องจับกุมตัวให้ได้ อย่าให้เป็นเพียงการสร้างเรื่องกลบเกลื่อน ส่วนเรื่องที่ตนออกมาพูดถึงการทุจริตการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้น เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาก็สุมหัวกันหารือ ไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องนี้ แต่คนที่ได้ข้อสอบจากท่าน 2 รายสารภาพและมีการบันทึกเอาไว้เรียบร้อย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ตนไม่ได้พูดแบบโคมลอย แต่มีหลักฐาน เพียงแต่เปิดไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าจะถูกดำเนินคดีฐานนำมาเผยแพร่
นายจตุพร กล่าวว่า เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในสัปดาห์หน้าตนจะนำคลิปไปมอบให้ศาลรัฐธรรมนูญ และนัดสื่อมวลชนมาเปิดดูพร้อมกัน ตนได้ดูแล้วค่อนข้างยาวแต่ชัดเจนมาก เห็นภาพใครนั่งอยู่บ้าง มีเสียงเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ที่สารภาพ 2 คน ทุกวันนี้ก็ยังนั่งทำงานอยู่ในศาล ยืนยันว่าตนไม่ได้แบล็คเมล์อะไร แต่ขอความกรุณาศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายตนมาในสัปดาห์หน้า จะได้ไปเปิดเผยความจริงกัน คลิปนี้ตนไม่รู้ว่าใครส่งมาให้ แต่เห็นแล้วมันเป็นทุกขเวทนาจริงๆ มันดูแล้วทำให้เข้าใจว่าทำไมคดียุบพรรคถึงมีปัญหา นอกจากนี้ตนยังทราบด้วยว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งได้แต่งตั้งลูกชายตัวเองเป็นเลขานุการส่วนตัวกินเงินเดือนๆละ 4 หมื่นกว่าบาท แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เลย เพราะเดินทางไปเมืองนอกเป็นเวลาปีเศษแล้ว ส่วนตัวเห็นด้วยกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่คิดว่าไม่ควรมีศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ต่อไป เพราะได้ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยนั้น ก็เป็นเรื่องของคนทำผิดแล้วถูกจับได้ แต่ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นอยู่แบบนี้ พรรคเพื่อไทยอาจจะถูกยุบก็ได้
ที่มา.เนชั่น
นายจตุพร กล่าวว่า เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในสัปดาห์หน้าตนจะนำคลิปไปมอบให้ศาลรัฐธรรมนูญ และนัดสื่อมวลชนมาเปิดดูพร้อมกัน ตนได้ดูแล้วค่อนข้างยาวแต่ชัดเจนมาก เห็นภาพใครนั่งอยู่บ้าง มีเสียงเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ที่สารภาพ 2 คน ทุกวันนี้ก็ยังนั่งทำงานอยู่ในศาล ยืนยันว่าตนไม่ได้แบล็คเมล์อะไร แต่ขอความกรุณาศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายตนมาในสัปดาห์หน้า จะได้ไปเปิดเผยความจริงกัน คลิปนี้ตนไม่รู้ว่าใครส่งมาให้ แต่เห็นแล้วมันเป็นทุกขเวทนาจริงๆ มันดูแล้วทำให้เข้าใจว่าทำไมคดียุบพรรคถึงมีปัญหา นอกจากนี้ตนยังทราบด้วยว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งได้แต่งตั้งลูกชายตัวเองเป็นเลขานุการส่วนตัวกินเงินเดือนๆละ 4 หมื่นกว่าบาท แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เลย เพราะเดินทางไปเมืองนอกเป็นเวลาปีเศษแล้ว ส่วนตัวเห็นด้วยกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่คิดว่าไม่ควรมีศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ต่อไป เพราะได้ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยนั้น ก็เป็นเรื่องของคนทำผิดแล้วถูกจับได้ แต่ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นอยู่แบบนี้ พรรคเพื่อไทยอาจจะถูกยุบก็ได้
ที่มา.เนชั่น
สืบนอกศาลมือมืดใน 'คลิปลับ' หัวขบวน-ไอ้โม่งและนักปล่อยข่าว ภารกิจโค่นอำนาจ 'ปชป.และพวก'
แม้เสียงลึก-ลับ จะถูกเปิดฟังกันที่พรรคการเมืองหนึ่ง ก่อนถูกปล่อยลงในเว็บไซต์สาธารณะหลายวัน
แม้ "เสียง" จาก "คลิปลับ" จะถูกถอดเนื้อความ และบรรยายอย่างละเอียด จะถูกส่งออกจากพรรคการเมืองหนึ่ง
แต่มือมืดที่ขยายผลเนื้อหาของคลิปภาพและเสียง ยังลอยนวล
ปล่อยให้ "คนในภาพ" เผชิญหน้า ชะตากรรม จำนนด้วยหลักฐาน
อย่างน้อย นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ถูกเด้งฟ้าผ่ากลางฤดูฝน
อย่างน้อย วิรัช ร่มเย็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ก็ติดกับดัก ถูกพรรคสอบสวนซ้ำ หลังถูกล่อไปนำสืบนอกศาล
แสงสว่างสาดส่องไปที่ 9 ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายเฉลิมพล เอกอุรุ, นายนุรักษ์ มาประณีต, นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์, นายสุพจน์ ไข่มุกด์, นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
แผนล้มรัฐบาล ล้มพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นขบวนการเครือข่ายใต้ดินที่ไม่ปรากฏ "หัวหน้า" ขบวนการ มีเพียง "โฆษกพรรคเพื่อไทย" ที่ออกมายืน กลางแจ้ง
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทย เริ่มขบวนการปล่อยข้อมูลลับ-ชื่อย่อ-ตำแหน่ง ของคนในศาลควบคู่คนในพรรคประชาธิปัตย์ ต่อเนื่องด้วยการชี้เบาะแสคลิปเสียงที่ถูกปล่อยไว้ในเว็บไซต์สาธารณะ
จากนั้นก็อธิบายสำทับ ขยายความด้วยซับไตเติลข้อความใต้ภาพเคลื่อนไหว และโยงเนื้อเรื่องให้น่าติดตาม ด้วยการโชว์กราฟิก ลายเซ็น เรียงลำดับของบุคคลสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
สอดคล้องกับ "ข้อมูล" ของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่วิเคราะห์ไว้ว่า
"พรรคประชาธิปัตย์พยายามหาช่องทางชนะฟาวล์ โดยจะให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาเบิกความเป็นพยาน เพราะก่อนหน้านี้ ประธาน กกต.เคยบอกในขั้นตอนการพิจารณาก่อนส่งให้ศาลวินิจฉัยว่า ไม่ผิด" ประธาน ส.ส. เพื่อไทยตอกย้ำความเคลื่อนไหวในคลิปลับ
ข้อความ-ข้อมูลที่ไม่เป็นคุณ สุ่มเสี่ยง เพลี่ยงพล้ำของฝ่ายประชาธิปัตย์ จึงถูก "มือดี" ปล่อยออกมาในชั่วโมงที่ 72 ก่อนที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในฐานะหัวหน้าพรรค จะไปขึ้นศาล สืบพยานผู้ถูกร้องนัดสุดท้าย
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทยยิ้มร่า เมื่อข้อความที่ถูกถอดรหัสอย่างละเอียด ถูกตีความเป็นไปตามแผน
เบื้องหลังรอยยิ้ม มีเสียงของ "ร.ต.อ.เฉลิม" เปิดหน้า ช่วงเดียวกับที่ "นายกรัฐมนตรีและคณะ" ไปให้การ
"พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ พรรคเพื่อไทยไม่วิตกกังวล แต่กรณีที่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญต้องเคลียร์ ให้ชัด จะมาทะเล่อทะล่าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่คนรักพรรคเพื่อไทยก็มี พวกผมมีปัญญาถ่ายคลิปไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ศาล หรือแค่วันนี้จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จากนี้ไปจะต้องรบกัน ผมไม่ยอมให้คนมา กล่าวหาพรรคเพื่อไทย"
ข้อกล่าวหา-กล่าวอ้างเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า กระหึ่มทั่วทั้งเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก ด้วยการฟอร์เวิร์ดเมล์ "คลิปร้อน" ที่ตัดต่อไว้ 5 ตอนรวด
ประธาน ส.ส.เพื่อไทยที่เคยวิเคราะห์ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ มีข้อมูลใหม่ "อย่ามาโยนบาปกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยจัดฉากใส่ร้าย ตามหลักกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกยุบแน่นอน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์รอด ถือว่าปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว จากข้อมูลพยานหลักฐานมันชัดเจนหมด ยังไงก็ต้องยุบ"
ขณะที่การสืบพยานแต่ละนัด คำให้การของฝ่ายร้อง-กกต. และฝ่ายถูกร้อง-ประชาธิปัตย์ ไม่ถูกขยายความ
แต่ภาพและเสียงที่ปรากฏในคลิปลับ ถูกสืบ-สอบสวนในพื้นที่สาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยพรรคเพื่อไทย
แผนการแคมเปญ การอธิบายรายละเอียดเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่แตกต่างระหว่างคดียุบไทยรักไทย-พลังประชาชน และกรณีพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุติไว้ชั่วคราว เพราะเกรงละเมิดอำนาจศาล
ข้อเท็จจริง-พยานเอกสารของฝ่ายถูกร้องทั้งหมด ในการต่อสู้คดีโดย "ดรีมทีมทนายเทวดา" ที่ถูกรวบรวมเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย จะถูกอธิบายต่อสาธารณะในช่วงที่การสืบพยานเสร็จสิ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้การต่อสาธารณะว่า "สิ่งที่ผมยืนยันได้ คือ พรรคไม่มีความจำเป็นใด ๆ ไม่มีเจตนาใด ๆ ต้องมาล็อบบี้ศาล พร้อมจะต่อสู้ในเนื้อหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ขณะเดียวกันต้องการให้ศาลพิจารณาได้โดยปราศจากการกดดัน หรือล็อบบี้ใด ๆ ขอไม่พูดว่ามีความมั่นใจในคดีหรือไม่ แต่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลไปหมดแล้ว มั่นใจว่าศาลจะต้องพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย"
สอดคล้องกับสมมติฐานของประธาน ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรค ที่เคยตั้งประเด็นไว้ว่า จะมีความพยายามในการกดดันศาลหลายรูปแบบ
ดังนั้นจึงได้มีการสั่งการให้ "ลูกทีม- ลูกพรรค" อยู่ในที่ตั้ง ห้ามให้ความเห็น-ก้าวล่วงในรูปคดี
แต่จนแล้ว-จนรอดก็เพลี่ยงพล้ำ เพราะลูกพรรคไปพัวพัน-พูดคุยเรื่องคดี กับคนนอกพรรค ที่มีตำแหน่งแห่งหนสำคัญ ต่อรูปคดี
24 ชั่วโมง หลังคลิปเสียง-ภาพปรากฏ สู่เว็บไซต์สาธารณะ คณะตุลาการ 5 คน แถลงข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
"กรณีที่มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ออกทางสื่อมวลชนได้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ขอชี้แจงว่าคลิปที่ปรากฏภาพของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของศาลได้ ดังนั้น นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้มีคำสั่งปลด นายพสิษฐ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพสิษฐ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด"
"ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ตามพระปรมาภิไธย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกลางกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมาก้าวก่ายแทรกแซง ขอให้ประชาชน มั่นใจการทำงานของศาล"
คำให้การของพยานฝ่ายผู้ถูกร้องถูกเปิดเผย เปิดตัว เปิดหน้า
ถ้อยแถลง-ท่าทีของคณะตุลาการถูกยืนยันเจตนา ด้วยการ "ปลด" คนที่พัวพันในคดี
การนำสืบจากคลิปลับ จึงเหลือ เพียง "ไอ้โม่ง" หัวขบวน ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการแผนซ้อนแผน ที่ยังไม่เผยตัวในที่แจ้ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
แม้ "เสียง" จาก "คลิปลับ" จะถูกถอดเนื้อความ และบรรยายอย่างละเอียด จะถูกส่งออกจากพรรคการเมืองหนึ่ง
แต่มือมืดที่ขยายผลเนื้อหาของคลิปภาพและเสียง ยังลอยนวล
ปล่อยให้ "คนในภาพ" เผชิญหน้า ชะตากรรม จำนนด้วยหลักฐาน
อย่างน้อย นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ถูกเด้งฟ้าผ่ากลางฤดูฝน
อย่างน้อย วิรัช ร่มเย็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ก็ติดกับดัก ถูกพรรคสอบสวนซ้ำ หลังถูกล่อไปนำสืบนอกศาล
แสงสว่างสาดส่องไปที่ 9 ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายเฉลิมพล เอกอุรุ, นายนุรักษ์ มาประณีต, นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์, นายสุพจน์ ไข่มุกด์, นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
แผนล้มรัฐบาล ล้มพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นขบวนการเครือข่ายใต้ดินที่ไม่ปรากฏ "หัวหน้า" ขบวนการ มีเพียง "โฆษกพรรคเพื่อไทย" ที่ออกมายืน กลางแจ้ง
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทย เริ่มขบวนการปล่อยข้อมูลลับ-ชื่อย่อ-ตำแหน่ง ของคนในศาลควบคู่คนในพรรคประชาธิปัตย์ ต่อเนื่องด้วยการชี้เบาะแสคลิปเสียงที่ถูกปล่อยไว้ในเว็บไซต์สาธารณะ
จากนั้นก็อธิบายสำทับ ขยายความด้วยซับไตเติลข้อความใต้ภาพเคลื่อนไหว และโยงเนื้อเรื่องให้น่าติดตาม ด้วยการโชว์กราฟิก ลายเซ็น เรียงลำดับของบุคคลสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
สอดคล้องกับ "ข้อมูล" ของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่วิเคราะห์ไว้ว่า
"พรรคประชาธิปัตย์พยายามหาช่องทางชนะฟาวล์ โดยจะให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาเบิกความเป็นพยาน เพราะก่อนหน้านี้ ประธาน กกต.เคยบอกในขั้นตอนการพิจารณาก่อนส่งให้ศาลวินิจฉัยว่า ไม่ผิด" ประธาน ส.ส. เพื่อไทยตอกย้ำความเคลื่อนไหวในคลิปลับ
ข้อความ-ข้อมูลที่ไม่เป็นคุณ สุ่มเสี่ยง เพลี่ยงพล้ำของฝ่ายประชาธิปัตย์ จึงถูก "มือดี" ปล่อยออกมาในชั่วโมงที่ 72 ก่อนที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในฐานะหัวหน้าพรรค จะไปขึ้นศาล สืบพยานผู้ถูกร้องนัดสุดท้าย
นักแถลงข่าวจากพรรคเพื่อไทยยิ้มร่า เมื่อข้อความที่ถูกถอดรหัสอย่างละเอียด ถูกตีความเป็นไปตามแผน
เบื้องหลังรอยยิ้ม มีเสียงของ "ร.ต.อ.เฉลิม" เปิดหน้า ช่วงเดียวกับที่ "นายกรัฐมนตรีและคณะ" ไปให้การ
"พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ พรรคเพื่อไทยไม่วิตกกังวล แต่กรณีที่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่ในศาลรัฐธรรมนูญต้องเคลียร์ ให้ชัด จะมาทะเล่อทะล่าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่คนรักพรรคเพื่อไทยก็มี พวกผมมีปัญญาถ่ายคลิปไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ศาล หรือแค่วันนี้จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จากนี้ไปจะต้องรบกัน ผมไม่ยอมให้คนมา กล่าวหาพรรคเพื่อไทย"
ข้อกล่าวหา-กล่าวอ้างเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า กระหึ่มทั่วทั้งเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก ด้วยการฟอร์เวิร์ดเมล์ "คลิปร้อน" ที่ตัดต่อไว้ 5 ตอนรวด
ประธาน ส.ส.เพื่อไทยที่เคยวิเคราะห์ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ มีข้อมูลใหม่ "อย่ามาโยนบาปกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยจัดฉากใส่ร้าย ตามหลักกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกยุบแน่นอน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์รอด ถือว่าปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว จากข้อมูลพยานหลักฐานมันชัดเจนหมด ยังไงก็ต้องยุบ"
ขณะที่การสืบพยานแต่ละนัด คำให้การของฝ่ายร้อง-กกต. และฝ่ายถูกร้อง-ประชาธิปัตย์ ไม่ถูกขยายความ
แต่ภาพและเสียงที่ปรากฏในคลิปลับ ถูกสืบ-สอบสวนในพื้นที่สาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยพรรคเพื่อไทย
แผนการแคมเปญ การอธิบายรายละเอียดเรื่อง 2 มาตรฐาน ที่แตกต่างระหว่างคดียุบไทยรักไทย-พลังประชาชน และกรณีพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุติไว้ชั่วคราว เพราะเกรงละเมิดอำนาจศาล
ข้อเท็จจริง-พยานเอกสารของฝ่ายถูกร้องทั้งหมด ในการต่อสู้คดีโดย "ดรีมทีมทนายเทวดา" ที่ถูกรวบรวมเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย จะถูกอธิบายต่อสาธารณะในช่วงที่การสืบพยานเสร็จสิ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้การต่อสาธารณะว่า "สิ่งที่ผมยืนยันได้ คือ พรรคไม่มีความจำเป็นใด ๆ ไม่มีเจตนาใด ๆ ต้องมาล็อบบี้ศาล พร้อมจะต่อสู้ในเนื้อหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ขณะเดียวกันต้องการให้ศาลพิจารณาได้โดยปราศจากการกดดัน หรือล็อบบี้ใด ๆ ขอไม่พูดว่ามีความมั่นใจในคดีหรือไม่ แต่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลไปหมดแล้ว มั่นใจว่าศาลจะต้องพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย"
สอดคล้องกับสมมติฐานของประธาน ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรค ที่เคยตั้งประเด็นไว้ว่า จะมีความพยายามในการกดดันศาลหลายรูปแบบ
ดังนั้นจึงได้มีการสั่งการให้ "ลูกทีม- ลูกพรรค" อยู่ในที่ตั้ง ห้ามให้ความเห็น-ก้าวล่วงในรูปคดี
แต่จนแล้ว-จนรอดก็เพลี่ยงพล้ำ เพราะลูกพรรคไปพัวพัน-พูดคุยเรื่องคดี กับคนนอกพรรค ที่มีตำแหน่งแห่งหนสำคัญ ต่อรูปคดี
24 ชั่วโมง หลังคลิปเสียง-ภาพปรากฏ สู่เว็บไซต์สาธารณะ คณะตุลาการ 5 คน แถลงข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
"กรณีที่มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ออกทางสื่อมวลชนได้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ขอชี้แจงว่าคลิปที่ปรากฏภาพของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของศาลได้ ดังนั้น นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้มีคำสั่งปลด นายพสิษฐ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพสิษฐ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด"
"ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ตามพระปรมาภิไธย ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกลางกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมาก้าวก่ายแทรกแซง ขอให้ประชาชน มั่นใจการทำงานของศาล"
คำให้การของพยานฝ่ายผู้ถูกร้องถูกเปิดเผย เปิดตัว เปิดหน้า
ถ้อยแถลง-ท่าทีของคณะตุลาการถูกยืนยันเจตนา ด้วยการ "ปลด" คนที่พัวพันในคดี
การนำสืบจากคลิปลับ จึงเหลือ เพียง "ไอ้โม่ง" หัวขบวน ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการแผนซ้อนแผน ที่ยังไม่เผยตัวในที่แจ้ง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ปล้นชาติ
มาอีกรายการแล้ว...ท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็งานประมูลทุบทิ้งเสาโฮปเวลล์... อนุสาวรีย์แห่งการคอร์รัปชั่น..ของ.. ฯพณฯ ทั้งหลายวันนี้ค่ารับเหมาทุบทิ้ง...มาถึง ผู้รับเหมาต้นละ 5 แสนบาท..มีเสาอยู่ 520 ต้น..ถ้าทุบหมด..ประเทศต้องจ่าย เงินให้กับผู้รับเหมา..เกือบ 300 ล้าน..
ในเสา 1 ต้น..ให้ขุดลึกลงไป 3 เมตร..ให้เอาเศษเหล็กไปขายได้..จะได้ต้น ละ 3 แสนบาท..ราคาเศษเหล็กวันนี้..กิโล ละ 14 บาท..แบบว่าโรงถลุงแย่งกันซื้อ..
ปูนที่ทุบทิ้ง..ยังมีราคาต้นละกว่า 1 หมื่นบาท..รวมแล้วผู้รับเหมาทุบเสาโฮปเวลล์.. จะได้เงินไประหว่าง 8-9 แสนบาท..ว่ากันไปแล้ว..เสาโฮปเวลล์ 1 ต้นในวันนี้..ก็เหมือนเหมืองแร่เหล็ก..ที่ สำเร็จรูปพร้อมใช้..ที่มี..ปูนซีเมนต์หุ้มห่อ ไว้หนาไม่กี่คืบ..ไม่ต้องจ่าย 5 แสนบาท.. แถมยังให้ผู้ประเมินจ่ายกลับมาประเทศ ยังจะส่วนแบ่งจากค่าเศษเหล็ก..
วันนี้มีป้ายติดอยู่ข้างถนนมากมาย.. รับทุบตึกและรื้ออาคารให้ฟรี..เสาโฮปเวลล์ ทั้ง 520 ต้น..ถ้าเอามาประมูลขายยังได้ตังค์ แต่วันนี้กลับจ่ายตังค์ไปให้เขาทุบแถมแจกเหล็กกับเศษปูนให้เขาไปขาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....เปิดหูเปิดตา ดูแล...ไม่ว่าผลงานกระทรวงไหน..ก็เป็น ไปในรัฐบาลของท่าน..เศษเหล็กต้นละ 40 ตัน..มันเป็น สินค้าขายได้..แถมยังไม่ใช่เศษเหล็ก..มันเป็นเหล็กใหญ่เส้นยาวที่พร้อมนำไปใช้งาน..ราคามันสูงกว่าเศษเหล็กทั่วไป..แถม คุณภาพยังเหนือกว่า..
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันนี้เขายังแค่ ทุบเพียงต้น...ระวังอย่าให้อีก 520 ต้นตามมา..ระวังทีโออาร์จะฝั่งคอร์-รัปชั่นขนานใหญ่วันนี้คนได้สัมปทานรถไฟฟ้าหลากสี..มีความจำเป็นจะต้องใช้เหล็ก ขนาดใหญ่..ต่อไปเหล็กจะมีราคา.. เสาโฮปเวลล์แต่ละต้นคือธนาคารเหล็ก..อย่าให้โจรเขมือบไปขาย..อย่า ให้มันออกอุบายปล้นชาติ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ศรัทธาที่ ท่านมีคือความเป็นคนไม่โลภโมโทสัน.. รักษามันไว้..อย่าพายเรือให้โจรนั่ง.. อย่านั่งในเรือที่โจรพาย..การเมืองของ คนแก่..อีกไม่นานก็แพ้สังขารกันไปหมด..อนาคตของท่านอยู่กับปัจจุบันในวันนี้..ทำวันนี้ให้ดี..เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า..
ที่มา.สยามธุรกิจ
ในเสา 1 ต้น..ให้ขุดลึกลงไป 3 เมตร..ให้เอาเศษเหล็กไปขายได้..จะได้ต้น ละ 3 แสนบาท..ราคาเศษเหล็กวันนี้..กิโล ละ 14 บาท..แบบว่าโรงถลุงแย่งกันซื้อ..
ปูนที่ทุบทิ้ง..ยังมีราคาต้นละกว่า 1 หมื่นบาท..รวมแล้วผู้รับเหมาทุบเสาโฮปเวลล์.. จะได้เงินไประหว่าง 8-9 แสนบาท..ว่ากันไปแล้ว..เสาโฮปเวลล์ 1 ต้นในวันนี้..ก็เหมือนเหมืองแร่เหล็ก..ที่ สำเร็จรูปพร้อมใช้..ที่มี..ปูนซีเมนต์หุ้มห่อ ไว้หนาไม่กี่คืบ..ไม่ต้องจ่าย 5 แสนบาท.. แถมยังให้ผู้ประเมินจ่ายกลับมาประเทศ ยังจะส่วนแบ่งจากค่าเศษเหล็ก..
วันนี้มีป้ายติดอยู่ข้างถนนมากมาย.. รับทุบตึกและรื้ออาคารให้ฟรี..เสาโฮปเวลล์ ทั้ง 520 ต้น..ถ้าเอามาประมูลขายยังได้ตังค์ แต่วันนี้กลับจ่ายตังค์ไปให้เขาทุบแถมแจกเหล็กกับเศษปูนให้เขาไปขาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....เปิดหูเปิดตา ดูแล...ไม่ว่าผลงานกระทรวงไหน..ก็เป็น ไปในรัฐบาลของท่าน..เศษเหล็กต้นละ 40 ตัน..มันเป็น สินค้าขายได้..แถมยังไม่ใช่เศษเหล็ก..มันเป็นเหล็กใหญ่เส้นยาวที่พร้อมนำไปใช้งาน..ราคามันสูงกว่าเศษเหล็กทั่วไป..แถม คุณภาพยังเหนือกว่า..
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันนี้เขายังแค่ ทุบเพียงต้น...ระวังอย่าให้อีก 520 ต้นตามมา..ระวังทีโออาร์จะฝั่งคอร์-รัปชั่นขนานใหญ่วันนี้คนได้สัมปทานรถไฟฟ้าหลากสี..มีความจำเป็นจะต้องใช้เหล็ก ขนาดใหญ่..ต่อไปเหล็กจะมีราคา.. เสาโฮปเวลล์แต่ละต้นคือธนาคารเหล็ก..อย่าให้โจรเขมือบไปขาย..อย่า ให้มันออกอุบายปล้นชาติ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ศรัทธาที่ ท่านมีคือความเป็นคนไม่โลภโมโทสัน.. รักษามันไว้..อย่าพายเรือให้โจรนั่ง.. อย่านั่งในเรือที่โจรพาย..การเมืองของ คนแก่..อีกไม่นานก็แพ้สังขารกันไปหมด..อนาคตของท่านอยู่กับปัจจุบันในวันนี้..ทำวันนี้ให้ดี..เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า..
ที่มา.สยามธุรกิจ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)